ความคิดเห็นทั้งหมด : 55

สอบสัมภาษณ์ คณะเเพทย์ มอ.ไม่ผ่าน


   เพื่อนผมเค้า โดน ข้อหาว่า ขาดเเรงจูงใจในกานเป็นหมออะครับ
อย่างนี้มันยุติธรรมเเล้วเหรอ คะเเนน ไม่น้อย เเถมเลือกที่นี่ไว้อันดับที่ 2 บ้านเค้าอยู่กรุงเทพนะครับ เค้าอุตส่าห์ถ่อมาถึงนี่ เสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย ด้วย


Posted by : ... , Date : 2005-05-18 , Time : 19:58:58 , From IP : gb.jb.197.245.revip.

ความคิดเห็นที่ : 1


   แล้วเพื่อนน้องเขาชอบเป็นหมอหรือเปล่าล่ะ
ขนาดพี่มีแรงจูงใจบ้างแล้ว ยังเอาชีวิตไม่ค่อยจะรอดเรยครับ


Posted by : bfy , Date : 2005-05-18 , Time : 22:26:25 , From IP : 172.29.4.36

ความคิดเห็นที่ : 2


   อ้าว
มีตกสัมพาดด้วยเหรอ
ขอแสดงความเสียใจด้วยนะครับ


Posted by : mini , Date : 2005-05-18 , Time : 23:18:19 , From IP : proxy2.chula.ac.th

ความคิดเห็นที่ : 3


   เสียใจสุดซึ้งที่สอบไม่ผ่านคับ แต่อยากให้ระบุให้ชัดเจนหน่อยว่า ไม่มีความยุติธรรมอย่างไร คนนนอกอ่านแล้วอาจเข้าใจผิดได้

Posted by : mashimashi , Date : 2005-05-18 , Time : 23:34:56 , From IP : 172.29.4.88

ความคิดเห็นที่ : 4


   เด็กที่รับเข้ามายังไม่แน่เลยว่าเค้าจะชอบแพทย์จริงหรือป่าว ทำไมต้องไปทำลายอนาคตคนอื่นด้วยความคิดเห็นส่วนบุคคลด้วย

Posted by : pp , Date : 2005-05-19 , Time : 00:33:12 , From IP : p194-1222bkkSP5.C.cs

ความคิดเห็นที่ : 5


   สิ่งที่เห็นได้ชัดคือคนที่ได้รับอนุญาตให้เข้ามา บางคนดี บางคนไม่ดี บางคนขยัน แต่บางคนกลับบ่นว่าไม่น่าเข้ามาเลย นั่นแสดงให้เห็นอยู่แล้วว่า กระบวนการคัดไม่สามารถคัดคนที่ต้องการเรียนจริงๆ ได้

Posted by : aaa , Date : 2005-05-19 , Time : 00:39:32 , From IP : p194-1222bkkSP5.C.cs

ความคิดเห็นที่ : 6


   แบบว่าเวลาเรียนหนักมันก็เลยท้อ ก็เลยบ่นไปว่า ไม่น่าเข้ามาเรียนเลย แบบนี้ได้หรือเปล่า แต่ว่าใจจริงก็อยากเรียนอยู่หน่ะ เขาก็เลือกคนมาถูกแล้ว

Posted by : pisces , Date : 2005-05-19 , Time : 06:22:15 , From IP : 172.29.7.225

ความคิดเห็นที่ : 7


   มีตกสัมพาดด้วยเหรอ

นี่ก็อึกคน ที่ไม่ให้เกียรติภาษาผู้ให้กำเนิด


Posted by : gg , Date : 2005-05-19 , Time : 11:21:33 , From IP : 172.29.7.127

ความคิดเห็นที่ : 8


   To me,the interview is the vital procedure for keep the medicine stand still till now.It is important for behavioral of the medical student for the participation in their future career so It is need more good man than the good mark or good grade student.

sO always remember.... the patient life is depend on us...










,


Posted by : shinichi , Date : 2005-05-19 , Time : 12:08:47 , From IP : 203.113.76.71

ความคิดเห็นที่ : 9


   ไม่ได้ให้รับหมด ถ้าเขาบอกว่า"ไม่ต้องการ" บอกว่า"โดนบังคับ" ก็ไม่ต้องรับ นั่นจึงจะเป็นประโยชน์สำหรับผู้ถูกตัดสิน แล้วถ้าเขาไม่บอกอย่างนี้จะรับหมดหรือ ถ้ารับหมดอาจส่งผลเสียต่อสังคม ใช่ อาจส่งผลเสีย อาจได้คนที่หวังผลประโยชน์ส่วนตัว คนที่หวังคำยกย่องสรรเสริญ ฯลฯ เข้ามา อย่างนั้นก็อย่ารับหมดจะดีกว่ารึป่าว? ใช่อีกเช่นกัน เมื่อท่านสามารถพิสูจน์เค้าผู้นั้นได้แน่นอน แต่ตราบใดที่ยังบอกไม่ได้ว่า ผู้ที่ท่านคัดออก หรือผู้ที่ท่านรับเข้ามา เป็นคนดี หรือไม่ดีจริงๆ ก็อย่าพึ่งไปตัดสินเขา เพราะวิธีที่ใช้ตัดสินเขาได้มาจากการ "คาดว่า" "ดูเหมือนว่า" "เดาว่า" ผู้นั้นไม่ได้ต้องการเป็นแพทย์จริงๆ (ใช่ ต้องการคนดี แต่แน่ใจหรือยังว่าคนที่เราชี้ว่าเขาไม่ดี จะไม่ดี ควรตรวจสอบตัวเองก่อนว่าดีพอที่จะว่าผู้ใดดี หรือไม่ดี(คนดีเค้าคงไม่ไปตัดสินคนอื่น)) อนึ่งคนเราถ้าเขาไม่อยากเข้า เขาคงไม่เดือดร้อนจนต้องเข้ามาโพสในเวปบอร์ดหรอก ถ้าเขาไม่อยากเข้า เขาก็ไปบอกที่บ้านว่าตกสัมภาษณ์ อ้างโน่น อ้างนี่ไป เพื่อที่จะทำให้เขาไม่ต้องเรียน แล้วจะได้ไปเข้าเรียนในสาขาวิชาที่เขาชอบ

Posted by : ll , Date : 2005-05-19 , Time : 12:55:26 , From IP : dial-63.ras-1.spb.c.

ความคิดเห็นที่ : 10


   ขออภัย อาจใช้คำผิดไปนะ ไม่ได้ต้องการจะบอกว่า คนที่ถูกรับเข้ามาเป็นคนดี คนที่ถูกคัดออกไปเป็นคนไม่ดี จึงชี้แจงมา ณ ที่นี้ เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ตรงกัน ^_^ มาแสดงความคิดเห็นกันดีกว่า อย่าจับผิดกัน ดีชั่วได้รู้แจ้ง ผิดพลาดได้แก้ไข

Posted by : ll , Date : 2005-05-19 , Time : 13:13:36 , From IP : dial-63.ras-1.spb.c.

ความคิดเห็นที่ : 11


   คุณ pisces อยากขอยกตัวอย่างแพทย์ที่จบไปแล้ว ไปทำอาชีพอื่น เช่นทำธุรกิจ เล่นหุ้น ฯลฯ วิชาที่ได้ศึกษาไปก็เลือนลาง เสียงบประมาณประเทศชาติที่ใช้สนับสนุนการศึกษา นอกจากนี้ ผู้ที่เรียนไปเพื่อนหวังกำไร(เน้นกำไร) เขาอาจตั้งใจเรียน ถือได้ว่ามีแรงบัลดาลใจ มีความมุ่งมั่นในวิชาชีพ มีแรงจูงใจในการเป็นแพทย์(^_^ เลียนแบบคำเจ้าของกระทู้) แต่กลับนำไปใช้เพื่อประโยชน์ส่วนตัว(อย่างสูง) กรณีนี้ มีแรงจูงใจ แต่ก็ส่งผลเสียต่อสังคม(ไม่อยากบอกว่าส่งผลเสียต่อสมาคมวิชาชีพแพทย์ เพราะดูเห็นแก่ตัว คิดถึงสังคม อย่าคิดถึงชื่อเสียงตน หรือพวกพ้อง) กลับไปที่ที่เราพยายามชี้ให้เห็น ผู้สัมภาษณ์ไม่อาจทราบได้(จริงๆ) ว่าผู้ที่ตนพิจารณา ตัวตนจริงๆ อาจเป็นอย่างไร เขาอาจโกหกได้แนบเนียน หรือเขาอาจมีทัศนะคติอย่างใดอย่างหนึ่งที่ถูกใจ หรือไม่ถูกใจ ผู้สัมภาษณ์ ซึ่งมันเปลี่ยนแปลงได้ตามกาลและเวลา
^_^ ท่านเห็นว่าอย่างไร ช่วยชี้แจง ขอบคุณ


Posted by : eeeeee , Date : 2005-05-19 , Time : 13:31:59 , From IP : dial-63.ras-1.spb.c.

ความคิดเห็นที่ : 12


   รวมถึงคุณ shinichi ถ้าพอมีเวลา กรุณาช่วยชี้แนะ อยากให้เป็นภาษาไทย จะได้เข้าใจอย่างชัดแจ้ง อันที่จริงอ่านไม่ค่อยออก
อนึ่งอย่าดูถูกผู้ที่อ่านไม่ออก เขียนไม่ได้ จงนึกถึงบรรพบุรษ
อักขระเป็นเพียงสิ่งสมมุติ
ทุกสิ่งล้วนเป็นอนัตตา การยึดติด ล้วนนำความทุกข์มาให้


Posted by : ee , Date : 2005-05-19 , Time : 13:45:56 , From IP : dial-63.ras-1.spb.c.

ความคิดเห็นที่ : 13


   ผมคิดว่าการขอคำชี้แจงสามารถทำได้และจะได้คำอธิบายอย่างเปิดเผยโดยการติดต่อไปยังแผนกที่รับผิดชอบโดยตรง ได้แก่หน่วยกิจการนักศึกษา และแพทยศาสตร์ศึกษา ผมเข้าใจว่าจะมีการอธิบายและซักถามข้อสงสัยอย่าง face-to-face น่าจะมีประสิทธิภาพดีกว่าการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นโดยการส่งกระทู้หรือไม่?

แต่ละที่แต่ละสถาบันมีเกณฑ์และมีระเบียบเงื่อนไขในการรับคน ผมเข้าใจว่าผู้สมัครได้ทำความความเข้าใจและตกลงว่าระบบที่กำลังจะเข้ามาร่วมนั้นเป็นที่ยอมรับตั้งแต่แรก เช่น ถ้าใครไม่เชื่อว่าระบบสัมภาษณ์เป็นการสอบที่ยุติธรรม หรือดีพอ ก็คงจะพิจารณาว่า "ระบบ" ของสถาบันนั้นๆไม่ได้ตรงกับสิ่งที่ตนองจะทำใจได้ แต่ถ้า "เชื่อ" ว่าระบบที่ว่านั้น OK จึงมาร่วมกิจกรรมกันใช่ไหมครับ

ขึ้นชื่อว่าการสอบ มันก็จะมีเกณฑ์ต่างๆ คุณค่าต่างๆ ที่แต่ละสถาบันมีการ set value ไว้ ระบบสัมภาษณ์จริงอยู่ไม่ใช่ระบบที่ fail-safe และคนที่ผ่านการสอบสัมภาษณ์ก็สามารถเตรียมตัวมาก่อน หรือเกิดการเปลี่ยนแปลงในภายหลังไปเป็นคนอื่น แต่เป้นระบบที่ "คัดกรอง" ว่าขนาดรู้ๆว่าจะมีการคัดกรองนี่ จะมีการปฏิสัมพันธ์และเลือกคำตอบอบ่างไร ถ้าเกิด candidate คิดว่าที่ตนเองตอบไปนั้นไม่สมควรจะสอบไมผ่าน ก็มีช่องทางที่ผู้ที่สงสัยไปตรวจสอบดูคะแนนหรือดูรายละเอียดของคำตอบได้จากช่องทางข้างบนครับ

แต่ถ้าไม่เชื่อในระบบสัมภาษณ์ตั้งแต่ต้น ผมว่าเรามาพูดกันตอนนี้จะไม่เข้ากันกับการที่ได้เข้ามาทดสอบกับระบบที่ตนเองไม่เห็นด้วยตั้งแต่แรกนะครับ ข้อจำกัดคือผมไม่แน่ใจว่าในประเทศไทย มีคณะแพทย์ไหนที่การันตีสอบสัมภาษณ์ผ่านหมด หรือไม่มีการสอบสัมภาษณ์บ้าง









Posted by : Phoenix , Date : 2005-05-19 , Time : 17:48:51 , From IP : 203.156.36.7

ความคิดเห็นที่ : 14


   ผมว่า แพทย์เนี่ยจบไปแล้วต้องมีความตั้งใจดี ให้จบออกไปแล้วได้รับใช้ประชาชนนะครับ เพราะการเป็นแพทย์ สังคมจะให้อะไรหลายอย่าง โดยเฉพาะความเคารพ, ยกย่อง, นับถือ,และโอกาสดี ๆ หลายอย่าง

ตอนนี้ผมยังเรียนไม่จบ แต่ก็เคยนึกไปถึงวันข้างหน้าว่า บางทีผมอาจจะทำในสิ่งนั้นไม่เต็มที่ก็ได้


Posted by : bfy , Date : 2005-05-19 , Time : 19:31:26 , From IP : 172.29.4.36

ความคิดเห็นที่ : 15


   ขออภัย ที่พิมพ์คำผิด ขอคำชี้แนะ(ขอความเห็น) ไม่ใช่คำชี้แจง
ในด้านคำชี้แจง(ทำไมถึงตกสัมภาษณ์(ก็น่ารู้ไว้นะ))จะมีประโยชน์ต่อผู้ตั้งกระทู้ ถ้าต้องการความกระจ่าง(ชีวิตยังต้องดิ้นรน) ก็ไปขอได้(Phoenix บอกมาว่าไปขอได้)
ทางเราเห็นว่าการโพสกระทู้เป็นเพียงการแลกเปลี่ยนความเห็น(ที่ค่อนข้างเปิดเผยจะมากกว่า หรือน้อยกว่า การเผชิญหน้า ก็แล้วแต่กรณี เช่น การเผชิญหน้ามีการแสดงตัวตน แต่กระทู้ผู้พิมพ์มีโอกาสได้คิดเป็นเวลาเท่าไหร่ก็ได้ก่อนโพส นอกจากนั้น ยังกล้าที่จะแสดงความคิดเห็นบางอย่าง) คงยากที่จะส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในกลุ่มองค์กร แต่การรับฟังความคิดเห็นผู้อื่น ย่อมส่งผลประโยชน์ต่อบุคคลที่รับฟัง
ขออภัยอีกครั้ง การโพสของทางเรา ไม่ได้พยายามที่จะข้องเกี่ยวกับเหตุการ การสอบสัมภาษณ์ไม่ผ่านของผู้ตั้งกระทู้ หรือเพื่อนผู้ตั้งกระทู้ หรือ ฯลฯ (ทางเรากล่าวถึงผู้สัมภาษณ์) เพราะ ทางเราไม่ทราบว่าผู้รับการสอบสัมภาษณ์ เป็นใคร มีอะไร หรืออย่างไรที่ทำให้ไม่ผ่านการสอบ และในกรณีที่เราพูดถึงนั้น ผู้รับการสอบสัมภาษณ์เป็นบุคคลใดๆ ที่มีองค์ประกอบครบตามเงื่อนไขของทางคณะ แต่มีทัศนะที่ต่างออกไป(ซึ่งไม่ใช่ทัศนะที่ร้ายแรง) ซื่งอาจทำให้ผู้สัมภาษณ์ตีความ(ด้วยตัวเอง(ไม่ได้บอกว่าไม่มีสิทธิจะตีความ(รวมถึงสิทธิที่จะรับหรือไม่รับเข้าเรียน) แต่สิ่งที่อยากจะชี้คือการใช้สิทธิ ทั้งการตีความ และการไม่รับ(ตามความเห็นที่เคยโพสไว้นะ ไม่พิมพ์ซ้ำแล้ว))) ว่าไม่มีแรงจูงใจในการเป็นแพทย์(ดูไปก็เหมือนจะเกี่ยวกับเจ้าของกระทู้) ทั้งๆ ที่เป็นความคิดเห็นส่วนตัว แต่ก็ทำให้ผู้ถูกสัมภาษณ์หมดโอกาสที่จะได้เข้าศึกษา(ลองเอาทัศนะนั้นให้ผู้อื่นฟัง เค้าอาจมีความเห็นไม่ตรงกันกับผู้สัมภาษณ์ก็ได้)
ก็ขอขอบคุณ Phoenix ที่ให้คำแนะนำ
อย่างที่บอกแหละ ไม่ได้บอกให้รับหมด แต่ก่อนจะคัดรายชื่อผู้อื่นออก ควรคิดถึงผลดี ผลเสียทั้งกับตัวเขา และสังคมของเรา เวลา 1 ปีที่อาจจะต้องเสียไปของผู้สอบตก หรือต้องเสียโอกาส อื่นๆ


Posted by : hh , Date : 2005-05-19 , Time : 21:24:12 , From IP : p125-1222bkkSP4.C.cs

ความคิดเห็นที่ : 16


   ประเด็นคงจะอยู่ที่ว่าคำถามคำตอบที่เป็นหัวใจทำให้ตัดสินได้ตกนั้นเป็นเรื่องส่วนตัว (privacy) ของผู้เข้าสอบ ฉะนั้นวิธีที่ผ้เข้าสอบอยากจะ clarify เรือ่งความยุติธรรมนั้น เราคงไม่นำมา post บนกระดานข่าวสาธารณะ แต่เราคิดว่าคณะฯเราเปิดเผยพอที่ผู้เดือดร้อน หรือเจ้าทุกข์อยากจะดูผลคะแนนก็ทำได้ คณะฯไม่มีอะไรจะปิดบัง และคิดว่าเกณฑ์ต่างๆนั้นโปร่งใสครับ ที่ผ่านมาก็เคยมีคนขอดู พร้อมทั้งผู้ปกครอง พอทราบรายละเอียดก็ไม่เห็นมีการสืบสาวราวเรื่องอะไรต่อ แล้วก็กลับบ้านไป สบายใจที่การสนทนาเป็นการทำอย่างส่วนตัวกัน

การสอบสัมภาษณ์ในทุกๆที่นั้น กรรมการสอบสัมภาษณ์กลางจะถูกคัดเลือกมาก่อนแน่นอนครับ และมี "เกณฑ์" ที่สถาบัน องค์กรนั้นๆตั้งไว้ให้เป็นการ check ให้คะแนน เกณฑ์หมวดต่างๆมีคำอธิบายว่า set คำถามแบบไหนสำหรับหมวดอะไร เช่น ความซื่อสัตย์ ก็ถามเรื่องคิดยังไงจะทำยังไงถ้ามีเห็นคนโกงข้อสอบ เป็นต้น คะแนนรวมนั้นมาจากการซักถามผมคิดว่าราวๆ 45 นาทีถึง 1 ชั่วโมงต่อคนต่อกรรมการสัมภาษณ์ฉะนั้นบางทรรศนะที่ไม่แน่ใจหรือคิดว่าผู้สัมภาษณ์ตอบกำกวมจะพอมีเวลาถามต่อ และแต่ละคำตอบมีกรรมการสามคนให้คะแนนในคำตอบเดียวกันความเห็นส่วนตัวเพียงคนเดียวจะไม่มีผลกระทบต่อกรรมการอีกสองคน เพราะหลังจากให้คะแนนเสร็จ กรรมการกลางก็เก็บคะแนนไปเลย ไม่มีการคุยถามกันระหว่างกรรมการระหว่างแต่ละการสัมภาษณ์ มี set คำถามเป็น 10 กว่า sets ถ้ารวมคะแนนแล้ว ผู้ให้สัมภาษณ์สามารถ convince กรรมการทั้งหมดจนคิดว่าไม่เหมาะสมก็น่าคิดเหมือนกันนะครับว่าเขาตอบกันอีท่าไหน

คำถามที่ไม่ใช่ทรรศนะที่จะเกี่ยวกับอาชีพแพทย์นั้น คงไม่ได้มีคะแนนให้หรือถูกหักคะแนนออกไป เน่องจากมีหัวข้อหลักที่เกี่ยวกับการสัมภาษณ์มากมายพอสมควร คนที่จะไม่ผ่านนั้นจะต้องทำคะแนนที่ไม่ค่อยน่าประทับใจกว่าครึ่งหรือมากพอสมควร และกับกรรมการอย่างน้อยสองในสาม จนกระทั่งดึงคะแนนให้ไม่ผ่านได้ ผมคิดว่าไม่มีคำถามที่เปนแค่ความคิดเสรีต่างๆ เช่น ศาสนา ความเชื่อ การเมือง อะไรทำนองนั้นและผมอยากจะเรียนคุณ hh ว่าอย่างนี้ครับ คนที่ให้คะแนนอยู่ทุกนั้น รับรองตระหนักและ serious จริงจังไม่แพ้คุณ hh ว่าคะแนนนั้นจะมีนัยสำคัญอย่างไร กรรมการทุกๆคนตระหนักและทราบว่ากำลังรับผิดชอบกรองนักศึกษาแพทย์อยู่ และที่รับผิดชอบนั้นไม่ได้เฉพาะเด็กที่มาสัมภาษณ์ กรรมการทุกคนกำลังนึกถึงคนไข้ที่กำลังจะถูกรักษาในอนาคตเป็นหลักสำคัญที่สุด และทราบว่าเราอาจ (เพราะไม่ทราบคะแนนของกรรมการท่านอื่น) กำลังคัดออกเด็ก

ผมไม่ใคร่สบายใจที่มีคนเขียนว่า (ใช่ ต้องการคนดี แต่แน่ใจหรือยังว่าคนที่เราชี้ว่าเขาไม่ดี จะไม่ดี ควรตรวจสอบตัวเองก่อนว่าดีพอที่จะว่าผู้ใดดี หรือไม่ดี(คนดีเค้าคงไม่ไปตัดสินคนอื่น)) ครับ เพราะหมายความว่าจริงๆแล้ววิธีการสอบสัมภาษณ์นั้นไม่ valid เนื่องจากทุกๆการสอบสัมภาษณ์ในโลกนี้ จะต้องมีการ scoring เกิดขึ้นแน่นอน ผมเชื่อว่าคนที่มา posdt นี่ทุกคนก็เคยผ่านการสอบสัมภาษณ์ และถูกประเมินว่าผ่าน ทียังงั้นที่เขา "ตัดสิน" ว่าผ่านกลับเป็นคนดี และเมื่อไหร่ตัดสินไม่ผ่าน ก็เป็นคนเลวไปกระนั้นหรือ? ถ้าคนเดียวอาจจะบังเกิดอคติ แต่ถ้ากรรมการมีหลายๆคนและทุกคนมีความเห็นตรงกันมันก็มีความหมายอะไรพอสมควรใช่ไหมครับ



Posted by : Phoenix , Date : 2005-05-19 , Time : 21:55:41 , From IP : 172.29.7.34

ความคิดเห็นที่ : 17


   การสอบสัมภาษณ์เสมือนเป็นการพบคนคนหนึ่ง เราต้องการคนที่มีความต้องการที่จะเป็นแพทย์จริง ต้องการคนที่มีปฏิภาณไหวพริบที่ดี มีความรู้รอบตัว การสอบสัมภาษณ์เป็นการพบกันเบื้องต้น คนที่มาสอบรู้อยู่แล้วว่าจะมีการสัมภาษณ์ ต้องมีการเตรียมตัวบ้าง ไม่ใช่เดินเข้ามาแบบไม่มีอะไร หรือแสดงพฤติกรรมที่เราไม่ต้องการ ผมคิดว่าเรามีเกณฑ์มาตรฐานพอสมควร รวมทั้งมีระบบในการกรองเช่นกัน เราไม่ได้คัดคนที่ดีที่สุด แต่เราคัดคนที่คิดว่าไม่พร้อม(น่าจะใช้คำนี้มากกว่า) เพราะคนเราไม่จำเป็นต้องพร้อมในเวลาเดียวกัน ปีนี้วันนี้คุณอาจไม่พร้อม แต่พร้อมในวันหน้า ดังนั้นคนที่ไม่ได้ไม่ได้หมายความว่าไม่ดี เพียงแต่อาจจะไม่พร้อมในวันนั้น และระบบในการตัดสินให้ไม่ผ่าน ไม่ใช่จะตัดสินแบบง่าย เรามีกรรมการกลั่นกรองอีกชุด หากกรรมการชุดแรกตัดสินว่าไม่แน่ใจหรือว่าไมผ่าน กรรมการชุดที่สองซึ่งเป็นกรรมการที่มีประสบการณ์ ซึ่งจะมีจิตแพทย์ร่วมเป็นกรรมการด้วย และหากกรรมการชุดที่สองเห็นพ้องต้องกัน ก็ถือว่าสอบไม่ผ่าน หากชุดสองผ่าน ก็จะให้ผ่านโดยอาจมีการติดตามเพื่อช่วยเหลือเด็กนักเรียนต่อไป เด็กบางคนไม่ผ่านเพราะไม่ต้องการจะเป็นแพทย์แต่เรียนเพราะทางบ้านให้เรียน เช่นนี้ทำไมเราต้องฝืนใจให้เด็กเรียน ต่อ เพราะจะเป็นปัญหาต่อไปได้

Posted by : เรียงร้อยถ้อยคำ , Date : 2005-05-19 , Time : 23:07:39 , From IP : 172.29.7.27

ความคิดเห็นที่ : 18


   ผมเห็นด้วยที่คุณฟินิกซ์กล่าวถึงเรื่องที่ว่าขึ้นอยู่กับคำตอบของผู้รับการสัมภาษณ์ด้วย

แต่ส่วนตัวผมว่า การสอบเอนท์แล้วมารับการสัมภาษณ์ มันไม่สามารถวัดได้จริงหรอกครับว่า เราได้คนที่เหมาะสมที่จะเข้ามาเรียนในคณะ

อ่ะ ผมให้ประสิทธิภาพ60%

แล้วพูดตามตรง ยังมีเรื่องของการลอบบี้อีก

กล้าปฎิเสธไหมล่ะครับ ว่า ไม่มีเส้นสายในระบบนี้เลยแม้แต่นิด


เรื่องของคำถามเหมือนกัน ความเหมาะสมและประสิทธิภาพของคำถามในการตัดสินว่า ควรได้รับสิทธิ์เข้าศึกษาหรือไม่ ควรจะมีการทดสอบและปรับปรุงสม่ำเสมอนะครับ


ตอนผมเข้าป.ตรี จำได้เรยว่า ถูกถามว่า "ทำไมถึงอยากเรียน"(โห....ยอดฮิต)
กับ "ลิงกับค่าง ต่างกันยังไง"(ไม่ได้เกี่ยวกับสาขาเลยยย)

อ่อ แล้วผมว่า เรื่องคำถามนี่ ถ้าคิดกันซักหน่อย การที่จะตอบให้ถุกใจกรรมการมันคงไม่ได้ยากมากหนักหนาหรอกครับ ซึ่งโดยประเด็นหลัก คือ คุณต้องการสอบสัมภาษณ์ให้ผ่าน เรื่องแค่นี้ทำไม่ได้มันก้อสมควรตกละครับ

ส่วนตัวผมว่า การคัดดีที่สุดน่าจะเปงการให้ฝึกงานตามสายสาขา

แบบ แพทย์ศาสตร์ศิริราชพยาบาลที่ต้องรับการฝึกงานจาก รพ. ถึงจะมีสิทธิ์สอบนะครับ

คนที่ไม่มีใจรักจะเป็นแพทย์จริงๆก้อน่าจะรู้ตัวตั้งแต่ตอนฝึกงานแล้วล่ะครับ

เหมือนต่างประเทศ ที่มีการให้ฝึกงาน เป็นการขอใบcertificate เพื่อมายืนยันในการขอรับการสอบ



ถ้านำระบบนี้มารวมในระบบการรับเข้า น่าจะดีมากนะครับ

เห้นว่า บางมหาวิทยาลัยก้อนำไปใช้แล้ว


อ่อ อีกเรื่อง การสัมภาษณ์ในปัจจุบันนี่

กล้าปฎิเสธไหมครับ ว่า ไม่มีเรื่องของการใช้เส้นสายเลยแม้แต่นิด




ทั้งหมดนี่เป็นความเห็นส่วนตัวนะครับ จะว่ามองโลกในแง่ร้ายก้อไม่ว่ากัน
ผมมองที่ความจริงครับ


ปล. ตะกี๋พิมพ์ไปรอบ แล้วกดผิด กดลบซะงั้น

ปล.2 อย่าใส่ใจในเรื่องคำผิดพิมพ์ผิดมากเกินครับ กระทู้นี้ไม่ใช่คลาสเรียนภาษาไทย สนใจที่ข้อคิดและเนื้อหาดีกว่าครับ แอบเห็นมาหลายกระทู้และ หุหุ

ปล.อีกที ไม่ได้เรียนหมอ มอ. นะคร้าบ พอดีลิงค์ผ่านๆมา เลยแวะมาอ่านและออกความเห็น คงไม่ถึงกับกีดกันความเห็นภายนอกนาครับ





ขอบคุณครับ


Posted by : คนๆหนึ่ง , Date : 2005-05-19 , Time : 23:08:06 , From IP : fi.ba.116.216.revip2

ความคิดเห็นที่ : 19


   ผมไม่แน่ใจว่าการท้าพูดว่ากล้าหรือไม่กล้าปฏิเสธนั้นมีส่วนเพิ่มน้ำหนักในการอภิปรายแบบนี้อย่างไร แต่ผมคิดว่าการสอบสัมภาษณ์ที่ คณะแพทย์ฯมอ. ไม่มีระบบเส้นสายครับ ไม่ได้ใช้ความกล้าอะไร เป็นแค่ความรู้สึก และจาก "ความรู้" นิดหน่อยว่าขั้นตอนกระบวนการเขาทำกันอย่างไร ไม่ทราบจะ qualified เป็นการการ "กล้าปฏิเสธ" รึเปล่า?

ประสิทธิภาพ 60% นั้นแปลว่า? และวัดจากอะไรครับ อยากจะสื่อใน frame เดียวกันว่าเรากำลังพูดถึงเกณฑ์อะไร วัดยังไง

ที่จริงนักศึกษาที่มานั้นก็หลายคนได้ไปฝึกงานตาม รพ.ต่างๆครับ และผมเชื่อว่าสิ่งเหล่านี้ก็ถูกนำมาพิจารณาในการให้คะแนนด้วยเช่นกัน ไม่ว่าจะฝึกที่ศิริราช หรือรพ.ยะลา รพ.แถวๆนี้ ในใบประวัติที่ให้นักศึกษาเขียน มีคำถามเรื่องนี้พอสมควรทีเดียว และเรื่องนี้ถูกรวมอยู่ในแบบฟอร์มการสอบสัมภาษณ์มาหลายปีแล้วครับ ดังนั้นเป็นข้อมูลที่กรรมการใช้ด้วยแน่นอนครับ และผมคิดว่าทุกมหาวิทยาลัยไม่น่าจะละเลยข้อมูลอันนี้

ผมสนใจประเด็นที่ว่า "มองที่ความจริง" ของคุณคนๆหนึ่ง เรื่องเส้นสายอะไรนี่น่ะครับ ถ้าคิดว่าสามารถ share ข้อมูล ข้อเท็จจริงที่ทำให้เกิด "ข้อสรุป" ว่ามีการใช้เส้นสาย หรือ lobby จริง ผมคิดว่าน่าจะนำออกมาเปิดเผยให้สาธารณชนรู้ การเขียนแบบบัตรสนเท่ห์นั้น ไม่เป็นเรื่องที่แนะนำ เพราะจะเป็นการสร้าง rumour หรือเกมส์ข่าวลือ ใครๆก็เขียนว่าของตนเป็นเรื่องจริง (เหมือนกับที่คุณให้ใครบอกว่า กล้า ไม่กล้า นั่นแหละครับ) ที่ผมบอกว่าเป็นเรื่องจริงอย่างไร ก็ไม่เห็นน่าจะทำให้คุณเชื่อหรือไม่เชื่อ ตรงนี้คนที่คิดว่ามีควัน มีไฟ น่าจะเป็นฝ่ายเสนอหลักฐานนะครับ (เพราะฝ่ายที่บอกว่าไม่มี จะหาหลักฐานว่า "ไม่มีหลักฐาน" ก็คงจะยาก) ผมสนใจในประเด็นที่ว่าคุณไม่ได้เรียนที่นี่แต่ปักใจเชื่อว่าเรามีระบบเส้นสายด้วยว่า "ทำไม" จึงมีการตัดสินอย่างที่ว่า

ผมเห็นด้วยครับว่าเราไม่สามารถการันตีว่าคนที่เรา "รับ" เข้ามาจะดีจริงหมด และการสัมภาษณ์ก็ไม่ได้มีจุดประสงค์อย่างนั้น การสัมภาษณ์นี่ก็เพื่อกรองคนที่เราคิดว่ามีคุณสมบัติ "ไม่ตรง" กับเกณฑ์ที่คณะฯคิดว่าคนที่เป็นแพทย์ควรจะมีจากการแสดงออก ณ วันนั้น นัยสำคัญของการสอบสัมภาษณ์มีความสำคัญอย่างไร ผู้เข้าสอบน่าจะเข้าใจเป็นอย่างดี



Posted by : Phoenix , Date : 2005-05-20 , Time : 00:06:04 , From IP : 172.29.7.34

ความคิดเห็นที่ : 20


   ขอบคุณคุณPhoenix มากๆ รวมถึงทุกๆ คนที่แสดงความเห็น
ส่วนย่อหน้าสุดท้ายได้ชี้แจงไว้แล้วนะ ว่าพิมพ์เราไม่ถูกเอง ไม่ได้หมายความว่าคนที่ถูกคัดออกจะเป็นคนไม่ดี คนที่คัดเข้ามาจะเป็นคนดี ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย
ก็เหมือนจะเข้าใจกันนะ (555 คิดว่าเข้าใจละกัน)
ใช่ มันขึ้นอยู่กับคำตอบขอบผู้ถูกสัมภาษณ์ ก็อย่างที่คุณ"คนๆหนึ่ง"บอกตอบให้พอใจกรรมการ ทำไม่ได้ก็สมควรตก คิดว่าคนส่วนใหญ่ก็ตอบอย่างนี้แหละ เพราะถ้าหักมุมเยอะ(วัดจากแนวทางการตอบอุดมคตินะ) ก็คือไม่อยากเรียนนั่นเอง ก็ได้บอกไปแล้ว ถ้าเค้าไม่อยากเรียนจะรับทำไม
ที่คุณPhoenix ชี้แจงเรื่องวิธีการสอบสัมภาษณ์ เป็นแนวอุดมคติดี
ที่คุณ"คนๆหนึ่ง"บอกก็น่าคิดนะ เรื่องเส้นสาย ขอใช้คำว่า อคติดีกว่า มี 4 ข้อดูได้จากหนังสือธรรมะนะ


Posted by : thank , Date : 2005-05-20 , Time : 00:25:33 , From IP : 203.113.71.106

ความคิดเห็นที่ : 21


   โอ จริงของคุณฟีนิกซ์

ผมเองคงต้องศึกษาและลด อคติ กับเรื่องนี้ลงบ้าง


จากการได้รับคำชี้แจงจากคุณฟินิกซ์แล้ว

ผมพบว่า ที่ผมสื่อออกไป มีความกำกวมในหลายจุด

ซึ่งผมเองผิดที่สื่อออกมาได้ไม่ดี

1*.คือ เส้นสาย นับจากทั้งระบบรวมครับ ไม่ใช่เฉพาะที่คณะแพทย์ มอ.
ซึ่งการที่ผมสื่อออกมาค่อนข้างไม่กระจ่าง อาจะทำให้เหมือนเป็นการดูหมิ่นคณะแพทยศาสตร์ มอ.
** ขอขออภัยอย่างยิ่งด้วยครับ ตัวผมไม่ได้มีเจตนาลบหลู่ดูหมิ่นครับ**

2. ส่วนของประสิทธิภาพ60% ผมวัดจากระบบโดยรวมคือ
สามารถใช้คัดเด็กที่มีความตั้งใจจริงได้60%เท่านั้น อีก40%คือเด็กที่ ไม่แน่ใจ
และ เด็กที่เข้ามาตามค่านิยมหรือคำแนะนำจากผู้อื่นหรือคนรอบข้างครับ
(อันนี้เป็นการจัดตามความเห็นส่วนตัวครับ)

3.คำชี้แจงของคุณฟินิกซ์ทำให้ผมได้รู้อะไรหลายๆอย่างมากขึ้นครับ ซึ่งก้อต้องขอบคุณมา ณ ที่นี้

อ่อ ส่วนเรื่องหลักฐานในเรื่องของเส้นสายนะครับ ผมคงไม่สามารถพุดได้เต็มปากว่ามี เพราะมันเป็นเพียงการเล่าจากปากน่ะครับ ซึ่งหากกล่าวออกไปอาจไม่เป็นการดีและอาจถือเป็นการกล่าวพาดพิงซึ่งอาจเป็นการดูหมิ่นสถาบันใดสถาบันหนึ่งได้ เอาเป็นว่า ผมพูดผิดและเป้นอคติส่วนตัวละกันนะครับ

พูดใหม่ เป็น หากมองในมุมที่ระบุชัดขึ้น

การที่ใช้เส้นสายเนี่ย น่าจะขึ้นอยุ่กับจรรยาบรรณส่วนตัวบุคคลมากกว่า

ซึ่งมองดูว่า การใช้ระบบสัมภาษณ์เพื่อคัดเข้า-ออกเนี่ย มันมีจุดอ่อนอยู่ที่
ตัวกรรมการนะครับ ว่า เค้ามีจรรยาบรรณแค่ไหน

ซึ่งถ้าถามว่า มีกรรมการ3คน ถ้าเกิดมีการlobbyไปเสียสองคน ก้อมีผลนะครับ

ซึ่งเอาจริงๆ ถ้าคุณมีอิทธิพลมากจริงๆ มันสามารถทำได้อยู่แล้ว

ผมขอถือวิสาสะจัดเป็นการใช้เส้นสายละกันนะครับ

และขอถือเป็นการเสนอความเห็นส่วนตัวแบบผ่านๆนะครับ แบบหยอดความคิดนะ หุหุ


โดยประเด็นหลักคืออยากจะบอกว่า ระบบคัดเลือกของเราตอนนี้ไม่ดีที่สุด
ซึ่งควรมีการปรับปรุง แต่ก้อต้องถือว่า ดีในระดับหนึ่ง
ซึ่งการนำเกณฑ์มาตรฐานจากต่างประเทศมาวัด คงจะใช้ไม่ได้ เนื่องจากระบบความคิดของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ผมว่านะครับ


อ่อ จะว่าเป็นอคติส่วนตัวก้อถูกของคุณthankนะครับ ไม่เถียงเรย


แต่การอภิปรายจะให้ดีต้องมีฝ่ายค้านด้วยจริงไหมครับ การอภิปรายจิงจะเปิดมุมมองได้กว้างขึ้น ^^









Posted by : คนๆหนึ่ง , Date : 2005-05-20 , Time : 01:06:25 , From IP : fi.ba.116.216.revip2

ความคิดเห็นที่ : 22


   ผมเห็นด้วยว่ายังไม่มีระบบที่ fail-proof 100% ฉะนั้นที่เราพึงกระทำคือศึกษาจุดโหว่ของ tool แล้วหาทางแก้ ก็เหมือนกับการทำวิจัยแหละครับ ยากที่จะขจัด noise แต่เราสามารถขจัด bias หรือ systemic error จาก methodology ได้

characteristics พื้นฐานในด้านการเรียนได้แก่ cognitive, psychomotor, attitude นั้น เป็น 3 damains ในการทดสอบทั่วๆไป เดี๋ยวนี้ในรายวิชาหรือคณะฯที่มีความต้องการพิเศษมักจะ add aptitude test เข้าไปด้วย เช่น การทดสอบความสามารถในการอ่านจับใจความ การวิเคราะห์ และการทดสอบเชิงจริยธรรม ตรงนี้ผู้สอบอาจจะเตรียมและ "หลอก" ได้หากมีเวลาพอสมควรในการ design และพยายามเดาว่าอะไรคือคำตอบที่คนทดสอบต้องการ ฉะนั้นในการประเมินสัมภาษณ์ทั่วๆไปนั้น หรือการทดสอบทางจิตวิทยา เขาจะจำกัดเวลาคิด และเน้นปฏิกิริยาที่เป็นธรรมชาติ เช่น ink-blot test ที่ให้พูดสิ่งที่คิดทันทีที่เห็นหยดหมึก การให้เขียนเรียงความหรือบทความวิเคราะห์ในเวลาที่จำกัดมากๆ รูปแบการสอบ oral interview ก็ได้ประโยชน์ตรงนี้ เพราะคำถาม domain หนึ่งๆ เช่น ความซื่อสัตย์ ความอดทน การควบคุมอารมณื ฯลฯ ที่เป็นคุณสมบัติพื้นฐานที่สำคัญหลายๆอย่างสามารถทดสอบได้โดยคำถามมากมายหลายแบบที่ "เตี๊ยมยาก" กว่าการเขียน ก็เหมใอนที่ว่าไว้ข้างบนแหละครับ การเขียนโต้ตอบกระทู้ มันดีกว่าการ face-to-face ตรงที่มักจะมีเวลามากกว่า นั่นก็แปลว่าเราอาจจะไม่ได้ probe Id or ego แต่กำลังพดอยู่กับ super-ego แทน ก็ไม่ได้ตรงกับตัวคนๆนั้นจริงๆ

เรามีนักเรียนที่เข้าสอบสัมภาษณ์เหยียบร้อยคน กรรมการสอบสัมภาษณ์ก็เป็นหลายสิบคน มีเจ้าหน้าที่ช่วยในการจัดแบ่ง group เรียงชื่อนักเรียน และจัด match อาจารย์ โดยที่อาจารย์คนที่มาเป็นกรรมการก็พึ่งรู้ตัวไม่กี่วัน และพึ่งรู้ว่าจะสอบกับใครไม่ถึง 24 ชั่วโมงก่อนสอบ ถ้าจะมีการ "ซื้อตัว" กรรมการที่จะตรงกับเด็กที่ต้องการจริงๆ คุณจะต้องซื้อกรรมการและเจ้าหน้าที่มากมายหลายคน และโอกาสที่จะ leak ว่ามีการทุจริตนั้นจะสูงมาก คนที่มีอิทธิลมากๆน่าจะรู้ว่าส่งไปเรียนมหาวิทยาลัยแพทย์เอกชนที่สิงค์โปร์หรืออเมริกานั้นง่ายกว่าเยอะที่จะมาลงทุน bribe อาจารย์จำนวนมาก เจ้าหน้าที่เป็นสิบๆคน แถมยังไม่แน่ว่าจะสำเร็จง่ายๆ ดีไม่ดีจะ backfire ได้เยอะกว่า

ข้อสำคัญคือเรากำลังพูดถึง "การไม่รับ" ไม่ใช่หรือครับ ไม่ใช่การรับ และโควต้าที่มีก็สามารถรับได้ทั้งหมด ไม่จำเป็นต้องเส้นให้เด้งใครออก เพื่อจะได้ยัดใครเข้า ฉะนั้นทุจริตหรือเส้นที่ว่าน่าจะเป็นการ "ยัดเข้า" ไม่ใช่ bribe ให้เอาใครออก ยกเว้นคุณกำลังบอกว่ามีเด็กบางคนไปทะเลาะกับเจ้าพ่อที่มีเส้นสาย และเจ้าพ่อคนนั้นมาติดสินบนคณะแพทย์ทำโทษเด็กคนนี้โดยการทำให้สอบตกสัมภาษณ์ มันหลายขั้นตอน ไม่สมกับเป็นเจ้าพ่อเท่าไหร่เลยนะครับ จ้างนักเลงไปตีหัวอาจจะ simple กว่าเยอะ







Posted by : Phoenix , Date : 2005-05-20 , Time : 02:13:21 , From IP : 172.29.7.84

ความคิดเห็นที่ : 23


   เรียน อ.นกไฟ

หัวข้อในการสอบสัมภาษณ์ และเกณท์ต่างๆ นั้น ไม่น่าเป็นความลับ ที่ต้องปิดบัง

เป็นไปได้ไหมครับ หากขอตัวอย่างให้เห็น ซักหน่อย พอสังเขป ว่าแบบไหน ไม่น่ารับ และแบบไหน สมควรรับ

คาดว่าการเปิดเผยนั้น น่าจะเป็นประโยชน์ และสร้างความเข้าใจได้

และหาก มั่นใจ ในระบบของการใช้หัวข้อดังกล่าว ยิ่งน่าเปิดเผย


แต่หากความคิดดังกล่าวไม่ถูกต้อง เช่นหากเปิดเยแล้วจะมีผลเสีย

แสดงว่าผมยังไม่ทราบ และคิดผิด

ผิดพลาดประการใดโปรดชี้แนะ


Posted by : OmniSci , Date : 2005-05-20 , Time : 09:05:38 , From IP : 172.29.7.227

ความคิดเห็นที่ : 24


   กระทู้ข้างล่างอาจเกี่ยวกับหัวข้อนี้อยู่ คิดว่าน่าสนใจ

http://medinfo.psu.ac.th/pr/WebBoard/readboard.php?id=4490


Posted by : OmniSci , Date : 2005-05-20 , Time : 09:17:13 , From IP : 172.29.7.227

ความคิดเห็นที่ : 25


   ผมไม่อยากให้เกิดการ "ติว" สอบสัมภาษณ์ขึ้นครับ set ของคำถามคำตอบที่สามารถ "เตรียม" และ "เตี๊ยม" ได้นั้นจะลดคุณค่าของการสัมภาษณ์ที่จะทราบ "ความคิด" ของ candidate จริงๆ

domains หลักๆผมจำไม่ได้หมด ได้แก่ แรงบันดาลใจการเป็นแพทย์ ความซื่อสัตย์ คุณธรรม การทำงานเป็นทีม ความสามารถในการเข้ากับผู้อื่น การเคารพ autonomy ของผู้อื่น อืม... อะไรอีกหว่าจำไม่ได้แล้ว ผมว่า domain เหล่านี้ไม่บอกก็เดาได้อยู่แล้วครับ ดูจากนักศึกษาส่วนใหญ่ก็ผ่านเข้ามาได้ดี อย่าให้ถึงกับต้องมีการเฉลยคำตอบที่เราต้องการ post ทาง website ล่วงหน้าเลยครับ ผมเคยบอกว่าการเตรียมตัวสอบสัมภาษณ์นั้นเราเตรียมมาแล้วเป็นสิบปี คือสิ่งที่เป็น "เรา" จริงๆนี่แหละ เพราะเราเชือว่าบรรยากาศการเรียน และเป้าประสงค์ปลายของคณะฯนั้นชัดเจน เราไม่ต้องการให้คนซักซ้อมมามากเพียงวันเดียว และเริ่มมี "โพย" แม้กระทั่งสอบสัมภาษณ์



Posted by : Phoenix , Date : 2005-05-20 , Time : 10:05:50 , From IP : 172.29.3.177

ความคิดเห็นที่ : 26


   อ้อ... อย่างที่บอกไว้แต่แรกว่าคำถามมีหลาย sets มาก ยกเว้นคำถามทีเด็ด เช่นทำไมอยากเป็นหมอ "อ๋อ.. อยากรวยครับ เท่ดีด้วย" หรือคิดยังไงกับกตัญญูกตเวที? "อ๋อ.. ไม่ต้องก็ได้ครับ เชย" อะไรทำนองนี้ ที่เหลือจะต้องรวมคะแนนทั้งหมดจากเป็นสิบๆคำถามนี่แหละเป็น general performance อีกที



Posted by : Phoenix , Date : 2005-05-20 , Time : 10:22:27 , From IP : 172.29.3.177

ความคิดเห็นที่ : 27


   แล้วอย่างนี้เค้าจะไปเรียนที่ไหนล่ะเคยคิดบ้างไหม เพราะนี่เป็นการสอบรอบสุดท้ายหากคุณจะไม่รับเขาก็บอกแต่แรกสิ จะได้ไม่เสียโอกาส เขาอาจจะได้เรียนในคณะแพทย์ที่อื่นไปแล้วก็ได้ รามาไม่เห็นมีตกเลยสักคน เพราะเขาเข้าใจและมีจรรยาพอ

Posted by : นศพ.แห่งหนึ่ง , Date : 2005-05-20 , Time : 11:36:48 , From IP : 202.129.37.114

ความคิดเห็นที่ : 28


   ไปกันใหญ่แล้ว เป็นงี้ทุกกระทู้เลยสิให้ตายเหอะ
เอางี้นะน้อง
เพื่อนพี่ (มีตัวตนจริง) ตอนนี้เรียนอยู่ที่วิศวกรรมศาสตร์เกษตรศาสตร์
นามสมมติว่าหนุ่ม ตอนแรกเพื่อนพี่คนนี้เรียนเภสัช จุฬา แต่พ่อแม่ไม่พอใจอยากให้เรียนหมอ เอ็นต์ใหม่ไปติด แพทย์ มช. ที่นี้พอสอบสัมภาษณ์ อาจารย์เขารู้ว่าไม่ได้อยากเรียนจริง ก็ตกอะสิ
สุดท้ายเขาถามว่าแล้วจริงๆมันอยากเรียนอะไร มันก็บอกเขาไปว่าวิศวะ มันเคยเลือกไว้ (ปีที่แล้ว) สุดท้ายเขาก็จัดส่งมันไปจนได้
เอาเป็นว่า ถ้าน้องตกสัมภาษณ์ด้วยสาเหตนั้นจริง
เข้ามาคุยกับคณะดู
ขอคำรับรองเป็นลายลักษณ์อักษร ว่าน้องไม่ได้บ้าหรือไม่สมประกอบทางจิต น้องเป็นคนที่สมบูรณ์พร้อม เพียงแต่คณาจารย์เห็นว่าไม่เหมาะสมกับอาชีพนี้เท่านั้น น้องยังสามารถเรียนที่อื่นได้ โดยไม่ต้องเสียเวลา 1 ปีด้วย ถ้าคะแนนน้องสูง ยิ่งไม่ต้องกังวลด้วย
เพียงแต่ต้องรีบหน่อยเท่านั้น

โชคดีนะจ๊ะ


Posted by : อะจึ๋ย , Date : 2005-05-20 , Time : 13:01:05 , From IP : digit03.aunet.au.ac.

ความคิดเห็นที่ : 29


   ถ้าตกสัมภาษแพทย์ ขอเข้าที่อื่นไม่ยากหรอก มีคนทำให้ได้ ถ้าไม่ได้บ้านะ

ผมเห็นด้วยกับคนข้างบน


Posted by : กดส่หส , Date : 2005-05-20 , Time : 14:02:09 , From IP : 61.19.25.2

ความคิดเห็นที่ : 30


   ถ้าใช้ logic ที่ว่าเป็นการสอบรอบสุดท้ายแล้วต้องให้ผ่าน ต้องรับให้ได้ มันก็ไม่ต้องสอบแล้วล่ะครับ แล้วเราจะบอกแต่แรกว่า "ไม่รับ" โดยไม่สอบสัมภาษณ์บนเหตุผลอะไรล่ะครับ? คณะแพทย์คงจะต้องทำอะไรที่มีหลักการมากกว่านั้นสักนิดหน่อย

รามาไม่เห็นมีตกเลยสักคน เพราะเขาเข้าใจและมีจรรยาพอ
ไม่ใคร่เข้าใจตรรกะตรงนี้นะครับ ตกลงที่รามาเขาประกาศสัญญาว่าจะไม่มีคนตก เพราะเขามีจรรยา? เพราะเข้าใจ? (เข้าใจอะไรครับ?) คุณ นศพ.แห่งหนึ่งอาจจะลองขยายความคำ "จรรยา" ว่าเรามีนิยามตรงกันไหม พูดกันถึงคำๆเดียวกันรึเปล่าก็ดีนะครับ



Posted by : Phoenix , Date : 2005-05-20 , Time : 14:26:46 , From IP : 172.29.3.62

ความคิดเห็นที่ : 31


   คุณ Phoenix ลองช่วยยกตัวอย่างว่า คนแบบไหนคือคนที่มีแรงบันดาลใจการเป็นแพทย์ ได้หรือไม่ การสรุปแรงบันดาลใจในคนคนหนึ่งน่าจะมาจากคำถามหลายคำถามใช่หรือไม่ ช่วยตอบหน่อย ขอบคุณมาก

Posted by : hh , Date : 2005-05-20 , Time : 16:08:20 , From IP : 203.113.71.100

ความคิดเห็นที่ : 32


   คำตอบของผมมันมีความหมายว่าอย่างไรในความรู้สึกของคนอื่นล่ะครับ?

โดยปกติ ผมเข้าใจว่าเวลากรรมการสอบสัมภาษณ์เตรียมตัว ผมคิดว่าเขาไม่ควรจะเตรียมคำตอบที่ถูกใจไว้ก่อน เพราะอย่างนั้นจะเป็นการไม่ยุติธรรมต่อเด็กที่จะต้องเดาใจ แต่จะใช้ reactionary จากสิ่งที่เด็กคิด และเด็กตอบ และน่าจะเป็น set ของการถามแบบสำรวจความหมาย มากกว่าจะเป็น single answer ที่เราจะเข้าใจรูปแบบความคิด

ถ้าจะยกตัวอย่างเช่น คนที่มีประสบการณ์ตรง มีญาติผู้ใหญ่ป่วยเป็นมะเร็งที่บ้าน เคยต้องช่วยดูแลมาเป็นเวลานาน เคยมีส่วนร่วมในการทำอะไรเพื่อคนอื่นเป็นต้น ผมคิดว่าตัวอย่างน่าจะเยอะทีเดียว อีกสักตัวอย่างเช่นตัวเองเป็นโรคเบาหวาน มีความทุกข์ที่ต้องปรับตัว และเห็นการเอาใจใส่ดูแลของหมอต่อตนเองทำให้ฟันฝ่าอุปสรรคมาได้ ฯลฯ ซึ่งบริบทแรงบันดาลใจนี้จะต้องมาจาก series ของคำถามคำตอบ (หรือจริงๆแล้วถ้าประทับใจจริงๆ ก็อาจจะเล่าเป็นเรื่องออกมารวดเดียวก็ได้ เหมือนกับเวลาเรา recite ภาพยนต์ที่เราชอบมากๆนั่นแหละครับ ออกมาเป็นฉากๆเลย)

ผมคิดว่ามีตัวอย่างชีวิตที่คนเราได้แรงบันดาลใจมากมายหลากหลาย คงจะไม่มีตัวอย่างไหนเป็น prototype ที่เราต้องการคือจากประสบการณ์ตรงมากกว่าครับว่าเราประทับใจ มีแรงบันดาลใจจะเป็นหมอนี่เพราะอะไร

ไม่ทราบบรรลุวัตถุประสงค์ที่ถามไหมครับ?



Posted by : Phoenix , Date : 2005-05-20 , Time : 17:12:42 , From IP : 172.29.7.20

ความคิดเห็นที่ : 33


   คนที่สอบตกสัมภาษณ์ส่วนใหญ่
1. คือคนที่ไม่อยากเรียน พูดมาเลยว่าไม่อยากเรียนแต่พ่อแม่อยากให้เรียนลองคิดดูว่าคุณจะให้เข้ามาเรียนหรือไม่
2. หากถามว่าแรงจูงใจในการอยากเรียนแพทย์ (รู้อยู่แล้วว่าจะต้องตอบคำถามนี้แต่ตอบไม่ได้) คิดว่าคุณควรจะให้ผ่านหรือไม่ ไม่มีคำตอบใดที่ถูกต้องเสมอ แรงจูงใจเป็นอย่างไรตอบแบบไหนก็คงได้ แต่ต้องแบบคนที่ต้องการจะเรียนแพทย์ ผมคิดว่าด้วยประสบการณ์ของคนสอบสัมภาษณ์ เราต้องการคนที่มีปฏิภาณไหวพริบในการตอบและการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า คนที่ตกส่วนใหญ่มักจะมีปัญหาคือไม่ตอบ หรือตอบไม่ได้ (อย่าลืมว่านี่เป็นคำถามยอดนิยมที่ต้องเตรียมหากตอบไม่ได้ก็ไม่น่าจะผ่าน) คนที่ตอบได้ไม่ได้หมายความว่าเขาจะมีแรงจูงใจเช่นนั้นจริง อาจจะมีจริงหรือไม่ก็ได้ ผมคิดว่าไม่ได้วัดเรื่องการตอบได้ แต่ต้องการวัดเชาวน์ปัญญา ไหวพริบในการตอบ
3. การสอบสัมภาษณ์แต่ละกลุ่มจะมีวัตถุประสงค์ต่างกัน นักเรียนจบชั้นม. 6 ย่อมไม่เหมือนนักเรียนที่จบปริญญาตรี เพราะการรับนักศึกษาปริญญาตรีเรามีเกณฑ์ที่เพิ่มขึ้น หากเราได้คนที่ตอบสัมภาษณ์ ไม่ต่างกับนักเรียนม. 6 เราคงไม่รับเข้ามาก็น่าจะไปรับเด็กจบม. 6 จะดีกว่า การถามปัญหาทั่วไป ความรู้รอบตัว สิ่งรอบตัว ทำให้เรารู้แนวคิดของเด็ก ว่าเป็นอย่างไร ผมคิดว่าคนสอบสัมภาษณ์ที่มีประสบการณ์สามารถบอกได้ว่าเป็นอย่างไรโดยใช้เวลาไม่ถึง 15 นาที แต่อย่าลืมว่าการสอบสัมภาษณ์เป็นการ screen ว่าผ่านหรือไม่ผ่าน แต่ไม่ได้รับประกันว่าคนได้มาจะดีพร้อม แต่อย่างน้อยผ่านเกณฑ์เบื้องต้น
4. มีบุคลิกภาพที่เบียงเบนไปจาก norm เช่นก้าวร้าว มีแนวคิดที่ต่างไปจาก norm ไม่พูด เงียบ เราคงไม่ต้องการหมอที่ไม่พูด หรือว่ามีบุคลิกก้าวร้าว หรือแสดงอารมณ์โกรธต่อกรรมการสอบ คนที่สอบผ่านแปลได้ว่าควบคุมอารมณ์ได้ แต่ไม่ได้หมายความว่าจะดีพร้อมเสมอ แต่การสอบสัมภาษณ์ ได้ชื่อว่าการสอบ อย่างน้อยจะต้องมีการเตรียมตัว พอสมควรและไม่แสดงพฤติกรรมดังกล่าวออกมา
ผมคิดว่ากรรมการสอบมีแนวทางในการที่จะทำให้ผู้สอบแสดงพฤติกรรมอะไรบางอย่างได้
5. โดยระบบผมยังมั่นใจว่าไม่มีระบบเส้นสายอย่างแน่นอน เพราะต่อให้มีกรรมการ 2ใน 3 ให้ผ่านหากยังสงสัย ก็ต้องสอบอีกรอบ และใช้กรรมการอีกชุดทำการสอบ(กรรมการที่เรียกว่าหินด้วยซ้ำมาอีกครั้งและมั่นใจว่าไม่มีการ lobby แน่นอน) กลุ่มปริญญาตรี จะเห็นได้ชัด ว่าบางปีจะไม่มีคนผ่านแม้กระทั่งข้อเขียนเข้ามาสัมภาษณ์


Posted by : 8888 , Date : 2005-05-20 , Time : 23:34:49 , From IP : 172.29.7.70

ความคิดเห็นที่ : 34


   ผมว่าเราจะโทษโครผิดโครถูก คงจะยาก เราไม่ทราบว่าทำไมกรรมการจึงให้ตก และตกด้วยเหตุผลอะไร และคำถามเหล่านั้นจริงๆแล้ว ถ้าไปถามคนอื่น ที่เป็นแพทย์ที่ดี แต่อาจจะตอบเหมือนเด็กที่สอบตกสัมภาษณ์ก็ได้ ผมเคยถามกรรมการหลายคนที่สอบสัมภาษณื โดยฟังคำถามที่เขาบอกว่าเด็กได้ตอบแบบนี้ แล้วสมควร ตก แต่ผมฟังแล้ว ไม่เห็นน่าจะเอาตกเลย ผมไม่โทษว่าโครผิดหรือถูก แต่ส่วนตัวแล้ว คิดว่าการที่กรรมการมานั่งฟังเด็กพูดในระยะเวลาสั้นๆ รวมทั้งอ่านเรียงความของเด็ก รวมถึงทดสอบทางจิตบ้าง ถ้าจะให้เด็กตก ต้องคิดให้มากๆๆๆ ถ้าผิดปกติชัดเจน ก็สมควรตก แต่ถ้าไม่ชัดเจน ผมไม่ขอบอกว่าน่าจะทำอย่างไร เด็กเรียนหนังสือหนักมาสิบกว่าปี อนาคตต้องพังทลายในระยะเวลาเพียงแค่ชั่วโมงเดียว ผมไม่โทษกรรมการ เพราะเรื่องเหล่านี้มันแล้วแต่มุมมองของแต่ละคน ผมไม่มีข้อมูล คงเอาเป็นว่า คิดเอาเองว่า หมอในปัจจุบันที่ผ่านการสัมภาษณ์ของคณะแพทย์เรา ก็เห็นมีทั้งดีและไม่ดีปนกัน ที่เราชมว่าดีๆ ก็มีเยอะแยะที่ปัจจุบันเปลี่ยนไปเป็นหมอเอกชน มีเงินเดือนสูงๆ หรือเปลี่ยนอาชีพไปทำอย่างอื่น ก็มีถมไป หมอที่จบอื่นก็เหมือนกัน ไม่ต่างกันหรอก ไม่ทราบว่าเราพยายามเอาจริงจรังกับการสร้างเกณฑ์มากมายในการสัมภาษณ์ เพื่อหวังจะสร้างตะแกรงกรองเด็กให้ดีที่สุด แต่เราทราบได้อย่างไรว่า มาตรฐานตะแกรงของเรามันดีจริง เคยพิสูจน์หรือมีข้อมูลที่ทำไปแล้วว่ามันกรองได้ดีจริง ผมว่าเราต้องคิดให้หนักมากในเรื่องนี้ เพราะเป็นการเอาความรู้สึก มาตัดสินอนาคตของเด็กทั้งชีวิต น่าจะมีการอัดเทปการสัมภาษณ์ รวมถึงเอกสารคำตอบของเด็ก มาให้ อาจารย์อื่นอีกกลุ่มที่ไม่ใช่กรรมการ มาช่วยออกความเห็น แต่กรรมการ อาจไม่เห็นด้วย เพราะเหมือนกับไม่เคารพกรรมการอีก ดูไปดูมาก็จะหาข้อสรุปไม่ได้อืก ส่วนตัวเองมีความคิดว่า ตัวเอง ถ้าเป็นกรรมการ จะมีความคิดว่า จะให้ผ่านสัมภาษณ์ทุกคนก่อน ดังนั้นคนที่จะตก ก็คือ คนที่ ผิดปกติจริงๆ ชัดเจนมากเท่านั้น ไม่รู้ว่าตัวเองคิดถูกหรือผิด แต่ทุกคนย่อมมีความคิดและหลักการของตัวเอง


Posted by : ขอแจมด้วยคน , Date : 2005-05-21 , Time : 00:03:06 , From IP : 172.29.7.100

ความคิดเห็นที่ : 35


   เราจะต้องตรวจสอบตะแกรงที่เราใช้กรองจริงๆหรือครับ

โดยวิธี?

เราเริ่มจากเด็กเป็นสองกลุ่มก่อน โดยแยกระหว่างเด็กที่สอบสัมภาษณ์ผ่านกับไม่ผ่านหรือครับ

สุดท้ายแล้วเราได้อะไร วัดจากอะไร




คุณ ขอแจมด้วยคนครับ ผมเข้าใจว่าอาจารย์ที่สอบสัมภาษณ์ส่วนใหญ่คิดเหมือนคุณตรงประโยคนี้นะครับ

" จะให้ผ่านสัมภาษณ์ทุกคนก่อน ดังนั้นคนที่จะตก ก็คือ คนที่ ผิดปกติจริงๆ ชัดเจนมากเท่านั้น"

ผมไม่เห็นเลยว่าทำไมอาจารย์แพทย์ต้องมา คิดว่าจะให้ตกทุกคนโดยที่เราให้ผ่านเฉพาะที่ไม่ผิดปกติชัดเจนจริงๆ

ถ้าเป็นอย่างนั้น คนสัมภาษณ์น่าจะแปลกกว่าเด็กอีกนะครับ


แต่โดยสรุป เราไม่มีวันรู้ว่าเด็กที่เขาตกสัมภาษณ์ มีสาเหตุจากอะไร แล้วเค้าจะอยากให้รู้หรือเปล่า?


Posted by : เหอๆๆ , Date : 2005-05-21 , Time : 00:50:35 , From IP : 203.113.76.76

ความคิดเห็นที่ : 36


   ขอบคุณมากครับ อ.นกไฟ

ผมพอจะเข้าใจ (แต่ งง ๆ อยู่ ว่าถ้ามันเตี้ยมกันได้ แสดงว่า ถึงแม้ไม่ติว ก็ไม่ได้แสดงว่า คนที่ผ่านเข้าไป หรือคนที่ไม่ผ่าน จะเป็นอย่างที่พูด อีนนี้ก็ ยังน่าห่วงครับ)


เอาเป็นว่า ถ้าย้อนกลับไปในอดีตวันที่ หมอในวันนี้เข้ามาถูกสอบสัมภาษณ์ เป็นไปเยอะเลยที่จะตกสัมภาษณ์ :-P

แล้วรูปแบบการประเมินแบบนี้ สามารถ แบ่ง class ของผู้ผ่านสัมภาษณ์ได้ไหมครับ

เช่น อาจต้องจับตามองเป็นพิเศษ หากเห็นได้ชัดว่า อาจไม่เหมาะที่จะเรียนต่อ ก็ต้องจับมาพิจารณากันไหม

6ปี ที่เขาจะอยู่กับเรา ไม่น้อยเลยที่เราน่าจะคัดกรองอะไรได้อีก

น่าสนใจอีกอย่าง ที่มีใครดีใจไหม ที่ตกสัมภาษณ์ ที่จะไม่ต้องมาเป็น อย่างที่ตัวไม่อยากเป็น


Posted by : OmniSci , Date : 2005-05-21 , Time : 07:53:29 , From IP : 172.29.3.239

ความคิดเห็นที่ : 37


   ติวโดยกรรมการหรือผู้ที่มีสิทธิทำหน้าที่เป็นกรรมการสอบน่าจะต่างจากติวกันเองอยู่บ้างครับ จริงไหมครับคุณอมนี่สิ เอ๊ย ออมนิไซน์ (kidding )

และเข้าใจถูกครับ ที่ผ่านมาในกลุ่มที่สอบผ่านเอง เราก็มีกลุ่ม borderline กลุ่มที่เราพบว่ามี "trait" โน่นนิดนี่หน่อย แต่ไม่ถึงกับอะไรมาก ที่หน่วยกิจการนักศึกษาจัดกิจกรรมเสริมให้ต่อเนื่องอีกสองสามปี อันนี้เราไม่ได้โฆษณาให้ทุกคนทราบ ก็เลยอาจจะเข้าใจว่าเราสอบแล้วสอบเลยทีเดียว






Posted by : Phoenix , Date : 2005-05-21 , Time : 11:12:07 , From IP : 172.29.7.86

ความคิดเห็นที่ : 38


   ขอบคุณครับ

Just kidding..:-)


Posted by : OmniSci , Date : 2005-05-21 , Time : 14:37:18 , From IP : 172.29.7.88

ความคิดเห็นที่ : 39


   เอ่อ ขอเสนอนะครับ คืองี้ครับเพื่อนผมเข้าคอร์สปรับปรุงอะไรซักอย่างที่เกี่ยวกับพฤติกรรมหรือทรรศนคติอะไรนี่แหละครับเป็นของคณะแพทย์แต่เค้าไม่ได้ดีขึ้นเลยกลับมีแนวโน้มก้าวร้าวมากขึ้นผมอยากฝากนะครับว่าคนที่อยู่บน borderline อ่ะครับ ไม่เสี่ยงเอามาจะดีมะครับ ผมไม่กล้าคุยกะมันด้วยซำ้เพราะมันมองโลกขวางเกินควร(อันนี้ผมว่าคนใกล้มันคงรู้อ่ะครับ)เพื่อนผมทุกวันนี้มันยังใช้นิสัยเดิมอยู่เลย สงสารคนไทยจังครับ

เอ่อแล้วมีการให้ออกกลางคันเพราะนิสัยแย่ๆมะครับแบบก้าวร้าวหรือทรรศนคติไม่เหมาะสมน่ะครับ

ขอบคุณครับ


Posted by : auto9 , Date : 2005-05-21 , Time : 20:21:46 , From IP : 203.113.77.4

ความคิดเห็นที่ : 40


   คุณ auto9 ครับ

โดยทั่วๆไป เมื่อคณะแพทย์ได้ตัดสินใจรับเด็กเข้ามาอบรม เราจะพยายามทำทุกอย่างที่บัณฑิตของเราได้ตามเกณฑ์ที่ได้ตั้งไว้ เกณฑ์บางเรื่องเป็นคะแนน บางเรื่องเป็นพิสัย บางเรื่องเป็นการตัดสินใจของกรรมการหลายๆคน แต่ที่แน่ๆก็คือ เหมือนการตัดสินใจที่สำคัญทางการแพทย์ที่เกี่ยวกับจริยธรรม เราจะหลีกเลี่ยงการใช้ความรู้สึกส่วนบุคคล หรือของคนๆเดียวมาตัดสิน เช่น "อืม.. คนไข้คนนี้ตัวเม้น เหม็น ไม่น่าจะมีคุณภาพชีวิต อย่าไปรักษามันเลย" หรือ "อย่างนี้ ถ้าเป็นผม ผมขอตายดีกว่า ฉะนั้นก็อย่าไปรักษา"

การพัฒฯปรับปรุงใช้เวลาจริงครับ มีทั้งอุปสรรค และอาจจะขึ้นๆลงๆ และผมคิดว่าทุกๆ block มีการประเมินและส่งต่อการประเมินมาอย่างต่อเนื่อง สำหรับคนที่กำลังมีปัญหาหรือมีแนวโน้มว่ากำลังจะมีปัญหา ผมคิดว่าในฐานะที่เราเป็นเพื่อน สิ่งที่จะช่วยเพื่อนได้ก็คือ report incident อะไรที่เป็นหลักฐานว่าเพื่อนเรากำลังมีพฤติกรรมที่ต้องการแก้ไข แก่หน่วยกิจการนักศึกษา เพื่อที่ทีมของคณะแพทย์ฯจะได้เข้าไปช่วยเหลือ เพราะบางทีเราก็อาจจะ miss incident เหล่านี้ไป ผมไม่ทราบว่าพฤติกรรมของเพื่อนคุณ auto9 มันเป็นยังไงแค่ไหน แต่นานๆเราจะเห็นการขอร้องทางกระดายข่าวให้คณะฯช่วยไล่เพื่อนออกจากการเป็นนักศึกษาสักที ถ้ามีปัญหาจริงๆลองเอามาปรึกษากัน จะได้มีหลายๆหัวมาหาทางแก้ดีไหมครับ?



Posted by : Phoenix , Date : 2005-05-21 , Time : 20:43:37 , From IP : 172.29.7.194

ความคิดเห็นที่ : 41


   ขอบคุณค่ะที่ให้หนูผ่านสัมภาษณ์ ขอสัญญาว่าจะตั้งใจเรียนเพื่อที่จะเป็นแพทย์ที่ดีในอนาคต

Posted by : ว่าที่ นศพ. ปี1 , Date : 2005-05-22 , Time : 13:30:49 , From IP : 61.7.141.252

ความคิดเห็นที่ : 42


   ก็รู้อยู่แล้วว่า มีการสัมพาษณ์ ทำไมไม่ยอมบอกเจตนารม ของตัวเองที่อยากเป็นแพทย์ให้กรรมการเขาฟังหละ แล้วอีกอย่างถ้าไม่ผ่านสอบสัมพาษณ์รอบแรกปกติเขาจะมีนักจิตวิทยามา3ท่าน มาสอบสัมพาษณ์อีกทีในรอบ2 แล้วเขาจะบอกด้วยหนิว่าคุณเป็นคนยังไงมีอะไรที่เป็นปัญหาต่อการเรียนแพทย์ (ผมรู้จากเพื่อนผมที่โดนสัมพาษณ์รอบ2)นะ ยกเว้นถ้าคุณไม่รู้เหตผล คือโดนไซโคแล้วรับไม่ได้เดินออกจากห้องมาก่อน แบบนี้คนนี้ที่ตกตกสัมพาษณ์ควรให้เรียนแพทย์หรือไม่ คงพิจราณากันเองได้ ผมไม่ขอตอและนะ

ป.ล. เห็นบ่นมานานแล้ว แทนที่จะทำใจยอมรับความจริง แล้วไปหาคณะใหม่
ยังมานั้นต่อความอีก แบบนี้ ยังจะ..........ผมไม่ขอต่อนะ


Posted by : นะ , Date : 2005-05-22 , Time : 17:53:19 , From IP : 203.113.76.8

ความคิดเห็นที่ : 43


   เอ้อ... ขอติงนิดเดียว เห็นคุณนะเขียนย้ำหลายครั้งเหลือเกิน คำว่า "สัมภาษณ์" ใช้ ภ สำเภานะครับ ไม่ใช่ พ พาน



Posted by : Phoenix , Date : 2005-05-22 , Time : 20:49:37 , From IP : 203.156.38.241

ความคิดเห็นที่ : 44


   ไม่ได้จะแสดงความเห็นอะไร แต่ใครบอกว่ารามาไม่มีตก ปีนี้รามาให้ตกสัมภาษณ์อย่างน้อยหนึ่งคนแน่นอน และไม่ได้บอกเหตุผลที่ให้ตกอีกด้วย

Posted by : magician , Date : 2005-05-22 , Time : 21:44:20 , From IP : 202.133.164.244

ความคิดเห็นที่ : 45


   ปีผมมีคนซิ่วมอ.จะไปรามาแต่รามาปฏิเสธเพราะอะไรไปถามกันเอง ....น่าจะรู้นะครับ..จ้าวววนายยยยยย

Posted by : auto9 , Date : 2005-05-23 , Time : 10:15:24 , From IP : 172.29.4.61

ความคิดเห็นที่ : 46


   อิจฉาเค้าหรือไง replyข้างบนอ่ะ
ตัวเองสอบไม่ได้เลยแสดงความชั่วออกมาในบอร์ด ทุเรศจริงๆ


Posted by : UMG-Rapper , Date : 2005-05-24 , Time : 13:50:38 , From IP : 172.29.4.64

ความคิดเห็นที่ : 47


   ผมไม่ได้สนใจครับว่าใครจะไปทำอะไรที่ไหน เพราะนั่นเป็นสิทธิของเขา ไม่ได้ยินดี ยินร้าย โกรธ หรือขนาดจับตาดูว่าเขาจะรับหรือไม่รับ และไม่คิดว่าด้วยว่าการที่รามาจะรับหรือไม่รับ เราจำเป็นต้องอยากรู้ว่าเพราะอะไร เพราะจะเป็นการเดาไปเท่านั้นยกเว้นได้คุยหรือได้ข้อมูลจากกรรมการตัดสินเอง

ผมคิดว่าเราน่าจะหันว่าสนใจ มีความภาคภูมิในตัวเองโดยการแสดงออกถึงความตั้งใจ ความรับผิดชอบ อย่างที่พวกเราเคยพูดไว้ตอนถูกสัมภาษณ์ดีไหมครับ เพื่อนของเราจะมีวิถีชีวิตอย่างไรนั้นอาจจะเป็น distraction สมาธิเราออกจากสิ่งที่ควรทำได้พอสมควร



Posted by : Phoenix , Date : 2005-05-24 , Time : 14:28:01 , From IP : 172.29.3.109

ความคิดเห็นที่ : 48


   เห็นด้วยกับคุณ888มากเลยนะ เพื่อนเคยตกสัมภาษณ์ที่นี่ แทบไม่เป็นผู้เป็นคนพ่อแม่เขาร้องให้นำตาแทบเป็นสายเลือด เขาเป็นความหวังของครอบครัวและมีความตั้งใจมาก เขาบอกว่าถ้าพ่อแม่เขาไม่เสียชีวิตคงไม่มีเหตุการณ์ใดที่ทำให้เขาเสียใจได้เท่านี้อีก แต่เขาก็ยอมรับโดยดี เพียงเขาโทรถามเหตุผลของการสอบตกเพื่อที่จะนำไปปรับปรุงแก้ไขเพื่อใช้ในการเข้าสังคมหรือให้ตัวเองรู้ข้อบกพร่องของเขาซึ่งทางคณะก็ไม่ได้บอก บอกว่าบอกไม่ได้เป็นความลับ เขาก็ไม่ได้ว่าอะไรแต่ผมเห็นเขาแล้วรู้สึกสงสารมากและเลยสงสารน้องด้วย....เสียใจด้วยจริงๆ

Posted by : เด็กบ้านนอก , Date : 2005-05-24 , Time : 16:04:56 , From IP : sqcache5.kku.ac.th

ความคิดเห็นที่ : 49


   โดยทั่วไป ภายหลังการสอบ เมื่อประกาศว่านักศึกษาสอบไม่ผ่าน จะเชิญให้นักศึกษามาพบ และบอกเหตุผลของการไม่ผ่านรวมทั้งเชิญผู้ปกครองมารับฟังด้วยเสมอ ไ

Posted by : น , Date : 2005-05-24 , Time : 21:13:05 , From IP : 172.29.7.47

ความคิดเห็นที่ : 50


   เท่าที่ทราบ ในปัจจุบันนี้จะมีการเชิญทั้งผู้ปกครอง และตัว นศ เองมารับทราบข้อมูลและเหตุผลของการสอบไม่ผ่านทุกราย
แต่อาจเป็นไปได้ว่าการรับรู้ข้อมูลในขณะที่มีอารมณ์ ตกใจ ผิดหวัง อาจเบี่ยงเบนไปได้
มีความคิดว่า ถ้าคนคนนั้นเป็นเพื่อนใคร หรือญาติใครก็ตาม ทางที่ดี เราควรsupportอารมณ์เขา หรือนำทางให้เขามีทางออกไปในทางที่สร้างสรรค์น่าจะดีกว่า คงจะดีกว่า การไปกระตุ้นให้เขามีอารมณ์พลุ่งพล่านมากขึ้น หรือพยายามหาเหตุผล กล่าวโทษอะไรก็ตาม เพราะมันจะทำให้ยิ่งจะไปตอกย้ำสิ่งที่กำลังผิดหวังมากไปหรือเปล่า
หาทางออกให้ชีวิตที่มีข้างหน้านั้นอยู่รอด ยอมรับในสิ่งที่เป็น ยอมรับในตัวตนของเขาน่าดีกว่า ถ้าหนทางในอนาคตข้างหน้าที่เขาจะไป ประสบความสำเจ selfที่ดีก็จะตามมาเองหล่ะน่า อาจดีกว่ามาหมกมุ่นเรื่องที่ผิดหวังอยู่โดยไม่ก้าวหน้าไปไหน


Posted by : pisces , Date : 2005-05-25 , Time : 07:48:32 , From IP : 172.29.7.230

ความคิดเห็นที่ : 51


   สรุปว่าเค้าเรียกมาบอกแล้วนะครับ

ถ้ายังไงยังไม่เข้าใจเข้ามาถามเองอีกก็ได้ ถ้าโทรมาจะรู้ได้ไงว่าเป็นตัวจริง


Posted by : ... , Date : 2005-05-26 , Time : 03:22:31 , From IP : 203.113.76.12

ความคิดเห็นที่ : 52


   เข้ารามาแล้วมันไปหนักหัวใครครับ

Posted by : Chian , Date : 2005-05-26 , Time : 13:21:08 , From IP : 172.29.4.79

ความคิดเห็นที่ : 53


   ขำจังเหนคนใช้โทสะกันแหม....ร้อนตัวกานใหญ่นะคร้าบบบบบบบบ จ้าวนายยยยยย สมว่ะ อิๆๆๆๆๆ เป็นประชากรที่น่าเกลียดจังเลยเลือกที่เรียนแต่เบื้องบนมีตา สมควรล่ะครับ อิๆๆ

Posted by : auto9 , Date : 2005-05-27 , Time : 00:27:47 , From IP : 172.29.4.56

ความคิดเห็นที่ : 54


   สำหรับผู้มีปัญหาด้านการเงิน ต้องการกู้เงิน ต้องการใช้เงิน เงินด่วน ดอกเบี้ยต่ำเพียง 0.8 %
ผ่อนนานสูงสุด 48 เดือนกู้ได้ตั้งแต่ 3,000 ขึ้นไปอนุมัติสูงสุด 500,000 บาท

คุณสมบัติ
เพียงคุณมีบัตรเครดิต วีซ่า , มาสเตอร์ , อเมริกันเอกเพรส , ไดเนอร์คลับ , หรือบัตรเครดิตของทุกธนาคาร ( บัตรหลัก )
บัตรอิออน , เฟิร์สช้อยส์ , เพาเวอร์บาย , อีซี่บาย , โลตัส , บิ๊กซี , หรือ บัตร shopping ชนิดใดก็ได้
สำหรับสมาชิกบัตรที่วงเงินเต็มแล้ว ก็สามารถทำได้ รอผลอนุมัติ 30 นาที เพียงคุณแสดงบัตรเครดิต
และสามารถ Shopping ในวงเงิน 100 บาท ท่านก็สามารถขอสินเชื่อกับเราได้

หลักฐานที่ต้องใช้
- บัตรเครดิต (บัตรหลัก ตัวจริง) รูด 100 บาท ได้
- บัตรประชาชน (ตัวจริง)
- ถ้าบัตรเครดิตยังไม่ถึง 4 เดือน ให้นำใบแจ้งหนี้เดือนล่าสุด(ตัวจริง)มาด้วย

สำหรับท่านที่ไม่มีบัตรเพียงท่านเป็นพนักงานประจำเงินเดือนตั้งแต่ 5,000 บาท ขึ้นไป (ผ่านธนาคาร )
หลักฐานที่ต้องใช้
- บัตรประจำตัวประชาชน
- สำเนาทะเบียนบ้าน
- สลิปเงินเดือน หรือใบรับรองเงินเดือน เดือนล่าสุด (5,000 บาทขึ้นไป)
- สมุดบัญชีธนาคารย้อนหลัง 6 เดือน

รอผลการพิจารณา 30 นาที รับเงินสดทันทีหลังจากได้รับอนุมัติ
สนใจติดต่อ ... ลดา 01-4106303 ... สอบถามเพิ่มเติมได้ค่ะ


Posted by : lada , Date : 2005-06-05 , Time : 21:00:19 , From IP : fi.ba.144.64.revip2.

ความคิดเห็นที่ : 55


   อยากเป็นหมอเหมือนกัน ตอนนี้เรียนอยู่ม.4 นอกจากชีวะแล้ว เเพทย์ต้องถนัดวิชาไหนเป็นพิเศษหรือเปล่า

Posted by : น้ำฝน , Date : 2007-02-01 , Time : 22:59:42 , From IP : 203.113.77.41

ความเห็นจาก Social Network : Facebook


สงวนสิทธิ์การแสดงความคิดเห็นสำหรับ สมาชิกเท่านั้น
>>>>> Page loaded: 0.02 seconds. <<<<<