แผ่นดินของทักษิณ
ชัยชนะด้วยมติพรรคของนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รมว.คมนาคม กรณีทุจริตซีทีเอ็กซ์ ไม่ใช่เรื่องนอกเหนือความคาดหมาย ไม่ว่าการทำตามมติของส.ส.ครั้งนี้มาจากความเชื่อมั่นต่อคำชี้แจง ต่อโภคทรัพย์ของรัฐมนตรี จิตสำนึกที่ต่ำ หรือ เพราะแส้ในมือของนายฮ้อยที่คอยควบคุมอยู่
ประชาชนส่วนใหญ่ที่ติดตามการอภิปรายล้วนเห็นว่า การชี้แจงของรัฐมนตรีสุริยะนั้น ไม่สามารถหักล้างข้อกล่าวหาและหลักฐานที่ฝ่ายค้านนำมาแสดงได้เลย มีแต่พรรคไทยรักไทย 367 คนและอาจมีบริวารว่านเครือเท่านั้นที่เห็นว่า คุณสุริยะชี้แจงได้ชัดเจน
สื่อมวลชนทุกสำนักมีความเห็นไปในทิศทางเดียวกัน โพลทุกสำนักที่สำรวจความเห็นของประชาชนมีความเห็นไปในทิศทางเดียวกัน ว่ารัฐมนตรีสอบตก
แต่มติของส.ส.ไทยรักไทยที่คนไทย 19 ล้านช่วยกันเลือกมาบอกว่า รัฐมนตรีสุริยะสอบผ่าน
คอยดูต่อไปว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จะจัดการกับเรื่องนี้อย่างไร จะปล่อยให้เรื่องนี้ผ่านไป โดยไม่ใส่ใจต่อหลักฐานทุจริต หรือแค่ปลดเปลี่ยนสลับที่นั่งรัฐมนตรี ผมคิดว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ทำได้ทั้งนั้นแหละครับ เพราะขนาดเคยเอาเก้าอี้รัฐมนตรีไปต่อรองเรื่องการยุบรวมพรรคมาแล้ว เอาเรื่องการทุจริต(คลองด่าน)ไปต่อรองการยุบรวมพรรคก็ทำมาแล้ว หรือไม่ก็คิดมุกอะไรใหม่ๆออกมาให้คนไทยลืม
เราคงได้เห็นแล้วว่า รัฐบาลไม่ได้จริงจังกับการพิสูจน์ความจริงในเรื่องนี้เลย รัฐบาลไม่ได้จริงจังกับการปราบปรามการทุจริต เช่นเดียวกับการทุจริตปล้นชาติปล้นแผ่นดินในทุกเรื่อง รวมทั้งการปล้นเอาจากคนยากจนเกษตรกร เช่น กล้ายาง ลำไย เพราะผู้นำรัฐบาลคงเชื่อมั่นว่า ไม่มีอำนาจอะไรที่จะมาแตะต้องรัฐบาลชุดนี้ได้
ผมอยากให้สังคมทำใจครับ คิดเสียเถอะว่า คงจะไม่มีอะไรแย่ไปกว่านี้แล้ว เพราะโพลก็บอกแล้วว่า คนที่มีภาพลักษณ์เรื่องทุจริตแย่ที่สุดรองจากคุณสุริยะ ชื่อ ทักษิณ ชินวัตร ครับ
นับจากนี้สังคมไทยคงต้องหันมาตั้งคำถามกันเองว่า เราจะจัดการกับการทุจริตคอร์รัปชันอย่างไร หากเราไม่สามารถทำให้ผู้นำประเทศมีหิริโอตตัปปะได้ เราไม่สามารถพึ่งพากลไกของประเทศเช่นองค์กรอิสระได้ เราไม่สามารถพึ่งพาฝ่ายนิติบัญญัติได้ ไม่ว่าจะเป็นเสียงของส.ส. และวุฒิสภาที่กลายเป็นองค์กรที่ฝักใฝ่พรรคการเมือง
อำนาจรัฐภายใต้การควบคุมของ "นายผู้ชาย" "นายผู้หญิง" "เลขาฯนาย" "น้องนาย"นับจากนี้จะครอบงำไปทุกส่วนของสังคมไทย การทุจริตไม่มีความหมายอะไรตราบเท่าที่นายฮ้อยยังสามารถหาหญ้ามาป้อนให้วัวกินได้
สังคมไทยจะกลายเป็นสังคม 2 มาตรฐานชัดขึ้นเรื่อยๆ กฎหมายที่ใช้กับญาติมิตรของรัฐบาลเป็นอย่างหนึ่ง และใช้กับคนอื่นเป็นอีกอย่างหนึ่ง
การอภิปรายงบประมาณที่ผ่านมา คำถามที่รัฐบาลไม่ตอบก็คือ ที่ฝ่ายค้านลุกขึ้นมาตั้งคำถามเรื่องภาษี กรณีพ.ต.ท.ทักษิณ และคุณหญิงพจมาน โอนหุ้นชินคอร์ป ให้บุตรชาย พี่ชาย และน้องสาว โดยโอนนอกตลาดหลักทรัพย์ฯ ราคาพาร์ 10 บาท เกิดส่วนต่าง ต้องนำมาประเมินเพื่อเสียภาษี แต่กลับไม่ได้เสียภาษี
เพราะรองอธิบดีกรมสรรพากรขณะนั้น แถลงว่า ที่ไม่เก็บภาษีเพราะผู้รับโอนยังไม่ได้ขายหุ้นที่ได้รับ จึงยังไม่ได้รับผลประโยชน์ คำวินิจฉัยนี้ต่างจากคำคำวินิจฉัยที่ 28/2538 ลงนามโดยนายอรัญ ธรรมโน ปลัดกระทรวงการคลังขณะนั้น ที่ระบุว่าการโอนหุ้นต่ำกว่าราคาตลาด หากมีส่วนต่าง แม้ผู้รับโอนจะยังไม่ได้ขายหุ้นต้องนำส่วนต่างมาคำนวณภาษี
ขณะที่หลังจากนั้นมีผู้ได้รับโอนหุ้นบริษัท ทางด่วนกรุงเทพ จำกัด(มหาชน) จากบิดาในราคาพาร์ 10 บาท ขณะที่ราคาตลาดหุ้นละ 21 บาท 5,000 หุ้น มีส่วนต่าง 55,000 บาท หากยึดตามคำวินิจฉัยของกรณีปี 2543 ก็ไม่ต้องเสียภาษีเช่นเดียวกับครอบครัวชินวัตร แต่กรมสรรพากรบอกว่า เสียภาษีไม่ถูกต้อง ต้องเสียภาษีจากส่วนต่างราคาหุ้นด้วย โดยอ้างคำวินิจฉัยที่ 28/2538
ตราบที่แผ่นดินยังไม่ร้องไห้คนไทยต้องอดทนกันต่อไปครับ
คนอีกกลุ่มที่ผมสังเวชเหลือเกิน คนกลุ่มที่เรียกว่า คนเดือนตุลาในรัฐบาลครับ สุธรรม แสงประทุม อดิศร เพียงเกษ ภูมิธรรม เวชยชัย ฯลฯ ผมคิดว่า สังคมไทยน่าจะบอกเล่าปัจจุบันของคนเหล่านี้ ต่อท้ายไว้ในประวัติศาสตร์เดือนตุลาด้วยนะครับ
นับจากนี้ประชาชนเองก็คงต้องดิ้นรนเพื่อมีชีวิตให้อยู่รอดในสังคม ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว สินค้าขึ้นราคา ข้าวยากหมากแพง และค่าแรงต่ำ สวนทางกับการเติบโตของบริษัทบริวารของผู้มีอำนาจ ตัวเลขการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่รัฐบาลพยายามปั้นตัวเลขนั้นเป็นเพียงเรื่องของคนหยิบมือ ใครที่ขวางหูขวางตาจะถูกอำนาจรัฐ และอำนาจธุรกิจปิดปากปิดตามัดมือชก
ผมอยากย้อนกลับไปที่วารสารการเงินการธนาคารได้จัดอันดับ 500 เศรษฐีหุ้นเมื่อปลายปี โดยเฉพาะของครอบครัวนายกรัฐมนตรีเอาไว้อีกครั้ง
ตระกูลชินวัตรมีมูลค่าหุ้น 31,543.75 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2546 กว่า 70 % และเพิ่มขึ้นจากปี 2544 ปีแรกของรัฐบาลทักษิณถึง 147 % โดยในปี 2544 ตระกูลชินวัตรมีมูลค่าหุ้นรวม 12,768.20 ล้านบาท
เมื่อเปรียบเทียบตัวเลขมูลค่าหุ้นจากปีแรกของรัฐบาลทักษิณ 2544 ถึง ปี 2547 ซึ่งเป็นปีสุดท้ายของรัฐบาลทักษิณสมัยแรก ตระกูลชินวัตรรวยขึ้นกว่าเดิมเกือบ 3 เท่า
และเมื่อรวมกับตระกูลดามาพงศ์ นามสกุลเดิมของคุณหญิงพจมาน ในปี 2544 มีมูลค่าหุ้นจำนวน 6,470 ล้านบาท ปี 2547 มีมูลค่าหุ้นถึง 15,267.24 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 135 % นั่นคือ เพิ่มขึ้นเกือบๆ 3 เท่าเช่นเดียวกัน
เมื่อรวม 2 ตระกูลเข้าด้วยกัน ปี 2544 มีมูลค่าหุ้น 19,239.08 ล้านบาท แต่ปี 2547 มีมูลค่าหุ้นรวมกันถึง 46,810.99 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 143 % นี่เป็นเพียงตัวเลขในตลาดหุ้นที่ยังไม่รวมถึงทรัพย์สินอื่นๆนะครับ
ผมไม่ได้อิจฉาเขาหรอกครับ ดูพ.ต.ท.ทักษิณบริหารประเทศ ดูพ.ต.ท.ทักษิณ การันตีว่าคุณสุริยะไม่โกงหน้าตาระรื่น ทั้งๆที่สังคมเชื่ออีกอย่าง สังคมไทยก็คงทำอะไรไม่ได้ นอกจากทำใจ
แผ่นดินนี้เป็นของพวกเขาไปแล้ว ใครอยู่ได้ก็อยู่ อยู่ไม่ได้ก็ตายครับ
Posted by : หมวยรักชาติ , Date : 2005-07-01 , Time : 09:36:36 , From IP : 172.29.3.253
|