จุดจบของทักษิณ
เป็นที่รู้กันว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ใช้การตลาดเป็นแนวทางในการบริหารประเทศ
ทุกครั้งที่กระแสความนิยมในตัวพ.ต.ท.ทักษิณ เริ่มอยู่ในแนวโน้ม "ขาลง" กลยุทธ์ต่างๆของรัฐบาลจะถูกงัดออกมาใช้ เพื่อดึงความนิยมในตัวพ.ต.ท.ทักษิณให้ฟื้นกลับคืนมา โดยการพยายามสร้างความเชื่อใหม่เพื่อเบี่ยงเบนกระแสสังคม เช่น เรื่องตัวละคร 3 กลุ่ม ที่พ.ต.ท.ทักษิณยกมาอ้างก่อนหน้านี้ เพื่อโน้มน้าวสังคมให้เห็นว่า กระแสที่รุกเร้ารัฐบาลอยู่นั้นเป็นเรื่องไม่ปกติ และกลยุทธ์ทางการตลาดของรัฐบาลก็ใช้ได้ผลเกือบทุกครั้ง
เหมือนกับสินค้าที่เมื่อความนิยมเสื่อมถอยลง นักการตลาดต้องแยกแยะว่า เหตุใดตลาดจึงไม่นิยมสินค้านั้น และต้องวางแผนการตลาดเพื่อเปลี่ยนแปลงความเชื่อ หรือทัศนคติของคน โดยอาศัยวิธีทางการตลาด ปรับเปลี่ยนรูปแบบสินค้า หรือใช้มาตรการส่งเสริมการตลาด รวมทั้งการอัดฉีดโปรโมชั่นใหม่ออกมา
พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ใช่นักการเมืองที่เติบโตมากับการสร้างบารมีในระบบอุปถัมภ์ เขาเป็นนายตำรวจที่ใกล้ชิดผู้มีอำนาจ นักการเมือง เป็นพ่อค้าที่ประสบความสำเร็จ รู้เส้นสนกลในของระบบราชการในการวิ่งเต้นเพื่อหาประโยชน์จากอำนาจและรับสัมปทานมาก่อน จุดนี้ทำให้เขารู้ความต้องการของระบบราชการ ขณะเดียวกัน เขารู้ว่าสินค้าที่เขาขายอยู่จะต้องรักษาระดับความเชื่อมั่นต่อผู้บริโภคอย่างไรจึงจะยืนหยัดอยู่ได้ แนวทางนี้ถูกนำมาใช้บริหารตัวเองในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเช่นเดียวกัน
พ.ต.ท.ทักษิณ นำเอาความสำเร็จจากการเป็นพ่อค้าเพื่อเข้าไปสู่เส้นทางอำนาจที่เขามองเห็นผลประโยชน์ทั้งในระหว่างรับราชการและเป็นพ่อค้าที่ต้องวิ่งเข้าไปกราบกรานนักการเมือง และใช้การตลาดสร้างโมเดลของคนรุ่นใหม่ที่มีวิสัยทัศน์และประสบความสำเร็จขึ้นมา พ.ต.ท.ทักษิณ ใช้คนกลุ่มหนึ่งที่เคยคลุกคลีกับคนระดับรากหญ้ามาเป็นฐานในการป้อนข้อมูลและสร้างฝันให้คนเหล่านั้น เขาเชื่อว่าสิ่งที่ประชาชนต้องการคือ เงินทุนแบบกองทุนหมู่บ้าน แหล่งเงินกู้เพื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียน
บวกกับหลายปีที่ผ่านมาประชาชนต้องการนายกรัฐมนตรีที่มีวิสัยทัศน์ กล้าตัดสินใจ เบื่อหน่ายบุคลิกแบบเชื่องช้า และยึดมั่นกับกติกาจนเกินไปจนกลายเป็นอุปสรรคในการพัฒนาประเทศ ไม่ผิดหรอกครับที่สังคมไทยจะโหยหาคนอย่างทักษิณ นักธุรกิจที่มีวิสัยทัศน์และประสบความสำเร็จเพียงพลิกฝ่ามือ ยิ่งได้มาตรการทางการตลาดเข้ามาเสริมภาพลักษณ์ด้วยแล้ว พ.ต.ท.ทักษิณก็ยิ่งโดดเด่นมากยิ่งขึ้น
แนวทางการตลาดที่ใช้กระตุ้นสินค้าเพื่อรักษาระดับความน่าเชื่อถือ ซึ่งหมายถึงตัวพ.ต.ท.ทักษิณนี้ ดูจะใช้ได้ดีใน 4 ปีที่ผ่านมา แต่กลับตรงกันข้ามกับยุคสมัยของพ.ต.ท.ทักษิณในปัจจุบัน ทั้งนี้เพราะประชาชนส่วนหนึ่งเริ่มขาดความเชื่อมั่นในตัว พ.ต.ท.ทักษิณนั่นเอง
ประชาชนเริ่มขาดความเชื่อมั่น เพราะรู้ถึงคุณภาพที่แท้จริงของสินค้า ผลผลิตหลายอย่างที่รัฐบาลไทยรักไทยได้ทำไว้ใน 4 ปีที่แล้วเริ่มสุกงอม และผลสะท้อนหลายอย่างไม่เป็นไปตามที่รัฐบาลชุดนี้ได้หาเสียงเอาไว้ การทุจริตคอร์รัปชันกลับอื้อฉาวยิ่งกว่าเก่า ซ้ำร้ายขบวนการเหล่านี้ดูจะได้รับการปกป้องจากนายกรัฐมนตรีด้วยซ้ำ ผลประโยชน์ถูกแบ่งปันกันอยู่ในกลุ่มก๊วน และอำนาจรัฐถูกนำมาใช้ในการไล่ล่าฝ่ายตรงข้าม สิ่งที่ประชาชนระดับรากหญ้าได้รับแท้จริงแล้วเป็นเพียงเศษเสี้ยวกับผลประโยชน์ที่กลุ่มทุนในรัฐบาลได้รับ
เหมือนที่หลวงตามหาบัว เทศนาว่า รัฐบาลตั้งกฎนั้นตั้งกฎนี้ และตั้งข้อบังคับเพื่อจะกว้านเข้ามาหาตัวเอง
ความนิยมในตัวของพ.ต.ท.ทักษิณ กำลังก้าวสู่ภาวะถดถอย ที่นักการตลาดเรียกว่า อุปสงค์ถดถอย (Falling Demand)นั่นคือ ความต้องการในสินค้านั้นลดลง เหมือนกับพ.ต.ท.ทักษิณในขณะนี้ และจะพัฒนาไปสู่อุปสงค์เป็นลบ (Negative Demand)ซึ่งจะได้รับการปฏิเสธจากประชาชนในที่สุด
ผมคิดว่าตอนนี้นักการตลาดรายล้อม พ.ต.ท.ทักษิณ คงรู้ถึงสัญญาณอันนี้ดีว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ใช่สินค้าที่จะขายได้อีกต่อไป เพียงแต่ทำอย่างไรจะรักษาตลาดเอาไว้ให้ได้เท่านั้น และคงต้องปรับปรุงคุณภาพสินค้าและทำโปรโมชั่นใหม่ๆออกมาในที่สุด ความพยายามแสวงหาคนนอกมานั่งในตำแหน่งรัฐมนตรีเพื่อเป็นตัวเสริมจะถูกนำมาใช้ในการปรับครม.ครั้งนี้ แต่สุดท้ายก็คงไปไม่รอดอยู่ดี
ปัญหาสำคัญที่สินค้าไม่สามารถยืนอยู่ในตลาดได้ในระยะยาวก็น่าจะมาจากคุณภาพของสินค้า การตลาดอาจช่วยกระตุ้นได้ในระยะหนึ่งแต่ไม่ใช่ตลอดไป เดี๋ยวนี้พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ใช่คนเก่าที่พูดอะไรคนก็เชื่อ เริ่มจากพูดแล้วเอามาคิด จนกระทั่งส่ายหน้าไม่เชื่อถือ โดยเฉพาะเรื่องทุจริตคอร์รัปชันและผลประโยชน์ทับซ้อน
เหมือนกับบะหมี่สำเร็จรูปโฟร์-มีของเครือแกรมมี่ แม้จะใช้ซูเปอร์สตาร์ระดับชาติอย่างเบิร์ด ธงไชย แมคอินไตย์ ก็ยังไปไม่รอด เพราะสินค้าไม่ดีจริง ทุกวันนี้คนส่วนใหญ่รู้แล้วว่า ธาตุแท้ของพ.ต.ท.ทักษิณ เป็นเช่นไร การยืนอยู่บนตำแหน่งนายกรัฐมนตรีมีผลประโยชน์ที่ทับซ้อนแก่ธุรกิจในครอบครัวหรือไม่ เส้นทางของพ.ต.ท.ทักษิณก็คงไม่แตกต่างกับบะหมี่โฟร์-มีในที่สุด
มนต์ขลังของพ.ต.ท.ทักษิณกำลังเสื่อมถอย เพราะพ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ได้แตกต่างจากนักการเมืองและผู้มีอำนาจคนอื่น ทั้งนี้มาจากทั้งตัวพ.ต.ท.ทักษิณเองและคนรอบข้าง เพราะอย่างไรเสียสังคมไทยก็ยังเป็นสังคมที่ยึดมั่นในเรื่องบุญทำกรรมแต่ง การรู้จักความพอดี เผื่อแผ่ และไม่ละโมบ รวมทั้งความผยองและกร่างของบรรดาองครักษ์ที่พ.ต.ท.ทักษิณป้อนข้าวป้อนหญ้าเอาไว้ ที่วันหนึ่งสังคมไทยต้องคิดบัญชีกับคนเหล่านี้ด้วย
ผมเชื่อว่า พ.ต.ท.ทักษิณและทีมงานการตลาดคงรู้อยู่แล้วว่า สถานะของพ.ต.ท.ทักษิณวันนี้เป็นอย่างไร แม้ว่าคนอีกส่วนหนึ่งจะยึดมั่นอยู่กับนิยามที่ว่า "โกงไม่เป็นไร แต่ให้ทำงานได้ก็พอ" นั่นเพราะคนบางคนยังคงยึดติดกับผลประโยชน์ที่ติดมากับโปรโมชันสินค้าที่ชื่อทักษิณ ชินวัตร แต่ผมคิดว่าวันนี้ คนส่วนใหญ่กำลังเริ่มฉุกคิด และคนส่วนหนึ่งได้ปฏิเสธสินค้าชิ้นนี้ไปแล้ว
การออกมาแสดงบทบาทท้าทายต่อคนที่วิพากษ์วิจารณ์รัฐบาล การแสดงท่าทีที่คุกคามสื่อมวลชน ล้วนแล้วแต่เป็นวงจรเก่าของคนที่กำลังเสื่อมอำนาจ จุดจบแบบนี้มีบทสุดท้ายให้เห็นแล้วมากมายไม่ว่าจะเป็น พล.อ.สุจินดา คราประยูร เฟอร์ดินันด์ มาร์กอส หรือซูฮาร์โต ฯลฯ
เชื่อเถอะว่า นี่เป็นกฎแห่งกรรม พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ก็คงมีจุดจบที่ไม่แตกต่างจากคนเหล่านี้เท่าไหร่นัก
http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9480000090738Comment
Posted by : บ้าน เมือง , Date : 2005-07-09 , Time : 02:41:24 , From IP : ev1s-216-127-82-97.e
|