ความคิดเห็นทั้งหมด : 11

Debate XXIII: CONSTRUCTIVE CRITICISM


   จากหลายๆกระทู้ที่ผ่านมาผมว่ามี communication skill สาขาหนึ่งที่พวกเราควรจะต้องเรียนในทางปฏิบัติให้ได้เพื่อประโยชน์ต่อวิชาชีพและส่วนรวมต่อไป นั่นคือ Constructive Criticism

ทำไมต้องมี criticism?"
สังคมที่ไม่มี criticism เลยนั้นคงจะได้แก่ dictatorship (ประชาธิปไตยก็สามารถถูกแฝงด้วย dictatiorship ได้ หากสื่อสารมวลชนถูกซื้อหรืออุดปาก) หนทางความก้าวหน้าของประเทศขึ้นอยู่กับบุคคลกลุ่มเดียวหรือคนเดียว ในอดีตที่โชติช่วงชัชวาลเห็นจะมี Julius Caesar อยู่คนเดียว (ตะแกถูก undone เมื่อทำเละ "เพื่อนๆ"เลยรุมแทงซะตาย รวมทั้งเพื่อนสนิทบรูตัส ที่แกถึงกับอุทาน "Et tu Brute?" นั่น เอ็งด้วยหรือวะเนี่ย?") คนอื่นไม่ว่าจะเป็นซัดดัม มุสโสลินี คาลิกูลา ฮิตเลอร์ ไปไม่ถึงดวงดาวล่มปากอ่าวบ้าง ออกจากอ่าวไปได้หน่อยนึงบ้าง เป็นเพราะธรรมชาติของคนนั้น "ไม่สมบูรณ์" และอ่อนแอต่อสิ่งยั่วเย้าต่างๆซึ่งมีมากมาย และเวลาที่ต้อง "ดูแลทุกข์สุข" ของประชาชนนั้น สุขของหลายๆคน (หรือส่วนใหญ่) ก็คือกิเลสธรรมดาๆนี่เอง คนดูแลก็เลยพลาดหลงตามไปด้วยในที่สุด แต่ด่าอย่างเดียวก็เห็นจะไม่ได้ผล เพราะใครไก้ไม่ชอบถูกด่า แต่ละคนมี SELF VALUE ของตนเองอยู่ การตำหนิติเตียน เรากำลัง remind เขาว่าเขาไม่ได้ดีอย่างที่คิดไว้ซักกะหน่อย ก็โกรธซิครับ

Constructive Criticism
ฟังดู contradict ใช่ไหมครับ พึ่งบอกไปแหม็บๆว่าด่าตำหนิแล้วจะเสีย self อันนี้จะเป็นคำถามที่ผมจะโยนให้กระดานขบและคายกลับก็แล้วกันว่า
- constructive criticism มีหรือไม่?
- ถ้ามี คืออะไร?
- ทำแล้วดียังงัย?
- แล้วทำยังไง? ยากมั้ย?
- คุ้มมั้ยที่จะทำ รู้ได้ยังงัยว่าคุ้ม?

กติกาเดิมครับ be nice, be civilized (and be constructive!!!!!)



Posted by : Phoenix , Date : 2003-05-25 , Time : 13:16:03 , From IP : 172.29.3.212

ความคิดเห็นที่ : 1


   เออ.....รบกวนแปลไทยนิดนึงได้ไหมครับ....ว่าแปลว่าอะไร ตอนนี้ผมไม่มี Dictionary เปิดดูนะครับ....:D...:D



Posted by : Death , Date : 2003-05-25 , Time : 19:43:03 , From IP : 172.29.3.123

ความคิดเห็นที่ : 2


   Constructive Criticism = การวิพากษ์วิจารณ์ข้อผิดพลาดอย่างสร้างสรรค์



Posted by : Phoenix , Date : 2003-05-25 , Time : 20:33:44 , From IP : 172.29.3.217

ความคิดเห็นที่ : 3


   อืมมม.....ขอบคุณครับ...เดี๋ยวผมไปทำ powerpoint ก่อนนะครับ...จะ present พรุ่งนี้แล้ว......ขอผมลองนั่งคิดดูก่อน...เดี๋ยวดึกๆกลับมาใหม่ครับ...:D..:D



Posted by : Death , Date : 2003-05-25 , Time : 23:48:16 , From IP : 172.29.3.227

ความคิดเห็นที่ : 4


   อืม....weekend ผ่านไป

ผมเริ่มเลยก็แล้วกัน ก่อนจะกินกาแฟแล้วเริ่มงานที่เขาจ้างมาจริงๆซะที

เราเห็นเรื่องที่สามารถปรับปรุงได้ ไม่ว่าจะเป็นดีอยู่แล้วทำให้มันดียิ่งขึ้น หรือเฉยๆทำให้มันดี หรือไม่ดีจะแก้ไข เราก็จะเกิดกระบวนการ "criticism" ขึ้นมาในใจ ถ้าเราเป็นคนรับผิดชอบงานนั้นก็หมดปัญหาไป ก็ลงมือทำเอง แต่ถ้าคนอื่นเป็นคนรับผิดชอบในผลงานที่เราเห็นว่าต้องปรับปรุงแล้วละก็ constrictive criticism จะเข้ามามีบทบาท

เห็นๆกันอยู่บนกระดานแห่งนี้ extern (บางคน) อาจจะยังต้องปรับปรุงตัวบางด้าน หลักสูตรที่เรียนกันอยู่ยังมีช่องโหว่หรือไม่สมบูรณ์ ระบบการรับน้องเป็นที่ยอมรับบ้างไม่ยอมรับบ้าง กระจายไปถึงหลักจริยธรรมโน่นก็ยังได้ ทีนี้จะพูดอย่างไรจึงเป็น constructive ซึ่งตรงกันข้ามกับ destructive

หลายๆครั้งที่คนเรา "ยึดมั่น" กับผลงานของเราว่านั่นคือ "คุณค่า" ของตัวเรา ฉะนั้นไม่แปลกที่ผลงานเราถูกโจมตีเราก็จะกระทบกระเทือนโดยตรง (ไม่ต้องพูดถึงการที่มีบางคน interpret "ค่า" ให้เรียบร้อยเช่นด่าว่าทำยังงี้มันขี้เกียจ ทำยังงี้มันเลว ทำยังงี้มันโง่บรมโง่ ฯลฯ) แทนที่จะยอมรับข้อตำหนิติเตียนพาล denial และกระแทกกลับซะเลย

หากเราต้องการหวังผลลัพท์ เราต้องศึกษาพฤติกรรมมนุษย์และอะไรที่จะมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมมนุษย์

ผมเคยกล่าวไว้หลายครั้งแล้วว่านักเรียนชอบวิธีเรียนที่แตกต่างกันออกไป เป็นหน้าที่ของครูที่ต้องมี tricks ใน sleeves หลายๆมุขหน่อย จะได้ rescue เด็กได้มากขึ้น คนที่ทำอะไรไปไม่เคนตรวจสอบผลลัพท์นั้นไม่มีความรับผิดชอบต่อหน้าที่ของตนเอง จากความรู้เบื้องต้นที่ว่าวิธีการรับรู้ของนักเรียนมีหลายวิธี ก็ยังดันทุรังใช้มันอยู่วิธีเดียวนั่นแหละ หรือบางครั้งยิ่งร้ายเข้ามาสอน ไม่เคยดูหน้าตาลูกศิษย์ สอนปาวๆเสร็จสะบัดตูดออกจากห้อง อิ่มเอมเปรมใจว่าฉันสอนเสร็จแล้ว วันนี้ฉันทำหน้าที่สมบูรณ์แบบ ทั้งๆที่ลูกศิษย์กว่าครึ่งห้องอ้าปากค้าง แมลงวันบินเข้าออกก็หารู้สำนึกไม่

การจะหลบเลี่ยงและเสริมสร้างข้อคิดเห็นที่สร้างสรรค์ของเราให้กำเนิดเกิดแก่คนอื่นโดยที่เขาไม่สูญเสีย self value นั้นทำได้อย่างไร?



Posted by : Phoenix , Date : 2003-05-25 , Time : 23:57:58 , From IP : 172.29.3.203

ความคิดเห็นที่ : 5


   คล้ายๆกับกรณีที่เด็กจะแนะนำคนแก่หรือผู้อาวุโสกว่าด้วยใช่มั้ยครับ เพราะผู้ที่อาวุโสกว่าเรานั้น มักจะมีความรู้สึก self value มากต่อเด็ก

เรื่องอย่างนี้ให้คิดเองคงลำบาก คงต้องอาศัยประสบการณ์และการเรียนรู้จากผู้อื่น

วิธีที่ดีที่คิดว่าทำได้ง่ายที่สุดน่าจะเป็นการ "กระตุ้น"โดยใช้คำพูดให้เขารู้ตัวขึ้นเอง ตระหนักได้เอง โดยไม่ได้เห็นว่าเป็นการ"สอน"หรือ"ติ"อย่างตรงๆ และเกิดพร้อมกับเจตนาที่ดี

weekend ผ่านไปเร็วมากครับ แป๊บเดียวน้องๆจะเปิดเทอมกันหมดแล้ว
พูดถึงนักเรียนและครูก็นึกได้ เมื่อวานทางโรงเรียนของน้องสาวผมได้มีการประชุมผู้ปกครอง ก็ไม่ใช่ประชุมอะไรหรอก เป็นการอธิบายให้ผู้ปกครองฟังถึงระบบการเรียนหลักสูตรใหม่ของเด็ก ไม่ทราบว่าแถวนี้มีผู้ปกครองนักเรียนประถมหรือมัธยมบ้างหรือเปล่า ใครพอจะรู้เรื่องราวบ้าง
เห็นเขาว่าจะให้เด็กเรียนเองทางอินเตอร์เน็ตล่ะ โรงเรียนจะใส่เนื้อหาลงไปให้ ครูมีหน้าที่สอนเด็กคร่าวๆให้รู้ถึงจุดประสงค์การเรียน (เหมือนระบบ PBL ของเรามั้ยเนี่ย) เด็กไม่จำเป็นต้องไปโรงเรียนก็ได้

ไม่รู้ว่าข้อมูลถูกต้องหรือไม่ แต่ถ้าเป็นอย่างที่เขียนมา ผมว่ามันคงเหลวแน่ๆเลย คิดเห็นว่าอย่างไรบ้างครับ


Posted by : ArLim , Date : 2003-05-26 , Time : 03:27:08 , From IP : maliwan.psu.ac.th

ความคิดเห็นที่ : 6


   อือ...ผมคิดว่าค่อนข้างจะยากในหลายๆประเด็นเลยหละครับ....อย่างนึงก็คือสิ่งที่เรียกว่า"คน" นั้นหละครับ....ไม่ค่อยมีหรือไม่มีเลยมากกว่า"คน"ที่จะยอมรับการวิพาก์วิจารณ์จาก"คน"อื่นๆ.....ส่วนใหญ่คิดว่าตัวเองแน่และไม่ค่อยยอมฟังคนอื่นหรอกครับ...โดยเฉพาะพวกการศึกษาสูงๆ....ยิ่งรู้มากยิ่งแน่มาก...ใครจะว่าไงข้าไม่สน....เรื่องของข้า......นั้นประเด็นแรก.......อีกประเด็นที่ต้องคิดก็คือ.....เราจะแน่ใจได้ไงว่าสิ่งที่เราคิดว่าดีที่จะแนะนำ"คน"อื่นๆเนี่ยมันดีจริง....แน่ใจเหรอว่าตัวเราไม่ใช้ไอ้พวกข้าก็แน่เหมือนกัน....ถ้าไปแนะนำแล้วโดนสวนกลับมาว่าที่เราคิด....ก็ไม่เข้าท่าเหมือนกัน....จะยอมรับได้หรือเปล่า?.....คล้ายๆไอ้พวกสมองฝ่อที่เห็นตามที่ประชุมหลายๆที่....ดีแต่ติ...ดีแต่เถียง.....พอถามว่ามีอะไรแนะนำไหม....มีอะไรดีกว่านี้เสนอไหม?....ก็นั่งใบ้กิน....และก็เถียงเหน็บแนมไปอีกว่า....ไม่รู้หละ...ไอ้ที่มีอยู่มันไม่ดีหรอก....ไม่รู้ว่าอะไรจะดีกว่าเหมือนกัน(อ้าว.ไปโน่นอีก).....คนบางคนมันก็เป็นแบบนี้....ชอบคิดว่าข้าก็แน่....แต่ไม่แน่มากนัก....แต่ไม่ค่อยชอบใจเลย...เวลาเห็นใครแน่กว่า....ต้องติสักนิด....ให้ดูว่าข้าก็แน่เหมือนกัน...:D...:D.......ผมว่าอันหลังเนี่ยประเด็นใหญ่กว่ากันเลยนะ......แต่อย่างนึงที่ผมรู้ดีก็คือ.....ถ้าไม่มีอำนาจเนี่ย.....ไอ้การไปวิพาก์วิจารณ์แทบไม่มีความหมายหรอก......ใครไม่รู้เคยบอกผมว่า...."คำพูดที่ออกมาจากปากคนที่ไร้ซึ่งอำนาจที่จะแสดงออกให้คนอื่นรับรู้แล้วเนี่ย.....ก็เหมือนไม่ได้พูดนั้นหละ".....ผมชอบมากเลยนะ.....คล้ายๆกับ.....นักเรียนทำผิด....ครูด่าได้.....แต่พอครูทำผิด....โอ้..พระเจ้า......ใครบ้างนะที่จะแน่จริงเนี่ย........:D...:D...:D

พอดีกว่าเดี๋ยวโดนเพ่งเล็ง....:D....:D.....ชักหาเรื่องเข้าตัวทุกทีแล้ว...:D...:D



Posted by : Death , Date : 2003-05-26 , Time : 06:40:29 , From IP : 172.29.3.230

ความคิดเห็นที่ : 7


   ถูกใจกับคำพูดทื่ว่า คนไร้ฃึ่งอำนาจ พูดไปก็เหมือนกับไม่ได้พูด อันนี้คึอความจริงในโลกมนุษย์
constructive criticism เป็นสิ่งที่เกิดได้ยากมากในสังคมของการบริหารแบบผูกขาด กล่าวคึอ ผู้มีอำนาจนั่งอยู่ในตำแหน่งเป็นระยะเวลานาน
เช่นมากกว่า2 สมัยขึ้นไป ทำให้คนเหล่านั้นหลงในอำนาจ คิดว่าความเห็นผู้อื่น เป็นศัตรู ไปหมด นึกว่าของทุกอย่างเป็นของตัวเอง ถือว่าอันตรายมากในระบบการปกครองทุกระดับ


Posted by : ผู้ขวางโลก , Date : 2003-05-26 , Time : 15:48:32 , From IP : 172.29.3.111

ความคิดเห็นที่ : 8


   ผมคนนึงที่ไม่เชื่อเรื่อง "ส่วนใหญ่คิดว่า", "เป็นไปไม่ได้หรอก" ฯลฯ ด้วยเหตุผลอย่างเดียวคือการคิดอย่างนั้น "ไม่สร้างสรรค์"

การกระทำของเรานั้นควรจะทำโดยมีรากฐาน มี "Conviction" หรือ "strong belief ว่าสิ่งที่เราทำนั้นมีประโยชน์" แค่นั้นก็พอ ส่วนจะสำเร็จมากน้อยนั้นมาคอยดูกันไป ถ้ากลยุทธ์ทางนี้ไม่ประสบผลสำเรจ ก็ลองกลยุทธ์อื่น แต่ไม่ยอมให้ความท้อแท้เกิดขึ้นเองโดยยังไม่ได้ลงมือทำอะไรทั้งสิ้น

ทำไมเราต้องสรุปว่าคนที่อยู่บน TOP จะต้องงี่เง่ากว่าเราเสมอไปผมไม่เข้าใจเหมือนกัน โลกนี้เต็มไปด้วยคนที่เป็นลูกน้องที่คิดว่าตนเองเก่งกว่านาย ฉลาดกว่าผู้บริหาร ฯลฯ แต่ลงเอยอย่างที่คุณ Death ว่า คือพอให้ออกความเห็นก็ใบ้กิน อ้อมๆแอ้มๆว่าไม่อยากจะพูด อ้างว่าเพราะพูดไปก็ไม่มีใครฟัง ถ้าคิดอะไรดีๆลองแย้มๆออกมาก็ได้ครับ ไม่ต้องขวยเขินมาก แต่ลูกน้องทีเก่งจริงๆก็มี คนพวกนี้ไม่ได้เป็นลูกน้องอยู่นานแต่จะก้าวหน้าไปเป็นบอสในที่สุด ปล่อยให้พวก professional moaners บ่นไปเรื่อยๆ งึมงัมๆ ไม่มีใครเข้าใจ

ฉะนั้นก่อนที่จะสรุปว่าคนหลงอำนาจจะเห็นว่าคุณ "ผู้ขวางโลก" จะเป็นศัตรูหมายเลขหนึ่งเพราะ idea อันสุดยอดชาญฉลาดที่ถ้าเผยแพร่ออกมาแล้ววงการบริหารจะต้องเปลี่ยนโฉมหน้า และผู้บริหารในปัจจุบันจะมีแผน conspiracy theory มากมายเพื่อจะยับยั้งความคิดอันนี้จากการแพร่หลายออกไป คุณ "ผู้ขวางโลก" สามารถลองใช้ constructive criticism ดูก่อน แล้วดูซิว่ามัน constructive จริงหรือเปล่า มีใครจะฆ่าใครเกิดขึ้นจริงหรือเปล่า? มีประเทศมหาอำนาจจะมาซื้อตัวคุณ ผู้ขวางโลก ไปเป็น secret weapon ในไม่ช้านี้หรือไม่

Principle ของ constructive criticism นั้นมีนิดเดียวคือ ใช้ LOGIC และ debate ของที่อยู่บนโต๊ะข้างหน้าโดยไม่ต้อง "ตีค่า" อะไรลงไปก่อน

ถ้าเราทำ criticism ของเราเองให้มันลุกเป็นไฟ ไปซะก่อนแล้วคนก็อาจจะทิ้ง LOGIC ไปใช้ Emotional mode แทน ทีนี้ก็จะขึ้นอยู่กับรากฐานการได้รับการอบรมล่ะครับว่าการควบคุมอารมณ์เป็นอย่างไร ซึ่งบางทีอาจจะ messy ได้ง่ายๆ บางครั้งจนกระทั่งเราเองอาจจะคาดไม่ถึงใน community ที่น่าจะเต็มไปด้วยสมาชิกระดับบัณฑิตก่อนและหลังปริญญาอยู่อย่างมากมาย

วิธีในการนำเสนอ ก็มีบทบาทสำคัญ ที่แน่ๆคือเราต้องทำให้รู้สึกเป็นการ comment ทางวิชาการ ไม่ใช่การบ่นๆๆ หรือ พล่ามอะไรออกมา ซึ่งสามารถทำได้โดยง่ายด้วยการทำให้เนื้อหาสาระดูเป็นเรื่องของเด็กเล่น Moaning นั้นเป็น the most common route ที่คำแนะนำจะตกความสำคัญไป และสาเหตุที่คนบ่นแทนที่จะ comment ก็เพราะ mindset ที่ว่า comment ไปก็ไม่ได้ประโยชน์ มิสู้บ่นมันส์กว่า ลองคิดดถ้าพวกเราเป็นระดับหัวหน้าทีม (ถ้าคุณ trained เป็น specialist โอกาสสูงมากที่คุณจะเป็น leader of the team) แล้วนัดประชุมแล้วก็บ่นๆๆๆในที่ประชุม โอกาสที่ใครจะ construct อะไรจากการประชุมนั้นจะน้อยมากๆ

Objectives must be very clear ข้อที่สำคัญของการ comment คือวัตถุประสงค์หรือ action ที่เราต้องการแก้ไขนั้นต้อง clear กระจ่างชัดเจน อย่าให้คลุมเครือหรือเล่นเกมทายใจอยู่

ไม่มีใครรู้ว่าเราคิดอะไรอยู่หรือคิดอะไรไว้บ้างก่อนจะมาถึงจุดข้อสรุปของเรา ฉะนั้นการเรียบเรียง Flow of thought ก็จะช่วยให้ทุกๆคนที่ฟังอยู่สามารถ construct logical flow ได้อย่างที่เราทำมาแล้ว

Constructive Criticism ที่สมบูรณ์แบบนั้นบางทีเราสามารถทำให้คนอ่านบรรลุข้อสรุปแบบเดียวกับเราโดยไม่รู้ตัวซะด้วยซ้ำ และคิดว่าเขาสามารถมาถึงข้อสรุปนั้นได้ด้วยตัวเขาเอง ผลก็คือเขาไม่สูญเสีย Self Value ในการเปลี่ยนใจ ตรงกันข้ามเนื่องจากความคิดรวบยอดที่ได้เขาเข้าใจ "กระบวนการ" ตั้งแต่เริ่มต้นจนได้ข้อสรุป เขาได้ปรับแต่ง "คุณค่าใหม่ ของความคิดใหม่" และ adopt เป้น new value ใหม่อย่างสมบูรณ์แบบ



Posted by : Phoenix , Date : 2003-05-26 , Time : 19:40:01 , From IP : 172.29.3.225

ความคิดเห็นที่ : 9


   คุณ ArLim ครับ,

Self Value เกิดได้ทุกอายุครับ ถึงแม้ว่าผู้ใหญ่ "ดูเหมือน" จะสั่งสมความรู้มานานกว่า แต่ในบรรดา"ความรู้เหล่านั้น" ได้รวมทั้งการเรียนรู้เกิดขึ้นได้ทุก direction ด้วย นั่นคือผู้ใหญ่หลายท่านที่ไม่ได้ "แก่เพราะกินข้าว เฒ่าเพราะอยู่นาน" นั้นยังทำตัวเป็น "นักศึกษา" จนตลอดชีวิตก็มีมากมาย เด็กที่ความรู้สั่งสมมาก็ไม่ได้เยอะเท่าไหร่แต่ Self Value สุดๆไปเลยก็มีให้เห็นตัวอย่างอยู่ดาษดื่น

โรงเรียน Internet อย่างที่คุณ ArLim ว่าเคยเกือบจะ materialize ในบบการศึกษาอังกฤษ โชคดีที่มีคน Know Better ติดเบรคไว้ทัน การที่เราว้ใจ inetrnet ให้สอนเด็กแทนครูนั้น แปลได้อย่างเดียวครับคือเขาคิดว่าหน้าที่ครูคือ "สอนอย่างเดียว" โดยไม่ต้องมองดูหรือ interact กับผู้เรียนเลย ซึ่งเป็น concept ที่ wierd มากๆ เป็น concept ที่ว่าผลการเรียนทั้งหมดขึ้นอยู่กับผู้เรียน และเป็นการไม่ไว้ใจหรือ degrade Human"s Intuition ไปเหลือศูนย์ เป็นทางที่รัฐบาล socialist ต้องการดำเนินเพื่อที่จะได้ปัดภาระของ crime ridden cities ไปเป็นของ criminals เท่านั้นโดยอ้างว่าเราได้สอนให้คนเป็นคนดีแล้วโดยวิธีที่ดีที่สุด แต่มันไม่เรียนเอง เป็นการ "ออกกฏหมายให้คนฉลาด" พอๆกับการออกกฏหมายให้ "คนเป็นคนดี" นั่นเลย



Posted by : Phoenix , Date : 2003-05-26 , Time : 20:29:22 , From IP : 172.29.3.225

ความคิดเห็นที่ : 10


   คุณPhoenix ดูเหมือนเป็นคนชอบหลักการ ชอบคิดและฝัน มองโลกในแง่ดี ดูเหมือนพวกนั่งบนหอคอยงาช้าง ถ้าเปรียบเป็นนักมวย ก็รำสวย แต่ไม่ยอมต่อย ถ้าให้เดา คุณคงไม่ได้อยู่ในสังคม ม.อ. มานานแล้ว ถึงไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงของเหล่าวิชามาร คนที่ขณะนี้ คุณเทิดทูนบางคน คุณรู้ฉากหลังของเขาไหมว่าเป็นอย่างไร ถ้ารู้ แล้วจะหนาว (ข้อมูลเยอะนะ ! แต่ไม่บอกหรอก) แต่ถ้าให้ทาย ลักษณะอย่างคุณ จะก้าวหน้าได้ เพราะที่นี่เขาชอบแบบนี้ (พูดมากๆ เก่งๆ พูดให้ดูดี อย่าaggressive อย่าพูดโผงผาง) อนึ่งการเป็นผู้บริหารนั้น เขาใช้พรรคพวก เพราะ เราไม่มีเกณฑ์ตัดสินว่าใครเก่งกว่าใคร เราไม่มี scale วัด เราใช้ความรู้สึกชอบกันเป็นหลัก ถ้าใช้คะแนนตัดสิน ป่านนี้เราได้เป็นนานแล้ว เพราะตั้งแต่เรียนมาก็ยังแทบไม่เคยแพ้ใครเลย แต่ไม่เก่งวิชามาร!


Posted by : คนเหล็ก , Date : 2003-05-27 , Time : 02:25:53 , From IP : 172.29.3.206

ความคิดเห็นที่ : 11


   ผมเกรงว่าการยึดมั่นในหลักการ ชอบคิดและฝัน มองโลกในแง่ดี เป็นสิ่งไม่ดีอย่างไร

การที่คุณ "คนเหล็ก" สรุปจากข้อมูลที่มีว่าผมดีแต่พูดแต่ไม่ยอมต่อยนั้นออกจะน่าผิดหวังมากทีเดียว ไม่ว่าเป็นเพราะถ้าคุณคนเหล็กไม่ได้รู้จักผมเป็นการส่วนตัวแล้วสรุปออกมา หรือแม้แต่รู้จักผมว่าผมเป็นใครแต่ไม่ทราบว่าอะไรที่เป็นผลงานในทางสร้างสรรค์ที่ได้ทำไปแล้วบ้าง

วิธีการเขียนว่าเรารู้แต่ไม่บอกหรอกนั้นไม่ได้แสดงอะไรออกมาทั้งสิ้น ถ้าหากผมหวังอะไรบางอย่างทางด้าน communication skill ตามหัวข้อที่ได้ตั้งไว้ ผมก็ได้ "ชก" ไปแล้วครับบนกระดานแห่งนี้

ถ้าหากการไม่ยึดมั่นในหลักการ การหดหัวไม่ยอมคิดยอมฝัน และการมองดลกในแง่ร้ายคือวิธีเดียวที่จะลงมาจากหอคอยงาช้างอย่างที่คุณคนเหล็กว่า ผมเกรงว่าผมอยู่ที่เก่าจะดีแล้ว เพราะไม่ทราบว่าบนที่ที่ไม่มีหลักการ ไม่มีความคิดฝัน และมองโลกในแง่ร้ายอยู่ตลอดเวลานั้นจะมีจุดมุ่งหมายในชีวิตอย่างไร? เป็นนักมวยที่ไม่กล้าโผล่หัวออกมาต่อยเพื่ออุดมการณ์ตนเอง? เป็นนักคิดที่ไม่กล้าคิดไม่กล้าแสดงออก? หรือคิดออกก็ต้องมองโลกในแง่ร้ายเป็นเท่านั้น? คุณคนเหล็กมีอุดมการณ์ไหมครับ? ผมอยากจะทราบว่า อุดมการณ์ที่มีพื้นฐานมาจากการไร้หลักการ ปราศจากความคิดวามฝัน และมองโลกในแง่ร้ายนั้นจะออกมาเป็นอย่างไร ถ้าสามารถแสดงออกมาได้นะครับ จะขอบพระคุณอย่างยิ่ง

คุณคนเหล็กมีความเข้าใจผิดอย่างมากเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างคะแนนและความสามารถในการทำงาน หรือความสามารถในการ "คิด" พบได้บ่อยพอประมาณครับที่พวกเหรียญทองเหรียญเงิน Bitter เพราะพอจบมาแล้วทำงานอะไรสู้พวกที่ตนเคยกระหยิ่มดูแคลนว่าเกรดต่ำกว่าไม่ได้ reaction ทั่วๆไปก็ denial ว่าคนพวกนั้นคงจะเล่นพรรคเล่นพวกเพื่อปลอบประโลมใจตนเองไปพลางๆขณะที่ยังยึดมั่นในหลักการของการไม่มีหลักการ ไม่ยอมคิด ไม่ยอมฝัน และมองโลกในแง่ร้ายอย่างเหนียวแน่น

คนที่ได้ "เหรียญ" แล้วได้ดีด้วยนั้นก็มีเยอะครับคุณคนเหล็ก แต่เขาทำงานอย่างหนักหลังจากที่ได้จบมาแล้ว อาจารย์เหรียญทองเหรียญเงินมอ.ออ.ที่อยูระดับบริหารหลายท่านทำโครงการวิจัยออกไปในพื้นที่ของชาวบ้าน นั่นแหละครับเขาไม่ได้เอาแต่บ่น แต่เขาทำแต่งาน เขาไม่ต้องอวดว่าอดีตเคยได้เหรียญอะไรมาบ้าง ไม่เคยแพ้ใครตั้งแต่ป.สอง ฯลฯ แต่คุณค่าของคนนั้นอยู่ที่ here and now




Posted by : Phoenix , Date : 2003-05-27 , Time : 03:47:25 , From IP : 172.29.3.205

ความเห็นจาก Social Network : Facebook


สงวนสิทธิ์การแสดงความคิดเห็นสำหรับ สมาชิกเท่านั้น
>>>>> Page loaded: 0.007 seconds. <<<<<