ความคิดเห็นทั้งหมด : 5

ปิด2เวบด่าทักษิณ "เอกยุทธ-92.25"


   ปิด2เวบด่าทักษิณ "เอกยุทธ-92.25"
รัฐบาลอ้างกระทบความมั่นคง สั่งปิด 2 เวบไซต์ "เอกยุทธ-เอฟเอ็ม 92.25" เชื่อแค้นที่ตีแผ่ขบวนการปั่นหุ้นของคนในรัฐบาล ลั่นฟ้องแน่ ขณะที่ ทรท เขี่ย เสนาะ-วังน้ำเย็น หลุดเก้าอี้ผู้บริหาร แต่ยังกั๊ก 6 ตำแหน่งรอ 14 ก.ค.ชี้ขาด รวมทั้ง เก้าอี้ ปธ.ที่ปรึกษาพรรค "ทักษิณ" ชี้เพลิงพายุจบแล้ว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังจากที่เวบไซต์ข่าวออนไลน์ชื่อ www.thai-insider.com ซึ่งเป็นของนายเอกยุทธ อัญชันบุตร ประธานบริหารเครือโอเรียลเต็ล มาร์ท กรุ๊ป คู่ปรับรายสำคัญของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้จัดงานเปิดตัวเองอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 11 มิถุนายน ปรากฏว่า เมื่อวันเสาร์ที่ 18 มิถุนายน กระทรวงไอซีทีได้มีคำสั่งให้ปิดเวบไซต์ดังกล่าว โดยระบุเหตุผลในการดำเนินการครั้งนี้ว่า เวบไซต์ของนายเอกยุทธ เผยแพร่ข้อมูลที่ไม่เป็นความจริงและส่งผลต่อความมั่นคงของชาติ

แหล่งข่าวผู้จัดทำเวบไซต์ดังกล่าว เปิดเผยว่า ในช่วงเช้าของวันเสาร์ที่ 18 มิถุนายน บริษัทเอกชนที่ให้บริการได้โทรศัพท์มาแจ้งว่า ขณะนี้มีคำสั่งจากกระทรวงไอซีที ให้ปิดเวบไซต์อย่างเร่งด่วน เพราะว่านำเสนอข้อมูลวิจารณ์รัฐบาลรุนแรงเกินไป แต่เมื่อถามหาหนังสือคำสั่ง กลับได้รับคำตอบว่า ไม่มีคำสั่งที่เป็นลายลักษณ์อักษร มีเพียงผู้ใหญ่ในกระทรวงไอซีทีโทรศัพท์มาบอก จึงไม่ยอมปิด แต่ต่อจากนั้นในช่วงเย็นวันเดียวกันเวบไซต์ของเราก็ถูกปิดทันที

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับเวบไซต์ www.thai-insider.com ตามที่ระบุไว้ในหน้าเวบเพจ ระบุว่าก่อตั้งเมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม โดยเป็นเวบข่าวออนไลน์ แบ่งหมวดข่าวไว้ 6 หมวดด้วยกัน ประกอบด้วย การเมืองเศรษฐกิจ หุ้น ต่างประเทศ กีฬา และบันเทิง รวมทั้งมีเวบบอร์ดไว้ให้ผู้เข้าชมแลกเปลี่ยนทัศนะด้วย โดยเวบไซต์นี้ประกาศตัวอยู่บนหน้าเวบแล้วว่า "เสรีภาพของสื่อ คือเสรีภาพของประชาชน ร่วมทวงคืนศักดิ์ศรีให้หมาเฝ้าบ้าน"

สำหรับเนื้อหาที่ค่อนข้างโดดเด่นของเวบไซต์นี้คือ บทความวิเคราะห์ข่าว โดยเฉพาะข่าวในเรื่องการเมือง เศรษฐกิจ ซึ่งคอลัมน์ส่วนใหญ่พุ่งตรงไปที่รัฐบาลและคนในรัฐบาลเป็นหลัก ไม่ว่าจะเป็นตัว พ.ต.ท.ทักษิณ และกลุ่มทุนในไทยรักไทย

ส่วนช่องทางการติดต่อกับเวบไซต์นี้ นอกจากเวบบอร์ดแสดงความคิดเห็นแล้วก็ยังมีกระดานคุณถาม-เราตอบ รวมถึงการแจ้งเบาะแสคนโกงชาติ โดยเวบไซต์ก็มีพันธมิตรคือ คลื่นวิทยุเอฟเอ็ม 92.25 เมกะเฮิรตซ์ ซึ่งก็เป็นรายการวิทยุไม้เบื่อไม้เมากับรัฐบาลและช่วงก่อนหน้านี้ไม่นานก็มีเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าไปตรวจค้นที่สำนักงานมาแล้ว

เอกยุทธสั่งทนายหาช่องฟ้องกลับ

ด้านนายเอกยุทธ ให้สัมภาษณ์ว่า ขณะนี้ตนกำลังให้ฝ่ายกฎหมายพิจารณาอยู่ว่า เจ้าหน้าที่กระทรวงไอซีที ที่โทรศัพท์มาสั่งให้ปิดเวบไซต์นี้ ใช้อำนาจอะไรมาปิด ตอนนี้เราได้ชื่อของเจ้าหน้าที่คนดังกล่าวแล้ว เพราะถือว่าน่าจะเข้าข่ายละเมิดรัฐธรรมนูญ ที่พยายามปิดกั้นการนำเสนอข่าวสารและความจริงต่อสาธารณชน เรื่องนี้คงมีการฟ้องร้องภายใน 2-3 สัปดาห์นี้ เพราะถ้าข้อมูลข่าวสารที่ทางเวบไซต์นี้นำเสนอไม่ถูกต้อง หรือไปหมิ่นประมาทใคร ก็สามารถดำเนินการฟ้องร้องทางกฎหมายได้อยู่แล้ว ไม่ใช่อาศัยอำนาจรัฐมาปิดกั้นการนำเสนอข่าวสารแบบนี้

นายเอกยุทธ กล่าวต่อว่า ตนคิดว่าสาเหตุหลักสำคัญที่ทางเวบไซต์ถูกปิด เป็นเพราะการนำเสนอข่าวสารที่เป็นจริงใน 3 เรื่องหลักคือ 1.เรื่องที่นายสุรเกียรติ์ เสถียรไทย รองนายกรัฐมนตรี จะลงสมัครชิงตำแหน่งเลขาธิการสหประชาชาติ (ยูเอ็น) โดยเราได้ไปสอบถามความเห็นจากอดีตนักการทูตท่านหนึ่ง ซึ่งเป็นที่ยอมรับในความสามารถของแวดวงการทูต ซึ่งท่านได้ให้ความเห็นถึงความไม่เหมาะสม 5 ประการของนายสุรเกียรติ์ ในการลงชิงตำแหน่งดังกล่าวว่ามีอะไรบ้าง หลังจากนั้นไม่นาน ก็มีผู้ที่อ้างว่าเป็นคนใกล้ชิดนายสุรเกียรติ์ พยายามติดต่อมาที่เวบไซต์ของเราเพื่อขอเคลียร์ แต่ตนได้บอกไปแล้วว่า เรานำเสนอความจริงให้ประชาชนได้รับรู้ ไม่จำเป็นต้องมาเคลียร์อะไรทั้งสิ้น

2.เป็นเรื่องที่ทางเวบไซต์นำเสนอเรื่องผลประโยชน์ในตลาดหุ้นที่มีกลุ่มทุนทางการเมือง คือกลุ่มของนายสุริยา ลาภวิสุทธิสิน รมช.พาณิชย์ ที่โยงใยไปถึงหุ้นอิสเทิร์นไวร์ (ewc) และหุ้นเพาเวอร์-พี (PP) โดยเราได้นำเสนอในลักษณะการวิเคราะห์เชิงข่าวว่า มีการทุบราคากันอย่างไร เกี่ยวข้องโยงใยกับบุคคลในรัฐบาลคนใดบ้าง หรือเกี่ยวข้องโยงใยกับญาติหรือคนสนิทของคนในรัฐบาลอย่างไรบ้าง เพราะเท่าที่ตนทราบเวลานี้มีความขัดแย้งเกิดขึ้นในพรรครัฐบาล โดยพยายามปิดกั้นการเติบโตด้านแหล่งทุนของกลุ่มนักการเมืองบางกลุ่ม และใช้ช่องทางของตลาดหลักทรัพย์มาดำเนินการ แต่เรื่องนี้คนที่จะซวยมากที่สุดคือบรรดาแมลงเม่าทั้งหลายที่หลงกลเข้าไปโดยไม่รู้ตัว

3.เป็นเรื่องที่ทางเวบไซต์นำเสนอเกี่ยวกับปัญหาชายแดนภาคใต้ โดยเฉพาะการเปิดเผยถึงรายงานการรวบรวมข้อมูลกรณีเหตุการณ์รุนแรงที่หน้า สภ.อ.ตากใบ จ.นราธิวาส ที่คณะอนุกรรมการรวบรวมข้อมูลกรณีเหตุการณ์รุนแรงในภาคใต้ ซึ่งอยู่ภายใต้การดูแลของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ โดยรายงานดังกล่าวมีการระบุชัดเจนว่า เหตุการณ์ความรุนแรงที่ตากใบ ที่ทำให้มีผู้เสียชีวิตจำนวนมากนั้น เจ้าหน้าที่ของรัฐทำผิดรัฐธรรมนูญและละเมิดสิทธิมนุษยชน ซึ่งเรื่องนี้เราได้นำเสนออย่างชัดเจนและเปิดเผยทั้งหมด ไม่ได้มีการตัดทอนข้อความใดๆ ทั้งสิ้น ทำให้อาจเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ผู้มีอำนาจรัฐไม่พอใจก็ได้

"มีความพยายามที่จะไปกลั่นแกล้งเจ้าของเซิร์ฟเวอร์ที่เราไปเช่าเขาอยู่ โดยเป็นการบีบทางธุรกิจ ซึ่งผมก็เข้าใจ เพราะเป็นการทำธุรกิจ จึงไม่อยากให้ใครเดือดร้อน แต่เมื่อปิดผมครั้งนี้ได้ ผมก็จะเปิดใหม่ได้ ไม่มีปัญหาอะไร ตอนนี้กำลังให้ฝ่ายกฎหมายพิจารณาฟ้องร้องอยู่ และที่ผมมาทำเวบไซต์เพื่อเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารที่เป็นจริงในครั้งนี้ ไม่ได้มีเจตนาที่จะล้มล้างรัฐบาลตามที่มีความพยายามจะโยงใยหรือพาดพิงให้เป็นเช่นนี้ ผมก็พูดเสมอว่า ผมไม่ได้เลือกคุณ แต่ผมก็มีสิทธิตามรัฐธรรมนูญที่จะบอกว่า ผมไม่ชอบคุณ ผมไม่ชอบคุณทักษิณ แต่คุณจะห้ามไม่ให้ผมพูดความจริงไม่ได้ เพราะเวลาคุณไม่ชอบใคร คุณยังพูดอยู่ตลอดเวลาได้ แถมบางครั้งยังนำไปพูดในรายการวิทยุตอนเช้าวันเสาร์อีก ทุกคนต้องมีสิทธิเสมอภาคในการแสดงความคิดเห็น ไม่ใช่ว่า ผมไม่ชอบคุณ แล้วผมจะพูดถึงคุณไม่ได้" นายเอกยุทธ กล่าว

ซัดขุนพลอยพยักทำแทนนาย

เจ้าของเวบไซต์ www.thai-insider.com ยังกล่าวด้วยว่า เรื่องนี้อาจเกี่ยวข้องกับบุคคลใกล้ชิดบางคนที่พยายามทำตัวเป็นขุนพลอยพยัก จัดการทุกเรื่องแทนนายหมด โดยเฉพาะคนหัวหงอก เพราะทราบมาว่า มีความพยายามของบุคคลใกล้ชิดคนนี้ในการเจ้ากี้เจ้าการโทรไปสั่งการงานต่างๆ โดยเฉพาะการโทรไปยังสื่อมวลชนต่างๆ ทั้งโทรทัศน์และหนังสือพิมพ์ เพื่อให้ถอดข่าวสารที่เป็นจริง ถ้าหากสื่อมวลชนรายใด ไม่ทำตามก็จะใช้ช่องทางด้วยการตัดโฆษณา ตัดช่องทางทำมาหากินของสื่อต่างๆ นี่คืออีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ตนตัดสินใจมาทำเวบไซต์แห่งนี้ เพื่อต้องการให้เป็นส่วนหนึ่งในการเป็นข้อมูลประกอบให้ประชาชนได้ตัดสินใจด้วยตัวเอง

"นี่ขนาดว่าผมตัดสินใจไม่ทำธุรกิจเกี่ยวกับโทรทัศน์และวิทยุแล้ว ยังถูกตามมาสั่งปิดเวบไซต์นี้อีก" นายเอกยุทธ กล่าว

ทั้งนี้ในวันเปิดตัวเวบไซต์ดังกล่าว นายเอกยุทธ ได้ปาถกฐาเรื่อง "ทุนการเมืองกับตลาดหุ้น" ตอนหนึ่งระบุว่า ภายหลังออกมาเปิดเผยชื่อบุคคลอักษรย่อ ป.เกี่ยวข้องกับกาแฟ และ ส.เกี่ยวข้องกับธุรกิจอะไหล่ยนต์ มีส่วนเกี่ยวข้องกับการปั่นหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ ตนถูกรัฐบาลตรวจสอบทุกทางทั้งบริษัทในประเทศไทยและประเทศอังกฤษ จนต้องหลบไปอยู่ต่างประเทศระยะหนึ่ง แต่ได้ติดตามข่าวสารบ้านเมืองตลอด

"และทราบว่าสื่อมวลชนในปัจจุบันกำลังอึดอัดจากกลุ่มทุน ทำให้ตัดสินใจเดินทางกลับมาประเทศไทยเพื่อเปิดเวบไซต์ www.thai-inisder.com เปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับคอรัปชั่นลึกๆ ที่ไม่มีสื่อใดนำเสนอมาก่อนเนื่องจากเกรงการฟ้องร้อง หากอยากรู้เบื้องลึกเบื้องหลังเกี่ยวกับหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ต้องเข้ามาเปิดในเวบไซต์นี้" นายเอกยุทธ กล่าว

ปิดเวบไซต์เอฟเอ็ม 92.25 เมกะเฮิรตซ์

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นอกจากเวบไซต์ www.thai-insider.com จะถูกรัฐบาลปิดแล้ว ปรากฏว่า เวบไซต์ www.fm9225.com ก็ถูกปิดเช่นเดียวกัน ซึ่งเวบไซต์ดังกล่าวเป็นของสถานีวิทยุชุมชน คลื่นเอฟเอ็ม 92.25 เมกะเฮิรตซ์ ออกอากาศที่อาคารทีพีไอ ถนนสาทร ซึ่งเป็นสถานีวิทยุชุมชนที่มีเนื้อหารายการวิพากษ์วิจารณ์การบริหารของรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ โดยเฉพาะเรื่องการทุจริตคอรัปชั่น โดยมีผู้ดำเนินรายการชื่อดังจำนวนมาก อาทิ น.ส.อัญชลี ไพรีรักษ์ อดีตผู้ดำเนินรายการของสำนักข่าวจีจีนิวส์

นอกจากนี้ ยังมีการสัมภาษณ์บุคคลสำคัญต่างๆ ที่มีความเห็นแตกต่างกับรัฐบาล ทั้ง ส.ส. ส.ว. นักวิชาการ รวมทั้งเอ็นจีโอ

รายงานข่าวแจ้งว่า เจ้าของเว็บไซต์ www.fm9225.com ได้เช่าเซิร์ฟเวอร์ จากบริษัทเอเน็ต เพื่อถ่ายทอดเสียงผ่านระบบอินเทอร์เน็ต ซึ่งวิธีการนี้ทำให้สามารถรับฟังรายการสดของทางสถานีได้ทุกมุมโลก โดยเฉพาะสถานีวิทยุชุมชนกว่า 57 แห่งได้เชื่อมต่อสัญญาณเสียงจากเวบไซต์ดังกล่าวเผยแพร่ไปทั่วประเทศ

นอกจากนี้ ผู้จัดทำเวบไซต์ยังมีโครงการร่วมมือถ่ายทอดสัญญาณกับวิทยุชุมชนทั่วประเทศอีกหลายสถานี จนกระทั่งที่ปรึกษาของรัฐมนตรีรายหนึ่ง ได้โทรศัพท์แจ้งไปยังหน้าห้องของ นายสุวิทย์ คุณกิตติ รมว.ไอซีที ให้ตำรวจอินเทอร์เน็ต สั่งปิดเวบไซต์ดังกล่าว

ต่อมาเมื่อวันที่ 20 มิถุนายน สารวัตรอินเทอร์เน็ตชื่อ "สุรชัย นิลแสง" ได้ทำหนังสือส่งไปทางอินเทอร์เน็ต ถึงบริษัท เอเน็ต ให้ปิดเวบไซต์ดังกล่าว โดยมีเนื้อหาว่า "เนื่องจากเวบไซต์ www.fm9225.com มีการยุยงส่งเสริมให้เกิดความแตกแยกภายในชาติ อันนำมาสู่ภัยต่อความมั่นคงของชาติ จึงเรียนมาเพื่อโปรดดำเนินการยุติการเผยแพร่โดยด่วน"

จากนั้นในเวลา 16.00น.วันที่ 20 มิถุนายน เวบไซต์ ดังกล่าวก็ไม่สามารถเปิดได้ อย่างไรก็ตาม เจ้าของเวบไซต์ได้พยายามขอเช่าเซิร์ฟเวอร์ของบริษัทใหม่ แต่ปรากฏว่าถูกปิดอีกเช่นกัน


ทักษิณบอกเพลิงพายุอวสานวันนี้

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การประชุมพรรคไทยรักไทยเมื่อวันที่ 21 มิถุนายน มีวาระพิจารณาแต่งตั้งคณะผู้บริหารพรรคชุดใหม่ หลังจากที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) รับรองกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ จำนวน 119 คน เรียบร้อยแล้ว ซึ่งเมื่อเวลา 14.00 น. พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรคไทยรักไทย พร้อมทั้ง คุณหญิงพจมาน ชินวัตร ภริยา ได้เดินทางมาร่วมประชุมด้วย

ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า มี ส.ส.หลายคนที่ไม่คุ้นเคยกับที่ทำการพรรคแห่งใหม่ หาทางเข้าห้องประชุมไม่เจอ ได้เข้ามาสอบถามผู้สื่อข่าว และขอให้เจ้าหน้าที่พรรคนำทาง

พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวก่อนการประชุมว่า วันนี้จะมีการเลือกตั้งคณะผู้บริหารชุดใหม่ แต่ยังได้ไม่ครบ 19 คน น่าจะได้ประมาณ 13 ถึง 15 คน

ทั้งนี้ หัวหน้าพรรคไทยรักไทย กล่าวว่า ละครเพลิงพายุจะอวสานวันนี้ และจะจบอย่างมีความสุข

ทักษิณโยนกก.บริหารพรรคชง

กระทั่งหลังการประชุมพรรค ในเวลา 17.00 น. พ.ต.ท.ทักษิณ ให้สัมภาษณ์อีกครั้งว่า การเลือกตั้งคณะผู้บริหารพรรคเรียบร้อยดี เพราะในข้อบังคับพรรคนั้น สามารถตั้งได้ 9-19 คน จะแต่งตั้งเท่าใดก็ได้ จึงคิดว่าควรแต่งตั้ง 13 คน เว้นไว้ 6 คน เพราะมีมากไปการประชุมอาจไม่คล่องตัว วันหลังหากจำเป็นต้องเพิ่มเป็น 19 คน หรือ 15 คนเป็น 17 คน ก็ทำได้

ผู้สื่อข่าวถามว่า เว้นที่ว่างไว้เพื่อป้องกันอุบัติเหตุทางการเมืองในอนาคตหรือไม่ พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวว่า อุบัติเหตุไม่มีเลย คณะผู้บริหารพรรค 13 คน เป็นโดยตำแหน่ง 3 คน คือ หัวหน้าพรรค รองหัวหน้าพรรคคนที่ 1 และเลขาธิการพรรค จากนั้นแต่งตั้งเพิ่ม 10 คนจากกรรมการบริหารพรรค โดยแบ่งเป็นประธานภาคต่างๆ 4 คน ประธานที่ประชุม ส.ส. 1 คน ประธานสภาและประธานวิปรัฐบาลอย่างละ 1 คน นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ในฐานะประธานนโยบายและวิชาการของพรรคมาตลอด นอกจากนี้ มีอดีตหัวหน้าพรรคต่างๆ ที่ยุบพรรครวมกับพรรคไทยรักไทยได้รับตำแหน่ง

พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวว่า ในส่วนนี้ไม่ใช่เกณฑ์ตายตัว แต่กรรมการบริหารพรรคเสนอสูตรนี้มา โดยหลักเกณฑ์ คือ เสนอชื่อประธานภาคต่างๆ หรือตำแหน่งที่เกี่ยวข้องทางการเมือง

ต่อข้อถามว่า คณะผู้บริหารพรรคไม่มีชื่อของ นายเสนาะ เทียนทอง ประธานที่ปรึกษาพรรคไทยรักไทย และนายประมวล รุจนเสรี แกนนำกลุ่มวังน้ำเย็น จะเกิดความขัดแย้งภายในพรรคหรือไม่ หัวหน้าพรรคไทยรักไทย กล่าวว่า เป็นข้อเสนอและความเห็นชอบของกรรมการบริหารพรรค

เมื่อถามถึงคณะกรรมการจริยธรรมพรรค หัวหน้าพรรคไทยรักไทย กล่าวว่า มี 5 คนคือ นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา เป็นประธาน นายสมชาย สุนทรวัฒน์ น.พ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช นายสุรเชษฐ์ ดวงสอดศรี และนายสุนัย เศรษฐ์บุญสร้าง เป็นเลขานุการ มีหน้าที่ร่างกติกาและข้อบังคับพรรครวมทั้งระเบียบต่างๆ ที่จะรับเรื่องร้องเรียนจากสมาชิกพรรคด้วยกัน หรือร้องเรียนผู้บริหารพรรค หรือนักการเมืองของพรรค ที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสม เมื่อการสอบสวนของคณะกรรมการชุดนี้เสร็จสิ้นและพบว่ามีมูล ก็เสนอเข้าสู่การพิจารณาของคณะกรรมการร่วม คือคณะกรรมการ คณะผู้บริหาร ส.ส.และรัฐมนตรีของพรรคเพื่อโหวต

ตำแหน่งเสนาะเอาไว้ประชุมคราวหน้า

ผู้สื่อข่าวถามว่า กรรมการจริยธรรมชุดนี้จะตรวจสอบการลงมติของ ส.ส.ใน 3 วาระสำคัญของพรรคหรือไม่ หัวหน้าพรรคไทยรักไทย กล่าวว่า ยังไม่มีเหตุอะไร มันเป็นไปตามข้อบังคับพรรค ที่ระบุว่า หลังจากที่มีการประชุมใหญ่สามัญประจำปีของพรรคเพื่อเลือกกรรมการบริหารพรรคแล้ว และเสนอชื่อให้นายทะเบียนพรรคการเมืองคือ กกต.รับรอง เมื่อ กกต.รับรองแล้ว ก็ต้องแต่งตั้งคณะผู้บริหารพรรคและคณะกรรมการจริยธรรมที่เป็นไปตามกฎหมายและข้อบังคับพรรค

"ส่วนตำแหน่งอื่นๆ เช่น ประธานที่ปรึกษาพรรคนั้น ยังไม่แต่งตั้ง เพราะต้องรอการประชุมอีกครั้ง เนื่องจากเวลาไม่พอ โดยจะพิจารณาอีกครั้งเนื่องจากไม่ใช่การแต่งตั้งประธานที่ปรึกษาพรรคเพียงคนเดียว แต่ต้องตั้งคณะกรรมการชุดต่างๆ อีกด้วย อาจจะเกิดขึ้นหลังวันที่ 14 กรกฎาคม เพราะอาจมีการประชุมคณะกรรมการบริหารพรรคอีกครั้ง" หัวหน้าพรรคไทยรักไทย กล่าว

ผู้สื่อข่าวถามว่า เป็นการผ่อนเวลาเพื่อดูท่าทีของ นายเสนาะหรือไม่ พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวว่า พอดียังไม่สะดวก พรรคจะย้ายที่ทำการพรรคในวันที่ 14 กรกฎาคม ให้เรียบร้อยก่อน ตอนนั้นจะมีการประชุมทางวิชาการ การอบรมให้ความรู้สมาชิกพรรค โดยจะจัดให้บ่อยขึ้นเนื่องจากสะดวก เพราะทุกอย่างมารวมกันในบ้านหลังเดียว

ส่วนที่ระบุว่า การลงมติไว้วางใจ รมว.คมนาคม ในครั้งนี้จะวัดใจ ส.ส. หมายความว่าอย่างไรนั้น พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวว่า ไม่มีอะไร เพราะระบบรัฐสภา พรรคต้องการเมืองมีวินัยและเข้มแข็ง ตนบอกสมาชิกพรรคทุกคนว่า สัปดาห์หน้าจะมีการโหวตครั้งสำคัญ 3 เรื่องคือ อภิปรายไว้วางใจ งบประมาณ และการรับร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติม ตนอยากให้ ส.ส.ทุกคนมีวินัยทำตามข้อบังคับพรรค และมติวิปรัฐบาลอย่างเคร่งครัด เพื่อให้ความเป็นปึกแผ่นปรากฏอย่างชัดเจน เว้นแต่คนที่ไม่สบายใจ ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง

เสนาะหลุดทักษิณลั่นไม่มีเหตุผล

ต่อข้อถามว่า ผู้บริหารพรรคบางคนที่หลุดไป เช่น นายจาตุรนต์ ฉายแสง นายประมวล และนายเสนาะ นั้น มีสาเหตุจากอะไร หัวหน้าพรรค กล่าวว่า ไม่มีเหตุผลอะไร ไม่เป็นไร เพราะบางคนเคยเป็นรองหัวหน้าพรรค มาครั้งนี้ก็ไม่ได้เป็น ซึ่งไม่เป็นไร เพราะตำแหน่งมีจำกัด คนใหม่เข้ามาเยอะขึ้น ก็ต้องผลัดกันทำงาน ส่วนผู้บริหารพรรค 13 คน ก็มีเหตุผลในทุกตำแหน่ง

ส่วนที่มีการตั้งข้อสังเกตว่า ยังไม่เกิดการอภิปราย ทำไมวิปรัฐบาลจึงลงมติไว้วางใจล่วงหน้า พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวว่า ไม่ได้ออกตัวเพราะภายในพรรคก็อธิบายเรื่องนี้มาตลอดว่า ที่มาเป็นอย่างไร ซึ่งได้อธิบายชัดเจนหลายเรื่อง

ส่วนที่กล่าวกันว่า พรรคไทยรักไทยจะไม่ฟังข้อมูลของฝ่ายค้านก่อนที่จะลงมติไว้วางใจนั้น พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวว่า ข้อมูลที่เรามีอยู่ถือว่ามีมากที่สุดแล้วทั้งในและนอกประเทศ ฉะนั้นเมื่อมีข้อมูลและวิปรัฐบาลรับฟังแล้วก็เป็นเรื่องของเขา เพราะตนไม่ได้ไปประชุมด้วย หากวิปรัฐบาลมีข้อมูลอย่างไรพรรคก็ต้องปฏิบัติตาม คิดว่าข้อมูลที่มีอยู่นั้นเพียงพอ

ทั้งนี้ หัวหน้าพรรคไทยรักไทย กล่าวว่า ในที่ประชุมไม่มีใครกล่าวถึงกรณีที่นายเสนาะกล่าวโจมตีพรรคไทยรักไทย

สั่งลูกพรรคไม่ต้องไปกินข้าวที่อื่น

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการประชุมพรรคไทยรักไทย พ.ต.ท.ทักษิณ ได้กล่าวต่อที่ประชุมว่า "ต่อไปนี้เรามีที่ประชุมพรรคแห่งใหม่ ดังนั้นตอนเย็นก็คงไม่ต้องไปกินข้าวบ้านใครอีกแล้ว อยากกินก็มาสังสรรค์กันที่นี่ได้เลย อย่างไรก็ตาม ในวันที่ 28 มิถุนายน เราจะกลับไปประชุมกันที่อาคารชินวัตร 3 และวันที่ 14 กรกฎาคม เราค่อยมาเจอกันที่นี่ ขอให้ทุกคนอดทน เพราะยังมี 3 งานใหญ่ๆ ที่รออยู่ คือ การอภิปรายไม่ไว้วางใจ การอภิปรายร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2549 และการลงมติให้ความเห็นชอบร่างรัฐธรรมนูญในวาระ 3 ฉะนั้น ขอให้ทุกคนมาประชุมอย่างพร้อมเพรียงกัน"

พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวว่า การอภิปรายในครั้งนี้สังคมจับตามอง ขอให้ ส.ส.ทุกคนอภิปรายในทางเดียวกัน เพราะตนจะวัดใจ ส.ส.ทุกคน คือขอให้ไว้วางใจนายสุริยะ

สุริยะคุยเป็นนักปฏิบัติไม่ใช่นักโต้วาที

จากนั้นนายสุริยะได้กล่าวกับ ส.ส.เกี่ยวกับความพร้อมในการชี้แจง การอภิปรายไม่ไว้วางใจในวันที่ 27 มิถุนายนนี้ ว่า "ผมทำอะไรก็รับผิดชอบกับทุกเรื่อง"

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายสุริยะได้สร้างความมั่นใจให้กับสมาชิกพรรคทุกคน เกี่ยวกับการชี้แจงการอภิปรายไม่ไว้วางใจในวันที่ 27 มิถุนายนนี้ ว่า ตนสามารถชี้แจงและตอบโต้ข้อกล่าวหาของฝ่ายค้านได้ทุกประเด็น แต่เป็นห่วงนิดเดียวคือ ตนเป็นนักปฏิบัติ ไม่ใช่นักโต้วาที ถ้าฝ่ายค้านพูดจาขี่ม้าเลียบค่าย ไม่ยอมพูดตามข้อเท็จจริง หรือพูดในเชิงสังคมอย่างเดียว ตนอาจแพ้ตรงนี้ แต่เพื่อนสมาชิกไม่ต้องเป็นห่วง เพราะตนทำงานโปร่งใสชัดเจน มีหลักฐาน และขณะนี้ก็กำลังรวบรวมหลักฐาน ซึ่งตนจะไม่ทำตัวให้เป็นภาระของพรรค

ลูกพรรคยังข้องใจทำไมต้องมีนายหน้า

ภายหลังนายสุริยะได้ชี้แจงต่อที่ประชุม ส.ส.ไทยรักไทยได้จับกลุ่มวิจารณ์เป็นจำนวนมาก โดย ส.ส.หลายคนเห็นว่า นายสุริยะตอบไม่ตรงประเด็น พูดเพียงแต่ประเด็นของการสร้างสนามบินสุวรรณภูมิ และคุณภาพของเครื่องตรวจจับวัตถุระเบิดเท่านั้น ซึ่งประเด็นเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องที่ ส.ส.อยากรู้ แต่สิ่งที่ ส.ส.อยากรู้คือ ทำไมจึงต้องซื้อผ่านนายหน้า ซึ่งมีบริษัทเดียว แค่ประเด็นนี้ก็ยังตอบได้ไม่เคลียร์ ซึ่งนายสุริยะอธิบายเพียงว่า การซื้อผ่านนายหน้าก็ทำเหมือนลักษณะการซื้อขายรถ ซึ่งตรงนี้ ส.ส.ส่วนใหญ่มองว่า มันไม่เหมือนกัน หากนายสุริยะยังคงชี้แจงการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ที่จะมีขึ้นในวันที่ 27 มิถุนายนนี้ เหมือนกับที่ชี้แจงต่อที่ประชุมพรรคในวันนี้ เท่ากับเป็นการเปิดช่องให้ฝ่ายค้านสวนหมัดได้ง่าย

"โชคดีที่พรรคเรามี 377 เสียง ถ้าเสียงน้อยก็แย่ รับรองว่านายสุริยะลำบากแน่ การอภิปรายในครั้งนี้ประชาชนสนใจมาก หากนายสุริยะตอบแบบนี้ถือว่าไม่เคลียร์และสังคมไม่ยอมรับ" ส.ส.ไทยรักไทย รายหนึ่งกล่าวกับผู้สื่อข่าว

เสนาะครวญถูกเบี่ยงประเด็น

แหล่งข่าวจากกลุ่มวังน้ำเย็น เปิดเผยว่า นายเสนาะและแกนนำกลุ่มวังน้ำเย็นได้ติดตามผลการประชุมกรรมการบริหารพรรคอย่างใกล้ชิด และในช่วงเย็นหลังจากทราบผลการประชุมว่า ในจำนวนรายชื่อของคณะผู้บริหารพรรคชุดใหม่ทั้ง 13 คน ที่นายเสนาะและแกนนำกลุ่มวังน้ำเย็นไม่มีชื่ออยู่ในนั้น ปรากฏว่าหลังจากที่นายเสนาะทราบผลแล้ว ก็ไม่ได้แสดงอาการอะไร เพราะคาดการณ์ไว้ล่วงหน้าแล้ว

โดยนายเสนาะ ได้กล่าวกับผู้ใกล้ชิดว่า "ถือเป็นความโชคดีที่ไม่ได้ไปอยู่ในคณะกรรมการชุดนี้ ก็ถือว่าหน้าที่ของป๋าจบสิ้นลงแล้ว ที่ผ่านมามั่นใจว่า ได้ทำหน้าที่อย่างสุดๆ แล้ว แต่ก็ถูกเบี่ยงเบนประเด็นไปจนหมด หาว่าที่ออกมาพูดเพื่อสร้างราคา จะเอา ส.ส.ในกลุ่มไปเร่ขายตัว 800 ล้าน มันเลอะเทอะกันไปหมด ทั้งที่ๆ ป๋ามาอยู่พรรคไทยรักไทยก็ไม่เคยไปต่อรองอะไร แต่กลับมีเสียงจากไอ้พวก ส.ส.เด็กๆ ออกมาเบี่ยงเบนประเด็น ป๋าออกมาพูดในฐานะคนไทยที่รักชาติ ต้องการชี้ว่ารัฐธรรมนูญมีปัญหาอย่างไร และเป็นการเปิดโอกาสให้มีการเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญ เพราะมองว่า มันมีตัวล็อกทำให้ ส.ส.ที่เป็นคนดีกลายเป็นเสียไปหมด วันนี้ขอหยุดทุกอย่างแล้ว เพราะข่าวที่ออกมามันไม่เป็นไปอย่างที่ป๋าตั้งใจให้เป็น สื่อโดนของเข้ากันไปหมดแล้ว"

วังน้ำเย็นไม่สน "เสนาะ" วืดผู้บริหารพรรค

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังการประชุมพรรคไทยรักไทย บรรดา ส.ส.กลุ่มวังน้ำเย็น ได้ทยอยเดินทางมาที่บ้านพักเมืองทองธานีของนายเสนาะ เพื่อรอฟังผลการประชุมคณะกรรมการบริหารพรรค โดยนายเกรียง กัลป์ตินันท์ ส.ส.อุบลราชธานี แกนนำกลุ่มวังน้ำเย็น ซึ่งเป็นกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย ได้มารายงานผลการประชุมให้นายเสนาะทราบ

นายเกรียง ให้สัมภาษณ์ถึงผลการแต่งตั้งคณะผู้บริหารพรรคไทยรักไทย ซึ่งไม่มีชื่อนายเสนาะว่า เรื่องนี้ต้องไปถาม พ.ต.ท.ทักษิณ เพราะกลุ่มวังน้ำเย็นไม่เคยหารือว่าจะเสนอชื่อใครเป็นผู้บริหารพรรค ซึ่งในการประชุมมีผู้เสนอชื่อ 2 คนคือ นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา เสนอ 5 ชื่อ และนายสมชาย สุนทรวัฒน์ เสนอ 5 ชื่อ ส่วนอีก 3 ชื่อคือ พ.ต.ท.ทักษิณ คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ และนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ เป็นโดยตำแหน่ง

"ในที่ประชุมไม่มีใครเสนอชื่อนายเสนาะ ซึ่งนายเสนาะไม่ได้เป็นผู้บริหารพรรค ก็ไม่ได้กระทบกับกลุ่ม เพราะผู้บริหารพรรคไม่ได้มีบทบาทอะไรมาก และผมเห็นว่าการตัดออกกับการไม่เสนอชื่อ ไม่เหมือนกัน กรณีของนายเสนาะเป็นเรื่องไม่เสนอชื่อ" นายเกรียง กล่าว

ด้าน นางอุไรวรรณ เทียนทอง ภริยาของนายเสนาะ กล่าวเพียงสั้นๆ ว่า ไม่รู้สึกน้อยใจที่นายเสนาะไม่ได้เป็นผู้บริหารพรรค เพราะไม่มีเวลาน้อยใจ และถึงไม่ได้เป็นผู้บริหารพรรค แต่ ส.ส.กลุ่มวังน้ำเย็น ก็ยังเป็น ส.ส. และทำหน้าที่ได้

ขณะที่ นายบุรินทร์ หิรัญบูรณะ กล่าวว่า เป็นเรื่องดีที่นายเสนาะไม่ได้เป็นผู้บริหารพรรค เพราะจะได้ทำงานได้สะดวก ไม่ต้องลำบากใจ


อภิสิทธิ์ซัดนายกฯไม่ให้ความสำคัญรัฐสภา

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้นำฝ่ายค้านและหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่วิปรัฐบาลมีมติจะยกมือไว้วางใจนายสุริยะ ว่า อยากให้ ส.ส.ทุกคนปฏิบัติหน้าที่โดยคำนึงถึงข้อเท็จจริงและเหตุผลต่างๆ แต่ที่ตนคิดว่าแย่ไปกว่านั้นคือการที่นายกฯ บอกว่าจะไม่มาร่วมฟังการอภิปราย ถือเป็นการสะท้อนให้เห็นว่านายกฯ ไม่ได้ให้ความสนใจและไม่ให้ความสำคัญกับกระบวนการของรัฐสภา เพราะการตรวจสอบเป็นหน้าที่ที่สำคัญมีผลต่อการบริหาราชการแผ่นดิน

"นายกฯ ก็ทราบว่าการอภิปรายเกี่ยวข้องกับนโยบายการปราบปราม การทุจริตโดยตรง แต่กลับเลือกที่จะไม่ให้ความสำคัญ และไม่ให้ความสนใจ ก็เป็นการยืนยันว่า จิตวิญญานของนายกฯ คนนี้ เรื่องประชาธิปไตยเป็นอย่างไร ยืนยันว่านายกฯ คนนี้ใส่ใจเรื่องการปราบทุจริตคอรัปชั่นมากน้อยแค่ไหน" นายอภิสิทธิ์ กล่าว

ส่วนที่ นายกฯ อ้างว่า สิ่งที่ฝ่ายค้านจะอภิปรายท้ายที่สุดแล้วเป้าหมาย คือ นายกฯ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ทำไมนายกฯ ไปรู้ล่วงหน้าหมดว่า ใครจะพูดอะไร หรือรู้ว่าตัวเองเกี่ยวข้องอย่างไร ก็เลยหลบไม่อยากจะตอบ ที่จริงแล้วเรื่องนี้นายกฯ เกี่ยวข้องอยู่เยอะ ควรจะมาตอบและมาฟัง

ผู้สื่อข่าวถามว่า มีการอ้างว่าพรรคประชาธิปัตย์จะล้มล้างรัฐบาล นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ไม่มี นายกฯ อ้างผิดๆ ถูกๆ โดยเฉพาะเรื่องซุกหุ้นนั้นไม่ได้เริ่มที่พรรคประชาธิปัตย์ แต่เกิดจาก นสพ.ประชาชาติ กับ ส.ส.พรรคความหวังใหม่


Posted by : KKD , E-mail : (KKD@hotmail.com) ,
Date : 2005-06-22 , Time : 11:27:30 , From IP : 172.29.1.209


ความคิดเห็นที่ : 1


   ปิด"92.25" นายกฯกลัวอะไร? ,อีกใบเสร็จโกงกล้าพันธุ์ยางฯ

โดย เซี่ยงเส้าหลง 22 มิถุนายน 2548 01:45 น.


•• ปัจจัยหนึ่งที่ทำให้งาน Jazz in the Park ของ คลื่นประชาธิปไตย 92.25 Megahertz ครั้งที่ 2 ที่จัดขึ้นที่ โรงแรมเจ้าพระยาปาร์ค ที่มีผู้เข้าร่วมงาน แน่นขนัด, คับคั่ง ในระดับ เกิน 500 คน มีอันต้อง ร้อนขึ้น จนกระทบกระเทือน 2 เว็บไซต์ในเครือข่าย ถึงขั้น จำเป็นต้องปิดไป เมื่อวานซืนนี้ วันที่ 20 มิถุนายน 2548 ปัจจัยหนึ่งก็น่าจะเป็นเพราะการพูดในหัวข้อ วิกฤตจังหวัดชายแดนภาคใต้ ของ น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ ก็ไม่รู้เหมือนกันว่างานเดียวกันนี้ที่จะจัดขึ้นเป็น ครั้งที่ 3 ใน บ่ายวันเสาร์ที่ 25 มิถุนายน 2548 นี้ที่กำหนดสถานที่ไว้ที่ ห้องประชุม – อาคารฐานเศรษฐกิจ จะกระทบกระเทือนแค่ไหนอย่างไรเพราะหัวข้อที่จะพูดกัน 3 ชั่วโมง ซีทีเอ็กซ์ 9000 นั้นมันทั้ง ร้อน ทั้ง สอดรับกับสถานการณ์ ที่จะมีการซักฟอกในกันในสภาผู้แทนราษฎร วันที่ 27 มิถุนายน 2548 ใครสนใจอยากติดตามสถานการณ์บ้านเมืองให้ใกล้ชิด ณ นาทีนี้ก็ต้องล็อกคลื่นวิทยุไว้ที่ FM 92.25 Megahertz ให้เป็น คลื่นหนึ่งที่ต้องรับฟังประกอบวิจารณญาณ ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าสถานการณ์กดดันรอบด้านในรอบหลายเดือนมานี้ได้ทำให้นักสื่อสารมวลชนอาชีพคนหนึ่งอย่างอัญชลี ไพรีรัก แปรสภาพไปเป็นเสมือน หัวขบวนนักเคลื่อนไหวมวลชนคนสำคัญ ไปแล้ว “...ถ้าเราขี้ขลาด เราจะกลายเป็นผงธุลีใต้อุ้งเท้าผู้มีอำนาจ แต่ถ้าเราสู้ ใครจะรู้ว่าเราอาจจะเป็นหนูที่กัดเชือกราชสีห์ได้ แล้วหนูยุคนี้มันไม่ได้กัดเชือกนะ กัดราชสีห์ได้ด้วย แล้วฉี่หนูของเราอาจจะทำให้ราชสีห์ได้เลบโตสไปโรซิส โรคฉี่หนู เราสู้นะ และการสู้เที่ยวนี้สู้อย่างตรงไปตรงมานะ สู้เพื่อที่จะบอกให้เพื่อนให้พี่ให้น้องนักสื่อสารมวลชนเราต้องซื่อสัตย์กับหน้าที่ของเรา ตรงไปตรงมา ต้องทำหน้าที่ของเรา เพื่อชาติ และประชาชน.” วาทะอย่างนี้ภายใต้น้ำเสียงห้าว ๆ ของ ผู้หญิง แหละที่ก่อให้เกิด พลังดึงดูดใจผู้คนจำนวนหนึ่ง เธอเคยบอกเล่าในการให้สัมภาษณ์ครั้งเดียวกับที่ “เซี่ยงเส้าหลง” ยกมาในวรรคก่อนอีกด้วยว่าด้วย เหตุบังเอิญ ที่คลื่นประชาธิปไตยของเธอมีรัศมีครอบคลุม ถนนสายเศรษฐกิจ คือ เภทภัย ที่ทำให้ตกเป็นเป้าหมายจับตา “...ที่นี่เป็นวอลล์สตรีทของประเทศไทย ที่นี่เป็นเส้นเลือดใหญ่ ศูนย์กลางการเงิน ฉันจะต้องยิง 1,000 วัตต์ทำไมให้เสียตังค์ ฉันให้คน 3 เส้นได้ยินเรื่องราวที่ฉันทำนี้พอไหม ฉันต้องการแค่คนที่นี่ คนนั่งทำงานออฟฟิศ นั่งรถเข้ามาทำงานสีลม สาทร สุขุมวิท ออฟฟิศบิลดิ้งทั้งนั้น มานั่งแล้วทำงานมีคลื่นเล็ก ๆ 92.25 นั่งอยู่บนตึกสูง แล้วมีวิทยุเล็ก ๆ อยู่ในหู แล้วฟัง 92.25 คุณได้ยินคนที่อยู่ในสาทรเข้ามาโฟนอินใช่ไหม ว่าเมื่อไหร่อากาศจะดี คุณได้ยินคนสีลมโทรมาแสดงความคิดเห็นเรื่องแก้รัฐธรรมนูญใช่ไหม คุณได้ยิน แก้วสรร อติโพธิ คุณได้ยินกรณ์ จาติกวณิช พูดเรื่องนโยบายเศรษฐกิจ วิเคราะห์ และวิจารณ์นโยบายเศรษฐกิจ แล้วใช่ไหม.” เธอเสมือนตั้งคำถามกลับไปยังรัฐบาลว่า “...คุณกลัวอะไรกันแน่ คุณไม่ได้กลัวเสาส่งของเราจะไปกระทบวิทยุการบิน ไปกระทบคลื่นอื่น คุณกลัวอะไรกันแน่ คุณกลัวสิ่งที่คนพวกนี้นำออกมาจากปากเขาใส่หูคนสาทร สุริวงศ์ สุขุมวิท – นี่ต่างหากคือความผิดของพวกเรา.” เอ – เรื่องนี้ก็ไม่รู้ว่า สุรนันท์ เวชชาชีวะ – อดีตเพื่อนรักของอัญชลี ไพรีรัก จะช่วยให้คำตอบแทน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร – นายผู้ชาย ได้มั้ยน้อ

•• กรณี โกงอย่างหน้าด้าน ๆในลักษณะโกงยกกำลัง 3 ในโครงการส่งเสริมการปลูกยางพาราในภาคเหนือและภาคอีสาน 1 ล้านไร่นั้นนอกจาก ใบเสร็จซื้อเสียง ที่ “เซี่ยงเส้าหลง” ชำแหละให้เห็นกันเป็นชิ้น ๆ จากคำให้สัมภาษณ์ที่เป็นเสมือน คำสารภาพ ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ไปแล้วล่าสุดวานนี้ ฉกรรจ์ แสงรักษาวงศ์ – อธิบดีกรมวิชาการเกษตร ยังออกมา สารภาพ อีกด้วยโฆษณาชิ้นสำคัญใน หน้าเศรษฐกิจ – มติชนรายวัน นี่คือ ใบเสร็จยืนยันว่ามีกล้ายางพันธุ์ตาสอย การที่ออกมาลงโฆษณาก็เพื่อที่จะ ปกป้องตนเอง ว่าได้ทำเต็มที่แล้ว ตามกฎหมาย – พ.ร.บ.ควบคุมยาง พ.ศ. 2542 เพราะมิฉะนั้นแล้วตนเองอาจมีความผิด ตามมาตรา 21, 30 และ 50 และเป็นเสมือน การโยนความผิด ให้ ชาวบ้าน นั่นเอง

•• ความจริงก็คือ ธุรกิจผลิตกล้ายางตาสอย จู่ ๆ จะไม่เกิดขึ้นใน ตรัง, นครศรีธรรมราช หากไม่มีการดำเนินโครงการที่ ไม่โปร่งใส่, ล็อกสเป็คให้บริษัทไร้ประสบการณ์ยางมาผูกขาดดำเนินการ และ ขยายพื้นที่ออกไปจนเกินกำลัง – เพื่อประโยชน์ทางการเมือง อย่างที่ชี้ให้เห็นมาโดยลำดับ

•• การสารภาพต่อสาธารณะโดยปริยายเช่นนี้ย่อมชี้ให้เห็นว่า มีกล้ายางไม่ได้คุณภาพปะปนอยู่ในโครงการเป็นจำนวนมาก ก็ไม่รู้ว่า อีก 7 ปีข้างหน้า เมื่อ เกิดความเสียหายใหญ่หลวง ขึ้นมาทั้ง น้ำยางน้อย – ไม่คุ้มค่าลงทุน และ ระบบธุรกิจยางที่วางรากฐานมาดีต้องเสียไปทั้งระบบ ณ วันนั้นทั้ง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร, เนวิน ชิดชอบ, ฉกรรจ์ แสงรักษาวงศ์ และ ซีพี จะไปเสวยสุขอยู่บนสวรรค์ชั้นไหน

•• ย้อนไปก่อนหน้าตั้งแต่ เดือนสิงหาคม 2547 ก็เป็น ฉกรรจ์ แสงรักษาวงศ์ คนนี้แหละที่ สารภาพออกมาครั้งหนึ่งแล้ว มีหลักฐานปรากฏตามหนังสือของกองตรวจราชการ - สำนักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่ กษ 0206 (10,12)0.1 ว/2542 ลงวันที่ 11 สิงหาคม 2547 ท่านอธิบดีคนที่ได้ชื่อว่ารู้เรื่องยางพาราดีที่สุดคนหนึ่งของบ้านนี้เมืองนี้ ยอมรับ ต่อที่ประชุมว่า “...ขณะนี้ยังมีปัญหาไม่สามารถส่งต้นกล้ายางพาราให้แก่เกษตรกรได้ตามเป้าหมายได้ เนื่องจากบริษัทคู่สัญญาผลิตต้นกล้ายางพาราไม่สามารถจัดส่งต้นกล้ายางพาราที่ได้มาตรฐานถูกต้องตามสัญญาให้แก่ กรมวิชาการเกษตรตามกำหนดได้ และกรมวิชาการเกษตรได้ทำการปรับคู่สัญญาตามระเบียบพัสดุ พร้อมทั้งเร่งรัดให้บริษัทคู่สัญญารีบเร่งส่งต้นกล้าให้ครบถ้วนโดยเร็วต่อไป.” นั่นคือการยอมรับอย่างเป็นทางการในช่วง ปลายฤดูฝน 2547 และสุดท้าย ซีพี ผู้ซึ่งไร้ประสบการณ์ยาง – แต่มากด้วยข้าทาสบริวารในระบบราชการและการเมืองไทย ก็ส่งมอบกล้ายางให้ ไม่ทันตามสัญญา การระดมส่งกล้ายางในเดือนสุดท้ายของสัญญาใน ปี 2547 จำนวนเกินกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ โดย ไม่ชัดเจนว่าเป็นกล้ายางที่ได้คุณภาพมาตรฐานตามที่กำหนดหรือไม่ ทำให้ต้นยางชำถุงที่เกษตรกรรับไปปลูก ตายเป็นจำนวนมาก จนถึงวันนี้เราก็เห็นกันแล้วว่า กล้ายางส่วนหนึ่งมาจากไหน เพราะถ้ามันไม่เป็นธุรกิจที่ ทำมาค้าขึ้น ก็คงไม่เกิดขึ้นเป็น ดอกเห็ด ชนิดที่ท่านอธิบดีคนเก่งคนนี้ที่เคยลั่นวาจาต่อสาธารณะว่าจะ ฟ้องคนเขียนคอลัมน์ชื่อจีน ๆ ต้องออกมา แสดงหลักฐานว่าไม่ได้ละเลยหน้าที่ตามกฎหมาย หรอก





ใบเสร็จอีกใบหนึ่ง – ประกาศกรมวิชาการเกษตรลงนามโดย “ฉกรรจ์ แสงรักษาวงศ์” ลงโฆษณาใน “มติชน” หน้า 19 ฉบับวันที่ 21 มิถุนายน 2548 ที่เป็นหลักฐานแสดงให้เห็นว่ามีแปลงพันธุ์ยางที่ไม่ได้คุณภาพในลักษณะต่าง ๆ เกิดขึ้นมากในขณะนี้ อันจะเป็นผลเสียหายต่อวงการยางในประเทศไทยทั้งระบบ และตัวอธิบดีเองถ้าไม่ดำเนินการอะไรจะมีความผิดไปด้วย


•• เรื่อง โกงยกกำลัง 3 นี่ยังมีรายละเอียดที่เป็น ใบเสร็จ, หลักฐาน อยู่อีกหลายประเด็น “เซี่ยงเส้าหลง” จะนำเสนอเมื่อโอกาสอำนวย

•• แต่วันนี้เห็นทีจะต้องขอพูดถึง การชุมนุมของกลุ่มเกษตรกรหน้ารัฐสภา เสียหน่อย “เซี่ยงเส้าหลง” ได้ยินมาว่าจะมีการระดมพลเข้ามาให้ได้ หลายหมื่นคน ใน วันที่ 27 มิถุนายน 2548 นี้

•• พูดกันสั้น ๆ ง่าย ๆ ว่านี่เป็นการรวมพลังครั้งสำคัญที่จะ พิทักษ์ กฎหมายที่เกษตรกรต่อสู้เรียกร้องจนถือกำเนิดขึ้นมาพ.ร.บ.กองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร พ.ศ. 2542 เพราะขณะนี้มี ท่าทีที่ชัดเจน มาจาก รัฐบาลพรรคไทยรักไทย ในลักษณะที่ว่า ต้องการล้มเลิก ท่าทีดังกล่าวแสดงออกมาทาง พินิจ จารุสมบัติ รองนายกรัฐมนตรีที่ รับผิดชอบดูแล และยังมีท่าทีที่แสดงออกมาทาง นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช ที่เสมือนเป็น ตัวแทน ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ทั้ง ๆ ที่เมื่อ วันที่ 8 พฤศจิกายน 2547 นี่เองเพิ่งมี การลงนามโอนหนี้สินเกษตรกรเข้าสู่กองทุนฟื้นฟูและพัฒนาชีวิตเกษตรกร ท่ามกลางประจักษ์พยาน เกษตรกรหลายหมื่นคน ที่มาร่วมชุมนุมที่ หน้าทำเนียบรัฐบาล แต่เมื่อ พ้นการเลือกตั้งทั่วไป ไปแล้วทุกสิ่งทุกอย่างกลับ ไม่มีความคืบหน้า การชุมนุมจึงต้องเกิดขึ้นอย่างช่วยไม่ได้

•• เกษตรกรจำนวนไม่น้อยที่เข้ามาชุมนุมแล้ววันนี้อยู่ ภายใต้การนำ ของ นคร ศรีวิพัฒน์ แต่เกษตรกรขบวนใหญ่ที่จะมาเข้าร่วมสมทบใน วันที่ 27 มิถุนายน 2548 จะมาจาก เครือข่ายหนี้สินชาวนาแห่งประเทศไทย เกษตรกรขบวนใหม่ที่ทั้ง เป็นอิสระ, เป็นตัวของตัวเอง และต่อสายสัมพันธ์กับ สมศักดิ์ เทพสุทิน ในระดับหนึ่ง

•• ที่จริง นคร ศรีวิวัฒน์ ก็ไม่ได้ ลงรอย กับ เครือข่ายหนี้สินชาวนาแห่งประเทศไทย แต่งานนี้จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้อง จับมือ – ผนึกกำลังร่วมกัน จึงไม่อาจจะ ดูเบา ได้

•• สาเหตุที่ รัฐบาลพรรคไทยรักไทย ไม่ให้ความสำคัญกับ กองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร ก็เพราะนอกจากกฎหมายฉบับนี้จะเกิดขึ้นในยุค รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ แล้วลึก ๆ ยังหมายปอง เงินกองทุน – ที่รัฐบาลต้องส่งเข้าสมทบทุกปีตามกฎหมาย มาดำเนินการตาม สารพัดนโยบายเอื้ออาทร ที่ประทับตรา รัฐบาลพรรคไทยรักไทย ไม่ว่าจะเป็น กองทุนหมู่บ้าน, เอสเอ็มแอล, โคล้านตัว, ขึ้นทะเบียนคนจน และ ฯลฯ นอกจากนั้นแล้วยังเป็น การลดบาทแกนนำเกษตรกร ลงอีกต่างหาก

•• เกษตรกรที่เชื่อได้ว่าจะทยอยกันมาชุมนุม หลายหมื่นคน ก็เพราะ เครือข่ายหนี้สินชาวนาแห่งประเทศไทย นั้นแม้ในสายตาคนทั่วไปรวมทั้งสื่อมวลชนส่วนใหญ่เห็นว่าเป็น ม็อบให้กำลังใจ, ม็อบเชียร์ ของ สมศักดิ์ เทพสุทิน แต่จริง ๆ แล้วโดยพื้นฐานแล้วพวกเขา ไม่ใช่เครือข่ายการจัดตั้งของรัฐบาล, ไม่ได้มาเพราะความต้องการของรัฐบาล หากแต่เป็นการก่อตัวเคลื่อนไหวของ พลังใหม่ ที่ มากันเอง, ใช้เงินทองของตัวเอง จนทำให้ต้องกล่าวว่า น่าสนใจในระยะยาว เพราะนี่เป็นเครือข่ายของ เกษตรกรรุ่นใหม่ (ประเภทมี รถปิ๊คอัพ, มือถือ ทำให้ มีค่ารถเดินทางมาได้เอง) และส่วนใหญ่มีพื้นเพละแวก ภาคกลาง (ไม่ใช่ ภาคอีสาน) เป็นการจัดตั้งที่ไม่เชื่อมั่นใน ระบบผู้นำเดี่ยว จึงเน้น ระบบการนำรวมหมู่ อีกทั้ง ไม่เชื่อในระบบการทำงานของเอ็นจีโอ กระทั่ง ปฏิเสธเอ็นจีโอ เครือข่ายนี้พยายามจัดตั้งกันขึ้นมาไม่ใช่เพื่อวัตถุประสงค์ทางการเมืองเฉพาะหน้าประเภท หนุนรัฐบาล, ไล่รัฐบาล โดยอาศัยรูปแบบเดิม ๆ ประเภท ตั้งเวทีปราศรัยด้วยถ้อยคำรุนแรง หากแต่ในเบื้องต้นเพื่อ ใช้ประโยชน์ทุกทางจากงบประมาณภาครัฐ ที่ใส่ลงไปใน กองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร (ที่ในรอบหลายปีมานี้แต่ละฝ่ายต่างพยายาม ช่วงชิงการนำ) โดยมีการต่อสู้ชิงไหวชิงพริบกับ มวลชนจัดตั้งของนักการเมือง (ทั้งกลุ่มที่อิง เนวิน ชิดชอบ และ สมศักดิ์ เทพสุทิน) แกนนำส่วนใหญ่เป็น ตัวปิด, ไม่แสดงตัว ส่วนหนึ่งมาจาก อดีตผู้ปฏิบัติงานระดับกลางของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย – เขตงานอีสานใต้ โดยแกนนำคนสำคัญคนหนึ่งเป็น อดีตสหายแห่งจังหวัดฉะเชิงเทรา พวกเขามีการก่อรูปแนวคิดที่จะหาลู่ทาง จัดตั้งพรรคการเมืองของเกษตรกร ขึ้นมาด้วยเหมือนกันและมีแนวคิดร่วมกับอดีตผู้ปฏิงานของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยบางส่วนที่ “เซี่ยงเส้าหลง” เคยกล่าวถึงบ้างแล้ว ณ ที่นี้เมื่อ วันที่ 9 สิงหาคม 2547 แต่ก็เป็นธรรมดาอยู่เองที่ รัฐบาลพรรคไทยรักไทย ในระยะเฉพาะหน้าใกล้เลือกตั้งทั่วไปเช่นเมื่อ วันที่ 8 พฤศจิกายน 2547 ย่อมจะต้อง ขานรับ แต่เมื่อพ้นไปแล้วก็จะ พิจารณาเป็นกรณี ๆ ไป ในส่วนผู้ประสานงานที่พอจะคุ้นชื่อกันอยู่บ้างนั้น ณ นาทีนี้ก็เห็นจะมีเพียง 2 คนเท่านั้น อมร อมรรัตนานนท์ กับ วิลิต เตชะไพบูลย์ คนแรกเป็นหนึ่งใน คนเดือนตุลา ที่เข้าไปทำงานอยู่ใน กองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร อยู่ระยะหนึ่งและเพิ่งจะ ลาออก ส่วนคนหลังมีชื่อเสียงในฐานะ ทายาทเศรษฐีที่หันมาคลุกคลีกับคนจนและเกษตรกร เจ้าของสมญา เศรษฐีทำนา เป็นหนึ่งในคณะทำงานของ ป x ป ที่เพิ่งจะ ยุติบทบาทชั่วคราว ไปเมื่อ ต้นปี 2547 นี่ก็เป็นข้อมูลพื้นฐานโดยสังเขป

•• คงจะจำกันได้ว่าเมื่อ วันที่ 18 – 20 พฤศจิกายน 2547 ที่มีการจัดงาน ครบรอบ 30 ปี – สหพันธ์ชาวนาชาวไร่แห่งประเทศไทย จาการร่วมกันจัดของ หลากหลายองค์กร มีอยู่เพียงวันหนึ่งที่ เครือข่ายหนี้สินชาวนาแห่งประเทศไทย เข้าไปมีส่วนร่วมจัดกิจกรรมด้วยคือ วันที่ 18 พฤศจิกายน 2547 ตั้งแต่เวลา 18.00 น. (จวบจนถึง เช้าวันใหม่) จะเปิดเวทีปราศรัยในหัวข้อ 30 ปีสหพันธุ์ชาวนาชาวไร่ฯ – จากปัญหาที่ดินสู่ปัญหาหนี้สินชาวนาไทย ที่บริเวณ สนามหลวง ครั้งนั้นมีเกษตรกรมารับการศึกษาประมาณ 5,000 คน ไม่น้อยทีเดียว

•• ณ นาทีนี้ยังไม่รู้ว่า นคร ศรีวิพัฒน์ และ เครือข่ายหนี้สินชาวนาแห่งประเทศไทย จะทำให้ หน้ารัฐสภา – วันที่ 27 มิถุนายน 2548 มีสภาพ คลาคล่ำ, หนาแน่น ขนาดไหนเพราะมี เงื่อนไขจำกัดหลายประการ ด้วยกัน





สัญญาเมื่อใกล้วันเลือกตั้ง – พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ออกมาปราศรัยต้อนรับเกษตรกรในนาม "เครือข่ายหนี้สินชาวนาแห่งประเทศไทย" ที่หน้าทำเนียบรัฐบาล เมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2547 ที่เข้ามาเป็นประจักษ์พยานและแสดงพลังเนื่องในโอกาสการลงนามโอนหนี้สินเกษตรกรเข้าสู่กองทุนฟื้นฟูและพัฒนาชีวิตเกษตรกร แต่แล้วในวันนี้เมื่อรัฐบาลละเลย พวกเขาจึงจะกลับมาอีกครั้ง






Posted by : 1235.... , E-mail : (1235...@HOTMAIL.COM) ,
Date : 2005-06-22 , Time : 11:39:23 , From IP : 172.29.1.209


ความคิดเห็นที่ : 2


   เอาปัญหาภาคใต้มาแฉบ้างซิกำลังเดือดร้อนจริงๆตอนนี้กลัวทั้งมอเตอร์ไซ

ถังขยะ คนแปลกหน้า กลางคืนหมามันเห่าหอนน่ากลัวพวกเราไม่กล้าออกจากบ้าน

กลางวันเรานั่งเอาเรื่องที่หมาเห่าหอนมาเล่าสู่กันฟัง เอาข่าวในโทรทัศน์มาพูดกัน

ว่ามีใครโดนยิงบ้างมีปาระเบิดเผาโรงเรียนที่ไหนบ้าง ได้ยินเขาพูดกันแต่เรื่องร้าย

ทุกวันรัฐบาลก็ไม่สนใจเพราะอะไรช่วยบอกพวกเราหน่อยซิจะขอบคุณ


Posted by : อินทรีย์ , Date : 2005-06-22 , Time : 22:09:18 , From IP : 172.29.7.22

ความคิดเห็นที่ : 3


   เอาอาไรมากกะคนชื่อทักสิน

Posted by : hh , Date : 2005-06-22 , Time : 23:13:24 , From IP : 172.29.4.181

ความคิดเห็นที่ : 4


   จากกัลยาณมิตรถึงนายกฯทักษิณ ชินวัตร (4) นี่ไง...ใบเสร็จซื้อเสียง !

โดย เซี่ยงเส้าหลง 20 มิถุนายน 2548 00:07 น.

เมื่อ 4 ปีก่อน ตอนเย็น ๆ เวลาประมาณ 17.45 - 18.00 น. ของวันศุกร์ที่ 3 สิงหาคม พุทธศักราช 2544 นายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร กล่าวไว้ตอนหนึ่งว่า....

“ต่อไปนี้ประเทศไทยจะไม่มีคำว่าปัญหาทางการเมืองอึมครึมอีกต่อไป ต่อไปนี้การตัดสินใจทุกเรื่องของรัฐบาลนี้จะตัดสินใจบนพื้นฐานแห่งอนาคตของชาติ ไม่ได้ตัดสินใจบนพื้นฐานของการเมืองแน่นอน”

“การเมืองจะไม่มีความหมายกับรัฐบาลนี้”

“รัฐบาลนี้จะทำทุกอย่างเพื่อตอบแทนน้ำใจและความปรารถนาดีของผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมืองที่ได้ให้กำลังใจกับผมมาตลอดในช่วงของฝันร้ายใน 5 - 6 เดือนที่ผ่านมา”

และในอีกตอนหนึ่งมีว่า....

“ผมอยากให้เครดิตทั้งหมดนี้เป็นเครดิตของคนไทยทั้งประเทศ เพื่อพระเจ้าอยู่หัวของเราครับ ท่านทรงเหนื่อยพระวรกายมามากแล้ว ทรงห่วงพสกนิกรทั้งประเทศ แต่วันนี้พวกเรามาช่วยกันแบ่งเบาพระราชภาระ ช่วยกันทำงาน ตามที่ท่านอยากเห็น มีพระราชประสงค์อยากเห็นคนไทยได้พ้นทุกข์ คนไทยได้หายยากจน”

เป็นคำกล่าวที่กินใจคนทั้งประเทศ

เป็นคำกล่าวที่กินใจคนทั้งประเทศที่เบื่อการเล่นการเมืองแบบเก่าที่คิดแต่เพียงคะแนนเสียงในการเลือกตั้งทั่วไปเท่านั้น

เป็นคำกล่าวที่กินใจคนทั้งประเทศที่คนทำงานคนสำคัญของนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตรถึงกับบันทึกที่มาที่ไปไว้เป็นหนังสื่อเล่มย่อม ๆ ชื่อ “นาทีเปลี่ยนประวัติศาสตร์” ทีเดียว

........................

อีก 3 ปีต่อมา....

วันที่ 18 กันยายน 2547 นายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตรให้สัมภาษณ์ก่อนกล่าวปาฐกถาเรื่อง “สิ่งที่ค้างคาใจนายกรัฐมนตรี” ในงานประกาศเกียรติคุณนักเรียนทุนรัฐบาลไทยดีเด่นประจำปี 2547 ถึงกรณีที่มีการปรามรัฐมนตรีไม่ให้นำเรื่องการหาเงินเข้าพรรคไทยรักไทยไปอ้างเพื่อขอเงินจากภาคเอกชนว่า...

“ได้สั่งรัฐมนตรีทุกคนว่า ไม่ต้องเอาเงินมาให้ผม หรือเอาเงินมาให้พรรค เพราะพรรคไทยรักไทยช่วยตัวเองได้ ดังนั้น ขอให้ทุกคนทำงานอย่างตรงไปตรงมา ทำโดยไม่ต้องเกรงใจใคร เอาบ้านเมืองเป็นหลัก”

“อย่าคิดว่าการจะได้เป็นรัฐมนตรี หรือไม่ได้เป็น อยู่ที่การให้เงินพรรค เพราะผมพิจารณาจากการทำงาน คนที่ทำงานดีมีความทุ่มเทก็มีโอกาส รับรองว่าการพิจารณาจะมาจากพื้นฐานของการทำงานเป็นหลัก”

ครั้นถึงช่วงการปาฐกถาพิเศษ “สิ่งที่ค้างคาใจนายกรัฐมนตรี” นายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตรบอกว่าการแก้ปัญหาคอร์รัปชั่นต้องใช้เวลา เพราะเป็นเรื่องที่กัดกินสังคมไทยมานาน จนกลายเป็นสัญลักษณ์ของประเทศ

“ถ้าเมื่อใดการเมืองมีต้นทุน เมื่อนั้นการแก้ปัญหาคอร์รัปชั่นไม่สามารถทำได้”

“เมื่อใดประชาชนยังรับเงินซื้อเสียง เมื่อนั้นประชาชนจะลำบากต่อไป”

“การเมืองในสมัยก่อนในตอนเลือกตั้งมีการไปขอทุนจากเอกชนมาใช้ในการเลือกตั้ง เมื่อเข้ามาเป็นรัฐบาลต้องตอบแทนบุญคุณ ทำให้ไม่มีผลงานอะไรให้แก่ประชาชน อยู่ไป 3 - 4 เดือนล้ม ต้องเลือกตั้งใหม่ ก็ต้องหาทุนใหม่ และตอบแทนบุญคุณ เป็นวงจรอย่างนี้ไปเรื่อยๆ

“เราจะเห็นว่าผู้รับเหมารายใหญ่กับนักการเมืองใหญ่คือคนๆ เดียวกัน”

............................

เมื่อไม่กี่วันมานี้

วันที่ 13 มิถุนายน 2548 นายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตรให้สัมภาษณ์ถึงโครงการนำร่องปลูกยาง 1 ล้านไร่ในจังหวัดพะเยาว่า

“ไม่มีปัญหาอะไร เพราะผมได้บอกกับทางซีพีที่เป็นผู้รับเหมา เขายืนยันว่าจะดูแล ไม่ยอมให้เสียชื่อ ขาดทุนไม่เป็นไร ไม่ต้องห่วง เขาจะดูแลอย่างดี และตรงไหนที่มันเสียหายหรือตาย ก็จะเปลี่ยนหมด ฉะนั้นไม่ต้องห่วงว่าเกษตรกรจะเดือดร้อน เพราะเขายืนยันว่าไม่ยอมเสียชื่อแน่นอน ขาดทุนเขาก็ไม่ว่า”

“บังเอิญมันเกิดในช่วงหนึ่งที่ใกล้เลือกตั้ง ผู้แทนฯเร่งเอาไปแจกชาวบ้าน โดยที่ช่วงนั้นเขาไม่แนะนำให้นำไปปลูก เพราะฝนมันไม่มี แต่ก็ยังรีบไปแจก พอแจกไปก็ตาย พอมันตายชาวบ้านก็เลยเดือดร้อนเพราะไปปลูกแล้วตาย อันนี้ทางกระทรวงเกษตรฯกับทางซีพีจะประสานกันไปแก้ไข”

เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า แสดงว่าความผิดอยู่ที่ผู้แทนฯเร่งไปแจกใช่หรือไม่ นายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตรกล่าวว่า...

“คนมันรีบเอาไปแจกกัน พอดีช่วงนั้นก่อนเลือกตั้งนิดหน่อย คล้าย ๆ กับคงบอกว่าประชาชนทวงแล้ว ถึงเวลาแล้วต้องเอาไปให้ ขณะที่ทางกระทรวงเกษตรฯก็ไปเบรกว่าฝนมันไม่มี เดี๋ยวไปปลูกแล้วตาย และมันก็ตายจริงๆ – แต่ทั้งหมดก็มีไม่มาก”


เมื่อถามว่าเกี่ยวกับการทุจริตหรือไม่ นายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตรกล่าวว่า...

“ไม่เกี่ยว ถ้าเป็นเรื่องทุจริต ทางซีพีก็ไม่ต้องมารับผิดชอบหรอก ซีพีเขายืนยันเลยว่าพร้อมที่จะมาทดแทนให้ โดยที่ขาดทุนเขาก็ยอม เพราะเขาไม่ยอมให้เสียชื่อ ถ้าเป็นการทุจริต เรื่องอะไรซีพีเขาจะมารับผิดชอบ”

เมื่อถามว่าที่บอกว่านำไปแจกก่อนเลือกตั้งเป็นช่วงเดือนไหน นายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตรกล่าวว่า แถว ๆ เดือนกันยายน มันเป็นก่อนเลือกตั้งที่ไม่ผิดกฎหมายเลือกตั้ง

......................................

คำกล่าวของนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตรเมื่อวันที่ 13 มิถุนายน 2548 คือใบเสร็จ

ไม่ใช่แค่ใบเสร็จที่ยืนยันว่า “ฟ้าเป็นของทักษิณ ดินเป็นของซีพี” เท่านั้น

แต่ยังเป็นใบเสร็จที่ยืนยันว่านายกรัฐมนตรีคนนี้ “เสียสัจจะ” ที่ให้ไว้กับประชาชน

เพราะนอกจากจะไม่สร้างการเมืองใหม่ขึ้นมาแล้ว ยังพัฒนาการเมืองเก่าให้แยบยลลึกซึ้งและหลอกลวงมากยิ่งขึ้นไปอีก

..................................


โครงการส่งเสริมปลูกยาง 1 ล้านไร่ที่เริ่มต้นด้วยหลักการอันสวยหรู แต่ดำเนินการด้วยความไม่โปร่งใสในทุกขั้นตอน ได้สร้างหนี้สินสร้างความเสียหายให้แก่เกษตรกรอย่างย่อยยับโดยหาผู้รับผิดชอบไม่ได้ มิหนำซ้ำเกษตรกรนับแสนครอบครัวยังต้องลุ้นระทึกในอีก 7 ปีข้างหน้าว่า “ยางทักษิณ” ที่ “รัฐบาลไร้ยางอาย” แจกจ่ายนั้นจะให้น้ำยางคุ้มค่าต่อการลงทุนหรือไม่ จบลงง่าย ๆ เพียงการรับประกันของนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร

มีประเด็นที่จะต้อง “โชว์ใบเสร็จ” และ “จับโกหก” กันอีกมากมาย

แต่เฉพาะวันนี้ – จะ “โชว์ใบเสร็จ” กันเฉพาะประเด็นการเพิ่มรายชื่อเกษตรกรเพื่อหาเสียง และผู้สมัครส.ส.บางคนของพรรคไทยรักไทยรับโควตาทำยางชำถุงขายให้ซีพี เป็นการกิน 2 ต่อ

เพราะนี่คือสุดยอดของการเมืองเก่าที่ทั้งแยบยล ลึกซึ้ง และหลอกลวงประชาชน

ที่จะเกิดขึ้นไม่ได้ หากไม่ได้รับการสนับสนุนส่งเสริมจากนโยบายของรัฐบาลผ่านทางกระทรวงเกษตรฯ

...................................



ต้นยางของเกษตรกรบ้านมอเจริญ อ.แม่วงศ์ จ.นครสวรรค์ ที่ตายเพราะแล้งและกล้าที่ได้รับไม่สมบูรณ์


นายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตรยอมรับว่า กล้ายางฯที่แจกไปแล้วตายนั้น เป็นเพราะส.ส.รีบนำไปแจกก่อนเลือกตั้ง

นั่นหมายถึงการเร่งรีบตั้งโครงการและดำเนินการอย่างร้อนรนเพื่อสนองเป้าหมายทางการเมือง

โดยไม่ได้คิดถึงสิ่งที่เกษตรกรจะได้รับประโยชน์อย่างแท้จริง

เรื่องนี้พูดลอย ๆ ไม่ได้

ต้องลำดับการเร่งรัดโครงการ การเพิ่มพื้นที่เป้าหมาย และการเพิ่มจำนวนเกษตรกรเข้าร่วมโครงการ เพื่อหวังผลทางการเมืองเอา “ยางทักษิณ” ไปแจกแลกคะแนนเสียง ให้เห็นกันกระจะ ๆ

......................................

26 พฤษภาคม 2546 คณะรัฐมนตรีอนุมัติเห็นชอบโครงการเป้าหมาย 1 ล้านไร่ แยกเป็นภาคอีสาน 7 แสนไร่ และภาคเหนือ 3 แสนไร่

19 มิถุนายน 2546 ฉกรรจ์ แสงรักษาวงศ์ อธิบดีกรมวิชาการเกษตร ออกประกาศกรมวิชาการเกษตร ที่ 4/2546 เรื่องประกวดราคาจ้างเหมาผลิตต้นยางชำถุง

20 มิถุนายน 2546 แต่งตั้งคณะกรรมการคัดเลือกเกษตรกรเข้าร่วมโครงการฯ ฉกรรจ์ แสงรักษาวงศ์ เป็นประธานคัดเลือก เนวิน ชิดชอบ รมช.เกษตรฯ เซ็นคำสั่งแต่งตั้ง

26 มิถุนายน 2546 สรอรรถ กลิ่นประทุม รมว.เกษตรฯ ประกาศกระทรวงฯกำหนดพื้นที่เป้าหมายปลูกยางเพื่อยกระดับรายได้และความมั่นคงให้เกษตรกรในพื้นที่ปลูกยางใหม่ ระยะที่ 1 ในภาคเหนือ 7 จังหวัด คือ เชียงราย, เชียงใหม่, พะเยา, น่าน, ลำปาง, แพร่, ลำพูน ส่วนภาคอีสาน มี 13 จังหวัด คือ กาฬสินธุ์, บุรีรัมย์, มุกดาหาร, เลย, นครพนม, สกลนคร, สุรินทร์, หนองคาย, อุดรธานี, อุบลราชธานี, อำนาจเจริญ, ยโสธร และศรีสะเกษ

30 มิถุนายน 2546 สรอรรถ กลิ่นประทุม ประกาศหลักเกณฑ์การเข้าร่วมโครงการฯ ที่สำคัญคือ เกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการที่ไม่เคยมีสวนยางมาก่อนจะได้รับอนุมัติให้ปลูกยางไม่น้อยกว่า 7 ไร่ และไม่เกิน 30 ไร่

29 กรกฎาคม 2546 คณะกรรมการพิจารณาผลการประกวดราคาฯ ที่มีจิรากรณ์ โกศัยเสวี รองอธิบดีกรมวิชาการเกษตร เป็นประธาน คัดเลือกบริษัทเจริญโภคภัณฑ์เมล็ดพันธุ์จำกัด เป็นผู้ชนะประมูล

13 สิงหาคม 2546 สรอรรถ กลิ่นประทุม ขยายพื้นที่ปลูกยางเพิ่มเติมในภาคอีสานอีก 6 จังหวัด คือ ขอนแก่น, ชัยภูมิ, หนองบัวลำภู, นครราชสีมา, ร้อยเอ็ด, มหาสารคาม พร้อมกับขยายเวลารับสมัครเกษตรกรเข้าร่วมโครงการไปถึง 30 กันยายน 2546

10 พฤศจิกายน 2546 เนวิน ชิดชอบ รมช.เกษตรฯ ปฏิบัติราชการแทนรมว.กระทรวงเกษตรฯ เซ็นคำสั่งประกาศเพิ่มพื้นที่เป้าหมายอีก 10 จังหวัดในภาคเหนือ ตามรายการ “คุณขอมา” เพราะส.ส.อยากได้กล้ายางไปแจกชาวบ้าน คือ พิษณุโลก แม่ฮ่องสอน กำแพงเพชร ตาก สุโขทัย อุตรดิตถ์ พิจิตร นครสวรรค์ อุทัยธานี เพชรบูรณ์ และกำหนดรับสมัครเกษตรกรเข้าร่วมโครงการถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2546

10 พฤศจิกายน 2546 ในช่วงเช้าวันนี้ เนวิน ชิดชอบเซ็นอนุมัติรับราคาตามผลการประกวดราคาว่าจ้างซีพีผลิตต้นยางชำถุงตามที่ฉกรรจ์ แสงรักษาวงศ์เสนอมา ทั้ง ๆ ที่ในช่วงบ่าย สมศักดิ์ เทพสุทินจะเข้าเฝ้าถวายสัตย์ปฏิญาณเข้ารับตำแหน่งรมว.เกษตรฯ

17 พฤศจิกายน 2546 กรมวิชาการเกษตรเซ็นสัญญาว่าจ้างซีพี ผลิตต้นยางชำถุง 90 ล้านต้น วงเงิน 1,397 ล้านบาท จากราคากลาง 1,440 ล้านบาท

29 มีนาคม 2547 ประกาศรายชื่อเกษตรกรมีสิทธิ์เข้าร่วมโครงการฯจำนวน 106,235 ราย เนื้อที่ 844,024 ไร่ แยกเป็นภาคอีสาน 81,828 ราย เนื้อที่ 631,058 ไร่ และภาคเหนือ 24,407 ราย เนื้อที่ 212,966 ไร่ ลงนามอนุมัติโดยสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.กระทรวงเกษตรฯ

28 พฤษภาคม 2547 ประกาศรายชื่อเกษตรกรมีสิทธิ์เข้าร่วมโครงการเพิ่มเติมจำนวน 34,880 ราย เนื้อที่ 139,512 ไร่ แบ่งเป็นภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 397 ราย เนื้อที่ 1,588 ไร่ เซ็นอนุมัติโดยสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.เกษตรฯ

13 กันยายน 2547 ประกาศรายชื่อเกษตรกรมีสิทธิ์เข้าร่วมโครงการเพิ่มเติม ในจังหวัดกาฬสินธุ์ 1,185 ราย พื้นที่ 11,850 ไร่ เซ็นอนุมัติโดยสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.เกษตรฯ

...............................

คำถามคือ ทำไมถึงประกาศพื้นที่เป้าหมายถึง 3 ครั้ง

คำตอบตรงไปตรงมาก็คือ เป็นเพราะส.ส.อยากหาเสียง อยากเอากล้ายางไปแจก จากเดิมซึ่งน่าจะเป็นพื้นที่ที่เหมาะสมสำหรับปลูกยางจริง ๆ แค่ 20 จังหวัดในภาคเหนือและอีสาน ก็กลายมาเป็น 36 จังหวัด

ส่วนรายชื่อเกษตรกรที่มีสิทธิ์เข้าร่วมโครงการก็เพิ่มเติมเข้ามาถึง 3 รอบ

จะเห็นว่าแม้กระทั่งในวันที่ 13 กันยายน 2547 ซึ่งเข้าปลายฤดูฝนแล้ว หมดฝนแล้ว ก็ยังประกาศรายชื่อเกษตรกรที่มีสิทธิ์ปลูกในปี 2547 อีก

เรื่องนี้ ทำไมนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตรไม่พูดบ้าง

เพราะเรื่องที่เกิดขึ้นตามที่ลำดับให้เห็น มันไม่ใช่แค่ส.ส.อยากแจก แต่มันเป็นเรื่องนี้นโยบายของรัฐบาลยินยอมให้มีการเข้าร่วมโครงการอย่างชนิดมุ่งปริมาณมากกว่าคุณภาพ และยอมให้จนถึงช่วงเวลาที่ไม่เหมาะแก่การปลูกแล้ว

ซึ่งเด็กอนุบาลก็พอจะคาดหมายได้ว่าการขยันรับใช้ประชาชนเช่นนี้คงไม่เกิดขึ้น ถ้าทุกคนไม่รู้อยู่แน่ ๆ แล้วว่าภายในปลายปี 2547 หรือต้นปี 2548 จะต้องมีการเลือกตั้งทั่วไปครั้งใหม่เกิดขึ้น

เยี่ยงนี้เป็นการซื้อเสียงหรือไม่ – เด็กอนุบาลก็ตอบได้

แต่แน่นอน – ต้องเป็นคำตอบที่ตรงกันข้ามกับการวินิจฉัยของก.ก.ต.ชุดปัจจุบัน

..............................

ขออนุญาตมี “บทแทรก” ตรงนี้สักเล็กน้อยว่าตามลำดับความเป็นมาของโครงการนี่เน้นตัวหนาไว้ 2 วัน คือวันที่ 10 พฤศจิกายน 2546 และวันที่ 13 กันยายน 2547 นั้น

ทำไมสมศักดิ์ เทพสุทินไม่โวยวายเนวิน ชิดชอบว่าเหตุไฉนจึงเร่งเซ็นอนุมัติในช่วงเช้าวันที่ 10 พฤศจิกายน 2547 ไม่รอให้รัฐมนตรีการคนใหม่เข้ามาทำงานเสียก่อน

ทั้ง ๆ ที่สมศักดิ์ เทพสุทินได้รับโปรดเกล้าให้เป็นรัฐมนตรีว่าการแล้ว รอแต่เพียงขั้นตอนเข้าเฝ้าถวายสัตย์ปฏิญาณในตอนบ่ายวันนั้นเท่านั้นเอง

และก็รู้ ๆ กันอยู่ว่าระยะหลังสมศักดิ์ เทพสุทิน “รัก” เนวิน ชิดชอบขนาดไหน ?

คำตอบมีอยู่ว่าเพราะเนวิน ชิดชอบก็ “มีใบเสร็จ” อยู่ในมือเหมือนกัน

เพราะสมศักดิ์ เทพสุทินลงนามในประกาศเพิ่มรายชื่อเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการนั้น หากเจาะลึกลงไปแล้วจะพบความไม่ชอบมาพากลอยู่บางประการ

โดยเฉพาะลอตสุดท้ายเมื่อล่ามาถึงช่วงหมดฝนวันที่ 13 กันยายน 2547 นั่นแหละ

นอกจาก “ผิดเวลา” แล้วยังมี “เกษตรกรผี” เข้าร่วมโครงการด้วยจำนวนหนึ่ง

งานนี้ สมศักดิ์ เทพสุทินจึงได้แต่เงียบ

เพราะในเรื่องการขยายพื้นที่เป้าหมาย และเพิ่มรายชื่อเกษตรกรเพื่อรับเลือกตั้งนี้ ผอ.สำนักงานกองทุนสงเคราะห์การทำสวนยางประจำจังหวัดต่าง ๆ ซึ่งส่วนใหญ่ถูกเรียกตัวด่วนจากภาคใต้ให้เข้ามารับผิดชอบพื้นที่ภาคเหนือ-ภาคอีสานเพื่อรองรับโครงการนี้ ต่างรับรู้เป็นอย่างดี

และไม่อยากกล่าวโทษซีพีที่ผลิตกล้าส่งให้ไม่ทันแต่เพียงฝ่ายเดียว

โดยเฉพาะในจังหวัดที่ประกาศเพิ่มเติมเข้ามา

เพราะรู้อยู่ว่าเป็นรายการ “คุณขอมา” และถึงอย่างไรซีพีก็ผลิตยางชำถุงให้ไม่ทันอยู่แล้ว เนื่องจากไม่ได้เตรียมการไว้และไม่มีประสบการณ์เรื่องยางมาก่อน

.......................

นั่นคือ – การกินต่อที่ 1

.......................

จากนี้ไปคือ – การกินต่อที่ 2



สภาพแปลงยางชำถุงในฟาร์มกำแพงเพชร จ.กำแพงเพชร เครือซีพี ที่ถูกทิ้งร้างเนื่องจากปีที่ผ่านมาแปลงแห่งนี้เพาะยางชำถุงจำนวนล้านต้นแต่ได้มาตรฐานพร้อมส่งมอบเพียง 5 แสนต้น


ส.ส. และนักการเมืองท้องถิ่น หรือหัวคะแนนส.ส. ไปรับโควตาการผลิตต้นยางชำถุงจากซีพี มาทำ

เพราะซีพีไม่ได้ทำหน้าที่เป็น “ผู้ผลิต” แต่ทำหน้าที่เป็น “ผู้จัดหา” หรือ “โบรกเกอร์” เท่านั้น

ไม่ต่างจาก “เสี่ยเช - แพรททิออท” ที่กินหัวคิวซีทีเอ็กซ์ 9000 เท่าใดนัก

เพราะแปลงกิ่งตาพันธุ์และแปลงกล้ายางที่ซีพี ใช้ประกอบการยื่นประมูล ก็ไป “รวบรวม” หรือ “หยิบยืม” แปลงเกษตรกรมา ไม่ได้เป็นแปลงผลิตกล้าและผลิตกิ่งพันธุ์ของซีพีแต่อย่างใด

จึงต่อเนื่องไปถึงการผลิตยางชำถุง

เมื่อไม่มีแหล่งกิ่งตาแหล่งกล้าของตนเอง ก็ต้องไปกว้านซื้อมา

........................

ต้นยางชำถุงของซีพี มาจากไหน

1. ซีพีไปกว้านซื้อ “ต้นตอยาง” ที่ติดตากิ่งพันธุ์หรือกิ่งตาสอยจากต้นแก่หรือไม่ก็ไม่มีใครพิสูจน์ได้ มาจากแหล่งขยายพันธุ์ที่ภาคใต้ ส่วนใหญ่มาจากจังหวัดตรัง โดยทำสัญญาซื้อมาจากเกษตรกรผู้ผลิตในราคาต้นตอละ 4.50 บาท แล้วนำมาส่งให้กับเครือข่ายส.ส.ในพื้นที่เป้าหมายโครงการในภาคอีสาน-เหนือ นำมาชำถุง เป็น “ต้นยางชำถุง” เมื่อแตกยอด 1 ฉัตร หรือ 1 ชั้น ก็นำไปขายคืนให้กับซีพีในราคา 11.50 บาท จากนั้นซีพีก็นำไปขายต่อให้กรมวิชาการเกษตร ในราคา 15.50 บาท

2. ซีพี ไปกว้านซื้อต้นยางชำถุงจากแหล่งขยายพันธุ์ยาง โดยทำสัญญาซื้อขายจากลูกช่วงเหล่านี้ ในราคา 11.50 บาท แล้วซีพีนำไปขายต่อให้กรมวิชาการฯ ในราคา 15.50 บาท

ส่วนต่างจากการเข้ามา “จับเสือมือเปล่า” เป็นเงินหลายร้อยล้านนี้จ่ายค่าหัวคิวให้ใครในช่วงสำคัญที่ต้องมี “กระสุน” สำหรับเลือกตั้ง – ก็น่าจะคาดเดาได้ไม่ยาก

ปัญหาคือหัวสมองอันชาญฉลาดของนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตรกลับไม่พยายามคิดถึงเรื่องง่าย ๆ แค่นี้แม้แต่น้อย

.............................



ต้นยางแก่ที่ถูกตัดกิ่งให้ถอดยอดแล้วสอยนำมาติดตาชำยางถุงขายเข้าโครงการยางล้านไร่






แปลงกิ่งตาสอยที่มีอยู่เกลี่อนกลาดทั่วไปในจ.ตรังและละแวกใกล้เคียง


ก็ในเมื่อบรรดาส.ส.ผู้ทรงเกียรติทั้งหลายกะเอาทั้งคะแนนเสียงเอาทั้งเงินเช่นนี้

จึงไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดสักเท่าใดที่เรื่องนี้แทบจะไม่มีส.ส.เข้ามาทำหน้าที่ตรวจสอบความเสียหายที่เกิดขึ้นจากโครงการ

โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเด็นทุจริต ยิ่งไม่มีใครกล้าแตะ

เพราะกลัวเจอพวกเดียวกันเอง

..............................

ส.ส.เร่งแจกกล้ายาง ผลออกมาเป็นอย่างไรก็คงรู้กันแล้ว

เพียงแต่ว่าหน่วยงานผู้รับผิดชอบต่างโทษเทวดา โทษฟ้า โทษดิน

ลืมนึกข้อเท็จจริงไปว่าการเตรียมกิ่งตาพันธุ์ และการเตรียมกล้ายาง ต้องใช้เวลา ตามขั้นตอนพอสมควร

ไม่ใช่ว่าจะทำเอาแบบ “แดกด่วน” เช่นนี้

พอเกิดความเสียหายขึ้นมา เกษตรกรลงทุนสูญเปล่าย่อยยับ -- ใครรับผิดชอบ ?



ต้นยางตายในแปลงปลูกของเกษตกรบ้านนาสูบ อ.เมือง จ.เลย


ข้อมูลรายงานการตรวจสอบต้นยางตายและผลดำเนินงานโครงการปลูกยางล้านไร่ เมื่อปี 2547 ของสำนักงานกองทุนสงเคราะห์สวนยาง ระบุชัดว่าต้นยางที่ปลูกในปี 2547 จำนวน 13.4 ล้านต้น ตายเพราะกระทบแล้งกว่า 20 % หรือ 2.62 ล้านต้น (90 ต้น/ไร่ รวม 29,124 ไร่) ส่วนเกษตรกรซึ่งเตรียมพื้นที่พร้อมปลูกยางแต่ไม่ได้รับยางชำถุง เมื่อปี 2547 รวม 3.45 ล้านต้น (38,385 ไร่)

จากตัวเลขดังกล่าว เมื่อประมาณการค่าลงทุนเตรียมพื้นที่ปลูกประมาณ 1,500 บาท/ไร่ (ค่าไถและค่าขุดหลุม) และค่าต้นยางชำถุงต่อไร่ 1,400 บาท ราคาต้นละ 16 บาท (1 ไร่ปลูก 90 ต้น) ขณะที่ราคาตลาดประมาณ 18 – 20 บาทต่อต้น หากเกษตรกรต้องซื้อปลูกเองก็ต้องลงทุนเพิ่มขึ้นอีก

คิดเป็นมูลค่าความเสียหายไม่ต่ำกว่า 100 ล้านบาท

ค่าลงทุนเตรียมพื้นที่และค่าเสียโอกาสของเกษตรกร -- ทางกระทรวงเกษตรฯและซีพีไม่ได้รับผิดชอบแต่อย่างใด

อย่าถามถึงส.ส.ที่เอากล้ายางไปแจกแลกคะแนนเสียง -- ป่านนี้ไม่รู้หายหัวไปไหนหมด

ไม่มีใครไปดูดำดูดีชาวบ้านที่รอความหวังว่า “หลวงจะช่วย” ทั้งกล้ายางปลูกใหม่และค่าลงทุนที่สูญไปกับ “ยางทักษิณ” ตั้งแต่ปี 2547

อย่าแปลกใจที่เกษตรกรในโครงการเขาไม่ไว้ใจรัฐบาล และถอนตัวจากโครงการ

ในบางจังหวัดมีมากถึง 30 เปอร์เซ็นต์

โดยเฉพาะพื้นที่จังหวัดบุรีรัมย์ของเนวิน ชิดชอบที่มีผู้ถอนตัวสูงในอันดับต้น ๆ

เพราะฉะนั้นอย่าได้คิดปลอบใจตัวเองว่าพรรคไทยรักไทยเสียคะแนนนิยมแต่เฉพาะในกรุงเทพมหานครและเมืองใหญ่

กรณีโกง 3 ชั้นที่เอาความหวังของเกษตรกรที่จะได้มีอาชีพใหม่ที่มีโอกาสพ้นจากความยากจนในอนาคตมาเป็นเหยื่อในการหาเสียงแบบหน้าด้าน ๆ พอเสียหายขึ้นมาก็หนีหน้า แถมยังรับประกันให้บริษัทเอกชนอีกต่างหากนี้ กำลังบั่นทอนศรัทธาของประชาชนในต่างจังหวัด โดยเฉพาะภาคเหนือและภาคอีสาน ที่มีต่อพรรคไทยรักไทย ให้ตกลงอย่างรวดเร็ว

ได้เคยชี้ให้เห็นใน “จากกัลยาณมิตรถึงนายกฯทักษิณ ชินวัตร (1)” แล้วว่า ประชาชนที่เคยสงสัยมาตลอดถึงความสัมพันธ์ระหว่างท่านนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร กับซีพี เหตุไฉนจึงเสมือนเกินระดับปกติ ขนาดปรับคณะรัฐมนตรีกี่ครั้งต่อกี่ครั้ง อย่างไรเสียก็ต้องมีคนที่มีสัมพันธ์ใกล้ชิดกับซีพีร่วมเป็นรัฐมนตรีด้วยอย่างน้อย 1 คนทุกครั้งไป !

หรือว่าซีพีคือ “หุ้นส่วนทางการเมือง” ที่จะขาดเสียมิได้ ?

อ้าว ก็ไหนว่าพรรคการเมืองของท่านนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตรไม่ต้องการให้ใครมาบริจาคไงล่ะ ก็ไหนว่าท่านมีเงินมากพอแล้วจึงขอแต่เพียงให้รัฐมนตรีทุกคนตั้งใจทำงานให้ดีที่สุดไงล่ะ ไม่ติดกับโควตาไงล่ะ

คนที่สนใจในเรื่องเหล่านี้ที่ไม่ใช่ “ขาประจำ” แต่ “ความจำดี” จะเริ่มรื้อฟื้นความทรงจำในรอบ 4 – 6 ปีนี้ขึ้นมาทีละช็อตทีละฉาก

แล้วสรุปว่า – สิ่งที่ “นายกรัฐมนตรีพูด” กับสิ่งที่ “นายกรัฐมนตรีทำ” นั้นตรงกันข้ามกันหมด !

...................................

กรณีกล้ายางเป็นเพียงตัวอย่างหนึ่งในนโยบายสารพัดเอื้ออาทรทั้งหลาย
ว่าเมื่อพ้นจากคะแนนนิยมเฉพาะหน้าไปแล้ว

หากเกิดความเสียหายใหญ่หลวงในอนาคตขึ้นมาเมื่อถึงเวลานั้นไอ้หน้าไหนจะเสนอหน้ามารับผิดชอบ

...................................

“ต่อไปนี้การตัดสินใจทุกเรื่องของรัฐบาลนี้จะตัดสินใจบนพื้นฐานแห่งอนาคตของชาติ ไม่ได้ตัดสินใจบนพื้นฐานของการเมืองแน่นอน”

“การเมืองจะไม่มีความหมายกับรัฐบาลนี้”

“รัฐบาลนี้จะทำทุกอย่างเพื่อตอบแทนน้ำใจและความปรารถนาดีของผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมืองที่ได้ให้กำลังใจกับผมมาตลอด”

“ผมอยากให้เครดิตทั้งหมดนี้เป็นเครดิตของคนไทยทั้งประเทศ เพื่อพระเจ้าอยู่หัวของเราครับ ท่านทรงเหนื่อยพระวรกายมามากแล้ว ทรงห่วงพสกนิกรทั้งประเทศ แต่วันนี้พวกเรามาช่วยกันแบ่งเบาพระราชภาระ ช่วยกันทำงาน ตามที่ท่านอยากเห็น มีพระราชประสงค์อยากเห็นคนไทยได้พ้นทุกข์ คนไทยได้หายยากจน”

คำกล่าวของนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตรไม่ได้มีคุณค่าระดับ “นาทีที่เปลี่ยนประวัติศาสตร์” อีกต่อไป

เพราะได้แปรสภาพเป็น “นาทีที่ประวัติศาสตร์จับโกหกได้” ไปเรียบร้อยแล้ว







--------------------------------------------------------------------------------


Posted by : เอามาฝาก "อีกหนึ่งความโกง" , Date : 2005-06-23 , Time : 16:59:26 , From IP : 172.29.3.145

ความคิดเห็นที่ : 5


   
>วันนี้ขอนำเสนอมหกรรมการโกงชาติระดับโลก.............. เฮ้อ
>แพทริอทและอินวิชั่น
>
>ทักษิณ มีน้องสาวชื่อเยาวภา
>เยาวภา มีลูกสาวชื่อชินณิชา
>ชินณิชา ถือหุ้นในแอสคอน
คอนสตรัคชั่นร่วมกับพัฒนพงษ์
>พัฒนพงษ์ ถือหุ้นในฟิลเทค เอ็นจิเนียริ่งร่วมกับวรพจน์
>วรพจน์ กรรมการแพทริอทและอินวิชั่น
>ขายเครื่องตรวจระเบิดที่ซื้อมาจากสหรัฐให้กับอิตาเลียนไทย
>อิตาเลียนไทย รับงานจากบทม.
>บทม อยู่ภายใต้การกำกับดูแลโดยสุริยะ
>สุริยะ เป็นเลขาธิการพรรคไทยรักไทยโดยทักษิณ
>
>ช่วยส่งต่อๆกันให้เยอะๆที่สุดหน่อยสิ


Posted by : มาฝากด้วย , Date : 2005-06-24 , Time : 08:48:24 , From IP : 172.29.1.232

ความเห็นจาก Social Network : Facebook


สงวนสิทธิ์การแสดงความคิดเห็นสำหรับ สมาชิกเท่านั้น
>>>>> Page loaded: 0.011 seconds. <<<<<