ความคิดเห็นทั้งหมด : 19

ถามหน่อยครับ


   คิดว่าจำเป็นไหมที่คนรักกันต้องอภัยให้กันได้เสมอ?
ถ้าไม่จำเป็นแล้วมีเรื่องอะไรบ้างที่เราจะไม่ยอมอภัยให้คนที่เรารัก
ไม่ว่าเค้าจะขอโทษและสัญญาว่าจะไม่ทำสิ่งๆนั้นอีกเป็นครั้งที่สองก็ตาม


Posted by : ถามหน่อย , Date : 2005-07-13 , Time : 01:32:19 , From IP : 172.29.4.95

ความคิดเห็นที่ : 1


   เคยได้ยินไหมครับว่า love changes everything
love makes you fly and breaks your wings

รักเปลี่ยนได้ทุกอย่างนะครับ เรื่องให้อภัยเรื่องเล็กครับ ถ้ามี...รัก


Posted by : bfy , Date : 2005-07-13 , Time : 01:39:52 , From IP : 172.29.4.61

ความคิดเห็นที่ : 2


   น้อง ๆ ปัตตานี คิดถึงเพื่อน ๆ และพี่ ๆ ที่หาดใหญ่มาก....ฝากกระจายข่าวกันด้วย...ค่ะ....


Posted by : may... , Date : 2005-07-13 , Time : 06:50:07 , From IP : 210.203.186.254

ความคิดเห็นที่ : 3


   ต่อให้ไม่ได้เป็นคนรัก มีอะไรที่เรา "ไม่ควร" ให้อภัยด้วยหรือ?

การให้อภัยเป็นการปลดปล่อย burden ทางใจของผู้ให้อภัย ซึ่งเกิดขึ้นตั้งแต่ตอนที่มีจิตจะให้อภัยหรือยกโทษให้แล้ว ยังไม่ทันที่จะไปบอกกับคนที่เราจะอภัย ความสงบของเราก็บังเกิดขึ้นแล้ว

ตรงกันข้ามการได้รับการให้อภัยนั้นอาจจะช่วยให้เกิดความสำนึกได้ก็จริง แต่ guilt นั้นอาจจะยังคงอยู่เป็นภาระทางจิตต่อๆไปเป็นผลกรรมจากการทำอะไรที่ไม่บริสุทธิ์หรือร้ายต่อคนอื่น

เราควรมองการให้อภัยเป็น incentive ของคนให้ครับ จะเป็นคนที่มี peace of mind ก่อน ปลดตนเองจากปลักแห่งความมืดมน เศร้าหมองได้ก่อน ไม่ว่าคนที่เราให้อภัยนั้นเป็นคนรักของเราหรือเป็นมหาโจรก็ตาม



Posted by : Phoenix , Date : 2005-07-13 , Time : 08:11:24 , From IP : 172.29.3.220

ความคิดเห็นที่ : 4


   เขาถามหน่อยครับ ไม่ได้ถามพวกคุณ

Posted by : Shonigega , Date : 2005-07-13 , Time : 13:51:34 , From IP : pedsurg.med.osaka-u.

ความคิดเห็นที่ : 5


   ooo....ooops.........!!!

ไม่ใช่ "หน่อย"....งั้นก็ ...เอาสักหน่อยแล้วกันนะคะ
เกิดอยากจะออกความเห็นค่ะ

*คิดว่าจำเป็นไหมที่คนรักกันต้องอภัยให้กันได้เสมอ?*

หนูเว้นไว้แค่กรณีเดียวค่ะ ...... "lie"
เพราะหนูจับมันผูกไว้กับ "trust" แปลว่า...ถ้าโกหกแล้วมันไว้ใจกันยากค่ะ ให้อภัยได้มั้ย...ก็...ได้...ค่ะ แต่ไม่เสมอ
คนรักกันแต่ไว้ใจกันไม่ได้...จะเรียกว่า รัก ได้หรือคะ

มีหลายประเด็นแฮะ...all about emotion... *-*"


และไม่ค่อยเห็นด้วยกับ.."love changes everything"
รัก...เปลี่ยนได้...แต่ไม่ทุกอย่าง

เฮ้อ!!!....ไม่ค่อยเข้าใจ.......ความรัก
สงสัยเป็น congenital personality defect....แปลเป็นไทยว่า..โรคไม่น่ารักแต่กำเนิดน่ะค่ะ....
อย่าเอาเรื่องเอาราวอะไรกับหนูเลยนะคะ....อาจารย์





Posted by : Lucifer , Date : 2005-07-13 , Time : 20:38:06 , From IP : 172.29.4.120

ความคิดเห็นที่ : 6


   ผมไม่แน่ใจว่าเราจะประโยชน์อะไรจากการเผื่อ category ที่เราจะ "ไม่" ให้อภัย เอาไว้กันเหนียว หรือกลัวว่าเราจะมีความสุขเกินไป มีความสงบทางใจเกินไปรึเปล่า?

ที่ว่าโกหกนั้นบางทีก็ยากในการ diagnosis ว่าเราถูกโกหกไปแล้วหรือยัง เส้นกั้นขอบเขตมัน blur เช่น ไปดูหนัง War of the World ก็รู้ๆว่ามันไม่จริง ถือเป็นโกหกหรือไม่ หรือเพื่อนพูดออกมารู้ว่าเราคงไม่เชื่อแน่ๆ อย่างนั้นนับว่าเป็นโกหกหรือไม่ ถ้ามันแนบเนียนจนไม่แน่ใจว่าจริงรึเปล่า แล้วเราจะแน่ใจได้อย่างไรว่าเราไม่ได้ "ไม่ให้อภัย" ไปฟรีๆ เพราะมันอาจจะจริงได้พอๆกับไม่จริง



Posted by : Phoenix , Date : 2005-07-13 , Time : 21:06:07 , From IP : 172.29.7.98

ความคิดเห็นที่ : 7


   love changes everything
เหมือนกับ พ่อแม่รักลูกไงครับ
//0_0\
love love


Posted by : //0_0\ , Date : 2005-07-14 , Time : 00:53:51 , From IP : 172.29.4.61

ความคิดเห็นที่ : 8


   น่าสนใจมั้ยคะว่า ....ทำไมเมื่อแรกมนุษย์เกิดมาจึงต้องพัฒนา “ความไว้วางใจ” ก่อนที่จะเติบโตเข้าสู่ขั้นพัฒนาการอื่นๆตามลำดับไป....

แนวคิดเรื่อง Psychosocial developmental stage ของ Erikson ค่ะ (อาจารย์อาจจะคุ้นๆบ้างเพราะหนูก็เคยอ้างมาทีแล้ว) Erikson เชื่อว่าลักษณะสัมพันธภาพที่คนๆหนึ่งสัมพันธ์กับคนอื่นๆ และ psychosocial crises ที่เกิดจากความสัมพันธ์นั้นเป็นจุดเริ่มที่คนจะพัฒนารูปแบบบุคลิกภาพในลักษณะต่างๆ และ .....ตั้งแต่แรกเกิดจนถึง 18 เดือน คือการพัฒนา “ความไว้วางใจ” ความไว้ใจซึ่งเกิดจากการที่ทารกได้รับการตอบสนองความต้องการพื้นฐานทั้งด้านร่างกายและจิตใจ ความพึงพอใจนี้เองที่ทำให้เกิดความรู้สึกวางใจในผู้ตอบสนอง

....หนูว่า...อาจารย์น่าจะเข้าใจถึงความอิ่มเอมจากความไว้วางใจ ในฐานะที่เป็น....ผู้ให้.....
มากกว่าหนูซึ่งจำไม่ได้แล้วว่าความพึงพอใจที่ได้....รับ.....นั้นเป็นอย่างไร

Trust เกิดจากความอิ่ม อุ่น สบาย ในขณะที่ mistrust เกิดจากความ “ขาดแคลน” Erikson เชื่อว่าความอิ่ม อุ่น สบาย ที่มากเกินไปจะพัฒนาไปสู่การ “เชื่อคนง่ายเกินไป” ซึ่ง ในสภาพที่ we are that much more evil than we were 200 years ago มนุษย์คนนี้อาจต้องเจ็บช้ำระกำใจจากการถูกหลอก ถูกทำร้ายอยู่เรื่อย ไม่ค่อยสุขนะคะ....หนูว่า
ส่วนความ “ขาดแคลน” จะทำให้ทารกน้อยๆ เติบโตไปเป็น มนุษย์ขี้วีน ช่างระแวง เข้าพวก pessimist ซึ่งไม่น่าคบสักเท่าไร ก็....ท่าจะไม่ค่อยสุขเหมือนกัน

และเขาเชื่อว่า trust ที่ไม่มากไป และ mistrust ที่ไม่น้อยไปนี้เองที่จะพัฒนา hope….. สิ่งจำเป็นสำหรับการ “มีชีวิตอยู่” ความแข็งแรง ความสามารถในการอยู่รอดอย่างเป็นสุขตามสมควร ที่เกิดจากความสมดุลระหว่างความไว้วางใจและความสงสัยในน้ำใจผู้อื่น ....อัศจรรย์ในความช่างคิดของเจ้าของทฤษฎีนะคะ

แล้วมันเกี่ยวกับเรื่องที่จั่วหัวไว้ยังไง .... ก็....ถ้า...ไม่รักจะทนมั้ยคะ ?
อดตาหลับขับตานอน ตื่นมาเปลี่ยนผ้าอ้อมให้คุณเธอตอนสองยาม ตี 3 ตี 4 ไม่ยอมหลับยอมนอนเกิดหิวก็จะกิน ไม่ค่อยรู้เวล่ำเวลานะคะ....เอาแต่ใจจริง....หรืออาจารย์เห็นว่ายังไงคะ?

หนูก็เลยอนุมานเอาว่า...คนรักกัน...มันก็จำเป็นต้องสร้างความไว้ใจให้ผูกพันกันอย่างนี้ล่ะค่ะ ขนาดรักเค้าข้างเดียว คนถูกรักไม่ได้รู้รักด้วย ก็ยังเพียรสอนให้รู้จักรัก...ด้วยความไว้ใจ
แล้วคนที่ต่างก็รัก จะทำลายรักและไว้ใจด้วยความระแวงทั้งที่รู้อยู่เต็มอกเต็มใจ....หรือคะ

จริงๆแล้วหนูก็....คิดว่าจะเห็นด้วยค่ะ....ว่าไม่ควรจะเผื่อ category ใดๆ ไว้สำหรับการ ไม่ให้อภัย แต่คงไม่ใช่เพราะกลัวว่าชีวิตจะมีความสุขหรือสงบสุขจนเกินไป ที่ไม่ควรจะเผื่อไว้เป็นเพราะ...เรา...คงไม่ได้ประโยชน์อะไรจากการที่ “ไว้ใจ” ใครสักคน....มากเกินไป


Posted by : Lucifer , Date : 2005-07-19 , Time : 01:16:16 , From IP : 172.29.4.113

ความคิดเห็นที่ : 9


   การให้อภัยไม่เกี่ยวกับความไว้ใจหรือไม่ไว้ใจอย่างสิ้นเชิง

เราสามารภและควรให้อภัยต่อโจร ต่อคนเลวได้เพื่อปลดปล่อยความคิดที่ทุกข์ "ของเรา" เองออกในการทำอโหสิกรรม ไม่ได้แปลว่าให้อภัยแล้วจะต้องเชื่ออะไรทุกอย่างของคนๆนั้นในอนาคตที่เหลืออยู่ในชีวิต เรายังคงต้องใช้วินิจวิจารณญาณ ในการเชื่ออะไรต่อมิอะไรจากทั้งคนที่เราไว้ใจและไม่ใว้ใจอยู่ดี (เพราะบางครั้งคนที่เราไว้ใจ ไม่ได้แปลว่าสามารถให้ข้อมูลที่ถูกต้องตลอดเวลาเหมือนกัน)

ดีเกินไป ให้อภัยมากเกินไป มีจริงรึเปล่า?




Posted by : Phoenix , Date : 2005-07-19 , Time : 07:47:53 , From IP : adsl-203-156-38-16.j

ความคิดเห็นที่ : 10


   พระส่งเรามาให้อภัย ด้วยหัวใจอันบริสุทธ์ผ่องใส
พระยอมถูกตรึงกางเนเพื่อไถ่บาปให้มนุษย์
เพราะฉะนั้น พระสอนให้เราให้อภัย


Posted by : spp , Date : 2005-07-19 , Time : 21:25:42 , From IP : 192.168.26.30

ความคิดเห็นที่ : 11


   การให้อภัยไม่เกี่ยวกับความไว้ใจหรือไม่ไว้ใจอย่างสิ้นเชิง

หนูแน่ใจว่า ได้กำหนด condition ไว้อย่างชัดเจนแล้วนะคะ

เราสามารถและควรให้อภัยต่อโจร ต่อคนเลวได้

ก็....ได้ค่ะ โดยเฉพาะหนูไม่ใช่ผู้ถูกกระทำและด้วยอาชีพหนูก็เลือกไม่ได้อยู่แล้ว ว่านี่โจรไม่รักษา หรือไอ้นี่ชั่ว สมควรปล่อยให้ชีวิตหาไม่...จะได้ไม่อยู่ก่อกรรมชั่วให้คนอื่นเดือดร้อนต่อไป แต่หนูไม่แน่ใจว่า....ในกรณีที่เป็นผู้ถูกกระทำเสียเองหนูจะปลดปล่อยburdenทางใจของตัวเองไปได้สักแค่ไหน


ไม่ได้แปลว่าให้อภัยแล้วจะต้องเชื่ออะไรทุกอย่างของคนๆนั้นในอนาคตที่เหลืออยู่ในชีวิต เรายังคงต้องใช้วินิจวิจารณญาณ ในการเชื่ออะไรต่อมิอะไรจากทั้งคนที่เราไว้ใจและไม่ใว้ใจอยู่ดี

ก็...เห็นด้วยค่ะ
และที่หนูบอกว่า "อย่า"....ก็ด้วยเหตุนี้เช่นกัน
เพราะครั้งต่อไป จะ "เชื่อ" ยากขึ้น ใช้วิจารณญาณมากขึ้นในการที่จะ "เชื่อ"
เอาแบบคำเดียวอย่างที่ชอบเลยก็เรียกว่า "ระแวง" ค่ะ (คิดว่าจะแปรผันตรงตามความถี่)
ซึ่งหนูไม่เห็นประโยชน์อะไรจากการ "ระแวง" คนรัก.....คนรักนะคะ ไม่ใช่ โจรผู้ร้ายอะไรที่ไหน ... แต่ถ้าคนรักกลายเป็นโจรเป็นผู้ร้ายไปเสียอีก ก็คงปวดใจพิลึกแหละค่ะ

ไม่ได้แปลว่าสามารถให้ข้อมูลที่ถูกต้องตลอดเวลาเหมือนกัน

กับ ข้อมูลที่จงใจบิดให้ผิดไปจากที่ถูกตลอดเวลา...นี่เหมือนกันมั้ยคะ?

ดีเกินไป ให้อภัยมากเกินไป มีจริงรึเปล่า?
หนูไม่ทราบค่ะ...อาจารย์ทราบแล้วหรือยังคะ?

และ....."ลาวดวงเดือน".....วันนี้ ....หวานแทบขาดใจเลยค่ะ




Posted by : Lucifer , Date : 2005-07-20 , Time : 20:01:17 , From IP : 172.29.4.89

ความคิดเห็นที่ : 12


   ผมยังคิดว่า เรายังมีความต่างในเรื่องของ action การให้อภัย ว่าคืออะไรอยู่

การให้อภัยหรืออโหสิกรรมในความหมายของผมนั้น เป็นการ "ปลดปล่อย" ภาระความรู้สึกโกรธ เกลียด ไม่พึงพอใจ ต่อการกระทำของใครคนใดคนหนึ่ง ซึ่งอาจจะเป็นต่อตัวเราเอง (ที่ถูกกระทำ) หรือที่มีต่อคนอื่น (แต่เรารู้สึกโกรธ เกลียดไปด้วย) เป็นการ "เยียวยา" สภาวะทางอารมณ์ ความคิดของตัวเราเอง

ในทางรัฐศาสตร์ก็มีเหมือนกันแต่อาจจะน้อยกว่าทางปรัชญา หรืออารมณ์ของปัจเจกอยู่บ้าง เพราะกฏหมายบ้านเมือง กฏระเบียบของสถาบันนั้นๆมันเป็นตัวประสานความมั่นคงของชุมชน ของความเป็นระเบียบเรียบร้อย กระนั้นก็ตามกฏหมายกฏมณเฑียรบาลของไทยก็ยังมีการอภัยโทษ การลดโทษ ตามวาระต่างๆ ซึ่งผมคิดว่าเป็น characteristic ของไทยพุทธ ของระบบที่มี optimism ว่าคนเราสามารถกลับเนื้อกลับตัวได้ถ้าสังคมยังให้โอกาสอยู่ เราก็จะมีคนที่มีประโยชน์ต่อแผ่นดินเพิ่มขึ้นจากการอภัยโทษนั้นๆ เมื่อเทียบกับการที่จะ lock up ใครไปจากสังคมตลอดไป (รวมทั้งการประหารชีวิตด้วย)

ประโยชน์ โทษ จากการให้อภัย ไม่ให้อภัย?
ก็คงจะต้องมาวิเคราะหฺพิจารณากระมังว่าถ้าเราจะ "หล่อเลี้ยง" ความโกรธเคียดแค้นไม่ให้อภัยไว้ใต้เบื้องจิตใจเรานั้น อะไรจะเกิดขึ้นบ้าง? มีอะไรที่เป็นบวก เป็นประโยชน์บ้าง? เราจะได้อะไรจากการที่เราสะสม "list" ของคนที่อภัยไม่ได้ไว้ตลอดไป รายการนี้คงจะงอกยาวไปเรื่อยๆใช่หรือไม่ ไม่มีวันสิ้นสุดหรือสั้นลงตราบจนเราสิ้นอายุขัย
...... หรือบางคนอาจจะถือเป็นแรงผลักดันในการดำรงชีวิตไปได้ อยู่โดยความแค้น ความอาฆาต หล่อเลี้ยงความคิดด้วยความเกลียด การแบ่งพรรคแบ่งพวก อย่างที่อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ หรือพอลพตกระทำ (ขออภัยที่ตัวอย่างอาจจะ bias แต่ผมนึกที่คนนำมาใช้ดีกว่านี้ไม่ออก)

ระแวงนั้นคงเป็น pre-condition mood ครับ ตรงกันข้ามกับ "ไว้ใจ" นั่นแหละ ตรงนี้คงจะมีหลากหลาย shade หลายๆความเข้ม คนที่ระแวงไปหมดทุกอย่างก็คงจะไม่มีเพื่อนเลย ในขณะเดียวกันเคยได้ยินวลี (ที่อาจจะ exaggerated


Posted by : Phoenix , Date : 2005-07-20 , Time : 21:11:20 , From IP : adsl-203-156-38-12.j

ความคิดเห็นที่ : 13


   ผมยังคิดว่า เรายังมีความต่างในเรื่องของ action การให้อภัย ว่าคืออะไรอยู่

การให้อภัยหรืออโหสิกรรมในความหมายของผมนั้น เป็นการ "ปลดปล่อย" ภาระความรู้สึกโกรธ เกลียด ไม่พึงพอใจ ต่อการกระทำของใครคนใดคนหนึ่ง ซึ่งอาจจะเป็นต่อตัวเราเอง (ที่ถูกกระทำ) หรือที่มีต่อคนอื่น (แต่เรารู้สึกโกรธ เกลียดไปด้วย) เป็นการ "เยียวยา" สภาวะทางอารมณ์ ความคิดของตัวเราเอง

ในทางรัฐศาสตร์ก็มีเหมือนกันแต่อาจจะน้อยกว่าทางปรัชญา หรืออารมณ์ของปัจเจกอยู่บ้าง เพราะกฏหมายบ้านเมือง กฏระเบียบของสถาบันนั้นๆมันเป็นตัวประสานความมั่นคงของชุมชน ของความเป็นระเบียบเรียบร้อย กระนั้นก็ตามกฏหมายกฏมณเฑียรบาลของไทยก็ยังมีการอภัยโทษ การลดโทษ ตามวาระต่างๆ ซึ่งผมคิดว่าเป็น characteristic ของไทยพุทธ ของระบบที่มี optimism ว่าคนเราสามารถกลับเนื้อกลับตัวได้ถ้าสังคมยังให้โอกาสอยู่ เราก็จะมีคนที่มีประโยชน์ต่อแผ่นดินเพิ่มขึ้นจากการอภัยโทษนั้นๆ เมื่อเทียบกับการที่จะ lock up ใครไปจากสังคมตลอดไป (รวมทั้งการประหารชีวิตด้วย)

ประโยชน์ โทษ จากการให้อภัย ไม่ให้อภัย?
ก็คงจะต้องมาวิเคราะหฺพิจารณากระมังว่าถ้าเราจะ "หล่อเลี้ยง" ความโกรธเคียดแค้นไม่ให้อภัยไว้ใต้เบื้องจิตใจเรานั้น อะไรจะเกิดขึ้นบ้าง? มีอะไรที่เป็นบวก เป็นประโยชน์บ้าง? เราจะได้อะไรจากการที่เราสะสม "list" ของคนที่อภัยไม่ได้ไว้ตลอดไป รายการนี้คงจะงอกยาวไปเรื่อยๆใช่หรือไม่ ไม่มีวันสิ้นสุดหรือสั้นลงตราบจนเราสิ้นอายุขัย
...... หรือบางคนอาจจะถือเป็นแรงผลักดันในการดำรงชีวิตไปได้ อยู่โดยความแค้น ความอาฆาต หล่อเลี้ยงความคิดด้วยความเกลียด การแบ่งพรรคแบ่งพวก อย่างที่อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ หรือพอลพตกระทำ (ขออภัยที่ตัวอย่างอาจจะ bias แต่ผมนึกที่คนนำมาใช้ดีกว่านี้ไม่ออก)

ระแวงนั้นคงเป็น pre-condition mood ครับ ตรงกันข้ามกับ "ไว้ใจ" นั่นแหละ ตรงนี้คงจะมีหลากหลาย shade หลายๆความเข้ม คนที่ระแวงไปหมดทุกอย่างก็คงจะไม่มีเพื่อนเลย ในขณะเดียวกันเคยได้ยินวลี (ที่อาจจะ exaggerated นิดหน่อย) ว่า คนที่ไว้ใจ 100% จะไม่เคยถูกหลอกไปตลอดชีวิต เพราะประสาทส่วนรับรู้ว่าตนเองถูกหลอกหมดไปแล้ว แต่ที่ผมสนใจก็คือที่คุณ lucifer ว่า แต่ถ้าคนรักกลายเป็นโจรเป็นผู้ร้ายไปเสียอีก ก็คงปวดใจพิลึกแหละค่ะ ทำให้เกิดคำถามเล็กๆผุดขึ้นมาในใจผมว่า "อืม... เราควร "คาดหวัง" คนที่เรารู้จัก แวดล้อม คนรัก ลูก ฯลฯ ให้เป็นคนดีระดับใดดี จึงจะไม่ "ปวดใจ".

To Err is human ตามที่มีคนกล่าวไว้ เราไม่ใช่ Divine ที่จะปราศจากความผิด ความบกพร่องทางจริยธรรม ทาง ฯลฯ ถ้าวาง condition (ไม่ว่าชัด ไม่ชัด ขนาดไหน) ไว้สูงมาก จะปรากฏว่าเราต้องแสวงหาแต่อรหันต์มาเป็นเพื่อนกระมังจึงจะไม่ปวดใจ ไม่งั้นแล้วผมว่าความสามารถในการให้อภัยนี่แหละครับที่ทำให้เราคงชีวิตอย่างมีความสุขตามอัตภาพกับปุถุชนคนธรรมดาที่แวดล้อมเราอยู่ ที่ยังไม่ perfect ที่ยังเดินทางอยู่บนถนนหนทางธรรมดา คนที่เคยมีลูกจะทราบดีว่า กระบวนการที่เราค่อยๆสั่งสอนเด็กๆเล็กที่มี Id อยู่อย่างเดียวมาแต่แรกให้เติบโต มี superego ที่แข็งแรง มี social skill ได้นั้น จะต้องผ่านกระบวนการให้อภัยมามากมายกี่ร้อยพันครั้ง จะต้องผ่านความคิดในแง่ดี แง่บวก optimistic มามากมายเพียงไร ที่สอนแล้ว สอนอีก ผิดหวังแล้ว ผิดหวังอีก พ่าอแม่ก็ยังไม่ทอดทิ้งคิดว่าสอนไม่ได้ ไม่เลิกให้อภัยแล้วตั้งต้นกันใหม่ได้เสมอ

จะดีกว่ารึเปล่าก้คงจะแล้วแต่ครับ



PS Thanks for the compliment ครับ


Posted by : Phoenix , Date : 2005-07-20 , Time : 21:20:46 , From IP : adsl-203-156-38-12.j

ความคิดเห็นที่ : 14


   ที่หนูเพียรอภิปรายอยู่นี่ ไม่ได้ต้องการจะหล่อเลี้ยงความอาฆาตแค้นไว้ให้เป็นแรงผลักดันอะไรใครหรอกค่ะ หนูไม่เห็นประโยชน์ของการแบกความโกรธเกลียดแบ่งพวกเขาพวกเราเช่นกัน....มันเหนื่อยค่ะ.....รู้สึกเองก็เหนื่อยเอง....ก็ต้องช่วยตัวเองด้วยการปลดปล่อยภาระนั้นไป.....ก็......ถูกต้องตามlogicใช่มั้ยคะ

แต่หนูสงสัยว่า....จะต้องเป็น...ภาระที่ผู้ถูกกระทำแบกไว้อีกหรือคะ
ก็หนูเสนอว่า อย่า...ไปสร้างภาระให้ใครเค้า จะได้ไม่ต้องมีใครแบกรับผลการกระทำของเราไว้ หรืออาจารย์เห็นประโยชน์อะไรจากการทำร้ายความรู้สึกของใครทั้งตั้งใจและไม่ตั้งใจคะ....ก็ถูกค่ะ...มันช่วยไม่ได้ที่คนถูกกระทำจะรู้สึก....แปลว่าไม่ใช่สิ่งที่เราจะต้องสนใจหรือคะ คนถูกทำก็ช่วยตัวเองไปเรื่อยๆแล้วกัน...หรือคะ?.....น่าสงสารคนถูกทำนะคะ....เฮ้อ....emotion !!!


คนที่ระแวงไปหมดทุกอย่างก็คงจะไม่มีเพื่อนเลย
หนูเกิดจะเห็นใจเจ้ามนุษย์ที่น่าสงสาร ทำไมถึงระแวงอะไรไปหมดทุกอย่างน้า?
ทำไมเค้าถึงไว้ใจใครไม่ได้เลย?ถ้ารู้จักปลดปล่อยภาระทางใจซะบ้าง(ทั้งที่ผ่านprocessอะไรมาบ้างก่อนจะปรากฏเป็นพฤติกรรมที่เราเห็น...ก็ไม่รู้...ก็เห็นๆอยู่ว่าไม่น่าคบ...จะไปถามหาที่ไปที่มาหาอะไร)ก็คงจะมีเพื่อนบ้างนะ

หนูไม่รู้จักอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ หรือพอลพตมากไปกว่า 2 คนนี้ฆ่าผู้บริสุทธิ์เป็นล้าน
หนูคิดว่าคงจะเป็นburdenทางใจที่ผู้สูญเสียจะต้องจัดการความรู้สึกเศร้าเสียใจกันเอาเองเพราะช่วยไม่ได้ที่อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ เกิดจะเกลียดพวกยิวเก่งฉกาจแต่ดันเห็นแก่ตัว ยิวที่น่าสงสารคงถูกฆ่าไปเรื่อยๆ และต้องทำใจไปเรื่อยๆ เพราะทำอะไรมากกว่านั้นไม่ได้ โชคดีหรือโชคร้ายที่ครั้งนั้นผู้นำอเมริกันเกิดจะไม่ทน

และโชคดีหรือโชคร้ายที่ผู้นำอเมริกันออกมากล่าวอ้าง...เอ...หรือโกหก...ชาวโลกว่าผู้นำอิรักกำลังพัฒนาอาวุฒิเคมีชีวภาพที่คุกคามเสถียรภาพของชาวโลกอยู่จำเป็นต้องกำจัดทั้งผู้นำและพรรคพวกให้สิ้นซากเพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชน...มนุษยชาติ?

หนูเข้าใจอะไรผิดไปจากที่อาจารย์เคยเข้าใจหรือเปล่าคะ?

หนูยังชอบ "ลาวดวงเดือน" อยู่ค่ะ....แทบไม่น่าเชื่อว่า....absolutely emotionless...เมื่อเดือนก่อนนี้เอง


Posted by : Lucifer , Date : 2005-07-20 , Time : 22:08:06 , From IP : 172.29.4.89

ความคิดเห็นที่ : 15


   หนูเพิ่งเห็น "PS Thanks for the compliment " ตอน post ไปแล้วนะคะ เดี๋ยวจะสงสัยว่าทำไมปลื้มแล้วปลื้มอีก.........ก็............หนูชอบ.....นี่คะ




Posted by : Lucifer , Date : 2005-07-20 , Time : 22:16:17 , From IP : 172.29.4.89

ความคิดเห็นที่ : 16


   ประเด็นที่ว่าใครควรจะทำอะไรให้คนอื่นมาอโหสิกรรมรึเปล่าเป็นประเด็นใหม่ครับ แถมยังไม่ใช่ subset ด้วย แค่มีส่วน intersection กันเท่านั้นเอง

"กรรม" ที่ก่อให้เกิดเหตุอันควรแห่งอโหสิกรรมนั้น เป็นได้ทั้งตั้งใจและไม่ตั้งใจ ดังนั้นลำพังการควบคุมจิตใจอย่างเดียวจะไม่ครอบคลุมครับ เพราะนั่นจะได้แค่ volitional deed หรือการกระทำโดยเจตนาเท่านั้น concept นี้เห็นได้ชัดเจนจากประเพณีทางพุทธที่จะมีการอโหสิกรรมให้กับผู้ที่กำลังเสียชีวิต ทั้งรู้จัก ไม่รู้จัก เพราะ "วงเวียนวัฏจักร" แห่งกรรมะ นั้นมันซับซ้อนและกระทบต่อเนื่องกันเกินกว่าที่ "ตาเนื้อ" จะสัมผัสได้ แต่ระหว่างมนุษย์ต่อมนุษย์นั้น มีโอกาสที่เราเกิด unvolitional deed ต่อกันและกันได้เสมอ (ตามทฤษฎีลมปีกผีเสื้อและพายุเฮอริเคนนั่นแหละ)

แปลกใจอยู่ครามครันที่มีการเลือกใช้คำ "ภาระ" กับกิจกรรมการให้อภัยหรือให้อโหสิกรรม แต่คงไม่เป็นไรถ้าคำๆนี้รวมถึงการที่เราหายใจ กินข้าว ก็เป็นภาระด้วย แต่เราทำกิจกรรมเหล่านี้เพื่อความบริสุทธิ์ โล่งใจ ของเราเอง พอๆกับที่เราหายใจเข้าไปก็เพื่อหล่อเลี้ยงออกซิเจนให้กับตัวเรานั่นแหละครับ

อโหสิกรรมเปรียบเสมือนลมหายใจบริสุทธิ์ ทำแล้วสมองปรอดโปร่ง สบายใจ เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย (และจิตวิญญาณ) ถ้าอันนี้เป็นภาระก็จัดเป็นภาระที่คนพึงยินดีกระทำ ตรงกันข้ามกับการ hold the grudge การไม่ยอมให้อภัย ไม่ยอมให้อโหสิกรรม เป็นรากแห่งความทุกข์ เป็นอากาศเหม็นไม่บริสุทธิ์ที่บางคน "เลือก" ที่จะสูดดม เพราะเพื่ออะไรมิอาจทราบได้ แต่ที่เห็นๆกันอยู่ทุกวันนี้ก็คือเกิดความปราถนาที่จะทำให้ความเกลียดนี้ผลิดอกออกผลงอกงงามลุกลามแผดเผาคนอื่นให้ทุกข์เหมือนที่ตนเองทุกข์เท่านั้น

ให้อภัยหรือให้อโหสิกรรมนั้นเป็นกิจกรรมที่ทำให้เราเดินไปข้างหน้าตัวเบาลง แบกภาระลดน้อยลง ลดสาเหตุที่ทำให้เราต้องเวียนว่ายตายเกิดทรมานกันต่อไปลง ส่วนใครจะปราถนาจะสานต่อนั้นคงจะเป็นอีกเรื่องหนึง เป็นกรรมเก่าของคนๆนั้น เป็นวิบากที่แต่ละคนจะต้อง "เลือก" ว่าจะสานต่อๆไปดี หรือจะบั่นให้สั้นให้ขาดไป ดั่งคำพังเพยที่ว่า "รักยาวให้บั่น รักสั้นให้ต่อ" นั้นก็คือเรื่องราวทั้งหลายแหล่ที่เราสามารถให้อภัยได้ ให้อโหสิกรรมได้นั้น ก็ควรจะทำเพื่อ "ฆ่าตัดตอน" เชื้อเพลิงที่จะเผ่าผลาญตัวเราและเขาให้หมดไปแต่เนิ่นๆ



Posted by : Phoenix , Date : 2005-07-20 , Time : 23:05:56 , From IP : adsl-203-156-36-163.

ความคิดเห็นที่ : 17


   โธ่...อาจารย์ขา...ใครจะให้อภัยกันได้เรื่อยๆ... มันก็ต้องมี upper limit บ้าง
หนูยังเห็นใจเพื่อนหนูเลยว่า มันคงจะถึงแก่ทะลุเพดานเดือดอยู่บ่อยๆ ก็หนูน่ะเหลือจะทน...หนูก็พยายามจะ...."ไม่".....อยู่ค่ะ บางทีก็ลืม บางทีก็อดไม่ได้ บางทีร้ายๆน่ะ....ก็...ตั้งใจ.....แต่หนูก็พยายามจะไม่สร้างภาระให้เพื่อนผู้ถูกกระทำอยู่ตลอดเวลาของหนูนะคะ ไม่เคยถามสักทีว่า...เซ็งจนกินข้าวไม่ลงน่ะ...เคยหรือยัง
กระเพาะจะได้โล่งๆ ไม่ท้องขึ้นดันยอดอกให้เกิด friend toxic disorder

ตอบคำถามแรก เราควร "คาดหวัง" คนที่เรารู้จัก แวดล้อม คนรัก ลูก ฯลฯ ให้เป็นคนดีระดับใดดี จึงจะไม่ "ปวดใจ" ?
เช่นเคยค่ะ หนูไม่เคย insight อะไรกับ "ดี" เพราะงั้นก็เลยคาดหวังแค่ "ไม่ร้าย"
อย่าขอ clarify นะคะ ไว้ใครสนใจจะเป็นคนรัก(นอกจากที่มีอยู่-และรู้แล้ว)ของหนู...แล้วหนูจะบอก ลูก..ไม่เคยมีค่ะ..จนใจจะบอกว่าควรคาดหวังอย่างไร
ส่วนคนรู้จัก แวดล้อม เค้าก็ดี มี เป็น เท่าที่เค้าเป็น ก็เลยแล้วแต่เค้า แล้วก็หวังว่าเค้าจะแล้วแต่หนูบ้าง เท่านี้เองค่ะ หนูติดอาจารย์เรื่อง "เส้นแบ่งระหว่างเขาและเรา" อยู่ ก็...ติดไว้ก่อนนะคะ

ทฤษฎีลมปีกผีเสื้อและพายุเฮอริเคน -_-"
ไม่เคยได้ยินค่ะ มี original tongue มั้ยคะ จะขอ consult คุณ Google


เป็นอากาศเหม็นไม่บริสุทธิ์ที่บางคน "เลือก" ที่จะสูดดม เพราะเพื่ออะไรมิอาจทราบได้

เคยมีใครบ่นให้อาจารย์ฟังมั้ยคะ...ว่ากลิ่นตัวหนูไม่ค่อยดี

;O ZZZ !!!




Posted by : Lucifer , Date : 2005-07-21 , Time : 00:13:10 , From IP : 172.29.4.89

ความคิดเห็นที่ : 18


   คำถามที่ตามมาคงจะเป็นถ้า "ให้อภัยไม่ได้" แล้วเราจะเกิดความสมหวัง สะใจ หรืออารมณ์อะไรต่อๆมา?

Upper limit ของอะไร? ของ sanity ที่ยอมเปลี่ยนไปเป็น insanity?

ถ้าเราจะ fix ประเด็น (ไม่ใช่ดิ้นออกไปหลากหลายเรื่อยๆ) การที่เราอยากให้คนอื่น "ยอม" ให่เราเป็นอย่างที่เป็น นั่นจะคล้ายการให้อภัยหรือไม่? ถ้าใช่ เมื่อเราเสาะแสวงหาการให้อภัยการยอมรับจากคนอื่น ทำไมเราตั้งเงื่อนไขว่าจะ "ไม่" ให้อภัยแก่คนอื่น?

บางครั้งคนเรามีการใช้ defence mecahnism หลายอย่างเพื่อหลีกเลี่ยงการ "เผชิญหน้า" กับอารมณ์ที่แท้จริง หลีกเลี่ยงการสำรวจและค้นพบว่าเรามีเหตุผลมากน้อยแค่ไหน หลีกเลี่ยงการยอมรับว่าทุกข์เกิดจากการสร้างทำคิดด้วยตนเองนี่แหละ

คนที่ไม่ยอมให้อภัยนั้นไม่มีวันมีความสุข จะมีความ "สาใจ" เล็กๆก็คือการ inflict ให้คนอื่นเกิด pain เท่าเทียมกับที่ตนเองทุกข์ (หรือยิ่งมากกว่า) จะได้เกิดความเปรียบเทียบแล้ว OK ว่าเราไม่ได้ทุกข์มันอยู่คนเดียว เธอทำฉันทุกข์ได้ นก็ทำให้เธอหรือคนอื่นๆทุกข์ได้

บนกระดานแห่งนี้มีหลายครั้งที่ผมเคยเห็นคนใช้วิธีประกาศว่าตนเองไม่ดี ตนเองเลว ตนเองขาดยังงั้นถูกเบียดเบียนอย่างนี้ และเพราะอย่างนั้นจึงสามารถใช้ฃีวิตที่เกิดทุกข์ต่อไปจากความไม่สมบูรณ์ที่อ้างขึ้นมา ซึ่งเป็นที่น่าเสียดายแทนที่จะเป็นเหตุผลว่าถ้ารู้อย่างนั้นเราก็น่าหาทางดับทุกข์ของตนเอง แทนที่จะไปทำให้คนอื่นทุกข์เหมือนเรา อาฆาตแค้นไม่ให้อภัยนั้นที่สุดมันก็ต้องเสาะหาหนทาง "ชำระ" ซึ่งถ้าไม่ใช้การอโหสิกรรม ก็จะกลายเป็นก่อกรรมให้ทัดเทียมกัน หรือไม่ก็ทุกข์อย่างนั้นไปคนเดียวเรื่อยๆตลอดกาลนาน

ถามว่าใครจะไปให้อภัยได้เรื่อยๆ คงจะไม่ต้อง absolute ครับ แค่มีความเชื่อก่อนว่าให้อภัยแล้วดีก็เปนจุดเริ่มต้นที่ดี อย่างน้อยดีกว่า "เริ่ม" ด้วยคิดว่ามีอะไรที่ "ต้องไม่" ให้อภัยแน่ๆ ทั้งสองอย่างเป็นเมล็ดที่งอกงามออกมาเป็นผลไม้ต่างรส ต่างกลิ่นกัน ที่เราพนยายามชำระจิตใจของเรา ไม่ใช่หวังผลปลายคือสวรรค์หรือไกรลาศหรือ vahalla แต่เป็นจิตที่สงบ ณ here and now ก็น่าจะพอ



Posted by : Phoenix , Date : 2005-07-21 , Time : 02:49:36 , From IP : adsl-203-156-36-163.

ความคิดเห็นที่ : 19


   การที่เราอยากให้คนอื่น "ยอม" ให้เราเป็นอย่างที่เป็น นั่นจะคล้ายการให้อภัยหรือไม่?

คิดว่า...ไม่คล้ายค่ะ...คนละเรื่องกัน

ถ้าใช่ เมื่อเราเสาะแสวงหาการให้อภัยการยอมรับจากคนอื่น ทำไมเราตั้งเงื่อนไขว่าจะ "ไม่" ให้อภัยแก่คนอื่น?
นั่นสินะคะ...ทำไม? เมื่อต้องการจิตที่สงบ ณ here and now แล้วหนูจะถามตัวเองใหม่ค่ะ...



ตกลงเจ้าของกระทู้ได้คำตอบหรือยังคะ
หนูเริ่มสว่าง...กระจ่าง...น่าจะ....ดีแล้ว

หนูจะ by the way กับอาจารย์ Phoenix เสียที เดี๋ยวจะว่าหนูดิ้นอีก
แต่ใครใคร่ discuss ต่อ ก็เชิญนะคะ


Posted by : Lucifer , Date : 2005-07-21 , Time : 19:25:27 , From IP : 172.29.4.89

ความเห็นจาก Social Network : Facebook


สงวนสิทธิ์การแสดงความคิดเห็นสำหรับ สมาชิกเท่านั้น
>>>>> Page loaded: 0.009 seconds. <<<<<