จากกัลยาณมิตร ถึงนายกฯทักษิณ ชินวัตรจากกัลยาณมิตร ถึงนายกฯทักษิณ ชินวัตร โดย เซี่ยงเส้าหลง 29 พฤษภาคม 2548 21:42 น. แทนที่จะชี้แจงเรื่องร้อน ๆ ที่เกิดขึ้นในช่วงเดือนพฤษภาคม 2548 ที่ประชาชนยังคงสงสัยและเริ่มตั้งคำถามในเชิงลบต่อรัฐบาลให้แจ่มแจ้งชัดเจนไม่อ้ำอึ้ง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรกลับออกมุกใหม่ ใช้รายการวิทยุ นายกฯทักษิณคุยกับประชาชน ครั้งล่าสุดเมื่อวันเสาร์ที่ 28 พฤษภาคม 2548 พูดเป็นนัยคลุม ๆ ให้ประชาชนเข้าใจว่าขณะนี้กำลังมีขบวนการโค่นล้มรัฐบาลเกิดขึ้น ท่านบอกว่าเรื่องราวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในประเทศในช่วงนี้ ตอนนี้ มีหลายเรื่องวุ่นวาย ความจริงแล้วสิ่งที่เกิดขึ้นในบ้านเราเป็นเรื่องของอำนาจ ผลประโยชน์ พวกพ้อง พูดง่าย ๆ ว่าการวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลขณะนี้เกิดจากแรงผลักดันของกลุ่มผู้เสียประโยชน์จากการทำงานของรัฐบาล ท่านบอกว่ามีกลุ่มตัวแสดงก็มีอยู่ 3 กลุ่มใหญ่ ๆ กลุ่มที่หนึ่ง -- คือรัฐบาล กลุ่มที่สอง -- คือฝ่ายค้าน กลุ่มที่สาม -- คือกลุ่มที่ไม่ชอบรัฐบาล แต่จะชอบฝ่ายค้านหรือไม่ ไม่จำเป็น ทั้งหมดถ้าเปรียบเทียบเหมือนระบบคอมพิวเตอร์ หน้าจอก็คือสื่อมวลชน จะนำเสนอโดยฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์เดิม ตัวแสดงตัวละครต่าง ๆ ก็จะรู้กันหมดว่าใครเป็นใคร ใครเอาอะไรไปให้ใคร ไปวิ่งหาใคร เห็นตัวละครแต่บางครั้งก็ยังไม่สามารถพูดได้ แต่ในฐานะที่ทำหน้าที่นายกรัฐมนตรี จะต้องยึดหลักกฎหมายบ้านเมือง ใช้หลักกระแสไม่ได้ จะพยายามอดทนและจะยกระดับการเมืองให้ดีขึ้น และได้เตือนทุกฝ่าย เตือนโดยตรงบ้าง เตือนโดยอ้อมบ้าง เตือนโดยพูดกว้าง ๆ เพื่อหวังว่าคนเหล่านั้นจะเข้าใจ บางครั้งก็หักด้ามพร้าด้วยเข่าไม่ได้ ก็ต้องอดทน บางครั้งถูกเย้ยหยัน ก็ต้องทน" ผมจะทน และผมจะทำให้ระดับการเมืองของประเทศดีขึ้น โปร่งใส ผมจะต้องเดินออกจากการเมืองไปด้วยการเมืองที่ดีขึ้น ยกระดับและโปร่งใส ผมจะวางระบบทุกระบบ ผมจะจัดการทุกด้านเพื่อที่จะให้มันดีที่สุด และผมจะพูดให้ประชาชนได้ทราบทุกเรื่อง ในจังหวะที่ควรจะต้องพูด" ท่านทำอะไรลงไป ? ท่านกำลังจะบอกอะไรประชาชน ? ท่านกำลังเอาสัจธรรมทั่วไปทางการเมืองมาพูดให้เห็นเสมือนว่ามีกำลังมีขบวนการลับที่มุ่งโค่นล้มรัฐบาลและตัวท่านเพราะเสียผลประโยชน์ยืนลับ ๆ อยู่เบื้องหลังข่าววิพากษ์วิจารณ์เชิงลบต่าง ๆ ในช่วงนี้ ไม่ว่าจะเป็นข่าวคุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา ไม่ว่าจะเป็นข่าวทุจริตเครื่องตรวจจับวัตถุระเบิดในสนามบินสุวรรณภูมิ และข่าวทุจริตอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นข่าวคณะกรรมการป.ป.ช.ต้องคำพิพากษาศาล ฯลฯ ท่านกำลังเดินตามรอยเท้าพล.อ.สุจินดา คราประยูร ท่านกำลังเดินตามรอยเท้าจอมพลถนอม กิตติขจร จอมพลประภาส จารุเสถียร คือเมื่อ เข้ามุมอับ ในลักษณาการที่ใกล้จะ จนตรอก ก็ออกมุกที่เป็น สูตรสำเร็จ ว่ามีขบวนการผู้เสียผลประโยชน์กำลังพยายามล้มล้างรัฐบาล พูดให้มันดู ลับลมคมใน เข้าไว้ พูดให้ดูเหมือนขบวนการล้มล้างรัฐบาลนี่มันใหญ่โตโอฬารและชั่วร้ายเสียเหลือเกิน สมัยจอมพลถนอม กิตติขจร จอมพลประภาส จารุเสถียร สวมหมวก คอมมิวนิสต์ ให้ฝ่ายคัดค้านรัฐบาล สมัยพล.อ.สุจินดา คราประยูร สวมหมวก สภาเปรซิเดียม ให้ฝ่ายคัดค้านรัฐบาล อีกไม่นาน ถ้านายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันท่านยังไม่กลับตัวกลับใจเข้าสู่ครรลองแห่งธรรม คนไทยอาจจะเห็นหมวกใบใหม่ถูกหยิบมาสวมให้ฝ่ายคัดค้านรัฐบาลก็เป็นได้ ทั้ง ๆ ที่เรื่องที่ท่านพูดนั้นเป็นสัจธรรมทั่วไปของการเมืองทุกยุคทุกสมัย ที่ต้องมีทั้งฝ่ายรัฐบาล และฝ่ายที่คัดค้านไม่เห็นด้วยกับรัฐบาล ซึ่งถ้าเป็นสถานการณ์ปกติในระบบรัฐสภา ก็คือพรรคฝ่ายค้าน แต่ถ้าในยุคใดสมัยใดเกิดกระบวนการปิดกั้นสิทธิเสรีภาพของการแสดงความคิดเห็น และการผูกขาดทางการเมืองและทางเศรษฐกิจธุรกิจ ในลักษณะใดลักษณะหนึ่ง ก็จะต้องมีฝ่ายคัดค้านนอกระบบรัฐสภา จะบอกว่าฝ่ายคัดค้านรัฐบาลเป็นกลุ่มผู้เสียผลประโยชน์ พูดอีกก็ถูกอีก ไม่มีผิด แต่ต้องมองให้ลึกลงไปด้วยว่าผลประโยชน์ของใครกลุ่มไหน และผลประโยชน์ของทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายคัดค้านรัฐบาลนั้น ผลประโยชน์ของฝ่ายใดสอดคล้องกับผลประโยชน์ของประชาชนมากกว่ากัน ณ สถานการณ์ขณะนั้น คำถามก็คือ เหตุใดฝ่ายคัดค้านรัฐบาลนอกระบบรัฐสภาในช่วง 3 เดือนมานี้จึงเสียงดังขึ้น และได้รับการขานรับจากสื่อมวลชนมากขึ้น นายกรัฐมนตรีเลือกที่จะตอบว่าเป็นเพราะสื่อได้รับการป้อนข้อมูลที่ผิด ข้อมูลที่มาจากขบวนการโค่นล้มรัฐบาลที่อยู่เบื้องหลัง นายกรัฐมนตรีคนนี้ยังคงดูถูกสติปัญญาของสื่อมวลชนเหมือนเช่นเคยว่ามีค่าเพียง หน้าจอคอมพิวเตอร์ ที่สุดแท้แต่จะถูกป้อน ซอฟท์แวร์ ตัวไหนโดย ฮาร์ดแวร์ ตัวใด ทำไมท่านไม่ลองตอบคำถามใหม่ ๆ สองสามคำถามด้วยจิตที่ปราศจากอกุศล คำถามที่ 1 เป็นเพราะยุคนี้เกิด การผูกขาด ทั้งทางการเมือง และทางเศรษฐกิจ ธุรกิจ ที่ทั้งมากเกินไป และเห็นเด่นชัดเกินไป ใช่หรือเปล่า ? เพราะการเมืองนั้นไม่ว่าจะมีนิยามที่วิลิสมาหราอย่างไร แต่โดยเนื้อแท้แล้วก็คือการต่อสู้เพื่อจัดสรรผลประโยชน์ระหว่างกลุ่มต่าง ๆ ในสังคม คำถามที่ 2 ทำไมฝ่ายคัดค้านรัฐบาลถึงได้เกาะประเด็นติดมาเป็นเวลาไม่ต่ำกว่า 1 เดือน ผลักดันรัฐบาลให้ถอยร่นเข้าสู่มุมอับ ? คำถามที่ 3 ทำไมฝ่ายคัดค้านรัฐบาลถึงได้มีประชาชนเห็นชอบด้วยเป็น แนวร่วม เพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมากในอัตราเร่ง ? เหตุร้ายเช่นนี้เกิดขึ้นได้อย่างไรในชั่วระยะเวลาเพียง 3 เดือนหลังจากท่านชนะการเลือกตั้งทั่วไปด้วยคะแนนเสียงท่วมท้น ถ้าเปรียบเป็นการแข่งขันชกมวย เป็นไปได้ไหมว่าเพราะรัฐบาล เปิดหน้าให้ชก เอง ไม่ต่ำกว่า 30 ปีมานี้ ปัญหาเดียวที่เป็น จุดสลบ ของทุกรัฐบาล ไม่ว่ายิ่งใหญ่แค่ไหน ไม่ว่ากุมเสียงข้างในรัฐสภาได้เพียงใด และไม่ว่าจะมีกำลังทหารค้ำจุนหนาแน่นเพียงใด ก็คือ.... คอร์รัปชั่น ! มันเป็นเรื่องง่าย ๆ ที่ท่านนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตรทำให้ยากเอง กรณีทุจริตเครื่องตรวจจับระเบิดในสนามบินสุวรรณภูมิก็ดี กรณีตำแหน่งผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินของคุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกาก็ดี กรณีทุจริตกล้ายางพาราก็ดี และกรณีอื่น ๆ ที่สังคมกำลังวิพากษ์วิจารณ์ก็ดี บริหารจัดการได้ง่ายนิดเดียว ถ้านายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตรที่สังคมไทยเคยเชื่ออย่างบริสุทธิ์ว่าเป็นนายกรัฐมนตรีที่ดีที่สุดคนหนึ่งของประเทศไทยยังคงเป็นคน ๆ เดียวกับคนที่เคยประกาศหลักการว่าด้วยการต่อต้านคอร์รัปชั่นเหมือนตอนที่เริ่มต้นก่อตั้งพรรคไทยรักไทย และเหมือนตอนที่ประกาศซ้ำประกาศซากครั้งแล้วครั้งเล่าตลอดระยะเวลา 4 ปีที่ผ่านมา ไม่ต้องรอให้มีใบเสร็จหรอก ถ้ารู้ว่าใครทุจริต ผมจะจัดการเอง สเต็ปที่มีหลักฐาน ส่งป.ป.ช.ดำเนินคดี สเต็ปที่ไม่มีหลักฐาน แต่รู้ชัดเจนว่ามีพฤติกรรมแห่งความสงสัยว่าเป็นคนไม่ดี เราจะใช้อำนาจทางปกครอง ผมต่อรัฐมนตรี รัฐมนตรีต่อข้าราชการประจำ ประโยคหลังสุดนี่ ก็เพิ่งพูดเมื่อวันขั้นปีใหม่ 2547 นี่เอง แต่พฤติกรรมที่เกิดขึ้นในรอบ 1 เดือนมานี้ กลับเป็นตรงกันข้ามอย่างไม่น่าเชื่อ สังคมยุคข้อมูลข่าวสารเช่นทุกวันนี้ อัตราความเร็วของการตรวจสอบข้อมูลข่าวสารมีมากกว่าสมัยก่อน ทำให้สังคมส่วนหนึ่งที่มีปัญญา สามารถตรวจสอบได้ไม่ยากนักว่านายกรัฐมนตรีของเขาเคยให้สัจจะไว้อย่างไรบ้าง แม้แต่ในรายการวิทยุที่นายกรัฐมนตรีใช้เพื่อโฆษณาชวนเชื่อให้กับตนเองและคณะรัฐบาล ในกรณีนี้ก็กลับเป็นดาบที่หันกลับมาเชือดคอตัวท่านและคณะรัฐบาลของท่านเอง วันนี้ นายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตรไม่ลองถามตัวเองบ้างหรือว่าทำไมประชาชนไม่เชื่อถือท่านอย่างไม่มีเงื่อนไขเหมือนเมื่อก่อนอีกต่อไปแล้ว วันนี้ มีฝ่ายคัดค้านที่ไหนมีเครื่องมือในการโฆษณาชวนเชื่อมากเหมือนท่าน ผลการสำรวจวิจัยของทั้งเอแบคโพลและสวนดุสิตโพลสองสามวันมานี้จะเป็นกระจำส่องตัวท่านได้ดีที่สุด ท่านจะส่อง หรือว่าจะส่งคนไปทุบกระจก 2 บ้านนั้น ขอยกตัวอย่างที่สำนักวิจัยเอแบคโพล มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ สำรวจความคิดเห็นประชาชนในเขต กทม.และปริมณฑล เรื่อง ประชาชนคิดอย่างไรต่อข่าวการแต่งตั้งผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินคนใหม่ จำนวนทั้งสิ้น 1,146 ตัวอย่าง ระหว่างวันที่ 26 - 27 พฤษภาคม ปรากฏว่าในกรณีความไม่ชอบมาพากลในข่าวปลดผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินนั้น ร้อยละ 66.8 เชื่อว่ามีความไม่ชอบมาพากล ไม่เชื่อร้อยละ 22.7 และร้อยละ 10.5 ไม่ระบุความคิดเห็น ที่สำคัญคือ -- ร้อยละ 65.4 เห็นว่าควรจะมีการทบทวนการปลดผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินคนปัจจุบัน ในขณะที่ประเด็นเรื่องส.ส.ร่วมกันลงชื่อคัดค้านการแต่งตั้งผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินคนใหม่นั้น ร้อยละ 60.3 เห็นด้วยกับการลงชื่อคัดค้าน ร้อยละ 19.8 ระบุไม่เห็นด้วย และร้อยละ 19.9 ไม่ระบุความคิดเห็น ที่สำคัญคือ -- ส่วนใหญ่ร้อยละ 72.8 เห็นว่ารัฐบาลไม่ควรเข้าไปเกี่ยวข้องเรื่องนี้ และประเด็นสุดท้ายคือเรื่องสาเหตุที่คาดว่าทำให้มีการพยายามปลดผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน พบว่าสาเหตุสำคัญ 3 อันดับแรกที่กลุ่มตัวอย่างระบุคือ ฝ่ายการเมืองกลัวการตรวจสอบเรื่องทุจริตคอร์รัปชัน มีใบสั่งทางการเมือง และ เชื่อว่าเป็นเกมการเมือง คนในสังคมไทยไม่ได้กินหญ้า พวกเขาไม่ใช่ไม่รู้ว่านายกรัฐมนตรีของเขาไม่มีข้อเสีย ไม่มีจุดอ่อน เพียงแต่ข้อเสียและจุดอ่อนประเภทพูดเร็ว ใจร้อน พวกเขาให้อภัยได้ เพราะเป็นอุปนิสัยส่วนตัวที่แก้ไขได้ยาก ถ้าแก้ไขไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ขอแต่ให้คงส่วนดีและจุดแข็งด้านอื่น ๆ ไว้ แต่ 1 เดือนมานี้ คนในสังคมไทยที่ไม่ได้กินหญ้าเริ่มสงสัยว่านายกรัฐมนตรีของเขาเริ่มมีพฤติกรรมที่ ไม่จริงใจ และ พูดอย่างทำอย่าง โดยแท้ สำหรับสังคมไทย นี่ไม่ใช่เพียง จุดสลบ แต่เป็น จุดตาย ทีเดียว ! ท่านนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตรเป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศไทยที่ชอบหยิบยกพระธรรมคำสั่งสอนในพระพุทธศาสนามากล่าวอ้างเสมอ ๆ ล่าสุดก็อ้างถึงท่านอาจารย์พุทธทาสภิกขุ ไหน ๆ ท่านก็น่าจะรู้ดีว่า... สัจจะสำคัญที่สุด ! พูดแล้วต้องทำตามที่พูด ! ถ้าท่านยังไม่รู้ ก็น่าจะไปถามพล.อ.สุจินดา คราประยูรที่เคยยิ่งใหญ่คับฟ้าประเทศไทยเมื่อปี 2534 2535 ว่าสาเหตุหนึ่งที่ต้องพังภินท์ลงไปเพราะอะไร สาเหตุสำคัญที่สังคมที่เคยสนับสนุนเมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2534 หันมายืนตรงกันข้ามและตะโกนขับไล่เพราะอะไร ไม่ใช่เรื่องรัฐธรรมนูญ แต่เป็นเรื่องง่าย ๆ เสียสัตย์ ! คนที่ไม่รักษาสัจจะ คนที่พูดแล้วไม่ทำตามที่พูด สังคมไทยมีคำเปรียบเทียบมาแต่โบราณว่า... ปากว่าตาขยิบ ท่านอาจารย์เกษม ศิริสัมพันธ์ อรรถาธิบายไว้อย่างแหลมคมในคอลัมน์ โลกกว้าง ทางแคบ ของท่านลงตีพิมพ์ใน ผู้จัดการรายวัน เมื่อ 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา คงมีสาเหตุมาแต่ความจริงที่ว่าคุณทักษิณเป็นผู้ที่มีความมั่นใจในตัวเองมาก คิดว่าตนเป็นยอดมนุษย์ ไม่มีใครฉลาดรู้ทันตน จึงพูดอะไรออกไปเป็นการถูกต้องตามหลักการ แต่ความจริงพฤติกรรมกลับเป็นอีกอย่างหนึ่ง ก็คงคิดว่าไม่มีใครจับได้ไล่ทัน... แต่อย่าลืมว่าคุณทักษิณเป็นนายกรัฐมนตรีมาเกือบ 5 ปีแล้ว ผู้คนถึงแม้ไม่ฉลาดลึกล้ำเท่าคุณทักษิณก็จริง แต่ก็นานพอที่จะจับร่องรอยของคุณทักษิณได้บ้างแล้ว.... นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ยิ่งอยู่ในอำนาจนาน ยิ่งต้องระมัดระวังและมีความสำรวมในการพูดจากมากขึ้น เพราะผู้คนย่อมเห็นร่องรอยได้ง่ายและชัดเจนขึ้น อีกประการหนึ่ง การอ้างพระธรรมคำสั่งสอนในสมเด็จพระบรมศาสดาบ่อย ๆ โดยเฉพาะพระธรรมชั้นสูงนั้น ประชาชนจำนวนไม่น้อยก็เริ่มสงสัยมากขึ้นทุกทีว่านายกรัฐมนตรีของเขานั้นรู้เรื่องธรรมจริงหรือเปล่า เพราะแค่ธรรมขั้นพื้นฐาน มงคลสูตร ก็ยังไม่เข้าใจ สมเด็จพระบรมศาสดาทรงตรัสถึงเหตุอันนำมาซึ่งความเจริญไว้ว่ามีอยู่ 38 ประการ เรียกว่ามงคล 38 ประการ พิธีมงคลในปัจจุบันเมื่อพระสงฆ์สวดมนต์บท มงคลสูตร เราจะคุ้นกันมากเมื่อได้ยินเริ่มต้นว่า... อะเสวะนา จะ พาลานัง, บัณฑิตานัญ จะ เสวนา, ปูชา จะ ปูชนียานัง.... พุทธศาสนิกชนทั่วไปคงพอจะจำได้ว่าพระพระภิกษุสงฆ์สวดมาถึงบทนี้ ประธานพิธีฝ่ายฆราวาสจะจุดเทียนน้ำมนต์ ถวายให้กับพระภิกษุที่เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ แต่มงคลทั้ง 38 ประการนี้ มิใช่ฟังพระสงฆ์สวดมนต์แล้วชีวิตจะเจริญขึ้นได้เอง ทุกคนต้องนำไปปฏิบัติ จึงจะมีความเจริญก้าวหน้าในชีวิต มงคลที่ 1 - 18 เป็นข้อปฏิบัติในการสร้างชีวิตให้เป็นคนดี พึ่งตนเอง และช่วยเหลือสังคม มงคลที่ 19 - 38 เป็นข้อปฏิบัติในการฝึกใจเพื่อกำจัดกิเลส ตัณหา อุปาทาน เฉพาะคำสวดบาลีที่ยกมาคือหมวดที่ 1 ว่าด้วย ทำความเห็นให้ถูกต้อง เป็นพื้นฐานโดยแท้ มงคลที่ 1 -- อเสวนา จะ พาลานัง : ไม่คบคนพาล มงคลที่ 2 -- บัณฑิตานัญ จะ เสวนา : คบบัณฑิต (ผู้มีปัญญา) มงคลที่ 3 -- ปูชา จะ ปูชนียานัง : บูชาบุคคลที่ควรบูชา เพราะสมาชิกในคณะรัฐมนตรีที่นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันออกมารับประกันความบริสุทธิ์ให้แต่ละคนล้วนเป็นคนที่สังคมร้องยี้ มันออกจะขัดกับคำที่นายกรัฐมนตรีคนเดียวคนนี้พูดแล้วพูดอีกเหมือนแผ่นเสียงตกร่อง พรรคไทยรักไทยและรัฐบาลชุดนี้ไม่ใช่เครื่องฟอกมนุษย์ ผมไม่ปกป้องใครทั้งสิ้น เพราะไม่ได้ติดหนี้บุญคุณใคร ฯลฯ ล่าสุดเมื่อวันเสาร์ที่ 28 พฤษภาคม 2548 ก็ยังคงแผ่นเสียงตกร่องในร่องเดิมเหมือนเดิม พูดแล้วไม่ทำตามที่พูด นี่แหละคือประเด็นที่นำมาสู่ จุดเสื่อม อย่างแท้จริง นอกจากนั้น ยังมีการกระทำอีกหลายประการของนายกรัฐมนตรีคนนี้ที่ไม่ได้ทำให้คนที่จงรักภักดีในชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ มองในเชิงบวกขึ้นมาเลย ตรงกันข้ามกลับสงสัยและไม่เข้าใจอย่างยิ่ง ไม่ว่าจะเป็น.... การประชุมคณะรัฐมนตรีที่ปราสาทหินเขาพนมรุ้ง เมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม 2548 การนั่งเป็นประธานในพิธีทำบุญประเทศภายในพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม เมื่อวันที่ 10 เมษายน 2548 แม้ว่าในหมู่คนที่เป็นเพื่อน และยังคงเป็นเพื่อนอยู่ ในความหมายของ กัลยาณมิตร จะเชื่อว่าท่านกระทำลงไปโดยไม่มีเจตนาแฝงเร้นก็ตาม แต่ก็อดแปลกใจไม่ได้ว่าคนที่มีระดับสติปัญญาสูงล้นอย่างท่านนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตรคนนี้ปล่อยให้เรื่องที่ไม่ควรเป็นเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร แน่นอน ความเป็นกัลยาณมิตรทำให้ยังคงเชื่อมั่นว่านายกรัฐมนตรีคนเก่งไม่รู้ แต่คนที่ไม่ใช่กัลยาณมิตรเล่า พวกเขาย่อมมีโอกาสที่จะคิดที่จะเชื่อว่านายกรัฐมนตรีคนนี้น่าจะรับรู้มาตั้งแต่ต้น ...................................... ณ ที่นี้ เซี่ยงเส้าหลง ไม่ขอบังอาจเปรียบเทียบสติปัญญาของตนเองกับท่านนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร ในการวิเคราะห์สถานการณ์บ้านเมือง และการอรรถาธิบาย Conspiracy Theory ว่าด้วยขบวนการโค่นล้มรัฐบาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่แสดงออกมาในรายการทางวิทยุครั้งล่าสุด แต่ในฐานะคนข่าวที่ติดตามการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองมาทุกยุคทุกสมัยในรอบ 30 ปีมานี้ มี บทเรียน ที่ขอบังอาจ บอกหนังสือสังฆราช สักครั้งว่า ไม่ว่าขั้นตอนของการนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองนั้นจะอรรถาธิบายกันว่ามีกี่ขั้นตอนก็ตาม แต่ที่แน่นอนที่สุดคือ... ขั้นตอนที่ยากที่สุดในกระบวนการขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองอยู่ที่ขั้นตอนที่ 1 ทำให้ประชาชนเสื่อมศรัทธา ถ้าขั้นตอนที่ 1 เกิดขึ้นแล้ว กระบวนการขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองให้ไปสู่ขั้นตอนที่ 2, 3, 4, .... ไม่ยากแล้ว ในบางสถานการณ์ ถึงไม่มีพลังใดขับเคลื่อนก็สามารถเดินหน้าไปได้เอง ! ...................................... กระบวนการขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่เกิดขึ้น ณ วันนี้ ไม่เหมือนกระบวนการที่เกิดขึ้นเมื่อเดือนมิถุนายน กรกฎาคม 2547 ที่นำโดยนายเอกยุทธ อัญชันบุตร และน.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ ขออย่าให้ท่านนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร และบรรดา ขันทีข้างกาย นำไปพิจารณาว่าเป็นกรณีเดียวกัน กระบวนการเมื่อเกือบ 1 ปีก่อนเกิดขึ้นโดยแกนนำที่มีพื้นฐานถูกสังคมตั้งข้อสงสัยในพฤติกรรม ไม่ว่าจะเป็นนายเอกยุทธ อัญชันบุตรกับคดีที่ขาดอายุความไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นน.ต.ประสงค์ สุ่นศิริที่เป็นที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีในรัฐบาลชุดที่แล้ว และที่สำคัญที่สุดคือ กระบวนการครั้งก่อนเกิดขึ้นก่อนที่จะมีการเลือกตั้งทั่วไปครั้งใหม่ในเวลาไม่กี่เดือน ประชาชนยังคงรอได้ ประชาชนยังคงฝากความหวังไว้กับระบบรัฐสภา แต่กระบวนการครั้งนี้เกิดขึ้นบนพื้นฐานที่แตกต่างกันในทุกประการ ที่หนักหนาสาหัสที่สุดก็คือ วิกฤตศรัทธาที่เกิดขึ้นในกระบวนการครั้งนี้นั้นเกิดขึ้นที่ศูนย์กลางอำนาจโดยตรง เกิดขึ้นกับตัวนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร ! มิหนำซ้ำ กระบวนการที่เกิดขึ้นไม่ได้มีคนขับเคลื่อนเป็น ขาประจำ หรือ ขาจร ไม่มีนายเอกยุทธ อัญชันบุตร ไม่มีน.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ ไม่มีนายธีรยุทธ บุญมี ไม่มีนายเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง และไม่มีแม้แต่พรรคประชาธิปัตย์ กระบวนการที่เกิดขึ้นมีพื้นฐานมาจากการทำเรื่องง่าย ๆ ให้เป็นยากของนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตรเองโดยแท้ กิ้งกือหกคะเมน คืออุปมาอุปไมยที่นำมาใช้กับกระบวนการขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองครั้งนี้ ................................... วิวัฒนาการของกระบวนการขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองครั้งนี้ สัมผัสของคนข่าวอย่าง เซี่ยงเส้าหลง ที่พบเห็นการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองมารทุกครั้งในรอบกว่า 30 ปีมานี้ อยากจะขอกราบเรียน ฯพณฯ นายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร มา ณ บรรทัดนี้ด้วยความเป็นห่วง ในฐานะกัลยาณมิตรที่ยังคงเป็นกัลยาณมิตรอยู่เสมอมาว่า ณ นาทีนี้.... เครื่องติดแล้ว ลำพังคำพูดของนายกรัฐมนตรี ไม่ว่าจะหนักแน่นเพียงใด ไม่อาจดับเครื่องที่ติดแล้วนี้ได้ หากจะให้เปรียบเทียบวิถีชีวิตทางการเมือง กับวิถีชีวิตของผู้คนทั่วไป ผู้เฒ่าผู้แก่มักจะสั่งสอนลูกหลาน โดยเฉพาะที่เป็นผู้หญิงไว้ว่า.... ลูกเอ๊ยหลานเอ๊ย อย่าให้ผู้ชายที่ไหนมาจับมือหนูง่าย ๆ นะ อย่าคิดว่าแค่จับมือเท่านั้น ไม่มีอะไร เพราะในความจริงแล้วถ้าเริ่มต้นจับมือได้ ทุกอย่างจะตามมาเอง.... ในกระบวนการรักษาอำนาจทางการเมืองนั้น ปัจจัยแรกที่จะต้องรักษาให้มั่นคงที่สุดคือ... อย่าให้ประชาชนเสื่อมศรัทธา เพราะถ้าประชาชนเริ่มต้นเสื่อมศรัทธาเสียแล้ว เหตุการณ์อื่นปัจจัยอื่นจะตามมาในเวลาที่เร็วอย่างคาดไม่ถึงทีเดียว ! ....................................... คำพูดคำประกาศในรายการ นายกทักษิณคุยกับประชาชน เมื่อวันเสาร์ที่ 28 พฤษภาคม 2548 ของนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร โดยเฉพาะประโยคที่ว่ารอให้ถึงจังหวะเหมาะสมแล้วจะมาเล่าให้ฟังทุกเรื่องว่าใครขับเคลื่อนอะไรอยู่ เพราะอะไร แต่วันนี้จำต้องยอมอดทนยอมให้เย้ยหยันไปก่อนนั้น ในฐานะคนข่าวที่ติดตามการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองมาตั้งแต่ครั้งเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 อย่าง เซี่ยงเส้าหลง แล้ว ทำให้นึกถึงภาพเก่า ๆ ของคนที่เคยมีอำนาจล้นฟ้าที่พอถูกรุกคืบจนหลังชนกำแพงแล้ว คนไหนก็คนนั้น ไม่พ้นที่จะใช้มุกนี้ ท่านนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตรที่รัก -- ท่านไม่ใช่คนแรกที่เป็นผู้ทรงอำนาจมหาศาลในบ้านนี้เมืองนี้ ที่เมื่อไม่สามารถให้คำตอบประชาชนในคำถามที่ประชาชนสงสัยได้แล้ว ก็เป็นต้องออกมุกเด็ดว่ามีขบวนการเสียผลประโยชน์รวมหัวกันโค่นล้ม ไม่เชื่อ เซี่ยงเส้าหลง ก็ไม่เป็นไร นายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตรลองสอบถาม คนเดือนตุลา ใกล้ตัวดูก็ได้ ถ้าเขาตอบคนละอย่างกับที่กล่าวมานี้ ก็แสดงว่า คนเดือนตุลา คนนั้นเป็นนักต่อสู้จอมปลอม เป็นคนที่ไม่ต่างกับนักการเมืองทั่ว ๆ ไปที่ติดยึดอยู่แต่กับอามิสนานาประการ มีความสุขอยู่กับลาภยศสรรเสริญไปวัน ๆ ลืมเพื่อนที่ตายไปบนถนนราชดำเนินและในชนบทและป่าเขาทั่วประเทศในช่วงระหว่าง 25 32 ปีก่อนไปเสียแล้ว ............................................ เหตุการณ์ในเดือนพฤษภาคม 2548 เกิดจากเรื่องที่ไม่ควรจะ เป็นเรื่อง ทั้งนั้น ข้อกล่าวหาว่าด้วยการทุจริตต่าง ๆ นั้น ถ้านายกรัฐมนตรีคนนี้สนใจและใส่ใจที่จะสอบถามเรื่องราวจาก คนวงนอก ที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับคณะรัฐมนตรี และอำนาจทางการเมือง ให้เขาเล่าให้ฟังสักนิด เชื่อว่าระดับสติปัญญาของนายกรัฐมนตรี จะสามารถ จับประเด็น ได้ในเวลาเพียงไม่เกิน 1 ชั่วโมง แต่ความที่ท่านเป็นคนที่ชอบสอบถามแต่คนข้างตัว คนวงในอำนาจ ที่ล้วนสำเร็จดุษฎีบัณฑิตใน วิชาขันที มาแล้ว ก็เลยทำให้นายกรัฐมนตรีได้แต่ความคิดเห็นด้านเดียว และข้อมูลด้านเดียว กับกรณีทุจริตเครื่องตรวจจับระเบิดในสนามบินสุวรรณภูมิที่ยิ่งแก้ยิ่งยุ่งเป็น ลิงพันแห อยู่ในขณะนี้นั้น ถ้าเมื่อตอนที่ท่าเพิ่งเดินทางกลับจากต่างประเทศ ให้สัมภาษณ์ในวันรุ่งขึ้นแต่เพียงสั้น ๆ ทำนองว่า... เพื่อความโปร่งใสในเรื่องนี้ เพื่อความสบายใจของสังคม ผมมีความจำเป็นที่จะต้องขอร้องให้ท่านรัฐมนตรีสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจพักงานในตำแหน่งรัฐมนตรีไว้ชั่วคราวก่อน ในขณะที่ผมจะตั้งคณะกรรมการอิสระขึ้นเพื่อดำเนินการสอบสวนเรื่องนี้ในทันที... แค่นี้ เชื่อไหมว่าเรื่องจะจบโดยพื้นฐานทันที น่าประหลาดใจมากที่เรื่องง่าย ๆ แค่นี้ท่านนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตรของเราทำไม่ได้ ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าผีห่าซาตานตนใดมาเข้าสิงนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตรไม่ให้พูดประโยคง่าย ๆ ข้างต้นออกมา หรืออย่างกรณีทุจริตกล้ายางพาราที่มีพฤติกรรมโกง 3 ชั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งโกงพี่น้องเกษตรกรที่เป็นคนจนและคนไร้โอกาส และมีลักษณะเป็นการทุจริตเชิงนโยบาย ที่มีความสัมพันธ์กับบริษัทเอกชนยักษ์ใหญ่ทางอุตสาหกรรมการเกษตรอย่างซีพี แทนที่นายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตรจะตอบคำถามด้วยการพูดในลักษณะที่ว่า... ผมจะพยายามตรวจสอบข้อเท็จจริงโดยเร็วที่สุด และดูว่ารัฐมนตรีคนไหนอยู่ในข่ายต้องรับผิดชอบ ผมจะดำเนินการในเชิงบริหารอย่างจริงจัง ตามหลักการที่ได้ให้ค่ำมั่นกับพี่น้องประชาชนไว้ ส่วนกรณีซีพีนั้น ผมก็จะดำเนินการตรวจสอบอย่างจริงจัง ถ้าเป็นจริงอย่างที่กล่าวหากันมา ผมจะแบล็กลิสต์บริษัทนี้ทันที แต่นอกจากจะไม่พูดเช่นนี้แล้ว ท่านนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตรยังพูดอย่างระมัดระวังไม่ให้กระทบกระเทือนใคร จนเป็นเหตุให้มีการตีความคำพูดของท่านว่า... ปกป้องซีพี ! ผลคืออะไร ? ผลก็คือทำให้ประชาชนที่เคยสงสัยมาตลอดถึงความสัมพันธ์ระหว่างท่านนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร กับซีพี เหตุไฉนจึงเสมือนเกินระดับปกติ ขนาดปรับคณะรัฐมนตรีกี่ครั้งต่อกี่ครั้ง อย่างไรเสียก็ต้องมีคนที่มีสัมพันธ์ใกล้ชิดกับซีพีร่วมเป็นรัฐมนตรีด้วยอย่างน้อย 1 คนทุกครั้งไป ! หรือว่าซีพีคือ หุ้นส่วนทางการเมือง ที่จะขาดเสียมิได้ อ้าว ก็ไหนว่าพรรคการเมืองของท่านนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตรไม่ต้องการให้ใครมาบริจาคไงล่ะ ก็ไหนว่าท่านมีเงินมากพอแล้วจึงขอแต่เพียงให้รัฐมนตรีทุกคนตั้งใจทำงานให้ดีที่สุดไงล่ะ ไม่ติดกับโควตาไงล่ะ คนที่สนใจในเรื่องเหล่านี้ที่ไม่ใช่ ขาประจำ แต่ ความจำดี จะเริ่มรื้อฟื้นความทรงจำในรอบ 4 6 ปีนี้ขึ้นมาทีละช็อตทีละฉาก แล้วสรุปว่า สิ่งที่ นายกรัฐมนตรีพูด กับสิ่งที่ นายกรัฐมนตรีทำ นั้นตรงกันข้ามกันหมด ! นี่แหละคือ วิกฤตศรัทธา อันเป็นขั้นตอนที่ 1 ที่สำคัญที่สุดของกระบวนการขับเคลื่อนการเปลียนแปลงทางการเมืองทุกยุคทุกสมัย .................................. แม้แต่กรณีที่ไม่น่าจะเกี่ยวกันเลยอย่างกรณีของคุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกาก็เช่นกัน การที่นายเสนาะ เทียนทอง และส.ส.รวม 60 คน ไปยื่นเรื่องต่อประธานวุฒิสภาเมื่อวันพุธที่ 25 พฤษภาคม 2548 ที่ผ่านมานั้น สิ่งที่นายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตรทำให้เพียงประการเดียวคือ... สงบ หรือถ้าจะต้องออกความเห็น ก็ควรจะเพียงในลักษณะที่ว่า... ส.ส.แต่ละคนมีวิจารณญาณของเขาเอง ต้องปล่อยให้เขาทำไป แต่นอกจากจะไม่สงบ และออกมาวิจารณ์ว่าไม่เหมาะ ไม่ควร แล้วเรียกส.ส.ที่ร่วมลงนามเข้าไปตำหนิ จนเป็นเหตุให้เกิดการถอนชื่อในวันต่อมา เป็นเรื่องที่เข้าใจไม่ได้จริง ๆ มันช่วยไม่ได้ที่สังคมจะเริ่มเข้าใจว่านายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตรเห็นดีเห็นงามไปกับการลงมติของวุฒิสภาเมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม 2548 หรืออาจจะเลยเถิดไปเป็นเชื่อว่ามี ขบวนการกังฉินวางแผนโค่นล้มคุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา โดยพยายามในทุกวิถีทาง ไม่เว้นแม้แต่วิถีทางที่ล่อแหลมต่อการละเมิดพระราชอำนาจพระมหากษัตริย์ และสำคัญที่สุด -- นายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตรไม่ได้แสดงออกถึงความพยายามที่จะขัดขวางและหยุดยั้งขบวนกังฉินของแผ่นดิน ยิ่งเมื่อสาวลึกลงไปจะพบว่าการตรวจสอบของคุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกาในช่วง 2 ปีที่ผ่านมานั้น ไปกระทบกระเทือนกับโครงการหลายโครงการ ทั้งที่เป็นข่าวฉาวโฉ่ในตอนนี้ และทั้งที่เงียบหายไป รวมทั้งกรณีทุจริตกล้ายางพารา .......................................... นี่แหละที่ เซี่ยงเส้าหลง กล่าวเปรียบเทียบในตอนต้นว่า.... เปิดหน้าให้ชก .......................................... นี่ยังไม่รวมพฤติกรรมอื่น ๆ ของนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตรที่สวนทางกับคำพูด ผมจะทำให้พรรคไทยรักไทยเป็นสถาบัน แต่อะไรเกิดขึ้นกับการประชุมคณะรัฐมนตรีนัดพิเศษที่บ้านพิษณุโลกเมื่อวันพุธที่ 25 พฤษภาคม 2548 และการประชุมแกนนำพรรคไทยรักไทยครั้งอื่น ๆ ในรอบ 2 3 ปีมานี้ คุณหญิงพจมาน ชินวัตร มาร่วมปรากฏตัวด้วย ! ถัดจากนั้นมาอีก 3 วัน ในการประชุมคณะรัฐมนตรีนัดพิเศษที่หอประชุมกองทัพเรือ นายบุญคลี ปลั่งศิริ มาร่วมด้วย ! ซึ่งเมื่อไปรวมกับพฤติกรรมแสดงอาการกราดเกรี้ยวใส่ส.ส.ที่ไปร่วมลงชื่อกับนายเสนาะ เทียนทองในช่วงเวลาใกล้ ๆ กัน การไม่พอใจนายประมวล รุจนเสรีที่เขียนหนังสือ การใช้อำนาจเป็นธรรมชาติของมนุษย์ และทำให้คนที่ถูกไม่พอใจต้องพ้นจากตำแหน่งรองหัวหน้าพรรคไทยรักไทยไปในเวลาต่อมา และ ฯลฯ มันทำให้คนทั่วไปที่แม้ไม่ใช่ ขาประจำ แต่บังเอิญ ความจำดี อดสงสัยไม่ได้ว่า... ที่นายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตรกล่าวว่าจะทำให้พรรคไทยรักไทยเป็น สถาบัน นั้น สถาบัน อะไรกันแน่ ? สถาบันการเมือง, สถาบันธุรกิจ หรือ สถาบันครอบครัว ?? .......................................... การเมืองคือการต่อสู้ทางความคิด โดยมีปฏิบัติการต่าง ๆ เป็นตัวขับเคลื่อน ประชาชนคนดูเป็นกรรมการ เมื่อฝ่ายหนึ่งเปิดการ์ด เปิดหน้าให้คู่ต่อสู้ชก ไม่ว่าจะเพราะผีห่าซานตานตนใดเข้าสิงก็ตาม แล้วจู่ ๆ มาร้องแรกแหกกระเชอกับกรรมการว่า มีประชาชนคนดูบางคนบางกลุ่มช่วยคู่ชกฝ่ายตรงกันข้าม มันไม่ทำให้สถานภาพของคน ๆ นั้นดีขึ้นเลยแม้แต่น้อย ! ............................................ ในท่ามกลางเสียงข้างมากเด็ดขาดของพรรคไทยรักไทยขณะนี้ อาจกล่าวได้ว่าความรู้สึกของประชาชนต่อพรรคไทยรักไทยมีอยู่ 3 กลุ่มด้วยกัน กลุ่มที่ 1 เป็นพรรคไทยรักไทย 100 เปอร์เซ็นต์ จะพูดอย่างไร เสนออย่างไร เห็นเป็นถูกต้องไปหมด ทุกพรรคการเมืองย่อมต้องมีคนประเภทนี้ กลุ่มที่ 2 เป็นกลุ่มที่ไม่เอาพรรคไทยรักไทย จะพูดอย่างไร เสนออย่างไร เป็นหาช่องโจมตีในเชิงลบได้หมด กลุ่มที่ 3 เป็นกลุ่มที่นิยมนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตรจากการทำงาน วิสัยทัศน์ และคำมั่นสัญญาต่าง ๆ คนกลุ่มที่ 3 นี่แหละที่กำลังเริ่มเปลี่ยนแปลงทัศนคติอย่างใหญ่หลวง ซึ่ง เซี่ยงเส้าหลง ก็รวมอยู่ในคนกลุ่มนี้ นายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตรจะทำอย่างไรกับคนกลุ่มที่ 3 นี้ กล่าวหาพวกเขาว่าเป็นขบวนการล้มล้างรัฐบาล อันเท่ากับขับไส่ไล่ส่งพวกเขาออกไปกระนั้นหรือ ถ้าท่านทำเช่นนี้ ก็ให้ระวังว่าขั้นตอนในกระบวนการขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองจะยกระดับขึ้นสู่ขั้นตอนที่ 2 โดยพลัน .................................................... ที่ เซี่ยงเส้าหลง ถือโอกาส จับเข่าคุย กับท่านนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตรมาทั้งหมดนี้ก็เพราะเหตุผลเดียว รัก ไม่สบายใจอย่างยิ่งที่เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวงในตัวคนที่เรารัก หลังจากฟังรายการนายกทักษิณคุยกับประชาชนเมื่อวันเสาร์ที่ 28 พฤษภาคม 2548 จึงขอป้อนยารักษาโรคให้ ต้องไม่ลืมว่า...ยาที่มีประสิทธิภาพสูงสุดคือ ยาขม ไม่ใช่ น้ำผึ้งผสมยาพิษ ที่บรรดาขันทีข้างกายหยิบยื่นป้อนให้ทุกวัน ! Posted by : dk , E-mail : (dk@hotmail.com) , Date : 2005-05-30 , Time : 12:51:27 , From IP : 172.29.1.209 |
ผมคิดว่าเขาฉลาดนะครับ แต่ลำพองไปหน่อย Posted by : bfy , Date : 2005-05-30 , Time : 16:44:06 , From IP : 172.29.4.36 |
ประชาธิปัตย์จงเจริญ ... เย้ Posted by : 55555 , Date : 2005-05-30 , Time : 18:49:51 , From IP : 203.113.71.107 |
คุณ 55555 เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับพรรคประชาธิปัตย์ นะคะ Posted by : คนใต้ , Date : 2005-05-31 , Time : 09:35:30 , From IP : 172.29.3.110 |
ลองตามไปอ่านที่นี่ดู วิเคราะห์ได้ชัดดี http://www.pantip.com/cafe/rajdumnern/topic/P3510735/P3510735.html Posted by : คนไทย , Date : 2005-06-01 , Time : 17:11:59 , From IP : 172.29.3.152 |
อยากได้รายละเอียด หนังสือ "การใช้อำนาจเป็นธรรมชาติของมนุษย์" ว่าสั่งซื้อได้จากที่ไหนค่ะ ขอบคุณค่ะ Posted by : รัตนี , E-mail : (w_warang@yahoo.com) , Date : 2005-08-10 , Time : 11:21:44 , From IP : 210.246.160.2 |
ความเห็นจาก Social Network : Facebook |
|
>>>>> Page loaded: 0.006 seconds. <<<<< |