ความคิดเห็นทั้งหมด : 26

คิดยังไงกับเรื่องที่เราต้องมาประชุมเชียร์บ้าบออยู่หยั่งงี้?


   สิ้นเปลืองเวลาที่สุด น่าจะเอาเวลาไปทำอย่างอื่นที่มันสร้างสรรค์กว่านี้นะผมว่า
ประโยชน์หาไม่ได้เลยซักนิด


Posted by : เด็กกว่า2-3ปีแล้วมันทำไม? , Date : 2005-07-02 , Time : 15:20:10 , From IP : 202.133.148.148

ความคิดเห็นที่ : 1


   _คิดว่า ดีครับ สร้างความสามัคคี รู้จักเพื่อนมากขึ้น ร้องเพลงเชียร์ได้ สนุกดี อาจจะเหนื่อยล้าบ้าง แต่ก็ถือว่าเป็นประสบการณ์ชีวิตแง่หนึ่ง พยายามมองโลกแง่ดีไว้ทุกอย่างจะดีเอง เป็นความคิดเห็นหนึ่งนะครับ จากคนที่เคยผ่านมาหลายๆๆๆปี

Posted by : กามนิจ , Date : 2005-07-02 , Time : 16:47:07 , From IP : 172.29.7.248

ความคิดเห็นที่ : 2


   มันเป็นช่วงเวลาหนึ่งในชีวิต ที่ดูแล้วตอนนั้นค่อนข้างจะรู้สึกลำบาก แต่เชื่อเหอะ มันทำให้เราได้สนิทกับเพื่อนๆ มากยิ่งขึ้น และเมื่อเวลาผ่านไป เราจะหวนไปคิดถึงมันด้วยความรู้สึกดีๆ

Posted by : คนที่เคยผ่านไป , Date : 2005-07-02 , Time : 17:33:12 , From IP : 172.29.7.197

ความคิดเห็นที่ : 3


   ผมว่าเป็นประสบการณ์ที่ดีนะ
เครียด และเหนื่อย น้อยกว่าตอนทำงานเป็นหมอเยอะ
อดทนซักนิด แล้วจะสนุกกับมัน


Posted by : Solution , Date : 2005-07-02 , Time : 18:28:01 , From IP : 203.156.190.37

ความคิดเห็นที่ : 4


   โพสต์แบบนี้ไม่สวยเลยนะน้อง แค่นี้ก็ยังบ่น

Posted by : ..... , Date : 2005-07-02 , Time : 21:53:25 , From IP : 172.29.4.163

ความคิดเห็นที่ : 5


   ในความคิดของผมแล้ว การประชุมเชียร์เป็นสิ่งที่ดีและเป็นสิ่งที่ผมไม่เคยจะลืมในชีวิตินักศึกษาเลย เพราะมันเป็นประสบการที่ดีและไม่สามารถหาจากที่ไหนได้ บางคนอาจคิดว่ามันไร้สาระเเต่ผมอยากให้คิดให้ดีๆว่าเราได้อะไรมากมายจากการประชุมเชียร์ ผมจะยกตัวอย่างให้ฟังซัก2-3ข้อนะคับ
1.ทำให้เรารู้จักเพื่อนเร็วขึ้นและมีความสามัคคีในชั้นปีมากขึ้นลองคิดดูซิคับว่าถ้าไม่มีประชุมเชียเรสจะรู้จักกับเพื่อนได้ทั้งคณะเมื่อไหร่ เราจะรู้สึกถึงความเป็นตณะเดียวกันมั้ย
2.ทำให้เราฝึกความอดทน ถ้าน้องยังทนความลำบากความกดดันขนาดนี้ยังไม่ได้เเร้วคุณจะทนอะไนได้อีก นี่เเค่เบาะๆเองนะผมว่า ในชีวิตเรายังมีอะไรที่กดดันเรามากกว่านี้อีก
3.ทำให้เราร้องเพลงมหาวิทยาลัยและคณะได้ และถูกต้องด้วย เพราะผมฟังน้องปี1ปีนี้ร้องแล้วฟังมะได้เลยผมบอกจิงๆนะว่าถ้าน้องๆร้องยังงี้อีกเสียชื่คณะนะเเละเพื่อนๆผมก็รู้สึกอย่างงี้กันเยอะ แต่ผมก็เข้าใจว่าพวกน้องเค้ามีเวลาประชุมเชียร์น้อย
เห็นผลดีของมันรึยังล่ะครับนี่เเค่ตัวอย่างนะ


Posted by : ฝ่ายหนับหนุน , Date : 2005-07-02 , Time : 23:48:42 , From IP : 203.113.76.75

ความคิดเห็นที่ : 6


   ถ้ามันดีจริงมากๆอย่างนั้น
ไหนช่วยบอกเราทีทำไมรุ่นพี่ที่เรารู้จักคนนึงเกรดปีหนึ่งตกฮวบช่วงประชุม
หา?


Posted by : เซ็งครับ-ไม่อยากพูด , Date : 2005-07-03 , Time : 08:31:27 , From IP : fi.bb.5.37.revip2.as

ความคิดเห็นที่ : 7


   ก็ลองไปถามรุ่นพี่น้องดูสิครับ คนอื่นจะไปรู้ได้ไง อีกอย่างโตแล้วต้องรู้จักแบ่งเวลาเรียนให้เป็น ทำกิจกรรมไปด้วยเรียนไปด้วยจบเกียรตินิยมมีถมเถไป

Posted by : กิจกรรม - เกียรตินิยม , Date : 2005-07-03 , Time : 10:23:21 , From IP : 172.29.3.247

ความคิดเห็นที่ : 8


   ยอมรับว่าผมเองก็เคยคิดแบบนี้ตอนที่เป็นปีหนึ่งใหม่ๆ แต่แล้วความรู้สึกหลายๆอย่างมันก็ค่อยๆเปลี่ยนไป มันกลายเป็นความประทับใจ มันกลายเป็นความภูมิใจ มันกลายเป็นความหยิ่งในศักดิ์ศรีขอเด็กหมอ มอ. ตอนที่ได้ยินประกาศจากคณะกรรมการว่า คณะของเราได้รางวัลรองชนะเลิศเชียร์ จริงๆนะครับ ไม่ได้เว่อร์ ตอนนั้นผมรู้สึกว่าเราก็ทำได้ ถึงแม้จะไม่ได้ที่ 1 แต่ก็พอที่จะสู้หน้ารุ่นพี่รุ่นก่อนๆและอาจจะเก็บไว้คุยทับรุ่นน้องต่อไปได้อีกไม่รู้จบ ชีวิตหมอไม่ได้มีแค่การเรียน การได้คะแนนดีไม่ได้บอกอะไรมากกว่าเราแบ่งเวลาได้ดี ไม่ได้สื่อว่าใครสมองเยอะกว่าใคร เพราะผมเชื่อว่าเราทุกคนมีมันสมองใกล้เคียงกัน ต่างกันแค่การแบ่งเวลา และความอุตสาหะ รุ่นพี่ที่น้องยกตัวอย่างมาคงเป็นผลเนื่องมาจากปัจจัย2อย่างนี้ครับ พอจบออกไปเราจะไม่ได้มีแค่งานหรืออ่านหนังสืออย่างเดียว เราจะมีงานเยอะแยะมากมายที่รอการสะสาง คงไม่ใช่ทางออกถ้าถึงเวลานั้นแล้วเราจะมาพูดว่า "คนไข้เยอะขนาดนี้ จะไปมีเวลาอ่านหนังสือเพิ่มได้ยังไง ให้การรักษาผิดๆถูกๆไปบ้างก็สมควรแล้วนี่ ถ้าอยากให้ดีกว่านี้ก็ต้องให้เลิกตรวจคนไข้ดิ" เหมือนกันกับการที่น้องรู้ว่าต้องอ่านหนังสือ ต้องประชุมเชียร์ ต้องไปเอาใจแฟน etc. เราจะทำทุกอย่างให้ดีได้รึเปล่า ผมว่ามันอยู่ที่การแบ่งเวลาแล้วหล่ะครับ ท้าทายดีนะ ลองดูแล้วกัน เราจะเก่งกว่าคนอื่นได้รึเปล่าก็อยู่ที่ตรงนี้หละครับ

Posted by : iris , Date : 2005-07-03 , Time : 13:12:49 , From IP : 172.29.7.137

ความคิดเห็นที่ : 9


   การประชุมเชียร์เป็นเครื่องมือหนึ่งที่ให้น้องๆได้เรียนรู้อะไรหลายๆอย่าง
1. การทำงานเป็นทีม
2. ความอดทน
3.สามัคคี
4.การรู้จักให้อภัย
5.ทำให้ได้รู้จักเพื่อนมากขึ้น
9ล9 เหล่านี้ มันเป็นตัวอย่างที่น้องต้องเจอเวลาเป็นหมอนะ โดยเฉพะการทำงานเป็นทีม จะทำอย่างไรให้คนเกือบ200คนรวมเป็นหนึ่งเดียว น้องสามารถศึกษาจากกิจกรรมเหล่านี้เหล่านี้แหละครับ ต่อไปเวลาเป็นหมอน้องคงไม่ทำงานคนเดียวแน่ๆครับ น้องอาจมีผู้ร่วมงาน10 หรือ50 หรือเป็นร้อย ซึ่งแน่นอนน้องจะต้องเป็นระดับผู้นำในกลุ่มคนเหล่านั้น ดังนั้นจงใช้โอกาสนี้ให้เกิดประโยชน์มากที่สุดนะ พี่ขอเอาใจช่วยครับ


Posted by : muming , E-mail : (-) ,
Date : 2005-07-03 , Time : 13:56:50 , From IP : 172.29.4.194


ความคิดเห็นที่ : 10


   ผมคิดว่าเรื่องนี้น่าสนใจหลายขั้นตอน ว่ากันตั้งแต่มุมมอง (ซึ่ง evidently มีหลากหลาย) และ "วิธี" การนำเสนอความเห็น

เป็นเพราะแต่ละคนจะแปลอะไรก็จากการรับรู้ของเราเอง เราไม่สามารถจะรับรู้ "แทน" คนอื่นได้ ต้องใช้วิธีสอบถาม หรือสังเกตเอาว่าที่เรารับรู้มันเหมือนหรือมันต่างอย่างไร นั่นประการที่หนึ่ง ประการที่สองเราได้รับทราบมุมมองทัง้หมดเพียงพอแล้วหรือไม่ที่จะ "ตีค่า" สิ่งใดสิ่งหนึ่ง เช่น จะซื้อรถ เรารู้อะไรเกี่ยวกับรถนั้นบ้างนอกเหนือจ่ากมีตังค์ (จากเตี่ย) พอจะซื้อ ร่นนี้น่าจะดีเพราะมันแพงที่สุดหรือออกมาใหม่สุด (ซึ่งจะเป็นจริงอยู่แค่ชั่ววูบ) และในการที่จะ convince หรือโน้มน้าวคนอ่าน คนฟังให้เชื่อนั้น คงไม่ได้ทำแค่เสนอข้อสรุปว่าเราตีค่าไปว่าอย่างไร น่าจะมีการนำเอากระบวนการคิดมานำเสนอด้วย การคล้อยตามก็ "อาจ" จะเกิดขึ้น

อีกประการที่สำคัญคือ พอเรารู้ว่า "จุดอ่อน" ในการตีความจากการรับรู้ของเราคือ มันอาจจะไม่ represent ความเห็นของคนส่วนใหญ่ เราก็คงจะไม่พยายามจะตีความอะไรของประสบการณ์ "คนอื่น" ที่ไม่ใช่ปรากฏการณ์ของคนส่วนใหญ่เอามาเป็นข้อสรุปสนับสนุนของเรา เพราะมันจะเป็นการเอาจุดอ่อนมาโปะจุดอ่อน รังแต่จะมีช่องโหว่ในการโน้มน้าวคนอื่น

ถ้าเห็นว่าความเห็นของเราสำคัญพอที่จะแจ้งให้สาธารณรับทราบ มันก็มี platform ที่เป็นทางการกว่านี้ในการนำเสนอข้อมูล หรือถ้าอยากจะแลกเปลี่ยนความคิดเห็นที่แตกต่าง ก็คงจะต้องมี "อะไร" ที่มันมองได้แตกต่างมาเป็นข้อมูลดิบ ทำให้เราเข้าใจที่มาของความต่าง สุดท้ายมันอาจจะไม่มีการเปลี่ยนใจกันและกันก็ไม่เป็นไร เพราะในโลกแห่งความเป็นจริง เราต้องเรียนรู้ที่จะอยู่กับความต่างนี้อยู่แล้ว อย่างศิวิไลซ์ อย่างเป็นปัญญาชน อะไรที่คิดว่าปัญญาชนไม่พึงกระทำก็เอามาบอกเล่าสู่กันฟัง ก็จะมีโอกาสได้มีการชี้แจงในกิจกรรมนั้นๆขึ้นมาให้กระจ่างชัดเจนยิ่งขึ้น



Posted by : Phoenix , Date : 2005-07-03 , Time : 22:40:18 , From IP : adsl-203-156-37-22.j

ความคิดเห็นที่ : 11


   แปลว่างายง่ะ จานนกไฟ ไม่ค่อยข้าวจาย งงงง

Posted by : เด็กเด็ก , Date : 2005-07-03 , Time : 23:32:13 , From IP : 172.29.7.249

ความคิดเห็นที่ : 12


   ในฐานะ staff รุ่นที่ผ่านมา

สงสัยจังว่าน้องอยากเสนอแนะอะไรหรอ

แนะมาได้เลยครับ
ขอแบบละเอียด แล้วก้ออธิบายเหตุผลด้วยว่า เพื่ออะไร

ผมว่า สิ่งที่น้องเขาแนะอย่างมีเหตุผลในวันนี้
อาจเป็นสิ่งที่มีคุณค่า แก่น้องๆรุ่นต่อไปนะ


Posted by : แปะ , Date : 2005-07-04 , Time : 00:42:48 , From IP : 172.29.4.90

ความคิดเห็นที่ : 13


   ประชุมเชียร์แค่นี้ทนไม่ได้ อีกหน่อยไปทำอะไรกินได้น้อง กลัวเกรดตกมันเป็นการสอนให้แบ่งเวลาครับ อีกอย่างการประชุมเชียร์มันให้อะไรได้อีกหลายๆอย่าง ตอนนี้ผมออกมาเป็น lazy...dent ที่มีเพื่อนร่วมรุ่นเป็นพวกstaff เชียร์ของผมตอนปี1 ก็เข้ากันได้และอยู่อย่างมีความสุข คอยช่วยเหลือกัน วางตัวกับรุ่นพี่ได้ก็ได้จากประชุมเชียร์ด้วยแหละ

Posted by : สมเอ๋ , Date : 2005-07-04 , Time : 01:08:45 , From IP : 210-4-139-129.inter.

ความคิดเห็นที่ : 14


   ที่ผมตั้งใจจะเสนอก็คือ เรื่องที่เรามีความเห็นแตกต่างนั้นมาจากการที่เรามี "ข้อมูลและบริบท" ต่างกัน ตรงนี้ "ยัง" ไม่มีผิดถูก แต่พอคุณค่าของเรื่องออกมาตรงกันข้าม (ดี เลว) ตรงนี้ ทั้งสองฝ่าย ถึงเวลานำเอาข้อมูลที่ตนเองไม่ได้คำนึงถึงมาวิเคราะห์ดูให้รอบคอบ และเริ่มต้นโดย "ฟัง" ให้ดีถึงเหตุผลของอีกฝ่าย อย่าพึ่งนึกถึงแต่เรื่องราวมุมมองของตนเองฝ่ายเดียว

ตัวอย่าง

ฝ่ายไม่เห็นด้วยกับประชุมเชียร์ ก็ควรจะชี้แจง solid evidence ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง (เป็นหลัก) และอะไร "อาจจะ" เกิดขึ้นบ้าง (เป็นรอง) ทั้งนี้ทั้งสองเหตุการณ์คงจะต้อง support ด้วยเหตุผลและตรรกะ และสามารถ applied กับคนทั่วๆไป ถ้าจากตัวอย่างที่ยกมาแล้ว ก็เช่น
๑) จะเอาเวลาไปทำอย่างอื่นที่สร้างสรรค์ ก็ชี้แจงมาว่าเวลาประชุมเชียร์มันไปรบกวนเวลาสร้างสรรค์ของตนอย่างไร แคค่ไหน หลีกเลี่ยงหรือจัดเวลาไม่ได้ หรือด้วยความยากลำบากอย่างไร
๒) เกรดตกเมื่อมาประชุมเชียร์ ก็ชี้แจงมาว่าตอนเกรดตกนั้น ประเมินแล้วเกิดจากอะไร หลีกเลี่ยงได่หรือไม่ถ้ายังมาประชุมเชียร์อยู่ มีกี่คนที่ไม่สามารถจัดเวลาได้จนเรียนตก

ฝ่ายที่เห็นด้วยกับประชุมเชียร์ ก็ควรจะรับฟังเหตุผลของอีกฝ่ายว่าเขา "ทุกข์" เรื่ออะไร ผมคิดว่าประโยคอย่างเช่น ประชุมเชียร์แค่นี้ทนไม่ได้ อีกหน่อยไปทำอะไรกินได้น้อง ไม่เป็นเหตุผลที่นำมาอ้างได้เท่าไหร่ ใครที่ทนประชุมเชียร์ได้จะทำอะไรกินได้ซักกี่มากน้อย หรือคนที่ทนไม่ได้แปลว่าจะล้มเหลวในชีวิตนั้น มีเหตุผลหลักฐานอย่างไร หรือว่ายกเมฆเอาเอง คิดเอาเอง จากประสบการณ์ชีวิตอันน้อยนิด ใหญ่หลวง ของตนเอง หรือของใคร และที่ว่าให้น้องสามารถจัดสรรค์เวลาได้อย่างเหมาะสมนั้น จริงหรือไม่ มีหรือไม่มี pressure อะไรจริงหรือไม่ต่อคนที่จะปลีกตัวไปทำงาน ไม่มาประชุมเชียร์ พวกพี่ๆคำนึงถึงน้องกลุ่มพิเศษที่อาจจะต้องใช้เวลาเรียนมากกว่าเพื่อนๆอยู่บ้างหรือไม่ มากน้อยแค่ไหน? มียกเว้นให้คนที่จำเป็นต้องอ่านหนังสือมากเป็นพิเศษหรือไม่ มีระบบ support อย่างไรสำหรับคนกลุ่มนี้ที่อาจจะอยากเข้า แต่กลัวเสียการเรียน (ซึ่งเป็นเหตุผลหลักที่เขาเข้ามาในคณะนี้) และถามตนเองว่าได้ รับฟัง คำขอร้องหรือ feedback จากน้องด้วยทีท่าและน้ำใจที่กว้างจริงหรือไม่

ลองทำดูซิครับทั้งสองฝ่าย



Posted by : Phoenix , Date : 2005-07-04 , Time : 02:11:56 , From IP : adsl-203-156-37-22.j

ความคิดเห็นที่ : 15


   ผมว่าเวลาจะบอกจะเป็นตัวบอกน้องเองน่ะว่ามันสำคัญแค่ไหน

Posted by : ddd , E-mail : (d@htotmail.com) ,
Date : 2005-07-04 , Time : 12:13:08 , From IP : ip56.pharmacy.psu.ac


ความคิดเห็นที่ : 16


   ไม่พอใจ ก็ไม่ต้องเข้าร่วมกิจกรรมสิครับ
อย่าพยายามตามกระแสสังคม ธรรมเนียมปฎิบัติ หรือ คนหมู่มาก จนทรยศต่อความคิดของตนเอง
ไม่ต้องกลัวผลที่จะเกิดหลังจากนั้น
เริ่มจากตัวน้องก่อน หลังจากนั้น ถ้าเพื่อนๆคล้อยตามหรือ เห็นดีด้วย
คนน้อยลง กิจกรรม และประเพณีเหล่านั้นก็จะล้าสมัยและสูญหายไปเอง



Posted by : โซดา โค้ก , Date : 2005-07-04 , Time : 15:14:38 , From IP : 61.19.25.2

ความคิดเห็นที่ : 17


   ถึงน้องเจ้าของกระทู้
ไม่ผิดครับที่น้องไม่ชอบการประชุมเชียร์ กระทู้ทำนองนี้พี่เห็นมาแล้วทุกปี ถือเป็นกระทู้ที่ hot พอควรสำหรับช่วงเดือนนี้ เพราะมันกระทบหลายฝ่าย
การที่ใครจะชอบทำหรือไม่ชอบทำอะไร (รวมทั้งการประชุมเชียร์) ก็เป็นสิทธิ์ของแต่ละคนครับ แต่ในโลกที่คนเราอยู่ร่วมกันนี้นะครับ หากทุกคนทำตามอย่างที่ใจตัวเองชอบหมด พี่ว่ามันคงวุ่นวายพิลึก
การประชุมเชียร์สำหรับพี่คิดว่าเป็นกิจกรรมทางสังคมอย่างหนึ่ง (กิจกรรมที่มีผู้ร่วมทำมากกว่า 1 คน) อย่างที่ได้พูดไปแล้วว่าถ้าทุกคนทำได้ตามใจหมดอะไรๆ ก็คงวุ่นวายน่าดู เพราะฉะนั้นลองหาจุดร่วมกันดีไหมครับ


Posted by : Doctor K , Date : 2005-07-04 , Time : 22:50:52 , From IP : 172.29.7.105

ความคิดเห็นที่ : 18


   
ถ้าตามที่เป็นข่าวอยู่ มันก็ดูเกินกว่าเหตุ .... แต่ของคณะเรา สิ่งที่ทำบางอย่างดูไม่มีเหตุผล แต่ถ้าเทียบกับของคนอื่น ของเขาดู ไม่มีเหตุผลมากกว่า (พาดพิง)




เหตุผลมันจะเจอเอง ถ้าได้ผ่านไปแล้ว รุ่นพี่หลายคนที่เอาสิ่งดีๆ มาเล่าให้ฟังได้ ตอนแรกก็อาจจะคิดแบบน้อง ..



สรุป บ้า แต่ดีครับ




Posted by : บั , Date : 2005-07-05 , Time : 13:08:34 , From IP : 203.157.254.1

ความคิดเห็นที่ : 19


   
ถ้าตามที่เป็นข่าวอยู่ มันก็ดูเกินกว่าเหตุ .... แต่ของคณะเรา สิ่งที่ทำบางอย่างดูไม่มีเหตุผล แต่ถ้าเทียบกับของคนอื่น ของเขาดู ไม่มีเหตุผลมากกว่า (พาดพิง)




เหตุผลมันจะเจอเอง ถ้าได้ผ่านไปแล้ว รุ่นพี่หลายคนที่เอาสิ่งดีๆ มาเล่าให้ฟังได้ ตอนแรกก็อาจจะคิดแบบน้อง ..



สรุป บ้า แต่ดีครับ




Posted by : พี่บัง , Date : 2005-07-05 , Time : 13:08:40 , From IP : 203.157.254.1

ความคิดเห็นที่ : 20


   เชื่อเหอน้อง เมื่อโตขึ้นแล้วจะคิดถึงวันเก่าๆ (แบบว่าแก่แล้ว)

Posted by : มดดำมาเอง , Date : 2005-07-05 , Time : 14:06:13 , From IP : 203.113.71.167

ความคิดเห็นที่ : 21


   ในปีล่าสุดที่ผ่านมาผมไม่ได้รับรู้ว่าการประชุมเชียร์ของคณะเราเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรบ้าง

ครั้นจะมาพูดถึงเรื่องประชุมเชียร์เก่าๆ ที่ผมเคยผ่านมานั้นผมเห็นว่าเป็นการไม่บังควร

ผมคิดเอาเองว่าการประชุมเชียร์ของคณะเราปีนี้ ไม่น่าจะมี ว๊ากน้องอย่างที่เมื่อก่อนมี น่าจะมีแต่กิจกรรมที่สร้างสรรค์ ทำกิจกรรมเพื่อสังคม รับหนังสือบริจาคให้ห้องสมุดรร.ที่ต้องการ(รุ่นผมเคยทำ) หรือว่าปลูกต้นไม้ในมอ.(แม้ว่ารุ่นผมปลูกไปสุดท้ายมันจะตายหมดก็ตาม หึหึ)

แต่สิ่งที่ผมหวังว่าจะเกิดนั้น ผมก็ไม่รู้ว่ามันเกิดหรือไม่ หากว่ามันเกินขึ้นจริง เป็นกิจกรรมที่ทำแล้วได้ประโยชน์จริง เรียนรู้จักการทำงานร่วมกัน รู้จักกันมากขึ้นแล้ว น้องคนที่ตั้งกระทู้ยังมาบ่น ผมก็ขออนุญาตตำหนิน้องครับ

แต่หากว่ากิจกรรมประชุมเชียร์ในปีนี้ยังเป็นแบบอนุรักษ์นิยม ว๊าก ด่า ตะคอก ผมขออนุญาต ตำหนิรุ่นพี่ครับ



Posted by : เหอๆๆ , Date : 2005-07-06 , Time : 01:52:52 , From IP : 203.113.76.7

ความคิดเห็นที่ : 22


   ผมก็med33 ผมคิดว่าเพื่อนผมคนนี้เค้าคงยังไม่เข้าใจถึงความสำคัญของระบบซีเนียร์ครับ คิดว่าถ้าเค้าขึ้นปี2เค้าก็คงเห็นความสำคัญของระบบนี้นะครับ
ส่วนตัวผมว่าการประชุมเชียร์ปีนี้ถ้าเทียบกับคณะอื่นๆ คณะเรายังเบามาก แถมยังสบาย(มากจนเกินไปรึป่าว) เพราะคณะแพทย์ไม่สามารถเรียนคนเดียวจนจบออกไปได้นะครับ มันจำเป็นที่จะต้องช่วยกันเรียน จำเป็นต้องมีเพื่อน มีรุ่นพี่ และที่สำคัญมันต้องมีสังคมนะครับ ไงก็ให้โอกาสเพื่อนผมได้ลองใช้ชีวิตดูสักปี ผมว่าเค้าคงจะพัฒนาความคิดของตนเองได้แหละครับ
คณะเรามาจากหลายสถาบันความคิดก็คงจะแตกต่างกันออกไป คงต้องใช้เวลาในการปรับตัวสักหน่อย ผมเชื่อว่าเพื่อนผมเป็นคนดี แค่เค้ายังไม่เข้าใจครับ
....
น่าเสียดายที่ปีนี้จบเร็วไปหน่อย แค่สัปดาห์เดียวเอง ^^"


Posted by : DreamCatcher , E-mail : (DreamCatcher_th@hotmail.com) ,
Date : 2005-07-06 , Time : 20:52:41 , From IP : 192.168.32.22


ความคิดเห็นที่ : 23


   
มันเป็นช่วงเวลาหนึ่งในชีวิต ที่ดูแล้วตอนนั้นค่อนข้างจะรู้สึกลำบาก แต่เชื่อเหอะ มันทำให้เราได้สนิทกับเพื่อนๆ มากยิ่งขึ้น และเมื่อเวลาผ่านไป เราจะหวนไปคิดถึงมันด้วยความรู้สึกดีๆ



แต่.............................
ผมหวนกลับไปคิดทีไร มีส่วนน้อยนักที่จะรู้สึกดี
จนผมอยากลืมประสบการณ์ประชุมเชียร์ด้วยซ้ำ

เป็นความรู้สึกส่วนตัวครับ


Posted by : สนับสนุนเจ้าของกระทู้ , Date : 2005-07-06 , Time : 22:25:52 , From IP : 210-4-139-129.inter.

ความคิดเห็นที่ : 24


   ไม่เคยโผล่เข้ามาในนี้เลย วันนี้เข้ามาโดยบังเอิญ ขอร่วม แสดงความเห็นด้วยนะครับ

เห็นด้วยกับน้องเจ้าของกระทู้นะ ตอนเป็นปีหนึ่งพี่ก็เคยบอกกับรุ่นพี่ตรง ๆ ว่า ไม่เห็นด้วยเลยกับการรับน้องและประชุมเชีย์ร พี่ไม่เคยคิดว่าการทำความรู้จักกัน การจะรักกัน นั้นจะต้องกระทำภายใต้ความกดดันที่พยายามสร้างขึ้นมาอย่างปลอม ๆ

แต่ความสัมพันธ์ที่ดีนั้นพี่เชื่อว่าเกิดจากปฏิสัมพันธ์บนพื้นฐานของความเคารพซึ่งกันและกัน และมีจุดมุ่งหมายที่ดีร่วมกัน โดยไม่แบ่งแยกว่าใครมาก่อนมาหลัง

รุ่นพี่เหล่านั้นก็ใจกว้างนะ รับฟัง ถึงแม้จะไม่เห็นด้วย
แล้วก็บอกพี่ว่า เมื่อน้องโตขึ้น น้องจะเปลี่ยนใจ
ตอนนี้พี่จาก มอ มาเป็นสิบปีแล้ว …. แต่ไม่เคยเปลี่ยนใจ …

เมื่อพี่เป็น ปี2 พี่กับกลุ่มเพื่อนจำนวนหนึ่ง คัดค้านอย่างรุนแรง ไม่ให้จัดกการรับน้องปี 1 ด้วยบรรยากาศแบบนั้นอีก แต่คน 90% อยากทำในสิ่งที่ตัวเองเคยไม่ชอบใจ เราเกิดความบากหมางระหว่างคน2 ขั้วจนไม่พูดกันไปเป็นเดือน ๆ

พี่ว่าถ้าเรา จัดเป็นกลุ่มขึ้นแบบพี่ น้อง ๆ แล้วออกไปทำประโยชน์กับสังคม ออกไปรณรงค์เรื่องสุขภาพในเมืองหาดใหญ่ ออกไปช่วยเหลือคนยากจน ออกไปร่วมกับเทศบาลหาดใหญ่เพื่อรณรงค์การใช้ถุงยางเพื่อป้องกันโรคเอดส์ในกลุ่มวัยรุ่น เป็นต้น …มันกว่าเยอะเลย ….แล้วก็จะได้รู้จักกันจริง ๆ นะ

ความสนุกในการทำงาน ความยากในการรณรงค์เรื่องสุขภาพในสังคมเป็นโจทย์ที่ท้าท้าย และเป็นของจริง ความกดดันที่จะต้องทำงานให้ได้ เป็นสิ่งที่จะเจอในชีวิตทำงานเมื่อจบเป็นแพทย์ไปแล้ว

และมิตรภาพที่เกิดขึ้นจากการช่วยกันทำงานให้กับสังคม จะเป็นมิตรภาพที่ถาวร แบบพี่ ๆ น้องๆ อย่างแท้จริงมากกว่าการ แกล้งกดดันกันที่หลาย ๆ คนรู้สึกสนุกอยู่ลึก ๆ ในการใช้อำนาจ
ลองเสนอดูซิครับ



Posted by : flame , Date : 2005-07-08 , Time : 08:37:17 , From IP : 203.155.87.142

ความคิดเห็นที่ : 25


    นู๋คิดว่าการประชุมเชียร์เป็นสิ่งที่ดีมากๆ อย่างน้อยก็ทำให้ทุกคนรวมตัวกันอยู่ได้ ได้สนิทกันมากขึ้น ได้ทำความรู้จักกันมากขึ้น บางคนขนาดนั่งเรียนข้างๆกันยังไม่รู้จักกันเลย แต่การประชุมเชียร์ทำให้เราได้รู้จักเพื่อน (แม้ว่าจะเป็นเชิงบังคับ) แต่ว่ามันก็เป็นสิ่งที่ดีมากๆ เพราะบางคนไม้กล้าที่จะทำความรู้จักเพื่อน แต่การประชุมเชียร์ทำให้เราสนิทกัน ต่างคนก็มาจากต่างถิ่น แต่คงไม่มีใครที่หนีไม่พ้นความต้องการเพื่อนหรอก
สำหรับคนที่ตั้งกระทู้ เราคิดว่าเธอคงจะเป็นคนส่วนน้อยในคณะ อาจจะเพราะว่าเธอมองแต่ความลำบากของเธอฝ่ายเดียวโดยไม่ดูว่าเพื่อนๆคนอื่นเค้าก็เหนื่อยเช่นเดียวกับเธอ เธอคงไม่อยากมีเพื่อนเหรอ เวลาที่จะได้อยู่กับเพื่อนมันไม่มีคุณค่าใช่ไหม เธอก็เอาแต่คิดแบบคนใจแคบ เรามาเรียนที่นี่อยู่ไกลบ้านไกลถิ่น เธอลองใช่สมองคิดดูสิว่าใครจะเป็นคนช่วยเธอเมื่อเธอไม่สบาย เมื่อเธอมีปัญหา
เธออาจจะคิดว่าการประชุมเชียร์ทำให้ไม่มีเวลาอ่านหนังสือ เราว่า เธอมาเข้าคณะนี้ได้อย่างน้อยเธอก็ควรจะแบ่งเวลาออกว่าเวลาไหนควรทำอะไร อย่าคิดว่าตัวเองเหนื่อยอยู่คนเดียวเพราะว่าความคิดนี้มันเป็นความคิดของคนที่เห็นแก่ตัว และเธอก็อาจจะไม่ภูมิใจในการเป็นนักศึกษาแพทย์ ไม่ภูมิใจในการเป็นลูกพระบิดา และไม่ภูมิใจในสีเขียวของเรา
และประโยคสุดท้ายที่อยากบอกกับเธอคนที่ตั้งกะทู้นี้
"ไม่มีใครอยู่ได้โดยไม่มีเพื่อน" จำเอาไว้ซะ


Posted by : น้องปี 1 , Date : 2005-07-08 , Time : 10:03:43 , From IP : 172.29.2.159

ความคิดเห็นที่ : 26


   Principle of Autonomy
"สิทธิเสรีภาพที่ปัจเจกบุคคลพึงสามารถเลือกทางดำเนินชีวิตอย่างที่ตนเองต้องการ ตราบใดที่ไม่ได้ไปล่วงละเมิดสิทธิของผู้อื่น"

ถ้าของๆเราดีก็ทำไป มีคนติงก็ฟัง นำมาวิเคราะห์ เสนอความเห็นของเราไป สามารถทำได้โดย "ไม่ต้องตีค่า" ของคนอื่น ก็สามารถทำได้ หลักจริยธรรมข้อนี้น้องจะใช้บ่อยขึ้นเมื่อต้องขึ้น clinic และซักประวัติตรวจร่างกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาที่เราจะแนะนำ counseling คนไข้ ให้มี empowerment นั้น เราจะต้องเข้าใจในเรื่องความเชื่อ ความคิด ศรัททธา หรือศาสนาที่แตกต่างกันไปของผู้ป่วยและญาติ

ชีวิตการเรียนรู้ของน้องยังอีกยาวไกล อย่าพึ่งรีบด่วนตัดสินตนเอง ตัดสินเพื่อน ตัดสินใคร อีกหน่อยเราจะได้ไม่เผลอไปตัดสินคนไข้ว่าสุขของเขา "ต้อง" เป็นแบบที่เราเชื่อแบบเดียวเท่านั้น



Posted by : Phoenix , Date : 2005-07-08 , Time : 21:28:55 , From IP : adsl-203-156-38-130.

ความเห็นจาก Social Network : Facebook


สงวนสิทธิ์การแสดงความคิดเห็นสำหรับ สมาชิกเท่านั้น
>>>>> Page loaded: 0.01 seconds. <<<<<