ความคิดเห็นทั้งหมด : 8

พี่ลิลลี่คะ ผู้ชายที่ใช้ความรุนแรงกับผู้หญิงนี่ เค้าทำได้ยังงัยคะ .....


   เราจะรู้ได้อย่างไรคะ ว่าผู้ชายที่เรารู้จักชอบ / มักจะใช้ความรุนแรงกับผู้หญิง /แฟนตัวเอง
บางคนดูเป็นคนดีพอควร ไม่น่าที่จะทำอย่างนั้นได้ แต่ก็ทำแม้กระทั่งแฟนที่ตัวเองรัก
อยากให้พี่ลิลลี่วิเคราะห์คนแบบนี้ให้ฟัง
( แฟนของเพื่อน เค้าทำร้ายร่างกายเพื่อนหนูคะ )


Posted by : อยากรู้ , Date : 2005-06-10 , Time : 11:29:28 , From IP : 172.29.2.95

ความคิดเห็นที่ : 1


   sbs

Posted by : bfy , Date : 2005-06-10 , Time : 15:03:47 , From IP : 172.29.4.167

ความคิดเห็นที่ : 2


   มีกำลังเท่าไหร่.....สู้ตายเลยนะคะน้อง....

Posted by : ซ้อเจ็ด , Date : 2005-06-10 , Time : 15:38:53 , From IP : 172.29.3.208

ความคิดเห็นที่ : 3


   
ทนอยู่ทำไมครับ บอกเพื่อนให้เลิกเลย ผู้ชายเลวๆอย่าไปเอามันทำพันธุ์ คุณค่าใน
ตัวที่เรามีนั้น มากมายกว่าที่เค้ามีเยอะครับ รักษาคุณค่านั้นเอาไว้ครับอย่าทน อย่าเสียดาย เลิกได้ เลิกเลย.

วิธีสังเกต..

1. ดูว่าเวลาที่เค้าอยู่กับเรากับเวลาที่เค้าอยู่กับเพื่อนพฤติกรรมเหมือนกันรึปล่าว

ไม่ใช่อยู่กับเราดีแสนดี แต่อยู่กับเพื่อนเห็นแก่ตัว คนอย่างนี้คบไม่ได้ครับ ?

2. ใจเย็นๆแล้วหมั่นคอสังเกตความสม่ำเสมอว่า" ดีเสมอต้นเสมอปลายรึปล่าว " ?

3. ดูว่าเป็นคนอารมณ์ร้อนรึปล่าว ผู้ชายอารมณ์ร้อนมีสิทธิ์ที่จะแสดงพฤติกรรมป่า

เถื่อนกับคนรอบข้างได้ โดยเฉพาะกับแฟนตัวเอง เพราะคิดว่าเป็นลูกไก่ในกำมือ

ยังไงก็ไปไหนไม่รอด.

4. คุณผู้หญิงครับ เวลาคนสองคนจะตกลงเป็นแฟนกันได้นั้น ฝ่ายหญิงจะต้องเป็นฝ่าย O.K.นะครับจึงจะเป็นแฟนกันได้ คุณมีโอกาสเลือกแล้ว คณต้องดูให้ดีๆ และใจเย็นๆให้ได้มากที่สุดครับ ไม่งั้นมันจะเป็นหลุมดำในใจ ที่จะติดตัวไปตลอดชีวิตครับ.

5. ทั้งหมดเป็นความคิดเห็นส่วนตัวที่ผู้ชายหลายคนอาจจะไม่ชอบใจนัก แต่หวังดี

กับคุณผู้หญิงทุกคนครับ" เพื่อนคุณน่าสงสารมากครับ " ไม่อยากให้ใครต้องเจอ

แบบนั้นอีก.

6. coconutd2b@yahoo.com


Posted by : Gripen , E-mail : (coconutd2b@yahoo.com) ,
Date : 2005-06-10 , Time : 16:17:28 , From IP : 203.113.70.9


ความคิดเห็นที่ : 4


   ขอแสดงความเห็นนะ
เท่าที่รู้มา โดยส่วนใหญ่คนที่มีประวัติก้าวร้าวรุนแรงกับคนอื่นมักมีพื้นฐาน หรือประสบการณ์ในอดีตแบบนี้
...เคยถูกกระทำรุนแรงมาก่อนแบบสม่ำเสมอ พอโตขึ้นก็เลยเลียนแบบ
...เคยกระทำรุนแรงมาสม่ำเสมอ ทั้งกับคน หรือกับสิ่งของ แต่ไม่ได้รับการชี้แนะ
...มีครอบครัวที่มีการใช้ความรุนแรงในการแก้ปัญหา ก็เลยเห็นเรื่องความรุนแรงเป็นเรื่องปกติ
บางครั้งมันก็คงยากเหมือนกันนะที่จะไปหาประวัติในวัยเด็กหรือประวัติครอบครัว ลองดูง่ายๆแบบนี้ดีไหม คือ ก็น่าจะเป็นคนประเภทนี้หน่ะ
...รู้สึกตนเองเป็นคนด้อย เลยต้องการการแสดงpower ง่ายที่สุด และจะดูมีพลังมากรวมทั้งมีโอกาสทำสำเร็จได้สูงก็คือ การแสดงความมีอำนาจกับคนที่ด้อยกว่า
...เป็นคนเจ้าอารมณ์ หุนหันพลันแล่น ยับยั้งอารมณ์ไม่ค่อยเป็น
...ไม่ค่อยเห็นแก่ส่วนรวม หรือไม่ค่อยconcernความรู้สึกของคนอื่น มองตนเองเป็นหลัก
....ไม่ค่อยรู้จักเรื่องสิทธิส่วนบุคคล .........เอาแบบคร่าวๆพอหอมปากหอมคอนะ

ถ้าเจอคนประเภทที่กล่าวมานะ เมื่อเขาทำร้ายร่างกายใครไปแล้ว เขาไม่รู้หรอกว่าเป็นเรื่องไม่สมควรทำ เพราะเขาไม่รู้เรื่องสิทธฺส่วนบุคคล หรือเรื่องการconcernความรู้สึกคนอื่น อีกอย่างถ้าเขาเคยทำร้ายใครมาแล้วครั้งหนึ่ง มีโอกาสสูงที่เขาจะทำซ้ำอีกได้เรื่อยๆแน่นอน โดยเฉพาะถ้าเป็นคนเจ้าอารมณ์ ยับยั้งไม่เป็น หุนหันพลันแล่น
น่ากลัวที่สุด ถ้าเราไม่สามารถมองคนพวกนี้ให้ทะลุได้ เพราะเป็นไปได้ที่คนพวกนี้อาจดูมีท่าทีที่นุ่มนวล อบอุ่น โดยที่เก็บกดความเจ้าอารมณ์ไว้ ทางที่ดีเราควรฝึกตัวเราให้ไวต่อการรับรู้เรื่องอารมณ์ ถ้าใครที่ดูว่ามีพื้นอารมณ์ครุกรุ่นอยู่ตลอดเวลา ไม่ค่อยจะยอมใครอยู่เรื่อย และไม่มีมโนธรรมจริยธรรม หนีเลยดีกว่า

แต่ถ้ามันไม่รู้ ดูกันไม่ออก แล้วมีแนวโน้มว่าเขากำลังจะทำร้ายเรา ก็อย่าอยู่ยั่วยุให้เขาทำร้าย และควรฝึกการdetectสัญญาณเตือนภัยความรุนแรงไว้ก็น่าจะดี


Posted by : pisces , Date : 2005-06-10 , Time : 23:06:18 , From IP : 172.29.7.209

ความคิดเห็นที่ : 5


   ไม่แน่ใจว่าอยากรู้ว่าเขาทำอย่างนั้น (ใช้ความรุนแรงกับแฟน) แล้วจะเกิดประโยชน์อะไรขึ้น แต่ผมว่าถ้าเรามาคิดกันว่าคนที่ถูกทำร้ายควรจะทำยัไงดี ก็น่าสนใจดีเหมือนกัน

ปกติถ้าคนเรามีความสัมพันธ์แบบทั่วๆไป มีศักดิ์ศรีเท่าเทียมกัน ไอ้การที่ฝ่ายหนึ่งจะถูกกดขี่ข่มเหงแล้วสถานการณ์ยื้อไปเรื่อยๆนั้นไม่น่าจะเกิด (อันนี้ไม่เพียงแต่ physical violence เท่านั้น ผมว่าน่าจะรวมการล่วงละเมิดสิทธิความเป็นมนุษย์ใน mode อื่นๆด้วย เช่น ทางวาจา ทางการกระทำ ฯลฯ) แต่แปลว่าต้องมี bond ที่ไม่ธรรมดาๆมาทำให้เกิดการยื้อไปได้ อาจจะเป็นความไม่มั่นใจในตนเอง ความที่เป็นแบบ passive มาโดยตลอด และกรอบความคิดว่าไม่มีทางที่จะเปลี่ยนอะไรได้ หรือถ้าเปลี่ยนแล้วมันอาจจะแย่ลงกว่าเดิม

ผมคิดว่าโดยทั่วๆไปเราคงอยากจะลุ้นให้คนที่ถูกทำร้ายสามารถตีตัวออกหากมาจากไอ้ตัวนรกนี้ได้ ส่วน pathogenesis หรือ pathology แบบไหนที่หมอนี่มีอยู่นั้น คงไม่ต้องการรู้โดยละเอียด ถ้าคนเริ่มกระทู้รู้จักหรือเป็นเพื่อนคนที่ถูกทำร้าย วิธีหนึ่งก็คือช่วย support ทางจิตใจ และความมั่นใจในตนเองเพื่อนที่เขาจะได้สามารถตั้งหลัก และทราบว่าตนเองมีคุณค่ากว่าที่ยอมถูกทำร้ายอย่างนี้ต่อไปเรื่อยๆ และสุดท้ายเขาคงจะต้องหาทางออกได้ด้วยตนเองน่าจะเป็นวิธีที่สมบูรณ์ที่สุด และจะได้หลีกเลี่ยงจากประวัติศาสตร์ซ้ำรอยในอนาคต ไม่รู้เป็นยังไง คนที่ชอบทำร้ายคนอื่นมักจะสามารถหา victim ที่อ่อนแอกว่ามารองรับอารมณ์ตนเองได้เนืองๆ

อีกประการอย่างที่กล่าวไว้ตอนต้น personal abuse นั้น ไม่ได้มีแต่ form physical violence อย่างเดียว บางทีทำโดยไม่ต้องมี violence เลยจะสามารถ degrade หรือ dehumanise ได้มากกว่าซะอีก ใครเคยดูภาพยนต์เรื่อง WIT มาแล้วอาจจะนึกออกว่าเป็นอย่างไร



Posted by : Phoenix , Date : 2005-06-11 , Time : 00:17:17 , From IP : 172.29.7.63

ความคิดเห็นที่ : 6


   id คือ สันดานดิบที่ทุกคนมี คือความก้าวร้าว อยากได้อยากมี รวมถึงพลังแห่งการทำลายร้าง ซึ่งทุกคนมีติดตัวมาตั้งแต่เกิด
superego คือ มโนธรรม จริยธรรม ความรู้สึกผิดชอบชั่วดี ซึ่งสิ่งนี้เกิดมาจากการได้รับการสั่งสอนจากครอบครัว หรือจากสังคมที่เราอยู่
ego เป็นตัวทำงานที่จะbalanceให้ทั้งสองคือ id และ superego นี้อยู่ได้แบบสมดุลย์ และก็หมายถึงเป็นตัวกำหนดให้เราแสดงพฤติกรรมออกมา โดยอาจจะเอียงไปทางด้านตามใจ id หรือ แถงตรงตามsuperego นั่นเอง

ทีนี้ถ้าคนเรามีมโนธรรมไม่ดี ก็มีแนวโน้มที่ ego จะพ่ายแพ้ต่อ id ทำตามใจid ก็คือการแสดงออกถึงเรื่อง สันดานดิบ ความก้าวร้าวของตน ความอยากได้อยากมีเป็นใหญ่ไม่นึกถึงใคร และถ้าเราจะไปพูดเรื่องความรู้สึกผิดชอบชั่วดีของพฤติกรรมเขา ก็คงไม่รู้เรื่องกัน เพราะว่าเรื่องมโนธรรมแบบนี้ มันไม่มีอยู่ในตัวเขาเลย
ทีนี้เราจะเลือกคู่ครองอย่างไร ก็คงเอาแบบที่มีมโนธรรม มีsuperegoหน่อยคงน่าจะดีที่สุด ส่วนคนที่มีวาจาไม่ดี ก็อาจบ่งบอกถึงจิตใจที่หยาบกระด้างด้วย ก็คงน่ากลัวเหมือนกัน

เกิดเลือกไปแล้ว เจอไม่ดี ก็ลองนึกดูดีๆว่า เรา เกิดมาเพื่อdependence เขาหรือไม่ เราเป็นคนpassive จำยอมคนอื่น ตามคนอื่นเรื่อยไปหรือไม่ ถ้าเลือกได้ก็น่าจะindependenceต่อคนพวกนี้จะดีกว่า แต่ถ้าไม่ได้ นั่นก็คงหมายรวมถึงเราเป็นคนที่born to be victim ก็คงต้องให้เขาทำร้ายเราอยู่เรื่อยไป ทั้งวาจา และร่างกาย ทั้งหมดอยู่ที่เรากำหนดเลือกมันเอง


Posted by : พี่ลิลลี่ , Date : 2005-06-11 , Time : 07:20:57 , From IP : 172.29.7.210

ความคิดเห็นที่ : 7


   Aggression เป็นอีก form หนึ่งของการแสดงออกของพวกที่มี communication skill ไม่ดี

โดยทั่วๆไปเวลาที่เราจะสื่อว่าเราต้องการอะไร เราเห็นว่าอะไรดี ไม่ดี หรืออยากจะเชื้อเชิญคนอื่นให้เห็นด้วยกับเรา ก็จะใช้วิธีสื่อนี่แหละครับเป็นตัวกลางเชื่อมโยงความคิด เป็นศิลปในการดำรงชีวิตก็ว่าได้ ต้องมีการเตรียมทั้งตัวเราคนสื่อ คนรฟังหรือคนรับ และบริบทในการที่จะสื่อให้ดีพร้อม จึงจะได้การสื่อที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด อย่างนักการฑูต นักการเมือง ที่สื่อแล้วคนฟังคล้อยตาม เห็นด้วย และอยากจะทำอะไรอย่างที่เขาแนะนำไปโดยไม่มีความรู้สึกว่าบังคับ แต่กลับรู้สึกว่ามันดี มันจำเป็น มันเป็นสิ่งที่ควรทำแทน

ผมคิดว่าปัจจุบันจะมีการถดถอยของความสามารถในการสื่อลงเยอะ จะโทษ virtual world นี่ ก็ยังไม่แน่ใจว่ามันระบาดขนาดไหน แต่ที่แน่ๆคือเวลาสื่อโดยเราไม่ต้องแสดงตัวตน ไม่มีใครรู้ว่าใครเป็นใครนั้น มันลดความสำคัญของตัวตนและบริบทลงไปอย่างมากมาย คนสื่อไม่มีตน คนรับใครก็ไม่รู้ บริบทก็ไม่เห็นต้องไปจำกัด แต่ผลก็คือเวลาสื่ออะไรที่ต้องการ "ผลลัพธ์" คนก็เกิดความหงุดหงิดเพราะมันไม่ใคร่ได้ผลเท่าไหร่ (แต่บางทียังอุตส่าห์สงสัยว่าทำไมไม่ค่อยได้ผล)

ประการแรก เมื่อคนสื่อไม่มีตัวตน ก็ไม่ระมัดระวังหรือเห็นความจำเป็นในเรื่อง etiquette ของสัมมาวาจา สิ่งที่สื่อไม่เพียงแต่เจือปน vicious หรือ malicious element แต่ขาดความประนีประนอม ขาดความรู้สึกแห่งการเชื้อเชิญให้คล้อยตาม

ประการที่สอง เมื่อคนรับหลากหลาย ก็ไม่มีอะไรการันตีว่าคนที่เรา "ต้องการ" จะให้รับจะได้รับที่เราจะสื่อหรือไม่ หรือคนรับหลากหลายก็จะไม่สามารถควบคุมมาตรฐานภาษา คำจำเพาะกลุ่มอาชีพ ให้ตรงกันหมด เดี๋ยวก็มีคนที่ไม่เข้าใจเข้ามาต่อว่าให้เกิดคงวามหงุดหงิดทั้งสองฝ่าย แถมคนรับจะรับตอนอารมณ์เป็นยังไงพร้อมไหมนั้นก็เป็นสิ่งที่ไม่สามารถเตรียมได้เลย บางทีก็เจอตอนที่เขาอารมณ์ดี บางทีก็ตอนที่เขากำลังมีอารมณ์ bias มี prejudice เอาไว้ท่วมถึงหู อะไรๆที่จะสื่อมันก็ไม่เข้าไป

ประการที่สามบริบทที่เคยสำคัญมากที่สุด กลายเป็นอะไรที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน เช่น การทำให้คนเชื่อนั้นมันต้องมาจากการไว้เนื้อเชื่อใจ แต่คงจะยากถ้าระหว่างสื่อทั้งสองฝ่ายสวมใส่หน้ากากเข้าหากัน ปลอมตัวกันอยู่ การจะทำให้การสื่อเต็มรูปแบบ มันมี non-verbal part ที่สำคัญมากๆ อันนี้ก็สูญหายไปเหลือศูนย์ ไม่มีน้ำเสียง ไม่มีหน้าตาท่าทางร่างกายมาให้รู้ว่าตอนนี้พูดทีเล่นทีจริง ตอนนี้พูดจริงจัง ตอนนี้ไร้สาระ ปนๆกันเข้าไปมันก็เจือจาง core message ที่จะส่งผ่านไป หรือไม่เหลืออะไรเลย

พอคนขาดศิลปการสื่อ เขาก็ย้อนกลับไปหาสมัย primitive ในการที่จะ convince คนอื่นให้เชื่อ ให้เคารพ ให้ฟัง นั่นคือสมัยใช้คาบ ใช้กระบอง ใช้หมัด ใช้ตีน การที่คนเราขาดความมั่นใจในการสื่ออย่างศิวิไลซ์นั้นมันก็ยิ่งง่ายเข้าที่จะใช้วิธี aggressive ไว้ก่อน กันคนไม่เห็นด้วย เพราะตนเองไม่แน่ใจว่าจะอธิบายความคิดของตนเองได้รึเปล่า ไม่มั่นใจว่าจะอภิปรายกับคนอื่นได้แค่ไหน เอายังงี้ก้แล้สวกันวะ ใครไช่อตู ตูด่าเละเลย หรือใช้กำลังมันซะ จะได้ไม่ต้องมี debate มีการ converse กันอีกต่อไป มีไม่น้อยที่พวกนี้จริงๆแล้วเป็นคนขาดความมั่นใจในตนเอง ไม่มีมโนสำนึกผิดชอบชั่วดีหรือมั่นใจว่าตนเองทำในสิ่งที่ถูก ดีงาม หรือเป็นมงคล มันก็เลยจำเป็นต้องใช้ท่าทีคุกคามปิดปากคนอื่นไว้ก่อน

สงครามก็เกิดคล้ายๆกันนี่แหละครับ



Posted by : Phoenix , Date : 2005-06-11 , Time : 10:28:58 , From IP : 172.29.7.237

ความคิดเห็นที่ : 8


   บอกเพื่อนน้องไปด่ามันกลับเลยน้องแล้วบอกเลิก
แล้วไปหาแฟนใหม่ที่ดีกว่ามัน(อย่าลืมควงไปเยาะเย้ยมันด้วย)
ไอ้เรื่องยังงี้พี่คิดมาหลายตลบแล้ว
คือถ้าเรายังจะทำดีต่อคนที่มันเลวกับเรานะ
มันจะยุติธรรมกับคนที่เค้าค่อยดีกับเราหรือเปล่าละ
เพื่อความเป็นธรรมและเห็นแก่ความดีของคนที่เค้ารักเรา
เลิก!!!!!!!!!
ดีมาก็ดีไป เลวมาก็ต้องเลวไป
บุญคุณทดแทนหนี้แค้นชำระ ปรัชญานี้ลึกซึ้งและถูกต้องโดยธรรมชาติแล้ว


Posted by : delpiero , Date : 2005-06-17 , Time : 01:04:26 , From IP : 172.29.4.244

ความเห็นจาก Social Network : Facebook


สงวนสิทธิ์การแสดงความคิดเห็นสำหรับ สมาชิกเท่านั้น
>>>>> Page loaded: 0.008 seconds. <<<<<