ความคิดเห็นทั้งหมด : 5

"ฟ้าเป็นของทักษิณ ดินเป็นของซีพี"


   จากกัลยาณมิตรถึงนายกฯทักษิณ ชินวัตร (4) นี่ไง...ใบเสร็จซื้อเสียง !

โดย เซี่ยงเส้าหลง 20 มิถุนายน 2548 00:07 น.

เมื่อ 4 ปีก่อน ตอนเย็น ๆ เวลาประมาณ 17.45 - 18.00 น. ของวันศุกร์ที่ 3 สิงหาคม พุทธศักราช 2544 นายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร กล่าวไว้ตอนหนึ่งว่า....

“ต่อไปนี้ประเทศไทยจะไม่มีคำว่าปัญหาทางการเมืองอึมครึมอีกต่อไป ต่อไปนี้การตัดสินใจทุกเรื่องของรัฐบาลนี้จะตัดสินใจบนพื้นฐานแห่งอนาคตของชาติ ไม่ได้ตัดสินใจบนพื้นฐานของการเมืองแน่นอน”

“การเมืองจะไม่มีความหมายกับรัฐบาลนี้”

“รัฐบาลนี้จะทำทุกอย่างเพื่อตอบแทนน้ำใจและความปรารถนาดีของผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมืองที่ได้ให้กำลังใจกับผมมาตลอดในช่วงของฝันร้ายใน 5 - 6 เดือนที่ผ่านมา”

และในอีกตอนหนึ่งมีว่า....

“ผมอยากให้เครดิตทั้งหมดนี้เป็นเครดิตของคนไทยทั้งประเทศ เพื่อพระเจ้าอยู่หัวของเราครับ ท่านทรงเหนื่อยพระวรกายมามากแล้ว ทรงห่วงพสกนิกรทั้งประเทศ แต่วันนี้พวกเรามาช่วยกันแบ่งเบาพระราชภาระ ช่วยกันทำงาน ตามที่ท่านอยากเห็น มีพระราชประสงค์อยากเห็นคนไทยได้พ้นทุกข์ คนไทยได้หายยากจน”

เป็นคำกล่าวที่กินใจคนทั้งประเทศ

เป็นคำกล่าวที่กินใจคนทั้งประเทศที่เบื่อการเล่นการเมืองแบบเก่าที่คิดแต่เพียงคะแนนเสียงในการเลือกตั้งทั่วไปเท่านั้น

เป็นคำกล่าวที่กินใจคนทั้งประเทศที่คนทำงานคนสำคัญของนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตรถึงกับบันทึกที่มาที่ไปไว้เป็นหนังสื่อเล่มย่อม ๆ ชื่อ “นาทีเปลี่ยนประวัติศาสตร์” ทีเดียว

........................

อีก 3 ปีต่อมา....

วันที่ 18 กันยายน 2547 นายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตรให้สัมภาษณ์ก่อนกล่าวปาฐกถาเรื่อง “สิ่งที่ค้างคาใจนายกรัฐมนตรี” ในงานประกาศเกียรติคุณนักเรียนทุนรัฐบาลไทยดีเด่นประจำปี 2547 ถึงกรณีที่มีการปรามรัฐมนตรีไม่ให้นำเรื่องการหาเงินเข้าพรรคไทยรักไทยไปอ้างเพื่อขอเงินจากภาคเอกชนว่า...

“ได้สั่งรัฐมนตรีทุกคนว่า ไม่ต้องเอาเงินมาให้ผม หรือเอาเงินมาให้พรรค เพราะพรรคไทยรักไทยช่วยตัวเองได้ ดังนั้น ขอให้ทุกคนทำงานอย่างตรงไปตรงมา ทำโดยไม่ต้องเกรงใจใคร เอาบ้านเมืองเป็นหลัก”

“อย่าคิดว่าการจะได้เป็นรัฐมนตรี หรือไม่ได้เป็น อยู่ที่การให้เงินพรรค เพราะผมพิจารณาจากการทำงาน คนที่ทำงานดีมีความทุ่มเทก็มีโอกาส รับรองว่าการพิจารณาจะมาจากพื้นฐานของการทำงานเป็นหลัก”

ครั้นถึงช่วงการปาฐกถาพิเศษ “สิ่งที่ค้างคาใจนายกรัฐมนตรี” นายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตรบอกว่าการแก้ปัญหาคอร์รัปชั่นต้องใช้เวลา เพราะเป็นเรื่องที่กัดกินสังคมไทยมานาน จนกลายเป็นสัญลักษณ์ของประเทศ

“ถ้าเมื่อใดการเมืองมีต้นทุน เมื่อนั้นการแก้ปัญหาคอร์รัปชั่นไม่สามารถทำได้”

“เมื่อใดประชาชนยังรับเงินซื้อเสียง เมื่อนั้นประชาชนจะลำบากต่อไป”

“การเมืองในสมัยก่อนในตอนเลือกตั้งมีการไปขอทุนจากเอกชนมาใช้ในการเลือกตั้ง เมื่อเข้ามาเป็นรัฐบาลต้องตอบแทนบุญคุณ ทำให้ไม่มีผลงานอะไรให้แก่ประชาชน อยู่ไป 3 - 4 เดือนล้ม ต้องเลือกตั้งใหม่ ก็ต้องหาทุนใหม่ และตอบแทนบุญคุณ เป็นวงจรอย่างนี้ไปเรื่อยๆ

“เราจะเห็นว่าผู้รับเหมารายใหญ่กับนักการเมืองใหญ่คือคนๆ เดียวกัน”

............................

เมื่อไม่กี่วันมานี้

วันที่ 13 มิถุนายน 2548 นายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตรให้สัมภาษณ์ถึงโครงการนำร่องปลูกยาง 1 ล้านไร่ในจังหวัดพะเยาว่า

“ไม่มีปัญหาอะไร เพราะผมได้บอกกับทางซีพีที่เป็นผู้รับเหมา เขายืนยันว่าจะดูแล ไม่ยอมให้เสียชื่อ ขาดทุนไม่เป็นไร ไม่ต้องห่วง เขาจะดูแลอย่างดี และตรงไหนที่มันเสียหายหรือตาย ก็จะเปลี่ยนหมด ฉะนั้นไม่ต้องห่วงว่าเกษตรกรจะเดือดร้อน เพราะเขายืนยันว่าไม่ยอมเสียชื่อแน่นอน ขาดทุนเขาก็ไม่ว่า”

“บังเอิญมันเกิดในช่วงหนึ่งที่ใกล้เลือกตั้ง ผู้แทนฯเร่งเอาไปแจกชาวบ้าน โดยที่ช่วงนั้นเขาไม่แนะนำให้นำไปปลูก เพราะฝนมันไม่มี แต่ก็ยังรีบไปแจก พอแจกไปก็ตาย พอมันตายชาวบ้านก็เลยเดือดร้อนเพราะไปปลูกแล้วตาย อันนี้ทางกระทรวงเกษตรฯกับทางซีพีจะประสานกันไปแก้ไข”

เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า แสดงว่าความผิดอยู่ที่ผู้แทนฯเร่งไปแจกใช่หรือไม่ นายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตรกล่าวว่า...

“คนมันรีบเอาไปแจกกัน พอดีช่วงนั้นก่อนเลือกตั้งนิดหน่อย คล้าย ๆ กับคงบอกว่าประชาชนทวงแล้ว ถึงเวลาแล้วต้องเอาไปให้ ขณะที่ทางกระทรวงเกษตรฯก็ไปเบรกว่าฝนมันไม่มี เดี๋ยวไปปลูกแล้วตาย และมันก็ตายจริงๆ – แต่ทั้งหมดก็มีไม่มาก”


เมื่อถามว่าเกี่ยวกับการทุจริตหรือไม่ นายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตรกล่าวว่า...

“ไม่เกี่ยว ถ้าเป็นเรื่องทุจริต ทางซีพีก็ไม่ต้องมารับผิดชอบหรอก ซีพีเขายืนยันเลยว่าพร้อมที่จะมาทดแทนให้ โดยที่ขาดทุนเขาก็ยอม เพราะเขาไม่ยอมให้เสียชื่อ ถ้าเป็นการทุจริต เรื่องอะไรซีพีเขาจะมารับผิดชอบ”

เมื่อถามว่าที่บอกว่านำไปแจกก่อนเลือกตั้งเป็นช่วงเดือนไหน นายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตรกล่าวว่า แถว ๆ เดือนกันยายน มันเป็นก่อนเลือกตั้งที่ไม่ผิดกฎหมายเลือกตั้ง

......................................

คำกล่าวของนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตรเมื่อวันที่ 13 มิถุนายน 2548 คือใบเสร็จ

ไม่ใช่แค่ใบเสร็จที่ยืนยันว่า “ฟ้าเป็นของทักษิณ ดินเป็นของซีพี” เท่านั้น

แต่ยังเป็นใบเสร็จที่ยืนยันว่านายกรัฐมนตรีคนนี้ “เสียสัจจะ” ที่ให้ไว้กับประชาชน

เพราะนอกจากจะไม่สร้างการเมืองใหม่ขึ้นมาแล้ว ยังพัฒนาการเมืองเก่าให้แยบยลลึกซึ้งและหลอกลวงมากยิ่งขึ้นไปอีก

..................................


โครงการส่งเสริมปลูกยาง 1 ล้านไร่ที่เริ่มต้นด้วยหลักการอันสวยหรู แต่ดำเนินการด้วยความไม่โปร่งใสในทุกขั้นตอน ได้สร้างหนี้สินสร้างความเสียหายให้แก่เกษตรกรอย่างย่อยยับโดยหาผู้รับผิดชอบไม่ได้ มิหนำซ้ำเกษตรกรนับแสนครอบครัวยังต้องลุ้นระทึกในอีก 7 ปีข้างหน้าว่า “ยางทักษิณ” ที่ “รัฐบาลไร้ยางอาย” แจกจ่ายนั้นจะให้น้ำยางคุ้มค่าต่อการลงทุนหรือไม่ จบลงง่าย ๆ เพียงการรับประกันของนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร

มีประเด็นที่จะต้อง “โชว์ใบเสร็จ” และ “จับโกหก” กันอีกมากมาย

แต่เฉพาะวันนี้ – จะ “โชว์ใบเสร็จ” กันเฉพาะประเด็นการเพิ่มรายชื่อเกษตรกรเพื่อหาเสียง และผู้สมัครส.ส.บางคนของพรรคไทยรักไทยรับโควตาทำยางชำถุงขายให้ซีพี เป็นการกิน 2 ต่อ

เพราะนี่คือสุดยอดของการเมืองเก่าที่ทั้งแยบยล ลึกซึ้ง และหลอกลวงประชาชน

ที่จะเกิดขึ้นไม่ได้ หากไม่ได้รับการสนับสนุนส่งเสริมจากนโยบายของรัฐบาลผ่านทางกระทรวงเกษตรฯ

...................................



ต้นยางของเกษตรกรบ้านมอเจริญ อ.แม่วงศ์ จ.นครสวรรค์ ที่ตายเพราะแล้งและกล้าที่ได้รับไม่สมบูรณ์


นายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตรยอมรับว่า กล้ายางฯที่แจกไปแล้วตายนั้น เป็นเพราะส.ส.รีบนำไปแจกก่อนเลือกตั้ง

นั่นหมายถึงการเร่งรีบตั้งโครงการและดำเนินการอย่างร้อนรนเพื่อสนองเป้าหมายทางการเมือง

โดยไม่ได้คิดถึงสิ่งที่เกษตรกรจะได้รับประโยชน์อย่างแท้จริง

เรื่องนี้พูดลอย ๆ ไม่ได้

ต้องลำดับการเร่งรัดโครงการ การเพิ่มพื้นที่เป้าหมาย และการเพิ่มจำนวนเกษตรกรเข้าร่วมโครงการ เพื่อหวังผลทางการเมืองเอา “ยางทักษิณ” ไปแจกแลกคะแนนเสียง ให้เห็นกันกระจะ ๆ

......................................

26 พฤษภาคม 2546 คณะรัฐมนตรีอนุมัติเห็นชอบโครงการเป้าหมาย 1 ล้านไร่ แยกเป็นภาคอีสาน 7 แสนไร่ และภาคเหนือ 3 แสนไร่

19 มิถุนายน 2546 ฉกรรจ์ แสงรักษาวงศ์ อธิบดีกรมวิชาการเกษตร ออกประกาศกรมวิชาการเกษตร ที่ 4/2546 เรื่องประกวดราคาจ้างเหมาผลิตต้นยางชำถุง

20 มิถุนายน 2546 แต่งตั้งคณะกรรมการคัดเลือกเกษตรกรเข้าร่วมโครงการฯ ฉกรรจ์ แสงรักษาวงศ์ เป็นประธานคัดเลือก เนวิน ชิดชอบ รมช.เกษตรฯ เซ็นคำสั่งแต่งตั้ง

26 มิถุนายน 2546 สรอรรถ กลิ่นประทุม รมว.เกษตรฯ ประกาศกระทรวงฯกำหนดพื้นที่เป้าหมายปลูกยางเพื่อยกระดับรายได้และความมั่นคงให้เกษตรกรในพื้นที่ปลูกยางใหม่ ระยะที่ 1 ในภาคเหนือ 7 จังหวัด คือ เชียงราย, เชียงใหม่, พะเยา, น่าน, ลำปาง, แพร่, ลำพูน ส่วนภาคอีสาน มี 13 จังหวัด คือ กาฬสินธุ์, บุรีรัมย์, มุกดาหาร, เลย, นครพนม, สกลนคร, สุรินทร์, หนองคาย, อุดรธานี, อุบลราชธานี, อำนาจเจริญ, ยโสธร และศรีสะเกษ

30 มิถุนายน 2546 สรอรรถ กลิ่นประทุม ประกาศหลักเกณฑ์การเข้าร่วมโครงการฯ ที่สำคัญคือ เกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการที่ไม่เคยมีสวนยางมาก่อนจะได้รับอนุมัติให้ปลูกยางไม่น้อยกว่า 7 ไร่ และไม่เกิน 30 ไร่

29 กรกฎาคม 2546 คณะกรรมการพิจารณาผลการประกวดราคาฯ ที่มีจิรากรณ์ โกศัยเสวี รองอธิบดีกรมวิชาการเกษตร เป็นประธาน คัดเลือกบริษัทเจริญโภคภัณฑ์เมล็ดพันธุ์จำกัด เป็นผู้ชนะประมูล

13 สิงหาคม 2546 สรอรรถ กลิ่นประทุม ขยายพื้นที่ปลูกยางเพิ่มเติมในภาคอีสานอีก 6 จังหวัด คือ ขอนแก่น, ชัยภูมิ, หนองบัวลำภู, นครราชสีมา, ร้อยเอ็ด, มหาสารคาม พร้อมกับขยายเวลารับสมัครเกษตรกรเข้าร่วมโครงการไปถึง 30 กันยายน 2546

10 พฤศจิกายน 2546 เนวิน ชิดชอบ รมช.เกษตรฯ ปฏิบัติราชการแทนรมว.กระทรวงเกษตรฯ เซ็นคำสั่งประกาศเพิ่มพื้นที่เป้าหมายอีก 10 จังหวัดในภาคเหนือ ตามรายการ “คุณขอมา” เพราะส.ส.อยากได้กล้ายางไปแจกชาวบ้าน คือ พิษณุโลก แม่ฮ่องสอน กำแพงเพชร ตาก สุโขทัย อุตรดิตถ์ พิจิตร นครสวรรค์ อุทัยธานี เพชรบูรณ์ และกำหนดรับสมัครเกษตรกรเข้าร่วมโครงการถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2546

10 พฤศจิกายน 2546 ในช่วงเช้าวันนี้ เนวิน ชิดชอบเซ็นอนุมัติรับราคาตามผลการประกวดราคาว่าจ้างซีพีผลิตต้นยางชำถุงตามที่ฉกรรจ์ แสงรักษาวงศ์เสนอมา ทั้ง ๆ ที่ในช่วงบ่าย สมศักดิ์ เทพสุทินจะเข้าเฝ้าถวายสัตย์ปฏิญาณเข้ารับตำแหน่งรมว.เกษตรฯ

17 พฤศจิกายน 2546 กรมวิชาการเกษตรเซ็นสัญญาว่าจ้างซีพี ผลิตต้นยางชำถุง 90 ล้านต้น วงเงิน 1,397 ล้านบาท จากราคากลาง 1,440 ล้านบาท

29 มีนาคม 2547 ประกาศรายชื่อเกษตรกรมีสิทธิ์เข้าร่วมโครงการฯจำนวน 106,235 ราย เนื้อที่ 844,024 ไร่ แยกเป็นภาคอีสาน 81,828 ราย เนื้อที่ 631,058 ไร่ และภาคเหนือ 24,407 ราย เนื้อที่ 212,966 ไร่ ลงนามอนุมัติโดยสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.กระทรวงเกษตรฯ

28 พฤษภาคม 2547 ประกาศรายชื่อเกษตรกรมีสิทธิ์เข้าร่วมโครงการเพิ่มเติมจำนวน 34,880 ราย เนื้อที่ 139,512 ไร่ แบ่งเป็นภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 397 ราย เนื้อที่ 1,588 ไร่ เซ็นอนุมัติโดยสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.เกษตรฯ

13 กันยายน 2547 ประกาศรายชื่อเกษตรกรมีสิทธิ์เข้าร่วมโครงการเพิ่มเติม ในจังหวัดกาฬสินธุ์ 1,185 ราย พื้นที่ 11,850 ไร่ เซ็นอนุมัติโดยสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.เกษตรฯ

...............................

คำถามคือ ทำไมถึงประกาศพื้นที่เป้าหมายถึง 3 ครั้ง

คำตอบตรงไปตรงมาก็คือ เป็นเพราะส.ส.อยากหาเสียง อยากเอากล้ายางไปแจก จากเดิมซึ่งน่าจะเป็นพื้นที่ที่เหมาะสมสำหรับปลูกยางจริง ๆ แค่ 20 จังหวัดในภาคเหนือและอีสาน ก็กลายมาเป็น 36 จังหวัด

ส่วนรายชื่อเกษตรกรที่มีสิทธิ์เข้าร่วมโครงการก็เพิ่มเติมเข้ามาถึง 3 รอบ

จะเห็นว่าแม้กระทั่งในวันที่ 13 กันยายน 2547 ซึ่งเข้าปลายฤดูฝนแล้ว หมดฝนแล้ว ก็ยังประกาศรายชื่อเกษตรกรที่มีสิทธิ์ปลูกในปี 2547 อีก

เรื่องนี้ ทำไมนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตรไม่พูดบ้าง

เพราะเรื่องที่เกิดขึ้นตามที่ลำดับให้เห็น มันไม่ใช่แค่ส.ส.อยากแจก แต่มันเป็นเรื่องนี้นโยบายของรัฐบาลยินยอมให้มีการเข้าร่วมโครงการอย่างชนิดมุ่งปริมาณมากกว่าคุณภาพ และยอมให้จนถึงช่วงเวลาที่ไม่เหมาะแก่การปลูกแล้ว

ซึ่งเด็กอนุบาลก็พอจะคาดหมายได้ว่าการขยันรับใช้ประชาชนเช่นนี้คงไม่เกิดขึ้น ถ้าทุกคนไม่รู้อยู่แน่ ๆ แล้วว่าภายในปลายปี 2547 หรือต้นปี 2548 จะต้องมีการเลือกตั้งทั่วไปครั้งใหม่เกิดขึ้น

เยี่ยงนี้เป็นการซื้อเสียงหรือไม่ – เด็กอนุบาลก็ตอบได้

แต่แน่นอน – ต้องเป็นคำตอบที่ตรงกันข้ามกับการวินิจฉัยของก.ก.ต.ชุดปัจจุบัน

..............................




Posted by : ร่วมด้วยช่วยกันแฉ่ , Date : 2005-06-24 , Time : 11:58:37 , From IP : 172.29.1.174

ความคิดเห็นที่ : 1


   ขออนุญาตมี “บทแทรก” ตรงนี้สักเล็กน้อยว่าตามลำดับความเป็นมาของโครงการนี่เน้นตัวหนาไว้ 2 วัน คือวันที่ 10 พฤศจิกายน 2546 และวันที่ 13 กันยายน 2547 นั้น

ทำไมสมศักดิ์ เทพสุทินไม่โวยวายเนวิน ชิดชอบว่าเหตุไฉนจึงเร่งเซ็นอนุมัติในช่วงเช้าวันที่ 10 พฤศจิกายน 2547 ไม่รอให้รัฐมนตรีการคนใหม่เข้ามาทำงานเสียก่อน

ทั้ง ๆ ที่สมศักดิ์ เทพสุทินได้รับโปรดเกล้าให้เป็นรัฐมนตรีว่าการแล้ว รอแต่เพียงขั้นตอนเข้าเฝ้าถวายสัตย์ปฏิญาณในตอนบ่ายวันนั้นเท่านั้นเอง

และก็รู้ ๆ กันอยู่ว่าระยะหลังสมศักดิ์ เทพสุทิน “รัก” เนวิน ชิดชอบขนาดไหน ?

คำตอบมีอยู่ว่าเพราะเนวิน ชิดชอบก็ “มีใบเสร็จ” อยู่ในมือเหมือนกัน

เพราะสมศักดิ์ เทพสุทินลงนามในประกาศเพิ่มรายชื่อเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการนั้น หากเจาะลึกลงไปแล้วจะพบความไม่ชอบมาพากลอยู่บางประการ

โดยเฉพาะลอตสุดท้ายเมื่อล่ามาถึงช่วงหมดฝนวันที่ 13 กันยายน 2547 นั่นแหละ

นอกจาก “ผิดเวลา” แล้วยังมี “เกษตรกรผี” เข้าร่วมโครงการด้วยจำนวนหนึ่ง

งานนี้ สมศักดิ์ เทพสุทินจึงได้แต่เงียบ

เพราะในเรื่องการขยายพื้นที่เป้าหมาย และเพิ่มรายชื่อเกษตรกรเพื่อรับเลือกตั้งนี้ ผอ.สำนักงานกองทุนสงเคราะห์การทำสวนยางประจำจังหวัดต่าง ๆ ซึ่งส่วนใหญ่ถูกเรียกตัวด่วนจากภาคใต้ให้เข้ามารับผิดชอบพื้นที่ภาคเหนือ-ภาคอีสานเพื่อรองรับโครงการนี้ ต่างรับรู้เป็นอย่างดี

และไม่อยากกล่าวโทษซีพีที่ผลิตกล้าส่งให้ไม่ทันแต่เพียงฝ่ายเดียว

โดยเฉพาะในจังหวัดที่ประกาศเพิ่มเติมเข้ามา

เพราะรู้อยู่ว่าเป็นรายการ “คุณขอมา” และถึงอย่างไรซีพีก็ผลิตยางชำถุงให้ไม่ทันอยู่แล้ว เนื่องจากไม่ได้เตรียมการไว้และไม่มีประสบการณ์เรื่องยางมาก่อน

.......................

นั่นคือ – การกินต่อที่ 1

.......................

จากนี้ไปคือ – การกินต่อที่ 2



สภาพแปลงยางชำถุงในฟาร์มกำแพงเพชร จ.กำแพงเพชร เครือซีพี ที่ถูกทิ้งร้างเนื่องจากปีที่ผ่านมาแปลงแห่งนี้เพาะยางชำถุงจำนวนล้านต้นแต่ได้มาตรฐานพร้อมส่งมอบเพียง 5 แสนต้น


ส.ส. และนักการเมืองท้องถิ่น หรือหัวคะแนนส.ส. ไปรับโควตาการผลิตต้นยางชำถุงจากซีพี มาทำ

เพราะซีพีไม่ได้ทำหน้าที่เป็น “ผู้ผลิต” แต่ทำหน้าที่เป็น “ผู้จัดหา” หรือ “โบรกเกอร์” เท่านั้น

ไม่ต่างจาก “เสี่ยเช - แพรททิออท” ที่กินหัวคิวซีทีเอ็กซ์ 9000 เท่าใดนัก

เพราะแปลงกิ่งตาพันธุ์และแปลงกล้ายางที่ซีพี ใช้ประกอบการยื่นประมูล ก็ไป “รวบรวม” หรือ “หยิบยืม” แปลงเกษตรกรมา ไม่ได้เป็นแปลงผลิตกล้าและผลิตกิ่งพันธุ์ของซีพีแต่อย่างใด

จึงต่อเนื่องไปถึงการผลิตยางชำถุง

เมื่อไม่มีแหล่งกิ่งตาแหล่งกล้าของตนเอง ก็ต้องไปกว้านซื้อมา

........................

ต้นยางชำถุงของซีพี มาจากไหน

1. ซีพีไปกว้านซื้อ “ต้นตอยาง” ที่ติดตากิ่งพันธุ์หรือกิ่งตาสอยจากต้นแก่หรือไม่ก็ไม่มีใครพิสูจน์ได้ มาจากแหล่งขยายพันธุ์ที่ภาคใต้ ส่วนใหญ่มาจากจังหวัดตรัง โดยทำสัญญาซื้อมาจากเกษตรกรผู้ผลิตในราคาต้นตอละ 4.50 บาท แล้วนำมาส่งให้กับเครือข่ายส.ส.ในพื้นที่เป้าหมายโครงการในภาคอีสาน-เหนือ นำมาชำถุง เป็น “ต้นยางชำถุง” เมื่อแตกยอด 1 ฉัตร หรือ 1 ชั้น ก็นำไปขายคืนให้กับซีพีในราคา 11.50 บาท จากนั้นซีพีก็นำไปขายต่อให้กรมวิชาการเกษตร ในราคา 15.50 บาท

2. ซีพี ไปกว้านซื้อต้นยางชำถุงจากแหล่งขยายพันธุ์ยาง โดยทำสัญญาซื้อขายจากลูกช่วงเหล่านี้ ในราคา 11.50 บาท แล้วซีพีนำไปขายต่อให้กรมวิชาการฯ ในราคา 15.50 บาท

ส่วนต่างจากการเข้ามา “จับเสือมือเปล่า” เป็นเงินหลายร้อยล้านนี้จ่ายค่าหัวคิวให้ใครในช่วงสำคัญที่ต้องมี “กระสุน” สำหรับเลือกตั้ง – ก็น่าจะคาดเดาได้ไม่ยาก

ปัญหาคือหัวสมองอันชาญฉลาดของนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตรกลับไม่พยายามคิดถึงเรื่องง่าย ๆ แค่นี้แม้แต่น้อย

.............................



ต้นยางแก่ที่ถูกตัดกิ่งให้ถอดยอดแล้วสอยนำมาติดตาชำยางถุงขายเข้าโครงการยางล้านไร่






แปลงกิ่งตาสอยที่มีอยู่เกลี่อนกลาดทั่วไปในจ.ตรังและละแวกใกล้เคียง


ก็ในเมื่อบรรดาส.ส.ผู้ทรงเกียรติทั้งหลายกะเอาทั้งคะแนนเสียงเอาทั้งเงินเช่นนี้

จึงไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดสักเท่าใดที่เรื่องนี้แทบจะไม่มีส.ส.เข้ามาทำหน้าที่ตรวจสอบความเสียหายที่เกิดขึ้นจากโครงการ

โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเด็นทุจริต ยิ่งไม่มีใครกล้าแตะ

เพราะกลัวเจอพวกเดียวกันเอง

..............................

ส.ส.เร่งแจกกล้ายาง ผลออกมาเป็นอย่างไรก็คงรู้กันแล้ว

เพียงแต่ว่าหน่วยงานผู้รับผิดชอบต่างโทษเทวดา โทษฟ้า โทษดิน

ลืมนึกข้อเท็จจริงไปว่าการเตรียมกิ่งตาพันธุ์ และการเตรียมกล้ายาง ต้องใช้เวลา ตามขั้นตอนพอสมควร

ไม่ใช่ว่าจะทำเอาแบบ “แดกด่วน” เช่นนี้

พอเกิดความเสียหายขึ้นมา เกษตรกรลงทุนสูญเปล่าย่อยยับ -- ใครรับผิดชอบ ?



ต้นยางตายในแปลงปลูกของเกษตกรบ้านนาสูบ อ.เมือง จ.เลย


ข้อมูลรายงานการตรวจสอบต้นยางตายและผลดำเนินงานโครงการปลูกยางล้านไร่ เมื่อปี 2547 ของสำนักงานกองทุนสงเคราะห์สวนยาง ระบุชัดว่าต้นยางที่ปลูกในปี 2547 จำนวน 13.4 ล้านต้น ตายเพราะกระทบแล้งกว่า 20 % หรือ 2.62 ล้านต้น (90 ต้น/ไร่ รวม 29,124 ไร่) ส่วนเกษตรกรซึ่งเตรียมพื้นที่พร้อมปลูกยางแต่ไม่ได้รับยางชำถุง เมื่อปี 2547 รวม 3.45 ล้านต้น (38,385 ไร่)

จากตัวเลขดังกล่าว เมื่อประมาณการค่าลงทุนเตรียมพื้นที่ปลูกประมาณ 1,500 บาท/ไร่ (ค่าไถและค่าขุดหลุม) และค่าต้นยางชำถุงต่อไร่ 1,400 บาท ราคาต้นละ 16 บาท (1 ไร่ปลูก 90 ต้น) ขณะที่ราคาตลาดประมาณ 18 – 20 บาทต่อต้น หากเกษตรกรต้องซื้อปลูกเองก็ต้องลงทุนเพิ่มขึ้นอีก

คิดเป็นมูลค่าความเสียหายไม่ต่ำกว่า 100 ล้านบาท

ค่าลงทุนเตรียมพื้นที่และค่าเสียโอกาสของเกษตรกร -- ทางกระทรวงเกษตรฯและซีพีไม่ได้รับผิดชอบแต่อย่างใด

อย่าถามถึงส.ส.ที่เอากล้ายางไปแจกแลกคะแนนเสียง -- ป่านนี้ไม่รู้หายหัวไปไหนหมด

ไม่มีใครไปดูดำดูดีชาวบ้านที่รอความหวังว่า “หลวงจะช่วย” ทั้งกล้ายางปลูกใหม่และค่าลงทุนที่สูญไปกับ “ยางทักษิณ” ตั้งแต่ปี 2547

อย่าแปลกใจที่เกษตรกรในโครงการเขาไม่ไว้ใจรัฐบาล และถอนตัวจากโครงการ

ในบางจังหวัดมีมากถึง 30 เปอร์เซ็นต์

โดยเฉพาะพื้นที่จังหวัดบุรีรัมย์ของเนวิน ชิดชอบที่มีผู้ถอนตัวสูงในอันดับต้น ๆ

เพราะฉะนั้นอย่าได้คิดปลอบใจตัวเองว่าพรรคไทยรักไทยเสียคะแนนนิยมแต่เฉพาะในกรุงเทพมหานครและเมืองใหญ่

กรณีโกง 3 ชั้นที่เอาความหวังของเกษตรกรที่จะได้มีอาชีพใหม่ที่มีโอกาสพ้นจากความยากจนในอนาคตมาเป็นเหยื่อในการหาเสียงแบบหน้าด้าน ๆ พอเสียหายขึ้นมาก็หนีหน้า แถมยังรับประกันให้บริษัทเอกชนอีกต่างหากนี้ กำลังบั่นทอนศรัทธาของประชาชนในต่างจังหวัด โดยเฉพาะภาคเหนือและภาคอีสาน ที่มีต่อพรรคไทยรักไทย ให้ตกลงอย่างรวดเร็ว

ได้เคยชี้ให้เห็นใน “จากกัลยาณมิตรถึงนายกฯทักษิณ ชินวัตร (1)” แล้วว่า ประชาชนที่เคยสงสัยมาตลอดถึงความสัมพันธ์ระหว่างท่านนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร กับซีพี เหตุไฉนจึงเสมือนเกินระดับปกติ ขนาดปรับคณะรัฐมนตรีกี่ครั้งต่อกี่ครั้ง อย่างไรเสียก็ต้องมีคนที่มีสัมพันธ์ใกล้ชิดกับซีพีร่วมเป็นรัฐมนตรีด้วยอย่างน้อย 1 คนทุกครั้งไป !

หรือว่าซีพีคือ “หุ้นส่วนทางการเมือง” ที่จะขาดเสียมิได้ ?

อ้าว ก็ไหนว่าพรรคการเมืองของท่านนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตรไม่ต้องการให้ใครมาบริจาคไงล่ะ ก็ไหนว่าท่านมีเงินมากพอแล้วจึงขอแต่เพียงให้รัฐมนตรีทุกคนตั้งใจทำงานให้ดีที่สุดไงล่ะ ไม่ติดกับโควตาไงล่ะ

คนที่สนใจในเรื่องเหล่านี้ที่ไม่ใช่ “ขาประจำ” แต่ “ความจำดี” จะเริ่มรื้อฟื้นความทรงจำในรอบ 4 – 6 ปีนี้ขึ้นมาทีละช็อตทีละฉาก

แล้วสรุปว่า – สิ่งที่ “นายกรัฐมนตรีพูด” กับสิ่งที่ “นายกรัฐมนตรีทำ” นั้นตรงกันข้ามกันหมด !

...................................

กรณีกล้ายางเป็นเพียงตัวอย่างหนึ่งในนโยบายสารพัดเอื้ออาทรทั้งหลาย
ว่าเมื่อพ้นจากคะแนนนิยมเฉพาะหน้าไปแล้ว

หากเกิดความเสียหายใหญ่หลวงในอนาคตขึ้นมาเมื่อถึงเวลานั้นไอ้หน้าไหนจะเสนอหน้ามารับผิดชอบ

...................................

“ต่อไปนี้การตัดสินใจทุกเรื่องของรัฐบาลนี้จะตัดสินใจบนพื้นฐานแห่งอนาคตของชาติ ไม่ได้ตัดสินใจบนพื้นฐานของการเมืองแน่นอน”

“การเมืองจะไม่มีความหมายกับรัฐบาลนี้”

“รัฐบาลนี้จะทำทุกอย่างเพื่อตอบแทนน้ำใจและความปรารถนาดีของผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมืองที่ได้ให้กำลังใจกับผมมาตลอด”

“ผมอยากให้เครดิตทั้งหมดนี้เป็นเครดิตของคนไทยทั้งประเทศ เพื่อพระเจ้าอยู่หัวของเราครับ ท่านทรงเหนื่อยพระวรกายมามากแล้ว ทรงห่วงพสกนิกรทั้งประเทศ แต่วันนี้พวกเรามาช่วยกันแบ่งเบาพระราชภาระ ช่วยกันทำงาน ตามที่ท่านอยากเห็น มีพระราชประสงค์อยากเห็นคนไทยได้พ้นทุกข์ คนไทยได้หายยากจน”

คำกล่าวของนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตรไม่ได้มีคุณค่าระดับ “นาทีที่เปลี่ยนประวัติศาสตร์” อีกต่อไป

เพราะได้แปรสภาพเป็น “นาทีที่ประวัติศาสตร์จับโกหกได้” ไปเรียบร้อยแล้ว



Posted by : ร่วมด้วยช่วยกันแฉ่ , Date : 2005-06-24 , Time : 11:59:26 , From IP : 172.29.1.174

ความคิดเห็นที่ : 2


   วันนี้ขอนำเสนอมหกรรมการโกงชาติระดับโลก.............. เฮ้อ
>แพทริอทและอินวิชั่น
>
>ทักษิณ มีน้องสาวชื่อเยาวภา
>เยาวภา มีลูกสาวชื่อชินณิชา
>ชินณิชา ถือหุ้นในแอสคอน
คอนสตรัคชั่นร่วมกับพัฒนพงษ์
>พัฒนพงษ์ ถือหุ้นในฟิลเทค เอ็นจิเนียริ่งร่วมกับวรพจน์
>วรพจน์ กรรมการแพทริอทและอินวิชั่น
>ขายเครื่องตรวจระเบิดที่ซื้อมาจากสหรัฐให้กับอิตาเลียนไทย
>อิตาเลียนไทย รับงานจากบทม.
>บทม อยู่ภายใต้การกำกับดูแลโดยสุริยะ
>สุริยะ เป็นเลขาธิการพรรคไทยรักไทยโดยทักษิณ
>
>ช่วยส่งต่อๆกันให้เยอะๆที่สุดหน่อยสิ


Posted by : เอามาตรงนี้คงดีกว่า , Date : 2005-06-24 , Time : 12:21:29 , From IP : 172.29.3.145

ความคิดเห็นที่ : 3


   รัฐบาลผัวเมีย

โดย สุรวิชช์ วีรวรรณ 23 มิถุนายน 2548 19:29 น.


คลิกที่ไอคอน Multimedia ด้านบนเพื่อฟังเสียงบทความนี้โดยเจ้าของคอลัมน์

ดูเหมือนว่าสังคมทั้งสังคมคงต้องยอมจำนนต่อรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เพราะทุกองคาพยพล้วนแล้วแต่ตกอยู่ภายใต้อำนาจของนายกรัฐมนตรีท่านนี้ทั้งสิ้น นี่คงเป็นความหมายของ strong prime minister ที่ผู้ที่ช่วยกันร่างรัฐธรรมนูญอยากให้เป็น จนกระทั่งลืมว่า ระบบที่เข้มแข็งนั้นผู้ใช้ก็คือ คนที่ยังมีกิเลสตัณหานั่นเอง

ไม่ได้หมายถึงพ.ต.ท.ทักษิณ คนเดียวหรอกครับ ขึ้นชื่อว่า คนก็ล้วนแล้วแต่มีกิเลสตัณหากันทั้งนั้น แต่คนที่ร่างกลับไม่ได้คิดถึงตรงนี้

องค์กรอิสระเป็นอย่างไรบ้างครับ คงเห็นแล้วใช่ไหมว่า สยบอยู่แทบเท้ารัฐบาลชุดนี้ทั้งสิ้น เรื่องการบริหารประเทศกลายเป็นเรื่องของสองคนผัวเมีย เดี๋ยวมีข่าวว่า ส.ส.คนนี้วิ่งไปหารือ เดี๋ยวมีข่าวว่าเมียนายกฯเรียกคนนี้เข้าพบ ส.ส.กลายเป็นเพียงทาสในเรือนเบี้ย ที่จะชี้ให้ซ้ายหันขวาหันไปอย่างไรก็ได้ จนกระทั่งจะกลายเป็นรัฐบาลผัวเมียเข้าไปทุกทีแล้วครับ

รัฐธรรมนูญ 2540 ออกแบบมาเพื่อกวาดต้อนบรรดานักการเมืองเข้าไปสู่คอกทางการเมือง มีนายฮ้อยคอยดูแลเป็นคอกๆ ออกแบบให้นักการเมืองต้องสังกัดคอกการเมือง กลายเป็นเวทีเล่นของทุนขนาดใหญ่ เพราะความเป็นจริงก็คือ การเล่นการเมืองต้องใช้เงิน ไม่ใช่เวทีของคนมีอุดมการณ์และความปรารถนาดีของบ้านเมือง เพราะต่อให้มีความปรารถนาดีและอุดมการณ์แรงกล้าเพียงใด ถ้าหากไม่มีเงินก็ไม่มีวันได้รับเลือกตั้ง

ใครจะดัดจริตไม่รับความจริงข้อนี้และหาว่าผมดูถูกคนไทยบ้างครับ

วุฒิสภาที่ถูกออกแบบให้มีความอิสระจากการเมือง วันนี้คงมีคำตอบแล้วว่าเป็นอย่างไร นอกจากจะตอกย้ำให้เห็นว่า รัฐธรรมนูญฉบับนี้ถูกออกแบบมาให้กลายเป็นทรราชย์ที่ถูกกฎหมาย และสังคมจับไม่ได้ไล่ไม่ทัน และพัฒนากลายเป็นเผด็จการรัฐสภาอย่างที่เห็นกันอยู่

จะแตกต่างกับเผด็จการยุคก่อนอยู่บ้างก็คือ ยุคก่อนทหารถือปืนเข้ามายึดอำนาจแล้วฉีกรัฐธรรมนูญทิ้ง แต่เผด็จการยุคนี้นายทุนถือเงินเข้ามายึดอำนาจ โดยรัฐธรรมนูญเปิดช่องให้

จำที่กลุ่มวังน้ำเย็นไปยื่นหนังสือคัดค้านเรื่องการแต่งตั้งผู้ว่าฯสตง.ได้ไหมครับ พ.ต.ท.ทักษิณโกรธมาก และพูดต่อสาธารณชนเหมือนท่านเป็นคนมีหลักการและเคารพในกติกาว่า ส.ส.เหล่านั้นไปก้าวก่ายอำนาจของวุฒิสภา แต่ความจริงที่เราได้ยินและเป็นที่รับรู้ของสังคมก็คือ วุฒิสภาบางคนถูกครอบงำด้วยอำนาจเงินและกลายเป็นเครื่องมือของฝ่ายบริหาร

องค์กรอิสระองค์กรไหนบ้างที่ไม่ถูกครอบงำจากนักการเมืองลองไล่ดูสิครับ คนที่ยกย่องรัฐธรรมนูญฉบับนี้ก็จะเถียงว่า ความผิดไม่ได้อยู่ที่รัฐธรรมนูญ แต่อยู่ที่คนใช้รัฐธรรมนูญ แต่ไม่ได้ดูว่า รัฐธรรมนูญนั่นแหละที่เปิดช่องให้คนแสวงหาผลประโยชน์จากอำนาจ และสามารถใช้เงินฉ้อฉลจากอำนาจที่รัฐธรรมนูญเปิดช่องให้

ทุกวันนี้ไม่ว่าสังคมจะตั้งคำถามอย่างไรกับการทุจริตคอร์รัปชัน แต่รัฐบาลชุดนี้ก็ไม่ใส่ใจ ไม่สนแม้กระทั่งจะพยายามเคลียร์เรื่องให้กระจ่าง โดยเฉพาะเรื่องกล้ายางพาราที่ชัดอยู่แล้วว่า เป็นวิธีการต้มตุ๋นชาวบ้านให้นำยางไม่มีคุณภาพไปปลูก ก็ยังให้รัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องลงมาสอบเอง หรือกระทั่งทุจริตเครื่องเอกซเรย์ ที่พยายามดิ้นเอาสีข้างถู และใช้เงื่อนไขของรัฐธรรมนูญนี่แหละครับมัดมือปิดปากส.ส.

เรื่องค่าหัวคิวโคก็อีกเรื่อง กลายเป็นให้รัฐมนตรีที่สังคมเคลือบแคลงมาสอบสวนเรื่องนี้ แล้วประกาศว่าไม่มีการทุจริตคอร์รัปชัน อำนาจมันทำให้คนเราเหิมเกริมกล้าลองดีกับพลังประชาชนถึงเพียงนี้ แต่ไม่รู้จะโทษใครเหมือนกัน เพราะคนส่วนหนึ่งก็ยังส่งเสียงอยู่แต่ว่า “ไม่เอาทักษิณแล้วจะเอาใคร”

วันนี้คนที่ พ.ต.ท.ทักษิณ เชื่อและไว้วางใจที่สุดกลับเป็นนายเนวิน ชิดชอบ ซึ่งเป็นคนที่สังคมตั้งคำถามมากที่สุดในรัฐบาลชุดนี้

หรือบางคนบอกว่า “โกงบ้างไม่เป็นไร ขอให้บริหารประเทศได้ก็พอ” ด้านหนึ่งเพราะสังคมส่วนหนึ่ง เป็นแบบนี้ คนที่กุมทั้งอำนาจรัฐและอำนาจเงิน มีส.ส.อยู่ในมือ 377 เสียง มีคนเลือกมา 19 ล้านคนก็ต้องเชื่อมั่นอยู่ดีว่า ตัวเองมีความชอบธรรมและมีอำนาจมากพอที่จะทำอะไรก็ได้บนแผ่นดินนี้

กระทั่งลืมไปว่า เหตุการณ์เดือนตุลา และเหตุการณ์พฤษภาทมิฬนั้น แค่ใช้คนเพียงเรือนแสนก็ล้มรัฐบาลได้แล้ว

ทุกวันนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ แทบไม่แยแสต่อกระแสสังคมที่เกิดขึ้น คำพูดต่างๆที่ออกมาล้วนดูถูกหมิ่นแคลนฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยกับรัฐบาล สิ่งที่ท่านพูดอยู่เสมอก็คือเรื่องเงิน เงิน เงิน ตอนคนตายเพราะหวัดนก ท่านก็บอกว่า ใครตายจะจ่ายเงินให้ พอส.ส.วังน้ำเย็นออกมาหือ ท่านก็บอกว่า ออกไปเลยจะจ่ายเงินให้ เวลาจะอวดเรื่องเงินท่านก็บอกว่าเดี๋ยวขอเงินเมียมาให้ พ.ต.ท.ทักษิณ คงคิดว่า สังคมนี้เป็นสังคมที่บูชาเงิน

นอกจากนั้นยังปล่อยให้คนใกล้ชิดใช้อำนาจรัฐเข้าไปบีบคั้นกดดันฝ่ายตรงข้าม หรือคนที่ไม่สยบยอมทุกวิถีทาง อำนาจของรัฐบาลผัวหาบเมียคอนนั้นแทรกซึมไปทุกส่วนของสังคม

ไม่ทราบว่า พ.ต.ท.ทักษิณ จำคำพูดที่ได้พูดไว้ เรื่อง บทบาทของนักการเมืองในศตวรรษที่ 21 ในโอกาสสัมมนานักการเมือง ที่โรงแรมโบนันซ่า คอนโดเทล จังหวัดนครราชสีมา ระหว่างวันที่ 16 - 18 พฤศจิกายน 2540 ได้หรือไม่

“วันนี้เรายอมรับว่าสังคมไทยเราคิดน้อย มองภาพช็อตเดียว มองภาพแบบโพลารอยด์ ไม่เก็บฟิล์มไว้ ถ่ายช็อตนี้สวยก็จบ ฟิล์มเก่าไม่เก็บ Video เป็นเรื่องไม่ดู ชอบแต่โพลารอยด์ แต่ว่าจริงๆ แล้ว มันมี Record โดยเฉพาะกระบวนการทางสื่อสารมวลชนเขามี Record ไว้ เมื่อเขามี Record ไว้เขาจะมาใช้ สิ่งที่เป็นภาพลบเป็นเรื่องติดลบก็จะเอามาใช้ยามที่เขาผิดหวังหรือหมดหวัง แต่วันที่เขามีหวังอยู่เขาไม่เอามาใช้ครับ อย่างวันนี้ผมยังเชื่อว่าพรรคการเมืองบางพรรคได้ทำในสิ่งที่ว่าคนอื่นไว้ แต่วันนี้ผมอยากบอกว่า ไม่เชื่อว่าประชาชนจะไม่รู้ ประชาชนรู้ สื่อมวลชนรู้ แต่วันนี้ยังหวังว่าจะทำอย่างนั้น จะทำอย่างนี้ได้อยู่ แต่เมื่อความหวังตรงนั้นถูกทำลายหรือไม่ได้ขึ้นมา มันดูผิวเผินเหมือนคิดฉากเดียว เมื่อก่อนนี้ใช่ครับ คิดฉากเดียว”

วันนั้น ท่านพูดด้วยใช่ไหมครับว่า “Transparency หรือความโปร่งใส ซึ่งเป็นเรื่องที่สำคัญ ต้องมีความชัดเจนในตนเอง ทั้งในเรื่องนโยบายและวิธีการ ต้องแสดงให้เห็นว่าเราทำเต็มที่แล้ว ทำได้แค่นี้ คือมีอะไรก็บอกหมด ซึ่งต้องอาศัยการสื่อความหมายที่ดี เราต้องสื่อเป็น ต้องโปร่งใส และต้องใจกว้าง”

วันนี้ท่านคงยังคิดว่า คนไทยคิดน้อยอยู่ใช่ไหมครับ เพราะสิ่งที่ท่านทำวันนี้สวนทางกับที่พูดไว้วันนั้นหมดเลยครับ





Posted by : คนไทย , Date : 2005-06-24 , Time : 15:24:22 , From IP : 172.29.3.253

ความคิดเห็นที่ : 4


   แย่มากเวรกรรมจะตามทัน

Posted by : พะ , Date : 2005-06-24 , Time : 17:49:20 , From IP : adsl-203-156-39-64.j

ความคิดเห็นที่ : 5


   ทาส..............

ทาสความรัก.........ยอมทุกอย่างจะไม่ขัดขืนใจเพื่อคนที่รัก

ทาสทางเศรษกิจ...............ยอมทุกอย่างไม่ว่าอะไรจะขึ้นราคาจะไม่พูดไม่ด่า

ทำเฉยลูกเดียว
ทาสทางการเมือง.............เขาบอกให้เลือกคนนั้นเราก็เลือกคนนั้นเขาชี้ให้เลือก

คนโน้นเราก็เลือกคนโน้นเขาบอกให้ยกมือเราก็ยกมือ

ทาสทางการเงิน..............ทำทุกอย่างเพื่อให้ได้เงินโดยไม่คิดถึงคุณธรรมความ

ถูกต้อง


Posted by : อินทรีย์ , Date : 2005-06-25 , Time : 00:50:01 , From IP : 172.29.7.197

ความเห็นจาก Social Network : Facebook


สงวนสิทธิ์การแสดงความคิดเห็นสำหรับ สมาชิกเท่านั้น
>>>>> Page loaded: 0.049 seconds. <<<<<