ความคิดเห็นทั้งหมด : 45

Debate XXI: ถ้าสามารถฆ่าคนหมดโลกโดยไม่เจ็บปวดทรมาณ เป็นหนทางในการ "ดับทุกข์" หรือไม่?


   ถ้าใครต้องการจะรวมสิ่งมีชีวิตอื่นก็ได้นะครับ คำถามจะเป็น concept เดิม ชีวิตนั้นเป็นทุกข์จริงหรือไม่? ถ้ากระนั้นหมดชีวิต หมดวงจรเกิดชีวิต ก็น่าจะดี จริงหรือเปล่า?

ใครสนใจปรัชญา อภิปรัชญา หรือกระยาสารท เชิญร่วมบรรเลงเลยนะครับ กติกาเดิม be nice. be civilized



Posted by : Phoenix , Date : 2003-05-18 , Time : 16:56:28 , From IP : 172.29.3.230

ความคิดเห็นที่ : 1


   ผมเคยอ่านจากหนังสือเล่มหนึ่ง....จำไม่ได้แล้วว่าเล่มไหน....ตัวละครตัวหนึ่งพูดกับอีกตัวหนึ่งว่า....." ในโลกนี้ไม่เคยมีอะไรเสมอภาค.....ทุกคนย่อมต่างกันทั้งนั้น..ไม่ว่าจะร่ำรวย...ยากจน...สวยงาม หรือ อัปลักษณ์...หรือแม้แต่โง่เขลาหรือฉลาดเฉลียว.....แต่มีเพียงสิ่งเดียวที่ทำให้คนเราเสมอภาคกัน...ไม่ว่าจะอยู่ในสถานะหรือภาวะอันใด......สิ่งนั้นคือ ความตาย...."
.....ถามผมว่าการมีชิวิตเป็นทุกข์หรือไม่.....ผมเชื่อว่าใช่...แต่การตายช่วยให้สิ้นทุกข์งั้นหรือ?......ผมว่าไม่หรอกมั้ง....จริงอยู่ที่บางครั้งการมีชิวิตอยู่อย่างเจ็บปวดและทรมาน...มันแย่เสียยิ่งกว่าตาย...ตายแล้วอาจจะหมดเรื่องกัน....ไม่ต้องมานั่งทนอะไรอีก......แต่จริงหรือ...?.....เราตายแล้วจบหรือเปล่า....ถ้าผมต้องเลือกว่าการอยู่อย่างทรมานโดยไม่สามารถมีชิวิตอยู่อย่างเป็นสุขได้ในแต่ละวัน....ต้องมานั่งเป็นทุกข์กับเรื่องไม่เป็นเรื่องกับตายเสียให้หมดเรื่อง......ผมเลือกที่จะอยู่ต่อโดยที่ไม่สนว่าจะต้องเจ็บปวดไปอีกแค่ไหน...เพราะความเจ็บปวดเป็นส่วนหนึ่งของการมีชิวิต....ผมเชื่อว่าไม่มีใครที่มีชิวิตโดยไม่เจอความทุกข์เลย....ทุกคนเคยต้องเจ็บปวดและเสียใจมาทั้งนั้น....ผมไม่ค่อยเชี่ยวชาญในด้านหลักธรรมเท่าใดนัก...ไม่รู้ว่าตายแล้วสิ้นทุกข์จริงหรือไม่.....แต่ผมเกิดมาแล้ว....ผมจะอยู่ต่อ...และไม่เชื่อว่าตายจะให้อะไรมากกว่าการสูญสิ้น....การมีชีวิตมีอะไรที่น่าทำอีกมากมาย...ผมเคยได้ยินมาว่าการเกิดมาเป็นการใช้กรรมเมื่อชาติก่อน.....ผมไม่รู้หรอกว่าชาติก่อนมีหรือไม่....และผมทำอะไรไว้.....แต่ผมเชื่อว่าชีวิตที่มีอยู่นี้ไม่ใช้สิ่งไร้ค่า....ที่คำว่าความตาย....สิ่งที่ทำให้คนเสมอภาคจะมาน่าสนใจกว่า.....ถ้าให้ผมต้องตาย...ผมคงไม่ตายไปง่ายๆโดยที่ไม่มีค่าหรือความหมายอะไร....หรือตายเพื่อที่จะจบอะไรสักอย่าง.....ขอโทษนะครับที่ต้องบอกว่าผมไม่เชื่อว่าตายแล้วจะสิ้นทุกข์จริง....เพราะไม่มีอะไรพิสูจน์ได้....แต่ผมเชื่อว่าการมีชิวิตอย่างมีคุณค่านั้นสำคัญมากกว่าการอยู่ไปวันๆหรือตายให้มันจบๆ.....:D...:D
....:D....ขอโทษนะครับไม่รู้จะอ้างหลักธรรมอะไร....เพราะผมไม่ค่อยมีความรู้ครับ....:D...:D......ความเห็นจานว่าไงหละครับ?...:D...:D


Posted by : Death , Date : 2003-05-18 , Time : 18:18:24 , From IP : 172.29.3.209

ความคิดเห็นที่ : 2


   น่าสนใจครับ อย่างที่ว่าเราน่าจะมีอะไรเหลือให้ทำบ้าง นั่นคือคุณค่าใช่ไหมครับ ถ้าโลกนี้ไม่มีสิ่งมีชีวิตเหลือซะแล้ว จะนับเป็น job is finished ได้หรือไม่ล่ะครับ? ไม่มีคนเจ็บป่วย ไม่มีคนเกิดแก่ตายอีกต่อไป โรงพยาบาล โรงหนัง โรงละคอน จรอยธรรม ไม่ต้องมีทั้งสิ้นเพราะไม่มีคน "ผิด" จริยธรรม รวมทั้งไม่มีคน "ถูก" จริยธรรมด้วย ไม่มีคนเลวและก็ไม่มีคนดี



Posted by : Phoenix , Date : 2003-05-18 , Time : 20:43:19 , From IP : 172.29.3.230

ความคิดเห็นที่ : 3


   ว่างอันธพาลครับ

มีหลายลัทธิในอินเดียก่อนสมัยพุทธกาลที่มีแนวคิดแบบนี้

เรื่องนี้อาจตัดสินได้แม้มโนสำนึก



Posted by : Immanuel Kant , Date : 2003-05-18 , Time : 22:17:27 , From IP : netturbo5.cscoms.com

ความคิดเห็นที่ : 4


   จะรังเกียจไหมครับถ้าขอให้ช่วยขยายความอีกสักนิด ขอบคุณครับ



Posted by : Phoenix , Date : 2003-05-18 , Time : 22:24:25 , From IP : 172.29.3.230

ความคิดเห็นที่ : 5


   ขออนุญาตร่วมแสดงความคิดด้วยคนนะครับ
ก่อนอื่นผม(มอง)ว่าการเกิดขึ้นของมนุษย์นั่นเป็นความคล้องจองและเหมาะสมในของมิติอยู่แล้วคือ มีspace state &time ดังนั้นการดำรงค์อยู่ของเผ่าพันธุ์มนุษย์ จึงป็นเรื่องที่ สามารถจะ เกิดได้ต่อไป แต่ต้องการการปรับเปลี่ยน การมองหาทางดับทุกข์นั้นเป็นเรื่องที่ดีครับแต่ผมมองว่าถ้าสมมติเราตายกันหมดแน่นอนครับตอนนั้นเราคงไม่รู้สึกตัวแล้ว แต่ เราเคยสังเกตไหมครับว่า เมื่อใครสักคนหนึ่งตายไป space state &time ของเขายังคงอยู่ และยังคงดำเนินไปเรื่อยๆ โดยไม่ต้องการเขาเลย(หมายถึงเขาตายแค่คนเดียวนะ) ผมเป็นคนหนึ่งที่สนใจการศึกษาเรื่องมิติมากๆครับ รู้สึกว่าจะเคยได้ยินว่า(จำชื่อคนพูดไม่ได้) "การดำรงอยู่ของระบบ จะต้องประกอบด้วยมิติที่มีการดำเนินอยู่ตลอด ผมว่าเราเองก็เป็นส่วนหนึ่งของมิติ ก็คือมิติของ state หรือถานะของมนุษย์ นั่นเองถ้าขาดเราไป จะเกิดอะไรขึ้นครับ? ระบบก็จะขาดมิติ ไปหนึ่งมิติ อาจจะทำใหเกิดการแกว่งกวัดของมิติ เวลา มิติ space คงจะยุ่งน่าดูเลยครับ สมมติว่า มิติ ของ space และ time นั้น ก็มีสิ่งที่สามารถรับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงได้เหมือนๆกับที่มนุษย์เราสามารถรับรู้ได้ถึงการเปลี่ยนแปลงในมิติของมัน เราอาจจะเป็นคนหนึ่งที่ทำให้มิติ ื่นๆ เปลี่ยนแปลงไปและเกิดความวุ่นวายในอีกหลายๆ มิติ อื่มๆๆๆ ผมหมายถึง ถ้าเวลาที่เราเห็นๆกันอยู่มันเกิด อยากจะกระโดจาก บ่าย 2 โมง ไป 5 โมง เพราะส่วนหนึ่งของเวลาตั้งแต่บ่าย 2 โมง 1 นาที ถึง บ่าย 4 โมง 59 อยากดับทุกข์เหมือนเราเย็น เราก็ยุ่งยาก วุ่นวาย หรือถ้าอยู่ รถเก๋งของเราจะยุบเล็กลงเราก็วุ่นวายอีก คือผจะพูดไงดีครับ เอาเป็นว่าที่เป็นอยู่ปัจจุบันนี้ มัน ก็เป็นกลไกที่เหมาะสมในมุมหนึ่งแล้ว แต่การพ้นทุกข์เนี่ยสิ ..ผมว่าถ้าเราเบื่อทุกข์ในมิตินี้ ทำไมไม่ลอง หาความสุข จากอีกมิติ ที่มีอีกหลากหลาย นับ ไม่ถ้วนดูล่ะครับ บางทีเราอาจจะ เจอมิติที่เหมาะสม กับเราแล้วแค่แวะไปเยี่ยมมันชั่วคราวโดยไม่ต้อง เกิดการดับสูญของมิติที่น่าอยู่อันนี้ก็ได้ เพราะผมเองก็ชอบมิติปัจจุบันนี้มาก


Posted by : I WILL GO PATTAYA , Date : 2003-05-18 , Time : 23:44:13 , From IP : 203.113.77.4

ความคิดเห็นที่ : 6


   ตราบใดที่ "มีเรา" ก็ "มีทุกข์" ครับ การขวนขวายหา "ความสุข" นั้นก็เป็นจุดเริ่มต้นแห่งความทุกข์แล้ว เพราะไม่มีสิ่งใดที่เป็นอมตะนิรันดร์กาลยกเว้น "การเปลี่ยนแปลง" ความสุขที่หามาได้ก็ deem ที่เราจะสูญเสียไปและเป็นทุกข์

ถ้า ชีวิตเป็นทุกข์แล้วไซร้ จะเกิดอะไรขึ้นถ้าชีวิตหาไม่อีกต่อไป ตั้งแต่ bacteria virus สิ่งมีชีวิตทุกชนิด จะเป็นการ "สิ้นสุดทุกข์อย่างแท้จริงหรือไม่? ถ้าไม่เพราะเหตุใด?



Posted by : Phoenix , Date : 2003-05-18 , Time : 23:56:29 , From IP : 203.155.144.46

ความคิดเห็นที่ : 7


   -ผมเป็นพุทธศาสนิกชน นับถือศาสนาพุทธ
-มีพระพุทธเจ้าเป็นแบบอย่างในการดำเนินชีวิตในโลก
-มีคำสอนของพระพุทธเจ้าเป็นแนวทางปฏิบัติและอ้างอิง( reference )
-นับถือพระสงฆ์ที่ปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้าและสอนคนอื่นอย่างถูกต้อง
-ไม่ไหว้พระสงฆ์เพียงเพราะเห็นว่าห่มผ้าเหลือง
-ไม่กราบไหว้ บูชาสิ่งก่อสร้างหรือประกอบพิธีกรรมต่างๆเพื่อหวังว่าจะได้ในสิ่งที่ตนต้องการ
มีความคิดเป็นของตัวเองดังนี้ ( ไม่ได้บอกว่านี่เป็นสิ่งที่ถูกต้องนะ ขอให้ใช้วิจารณญาณในการอ่านและขออภัยถ้าไปขัดกับความคิดของใคร )
-ถ้าเลือกได้คงเลือกทีจะไม่เกิดมา แต่ขอขอบคุณพ่อและแม่ที่เมื่อให้กำเนิดผมมาเเล้ว ตั้งใจเลี้ยงดูผม จนผมมีความรู้พอที่จะเลี้ยงตัวเองและมีเเนวทางที่จะปฏิบัติเพื่อจะไม่ต้องกลับมาเกิดอีก
-โลกนี้ไม่มีถูกหรือผิด ทุกคนมีสิทธิที่จะทำอะไรก็ได้ ( แต่การกระทำทีทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน มักจะนำความเดือดร้อนมาสู่ตัวผู้กระทำในที่สุด )
-วิธีปฏิบัติที่จะทำให้ไม่ต้องมาเกิดอีกคือ การสามารถทำให้จิตสงบนิ่ง ( Fig. 1 )

-------------------------------------------
เกิด ตาย
Fig.1 แสดงลักษณะของจิตที่หลุดพ้นเมื่อตาย

แต่การมีชีวิตอยู่ในโลกมันไม่ง่ายเหมือนเขียนรูปข้างต้น เพราะจะมีสิ่งที่จะมาทำให้รูปดังกล่าวเปลี่ยนแปลงไป ขออธิบายต่อดังนี้
กำหนดให้
1.รูปเส้นตรงข้างต้นเป็นสายยางที่ถูกดึงให้ตึง ( แทนจิตที่สงบ ไม่มีสิ่งมากระตุ้น )
2.สิ่งที่มากระตุ้นแล้วเรารู้สึกมีความสุข จะดึงสายยางดังกล่าวขึ้น
3.สิ่งที่มากระตุ้นแล้วทำให้เรามีความทุกข์ จะดึงสายยางดังกล่าวลง
จะเห็นว่า ไม่ว่าอะไรจะมากระตุ้น สุดท้ายแล้วสายยางดังกล่าวจะมีการเปลี่ยนแปลงทั้งสิ้น ถ้าสิ่งที่มากระตุ้นนั้นทำให้เกิดความทุกข์ แน่นอนเราไม่ปรารถนา แต่สิ่งกระตุ้นที่เรารู้สึกว่า มีความสุขนะ เราชอบ อยากได้เยอะๆ มันทำให้เกิดความทุกข์ตรงไหน ขี้จุ๊หรือเปล่า ขอตอบว่าไม่ได้ขี้จุ๊นะ ลองนึกภาพของสายยางที่ถูกดึงให้ตึงแล้วดึงขึ้นสิ จากนั้นเราก็ปล่อยมือ ( เปรียบได้กับความสุขได้หายไปแล้ว ) สายยางก็จะดีดลงมา และมีโอกาสที่จะเคลื่อนผ่านจุดเดิมของมันลงมาด้านล่าง ซึ่งเราบอกแล้วว่าด้านล่างคือความทุกข์นั่นเอง
เรามีโอกาสเกิดความทุกข์( สภาพจิตเปลี่ยนไปจากเส้นตรง )เมื่อ
1.ประสบกับสิ่งที่กระตุ้นให้เกิดความทุกข์
2.พลัดพรากจากสิ่งที่ทำให้เกิดความสุข
3.พลัดพรากจากสิ่งที่ทำให้เกิดความสุขแล้วยังมาเจอกับสิ่งที่ทำให้เกิดความทุกข์ ( สถานการณ์นี้มีโอกาสทำให้เกิดความทุกข์มากที่สุด )
ตัวอย่างเช่น
วันนี้ต้องอยู่เวร(สายยางโดนดึงลง)อีกแล้ว ไม่อยากอยู่เลย แต่ไม่เป็นไร อาจจะไม่หนักมากก็ได้ ( กลับสู่ภาวะปกติ ) ประมาณ 03.00 ระหว่างที่นอนเพลินๆ(สายยางโดนดึงขึ้นโดยไม่รู้ตัว)อยู่นั้น เสียง ว. ก็ดังขึ้น "471 จาก 750 ว.2" โชคดีที่คุมสติได้ สายยางจึงค่อยๆลดลงมาหยุดที่ สภาพเดิมเหมือนก่อนโดนกระตุ้นพอดี เลยตอบไปว่า " ว.2 ครับ " 750 ก็พูดต่อ " ว.13 1700 ด้วยค่ะ " 471 ก็ตอบว่า " ว.2" จากนั้นก็โทรศัพท์ไป เสียงในโทรศัพท์บอกว่ามี case consult ที่ ER แต่แพทย์เวร ER ยุ่งมาก จึงไม่สามารถมาเล่าประวัติได้ รบกวน 471 ลงมาดูให้หน่อย471จึงลงไปดูคนไข้ทันที เมื่อลงไปถึงก็ถามว่า "case ไหนครับที่ consult ศัลย์"
พยาบาลก็บอกว่า "อ๋อ เป็น case ของ neuro ค่ะ, consult neuro แล้วตั้งแต่เมื่อวาน เป็น case mild head injury ค่ะ, พอดี observe N/S ครบ 24 ชม. แล้วไม่รู้ว่าจะให้กลับบ้านได้หรือยัง รบกวน471 ถาม 491 หน่อยได้ไหมคะ?" เท่านั้นเองสายยางที่เคยอยู่สงบนิ่ง ก็ถูกดึงลงจนลึกสุดๆ แทบจะขาด พร้อมด้วยถ้อยคำสรรเสริญพยาบาลท่านนั้นพรั่งพรูออกมา พอระบายจนพอใจก็เดินไปดูคนไข้ คนไข้อาการดีแล้วแต่บ้านอยู่ไกล ไม่มีรถกลับขอกลับตอนเช้า 07.00 471ก็เลยต้องไปสรรเสริญพยาบาลอีกรอบ....จบ
จะเห็นว่าในแต่ละวัน สายยางที่ถูกดึงให้ตึงมีโอกาส ถูกกระตุ้นได้หลายรอบ ถ้าสายยางคือจิต สายยางที่โดนดึงง่าย ก็จะเปรียบกับจิตที่ไม่ได้รับการฝึกนั่นเอง
การฝึกจิต การพยายามเข้าใจในสิ่งต่างๆ สามารถทำให้จิตเราสงบนิ่งได้นานขึ้น ต่อให้สิ่งนั้นจะทำให้มีความสุข เราก็ไม่เผลอไปกับมัน เมื่อสามารถจัดการกับสิ่งกระตุ้นได้ทุกครั้งไป ก็เหมือนกับทำข้อสอบผ่าน ไม่ต้องกลับมาเกิดใหม่เพื่อทำข้อสอบอีกครั้ง
ขอหยุดไว้แค่นี้ก่อนละกันนะครับ




Posted by : megumi , Date : 2003-05-19 , Time : 00:00:15 , From IP : 172.29.3.215

ความคิดเห็นที่ : 8


   -ผมเป็นพุทธศาสนิกชน นับถือศาสนาพุทธ
-มีพระพุทธเจ้าเป็นแบบอย่างในการดำเนินชีวิตในโลก
-มีคำสอนของพระพุทธเจ้าเป็นแนวทางปฏิบัติและอ้างอิง( reference )
-นับถือพระสงฆ์ที่ปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้าและสอนคนอื่นอย่างถูกต้อง
-ไม่ไหว้พระสงฆ์เพียงเพราะเห็นว่าห่มผ้าเหลือง
-ไม่กราบไหว้ บูชาสิ่งก่อสร้างหรือประกอบพิธีกรรมต่างๆเพื่อหวังว่าจะได้ในสิ่งที่ตนต้องการ
มีความคิดเป็นของตัวเองดังนี้ ( ไม่ได้บอกว่านี่เป็นสิ่งที่ถูกต้องนะ ขอให้ใช้วิจารณญาณในการอ่านและขออภัยถ้าไปขัดกับความคิดของใคร )
-ถ้าเลือกได้คงเลือกทีจะไม่เกิดมา แต่ขอขอบคุณพ่อและแม่ที่เมื่อให้กำเนิดผมมาเเล้ว ตั้งใจเลี้ยงดูผม จนผมมีความรู้พอที่จะเลี้ยงตัวเองและมีเเนวทางที่จะปฏิบัติเพื่อจะไม่ต้องกลับมาเกิดอีก
-โลกนี้ไม่มีถูกหรือผิด ทุกคนมีสิทธิที่จะทำอะไรก็ได้ ( แต่การกระทำทีทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน มักจะนำความเดือดร้อนมาสู่ตัวผู้กระทำในที่สุด )
-วิธีปฏิบัติที่จะทำให้ไม่ต้องมาเกิดอีกคือ การสามารถทำให้จิตสงบนิ่ง ( Fig. 1 )

-------------------------------------------
เกิด
Fig.1 แสดงลักษณะของจิตที่หลุดพ้นเมื่อตาย

แต่การมีชีวิตอยู่ในโลกมันไม่ง่ายเหมือนเขียนรูปข้างต้น เพราะจะมีสิ่งที่จะมาทำให้รูปดังกล่าวเปลี่ยนแปลงไป ขออธิบายต่อดังนี้
กำหนดให้
1.รูปเส้นตรงข้างต้นเป็นสายยางที่ถูกดึงให้ตึง ( แทนจิตที่สงบ ไม่มีสิ่งมากระตุ้น )
2.สิ่งที่มากระตุ้นแล้วเรารู้สึกมีความสุข จะดึงสายยางดังกล่าวขึ้น
3.สิ่งที่มากระตุ้นแล้วทำให้เรามีความทุกข์ จะดึงสายยางดังกล่าวลง
จะเห็นว่า ไม่ว่าอะไรจะมากระตุ้น สุดท้ายแล้วสายยางดังกล่าวจะมีการเปลี่ยนแปลงทั้งสิ้น ถ้าสิ่งที่มากระตุ้นนั้นทำให้เกิดความทุกข์ แน่นอนเราไม่ปรารถนา แต่สิ่งกระตุ้นที่เรารู้สึกว่า มีความสุขนะ เราชอบ อยากได้เยอะๆ มันทำให้เกิดความทุกข์ตรงไหน ขี้จุ๊หรือเปล่า ขอตอบว่าไม่ได้ขี้จุ๊นะ ลองนึกภาพของสายยางที่ถูกดึงให้ตึงแล้วดึงขึ้นสิ จากนั้นเราก็ปล่อยมือ ( เปรียบได้กับความสุขได้หายไปแล้ว ) สายยางก็จะดีดลงมา และมีโอกาสที่จะเคลื่อนผ่านจุดเดิมของมันลงมาด้านล่าง ซึ่งเราบอกแล้วว่าด้านล่างคือความทุกข์นั่นเอง
เรามีโอกาสเกิดความทุกข์( สภาพจิตเปลี่ยนไปจากเส้นตรง )เมื่อ
1.ประสบกับสิ่งที่กระตุ้นให้เกิดความทุกข์
2.พลัดพรากจากสิ่งที่ทำให้เกิดความสุข
3.พลัดพรากจากสิ่งที่ทำให้เกิดความสุขแล้วยังมาเจอกับสิ่งที่ทำให้เกิดความทุกข์ ( สถานการณ์นี้มีโอกาสทำให้เกิดความทุกข์มากที่สุด )
ตัวอย่างเช่น
วันนี้ต้องอยู่เวร(สายยางโดนดึงลง)อีกแล้ว ไม่อยากอยู่เลย แต่ไม่เป็นไร อาจจะไม่หนักมากก็ได้ ( กลับสู่ภาวะปกติ ) ประมาณ 03.00 ระหว่างที่นอนเพลินๆ(สายยางโดนดึงขึ้นโดยไม่รู้ตัว)อยู่นั้น เสียง ว. ก็ดังขึ้น "471 จาก 750 ว.2" โชคดีที่คุมสติได้ สายยางจึงค่อยๆลดลงมาหยุดที่ สภาพเดิมเหมือนก่อนโดนกระตุ้นพอดี เลยตอบไปว่า " ว.2 ครับ " 750 ก็พูดต่อ " ว.13 1700 ด้วยค่ะ " 471 ก็ตอบว่า " ว.2" จากนั้นก็โทรศัพท์ไป เสียงในโทรศัพท์บอกว่ามี case consult ที่ ER แต่แพทย์เวร ER ยุ่งมาก จึงไม่สามารถมาเล่าประวัติได้ รบกวน 471 ลงมาดูให้หน่อย471จึงลงไปดูคนไข้ทันที เมื่อลงไปถึงก็ถามว่า "case ไหนครับที่ consult ศัลย์"
พยาบาลก็บอกว่า "อ๋อ เป็น case ของ neuro ค่ะ, consult neuro แล้วตั้งแต่เมื่อวาน เป็น case mild head injury ค่ะ, พอดี observe N/S ครบ 24 ชม. แล้วไม่รู้ว่าจะให้กลับบ้านได้หรือยัง รบกวน471 ถาม 491 หน่อยได้ไหมคะ?" เท่านั้นเองสายยางที่เคยอยู่สงบนิ่ง ก็ถูกดึงลงจนลึกสุดๆ แทบจะขาด พร้อมด้วยถ้อยคำสรรเสริญพยาบาลท่านนั้นพรั่งพรูออกมา พอระบายจนพอใจก็เดินไปดูคนไข้ คนไข้อาการดีแล้วแต่บ้านอยู่ไกล ไม่มีรถกลับขอกลับตอนเช้า 07.00 471ก็เลยต้องไปสรรเสริญพยาบาลอีกรอบ....จบ
จะเห็นว่าในแต่ละวัน สายยางที่ถูกดึงให้ตึงมีโอกาส ถูกกระตุ้นได้หลายรอบ ถ้าสายยางคือจิต สายยางที่โดนดึงง่าย ก็จะเปรียบกับจิตที่ไม่ได้รับการฝึกนั่นเอง
การฝึกจิต การพยายามเข้าใจในสิ่งต่างๆ สามารถทำให้จิตเราสงบนิ่งได้นานขึ้น ต่อให้สิ่งนั้นจะทำให้มีความสุข เราก็ไม่เผลอไปกับมัน เมื่อสามารถจัดการกับสิ่งกระตุ้นได้ทุกครั้งไป ก็เหมือนกับทำข้อสอบผ่าน ไม่ต้องกลับมาเกิดใหม่เพื่อทำข้อสอบอีกครั้ง
ขอหยุดไว้แค่นี้ก่อนละกันนะครับ




Posted by : megumi , Date : 2003-05-19 , Time : 00:01:03 , From IP : 172.29.3.215

ความคิดเห็นที่ : 9


   -ผมเป็นพุทธศาสนิกชน นับถือศาสนาพุทธ
-มีพระพุทธเจ้าเป็นแบบอย่างในการดำเนินชีวิตในโลก
-มีคำสอนของพระพุทธเจ้าเป็นแนวทางปฏิบัติและอ้างอิง( reference )
-นับถือพระสงฆ์ที่ปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้าและสอนคนอื่นอย่างถูกต้อง
-ไม่ไหว้พระสงฆ์เพียงเพราะเห็นว่าห่มผ้าเหลือง
-ไม่กราบไหว้ บูชาสิ่งก่อสร้างหรือประกอบพิธีกรรมต่างๆเพื่อหวังว่าจะได้ในสิ่งที่ตนต้องการ
มีความคิดเป็นของตัวเองดังนี้ ( ไม่ได้บอกว่านี่เป็นสิ่งที่ถูกต้องนะ ขอให้ใช้วิจารณญาณในการอ่านและขออภัยถ้าไปขัดกับความคิดของใคร )
-ถ้าเลือกได้คงเลือกทีจะไม่เกิดมา แต่ขอขอบคุณพ่อและแม่ที่เมื่อให้กำเนิดผมมาเเล้ว ตั้งใจเลี้ยงดูผม จนผมมีความรู้พอที่จะเลี้ยงตัวเองและมีเเนวทางที่จะปฏิบัติเพื่อจะไม่ต้องกลับมาเกิดอีก
-โลกนี้ไม่มีถูกหรือผิด ทุกคนมีสิทธิที่จะทำอะไรก็ได้ ( แต่การกระทำทีทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน มักจะนำความเดือดร้อนมาสู่ตัวผู้กระทำในที่สุด )
-วิธีปฏิบัติที่จะทำให้ไม่ต้องมาเกิดอีกคือ การสามารถทำให้จิตสงบนิ่ง ( Fig. 1 )

-------------------------------------------
เกิด ตาย
Fig.1 แสดงลักษณะของจิตที่หลุดพ้นเมื่อตาย

แต่การมีชีวิตอยู่ในโลกมันไม่ง่ายเหมือนเขียนรูปข้างต้น เพราะจะมีสิ่งที่จะมาทำให้รูปดังกล่าวเปลี่ยนแปลงไป ขออธิบายต่อดังนี้
กำหนดให้
1.รูปเส้นตรงข้างต้นเป็นสายยางที่ถูกดึงให้ตึง ( แทนจิตที่สงบ ไม่มีสิ่งมากระตุ้น )
2.สิ่งที่มากระตุ้นแล้วเรารู้สึกมีความสุข จะดึงสายยางดังกล่าวขึ้น
3.สิ่งที่มากระตุ้นแล้วทำให้เรามีความทุกข์ จะดึงสายยางดังกล่าวลง
จะเห็นว่า ไม่ว่าอะไรจะมากระตุ้น สุดท้ายแล้วสายยางดังกล่าวจะมีการเปลี่ยนแปลงทั้งสิ้น ถ้าสิ่งที่มากระตุ้นนั้นทำให้เกิดความทุกข์ แน่นอนเราไม่ปรารถนา แต่สิ่งกระตุ้นที่เรารู้สึกว่า มีความสุขนะ เราชอบ อยากได้เยอะๆ มันทำให้เกิดความทุกข์ตรงไหน ขี้จุ๊หรือเปล่า ขอตอบว่าไม่ได้ขี้จุ๊นะ ลองนึกภาพของสายยางที่ถูกดึงให้ตึงแล้วดึงขึ้นสิ จากนั้นเราก็ปล่อยมือ ( เปรียบได้กับความสุขได้หายไปแล้ว ) สายยางก็จะดีดลงมา และมีโอกาสที่จะเคลื่อนผ่านจุดเดิมของมันลงมาด้านล่าง ซึ่งเราบอกแล้วว่าด้านล่างคือความทุกข์นั่นเอง
เรามีโอกาสเกิดความทุกข์( สภาพจิตเปลี่ยนไปจากเส้นตรง )เมื่อ
1.ประสบกับสิ่งที่กระตุ้นให้เกิดความทุกข์
2.พลัดพรากจากสิ่งที่ทำให้เกิดความสุข
3.พลัดพรากจากสิ่งที่ทำให้เกิดความสุขแล้วยังมาเจอกับสิ่งที่ทำให้เกิดความทุกข์ ( สถานการณ์นี้มีโอกาสทำให้เกิดความทุกข์มากที่สุด )
ตัวอย่างเช่น
วันนี้ต้องอยู่เวร(สายยางโดนดึงลง)อีกแล้ว ไม่อยากอยู่เลย แต่ไม่เป็นไร อาจจะไม่หนักมากก็ได้ ( กลับสู่ภาวะปกติ ) ประมาณ 03.00 ระหว่างที่นอนเพลินๆ(สายยางโดนดึงขึ้นโดยไม่รู้ตัว)อยู่นั้น เสียง ว. ก็ดังขึ้น "471 จาก 750 ว.2" โชคดีที่คุมสติได้ สายยางจึงค่อยๆลดลงมาหยุดที่ สภาพเดิมเหมือนก่อนโดนกระตุ้นพอดี เลยตอบไปว่า " ว.2 ครับ " 750 ก็พูดต่อ " ว.13 1700 ด้วยค่ะ " 471 ก็ตอบว่า " ว.2" จากนั้นก็โทรศัพท์ไป เสียงในโทรศัพท์บอกว่ามี case consult ที่ ER แต่แพทย์เวร ER ยุ่งมาก จึงไม่สามารถมาเล่าประวัติได้ รบกวน 471 ลงมาดูให้หน่อย471จึงลงไปดูคนไข้ทันที เมื่อลงไปถึงก็ถามว่า "case ไหนครับที่ consult ศัลย์"
พยาบาลก็บอกว่า "อ๋อ เป็น case ของ neuro ค่ะ, consult neuro แล้วตั้งแต่เมื่อวาน เป็น case mild head injury ค่ะ, พอดี observe N/S ครบ 24 ชม. แล้วไม่รู้ว่าจะให้กลับบ้านได้หรือยัง รบกวน471 ถาม 491 หน่อยได้ไหมคะ?" เท่านั้นเองสายยางที่เคยอยู่สงบนิ่ง ก็ถูกดึงลงจนลึกสุดๆ แทบจะขาด พร้อมด้วยถ้อยคำสรรเสริญพยาบาลท่านนั้นพรั่งพรูออกมา พอระบายจนพอใจก็เดินไปดูคนไข้ คนไข้อาการดีแล้วแต่บ้านอยู่ไกล ไม่มีรถกลับขอกลับตอนเช้า 07.00 471ก็เลยต้องไปสรรเสริญพยาบาลอีกรอบ....จบ
จะเห็นว่าในแต่ละวัน สายยางที่ถูกดึงให้ตึงมีโอกาส ถูกกระตุ้นได้หลายรอบ ถ้าสายยางคือจิต สายยางที่โดนดึงง่าย ก็จะเปรียบกับจิตที่ไม่ได้รับการฝึกนั่นเอง
การฝึกจิต การพยายามเข้าใจในสิ่งต่างๆ สามารถทำให้จิตเราสงบนิ่งได้นานขึ้น ต่อให้สิ่งนั้นจะทำให้มีความสุข เราก็ไม่เผลอไปกับมัน เมื่อสามารถจัดการกับสิ่งกระตุ้นได้ทุกครั้งไป ก็เหมือนกับทำข้อสอบผ่าน ไม่ต้องกลับมาเกิดใหม่เพื่อทำข้อสอบอีกครั้ง
ขอหยุดไว้แค่นี้ก่อนละกันนะครับ




Posted by : megumi , Date : 2003-05-19 , Time : 00:01:39 , From IP : 172.29.3.215

ความคิดเห็นที่ : 10


   -ผมเป็นพุทธศาสนิกชน นับถือศาสนาพุทธ
-มีพระพุทธเจ้าเป็นแบบอย่างในการดำเนินชีวิตในโลก
-มีคำสอนของพระพุทธเจ้าเป็นแนวทางปฏิบัติและอ้างอิง( reference )
-นับถือพระสงฆ์ที่ปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้าและสอนคนอื่นอย่างถูกต้อง
-ไม่ไหว้พระสงฆ์เพียงเพราะเห็นว่าห่มผ้าเหลือง
-ไม่กราบไหว้ บูชาสิ่งก่อสร้างหรือประกอบพิธีกรรมต่างๆเพื่อหวังว่าจะได้ในสิ่งที่ตนต้องการ
มีความคิดเป็นของตัวเองดังนี้ ( ไม่ได้บอกว่านี่เป็นสิ่งที่ถูกต้องนะ ขอให้ใช้วิจารณญาณในการอ่านและขออภัยถ้าไปขัดกับความคิดของใคร )
-ถ้าเลือกได้คงเลือกทีจะไม่เกิดมา แต่ขอขอบคุณพ่อและแม่ที่เมื่อให้กำเนิดผมมาเเล้ว ตั้งใจเลี้ยงดูผม จนผมมีความรู้พอที่จะเลี้ยงตัวเองและมีเเนวทางที่จะปฏิบัติเพื่อจะไม่ต้องกลับมาเกิดอีก
-โลกนี้ไม่มีถูกหรือผิด ทุกคนมีสิทธิที่จะทำอะไรก็ได้ ( แต่การกระทำทีทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน มักจะนำความเดือดร้อนมาสู่ตัวผู้กระทำในที่สุด )
-วิธีปฏิบัติที่จะทำให้ไม่ต้องมาเกิดอีกคือ การสามารถทำให้จิตสงบนิ่ง ( Fig. 1 )

-------------------------------------------

Fig.1 แสดงลักษณะของจิตที่หลุดพ้น

แต่การมีชีวิตอยู่ในโลกมันไม่ง่ายเหมือนเขียนรูปข้างต้น เพราะจะมีสิ่งที่จะมาทำให้รูปดังกล่าวเปลี่ยนแปลงไป ขออธิบายต่อดังนี้
กำหนดให้
1.รูปเส้นตรงข้างต้นเป็นสายยางที่ถูกดึงให้ตึง ( แทนจิตที่สงบ ไม่มีสิ่งมากระตุ้น )
2.สิ่งที่มากระตุ้นแล้วเรารู้สึกมีความสุข จะดึงสายยางดังกล่าวขึ้น
3.สิ่งที่มากระตุ้นแล้วทำให้เรามีความทุกข์ จะดึงสายยางดังกล่าวลง
จะเห็นว่า ไม่ว่าอะไรจะมากระตุ้น สุดท้ายแล้วสายยางดังกล่าวจะมีการเปลี่ยนแปลงทั้งสิ้น ถ้าสิ่งที่มากระตุ้นนั้นทำให้เกิดความทุกข์ แน่นอนเราไม่ปรารถนา แต่สิ่งกระตุ้นที่เรารู้สึกว่า มีความสุขนะ เราชอบ อยากได้เยอะๆ มันทำให้เกิดความทุกข์ตรงไหน ขี้จุ๊หรือเปล่า ขอตอบว่าไม่ได้ขี้จุ๊นะ ลองนึกภาพของสายยางที่ถูกดึงให้ตึงแล้วดึงขึ้นสิ จากนั้นเราก็ปล่อยมือ ( เปรียบได้กับความสุขได้หายไปแล้ว ) สายยางก็จะดีดลงมา และมีโอกาสที่จะเคลื่อนผ่านจุดเดิมของมันลงมาด้านล่าง ซึ่งเราบอกแล้วว่าด้านล่างคือความทุกข์นั่นเอง
เรามีโอกาสเกิดความทุกข์( สภาพจิตเปลี่ยนไปจากเส้นตรง )เมื่อ
1.ประสบกับสิ่งที่กระตุ้นให้เกิดความทุกข์
2.พลัดพรากจากสิ่งที่ทำให้เกิดความสุข
3.พลัดพรากจากสิ่งที่ทำให้เกิดความสุขแล้วยังมาเจอกับสิ่งที่ทำให้เกิดความทุกข์ ( สถานการณ์นี้มีโอกาสทำให้เกิดความทุกข์มากที่สุด )
ตัวอย่างเช่น
วันนี้ต้องอยู่เวร(สายยางโดนดึงลง)อีกแล้ว ไม่อยากอยู่เลย แต่ไม่เป็นไร อาจจะไม่หนักมากก็ได้ ( กลับสู่ภาวะปกติ ) ประมาณ 03.00 ระหว่างที่นอนเพลินๆ(สายยางโดนดึงขึ้นโดยไม่รู้ตัว)อยู่นั้น เสียง ว. ก็ดังขึ้น "471 จาก 750 ว.2" โชคดีที่คุมสติได้ สายยางจึงค่อยๆลดลงมาหยุดที่ สภาพเดิมเหมือนก่อนโดนกระตุ้นพอดี เลยตอบไปว่า " ว.2 ครับ " 750 ก็พูดต่อ " ว.13 1700 ด้วยค่ะ " 471 ก็ตอบว่า " ว.2" จากนั้นก็โทรศัพท์ไป เสียงในโทรศัพท์บอกว่ามี case consult ที่ ER แต่แพทย์เวร ER ยุ่งมาก จึงไม่สามารถมาเล่าประวัติได้ รบกวน 471 ลงมาดูให้หน่อย471จึงลงไปดูคนไข้ทันที เมื่อลงไปถึงก็ถามว่า "case ไหนครับที่ consult ศัลย์"
พยาบาลก็บอกว่า "อ๋อ เป็น case ของ neuro ค่ะ, consult neuro แล้วตั้งแต่เมื่อวาน เป็น case mild head injury ค่ะ, พอดี observe N/S ครบ 24 ชม. แล้วไม่รู้ว่าจะให้กลับบ้านได้หรือยัง รบกวน471 ถาม 491 หน่อยได้ไหมคะ?" เท่านั้นเองสายยางที่เคยอยู่สงบนิ่ง ก็ถูกดึงลงจนลึกสุดๆ แทบจะขาด พร้อมด้วยถ้อยคำสรรเสริญพยาบาลท่านนั้นพรั่งพรูออกมา พอระบายจนพอใจก็เดินไปดูคนไข้ คนไข้อาการดีแล้วแต่บ้านอยู่ไกล ไม่มีรถกลับขอกลับตอนเช้า 07.00 471ก็เลยต้องไปสรรเสริญพยาบาลอีกรอบ....จบ
จะเห็นว่าในแต่ละวัน สายยางที่ถูกดึงให้ตึงมีโอกาส ถูกกระตุ้นได้หลายรอบ ถ้าสายยางคือจิต สายยางที่โดนดึงง่าย ก็จะเปรียบกับจิตที่ไม่ได้รับการฝึกนั่นเอง
การฝึกจิต การพยายามเข้าใจในสิ่งต่างๆ สามารถทำให้จิตเราสงบนิ่งได้นานขึ้น ต่อให้สิ่งนั้นจะทำให้มีความสุข เราก็ไม่เผลอไปกับมัน เมื่อสามารถจัดการกับสิ่งกระตุ้นได้ทุกครั้งไป ก็เหมือนกับทำข้อสอบผ่าน ไม่ต้องกลับมาเกิดใหม่เพื่อทำข้อสอบอีกครั้ง
ขอหยุดไว้แค่นี้ก่อนละกันนะครับ




Posted by : megumi , Date : 2003-05-19 , Time : 00:02:13 , From IP : 172.29.3.215

ความคิดเห็นที่ : 11


   ครบสามบาทบูชาไตรสรณคมน์เลยนะครับ สาธุ



Posted by : Phoenix , Date : 2003-05-19 , Time : 00:05:26 , From IP : 203.155.144.46

ความคิดเห็นที่ : 12


   อือ.....เรื่อง 471 กะตี 3 นี่เพิ่งเร็วๆนี้เองนี่นา......อืม.....ทันสมัยจริงๆ...เห็นภาพพจน์คล้ายๆกับ.....มอ 474 จาก 750 ว2.....(ตายหละตาม 474 เลยเหรอ)....รีบตอบทันที ว2.......มีคนไข้ถูกแทงที่ ER ค่ะ......!!!!! แย่แล้ว แย่แล้ว......วิ่งกันหมดเลยนิตั้งแต่ 470 ยัน 475......ลงไปแล้วเจอว่าถูกแทงด้วยมีดปอกผลไม้แผลลึก 1 cm กลาง spine คนใข้เดินมาหาหมอหลังจากไปแจ้งความแล้ว...และสบายดี....V/S ก็ดี.....อือ.....คล้ายกันเลย......คราวหลังผมกะจะถามว่า...ถ้ามีถูกยิงถูกแทงนี่...คนไข้เดินมาและสบายดีหรือเปล่าก่อน?......ฮึ...:D...:D.....เป็นทุกข์อีกแล้ว..........เฮ้อ.....:D...:D

Posted by : Death , Date : 2003-05-19 , Time : 01:14:39 , From IP : 172.29.3.209

ความคิดเห็นที่ : 13


   ปัญหาคือ ไม่รู้ว่าหลังความตายมีอะไร ถ้าสูญ การตายหมดโลกก็อาจหมดทุกข์
แต่ถ้าตายแล้วไม่สูญก็คงไม่จบและคงต้องมานับหนึ่งกันใหม่

ที่สงสัยคือ ถ้า...สามารถฆ่าคนหมดโลกโดยไม่เจ็บปวดทรมาณ เป็นหนทางในการ "ดับทุกข์"...เป็นความจริง ใครมีสิทธิ์กระทำกรรมอันนี้

อาจเกินไปหน่อย แต่ผมคิดว่า ต่อให้เจ้าโลกมีจริง ก็ไม่มีสิทธ์กำหนดให้มีการดับทุกข์ ด้วยวิธีนี้ ต่อให้โลกจะสกปรกแค่ใหน มนุษย์จะเลวทรามต่ำช้าเพียงใด ก็น่าจะมีสิทธ์เลือกวิถีของตัวเอง เผชิญทุกข์เหล่านั้นต่อไปเอง ไม่ว่าใครยิ่งใหญ่แค่ใหนก็ไม่มีสิทธิ์ทำอย่างนั้นครับ


Posted by : Dhan , Date : 2003-05-19 , Time : 01:26:21 , From IP : 172.29.3.220

ความคิดเห็นที่ : 14


   Armageddon ไงครับ แค่อุกกาบาตใหญ่สัก Mount Averest ปุ๋งลงมาก็พอจะให้เสียสมดุลชีวิตจนหมดโลกได้ แต่ประเด็นไม่ได้ถามถึงวิธีนะครับ ถามแค่จะดีหรือไม่ (assume ว่าเป็นไปได้)

นับหนึ่งใหม่ก็อาจจะไม่เลว เราอาจจะต้อง expect ว่ายังไงๆ cycle ใหม่ต้องเริ่มในไม่กี่หมื่นล้านปีอยู่ดี แต่ก็เท่ากับเรา "หยุดทุกขา" ไปได้หมื่นล้านปีเหมือนกัน

เราไม่ลงนรก ผู้ใดลงนรก?



Posted by : Phoenix , Date : 2003-05-19 , Time : 01:39:45 , From IP : 172.29.3.213

ความคิดเห็นที่ : 15


   แล้วเหตุของทุกข์ คือ อะไรหละครับ ถ้าการมีคนจำนวนมากอยู่บนโลกเป็นสาเหตุทำให้เกิดทุกข์ ผมว่าการฆ่าคนให้หมดโลกก็คงสามารถดับทุกข์ได้ ยิ่งถ้าไม่ต้องทรมานแล้วยิ่งดีครับ เอาแบบรวดเดียวตายพร้อมกันทั้งโลก จะได้ไม่ต้องมีใครเสียใจ ส่วนสัตว์เลี้ยงถ้าไปพร้อมกันได้ก็ดี
ชีวิตหลังความตายเป็นอย่างไรไม่รู้ แต่ผมว่าอย่าให้มีการเวียนว่ายตายเกิดอีกเลยครับ ปล่อยให้เป็นจักรวาลกว้างๆ มีแต่ดาวเคราะห์ ก็น่าจะสงบสุขดีนะครับ
" เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร "


Posted by : perf. , Date : 2003-05-19 , Time : 02:33:47 , From IP : 172.29.3.126

ความคิดเห็นที่ : 16


   ไม่เข้าใจจริงๆเลย....ว่าเราต้องการอะไรจากสิ่งที่เราจะคิดเนี้ยะ( สงสัยนะ)
แต่ก็ขอร่วมด้วยไม่รู้ซิ ....จะฆ่า ทำลาย ไม่ว่าอะไรก็ตาม...ปาป ชีวิตนะ..
ทุกชีวิตมีสิทธิ... ืการจะฆ่าเพื่อพ้นทุกข์...ไม่ใช่วิสัยของผู้เจริญแล้ว....
ฆ่า ทำลายไม่ว่าอย่างไร ก็ไม่ดี...ถามหน่อยนะ....ถ้าพรากสิ่งที่ตนรัก
ละ... แต่ถ้าไม่ทุกข์ อาจารย์ก็คงไม่รักอยู่แล้ว
ทางสายกลางคือ สิ่งที่มักจะถูกสอนให้เดินเสมอ...การสุดโต้งในทางใดๆ
เป็นทุกข์ ว่าไปแล้วทุกศาสนาก็ได้สอนทางแห่งการดับทุกข์ไว้แล้ว
มนุษย์เราต่างหากไม่ถึงมันเอง...เพราะฉะนั้นจะทุกข์บางก็ไม่แปลก
ในขณะที่ทุกข์มีคนตั้งมากมายสร้างสิ่งดีให้แก่มวลมนุษยชาติ..
ดูอย่างพระพุทธเจ้าได้ค้นพบแล้วว่า ทางใดดับทุกข์....ว่ามั้ย
เราเองต่างหากไม่ดับทุกข์เอง....อย่าหาทางอื่นเลยนะ....ทางนี้
ทางที่มีชีวิตอยู่แล้วสร้างสรรค์ดีกว่า
ทุกข์อยู่ที่ใจนะ....ไม่ได้อยู่ที่กาย...แล้วต้องทำลายหรอ


Posted by : นกเป็ดน้ำ , Date : 2003-05-19 , Time : 02:45:54 , From IP : 172.29.1.101

ความคิดเห็นที่ : 17


   เริ่มเขยิบเข้าใกล้ "ปัญหาที่แท้จริง" แล้วล่ะครับ ถ้าโดนใจเมื่อไหร่จะเฉลย

ตายแบบไม่ทรมานนั้นมีหลากหลายวิธี เรื่องนี้อาจจะเป็นปัญหาที่จำนวนและการทำให้รวดเร็ว แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นของเรา



Posted by : Phoenix , Date : 2003-05-19 , Time : 03:04:26 , From IP : 172.29.3.213

ความคิดเห็นที่ : 18


   ฆ่าคนเพื่อดับทุกข์มัก็แค่ทางกายหละครับ ถ้าใจยังไม่สงบมันจะมีประโยชน์อะไร

Posted by : tiger , Date : 2003-05-19 , Time : 03:25:38 , From IP : 172.29.3.126

ความคิดเห็นที่ : 19


   ถูกต้องที่สุด ทุกข์อยู่ที่ใจ ไร้ใจไร้ทุกข์ เมื่อไร้สิ่งมีชีวิตทุกข์อยู่ที่ใด?์ ก้อนหิน ดิน เมฆ?

นิพพานมิใช่หนทางไปสู่ "การไม่เกิด" หรอกหรือ? หากสิ่งมีชีวิตทุกชีวิตนิพพานโลกก็จะไร้ชีวิตเช่นกัน ไร้ชีวิต ไร้เวทนา หมดวงจรแห่งปฏิจจสมุปบาท หรือไม่?



Posted by : Phoenix , Date : 2003-05-19 , Time : 14:07:39 , From IP : 172.29.3.160

ความคิดเห็นที่ : 20


   คำตอบก็คือ "คงจะไม่จริงซะทีเดียว"

ที่ผมกล่าวมาข้างบนฟังดูเหมือนกับเป็นตรรกศาสตร์ นั่นคือ No life. no further life และจากสมมติฐานว่าโลกนี้เป็นระบบปิดที่ไม่ได้เชื่อมโยงกับระบบอื่นๆภายนอกเลย จริงหรือไม่?

Julie Andrew ร้องเพลงหนึ่งใน The Sound of Music, " Nothing comes from nothing. Nothing ever could" ประโยคนี้สะท้อนอะไรหลายๆอย่างรวมทั้งสัจธรรมด้วยในความเห็นของผม สมมตฺฐานข้างบนเชื่อว่าชีวิตต่อเนื่องได้เพียงจากชีวิต แต่ชีวิตทุกชีวิตเป็นส่วนหนึ่งของ "ระบบ" มาตั้งแต่ "เริ่มต้น" เราแค่มีการเปลี่ยนรูปแบบแค่นั้น อย่างที่มูฟาซาสอนซิมบ้า สิงโตกินเก้งกินกวางก็จริงแต่ตายแล้วสิงโตก็กลายเป็นดินเปนหญ้าให้เก้งกวางกิน ความพยายามจะ break cycle โดยการฆ่า ไม่ได้ใช้หลักระบบนิเวศน์ ไม่ได้คำนึงถึง "สิ่งที่วิทยาศาสตร์ยังไม่ได้อธิบายนั่นคือ "ชีวิตหลังความตาย"

ในศาสนาหลายๆศาสนามีการ address เรื่องชีวิตหลังความตายไว้หลายรูปแบบ แต่ Most common theme ก็คือความตายมิใช่จุดสิ้นสุด ("Death is just the beginning," said Imhotep The Mummy) การที่นักปราชญ์ นักคิด นักปรัชญาหลายชาติหลายภาษาเห็นพ้องต้องกันว่าตายแล้วจะเกิดอะไรบางอย่างขึ้นต่อไป ไม่ใช่สิ้นสุดนี้ worth pondering ต่อมาอะไร ถึงแม้วิทยาศาสตร์ (ในปัจจุบัน) จะกุมหมอง และใช้แซ่อึ้งกันอยู่

ถ้าหากการฆ่าหมดโลก นำไปสู่ evolution รอบใหม่แค่นั้น อาจจะกินเวลาอีกหลายร้อยหลายพัน generation ที่ sentient being กำเนิดใหม่ (Sentient being เท่านั้นที่มีสติปัญญาพอที่จะ "หลุดพ้น" วัฏสังสารโดยกระบวนการธรรมชาติ) ก็คือเรายืดระยะเวลาการหลุดพ้นไปอีกเป็นหมื่นๆล้านปี อีกนัยหนึ่งเวลาแห่งความป็นทุกข์นั่นเอง



Posted by : Phoenix , Date : 2003-05-20 , Time : 06:20:12 , From IP : 172.29.3.220

ความคิดเห็นที่ : 21


   การตายไม่ได้ช่วยให้ถึงนิพพาน และการที่จะเข้าถึงนิพพานก็ไม่จำเป็นต้องตายก่อน การตายโดยที่ไม่ได้เจ็บปวดก็ไม่ได้หมายถึง วัฏฏะสงสารได้จบลง ดังนั้นสิ่งนี้ก็ไม่ได้เป็นเหตุให้เกิดการดับทุกข์ ต่อให้มนุษย์สูญสิ้นเผ่าพันธ์ก็ไม่สามารถพิสูจน์ ได้ว่าจะหมดสิ้นทุกข์หมดสิ้นอวิชชา เพราะเรายังไม่อาจเข้าถึงและเข้าใจชีวิตหลังความตายได้ว่าเป็นอย่างไร

บางทีความตายอาจเป็นเพียงแค่การสูญสิ้นกายเนื้อ แต่จิตหาได้สูญสิ้นความทุกข์จึงยังคงอยู่ และพบกับความลำบากมากขึ้นไปอีกเพราะไม่อาจมีกายเนื้อให้ฝึกทำในสิ่งที่เป็นไปเพื่อการดับทุกข์ได้ การเกิด แก่ เจ็บและตายจึงยังคงเป็นวัฎจักรต่อไปไม่สิ้นสุด

ใครจะตอบได้บางว่าแท้จริงเราเกิดมาเพื่ออะไร ?????



Posted by : Mercury , Date : 2003-05-20 , Time : 11:29:20 , From IP : 172.29.1.100

ความคิดเห็นที่ : 22


   ในที่สุดคำถามโดนใจก็ถูกถามออกมาจนได้ Congratulations!!

What is the PURPOSE of life?

เกิดมาเพื่อที่พยายามไม่ให้เกิดหรือ? (พวกที่พยายาม "หลุดพ้น")
เกิดมาเพื่อชดใช้กรรม? (ใครบอกที พวกเด็กที่ทรมานมาตั้งแต่แรกกำเนิดนั้น เพราะอะไร? ที่แน่ๆเขาเหล่านั้นยังมิได้ประกอบกรรมใดๆทั้งสิ้นในชาติกำเนิดนี้ ใช่หรือไม่? ประเด็นนี้ sensitive มากๆ ขอให้คิดและตอบด้วยความระมัดระวัง เพราะมีพ่อแม่เด็กป่วยจำนวนมากข้างนอกนั่นที่กำลัง COPE กับปัญหา haert-breaking นี้อยู่ทั่วโลก)
เกิดมาเพราะอวิชชายังดันให้เกิด? (ปฏิจจสมุปบาท)
เกิดมาเพราะจะเกิด? (it s just the way things are)
ช่างหัวมันหัวแห้ว........



Posted by : Phoenix , Date : 2003-05-20 , Time : 12:04:36 , From IP : 172.29.3.160

ความคิดเห็นที่ : 23


   เป็นคำถาม classic ในปรัชญานะครับ ถ้าลองถามคนใน webboard นี้คงได้หลายแนวดีนะครับ ไม่ลองตั้งกระทู้ใหม่อีกละครับ ช่วงนี้คึกคักดี อยากลองฟัง Idea คนอื่น ๆ ดูกันหน่อยนะครับ

Posted by : Mercury , Date : 2003-05-20 , Time : 18:06:35 , From IP : 172.29.1.100

ความคิดเห็นที่ : 24


   ไม่มี ไม่เท่ากับไม่มี
อะไรที่มีเหลืออยู่ในความไม่มีนั้น
ผมว่า"สิ้นสุด" คือการ "เริ่มต้น"
ถ้ามองแค่ "โลกที่มีอยู่" มัน "น้อย" น้อยเกินไป
"ขอบเขต" ของคำว่า สิ่งที่มีอยู่ "จริง" มันกว้างมาก หรือไม่มีขอบเขตเลย


Posted by : OmniSci , Date : 2003-05-20 , Time : 18:50:14 , From IP : proxy1.chula.ac.th

ความคิดเห็นที่ : 25


   ผมเห็นด้วยกับแนวคิดทั้งหลายที่ช่วยกัยโพสต์ครับ ดูจะสมบูรณ์แบบแล้ว

แนวคิดดังกล่าวใช้เป็นข้ออ้างอย่างดีทีเดียวในการกระทำชั่ว

อีกทั้งการกระทำดังกล่าวก็ไม่สมบูรณ์ด้วยเหตุผล เพราะเป็นการสรุปเอาเองว่าตายแล้วไม่ทุกข์ สภาพหลังความตายจะเป็นอย่างไร นักปรัชญาเขาเถียงกันมาเป็นพันปีแล้วยังไม่มีข้อยุติ และเชื่อว่าจะไม่มีวันยุติด้วย

นิพพานที่นี่ และเดี๋ยวนี้ ครับ




Posted by : Immanuel Kant , Date : 2003-05-21 , Time : 13:16:19 , From IP : 172.29.2.176

ความคิดเห็นที่ : 26


   ผมรู้สึกว่ายังไม่สมบูรณ์นะครับ เพราะยังไม่มีข้อความไหนที่ตรงใจกับความคิดของผมเลย

ผมเคยคิดมาตั้งแต่เด็กๆแล้วล่ะครับ
ตอนนี้เราเป็นใคร ทำไมเราจึงเป็นตัวเรา และถ้าตัวเรานี้ดับสลายไป ความคิด จิตใตของเราตอนนี้จะไปอยู่ที่ไหนกัน
คิดว่า คงดับสูญนะครับ
แต่...
คุณคนอื่นทุกคน ต่างก็มีความรู้สึกที่เป็นของตัวเองกันทั้งนั้น ใช่มั้ยล่ะครับ
ความรู้สึกในการที่เป็นจิตของตัวเอง
ไม่ว่าใครก็มี อาจจะเกิดจากการแปลความหมายในสมอง หรืออะไรสักอย่าง
เรามองมนุษย์ จิตของมนุษย์เป็นศุนย์กลางกันอยู่
...
ไม่รู้ว่าจะอธิบายยังงัยให้ชัดเจนกว่านี้

ถ้า มนุษย์สูญสิ้นหมดโลก ความทุข์ของมนุษย์ก็จะไม่มีอีกต่อไป
หมดครับ หมดสิ้นความเป็นมนุษย์
แต่...
สัตว์ทั้งหลายล่ะครับ
พืชล่ะครับ
จิตวิญญาณธรรมชาติลล่ะครับ
มันก็มีความสุข ความทุกข์ของมันเหมือนกัน
เอ๊ะ.. ไม่แน่นะครับ มนุษย์หายไปจากโลกเสียได้ อาจจะเป็นการดับทุกข์ให้แก่ดาวพระเคราะห์โลกก็เป็นได้


การไม่เวียนว่ายตายเกิดในความเข้าใจของผมก็ตคือ การหลุดพ้นจากความทุกข์ในช่วงชีวิตนี้ล่ะครับ ไม่มีห่วง ไม่มีอะไรที่ทำให้ใจต้องกังวล จะตายก็ตายได้ตาหลับ เท่านี้ล่ะครับ


Posted by : ArLim , Date : 2003-05-22 , Time : 00:08:09 , From IP : 172.29.2.170

ความคิดเห็นที่ : 27


   "ระบบนิเวศน์ของจิตวิญญาณคืออะไร มีจริงหรือไม่? และอะไรคือสมดุลของระบบที่ว่า? มีการรักษาสมดุลหรือไม่?"

โยนก้อนหินหนึ่งก้อนลงไปในหนองที่มีจอกแหนลอยอยู่ ตุ๋ม.... จอกแหนแตกกระจายเป็นวง....
.....แล้วกลับเข้ามาใหม่.....
สมดุลใหม่ = หนอง + ก้อนหินหนึ่งก้อน + จอกแหน (กลับมาที่เก่า) + (บนฝั่ง - ก้อนหินหนึ่งก้อน
.....and everyone lives happily every after......

แม้แต่การเคลื่อนที่ของหินก้อนเดียวก็กวน "ความนิ่ง" ของระบบ ชีวิตเล่า? ที่ชีวิตหนึ่งๆเป็นทุกข์อยู่นั้น ระบบรับรู้หรือไม่? ชีวิตที่เป็นหนึ่งชีวิตหายไป ระบบรับรู้หรือไม่? ธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ ที่เคยชุมนุมเป็นร่างๆหนึ่ง...เปลี่ยนแปลง...ย้อนกลับ....เป็นส่วนหนึ่งของระบบอีกครั้ง....เกิดใหม่.....REBIRTH!!!!

จิตเล่า!!! อยู่ที่ใดในระบบ? หรือสูญหายไป? หรืออยู่ในดิน หญ้า ธาตุคาร์บอน ไนโตรเจน ออกซิเจนที่เคยเป็นโปรตีน?

ตรงนี้หรือเปล่าที่ "ควบคุม" (The Key-Maker........hehehehe pun-intended) วงจร หรือ โปรแกรม? จิต......... จิตว่าง หรือ ไร้จิต?




Posted by : Phoenix , Date : 2003-05-22 , Time : 00:36:38 , From IP : 172.29.3.206

ความคิดเห็นที่ : 28


   จิตอยู่ทุกแห่งหน แต่จิตในที่นี้ไม่ได้หมายถึงจิตของมนุษย์
จิตของมนุษย์คืออะไร
ความรับรู้ทางสัมผัสทั้ง 5 + ประกบารณ์ที่เรียนรู้ + ความสามารถในการคิด(ที่มีจำกัด + ฯลฯ
จิตมนุษย์ก็เท่านี้เอง
เมื่อมนุษย์หายไปหมดโลก ก็ไม่มีจิตของมนุษย์หลงเหลืออีกต่อไป ธรรมชาติก็จะเปลี่ยนแปลงไปตามสิ่งที่เกิด
เมื่อเกิดร่างกายขึ้นมาใหม่ จิตก็เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นมาพร้อมกัน เป็นลักษณะเฉพาะของร่างที่เกิดขึ้นมาใหม่

เอ.. ยิ่งอธิบายยิ่งงง

สมมตินะครับ
ผมเป็นปลาทอง ผมก็มีจิต
ผมเป็นมด ก็มีจิต
ผมเป็นชิพ Intel Pentium ก็มีจิต จิตในลักษณะที่คิดคำนวณ เลียนแบบสมองสัตว์ แต่ก็เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว

จิต ไม่จำเป็นว่าต้องเป็น จิตใจ แต่เป็นลักษณะของธรรมชาติ
โลกเกิดขึ้นมา มีการเปลี่ยนแปลงไปตามลักษณะของมวลสาร ธรรมชาติของมวลสารก็คือ จิตของโลก
เกิด เปลี่ยนแปลง ดับสูญ จิตสูญ สิง่ใหม่เกิด จิตของสิ่งใหม่ก็เกิด

มนุษย์เป็นเพียงสิ่งเล็กๆที่อุบัติขึ้นมาในช่วงเวลาอันสั้นๆเท่านั้น


Posted by : ArLim , Date : 2003-05-22 , Time : 12:33:33 , From IP : netturbo2.cscoms.com

ความคิดเห็นที่ : 29


   อันที่ผมว่าน่าจะมีไปกับจิตเสมอๆ คือ กรรม นะครับ (ทั้งดีและไม่ดี)
อื่นๆก็คือ อวิชชา ครับ ด้วยความไม่รู้ จึงต้องมีการเกิด ดำเนิน ไปด้วยอวิชชา และตายไป(จากโลกนี้) ด้วยอวิชชา กรรมที่มีอยู่ ก็ติดตัวไปด้วย กรรมบางอย่างก็กระทำไปเพื่อการหลุดพ้นจากอวิชชา ถ้า "รู้" แล้ว ก็ไม่ต้องเกิด
จิตสูญก้ต่อเมื่อ "รู้" ถ้ายังไม่รู้ก็ต้องเวียนว่ายตายเกิดต่อไป
มดก็มีจิต จิตอันนั้นอาจเคยเป็นมนุษย์ กรรมพาไปให้เกิดเป็นมด (วิบากกรรม?) และความหมายของจิตแบบนี้ ผมว่า Pentium ไม่มีจิต เดี๋ยวก็กลับไปพูดถึง Aetificial Inteligence (AI) อีก ต่อให้มันคิดได้เหมือนมนุษย์(ประมวลจากที่มีข้อมูลอยู่ แต่ก็ไม่เหมือนประสบการณ์ของคนอยู่ดี) มันไม่จำเป็นต้องมี "จิต" เลย

ไม่มีอะไรใหม่เลยใช่ไหมครับที่ผมพูดมาเนี่ย


Posted by : OmniSci , Date : 2003-05-22 , Time : 21:29:35 , From IP : proxy1.chula.ac.th

ความคิดเห็นที่ : 30


   ผมไม่ทราบว่าท่านทั้งหลายนิยามคำว่าจิตอย่างไร

จึงสามารถบอกได้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างภายนอก นั้นมีจิต

เพราะผมเชื่อว่ามนุษย์ไม่มีทางพิสูจน์หรือยืนยันการมีอยู่ของสิ่งใดได้ด้วยข้อมูลทางผัสสะ

วิชชานั้นเป็นปัจจัยให้เกิดนิโรธครับ นั้นหมายถึงการพ้นจากตัวตน

อนัตตา นั้นผมอยากให้แปลตรงกันคือ"ความไม่ใช่ตัวตน" ไม่ใช่"ความไม่มีตัวตน" ตัวตนโดยแท้จริงจะมีหรือไม่ก็ได้ แต่มนุษย์ต้องไม่ไปให้คุณค่า คือยึดมั่นเอาในตัวตนเหล่านั้น

คำว่าตัวตนนั้นจึงไม่ได้หมายถึงสภาพทางวัตถุ แต่หมายถึงความรู้สึกสำคัญมั่นหมาย หรือก็คือความเห็นแก่ตัวนั้นเอง เมื่อใดที่พ้นความเห็นแก่ตัวได้ เมื่อนั้นตัวตนก็ไม่เกิดอีก



Posted by : Immanuel Kant , Date : 2003-05-22 , Time : 22:38:10 , From IP : 172.29.2.137

ความคิดเห็นที่ : 31


   นิยาม นิยาม นิยาม

อะไรจึงเรียกว่า "แปลตรงกัน" อะไรคือ "แปลผิด แปลถูก หรือแปลตรงกัน?"
รู้ได้อย่างไรว่าที่ว่า "แปลตรงกัน" นั้น "ตรงกันจริงๆ?"

ไม่เห็นแก่ตนอย่างเดียวก็อาจจะยังไม่หลุด ตราบใดที่ "ยังเห็นแก่อะไรอยู่" ถ้ายัง"ยึด" ก็"ยังไม่วาง" ถ้ายัง"ต้อง"ก็"ยังไม่วาง" ถ้ายัง"อยาก" ก็"ยังไม่วาง" ถ้ายัง"เชื่อว่า"ก็"ยังไม่วาง"

รึเปล่า? ไม่รู้? รู้?



Posted by : Phoenix , Date : 2003-05-23 , Time : 04:34:02 , From IP : 203.155.144.38

ความคิดเห็นที่ : 32


   ผมได้ยืนยันมาแต่เริ่มต้นแล้วว่าจริยธรรมนั้นมีกฎเกณฑ์แน่นอนตายตัว แนวทางที่ถูกต้องจึงมีเพียงสิ่งเดียว

ผู้ที่เข้าถึงพระนิพพานจะเห็นตรงกันหมด

และผู้ที่เข้าถึงพระเจ้าก็จะเห็นตรงกันหมด

เพราะนี่ผมกำลังพูดถึงสิ่งสูงสุด ดีที่สุด งามที่สุด สมบูรณ์ที่สุด จุดนั้นจึงมีเพียงอย่างเดียวครับ


Posted by : Immanuel Kant , Date : 2003-05-23 , Time : 15:37:53 , From IP : 172.29.2.97

ความคิดเห็นที่ : 33


   ใครคือ "ผม"? ใครคือ "คุณ"? ใครคือ "Phoenix"? ใครคือ "Kant"?

อะไรคือการ "ยืนยัน"? อะไรคือ "นัยสำคัญ" ของการยืนยันในที่นี้ หรือที่ไหนก็ตาม?

เหตุใด และใครควรจะทราบว่าคนที่นิพพานนั้น"เห็นอะไรบ้าง?"
เหตุใด และใครควรจะทราบว่าคนที่นิพพานนั้น"เห็นตรงกันหมด?"
เหตุใด และใครควรจะทราบว่า "เข้าถึงพระเจ้า" นั้นเป็นเช่นไร?"
เหตุใด และใครควรจะทราบว่า "เข้าถึงพระเจ้า" แล้วจะ "เห็นเช่นไร"?

จุดสูงสุดของคุณ Kant ป็นจุดเดียวกับของพระเจ้าและพระอรหันต์หรือไม่? ทราบได้อย่างไร? โดยฌานระดับแปดซึ่งคุณ Kant กำลัง imply ว่ารู้แล้ว บรรลุแล้ว?

ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร ไม่จำเป็นต้องตอบหรอกนะครับ เพราะจริงๆแล้วผมไม่ควรถาม พระพุธเจ้าทรงเตือนว่าการอวดหรือชี้เป็นนัยว่าบรรลุแล้ว สำเร็จแล้วต่อคนทั่วไปนั้นพึงละเว้น แต่ CODE of conduct นี้อาจจะไม่จำเป้นที่ทุกคนเห็นพ้องด้วยกระมัง?



Posted by : Phoenix , Date : 2003-05-23 , Time : 19:34:28 , From IP : 172.29.3.215

ความคิดเห็นที่ : 34


   ขอให้เข้าใจว่าผมกำลังพูดในระดับสมมติสัจจะ คือสมมติว่ามีตัวตนอยู่

ในระดับนี้ผมสมมติว่าโลกแห่งผัสสะเป็นความจริง และเหตุผลมีจริง เพราะหากไม่สมมติให้คุณมีจริงและผมมีจริง ผมก็ไม่ต้องมาเขียนอยู่ตรงนี้หรอก

"ทำไมนิพพานถึงดีจริง" คุณจะรู้ได้อย่างไรครับ ผู้ที่ไม่เคยนิพพานมาก่อนเหตุใดจึงเชื่อว่านิพพานดีจริง เหตุใดจึงเชื่อว่าพระพุทธเจ้าเป็นผู้ประเสริฐจริง เหตุใดจึงยอมมีศาสนา

นั่นเพราะนิพพานหรือพระเป็นเจ้าเป็นสิ่งเดียวที่สมบูรณ์ด้วยเหตุผลครับ ผมศึกษาแนวคิดทางจริยศาสตร์มาพอสมควร จึงพยายามสรุปว่านิพพานเป็นสิ่งเดียวที่ทนทานต่อการโต้แย้งและการพิสูจน์

เช่นเดียวกับนักปรัชญาตะวันตกที่อธิบายสมบัติของพระเป็นเจ้า นั่นหมายถึงสิ่งที่ดีที่สุด ถูกต้องที่สุด สมบูรณ์ที่สุด เหล่านี้เป็นลักษณะของพระเป็นเจ้า

ความสูงสุดทำให้พระเป็นเจ้าเป็นสิ่งสมบูรณ์และมีเพียงอย่างเดียวเท่านั้น นั่นคือการชอบด้วยเหตุผล เพราะข้อสมมติอย่างหนึ่งคือสิ่งที่แย้งกันจะชอบด้วยเหตุผลพร้อมกันไม่ได้ สิ่งที่สมบูรณ์ด้วยเหตุผลจึงมีสิ่งเดียว

นี่ผมอาจกำลังพูดอยู่คนเดียวก็ได้ครับ เพราะผมไม่รู้ว่าอะไรจะมีจริงบ้าง แม้แต่ตัวผมเอง หากคุณมีอยู่จริงก็ฟังที่ผมพูดแล้วกัน ถ้าเห็นว่าตนเองยังเป็นทุกข์ ยังต้องการหลุดพ้น ก็ลองพิจารณาสิ่งที่ผมพูด ถ้าเห็นว่าถูกต้องและเป็นแนวทางที่เหมาะสมกับตัวคุณก็ค่อยเชื่อและค่อยลองปฏิบัติ


Posted by : Immanuel Kant , Date : 2003-05-23 , Time : 21:31:15 , From IP : 172.29.2.97

ความคิดเห็นที่ : 35


   ผมไม่ทราบหรอกครับว่านิพพานหรือพระเป็นเจ้าเป็นสิ่งเดียวกันหรือเปล่า

ผมไม่ทราบเช่นกันว่านิพพานนั้นสมบูรณ์ด้วยเหตุผล ยิ่งไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยว่าพระเจ้านั้นสมบูรณ์ด้วยเหตุผล (พอจะ more specific ได้ไหมครับว่าที่ว่าพระเจ้าสมบูรณ์ด้วยเหตุผลนั้นหมายความว่าอย่างไร?)

ผมเข้าใจว่าศาสนาพุทธไม่ได้สอนว่าให้เรา "พยายามสรุป" ไปในทิศทางไหน ตรงกันข้ามศาสนาพุทธสอนให้เรามองเห็นอย่างที่จริงๆคือเช่นไร เมื่อไหร่ก็ตามที่เรา "พยายาม" มองไปในทางไหน (รวมทั้งพยายามจะ "เชื่อ" สิ่งนั้นจะถูกปรุงแต่งทันที ไม่ใช่ "จริง" แต่จะเคลือบด้วย "อวิชชา") เพราะว่าความพยายามนั้นเป็นการที่เราใช้ขันธ์ทั้งห้าประชุมออกมาไปในทิศทางทิศทางหนึ่ง

พระเป็นเจ้าที่คุณ Kant พูดถึงนั้น เป็นพระองค์เดียวกับที่ส่งน้ำมาท่วมโลกหรือมาเตือนโนห์อาหรือไม่? หรือเป็นของกลุ่มนักปรัชญาตะวันตกกลุ่มหนึ่งเท่านั้น? ถ้าเช่นนั้นเป็นของศาสนาใด?

"ศึกษาจริยศาสตร์มาพอสมควร" นั้นหมายความว่าอย่างไร? นี่คือคำถามที่ผมถามในสามกระทู้หลังครับ เมื่อไหร่ที่ว่าเรา "ศึกษามาพอสมควร" จึงเป็นการเพียงพอว่าที่เรา "คิด" ว่าถูกต้องนั้น "ถูก" และความคิดอื่นที่ไม่เหมือนของเรานั้นเป็นเพราะความคิดนั้นเกิดจาก "ไม่ได้ศึกษาจริยศาสตร์มาพอสมควร?"

ที่ผมถามเป็นเพราะว่า ผมสงสัยว่าเรากำลังจะ "ตีค่า" ความรู้ความเข้าใจของเราแต่ละคนอยู่หรือไม่ ในทางจริยธรรมยิ่งสำคัญ เพราะถ้าเชื่อใน absolute จริยธรรม แปลว่าเรากำลังมั่นใจในตนเองอย่างที่สุดว่าข้อสรุปของเราถูกและของผู้อื่นที่ไม่เหมือนของเรานั้นผิด ดังที่คุณ Kant เขียนมาว่า ข้อสมมติอย่างหนึ่งคือสิ่งที่แย้งกันจะชอบด้วยเหตุผลพร้อมกันไม่ได้ สิ่งที่สมบูรณ์ด้วยเหตุผลจึงมีสิ่งเดียว
ถ้าเป็นเช่นนั้นแล้ว คุณ ant ใช้วิธีการอย่างไรจึงเกิดความมั่นใจว่าของใคร (most likely ของผู้อื่น) ถูกต้อง?

ผมกำลังดำเนิน (หรือพยายาม) บนทางสายกลางหรือมัชฌิมาปฏิปทา สาเหตุอาจจะเป็นเพราะพทธศาสนาไม่ได้เน้นเรื่อง "หน้าที่" เป็น main theme อย่างหลักปรัชญาของ Immanuel Kant ก็เป็นได้ เรียนถามคุณ Kant ว่าหลักปรัชญาของ mmanuel Kant นั้นมีกล่าวถึงเรื่อง "ครอบครัว" อย่างไร และพูดถึง "ตรัสรู้" บางหรือไม่?



Posted by : Phoenix , Date : 2003-05-23 , Time : 22:06:02 , From IP : 172.29.3.202

ความคิดเห็นที่ : 36


   คุณจะลองไม่เชื่อว่าเหตุผลมีจริงก็ได้ครับ เพราะผมบอกแล้วว่านี่เป็นการสมมติ การอ้างเหตุผลทั้งหมดก็หมดความหมาย ผมคงไม่ต้องพูดอะไรอีก

คุณจะเชื่อว่านิพพานเป็นสิ่งไม่สมเหตุผลก็ได้ครับ หรือคุณจะเชื่อในสิ่งที่ไม่มีเหตุผลก็ได้

พระพุทธเจ้าทรงตรัสเรื่องกาลามสูตรเพื่อให้ยึดเป็นแนวทางในการศรัทธาสิ่งต่างๆ หรือยังมีโคตมีสูตรเพื่อใช้ตัดสินความถูกต้องของพระธรรมวินัยด้วย

ธรรมะ คือ หน้าที่


Posted by : Immanuel Kant , Date : 2003-05-23 , Time : 22:20:24 , From IP : 172.29.2.97

ความคิดเห็นที่ : 37


   ต้องขออภัยที่ทำให้คุณ kant เข้าใจความเห็นของผมผิดไปอีกครั้งหนึ่ง

ผมเชื่อว่าเหตุผลมีจริงอย่างแน่นอนครับ แต่ทว่าการดำเนินไปบนมรรคานั้นไม่ใช่ความศรัทธาหรือความเชื่อนะครับ "แต่ด้วยเหตุผล"

ผมจะไม่ "ตั้งมั่น" ไว้ก่อนหรอกครับว่านิพพานเป้นสิ่งมีหรือไม่มีเหตุผล แต่ว่าที่เราทำได้ (และพระพุทธเจ้าแนะนำให้) คือ "ลองทำดู แล้วพิจารณาว่ามรรคานี้ดำเนินไปแล้วทุกข์นั้นลดลงหรือไม่"

ส่วนคำถามที่ว่าทำอย่างไรจึงจะทราบว่าหลักจริยธรรมที่เราเข้าใจนั้นเป็น absolute ethic ล่ะครับ? ทำอย่างไรจึงจะทราบว่าที่เราๆ ศึกษาจริยศาสตร์มาพอสมควรนั้น "พอแล้ว?"



Posted by : Phoenix , Date : 2003-05-23 , Time : 22:28:05 , From IP : 172.29.3.202

ความคิดเห็นที่ : 38


   อันนี้ป็น LEVEL OF TRUTH หรือเปล่าครับ
TRUTH นี้จริงๆคงมีอันเดียวแน่แท้
แต่ที่มี Level เพราะการ "ตีความ" มากกว่า
ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับ Background ว่าทำไมถึง "เชื่อ" อย่างนั้นแล้วจึงมีความแตกต่างกันในสิ่งเดียวกัน

ความถูกต้องที่บางคน (หรือทุกคน) กำลังใช้อยู่ มันจึงเป็นความ "ถูกใจ" มากกว่า
และคงยากที่จะไปบอกว่า นั้น ไม่ถูก (ตามกาลามสูตรเปี๊ย!) และการเชื่อเหมือนๆ กัน (ถูกใจเหมือนๆกัน) ก็อาจ "ไม่ถูก" จริง กลับกัน ไอ้ที่แปลกแยกก็เหมือนกัน

ผู้รู้ย่อมรู้ได้เฉาะตน


Posted by : OmniSci , Date : 2003-05-23 , Time : 22:42:16 , From IP : proxy1.chula.ac.th

ความคิดเห็นที่ : 39


   มนุษย์มีพื้นฐานความคิดอยู่ด้วยเหตุผลครับ ส่วนเหตุผลจะมีจริงหรือไม่เป็นอีกเรื่อง

เราพิจารณาสิ่งต่างๆก็ด้วยเหตุผล หากมีสิ่งใดไม่สมเหตุสมผล เราก็มักจะไม่เชื่อ

เราเชื่อพระนิพพาน เชื่อศาสนา ก็โดยเหตุผลเช่นกัน

หากคุณเชื่อในเหตุผล ผมแนะนำให้คุณศึกษาเรื่องวิภาษวิธี เพราะจะทำให้เข้าใจเรื่องสิ่งสมบูรณ์ยิ่งขึ้น สิ่งที่สมบูรณ์จะต้องชอบด้วยเหตุผลทุกประการ ไม่มีเหตุผลโต้แย้งได้อีก(หากจะให้ผมอธิบายคงไม่ได้ครับ ขออภัยด้วย)

วิชาจริยศาสตร์จะช่วยให้รู้จักกับแนวคิดต่างๆทั้งที่ตรงและไม่ตรงใจเรา ทำให้โต้แย้งได้อย่างเป็นระบบ และศึกษาข้อบกพร่องของแนวคิดต่างๆได้ หากคุณเห็นว่าแนวคิดใดสมบูรณ์ด้วยเหตุผลแล้วก็ค่อยปักใจเชื่อแนวคิดนั้น


Posted by : Immanuel Kant , Date : 2003-05-23 , Time : 22:49:14 , From IP : 172.29.2.97

ความคิดเห็นที่ : 40


   OK คงจะเป็น TRUTH ที่ customized ตาม "ระดับ" อย่างที่คุณ OmniSci ว่าจริงๆ ถึงจุดนี้เข้าใจว่าคุณ Kant คงจะต้องการให้ผม drop คำถามที่ว่า "อย่างไรจึงทราบว่าที่เราศึกษาเป็น absolute จริยศาสตร์"

ไม่ทราบว่าเราพอจะอภิปรายถึงประเด็นที่เคยค้างไว้อีกสักสองสามเรื่องดีไหมครับ เช่น "สุนทรียศาสตร์" ซึ่งเป็นการว่าด้วยความปีติของศิลปิน และเป็นการทำเพื่อตนเองนั้นเป็นสิ่งเลวทรามหรือไม่ และอีกประการหนึ่งที่ผมคิดว่า unique มากๆ (จากประสบการณ์ของผมเอง) คือการเห็นว่าการร่วมเพศโดยสามีภรรยาโดยไม่ละอายนั้นเลวทรามดั่งสัตว์เดียรัจฉาน จนกระทั่งหากแพทย์ท่านใดแนะนำการมี sex แล้วคุณ kant คิดว่าเลวมาก เพราะแม้แต่ "กาเมสุมิจฉา" นั้น ก็ยังไม่ได้ cover การมีเพศสัมพันธ์อย่างถูกต้องของสามีภรรยาเลย จริยศาสตร์ในความหมายนี้ดูแล้วไม่ส่งเสริมสถาบันครอบครัวนะครับในความเห็นของผม ไม่ทราบว่าคุณ kant พอจะมีอารมณ์ย้อนกลับมาอภิปรายกันเพิ่มเติมในประเด็นเก่านี้รึเปล่า หรือจะ drop ไว้ก่อน



Posted by : Phoenix , Date : 2003-05-23 , Time : 23:03:37 , From IP : 172.29.3.202

ความคิดเห็นที่ : 41


   Some "difficult cases"

ที่อังกฤษเมื่อไม่กี่ปีม่นี้มีกรณีทางการแพทย์ที่เป็นข่าวอยู่ข่างหนึ่งคือเรื่อง separation of twins คู่แฝดเป็น Siamese Twins ที่มี organs ครบยกเว้น share liver กับ part of heart ตัวน้อง (เรียกยังงั้นเพราะตัวเล็กกว่าเยอะ) suffered จากเลือดและอาหารส่วนใหญ่ถูก shunt ไปเลี้ยงพี่สาว และกำลัง deteriorate ลงเรื่อยๆ ตัวพี่เป็นปกติดีแต่เห็นได้ว่ามีผลกระทบจากที่คู่แฝดของเธอกำลังทรุดลง พ่อแม่เป็น devoted christians มาจากแถวยุโรปตะวันออก ปัญหาคือ
๑) แพทย์สามารถผ่าแยกได้ แต่แฝดผู้น้องจะเสียชีวิตในทันที
๒) แพทย์ไม่สามารถรอให้แฝดผู้น้องตายแล้วจึงค่อยผ่าแยกเพราะทั้งสองคน share circulation เดียวกัน
๓) ปัญหาในแง่กฏหมายและจริยธรรม แพทย์มีสิทธิ์ terminate ชีวิตคนไข้คนหนึ่งเพื่อช่วยชีวิตคนไข้อีกคนหนึ่งหรือไม่
๔) ปัญหาในแง่ศาสนา พ่อแม่เด็กจะไม่ยอมให้รักษาถึงแม้ว่าเด็กทั้งคู่จะต้องตายในที่สุดก็ตาม
อยากเรียนถามว่าในทัศนะของ Immanuel Kant อะไรคือ "absolute ethical right action" ในกรณีนี้?

ประเด็นที่สอง ในเมื่อตามทัศนะของ Immnauel Kant เห็นว่า absolute moral คือการไม่ฆ่าเพราะคนไม่สามารถตัดสินว่าใครควรตายเมื่อไหร่อย่างไร อยากเรียนถามความเห็นว่าอาชีพทหารตำรวจที่ปกป้องประเทศและทรัพย์สินของประชาชนรวมทั้งเอกราชนั้นเป็นผู้ที่มีจริยธรรมหรือไม่? ผมเข้าใจว่าความสะดวกประการหนึ่งของ absolute moral ก็คือแนวทางคำตอบคงจะเป็นแค่ yes or no รึเปล่าครับ?



Posted by : Phoenix , Date : 2003-05-24 , Time : 13:16:56 , From IP : 172.29.3.202

ความคิดเห็นที่ : 42


   อืม
ยากนะเนี่ย


Posted by : OmniSci , Date : 2003-05-24 , Time : 17:53:29 , From IP : proxy2.chula.ac.th

ความคิดเห็นที่ : 43


   อ่านของคุณ Phoenix และ Kant (แบบผ่านๆ) เข้าใจว่า แกนหลักๆคงจะถกกันในแนวๆว่า ความดีที่แท้จริง จริยธรรมที่แท้จริง ... ประมาณนั้นหรือเปล่าครับ (เห็นหลายกระทู้แล้ว ยังจบไม่ลง)
ขอแบบสรุปๆฮะ อ่านไม่ไหว
แล้วจะขอร่วมวงด้วยๆ


Posted by : ArLim , Date : 2003-05-25 , Time : 03:50:11 , From IP : maliwan.psu.ac.th

ความคิดเห็นที่ : 44


   อยากจะจับประเด็นไหนก็เอาเลยครับคุณ ArLim ตอนนี้คาดว่าเรากำลัง Challenge จริยธรรมสัมบูรณ์ ว่าในทางปฏิบัติมัน work ขนาดไหนน่ะครับ อภิปรายพร้อมๆกันในสองกระทู้ คำถามส่วนใหญ่อยู่อีกกระทู้นึง (ชีวิตหมอ) กระทู้นี้เรื่อง case ทางการแพทย์



Posted by : Phoenix , Date : 2003-05-25 , Time : 13:32:02 , From IP : 172.29.3.212

ความคิดเห็นที่ : 45


   บอกมาแค่นี้ผมก็ว่าวไม่ถูกเหมือนกัน
จริยธรรมสัมพูรณ์หรือ ?
ตี 3 กว่าแล้วขอตัวไปนอนก่อน ไว้จะมาละเลงความคิดบ้าง


Posted by : ArLim , Date : 2003-05-29 , Time : 05:05:48 , From IP : netturbo2.cscoms.com

ความเห็นจาก Social Network : Facebook


สงวนสิทธิ์การแสดงความคิดเห็นสำหรับ สมาชิกเท่านั้น
>>>>> Page loaded: 0.027 seconds. <<<<<