ความคิดเห็นทั้งหมด : 17

Debate XXII: What is the PURPOSE of Life?


   จาก Debate XXI ซึ่งเปรียบเสมือน Matrix I นะครับ คือต้องมีภาคต่อแน่ๆ มาถึงคำถามที่อาจจะเรียกว่าถูกถามบ่อยที่สุดคำถามหนึ่งในวิชาปรัชยาหรืออภิปรัชญาก็แล้วแต่

ลองบรรเลงกันมาดูทีรึ ว่าเรา "เห็น" เป็นอย่างไร ไม่ต้องลอกเอามาเล่านะครับ เราได้ยินของท่านศาสดาต่างๆมาแต่เล็กจนแก่แล้ว ผมอยากฟังความคิดเห็นของพวกเราธรรมดานี่แหละ คุณ Mercury Arlim OmniSci Kant คุณพี่ว่าว etc มี PURPOSE of Life อย่างไร มา share กันหน่อยเป็นไร



Posted by : Phoenix , Date : 2003-05-20 , Time : 19:29:09 , From IP : 172.29.3.207

ความคิดเห็นที่ : 1


   OK เอาเป็นผมเริ่มประเดิมเองซะเลยดีกว่า

มองไปรอบๆตัวเรา เราเคยแปลกใจว่า เอ...ทำไมคนนี้ฉลาด คนนี้สูง คนนี้อ้วน คนนี้ร้องเพลงเก่ง คนนี้ไม่มีอะไรดียกเว้นแข็งแรง ฯลฯ ต่อมาหนังสือวิทยาศาสตร์บอกว่าพวกนี้ควบคุมโดยตัวยึกยือเล็กๆมีสี (เค้าก็เลยเรียกมันว่า chromosome) แล้วก็บอกเราว่ายึกยือน้อยนี้มีสารพันธุกรรมที่กำหนดให้เรามีอย่างนู้นอย่างนี้ ครึ่งนึงมาจากพ่อเรา ครึ่งนึงมาจากแม่ บางอย่างก็ไม่ได้โผลามาให้เห็นในรุ่นพ่อรุ่นแม่เลยแต่ถ้าค้นๆไปก็อาจจะพบในรุ่นปู่ย่าตายายลุงป้าน้าอาได้ ตื่นเต้นกันอยู่พักนึงว่าเอ...เรานี้ถ้าเกิดมาคาบช้อนเงินช้อนทองก็แปลว่าหน้าที่เราชาตินี้คือรวยรึเปล่าเนี่ย ก็มีคนฉลาด (ท่าทาง) มาบอกว่า nature เนี่ยรับไปแค่อย่างมากก็ครึ่งนึง แต่ที่เหลือเป็น nurture ที่ทำให้แต่ละตนแต่ละคนไม่เหมือนกันจริงๆ พิสูจน์ได้ในคู่แฝดเหมือน (identicle twin) ถ้าเลี้ยงให้ไม่เหมือนก็ไม่เหมือนได้เหมือนกัน

สุดท้ายแต่ละคนก็จะมีความถนัดต่างๆกันไป สาเหตุที่หลายๆคนประสบความสำเร็จ ไม่ใช่เปนเพราะเป็นคนเก่งที่สุดแต่อย่างใด แต่ดูๆแล้ว "จังหวะ" ชีวิตมันเข้าแก๊บ และ "เหมาะ" กับพวกเขาต่างหาก นั่นทำให้ผมเคยสรุปว่าเราน่าจะดูว่าเรา "เหมาะ" สำหรับอะไรแล้วก็ไปทำอย่างนั้นแหละ ถึงจะคุ้มกับที่เกิดมาเพราะองค์ประกอบอย่างที่ว่า

พอคิดสะระตะเสร็จจะทำอย่างที่ตั้งใจ ก็เลยเห็นความจริงอีกอย่างนึง เราว่าเรา "รู้" ว่าถนัดอะไร พอจะหาเข้าจริงๆว่าจริงๆเราเก่งอะไรกันแน่กลับยากกว่าที่คิด เคยคิดว่าเก่งเลข มาเจอมหิดลสอนเลขแบบปรัชญาเข้าก้เลยเข้าใจว่าที่แล้วมาเราท่องโจทยมาเยอะมากนั่นเองเลยทำได้ พอต้องคิดริเริ่มอย่างที่คนเข้าใจจริงๆเท่านั้นจึงจะทำได้ก็เสร็จตั้งแต่หน้าประตู สุดท้ายก็เอาเป็นว่าเราเรียนไปเรื่อยๆก้แล้วกัน เพราะเป็นสิ่งที่ถูก confirm มานานแล้วว่าอาชีพที่รุ่งที่สุดของตนเองคือนักเรียนนี่เอง เคยหวั่นๆว่าสักวันจะเรียนจบหมดแล้วจะทำอะไรต่อดี ปรากฏว่าอาชีพ "นักเรียน" นี้ลงทะเบียนได้ตลอดชีวิตก็เลยสบายไป เหนดีเห็นงามในอาชีพนี้มากก็เลยคิดว่าอันนี้แหละคือจุดมุ่งหมายในชีวิตของตนเอง ทำยังไงจะเรียนไปเรื่อยๆและชักจูงคนอื่นให้มาเรียนด้วยกันคงจะเป็น "หน้าที่" ของ Phoenix ในชาตินี้อย่างแน่นอน

แจ๊วหลบ!!



Posted by : Phoenix , Date : 2003-05-20 , Time : 23:21:28 , From IP : 203.107.130.10

ความคิดเห็นที่ : 2


   ....สมัยนึงตอนผมเด็กๆ.....ผมเคยมีความฝัน...อยากเป็นโน่นอยากเป็นนี่มากมาย...เคยคิดว่าอย่างโน่นก็ดี....แบบนี่ก็ดี......แต่สิ่งนึงที่ผมได้เรียนรู้หลังจากผมผ่านช่วงเวลาช่วงนึงมา.....ทำให้ผมรู้ว่า.....บางอย่างที่เราคิดหรือฝัน....ต้องมาพร้อมกับโอกาสและความเหมาะสมด้วย.......ซึ่งโอกาสเนี่ยบางคนก็ว่าต้องรอราชรถมาเกยหรือปาฏิหารย์มาเสกให้ได้มา....ซึ่งผมไม่เชื่อหรอก...โอกาสคือสิ่งที่เราสร้างขึ้นมาได้ถ้าเราพยายามที่จะทำตะหาก....อีกส่วนที่ยากมากกว่าคือความเหมาะสมต่างหาก....ที่เราไม่รู้ว่าสิ่งที่เราทำนั้นที่ได้มาจากโอกาสที่มาเองหรือสรรหามานั้นมันเหมาะสมกับชีวิตหรือไม่.....?....ช่างเรื่องความเหมาะสมก่อนดีกว่า...โอกาสที่ได้มาแต่ละอย่างสำหรับผมไม่ได้อะไรมาง่ายๆเลย....ผมเรียนรู้จากการใช้ชีวิตในช่วง 10 กว่าปีที่ผ่านมานี้ว่า....ไม่มีอะไรที่ได้มาง่ายๆหรือเปล่าๆโดยที่ไม่พยายามลงมือทำหรอก.....ส่วนตัวแล้วผมเกลียดคนที่ชอบคิดว่ามีโอกาสเหนือคนอื่นแล้วดูถูกคนที่แยกว่าและปิดโอกาสของคนเหล่านั้นที่สุด......ส่วนนึงนั้นเป็นจุดมุ่งหมายอย่างนึงในชีวิตผมที่จะไม่ยอมให้ใครมาเอาเปรียบและต้องแสดงให้เห็นให้ได้ว่า...ผมนี่หละ...ไอ้คนที่คุณเคยดูถูกเอาไว้...ที่คุณเคยเหยียบย่ำผมเอาไว้....ผมจะต้องไปให้ไกลกว่าที่คุณคิด.....และไม่มีวันที่จะยอมแพ้กับไอ้คำที่ว่า....." เลิกเถอะ...ไม่มีโอกาสหรอก....".....ถึงตอนนี้ถามว่าผมพอใจในสิ่งที่ผมมีหรือเป็นหรือไม่.....ได้เกือบครึ่งแล้วครับ.....อย่างน้อยที่สุดผมก็ได้ภูมิใจกับคำที่คนที่ผมรักที่สุดคนนึงพูดกับคนอื่นได้อย่างภูมิใจว่า...." นี่ไงลูกชายของฉัน..."...คงมีแค่นี้หละมั้งครับจุดหมายของผม.....แค่อยากได้ยินคนอื่นพูดกับคนทั่วไปได้ว่าช่วงหนึ่งในชีวิตของเขาได้รู้จักกับผมอย่างภาคภูมิใจ.....ส่วนเรื่องความเหมาะสมในสิ่งที่ผมเป็นอยู่.....อย่าถามผมเลยครับ....ผมเชื่อว่าไม่มีใครเหมาะสมกับอะไรที่สุดหรอก.....ผมว่า...สิ่งที่ผมทำนั้นให้ความสุขกับผมหรือเปล่าเท่านั้น...แค่นั้นคงเพียงพอกับชีวิตของผมแล้วครับ....:D...:D

Posted by : Death , Date : 2003-05-21 , Time : 01:20:25 , From IP : 172.29.3.210

ความคิดเห็นที่ : 3


   ขอโทดคับ...ผมมีรูปแล้วครับ...:D...:D



Posted by : Death , Date : 2003-05-21 , Time : 01:47:47 , From IP : 172.29.3.210

ความคิดเห็นที่ : 4


   เป้าหมายในการมีชีวิตอยู่ของผมคือ การไม่ต้องกลับมาเกิดอีก
แต่ก่อนที่จะไปถึงการปฏิบัติเพื่อให้ถึงยังสิ่งที่ต้องการผมมีเป้าหมายอื่นซึ่งไม่ใช่เป้าหมายที่แท้จริงที่ผมต้องการ แต่อยากทำเพราะไม่อยากเสียโอกาสที่ได้เกิดมาและฟันฝ่าอุปสรรคมาจนถึงทุกวันนี้ เป้าหมายดังกล่าวคือ
1.อยากรู้ว่า ผมมาเป็นผมได้อย่างไร ( embryology )
2.เมื่อผมมาเป็นผมแล้ว อะไรทำให้ผมคงอยู่ ( physiology, nutrition .etc )
3.อะไรทำให้ผมดับไป ( disease )
4.เมื่อเข้าใจ 3 ข้อดังกล่าวแล้ว ผมจะนำไปช่วยคนอื่นได้อย่างไร
5.สุดท้ายคือ ผมจะถ่ายทอดสิ่งที่ผมเรียนรู้มาให้คนอื่นได้อย่างไร
เมื่อถึงเวลาที่ผมคิดว่าเหมาะสมแล้วที่ผมควรจะปฏิบัติเพื่อให้หลุดพ้น ผมจะไปบวช เพื่อลดสิ่งกระตุ้น ( ไม่ต้องดิ้นรนหาเงินมาซื้อข้าว ไม่ต้อง exposed กับบุคคลบางคนหรือบางกลุ่มที่มักจะกระตุ้นให้เราเกิดความไม่สงบในใจ ) ซึ่งผมคิดว่าการทำให้ตัวเองหลุดพ้นเป็นการกระทำที่ทำให้ผมได้ประโยชน์เพียงผู้เดียว จึงเอาไว้ทำหลังสุดครับ



Posted by : megumi , Date : 2003-05-21 , Time : 02:17:54 , From IP : 172.29.3.211

ความคิดเห็นที่ : 5


   มหายานมี concept ที่ unique ตรงนี้นี่เอง คือไม่ต้องฝืนหรือออกห่างจากโลกย์ไปหรอกครับ เราสามารถปฏิบัติได้โดยไม่ต้องบวช ที่ว่าลุ่มหลงในกามารมณ์นั้น จริงๆแล้วถ้าวางได้ก็ไม่ต้องไปกลัวขนาดไม่กล้าอยู่ใกล้ นั่นแปลว่ายังไม่ไว้ใจตนเอง แต่ถ้าใจนิ่งก็สามารถ "หยิบก็ขึ้น พอวางก็วางลง"

พระเซ็นสองรูปกำลังข้ามลำน้ำ เจอสาวสวยเซ็กซี่นุ่งน้อยห่มน้อยกระเย้อกระแย่งจะเดิมห้ามลำห้วยไปพร้อมๆกัน พระหนุ่มรีบหลบตาสำรวม แต่พระแก่กลับเดินไปพูดคุยแล้วก็พลันให้สาวนั่นขี่หลังข้ามลำน้ำ

พระหนุ่มตะลึงจนเงียบไปพักใหญ่จนเดินทางมาถึงในเมือง อดทนมิได้ก็เลยท้วงติงหลวงตาว่าทำยังงั้นได้ยังไง หลวงตางง ถามว่าทำอะไรหรือ พระหนุ่มยิ่งโมโหบอกไปว่าเรื่องที่อุ้มสาวข้ามลำห้วยยังงัย หลวงตาก็เลยบอกว่า "อ้าว...ผม "วาง" เธอไปแล้วตั้งแต่ริมห้วย นี่ท่านยัง "อุ้มเธอ" ไว้อยู่อีกหรือ?"


พุทธมามกะทางมหายานบางท่านแต่งงานมีครอบครัว แต่ก็เป็นระดับ Roshi สอนธรรมะ ท่านเข้าสังคมได้ แต่ท่านก็วางได้ เข้าๆออกๆโดยมั่นใจในตะบะสมาธิและ "เข้าใจ" ที่ท่านเหล่านี้อยู่ในสังคมเพราะเพราะมหายานมี Bodhisattava Vow หรือการปวารณาประพฤติตนเป็นดั่งโพธิสัตว์คือเน้นการโประดสัตว์และช่วยเหลือผู้อื่นที่ยัง struggle ในทุกข์ จึงมิได้ไปวิเวกเอาตัวรอดแต่เพียงผู้เดียว



Posted by : Phoenix , Date : 2003-05-21 , Time : 02:51:40 , From IP : 172.29.3.219

ความคิดเห็นที่ : 6


   เห็นด้วยกับคุณ Phoenix , ผมเลยตัดสินใจคบผู้หญิงคนหนึ่ง ตั้งใจว่าจะดูแลเธออย่างดีที่สุด บอกเธอถึงแนวคิดของผม เธอเป็นคนดีมากครับ ไม่ทำให้การมีชีวิตอยู่ของผมลำบากขึ้นเลย แถมยังทำให้ผมมีกำลังที่จะทำตามเป้าหมาย 5 ข้อของผมได้อย่างเต็มที่ เธอเป็นกำลังใจของผมครับ

Posted by : megumi , Date : 2003-05-21 , Time : 03:35:34 , From IP : 172.29.3.211

ความคิดเห็นที่ : 7


   ด้วยเหตุที่ชีวิตเราไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบกันทุกคนนะครับ ชีวิตและเป้าหมายจึง ไม่เหมือนกัน ตั้งแต่ตอนเด็ก ๆ จนจบมัธยมมาผมแถบจะไม่มีคำถามที่ว่าชีวิตเราเกิดมาเพื่ออะไร ตอนนั้นรู้อย่างเดียวต้องเรียนให้สูงจะได้จบมามีงานดี ๆ ทำให้พ่อแม่ชื่นใจ

จนเริ่มเข้ามหาวิทยาลัยได้คบเพื่อนหลายกลุ่ม ได้รู้จักคนหลายระดับ และได้สัมผัสชีวิตหลาย ๆ แบบ คำถามเหล่านี้จึงเกิดขึ้น เราเกิดมาทำไม เพื่ออะไร เพื่อใคร ถ้าตอบตามภูมิปัญญาตอนนั้นศาสนาเป็นสิ่งเดียวที่ช่วยตอบคำถามแบบนี้ให้ผมได้ "เราเกิดมาเพื่อชดใช้กรรมที่เคยทำไว้พร้อม ๆ กับบำเพ็ญตนให้สามารถตัดบ่วงกรรม เพื่อที่จะได้หลุดพ้นจากห่วงวัฏฏะสงสาร ไม่ต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิด ให้เป็นทุกข์อีก" ตอบง่ายดีแต่ก็รู้สึกว่ายังไม่ถึงที่สุดแห่งคำตอบเพราะยังหละหล่วมในวิธีการ

ยิ่งระยะหลังยิ่งรู้มากก็ยิ่งทำให้เราเกิดคำถามมากขึ้นพร้อม ๆ กับตระหนักชัดว่ายุคที่พวกเราอยู่ขณะนี้คือกลียุค มันคงยากไม่ใช่เล่นที่จะเข้าถึงคำว่านิพพาน จึงบอกตัวเองว่าบางที่การมุ่งมั่นที่จะไปให้ถึงมากเกินไป ก็อาจจะทำให้เราลืมมองความเป็นจริงในโลกนี้ไป เพราะชีวิตอาจจะต้องก้าวเดินไปช้างหน้าแต่ก็ไม่ควรลืมเหลียวมองกลับไปดูคนข้างหลังอีกมากมายที่เป็นแรงผลักดันให้เราก้าวมาถึงทุกวันนี้ ตอนนั้นจึงตั้งคำถามกับตัวเองว่าจะทำอย่างไรที่จะสามารถอยู่กับความเป็นจริงอยู่กับชีวิตในปัจจุบันได้มากที่สุด ช่วงนั้นจึงอ่านหนังสือมากเป็นพิเศษ ได้อ่านหนังสือของ ท่านพุทธทาสภิกขุบ้าง ของท่านติส นัท ฮัน (พระชาวเวียดนาม) บ้าง ฯลฯ แม้จะไม่สามารถเข้าถึงแก่นแท้ แต่ก็ได้ช่วยตอบคำถามที่เคยค้างคาใจอยู่ได้ไม่น้อย คำตอบหนึ่งที่โผล่ขึ้นมาในความคิดของผม คือการที่มีความสุขกับสิ่งที่เป็นปัจจุบันให้มากที่สุด (เท่าที่จะทำได้) และการทำให้คนรอบข้างที่อยู่รอบตัวเรามีความสุขเช่นเดียวกัน โดยอย่างน้อยถ้าทำให้เค้ามีความสุขไม่ได้ก็อย่าได้ทำให้เค้าเกิดความทุกข์ก็น่าจะเป็นการดีในเบื่องต้น

ความคิดง่าย ๆ เพียงแค่นี้อาจมองว่า ไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นกว่าเดิมนัก แต่ถ้าได้มองเป็นห่วงโซ่ โดยที่ทุก ๆ คนคิดแบบเดียวกัน โลกเราคงมีความสงบสุขและอยู่กันด้วยบรรยากาศแห่งการเกื้อกูลมากขึ้น บางที่นี่อาจเป็นคำตอบให้กับคำถามที่ว่าเราเกิดมากเพื่ออะไร เราเกิดมาเพื่อเป็นผู้มอบความสุข สร้างสรรค์สิ่งดี ๆ ให้กับครอบครัว และสังคมตามกำลังความสามารถอย่างสม่ำเสมอ ก่อนทำอะไรลงไปลองคิดสักนิดว่าความสุขที่คุณได้รับ ทำให้คนอื่นเค้ามีความสุขด้วยหรือป่าวหรือย่างน้อยก็ไม่ควรสร้างความทุกข์ให้คนอื่น ๆ แค่นี้ก็เพียงพอแล้วสำหรับการเริ่มต้น

ถึงวันนี้ผมเองก็พยายามอยู่ครับที่จะมีสติ และทำให้ได้อยู่เสมอ แต่ก็ยอมรับว่ายังมีกิเลสอยู่มาก บางครั้งก็ทำให้ผู้อื่นเป็นทุกข์อยู่ก็ไม่น้อย แต่นั้นคือความมุ่งมั่นที่จะทำให้ได้เสมอ ๆ ครับ :-)



Posted by : Mercury , Date : 2003-05-21 , Time : 11:49:26 , From IP : 172.29.1.100

ความคิดเห็นที่ : 8


   


เป้าหมายชีวิตมีเพียงอย่างเดียวครับ คือ การพ้นจากความเห็นแก่ตัว



เป้าหมายชีวิตมีเพียงอย่างเดียวครับ คือ การพ้นจากความเห็นแก่ตัว



ทุกวันนี้คุณดิ้นรนทุกสิ่งทุกอย่างไปเพื่ออะไรครับ เพื่อตัวเอง หรือ เพื่อหน้าที่



ผมเชื่อว่าทุกคนเกิดมาไม่มีอะไรเท่ากันในทางวัตถุภายนอกครับ และไม่มีทางจะสมหวังได้ทุกอย่างจากสิ่งภายนอก จะเอาให้ได้ทุกอย่างก็บ้าตายพอดี



มีหนทางเดียวครับคือหยุดเห็นแก่ตัวเสีย มาเห็นแก่หน้าที่ ทำหน้าที่เพื่อหน้าที่



ผมเชื่อในจิตนิยมสมบูรณ์ของเฮเกล คือ เจตภาพหรือจิตของตนเองเท่านั้นที่เป็นความแท้จริง เป็นโลกที่สามารถควบคุมได้ด้วยตนเอง ในขณะที่โลกแห่งผัสสะเป็นเพียงความจริงเฉพาะส่วน ไม่ได้จริงสมบูรณ์ และเราก็ไม่อาจไปควบคุมได้ทุกอย่าง



“มนุษย์ถูกสาปให้มีเสรีภาพ”คำกล่าวของซาตร์คำนี้ผมเห็นว่าจริงทีเดียว ผมไม่ได้เข้าใจหรอกว่าจริงๆแล้วซาตร์หมายความถึงอะไร แต่ผมแปลความเอาว่ามนุษย์นั้นสามารถเป็นอิสระจากสัญชาตญาณและเป็นอิสระจากสิ่งทั้งปวงได้เท่าเทียมกันทุกคน คือพ้นความเห็นแก่ตัวได้ทุกคน



คุณระวังให้ดีนะครับ ระบบการศึกษาและสังคมในปัจจุบันไม่ได้ช่วยสอนให้เรารู้เรื่องเหล่านี้เลย คงมีแต่การปลูกฝังมอมเมาในเรื่องวัตถุ การแสวงหาวัตถุ บูชาวัตถุ เชื่อว่าวัตถุแก้ปัญหาทุกอย่างได้ ทั้งหมดนี้จะฉุดโลกไปสู่การแย่งชิงและฆ่าฟันอย่างแน่นอน



แล้วไอ้เสรีภาพที่พวกวัยรุ่นตะวันตกชอบแสวงหากันนั้น คุณระวังกันให้ดี เพราะเขาหารู้ไม่ว่าขณะแสวงเสรีภาพนั้นเขากำลังถูกพันธนาการอย่างแน่นหนาโดยอำนาจของกิเลสหรือสัญชาตญาณ



เรื่องอุดมคตินั้นมันอาจขัดกับความรู้สึกอย่างรุนแรง เมื่อรู้ว่าสิ่งที่เคยคิดว่าถูกกลับกลายเป็นความผิดพลาด



บางคนอาจบอกว่าผมบ้า หากผมจะบอกให้ประชาคมโลกเปลี่ยนไปใช้ระบบเศรษฐกิจแบบสังคมนิยมเสียให้หมด



 







Posted by : Immanuel Kant , Date : 2003-05-21 , Time : 13:04:56 , From IP : 172.29.2.176

ความคิดเห็นที่ : 9


    จำได้ว่า ตอนในหลวงครองราชย์ครบ 50 ปี เค้าจะให้เขียนปณิธานถวายแด่ในหลวง เราก็เขียนไปว่าจะเป็นแพทย์ที่ดี ฯลฯ
หลังจากนั้นเริ่มรู้ตัวว่าเราก็ขยันไม่พอสำหรับคนจะเรียนแพทย์ เบนเป้าหมายตัวเองแล้วตอนนั้น แต่ก็เรียกว่าอยู่ในสายนี้*สุขภาพ* ก็อ่านหังสือไปตามปกติ
เผอิญว่าติดขึ้นมา จึงคิดว่ามันเป็นโชคชะตาของเราที่อนาคตต้องเป็นแพทย์

ไม่ได้หมายถึง ชีวิตของเราจะเป็นอย่างไรให้ปล่อยไปตามโชคชะตานะคะ
แต่หมายถึงว่า อย่าละทิ้งการพยายามทำในสิ่งที่ฝันหรือหวังไไว้ เมื่อเราได้เต็มที่กับมันจริง ๆ ก็จงเชื่อในผลที่ออกมา แล้วก็พยายามกันต่อไป

ไม่แน่ใจว่าตรงกับที่ตั้งคำถามไว้หรือเปล่า
ถ้าตอบสั้น ๆ เป้าหมายของชีวิต คือ อยากเป็นแพทย์

อย่าลืมว่าชีวิตอยู่คู่กับความหวัง
ถ้าปราศจากความหวังก็ไร้ชีวิต
เป็าหมายชีวิตของคนทุกคนจึงเป็น หวังที่จะทำนู้นทำนี้ เป็นนู้นเป็นนี้




Posted by : makick , Date : 2003-05-21 , Time : 14:26:16 , From IP : 203.113.70.11

ความคิดเห็นที่ : 10


   เป็น
จิ๊กโก๋ดิ
ตีหัวหมาด่ากวนตีน

โอ้! บรรเจิด!?!


Posted by : จิ๊กโก๋ , Date : 2003-05-21 , Time : 17:54:27 , From IP : 202.133.165.108

ความคิดเห็นที่ : 11


   กับคำว่าทำหน้าที่เพื่อหน้าที่ผมอ่่านแล้วก็งง เพราะว่ายิ่งเอามาคิดยิ่งงง

หน้าที่ แปลว่าอะไร
หน้าที่
หน้าที่


Posted by : งง , Date : 2003-05-21 , Time : 20:54:21 , From IP : 172.29.2.148

ความคิดเห็นที่ : 12


   ผมไม่รู้ว่าชาตินี้หรือชาติหน้ามีจริงหรือไม่ เพราะผมไม่สามารถจำอะไรได้เลย
สื่งที่ผมรับรู้ได้คือตัวตน จิต และความนึกคิด ที่มีอยู่ ณ ปัจจุบัน
ผมจึงเข้าใจ คิด และทำในสิ่งที่ขอบเขตชองจิตของผมสามารถก้าวไปถึง
ผมสัมผัสได้ว่า ผมเป็นแค่ส่วนหนึ่งของธรรมชาติ แต่มีตัวตนที่เป็นของตัวเองอยู่ในเวลานี้ ซึ่งอาจจะหายไปเมื่อไหร่ก็ได้เหมือนกับที่ไม่รู้ว่าผมเริ่มมีความนึกคิดตั้งแต่เมื่อไหร่
ขอบเขตตัวตนผมจึงมีอยู่แค่ช่วงชีวิตที่ยังมีสติอยู่นี้
Purpose ของผม จึงทำตามสัญชาตญาณสรีรร่างกาย และกฎของธรรมชาติที่ผมเข้าใจ
ผมรู้สึกมีความสุขเมื่อคนรอบข้างมีความสุข
ผมจึงทำให้คนอื่นสุขเพื่อความสุขของจตนเอง
และเข้าใจถึงความทุกข์ที่เกิดขึ้น เข้าใจ ยอมรับ และไม่ให้เกิดขึ้นอีด

ทุกอย่างอาจจะเปลี่ยนไปเรื่อยๆได้ตามเวลาที่เปลี่ยนไป
เวลานี้ผมต้องการเป็นแพทย์ เพราะเป็นหนทางที่ผมคิดว่าเหมาะสมที่สุด
แต่ในอนาคต ... ก็ไม่รู้


Posted by : ArLim , Date : 2003-05-21 , Time : 23:54:52 , From IP : 172.29.2.170

ความคิดเห็นที่ : 13


   ผมเห็นด้วยกับหลายๆ "Purposes" ในที่นี้ที่คำนึงถึงเรื่อง "ความจริง" ในระดับที่เราดำรงชีวิตอยู่ หรือ contemporary Realm

ผมอยากจะเข้าใจว่าคนเรา (ส่วนใหญ่?) เข้าใจดีเรื่องโลกพระศรีอาริยเมตตรัยหรือโลกอุดมคตินั้น จะค่อนข้างแตกต่างจากโลกที่พวกเราตื่นมาเจอะเจอทุกๆเช้านี้ บางครั้งแตกต่างกันมากจนแทบไม่อยากตื่นเลยก็มี ความเข้าใจอันนี้ผมว่าไม่มากก็น้อยช่วยรักษาสุขภาพจิตของเราไว้ เพราะถ้าเราหวังให้ตื่นมาสักวันเจอโลกอุดมคติจริงๆแล้ว ความผิดหวังก็จะเป็น foreseeable asset ในอนาคตและอาจจะ insane ได้ง่ายๆ

ฉะนั้นคนเราสามารถ adapt เรื่อง reality realm กับ ideal realm ได้ยังไงบ้าง? ก็อาจจะทำได้โดยตั้ง purposes ไว้หลายๆระดับครับ ระดับที่เป็นไปได้พรุ่งนี้ (ฉันจะตื่นไปวิ่งที่อ่างน้ำ) อาทิตย์หน้า (ฉันจะกินผักทุกวันหนึ่งอาทิตย์) เดือนหน้า (ฉันจะอดบุหรี่ให้ได้) สองเดือนข้างหน้า (ฉันจะ lecture ให้มันส์ระเบิด นศพ. ตบมือเกรียวกราว) หกเดือนข้างหน้า (ฉันมี paper ลงตีพิมพ์อีกหนึ่ง paper) หนึ่งปีข้างหน้า (ฉันตั้งทีมสหสาขาได้) and so on and so on.....

ในความเห็นของผม ไม่มีอะไรที่ทำให้เกิดความรู้สึก FEEL GOOD ได้ดีเท่ากับวันที่เรา BEAT the Goal ที่ได้ตั้งไว้ ถ้าหากเราใช้ร่วมกับที่หลายๆท่านในที่นี้ทำอยู่เป็นประจำอยู่แล้วนั่นคือ "ฉันจะเปนคนดี ทุกๆวัน" ร่วมเป็น mandatory objective แล้ว ไม่ว่าเรื่องส่วนตัวรายละเอียดท่านเป็นยังไง ผมว่าคุณทำ OK แล้วล่ะครับ



Posted by : Phoenix , Date : 2003-05-22 , Time : 00:21:04 , From IP : 172.29.3.206

ความคิดเห็นที่ : 14


   and so on and so on.....

and the end.......
จุดสิ้นสุด????

ความตาย????


เหมือนหยวกกล้วยไหมครับ เรากำลังลอกหยวกกล้วย เพื่อหา"แก่น"ของหยวกกล้วย ยังมีให้ลอก ก็หมายถึงยังไม่ถึง"แก่น"

"เห็น" แล้วหรือยัง "แก่น" ของหยวกกล้วย

(เคยอ่าน กามนิต-วาสิฐี ไหม)

Purpose=Nobel Prize???????

เห็นด้วยกับ ArLim ที่เป็นเพราะเรา "จำ" ไม่ได้จริงๆที่เราผ่านอะไรมาบ้าง (บางคนเลยทึกทักเอาดื้อๆว่า ไม่มีโลกนี้หรือโลกหน้า) แล้วบางคนที่บอกว่าจำได้ ก็ ไม่รู้จริงหรือเปล่า มันเป็น "ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิติ" ผู้รู้ย่อมรู้ได้เฉพาะตัว (ผู้ไม่รู้เลยบอกว่าผู้รู้ รู้ไม่จริง)

ทำวันนี้ให้ดีที่สุด เพื่อชีวิต ใน "โลกนี้" เมื่อนิยามของ LIFE คือ ชีวิต ใน "โลกนี้" ตั้งแต่ เกิด จน ตาย
ยากจริงๆครับที่จะ BEAT the Goal ที่ได้ตั้งไว้ "ว่าจะ" ไปวิ่งมา 2 วัน แล้วยังไม่ได้วิ่งเลย "ว่าจะ" วิ่งให้ ได้ 3 ครั้งต่อสัปดาห์ เป็นอย่างน้อย มา 3 ปีแล้ว ก็มีเหตุผล(ข้ออ้าง) อยู่ตลอด "ว่าจะ" เลิกดูรูปโป๊ พอมีให้ download ก็ download ได้ตั้ง 3 GB แหนะ

NB: คุณ Phoenix สูบบุหรี่ และ ไม่ชอบกินผัก หรือครับ


Posted by : OmniSci , Date : 2003-05-22 , Time : 08:36:03 , From IP : proxy1.chula.ac.th

ความคิดเห็นที่ : 15


   Nay & Yeh



Posted by : Phoenix , Date : 2003-05-22 , Time : 11:00:34 , From IP : 172.29.3.160

ความคิดเห็นที่ : 16


   เท่าที่อ่านดูบางที่ก็งงนะครับ ว่าตกลงเป้าหมายชีวิตนั้นในความหมายของกระทู้นี้ เป็นในลักษณะไหนกันแน่นะครับ ระหว่างอุดมการณ์ของชีวิต กับการที่คุณอยากป็นอะไร นะครับ

Posted by : Mercury , Date : 2003-05-23 , Time : 10:53:18 , From IP : 172.29.1.100

ความคิดเห็นที่ : 17


   จริงๆแล้วผมไม่ได้ต้องการให้ quote ปรมัตถ์ ในกระทู้นี้หรอกนะครับ แต่บางท่านอาจจะอยู่ในชาติสุดท้ายนี้และกำลังจะหมดสิ้นกัน ก็อาจจะทำให้ purpose ไม่ต่างอะไรกับของอรหันต์ได้ ผมอยากจะฟังว่าทั่วๆไปคนแถวนี้ตั้ง Purpose ว่าอะไรแค่นั้นเอง

Purpose นั้นอาจจะมองเป็น "อยากเป็น" หรือ "อยากทำสำเร็จ" ยังไงก็ได้ครับ



Posted by : Phoenix , Date : 2003-05-23 , Time : 19:44:20 , From IP : 172.29.3.215

ความเห็นจาก Social Network : Facebook


สงวนสิทธิ์การแสดงความคิดเห็นสำหรับ สมาชิกเท่านั้น
>>>>> Page loaded: 0.011 seconds. <<<<<