ความคิดเห็นทั้งหมด : 26

โครงการผลิตแพทย์เพื่อ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ver.2


   ......ได้ยินมาว่า แพทย์ที่จบมาจากโครงการนี้อ่ะ จาทำงานประมาณว่า เปงสาธารณสุขชุมชน (เค้าเรียกกันว่า หมอตำแย เรยหล่ะ) ไรประมาณนี้อ่ะ แบบว่า...ไม่ค่อยเหมือนแพทย์อ่ะ จิงป่าวๆ

Posted by : kala_med , Date : 2005-08-02 , Time : 20:37:32 , From IP : 203.113.77.36

ความคิดเห็นที่ : 1


   ถ้าจะประเมิน validity ของข้อมูล จะเริ่มจากแหล่งที่มา เจตน์จำนงค์ของผู้วิเคราะห์รวบรวมข้อมูล และวิธีที่ได้มาซึ่งข้อมูลก่อนดีไหมครับ?



Posted by : Phoenix , Date : 2005-08-03 , Time : 07:18:50 , From IP : 172.29.7.211

ความคิดเห็นที่ : 2


   เท่าที่ทราบมาเด็กที่จะเรียนแพทย์โครงการ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ปี 1 จะเรียนพื้นฐานที่ มอ.วิทยาเขตปัตตานีกันก่อนหลังจากนั้นพอขึ้นปี 2 ก็จะย้ายกลับมาเรียนที่ มอ. เรียนจนครบ 6 ปีอะครับแล้วก็ได้ปริญญาแพทยศาสตร์บัณพิตจบไปก็ไปเป็นแพทย์ใน 3 จังหวัดไม่เห็นว่าจะไปเป็นหมอตะแยตรงไหน คุณเข้าใจอะไรผิดหรือเปล่าครับ แค่เด็กที่เข้ามาเรียนอาจป็นเด็กที่เรียนจบปริญญาตรีกันมาก่อนแล้ว อย่างคนนึงผมรู้จักเคยเป็นพยาบาลที่3จังหวัดมาก่อนแล้วก็มาเรียนแพทย์ที่นี่ต่อ เขาเคยช่วยหมอพรทิพย์เก็บศพหัวขาดมาแล้วด้วย

Posted by : แมวน้ำ , Date : 2005-08-03 , Time : 10:44:09 , From IP : 172.29.3.154

ความคิดเห็นที่ : 3


   เก็บศพหัวขาด มันเจ๋งตรงไหนเหรอ

Posted by : ไม่เกี่ยวซะหน่อย , Date : 2005-08-03 , Time : 15:16:52 , From IP : 172.29.4.40

ความคิดเห็นที่ : 4


   เห็นด้วยกะความเห็นที่ 4 ครับ : )

Posted by : bfy , Date : 2005-08-03 , Time : 21:35:02 , From IP : 192.168.26.57

ความคิดเห็นที่ : 5


   ผมยังสนใจที่มาผู้เริ่มกระทู้นะครับ เพราะโปรแกรมนี้ (แพทย์โครงการ 3 จังหวัด) เราพึ่งคัดเลือกปีนี้เป็นปีแรก แต่มีการสรุปว่าเรากำลังฝึกคนออกไปเป็นหมอตำแยนี่ น่าจะมีที่มาของข้อมูลว่ามีเจตนาอย่างไร หรือทำไมถึงคิดว่านี่เป็นวัตถุประสงค์ของการผลิตแพทย์ที่นี่แบบนั้นครับ



Posted by : Phoenix , Date : 2005-08-03 , Time : 22:15:30 , From IP : adsl-203-156-39-135.

ความคิดเห็นที่ : 6


   ใครตั้งกระทู้ ยอมรับมาซะ อย่าให้อาจารย์จับได้เองนะเฟร้ย...
อิอิ : )


Posted by : bfy , Date : 2005-08-04 , Time : 03:31:21 , From IP : 172.29.4.204

ความคิดเห็นที่ : 7


   เราคิดว่าขบวนการคัดสรรยังไม่ได้ดีพอ พื้นฐานทางวิชาการน้อยมาก เหมือนกับทางคณะคิดว่าใครๆก็สามารถเรียนได้อย่างมีคุณภาพ ควรคัดทางวิชาการด้วยไม่ใช่สัมภาษณ์ดูทัศนคติเพียงอย่างเดียว อย่างนี้ใครๆก็เล่นละครได้ ถ้าหากได้พวกที่เรียนไม่จบเปลืองงบประมาณฟรี ดูสภาพแล้วบางคนทำตัวไม่เหมาะสมกับการที่ได้เรียนแพทย์

Posted by : med , Date : 2005-08-04 , Time : 18:08:43 , From IP : 172.29.4.121

ความคิดเห็นที่ : 8


   ผมเห็นด้วยที่ว่าการประเมินด้าน "ความเหมาะสม" ในการประกอบอาชีพแพทย์ ยังมีเครื่องมือที่ไม่สมบูรณ์อยู่ในขณะนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสมัยแรกๆที่เราใช้แค่ cognitive test เพียงอย่างเดียว ควรจะต้องมีการประเมินหลายๆด้านประกอบกัน "ก่อน" ที่จะมีการ "ตัดสิน" คุณค่าของคนๆหนึ่ง

diagnostic tools ทีเราใช้ทดสอบไม่ว่าด้าน "วิชาการ" หรือ "ทัศนคติ" มีพิสัยของความแม่นยำ ความเที่ยง ความตรงที่ยังไม่ได้เป็นร้อยเปอร์เซนต์ ที่น่าสนใจตรงนี้อีกประเด็นก็คือ ถ้าหากทดสอบได้ "พอสมควร" ทั้งสอง tests อะไรที่จะบ่งชี้ "ความเหมาะสมที่ได้เรียนแพทย์" กว่ากัน? ทัศนคติเหมาะสม กับ วิชาการเหมาะสม?

คณะฯมีข้อมูลเบื้องต้นถึงคะแนนเฉลี่ยนักเรียนรุ่นใหม่ และเป็นความจริงที่ค่าเฉลี่ยของ cognitive scores ประเภท math physics chemistry biology พวกนี้ต่าง (และต่ำ) กว่านักศึกษาที่ ent เข้ามา และคงจะเป็นความท้าทายของคณะฯที่จะสอนให้เขาสามารถมี ใช้ และรักษา ความรู้ด้านวิชาการเมื่อมีต้นทุนเบื้องต้นแบบนี้ แตในขณะเดียวกันนักศึกษากลุ่มนี้ เข้ามาด้วยเงื่อนไข "มากกว่า" นักศึกษาทั่วไปคือเรื่องความต้องการของพื้นที่ เรื่องการตรวจสอบควาต้องการในการเรียนแพทย์ และความตั้งใจที่จะกลับไปทำงาน "เป็นแพทย์" ซึ่งเงื่อนไขดังกล่าวนี้ถูกนำมาเป็นประเด็นหลักที่สำคัญมากกว่า cognitive scores

คำถามที่น่าสนใจคือ "เมื่อไหร่" และ "อย่างไร" ที่เราควรจะให้โอกาสนักศึกษาแพทย์กลุ่มพิเศษนี้ได้พิสูจน์ตนเอง? ทันทีที่พวกเราทราบคะแนนดิบตอน ม.6? ทันทีที่เรารู้ว่าเขาถูกคักมาอย่างไร? หรือตอนไหน? ระยะเวลา 5-6 ปีในการฝึกอบรมหรือการทำงานในคณะฯจะมีส่วนปรับเปลี่นและช่วยคน "เรียนรู้" ได้กแค่ไหน?

ในด้าน medical professionalism นั้นมีหลายพิสัยที่สำคัญ ประการหนึ่งที่สถานภาพของ "บัณฑฺตแพทย์" รุ่นใหม่ทุกๆที่กำลังถูกเป็นห่วงกันก็คือ พื้นฐานและเจตคติต่อหลักจริยศาสตร์ ไม่ใช่เรื่อง advanced knowledge ทางวิชาการ และที่น่าเป็นห่วงมากคือ principle of autonomy หรือการเคารพในสิทธิ เสรีภาพ และเข้าใจในความต่างของปัจเจกบุคคล ที่เราจะไม่ใช้ "คุณค่าของเรา" ไปตัดสินความดีเลว เหมาะสม หรือไม่เหมาะสม ของคนอื่นที่ต่างไปจากเรา เราจะต้องสามารถให้คุณค่า คุณภาพชีวิต ตามที่คนที่มีความแตกต่างด้านยพื้นเพ ความเชื่อ ได้อย่างเท่าเทียมกัน พูดง่ายๆก็คือ ทัศนคตินั้นเป็นสิ่งที่เราควรจะคำนึงกันให้มากๆ มากกว่าเดิม

ถ้าเราได้ "สัมผัส" นักศึกษาปีหนึ่งในปริมาณที่มีโอกาสดท่าที่ผ่านมาและเริ่ม "ตัดสิน" ได้แล้วว่า น้องพวกนี้เหมาะสมในการเรียนแพทย์หรือไม่ ผมคิดว่าน่าเป็นห่วงทีเดียวเมื่อคิดว่าเราจะใช้เวลา หรือข้อมูลสักกี่มากน้อยในการตัดสิน value ของผ้ป่วยที่มีความต่างของชีวิต ของฐานะ ของระดับการศึกษาที่มากไปกว่านี้ ตรงนี้ผมขอเห็นด้วยว่าการประเมินทัศนคติในความเหมาะสมต่อการเรียนแพทย์นั้น คงจะต้องรีบสร้างเครื่องมือ และหมั่นนำมาใช้ทดสอบบ่อยๆตลอดทั้งหลักสูตร หรือยิ่งจบไปแล้วก็อาจจะต้องนำมาตรวจสอบกันต่อเนื่องในระยะยาว



Posted by : Phoenix , Date : 2005-08-04 , Time : 19:56:13 , From IP : 172.29.7.76

ความคิดเห็นที่ : 9


    ไม่ทราบคนโพสต์ไปพบเจออะไรมา แต่อยากจะบอกว่า อย่าเพิ่งรีบตัดสินคนก่อนที่จะเห็นผลงาน
คิดว่า คุณคนโพสต์ก็คงไม่สามารถระบุได้ว่าผู้เรียนจบโครงการนี้มีความสามารถแค่ไหน เพราะคนที่จะระบุความสามารถของหมอได้ต้องมีความรู้ความสามารถทางสาธารณสุขเป็นอย่างดี
เห็นด้วยกับความคิดเห็นอาจารย์นกไฟ เกี่ยวกับโครงการนี้
คณะแพทย์มีการดูแลนักศึกษาเป็นอย่างดี ทั้งด้านวิชาการ และเจตคติ ดังนั้นขอบคุณความเป็นห่วงของคนตั้งกระทู้ด้วย




Posted by : ผู้เรียนแพทย์ , Date : 2005-08-04 , Time : 21:30:33 , From IP : 172.29.4.211

ความคิดเห็นที่ : 10


   เราคิดว่าขบวนการคัดสรรยังไม่ได้ดีพอ พื้นฐานทางวิชาการน้อยมาก เหมือนกับทางคณะคิดว่าใครๆก็สามารถเรียนได้อย่างมีคุณภาพ ควรคัดทางวิชาการด้วยไม่ใช่สัมภาษณ์ดูทัศนคติเพียงอย่างเดียว อย่างนี้ใครๆก็เล่นละครได้ ถ้าหากได้พวกที่เรียนไม่จบเปลืองงบประมาณฟรี ดูสภาพแล้วบางคนทำตัวไม่เหมาะสมกับการที่ได้เรียนแพทย์

คนที่เรียนแพทย์ได้ไม่จำเป็นต้องเก่งวิชาการด้วย ต้องมองคนให้เป็นคน โดยส่วนตัว คิดว่าแพทย์ไม่จำเป็นต้องเป็นคนเก่งมากขอให้เป็นคนที่มีทัศนคติที่ดี มีความสามารถในการสื่อสาร เป็นคนดี ก็เพียงพอแล้ว

คนที่จบเป็นแพทย์ได้ต้องผ่านมาตรฐานขั้นต่ำของการสอบของคณะแพทยศาสตร์ และการสอบเพื่อใบประกอบวิชาชีพเวชกรรม ของแพทยสภา ดังนั้นหากสามารถบรรลุวัตถุประสงค์ก็ไม่น่าจะต้องกลัว ตรงกันข้ามเราจะได้แพทย์ที่มีทัศนคติที่ดีและไปปฏิบัติงานในท้องถิ่นหากไม่ตกหล่นไปเสียก่อน



Posted by : กกกก , Date : 2005-08-05 , Time : 17:56:18 , From IP : 172.29.2.79

ความคิดเห็นที่ : 11


   ขอบคุณสำหรับความเป็นห่วงในด้านวิชาการและวิชาชีพ...เป็นอีกความท้าทายหนึ่งที่ผู้ถูกคัดสรรต้องเผชิญหน้ากับการเปลี่ยนแปลงในชีวิตที่เกิดขึ้น....
วิชาการแพทย์เป็นวิชาการที่ต้องใช้ไอคิวค่อนข้างสูง...แต่เราก็ต้องมีทัศนคติหรืออีคิวเพื่อการปฏิบัติงานในชุมชนด้วย....
การผ่านเข้ามาในโครงการเราถือว่าเป็นความโชคดีที่รัฐบาลและกระทรวงสาธารณสุขให้โอกาส...การเปลี่ยนแปลงทุกอย่างยอมมีจุดเริ่มต้นและผลกระทบเสมอ...และทางคณะก็ได้มีการดูแลเราเป็นอย่างดี...คอยติดตามและประเมินอยู่เสมอถึงความสามารถในการปรับตัว...ว่าเราสามารถอยู่ในระบบการเรียนแพทย์ได้หรือไม่.....
การเรียนแพทย์...เมื่อครบตามหลักสูตรแล้ว ผู้เรียนก็ต้องมีการสอบเพื่อให้ได้ใบประกอบวิชาชีพแพทย์...และนั่นคือบทพิสูจน์ความสามารถของการเรียนว่าเราสามารถที่จะจบไปเป็นแพทย์อย่างที่ตัวเองฝันไว้ได้หรือไม่....
30 ชีวิต (20 คนจากม.6 และอีก 10 คนจาก ป.ตรี) เราพยายามที่จะทำให้เป้าหมายของการผลิตแพทย์เพื่อ 3 จังหวัด บรรลุผลตามวัตถุประสงค์ที่วางไว้...ในฐานะที่เป็นรุนแรก...อาจจะต้องมีการปรับตัว....ซึ่งก็เชื่อว่าทางผู้ดูแลโครงการคงได้เตรียมแนวทางการเรียนรู้เพื่อดึงศักยภาพของนักศึกษาไว้แล้ว....
ขอบคุณพี่ ๆ ในคณะทุกรุ่นที่คอยเป็นกำลังใจ ตลอดจนอาจารย์ที่ คอยดูแลและให้แนวคิดตลอดเวลาที่มาเยี่ยมพวกเรา....คิดถึงเพื่อน ๆ ที่หาดใหญ่เสมอ...
และที่ลืมไม่ได้...ขอบคุณอาจารย์ที่มอ.ปัตตานีที่คอยเป็นห่วงและให้กำลังใจกับพวกเราไม่แพ้กับที่หาดใหญ่เลย....
หวังว่า...ผู้ที่ขึ้นชื่อว่านักศึกษาแพทย์ทุกโครงการ...คงมีทัศนคติที่ดีต่อกัน...และพร้อมที่จะกลับไปพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนทั้งทางด้านงานเชิงรุกและเชิงรับ นะครับ....



Posted by : แพทย์เพื่อ 3 จังหวัด , Date : 2005-08-09 , Time : 19:17:45 , From IP : 61.19.25.81

ความคิดเห็นที่ : 12


   ง่า.......มารายงานตัวแร้วค่า ง่าๆ ก้อได้ยินมาแบบนี้จิงๆอ่ะ ก้อคนที่เค้าสัมภาษณ์รอบแรก เปงมารดาของเพื่อนที่โรงเรียน แล้วแบบว่า...เค้าก้อพูดกะเพื่อนว่า จบออกต้องมาทำงานที่สาธารณสุขชุมชน ไม่...ค่อยจาทำงานเหมือนแพทย์เท่าไหร่อ่ะ แง้ๆๆๆๆๆ ได้ยินมาแบบนี้จิงๆ

Posted by : kala_med , Date : 2005-08-09 , Time : 22:34:50 , From IP : 203.113.77.41

ความคิดเห็นที่ : 13


   คุณคิดว่า "ทำงานเหมือนแพทย์" เท่าที่ทราบนี่ เป็นเช่นไรครับ?



Posted by : Phoenix , Date : 2005-08-09 , Time : 23:56:17 , From IP : adsl-203-156-37-125.

ความคิดเห็นที่ : 14


   ง่า....ตอบไม่ได้เรยเรา T_T

Posted by : kala_med , Date : 2005-08-11 , Time : 23:52:34 , From IP : 203.113.77.41

ความคิดเห็นที่ : 15


   น้องอาจจะยังต้องอาศัยข้อมูลที่เป็นข้อเท็จจริงมาตอบข้อสงสัยจากการค้นหาด้วยตนเองก่อนที่จะมาคิดเอง.....การเรียนพทย์ต้องใช้ความกระตือรือร้นให้มาก....การทำงานเกี่ยวกับชีวิตคนต้องอย่าลืมว่า...เราต้องเรียนรู้อยู่ตลอดเวลาเพิ่มค่าให้กับวิชาการความรู้เพื่อผลประโยชน์กับงานและคนไข้...
ขออวยพรให้น้องประสบความสำเร็จและเป็นหมอที่มีความเป็นคนดั่งที่คนไข้ส่วนใหญ่หวังไว้นะ....


Posted by : เพื่อน้องเค้า.... , Date : 2005-08-12 , Time : 12:26:48 , From IP : 61.19.25.81

ความคิดเห็นที่ : 16


   ขอบคุณค่า น้องสัญญาว่าจาเปงหมอที่ดี ให้เหมือนกะพี่ๆหมอทุกๆคนเรย

Posted by : kala_med , Date : 2005-08-12 , Time : 21:00:11 , From IP : 203.113.77.41

ความคิดเห็นที่ : 17


   ไม่ได้มาแสดงความคิดเห็นประเด็นนี้ครับ ไม่รู้จริง ๆ
แต่เห็นมาหลายครั้งแล้วว่ามักจะเขียนคำว่า "เลย" เป็น "เรย" ไม่แน่ใจว่าตั้งใจ เท่ห์ แฟชั่น ไม่รู้จริง ๆ หรือความรู้ภาษไทยของผมมันตกยุคกันแน่ แป้นพิมพ์ ตัว "ร" กับ "ล" ก็ห่างกันไม่น่าพิมพ์ผิดกันบ่อย ๆ นะครับ บังเอิญเห็นมาในหลาย ๆ ที่เลยไม่แน่ใจครับ ผู้รู้ช่วยตอบที


Posted by : Dr.Sid , Date : 2005-08-12 , Time : 21:47:24 , From IP : 172.29.7.37

ความคิดเห็นที่ : 18


   เห็นด้วยกับ Dr.Sid มากๆๆๆเลย ยังมีอีกคำหนึ่งที่เจอบ่อย คือ คำว่า "นู๋ " ตรงนี้เป็นที่ของปัญญาชนทั้งนั้น ไม่น่าจะเป็นต้นเหตุให้ภาษาไทยเสื่อม สงสารครูที่สอนภาษาไทย ตั้งแต่ชั้นประถม มัธยม แต่ลูกศิษย์กลับไม่เห็นความสำคัญ แล้วอีก 5 ปี 10 ปี 20 ปี 100 ปีข้างหน้าภาษไทยจะเป็นอย่างไร



Posted by : deluck , Date : 2005-08-15 , Time : 07:50:17 , From IP : 172.29.7.178

ความคิดเห็นที่ : 19


   เคยสันนิษฐานว่าเป็นการเลียนเสียงเด็กๆ แต่ก็ไม่ใช่ซะทีเดียว

น่าจะเป็นการ "จงใจ" เขียนให้ผิด บางคำต้องจินตนาการหรือพิมพ์เพิ่มซะด้วยซ้ำ เช่น "มรึง กรู" และอื่นๆอีกมากมาย เหตุผลคงจะมีเยอะแต่ยากแก่การวิเคราะห์จริงๆ เพราะคนที่ไม่ใช้ภาษาแบบนี้คงจะยากแก่การทำความเข้าใจว่าทำไมคนใช้ถึงชอบใช้

อาจจะ...

anti-authority นั่นคือฉันทราบว่าที่ถูกเขียนยังไง แต่ฉันก็จะ "จงใจ" เขียนให้ผิด วัยรุ่นทั่วๆไปมี trait นี้ไม่มากก็น้อย ในช่วงค้นหาตนเอง หรือสร้างบุคลิกที่ unique แต่ผมเข้าใจว่าที่สำคัญคือคนยอมรับด้วย แสดงว่าวัยรุ่นยุคนี้เขายอมรับภาษาแบบนี้รึเปล่า ไม่แน่ใจ

regression ศัพท์บางคำเลียนเสียงอ้อแอ้ ไม่ชัดของเด็กทารก อาจจะแสดงออกถึงการไม่ยอมพัฒนาเป็นผู้ใหญ่ลึกๆ หรือเป็นการหย่อนความรู้สึกรับผิดชอบต่อสิ่งที่ได้พูด ได้แสดงออกมา (นี่เด็กอมมือพูดนะ อย่าถืออะไรจริงจัง) ถ้าคนใช้เป็นนักศึกษามหาวิทยาลัย เรื่องนี้ก็คงไม่ใคร่น่าเอ็นดูเท่าไหร่

anti-social trait อาจจะเป็นคำแรงไป แต่ถ้าใครจงใจใช้เพื่อแสดงว่า "ข้าไม่ทำตามสิ่งที่สังคมยอมรับ" ก็คงจะมีเหตุผลนี้แฝงอยู่ลึกๆ เส้นแบ่งระหว่างความเป็นเอกลักษณ์แสวงหาตัวตนที่ต่างจากคนอื่นของวัยรุ่น กับ anti-social ที่เป็นพยาธิผมว่ามัน blurred ลงแยะ ดูจากดารานักร้องที่เด็กนับเป็น role model บางคนที่ set standard ของสิ่งที่ cool หรือ เท่ห์ นั้น บางอย่างก็เป็นการแหกวัฒนธรรมประเพณีไปเลย

เป็นระบบภาษาใหม่ที่ยอมรับกันแล้ว (พวกที่ไม่เห็นด้วยเป็นเต่าล้านปี ไม่ทันสมัย) อันนี้ใส่มาเป็น "ความเป็นไปได้" เฉยๆ แต่ผมยังอยากคิดว่าไม่ใช่อยู่ จนกว่าจะมีคนใช้ชื่อจริงนามสกุลจริงใช้ภาษาแบบนี้ในสาธารณะนั่นแหละที่จะเป็นหลักฐานว่ากำลังมา ถ้ายังหลบๆซ่อนใส่หน้ากากจึงกล้าใช้ภาษาแบบนี้ออกมา แสดงว่ายังไม่มั่นใจว่าคนส่วนใหญ่จะยอมรับแค่ไหน ก็ขอปลอดภัยไว้ก่อน จะว่าไปแล้วคนใช้มันชักเยอะขึ้นๆ เผลอๆอาจจะใช้ในระดับ "พูด" ในกลุ่มเพื่อนฝูงของตัวเองกันเรียบร้อยไปแล้วก็ได้ ยังไม่เคย witness กับตาตนเอง





Posted by : Phoenix , Date : 2005-08-15 , Time : 08:50:26 , From IP : 172.29.3.234

ความคิดเห็นที่ : 20


   เอ่อ.....งง มันเกี่ยวกะบอร์ดเรามั๊ยเนี่ย ?????

Posted by : kala_med , Date : 2005-08-15 , Time : 22:13:12 , From IP : 203.113.77.36

ความคิดเห็นที่ : 21


   คงไม่เกี่ยวกับหัวข้อตั้งต้นกระทู้เท่าไหร่ครับ คุณ Kala_med

เพียงแต่ผมตั้งข้อสังเกตนิดกนึงว่าอาจจะเป็นนี่เป็น characteristic ประการหนึ่งของกระดานแบบเปิด นั่นคือ ความคิด idea หรือสิ่งที่เราสื่อออกไป ในที่สุดก็จะ "ดึงดูด" การตอบสนองออกมาได้ ไม่เพียงแต่ "contents" แต่รวมทั้ง "ลักษณะวิธีการสื่อ" ด้วย

ตัวอย่างมีเยอะแยะครับ ว่าแต่คุณ Kala_med เองมีอะไรจะเพิ่มเติมในหัวข้อประเด็นของคุณอีกไหมครับ?



Posted by : Phoenix , Date : 2005-08-17 , Time : 00:17:28 , From IP : 172.29.7.108

ความคิดเห็นที่ : 22


   อืม..........อยากรู้ว่า ผู้ใหญ่คิดยังไงกับวัยรุ่นจัง บางครั้งเราคิดอย่าง แต่เค้าจะคิดอีกอย่าง งงเหมือนกันว่า ทำไมเค้าคิดแบบนั้น

Posted by : kala_med , Date : 2005-08-22 , Time : 22:29:12 , From IP : 203.113.77.36

ความคิดเห็นที่ : 23


   อย่างนี้แหละครับภาษาไทย เพื่อความเท่ห์หรืออะไรก็แล้วแต่
ไม่ใช่ประเด็นอะไร แต่ก็จงจำไว้ว่าอีกไม่นานภาษาที่ทุกท่านใช้ก็จะติด
อยู่ในหนังสือราชการด้วย ไม่ใช่ว่าจะวิบัติหรอกนะ
แต่กำลังจะหายไป คำบางคำอาจจะหายไปโดยไม่ได้ใช้แล้วก็มีเกลื่อน
ถูกนำมาใช้โดยคำใหม่ที่เป็นภาษาเพี้ยนก็ถมเถไป เค้าเรียกว่าภาษาวัยจ๊าบ
ก็ขออภัยอาจจะไม่ตรงประเด็น


Posted by : joeclub , Date : 2005-09-22 , Time : 14:25:33 , From IP : 192.168.170.84

ความคิดเห็นที่ : 24


   คืออยากถามว่า โครงการนี้ในปี 2550 เวลาที่เริ่มรับสมัคร จะลงประกาศที่เว็บไซต์ของคณะแพทยศาสตร์ของ มอ. หรือเปล่าค่ะ

Posted by : Louisia_Th , Date : 2006-02-15 , Time : 22:51:41 , From IP : 203.113.77.41

ความคิดเห็นที่ : 25


   เท่าที่รู้แพทย์ 3 จังหวัดรุ่น 2 มีเด็กเส้นอยู่คนนึง ผลการเรียนต่ำสุดทุกวิชาเลย แถมทำตัวทุเรศด้วย ชอบไปขลุกอยู่กับพวกเด็กมนุษย์ เด็กศึกษา เพราะเด็กแพทย์คนอื่นๆไม่มีใครคบด้วย รู้สึกตัวเองต้อยต่ำน่ะ เลยต้องไปอยู่กับเด็กคณะอื่นตัวเองจะได้ดูสูงส่งขึ้นมาบ้าง น่าสมเพช เอ๊ย หน้าสงสารจังเลย นี่แหละริอ่านเป็นหัวขโมยผลก็เลยโดนเพื่อนรังเกียจทั้งรุ่นเลย ดูไว้นะน้องนะ แล้วคนพรรค์นี้เหรอจะเป็นหมอได้ ปี 2550 ทางคณะต้องเปลี่ยนเจ้าหน้าที่ด้วยนะ เพราะเป็นคนคัดเลือกญาตตัวเองเข้ามาเรียน ทั้งเล่นเส้น ทั้งใช้อิทธิพล น่าจะไล่ออกทั้งพี่ทั้งน้องเลย ไปๆๆ ชิ้วๆๆๆๆ

Posted by : beauty , E-mail : (s4910310085) ,
Date : 2006-09-17 , Time : 15:10:09 , From IP : 192.168.183.11


ความคิดเห็นที่ : 26


    เย่แพทย์ 3 จังหวัดปี 50 มีการสอบวัดความรู้ด้วย และผู้ที่สอบเข้ามาได้แสดงถึงความมีคุณภาพระดับหนึ่งแล้ว ใครจะมาดูถูกพวกเราก็ไม่กล้ว เราว่าโครงการนี้ดีนะ เพราะใครที่อ่านหนังสือเตรียมพร้อมก่อนจะได้เปรียบ แสดงถึงคนมีความรู้เดิม เพราะช่วงเวลาที่สอบนั้นก็ยังไม่เริ่มอ่านหนังสือเอ็นเลย คนที่ติดถือว่าเก่ง ถึงแม้ว่าเกณฑ์คะแนนจะไม่สูงนัก แต่ก็เชื่อว่าพวกเพื่อนๆต้องพิสูจน์ตนให้ ผู้อื่นได้รับรู้ว่า ไม่ว่าแพทย์ที่ไหนก็มีความสามารถเหมือนกัน แต่จะเก่งน้อยหรือมากขึ้นกับการอ่านเยอะ ขยันหาความรู้หรือป่าว เท่านั้นเอง

Posted by : psu , Date : 2007-01-23 , Time : 13:05:45 , From IP : proxy.pn.psu.ac.th

ความเห็นจาก Social Network : Facebook


สงวนสิทธิ์การแสดงความคิดเห็นสำหรับ สมาชิกเท่านั้น
>>>>> Page loaded: 0.015 seconds. <<<<<