ความคิดเห็นทั้งหมด : 10

จากกัลยาณมิตร ถึงนายกฯทักษิณ ชินวัตร


   จากกัลยาณมิตร ถึงนายกฯทักษิณ ชินวัตร

โดย เซี่ยงเส้าหลง 29 พฤษภาคม 2548 21:42 น.



แทนที่จะชี้แจงเรื่องร้อน ๆ ที่เกิดขึ้นในช่วงเดือนพฤษภาคม 2548 ที่ประชาชนยังคงสงสัยและเริ่มตั้งคำถามในเชิงลบต่อรัฐบาลให้แจ่มแจ้งชัดเจนไม่อ้ำอึ้ง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรกลับออกมุกใหม่ ใช้รายการวิทยุ “นายกฯทักษิณคุยกับประชาชน” ครั้งล่าสุดเมื่อวันเสาร์ที่ 28 พฤษภาคม 2548 พูดเป็นนัยคลุม ๆ ให้ประชาชนเข้าใจว่าขณะนี้กำลังมีขบวนการโค่นล้มรัฐบาลเกิดขึ้น

ท่านบอกว่าเรื่องราวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในประเทศในช่วงนี้ ตอนนี้ มีหลายเรื่องวุ่นวาย ความจริงแล้วสิ่งที่เกิดขึ้นในบ้านเราเป็นเรื่องของอำนาจ ผลประโยชน์ พวกพ้อง

พูดง่าย ๆ ว่าการวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลขณะนี้เกิดจากแรงผลักดันของกลุ่มผู้เสียประโยชน์จากการทำงานของรัฐบาล

ท่านบอกว่ามีกลุ่มตัวแสดงก็มีอยู่ 3 กลุ่มใหญ่ ๆ

กลุ่มที่หนึ่ง -- คือรัฐบาล
กลุ่มที่สอง -- คือฝ่ายค้าน
กลุ่มที่สาม -- คือกลุ่มที่ไม่ชอบรัฐบาล แต่จะชอบฝ่ายค้านหรือไม่ – ไม่จำเป็น

ทั้งหมดถ้าเปรียบเทียบเหมือนระบบคอมพิวเตอร์ หน้าจอก็คือสื่อมวลชน จะนำเสนอโดยฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์เดิม ตัวแสดงตัวละครต่าง ๆ ก็จะรู้กันหมดว่าใครเป็นใคร ใครเอาอะไรไปให้ใคร ไปวิ่งหาใคร เห็นตัวละครแต่บางครั้งก็ยังไม่สามารถพูดได้ แต่ในฐานะที่ทำหน้าที่นายกรัฐมนตรี จะต้องยึดหลักกฎหมายบ้านเมือง ใช้หลักกระแสไม่ได้ จะพยายามอดทนและจะยกระดับการเมืองให้ดีขึ้น และได้เตือนทุกฝ่าย เตือนโดยตรงบ้าง เตือนโดยอ้อมบ้าง เตือนโดยพูดกว้าง ๆ เพื่อหวังว่าคนเหล่านั้นจะเข้าใจ

“บางครั้งก็หักด้ามพร้าด้วยเข่าไม่ได้ ก็ต้องอดทน”

“บางครั้งถูกเย้ยหยัน ก็ต้องทน"

“ผมจะทน และผมจะทำให้ระดับการเมืองของประเทศดีขึ้น โปร่งใส ผมจะต้องเดินออกจากการเมืองไปด้วยการเมืองที่ดีขึ้น ยกระดับและโปร่งใส ผมจะวางระบบทุกระบบ ผมจะจัดการทุกด้านเพื่อที่จะให้มันดีที่สุด และผมจะพูดให้ประชาชนได้ทราบทุกเรื่อง ในจังหวะที่ควรจะต้องพูด"

ท่านทำอะไรลงไป ?

ท่านกำลังจะบอกอะไรประชาชน ?

ท่านกำลังเอาสัจธรรมทั่วไปทางการเมืองมาพูดให้เห็นเสมือนว่ามีกำลังมีขบวนการลับที่มุ่งโค่นล้มรัฐบาลและตัวท่านเพราะเสียผลประโยชน์ยืนลับ ๆ อยู่เบื้องหลังข่าววิพากษ์วิจารณ์เชิงลบต่าง ๆ ในช่วงนี้

ไม่ว่าจะเป็นข่าวคุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา

ไม่ว่าจะเป็นข่าวทุจริตเครื่องตรวจจับวัตถุระเบิดในสนามบินสุวรรณภูมิ และข่าวทุจริตอื่น ๆ

ไม่ว่าจะเป็นข่าวคณะกรรมการป.ป.ช.ต้องคำพิพากษาศาล

ฯลฯ

ท่านกำลังเดินตามรอยเท้าพล.อ.สุจินดา คราประยูร

ท่านกำลังเดินตามรอยเท้าจอมพลถนอม กิตติขจร – จอมพลประภาส จารุเสถียร

คือเมื่อ “เข้ามุมอับ” ในลักษณาการที่ใกล้จะ “จนตรอก” ก็ออกมุกที่เป็น “สูตรสำเร็จ” ว่ามีขบวนการผู้เสียผลประโยชน์กำลังพยายามล้มล้างรัฐบาล

พูดให้มันดู “ลับลมคมใน” เข้าไว้

พูดให้ดูเหมือนขบวนการล้มล้างรัฐบาลนี่มันใหญ่โตโอฬารและชั่วร้ายเสียเหลือเกิน

สมัยจอมพลถนอม กิตติขจร – จอมพลประภาส จารุเสถียร สวมหมวก “คอมมิวนิสต์” ให้ฝ่ายคัดค้านรัฐบาล

สมัยพล.อ.สุจินดา คราประยูร สวมหมวก “สภาเปรซิเดียม” ให้ฝ่ายคัดค้านรัฐบาล

อีกไม่นาน – ถ้านายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันท่านยังไม่กลับตัวกลับใจเข้าสู่ครรลองแห่งธรรม คนไทยอาจจะเห็นหมวกใบใหม่ถูกหยิบมาสวมให้ฝ่ายคัดค้านรัฐบาลก็เป็นได้

ทั้ง ๆ ที่เรื่องที่ท่านพูดนั้นเป็นสัจธรรมทั่วไปของการเมืองทุกยุคทุกสมัย ที่ต้องมีทั้งฝ่ายรัฐบาล และฝ่ายที่คัดค้านไม่เห็นด้วยกับรัฐบาล ซึ่งถ้าเป็นสถานการณ์ปกติในระบบรัฐสภา ก็คือพรรคฝ่ายค้าน แต่ถ้าในยุคใดสมัยใดเกิดกระบวนการปิดกั้นสิทธิเสรีภาพของการแสดงความคิดเห็น และการผูกขาดทางการเมืองและทางเศรษฐกิจธุรกิจ ในลักษณะใดลักษณะหนึ่ง ก็จะต้องมีฝ่ายคัดค้านนอกระบบรัฐสภา

จะบอกว่าฝ่ายคัดค้านรัฐบาลเป็นกลุ่มผู้เสียผลประโยชน์ – พูดอีกก็ถูกอีก – ไม่มีผิด

แต่ต้องมองให้ลึกลงไปด้วยว่าผลประโยชน์ของใครกลุ่มไหน

และผลประโยชน์ของทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายคัดค้านรัฐบาลนั้น ผลประโยชน์ของฝ่ายใดสอดคล้องกับผลประโยชน์ของประชาชนมากกว่ากัน ณ สถานการณ์ขณะนั้น

คำถามก็คือ – เหตุใดฝ่ายคัดค้านรัฐบาลนอกระบบรัฐสภาในช่วง 3 เดือนมานี้จึงเสียงดังขึ้น และได้รับการขานรับจากสื่อมวลชนมากขึ้น

นายกรัฐมนตรีเลือกที่จะตอบว่าเป็นเพราะสื่อได้รับการป้อนข้อมูลที่ผิด

ข้อมูลที่มาจากขบวนการโค่นล้มรัฐบาลที่อยู่เบื้องหลัง

นายกรัฐมนตรีคนนี้ยังคงดูถูกสติปัญญาของสื่อมวลชนเหมือนเช่นเคยว่ามีค่าเพียง “หน้าจอคอมพิวเตอร์” ที่สุดแท้แต่จะถูกป้อน “ซอฟท์แวร์” ตัวไหนโดย “ฮาร์ดแวร์” ตัวใด

ทำไมท่านไม่ลองตอบคำถามใหม่ ๆ สองสามคำถามด้วยจิตที่ปราศจากอกุศล

คำถามที่ 1 เป็นเพราะยุคนี้เกิด “การผูกขาด” ทั้งทางการเมือง และทางเศรษฐกิจ ธุรกิจ ที่ทั้งมากเกินไป และเห็นเด่นชัดเกินไป – ใช่หรือเปล่า ?

เพราะการเมืองนั้นไม่ว่าจะมีนิยามที่วิลิสมาหราอย่างไร แต่โดยเนื้อแท้แล้วก็คือการต่อสู้เพื่อจัดสรรผลประโยชน์ระหว่างกลุ่มต่าง ๆ ในสังคม

คำถามที่ 2 ทำไมฝ่ายคัดค้านรัฐบาลถึงได้เกาะประเด็นติดมาเป็นเวลาไม่ต่ำกว่า 1 เดือน ผลักดันรัฐบาลให้ถอยร่นเข้าสู่มุมอับ ?

คำถามที่ 3 ทำไมฝ่ายคัดค้านรัฐบาลถึงได้มีประชาชนเห็นชอบด้วยเป็น “แนวร่วม” เพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมากในอัตราเร่ง ?

เหตุร้ายเช่นนี้เกิดขึ้นได้อย่างไรในชั่วระยะเวลาเพียง 3 เดือนหลังจากท่านชนะการเลือกตั้งทั่วไปด้วยคะแนนเสียงท่วมท้น

ถ้าเปรียบเป็นการแข่งขันชกมวย – เป็นไปได้ไหมว่าเพราะรัฐบาล “เปิดหน้าให้ชก” เอง

ไม่ต่ำกว่า 30 ปีมานี้ – ปัญหาเดียวที่เป็น “จุดสลบ” ของทุกรัฐบาล ไม่ว่ายิ่งใหญ่แค่ไหน ไม่ว่ากุมเสียงข้างในรัฐสภาได้เพียงใด และไม่ว่าจะมีกำลังทหารค้ำจุนหนาแน่นเพียงใด ก็คือ....

คอร์รัปชั่น !

มันเป็นเรื่องง่าย ๆ ที่ท่านนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตรทำให้ยากเอง

กรณีทุจริตเครื่องตรวจจับระเบิดในสนามบินสุวรรณภูมิก็ดี กรณีตำแหน่งผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินของคุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกาก็ดี กรณีทุจริตกล้ายางพาราก็ดี และกรณีอื่น ๆ ที่สังคมกำลังวิพากษ์วิจารณ์ก็ดี บริหารจัดการได้ง่ายนิดเดียว ถ้านายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตรที่สังคมไทยเคยเชื่ออย่างบริสุทธิ์ว่าเป็นนายกรัฐมนตรีที่ดีที่สุดคนหนึ่งของประเทศไทยยังคงเป็นคน ๆ เดียวกับคนที่เคยประกาศหลักการว่าด้วยการต่อต้านคอร์รัปชั่นเหมือนตอนที่เริ่มต้นก่อตั้งพรรคไทยรักไทย และเหมือนตอนที่ประกาศซ้ำประกาศซากครั้งแล้วครั้งเล่าตลอดระยะเวลา 4 ปีที่ผ่านมา

“ไม่ต้องรอให้มีใบเสร็จหรอก ถ้ารู้ว่าใครทุจริต ผมจะจัดการเอง”

“สเต็ปที่มีหลักฐาน ส่งป.ป.ช.ดำเนินคดี สเต็ปที่ไม่มีหลักฐาน แต่รู้ชัดเจนว่ามีพฤติกรรมแห่งความสงสัยว่าเป็นคนไม่ดี เราจะใช้อำนาจทางปกครอง ผมต่อรัฐมนตรี รัฐมนตรีต่อข้าราชการประจำ”

ประโยคหลังสุดนี่ – ก็เพิ่งพูดเมื่อวันขั้นปีใหม่ 2547 นี่เอง

แต่พฤติกรรมที่เกิดขึ้นในรอบ 1 เดือนมานี้ กลับเป็นตรงกันข้ามอย่างไม่น่าเชื่อ

สังคมยุคข้อมูลข่าวสารเช่นทุกวันนี้ อัตราความเร็วของการตรวจสอบข้อมูลข่าวสารมีมากกว่าสมัยก่อน ทำให้สังคมส่วนหนึ่งที่มีปัญญา สามารถตรวจสอบได้ไม่ยากนักว่านายกรัฐมนตรีของเขาเคยให้สัจจะไว้อย่างไรบ้าง แม้แต่ในรายการวิทยุที่นายกรัฐมนตรีใช้เพื่อโฆษณาชวนเชื่อให้กับตนเองและคณะรัฐบาล ในกรณีนี้ก็กลับเป็นดาบที่หันกลับมาเชือดคอตัวท่านและคณะรัฐบาลของท่านเอง

วันนี้ – นายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตรไม่ลองถามตัวเองบ้างหรือว่าทำไมประชาชนไม่เชื่อถือท่านอย่างไม่มีเงื่อนไขเหมือนเมื่อก่อนอีกต่อไปแล้ว

วันนี้ – มีฝ่ายคัดค้านที่ไหนมีเครื่องมือในการโฆษณาชวนเชื่อมากเหมือนท่าน

ผลการสำรวจวิจัยของทั้งเอแบคโพลและสวนดุสิตโพลสองสามวันมานี้จะเป็นกระจำส่องตัวท่านได้ดีที่สุด

ท่านจะส่อง หรือว่าจะส่งคนไปทุบกระจก 2 บ้านนั้น

ขอยกตัวอย่างที่สำนักวิจัยเอแบคโพล มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ สำรวจความคิดเห็นประชาชนในเขต กทม.และปริมณฑล เรื่อง “ประชาชนคิดอย่างไรต่อข่าวการแต่งตั้งผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินคนใหม่” จำนวนทั้งสิ้น 1,146 ตัวอย่าง ระหว่างวันที่ 26 - 27 พฤษภาคม ปรากฏว่าในกรณีความไม่ชอบมาพากลในข่าวปลดผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินนั้น ร้อยละ 66.8 เชื่อว่ามีความไม่ชอบมาพากล ไม่เชื่อร้อยละ 22.7 และร้อยละ 10.5 ไม่ระบุความคิดเห็น

ที่สำคัญคือ -- ร้อยละ 65.4 เห็นว่าควรจะมีการทบทวนการปลดผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินคนปัจจุบัน

ในขณะที่ประเด็นเรื่องส.ส.ร่วมกันลงชื่อคัดค้านการแต่งตั้งผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินคนใหม่นั้น ร้อยละ 60.3 เห็นด้วยกับการลงชื่อคัดค้าน ร้อยละ 19.8 ระบุไม่เห็นด้วย และร้อยละ 19.9 ไม่ระบุความคิดเห็น

ที่สำคัญคือ -- ส่วนใหญ่ร้อยละ 72.8 เห็นว่ารัฐบาลไม่ควรเข้าไปเกี่ยวข้องเรื่องนี้

และประเด็นสุดท้ายคือเรื่องสาเหตุที่คาดว่าทำให้มีการพยายามปลดผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน พบว่าสาเหตุสำคัญ 3 อันดับแรกที่กลุ่มตัวอย่างระบุคือ

ฝ่ายการเมืองกลัวการตรวจสอบเรื่องทุจริตคอร์รัปชัน

มีใบสั่งทางการเมือง

และ

เชื่อว่าเป็นเกมการเมือง

คนในสังคมไทยไม่ได้กินหญ้า พวกเขาไม่ใช่ไม่รู้ว่านายกรัฐมนตรีของเขาไม่มีข้อเสีย ไม่มีจุดอ่อน เพียงแต่ข้อเสียและจุดอ่อนประเภทพูดเร็ว ใจร้อน พวกเขาให้อภัยได้ เพราะเป็นอุปนิสัยส่วนตัวที่แก้ไขได้ยาก ถ้าแก้ไขไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ขอแต่ให้คงส่วนดีและจุดแข็งด้านอื่น ๆ ไว้

แต่ 1 เดือนมานี้ – คนในสังคมไทยที่ไม่ได้กินหญ้าเริ่มสงสัยว่านายกรัฐมนตรีของเขาเริ่มมีพฤติกรรมที่ “ไม่จริงใจ” และ “พูดอย่างทำอย่าง” โดยแท้

สำหรับสังคมไทย – นี่ไม่ใช่เพียง “จุดสลบ” แต่เป็น “จุดตาย” ทีเดียว !

ท่านนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตรเป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศไทยที่ชอบหยิบยกพระธรรมคำสั่งสอนในพระพุทธศาสนามากล่าวอ้างเสมอ ๆ ล่าสุดก็อ้างถึงท่านอาจารย์พุทธทาสภิกขุ ไหน ๆ ท่านก็น่าจะรู้ดีว่า...

สัจจะสำคัญที่สุด !

พูดแล้วต้องทำตามที่พูด !

ถ้าท่านยังไม่รู้ ก็น่าจะไปถามพล.อ.สุจินดา คราประยูรที่เคยยิ่งใหญ่คับฟ้าประเทศไทยเมื่อปี 2534 – 2535 ว่าสาเหตุหนึ่งที่ต้องพังภินท์ลงไปเพราะอะไร สาเหตุสำคัญที่สังคมที่เคยสนับสนุนเมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2534 หันมายืนตรงกันข้ามและตะโกนขับไล่เพราะอะไร

ไม่ใช่เรื่องรัฐธรรมนูญ

แต่เป็นเรื่องง่าย ๆ – เสียสัตย์ !

คนที่ไม่รักษาสัจจะ คนที่พูดแล้วไม่ทำตามที่พูด สังคมไทยมีคำเปรียบเทียบมาแต่โบราณว่า...

“ปากว่าตาขยิบ”

ท่านอาจารย์เกษม ศิริสัมพันธ์ อรรถาธิบายไว้อย่างแหลมคมในคอลัมน์ “โลกกว้าง ทางแคบ” ของท่านลงตีพิมพ์ใน “ผู้จัดการรายวัน” เมื่อ 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา

“คงมีสาเหตุมาแต่ความจริงที่ว่าคุณทักษิณเป็นผู้ที่มีความมั่นใจในตัวเองมาก คิดว่าตนเป็นยอดมนุษย์ ไม่มีใครฉลาดรู้ทันตน จึงพูดอะไรออกไปเป็นการถูกต้องตามหลักการ แต่ความจริงพฤติกรรมกลับเป็นอีกอย่างหนึ่ง ก็คงคิดว่าไม่มีใครจับได้ไล่ทัน...

“แต่อย่าลืมว่าคุณทักษิณเป็นนายกรัฐมนตรีมาเกือบ 5 ปีแล้ว ผู้คนถึงแม้ไม่ฉลาดลึกล้ำเท่าคุณทักษิณก็จริง แต่ก็นานพอที่จะจับร่องรอยของคุณทักษิณได้บ้างแล้ว....

“นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ยิ่งอยู่ในอำนาจนาน ยิ่งต้องระมัดระวังและมีความสำรวมในการพูดจากมากขึ้น เพราะผู้คนย่อมเห็นร่องรอยได้ง่ายและชัดเจนขึ้น”

อีกประการหนึ่ง การอ้างพระธรรมคำสั่งสอนในสมเด็จพระบรมศาสดาบ่อย ๆ โดยเฉพาะพระธรรมชั้นสูงนั้น ประชาชนจำนวนไม่น้อยก็เริ่มสงสัยมากขึ้นทุกทีว่านายกรัฐมนตรีของเขานั้นรู้เรื่องธรรมจริงหรือเปล่า

เพราะแค่ธรรมขั้นพื้นฐาน “มงคลสูตร” ก็ยังไม่เข้าใจ

สมเด็จพระบรมศาสดาทรงตรัสถึงเหตุอันนำมาซึ่งความเจริญไว้ว่ามีอยู่ 38 ประการ เรียกว่ามงคล 38 ประการ พิธีมงคลในปัจจุบันเมื่อพระสงฆ์สวดมนต์บท “มงคลสูตร” เราจะคุ้นกันมากเมื่อได้ยินเริ่มต้นว่า...

“อะเสวะนา จะ พาลานัง, บัณฑิตานัญ จะ เสวนา, ปูชา จะ ปูชนียานัง....”

พุทธศาสนิกชนทั่วไปคงพอจะจำได้ว่าพระพระภิกษุสงฆ์สวดมาถึงบทนี้ ประธานพิธีฝ่ายฆราวาสจะจุดเทียนน้ำมนต์ ถวายให้กับพระภิกษุที่เป็นประธานฝ่ายสงฆ์

แต่มงคลทั้ง 38 ประการนี้ มิใช่ฟังพระสงฆ์สวดมนต์แล้วชีวิตจะเจริญขึ้นได้เอง ทุกคนต้องนำไปปฏิบัติ จึงจะมีความเจริญก้าวหน้าในชีวิต

มงคลที่ 1 - 18 เป็นข้อปฏิบัติในการสร้างชีวิตให้เป็นคนดี พึ่งตนเอง และช่วยเหลือสังคม มงคลที่ 19 - 38 เป็นข้อปฏิบัติในการฝึกใจเพื่อกำจัดกิเลส ตัณหา อุปาทาน

เฉพาะคำสวดบาลีที่ยกมาคือหมวดที่ 1 ว่าด้วย “ทำความเห็นให้ถูกต้อง” เป็นพื้นฐานโดยแท้

มงคลที่ 1 -- อเสวนา จะ พาลานัง : ไม่คบคนพาล
มงคลที่ 2 -- บัณฑิตานัญ จะ เสวนา : คบบัณฑิต (ผู้มีปัญญา)
มงคลที่ 3 -- ปูชา จะ ปูชนียานัง : บูชาบุคคลที่ควรบูชา

เพราะสมาชิกในคณะรัฐมนตรีที่นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันออกมารับประกันความบริสุทธิ์ให้แต่ละคนล้วนเป็นคนที่สังคมร้องยี้

มันออกจะขัดกับคำที่นายกรัฐมนตรีคนเดียวคนนี้พูดแล้วพูดอีกเหมือนแผ่นเสียงตกร่อง

“พรรคไทยรักไทยและรัฐบาลชุดนี้ไม่ใช่เครื่องฟอกมนุษย์”

“ผมไม่ปกป้องใครทั้งสิ้น เพราะไม่ได้ติดหนี้บุญคุณใคร”

ฯลฯ

ล่าสุดเมื่อวันเสาร์ที่ 28 พฤษภาคม 2548 ก็ยังคงแผ่นเสียงตกร่องในร่องเดิมเหมือนเดิม

พูดแล้วไม่ทำตามที่พูด – นี่แหละคือประเด็นที่นำมาสู่ “จุดเสื่อม” อย่างแท้จริง

นอกจากนั้น ยังมีการกระทำอีกหลายประการของนายกรัฐมนตรีคนนี้ที่ไม่ได้ทำให้คนที่จงรักภักดีในชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ มองในเชิงบวกขึ้นมาเลย ตรงกันข้ามกลับสงสัยและไม่เข้าใจอย่างยิ่ง ไม่ว่าจะเป็น....

การประชุมคณะรัฐมนตรีที่ปราสาทหินเขาพนมรุ้ง เมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม 2548

การนั่งเป็นประธานในพิธีทำบุญประเทศภายในพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม เมื่อวันที่ 10 เมษายน 2548

แม้ว่าในหมู่คนที่เป็นเพื่อน และยังคงเป็นเพื่อนอยู่ ในความหมายของ “กัลยาณมิตร” จะเชื่อว่าท่านกระทำลงไปโดยไม่มีเจตนาแฝงเร้นก็ตาม แต่ก็อดแปลกใจไม่ได้ว่าคนที่มีระดับสติปัญญาสูงล้นอย่างท่านนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตรคนนี้ปล่อยให้เรื่องที่ไม่ควรเป็นเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร

แน่นอน ความเป็นกัลยาณมิตรทำให้ยังคงเชื่อมั่นว่านายกรัฐมนตรีคนเก่งไม่รู้

แต่คนที่ไม่ใช่กัลยาณมิตรเล่า พวกเขาย่อมมีโอกาสที่จะคิดที่จะเชื่อว่านายกรัฐมนตรีคนนี้น่าจะรับรู้มาตั้งแต่ต้น

......................................

ณ ที่นี้ “เซี่ยงเส้าหลง” ไม่ขอบังอาจเปรียบเทียบสติปัญญาของตนเองกับท่านนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร ในการวิเคราะห์สถานการณ์บ้านเมือง และการอรรถาธิบาย Conspiracy Theory ว่าด้วยขบวนการโค่นล้มรัฐบาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่แสดงออกมาในรายการทางวิทยุครั้งล่าสุด

แต่ในฐานะคนข่าวที่ติดตามการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองมาทุกยุคทุกสมัยในรอบ 30 ปีมานี้

มี “บทเรียน” ที่ขอบังอาจ “บอกหนังสือสังฆราช” สักครั้งว่า ไม่ว่าขั้นตอนของการนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองนั้นจะอรรถาธิบายกันว่ามีกี่ขั้นตอนก็ตาม แต่ที่แน่นอนที่สุดคือ...

ขั้นตอนที่ยากที่สุดในกระบวนการขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองอยู่ที่ขั้นตอนที่ 1

“ทำให้ประชาชนเสื่อมศรัทธา”

ถ้าขั้นตอนที่ 1 เกิดขึ้นแล้ว กระบวนการขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองให้ไปสู่ขั้นตอนที่ 2, 3, 4, .... ไม่ยากแล้ว

ในบางสถานการณ์ ถึงไม่มีพลังใดขับเคลื่อนก็สามารถเดินหน้าไปได้เอง !

......................................

กระบวนการขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่เกิดขึ้น ณ วันนี้ ไม่เหมือนกระบวนการที่เกิดขึ้นเมื่อเดือนมิถุนายน – กรกฎาคม 2547 ที่นำโดยนายเอกยุทธ อัญชันบุตร และน.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ

ขออย่าให้ท่านนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร และบรรดา “ขันทีข้างกาย” นำไปพิจารณาว่าเป็นกรณีเดียวกัน

กระบวนการเมื่อเกือบ 1 ปีก่อนเกิดขึ้นโดยแกนนำที่มีพื้นฐานถูกสังคมตั้งข้อสงสัยในพฤติกรรม

ไม่ว่าจะเป็นนายเอกยุทธ อัญชันบุตรกับคดีที่ขาดอายุความไปแล้ว

ไม่ว่าจะเป็นน.ต.ประสงค์ สุ่นศิริที่เป็นที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีในรัฐบาลชุดที่แล้ว

และที่สำคัญที่สุดคือ – กระบวนการครั้งก่อนเกิดขึ้นก่อนที่จะมีการเลือกตั้งทั่วไปครั้งใหม่ในเวลาไม่กี่เดือน

ประชาชนยังคงรอได้

ประชาชนยังคงฝากความหวังไว้กับระบบรัฐสภา

แต่กระบวนการครั้งนี้เกิดขึ้นบนพื้นฐานที่แตกต่างกันในทุกประการ
ที่หนักหนาสาหัสที่สุดก็คือ – วิกฤตศรัทธาที่เกิดขึ้นในกระบวนการครั้งนี้นั้นเกิดขึ้นที่ศูนย์กลางอำนาจโดยตรง

เกิดขึ้นกับตัวนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร !

มิหนำซ้ำ กระบวนการที่เกิดขึ้นไม่ได้มีคนขับเคลื่อนเป็น “ขาประจำ” หรือ “ขาจร” ไม่มีนายเอกยุทธ อัญชันบุตร ไม่มีน.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ ไม่มีนายธีรยุทธ บุญมี ไม่มีนายเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง และไม่มีแม้แต่พรรคประชาธิปัตย์

กระบวนการที่เกิดขึ้นมีพื้นฐานมาจากการทำเรื่องง่าย ๆ ให้เป็นยากของนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตรเองโดยแท้

“กิ้งกือหกคะเมน”

คืออุปมาอุปไมยที่นำมาใช้กับกระบวนการขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองครั้งนี้

...................................

วิวัฒนาการของกระบวนการขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองครั้งนี้ สัมผัสของคนข่าวอย่าง “เซี่ยงเส้าหลง” ที่พบเห็นการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองมารทุกครั้งในรอบกว่า 30 ปีมานี้ อยากจะขอกราบเรียน ฯพณฯ นายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร มา ณ บรรทัดนี้ด้วยความเป็นห่วง ในฐานะกัลยาณมิตรที่ยังคงเป็นกัลยาณมิตรอยู่เสมอมาว่า ณ นาทีนี้....

“เครื่องติดแล้ว”

ลำพังคำพูดของนายกรัฐมนตรี ไม่ว่าจะหนักแน่นเพียงใด ไม่อาจดับเครื่องที่ติดแล้วนี้ได้

หากจะให้เปรียบเทียบวิถีชีวิตทางการเมือง กับวิถีชีวิตของผู้คนทั่วไป ผู้เฒ่าผู้แก่มักจะสั่งสอนลูกหลาน โดยเฉพาะที่เป็นผู้หญิงไว้ว่า....

“ลูกเอ๊ยหลานเอ๊ย อย่าให้ผู้ชายที่ไหนมาจับมือหนูง่าย ๆ นะ อย่าคิดว่าแค่จับมือเท่านั้น ไม่มีอะไร เพราะในความจริงแล้วถ้าเริ่มต้นจับมือได้ ทุกอย่างจะตามมาเอง....”

ในกระบวนการรักษาอำนาจทางการเมืองนั้น ปัจจัยแรกที่จะต้องรักษาให้มั่นคงที่สุดคือ...

อย่าให้ประชาชนเสื่อมศรัทธา

เพราะถ้าประชาชนเริ่มต้นเสื่อมศรัทธาเสียแล้ว เหตุการณ์อื่นปัจจัยอื่นจะตามมาในเวลาที่เร็วอย่างคาดไม่ถึงทีเดียว !

.......................................

คำพูดคำประกาศในรายการ “นายกทักษิณคุยกับประชาชน” เมื่อวันเสาร์ที่ 28 พฤษภาคม 2548 ของนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร โดยเฉพาะประโยคที่ว่ารอให้ถึงจังหวะเหมาะสมแล้วจะมาเล่าให้ฟังทุกเรื่องว่าใครขับเคลื่อนอะไรอยู่ เพราะอะไร แต่วันนี้จำต้องยอมอดทนยอมให้เย้ยหยันไปก่อนนั้น ในฐานะคนข่าวที่ติดตามการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองมาตั้งแต่ครั้งเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 อย่าง “เซี่ยงเส้าหลง” แล้ว

ทำให้นึกถึงภาพเก่า ๆ ของคนที่เคยมีอำนาจล้นฟ้าที่พอถูกรุกคืบจนหลังชนกำแพงแล้ว

คนไหนก็คนนั้น – ไม่พ้นที่จะใช้มุกนี้

ท่านนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตรที่รัก -- ท่านไม่ใช่คนแรกที่เป็นผู้ทรงอำนาจมหาศาลในบ้านนี้เมืองนี้ ที่เมื่อไม่สามารถให้คำตอบประชาชนในคำถามที่ประชาชนสงสัยได้แล้ว ก็เป็นต้องออกมุกเด็ดว่ามีขบวนการเสียผลประโยชน์รวมหัวกันโค่นล้ม

ไม่เชื่อ “เซี่ยงเส้าหลง” ก็ไม่เป็นไร นายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตรลองสอบถาม “คนเดือนตุลา” ใกล้ตัวดูก็ได้

ถ้าเขาตอบคนละอย่างกับที่กล่าวมานี้ ก็แสดงว่า “คนเดือนตุลา” คนนั้นเป็นนักต่อสู้จอมปลอม เป็นคนที่ไม่ต่างกับนักการเมืองทั่ว ๆ ไปที่ติดยึดอยู่แต่กับอามิสนานาประการ มีความสุขอยู่กับลาภยศสรรเสริญไปวัน ๆ ลืมเพื่อนที่ตายไปบนถนนราชดำเนินและในชนบทและป่าเขาทั่วประเทศในช่วงระหว่าง 25 – 32 ปีก่อนไปเสียแล้ว

............................................

เหตุการณ์ในเดือนพฤษภาคม 2548 เกิดจากเรื่องที่ไม่ควรจะ “เป็นเรื่อง” ทั้งนั้น

ข้อกล่าวหาว่าด้วยการทุจริตต่าง ๆ นั้น ถ้านายกรัฐมนตรีคนนี้สนใจและใส่ใจที่จะสอบถามเรื่องราวจาก “คนวงนอก” ที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับคณะรัฐมนตรี และอำนาจทางการเมือง ให้เขาเล่าให้ฟังสักนิด

เชื่อว่าระดับสติปัญญาของนายกรัฐมนตรี – จะสามารถ “จับประเด็น” ได้ในเวลาเพียงไม่เกิน 1 ชั่วโมง

แต่ความที่ท่านเป็นคนที่ชอบสอบถามแต่คนข้างตัว คนวงในอำนาจ ที่ล้วนสำเร็จดุษฎีบัณฑิตใน “วิชาขันที” มาแล้ว

ก็เลยทำให้นายกรัฐมนตรีได้แต่ความคิดเห็นด้านเดียว และข้อมูลด้านเดียว

กับกรณีทุจริตเครื่องตรวจจับระเบิดในสนามบินสุวรรณภูมิที่ยิ่งแก้ยิ่งยุ่งเป็น “ลิงพันแห” อยู่ในขณะนี้นั้น ถ้าเมื่อตอนที่ท่าเพิ่งเดินทางกลับจากต่างประเทศ ให้สัมภาษณ์ในวันรุ่งขึ้นแต่เพียงสั้น ๆ ทำนองว่า...

“เพื่อความโปร่งใสในเรื่องนี้ เพื่อความสบายใจของสังคม ผมมีความจำเป็นที่จะต้องขอร้องให้ท่านรัฐมนตรีสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจพักงานในตำแหน่งรัฐมนตรีไว้ชั่วคราวก่อน ในขณะที่ผมจะตั้งคณะกรรมการอิสระขึ้นเพื่อดำเนินการสอบสวนเรื่องนี้ในทันที...”

แค่นี้ – เชื่อไหมว่าเรื่องจะจบโดยพื้นฐานทันที

น่าประหลาดใจมากที่เรื่องง่าย ๆ แค่นี้ท่านนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตรของเราทำไม่ได้

ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าผีห่าซาตานตนใดมาเข้าสิงนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตรไม่ให้พูดประโยคง่าย ๆ ข้างต้นออกมา

หรืออย่างกรณีทุจริตกล้ายางพาราที่มีพฤติกรรมโกง 3 ชั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งโกงพี่น้องเกษตรกรที่เป็นคนจนและคนไร้โอกาส และมีลักษณะเป็นการทุจริตเชิงนโยบาย ที่มีความสัมพันธ์กับบริษัทเอกชนยักษ์ใหญ่ทางอุตสาหกรรมการเกษตรอย่างซีพี แทนที่นายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตรจะตอบคำถามด้วยการพูดในลักษณะที่ว่า...

“ผมจะพยายามตรวจสอบข้อเท็จจริงโดยเร็วที่สุด และดูว่ารัฐมนตรีคนไหนอยู่ในข่ายต้องรับผิดชอบ ผมจะดำเนินการในเชิงบริหารอย่างจริงจัง ตามหลักการที่ได้ให้ค่ำมั่นกับพี่น้องประชาชนไว้ ส่วนกรณีซีพีนั้น ผมก็จะดำเนินการตรวจสอบอย่างจริงจัง ถ้าเป็นจริงอย่างที่กล่าวหากันมา ผมจะแบล็กลิสต์บริษัทนี้ทันที”

แต่นอกจากจะไม่พูดเช่นนี้แล้ว ท่านนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตรยังพูดอย่างระมัดระวังไม่ให้กระทบกระเทือนใคร จนเป็นเหตุให้มีการตีความคำพูดของท่านว่า...

ปกป้องซีพี !

ผลคืออะไร ?

ผลก็คือทำให้ประชาชนที่เคยสงสัยมาตลอดถึงความสัมพันธ์ระหว่างท่านนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร กับซีพี เหตุไฉนจึงเสมือนเกินระดับปกติ ขนาดปรับคณะรัฐมนตรีกี่ครั้งต่อกี่ครั้ง อย่างไรเสียก็ต้องมีคนที่มีสัมพันธ์ใกล้ชิดกับซีพีร่วมเป็นรัฐมนตรีด้วยอย่างน้อย 1 คนทุกครั้งไป !

หรือว่าซีพีคือ “หุ้นส่วนทางการเมือง” ที่จะขาดเสียมิได้

อ้าว ก็ไหนว่าพรรคการเมืองของท่านนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตรไม่ต้องการให้ใครมาบริจาคไงล่ะ ก็ไหนว่าท่านมีเงินมากพอแล้วจึงขอแต่เพียงให้รัฐมนตรีทุกคนตั้งใจทำงานให้ดีที่สุดไงล่ะ ไม่ติดกับโควตาไงล่ะ

คนที่สนใจในเรื่องเหล่านี้ที่ไม่ใช่ “ขาประจำ” แต่ “ความจำดี” จะเริ่มรื้อฟื้นความทรงจำในรอบ 4 – 6 ปีนี้ขึ้นมาทีละช็อตทีละฉาก

แล้วสรุปว่า – สิ่งที่ “นายกรัฐมนตรีพูด” กับสิ่งที่ “นายกรัฐมนตรีทำ” นั้นตรงกันข้ามกันหมด !

นี่แหละคือ “วิกฤตศรัทธา” อันเป็นขั้นตอนที่ 1 ที่สำคัญที่สุดของกระบวนการขับเคลื่อนการเปลียนแปลงทางการเมืองทุกยุคทุกสมัย

..................................

แม้แต่กรณีที่ไม่น่าจะเกี่ยวกันเลยอย่างกรณีของคุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกาก็เช่นกัน

การที่นายเสนาะ เทียนทอง และส.ส.รวม 60 คน ไปยื่นเรื่องต่อประธานวุฒิสภาเมื่อวันพุธที่ 25 พฤษภาคม 2548 ที่ผ่านมานั้น สิ่งที่นายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตรทำให้เพียงประการเดียวคือ...

“สงบ”

หรือถ้าจะต้องออกความเห็น ก็ควรจะเพียงในลักษณะที่ว่า...

“ส.ส.แต่ละคนมีวิจารณญาณของเขาเอง ต้องปล่อยให้เขาทำไป”

แต่นอกจากจะไม่สงบ และออกมาวิจารณ์ว่าไม่เหมาะ ไม่ควร แล้วเรียกส.ส.ที่ร่วมลงนามเข้าไปตำหนิ จนเป็นเหตุให้เกิดการถอนชื่อในวันต่อมา เป็นเรื่องที่เข้าใจไม่ได้จริง ๆ

มันช่วยไม่ได้ที่สังคมจะเริ่มเข้าใจว่านายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตรเห็นดีเห็นงามไปกับการลงมติของวุฒิสภาเมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม 2548
หรืออาจจะเลยเถิดไปเป็นเชื่อว่ามี ขบวนการกังฉินวางแผนโค่นล้มคุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา โดยพยายามในทุกวิถีทาง ไม่เว้นแม้แต่วิถีทางที่ล่อแหลมต่อการละเมิดพระราชอำนาจพระมหากษัตริย์

และสำคัญที่สุด -- นายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตรไม่ได้แสดงออกถึงความพยายามที่จะขัดขวางและหยุดยั้งขบวนกังฉินของแผ่นดิน

ยิ่งเมื่อสาวลึกลงไปจะพบว่าการตรวจสอบของคุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกาในช่วง 2 ปีที่ผ่านมานั้น ไปกระทบกระเทือนกับโครงการหลายโครงการ ทั้งที่เป็นข่าวฉาวโฉ่ในตอนนี้ และทั้งที่เงียบหายไป

รวมทั้งกรณีทุจริตกล้ายางพารา

..........................................

นี่แหละที่ “เซี่ยงเส้าหลง” กล่าวเปรียบเทียบในตอนต้นว่า....

“เปิดหน้าให้ชก”

..........................................

นี่ยังไม่รวมพฤติกรรมอื่น ๆ ของนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตรที่สวนทางกับคำพูด

“ผมจะทำให้พรรคไทยรักไทยเป็นสถาบัน”

แต่อะไรเกิดขึ้นกับการประชุมคณะรัฐมนตรีนัดพิเศษที่บ้านพิษณุโลกเมื่อวันพุธที่ 25 พฤษภาคม 2548 และการประชุมแกนนำพรรคไทยรักไทยครั้งอื่น ๆ ในรอบ 2 – 3 ปีมานี้

คุณหญิงพจมาน ชินวัตร มาร่วมปรากฏตัวด้วย !

ถัดจากนั้นมาอีก 3 วัน ในการประชุมคณะรัฐมนตรีนัดพิเศษที่หอประชุมกองทัพเรือ

นายบุญคลี ปลั่งศิริ มาร่วมด้วย !

ซึ่งเมื่อไปรวมกับพฤติกรรมแสดงอาการกราดเกรี้ยวใส่ส.ส.ที่ไปร่วมลงชื่อกับนายเสนาะ เทียนทองในช่วงเวลาใกล้ ๆ กัน การไม่พอใจนายประมวล รุจนเสรีที่เขียนหนังสือ “การใช้อำนาจเป็นธรรมชาติของมนุษย์” และทำให้คนที่ถูกไม่พอใจต้องพ้นจากตำแหน่งรองหัวหน้าพรรคไทยรักไทยไปในเวลาต่อมา

และ ฯลฯ

มันทำให้คนทั่วไปที่แม้ไม่ใช่ “ขาประจำ” แต่บังเอิญ “ความจำดี” อดสงสัยไม่ได้ว่า...

ที่นายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตรกล่าวว่าจะทำให้พรรคไทยรักไทยเป็น “สถาบัน” นั้น

“สถาบัน” อะไรกันแน่ ?

“สถาบันการเมือง”, “สถาบันธุรกิจ” หรือ “สถาบันครอบครัว” ??

..........................................

การเมืองคือการต่อสู้ทางความคิด

โดยมีปฏิบัติการต่าง ๆ เป็นตัวขับเคลื่อน

ประชาชนคนดูเป็นกรรมการ

เมื่อฝ่ายหนึ่งเปิดการ์ด เปิดหน้าให้คู่ต่อสู้ชก ไม่ว่าจะเพราะผีห่าซานตานตนใดเข้าสิงก็ตาม

แล้วจู่ ๆ มาร้องแรกแหกกระเชอกับกรรมการว่า มีประชาชนคนดูบางคนบางกลุ่มช่วยคู่ชกฝ่ายตรงกันข้าม

มันไม่ทำให้สถานภาพของคน ๆ นั้นดีขึ้นเลยแม้แต่น้อย !

............................................

ในท่ามกลางเสียงข้างมากเด็ดขาดของพรรคไทยรักไทยขณะนี้ อาจกล่าวได้ว่าความรู้สึกของประชาชนต่อพรรคไทยรักไทยมีอยู่ 3 กลุ่มด้วยกัน

กลุ่มที่ 1 เป็นพรรคไทยรักไทย 100 เปอร์เซ็นต์ จะพูดอย่างไร เสนออย่างไร เห็นเป็นถูกต้องไปหมด ทุกพรรคการเมืองย่อมต้องมีคนประเภทนี้

กลุ่มที่ 2 เป็นกลุ่มที่ไม่เอาพรรคไทยรักไทย จะพูดอย่างไร เสนออย่างไร เป็นหาช่องโจมตีในเชิงลบได้หมด

กลุ่มที่ 3 เป็นกลุ่มที่นิยมนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตรจากการทำงาน วิสัยทัศน์ และคำมั่นสัญญาต่าง ๆ

คนกลุ่มที่ 3 นี่แหละที่กำลังเริ่มเปลี่ยนแปลงทัศนคติอย่างใหญ่หลวง

ซึ่ง “เซี่ยงเส้าหลง” ก็รวมอยู่ในคนกลุ่มนี้

นายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตรจะทำอย่างไรกับคนกลุ่มที่ 3 นี้

กล่าวหาพวกเขาว่าเป็นขบวนการล้มล้างรัฐบาล อันเท่ากับขับไส่ไล่ส่งพวกเขาออกไปกระนั้นหรือ

ถ้าท่านทำเช่นนี้ – ก็ให้ระวังว่าขั้นตอนในกระบวนการขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองจะยกระดับขึ้นสู่ขั้นตอนที่ 2 โดยพลัน

....................................................

ที่ “เซี่ยงเส้าหลง” ถือโอกาส “จับเข่าคุย” กับท่านนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตรมาทั้งหมดนี้ก็เพราะเหตุผลเดียว

“รัก”

ไม่สบายใจอย่างยิ่งที่เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวงในตัวคนที่เรารัก หลังจากฟังรายการนายกทักษิณคุยกับประชาชนเมื่อวันเสาร์ที่ 28 พฤษภาคม 2548

จึงขอป้อนยารักษาโรคให้

ต้องไม่ลืมว่า...ยาที่มีประสิทธิภาพสูงสุดคือ “ยาขม”

ไม่ใช่ “น้ำผึ้งผสมยาพิษ” ที่บรรดาขันทีข้างกายหยิบยื่นป้อนให้ทุกวัน !








Posted by : dk , E-mail : (dk@hotmail.com) ,
Date : 2005-05-30 , Time : 12:51:27 , From IP : 172.29.1.209


ความคิดเห็นที่ : 1


    ทักษิณ... ไม่ฉลาด... โง่อีกต่างหาก แต่คิดว่าตัวเองฉลาด...> สุดท้ายตกเป็นทาส นักการเมือง และนักธุรกิจ รวมทั้งภรรยาตัวเอง ที่รวมหัวกันกินบ้านกินเมือง
คนไทยไม่โง่เพียงแต่เก็บเงียบเพื่อรักษาแผลที่บวมช้ำ จากภัยเศรฐกิจ IMF


Posted by : รักไทย , Date : 2005-05-30 , Time : 13:42:39 , From IP : 172.29.1.245

ความคิดเห็นที่ : 2


   ผมคิดว่าเขาฉลาดนะครับ
แต่ลำพองไปหน่อย


Posted by : bfy , Date : 2005-05-30 , Time : 16:44:06 , From IP : 172.29.4.36

ความคิดเห็นที่ : 3


   ประชาธิปัตย์จงเจริญ ... เย้

Posted by : 55555 , Date : 2005-05-30 , Time : 18:49:51 , From IP : 203.113.71.107

ความคิดเห็นที่ : 4


   
ผมชอบคำว่า ขันทีข้างกาย ถ้าใครอ่าน 3ก๊กจะนึกภาพออกชัดเจน

พวกขันทีประจบสอพลอและคดโกงรายงานเจ้านายแต่สิ่งดีปิดบัง

สิ่งร้าย ใครต่อต้านก็โดดฆ่าจนบ้านเมืองวุ่นวายแตกเป็น 3ก๊ก

ภาคใต้เราก็ 800ศพแล้วและจะยังไม่รู้อีกในอนาคต

สงสารแต่ทหารตำรวจที่ต้องรบกับประชาชน

ท่านนายกก็ยังยิ้มเพราะท่านรับรายงานแต่สิ่งดีๆ

แล้วในอนาคตด้ามขวานมิกุดไปหรือครับท่าน



Posted by : อินทรีย์ , Date : 2005-05-30 , Time : 23:47:07 , From IP : 172.29.7.110

ความคิดเห็นที่ : 5


   พิษภัยจากการบริหารบ้านเมืองแบบบริษัทคนกลาง ขณะนี้มีผลเด่นชัดขึ้น ผลจากการใช้งบประมาณอย่างฟุ่มเฟือยของรัฐบาล ทำให้สินค้าจำเป็นต่างๆราคาแพงมาก ตั้งแต่มีสมัยทักษิณ 2 ของขึ้นราคาทุกเดือน รวมทั้งราคาน้ำมันที่ไม่เป็นธรรม หนี้สินของประเทศที่กระจายสู่ชาวบ้าน ชนบท เพิ่มมากขึ้นเป็น 2-3 เท่าตัว

แล้วเราจะหยุดได้อย่างไร......


Posted by : รักไทย , Date : 2005-05-31 , Time : 08:41:24 , From IP : 172.29.1.245

ความคิดเห็นที่ : 6


    คุณ 55555 เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับพรรคประชาธิปัตย์ นะคะ


Posted by : คนใต้ , Date : 2005-05-31 , Time : 09:35:30 , From IP : 172.29.3.110

ความคิดเห็นที่ : 7


   คุณทักษิณป็นคนฉลาดและถึงพร้อมทั้งเงินทองและอำนาจ สิ่งที่ขาดอยู่อย่างมากคือจริยธรรมทั้งในขั้นพื้นฐานและขั้นที่ผู้ปกครองประเทศควรมี คนแบบนี้คงจบลงแบบผู้นำประเทศหลายๆคนที่ในที่สุดไม่มีแผ่นดินให้ซุกหัวนอน

Posted by : คนปลอดการเมือง , Date : 2005-05-31 , Time : 12:53:10 , From IP : 172.29.3.198

ความคิดเห็นที่ : 8


   นี่ยังไม่รวมพฤติกรรมอื่น ๆ ของนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตรที่สวนทางกับคำพูด

“ผมจะทำให้พรรคไทยรักไทยเป็นสถาบัน

ฝันไปเถอะ ทักษิน สถาบัน ไทยรักไทย ใช้รีเฟลกไหนคิดวะ

เป็นเพราะคนไทยมองคนในแง่ดีเกินไป คนจันไรจิง เจริญ


Posted by : hate TRT , Date : 2005-05-31 , Time : 20:22:50 , From IP : 172.29.4.216

ความคิดเห็นที่ : 9


   ลองตามไปอ่านที่นี่ดู วิเคราะห์ได้ชัดดี

http://www.pantip.com/cafe/rajdumnern/topic/P3510735/P3510735.html



Posted by : คนไทย , Date : 2005-06-01 , Time : 17:11:59 , From IP : 172.29.3.152

ความคิดเห็นที่ : 10


   อยากได้รายละเอียด หนังสือ "การใช้อำนาจเป็นธรรมชาติของมนุษย์"
ว่าสั่งซื้อได้จากที่ไหนค่ะ
ขอบคุณค่ะ


Posted by : รัตนี , E-mail : (w_warang@yahoo.com) ,
Date : 2005-08-10 , Time : 11:21:44 , From IP : 210.246.160.2


ความเห็นจาก Social Network : Facebook


สงวนสิทธิ์การแสดงความคิดเห็นสำหรับ สมาชิกเท่านั้น
>>>>> Page loaded: 0.008 seconds. <<<<<