ความคิดเห็นทั้งหมด : 27

พี่ค่ะ ทำไมมอ. ไม่ออกพันธบัตร 4 แสนค่ะ ให้เอาโฉนด ข้าราชการมาเซ็น เผอิญ หนูไม่มีญาติเป็นข้าราชการด้วย


   ทำไมคณะแพทย์ไม่ออกพันธบัตรไปเลย แล้วให้นักศึกษา ซื้อวงเงิน 4 แสน ไม่คิดดอกเบี้ยก็ได้ เรียนจบแล้วถ้าไม่ใช้ทุนก็ ให้คณะแพทย์ยึดเงินในพันธบัตร ไปเลย วิธีทำสัญญาแบบนี้หนูไม่ชอบเอามากๆ เลย โฉนดบ้านหนูก็เกิน หลักล้านทั้งนั้นเลย แล้วต้องเอาไปประเมิณอีก เกิดหนูไม่ใช้ทุนเดี๋ยวก็ต้องนำมาขายทอดตลาดอีก มันยุ่งอ่ะ หรือทางคณะก็ให้ทำวางประกัน 4 แสนเลยก้ได้ หนูไม่อยากรบกวนเพื่อนคุณพ่อคุณแม่ที่เป็นข้าราขการอ่ะ มีธีการทำสัญญาน่าจะปรับบ้างนะค่ะ

Posted by : น้องใหม่ , Date : 2005-05-13 , Time : 11:12:28 , From IP : 158.108.1.118

ความคิดเห็นที่ : 1


   เห็นด้วยว่าน่าจะปรับให้ทันสมัย รับกับเด็กรุ่นใหม่ ที่มีข้อเสนอเรียกร้องมากๆ แบบนี้ เรื่องนี้ทำมาหลายสิบปีแล้ว และหากจะปรับน่าจะปรับวงเงินด้วย สี่แสนนี้ใช้มาสามสิบปีได้ นับตั้งแต่ทองบาทละ 400 จนตอนนี้ทองบาทละ 8000 บาท ปรับเป็นสี่ล้านก็น่าจะดีนะ

Posted by : พี่เก่า , Date : 2005-05-13 , Time : 12:28:30 , From IP : 172.29.2.154

ความคิดเห็นที่ : 2


   
คือหนูกะจะไม่ใช้ทุนเลยใช่ไหม อืม เจริญ เจริญ
สงสารประเทศ


Posted by : อืม , Date : 2005-05-13 , Time : 12:33:57 , From IP : 172.29.2.203

ความคิดเห็นที่ : 3


   
ระบบราชการมีกรอบมีขอบเขตแน่ชัดจะเปลี่ยนแปลงยุ่งยาก

ควรยอมรับเราเล่าเรียนเพื่อรับใช้ชาติเรื่องลำบากเล็กๆน้อยๆ

เราไม่ควรคิดมาก ภาคใต้เราอยู่ในภาวะสงคราม

เขาตายกันทุกวันรัฐบาลเจ็บปวดชาวบ้านหวาดผวา

ทุกย่างที่ออกเดินจิตใจมันเจ็บปวดยิ่งนัก

น้องจงมุ่งมั่นและภูมิใจที่ได้เล่าเรียนที่นี้

เพื่อจะได้รับใช้ประเทศของเราต่อไป

ขอให้รักชาติเหมือนยิวรักอิสราเอล



Posted by : กุรุ , Date : 2005-05-13 , Time : 12:39:34 , From IP : 172.29.7.92

ความคิดเห็นที่ : 4


   หนูก็ไม่ได้บอกซะหน่อยว่าจะไม่ใช้ทุน แต่หนูไม่มีญาติเป็นข้าราชการ และ ก็ไม่อยากใช้โฉนดเท่านั้นเอง พี่ๆ ใจร้ายยังมาว่าหนูว่าจะทิ้งทุน เดี๋ยวหนูก็ทิ้งทุนซะเลย พ่อแม่หนูยิ่งยุๆ อยู่

Posted by : น้องใหม่ , Date : 2005-05-13 , Time : 12:45:18 , From IP : 158.108.1.118

ความคิดเห็นที่ : 5


   สำหรับคนที่เป็นหมดเงิน 400000 มันหามาไม่ยากหรอกครับ
แต่สำคัญตรงที่เราจะทิ้งศักดิ์ศรี(ที่แต่ละท่านหยิ่งผยองกันหนักหนา)ได้หรือไม่เท่านั้นเอง การยอมเสียเงินไปอาจดูว่าก็ยุติธรรมดีแล้ว แต่อยากถามถึงจิตสำนึกมากกว่าว่า **คุณเป็นหมดเพื่ออะไร** เพราะสมัยนี้จบเฉพาะทางมาเอกชนบางที่เขาจ้างเดือนละ 3-4 แสน
แค่คุณมีศรัทธาในจิตวิญญาณต่อผองเพื่อนมนุษย์ที่คุณเคยกล่าวอ้างต่อหน้าอาจารย์แพทย์คุณในวันแรกที่ก้าวเข้ามาสู่เส้นทางสายนี้หรือไม่เท่านั้นเอง


Posted by : คนขวางโลก , Date : 2005-05-13 , Time : 14:23:35 , From IP : 172.29.3.116

ความคิดเห็นที่ : 6


   หมั่นไส้คนตั้งกระทู้อะ มีเงินเป็นล้านจะมาเดือดร้อนอะรัยกะเรื่องแค่นี้คะน้อง
คนอื่นเค้ามีปัญหามากกว่าหนูเยอะแยะ เค้ายังผ่านมาได้เลย อย่าทำตัวเองเป็นศูนย์กลางจักรวาลสิคะ


Posted by : หมั่นไส้ , Date : 2005-05-13 , Time : 15:39:58 , From IP : 203.113.76.71

ความคิดเห็นที่ : 7


    ผมเห็นด้วยว่าควรจะมีการปรับเปลี่ยนวิธีการ หรือเพิ่มเติมทางเลือก ให้กับนักศึกษา
ทำไมต้องไปเอาข้าราชการมาค้ำประกันด้วย ผมว่าเชยที่สุด ใครไม่มีญาติเป็นข้าราชการคงลำบากนะ


Posted by : เพื่อนน้องใหม่ , Date : 2005-05-13 , Time : 20:53:32 , From IP : 172.29.7.164

ความคิดเห็นที่ : 8


   มีวิธีต่างๆในการนำเสนอแนะนำระบบในการปรับปรุง และจะใช้วิธีไหนนั้นขึ้นอยู่กับว่าเรา "หวังผล" แค่ไหนครับ ว่าจะขอบ่นเฉยๆหรือต้องการการเปลี่ยนแปลงจริงๆ

ผมเดาว่าที่คนเริ่มกระทู้มาเขียนเรื่องนี้ลงในกระดานข่าวสาธารณะคงจะแค่บ่นเฉยๆใช่ไหมครับ เพราะการแก้กฏมหาวิทยาลัย หรือกฏนี้ที่มันเกี่ยวกับแพทยสภา เวทีนี้ไม่น่าจะ work เท่าไหร่และที่แน่ๆถ้าน้องพึ่ง entrance เข้ามา น้องคงไม่ seriously คิดว่าคณบดี และอธิการบดีจะรีบตัง้คณะกรรมการพิจารณาเรื่องนี้เป็นการเร่งด่วนได้ทันท่วงที

นั่นจบประเด็นที่หนึ่ง ผมอยากจะแสดงความคิดเห็นต่อปฏิสัมพันธ์ที่คุณน้องใหม่มีต่อมาสักนิดนึงนะครับ

หนูก็ไม่ได้บอกซะหน่อยว่าจะไม่ใช้ทุน แต่หนูไม่มีญาติเป็นข้าราชการ และ ก็ไม่อยากใช้โฉนดเท่านั้นเอง พี่ๆ ใจร้ายยังมาว่าหนูว่าจะทิ้งทุน เดี๋ยวหนูก็ทิ้งทุนซะเลย พ่อแม่หนูยิ่งยุๆ อยู่

ทำไมคุณพ่อคุณแม่หนูถึงยุให้หนูทิ้งทุนตั้งแต่ยังไม่เริ่มเรียนเลยล่ะครับ? ถ้าท่านทั้งสองหวังอะไรบางอย่างที่อาจจะไม่เข้าใจตรงกับหลักปรัชญาการเรียนที่นี่ ผมว่าเป็นการดีที่เราจะมา clear กันก่อนที่จะมีปัญหาเพิ่มเติมทีหลัง ผมไม่แน่ใจว่าหนูเข้าใจความหมายโดยนัยของ "ทิ้งทุน" ที่หนูพูดถึงมากน้อยแค่ไหน แต่เรากำลังพูดถึง commitment หรือข้อสัญญาว่าเวลาเข้ามาเรียนแพทย์นั้น รัฐได้ออกเงินช่วยเหลือมากพอสมควรนอกเหนือจากค่าเล่าเรียน (ที่แพง) ซึ่งก็ยังไม่พอ และเนื่องจากเนื้อที่ผลิตแพทย์มีจำกัด และประเทศต้องการจำนวนแพทยเพิ่มขึ้นเร่งด่วน นั่นเป็นที่มาของ "ใช้ทุน" ครับ ผมไม่ใคร่สบายใจที่นักศึกษาเอาเรื่องทิ้งทุนมาพูดถึงกันตอนแสดง tantrum ได้ในเรื่องเล็กๆน้อยๆ เวลากระเทือนใจ เวลามีคนโต้เถียง มันทำให้อาชีพนี้มันราคาถูกอย่างไรไม่ทราบ แถมยังทำให้ดูเหใอนว่าศักดิ์ศรีคำสัญญาอะไรมันมีค่าตาม face value ที่กำหนดไว้คือแค่ 400,000 บาท อย่างที่หนูว่าคือเศษเสี้ยวของราคาโฉนดบ้านหนูแหละครับ



Posted by : Phoenix , Date : 2005-05-14 , Time : 04:35:41 , From IP : 172.29.7.37

ความคิดเห็นที่ : 9


   หมั่นไส้คนตั้งกระทู้อะ มีเงินเป็นล้านจะมาเดือดร้อนอะรัยกะเรื่องแค่นี้คะน้อง
คนอื่นเค้ามีปัญหามากกว่าหนูเยอะแยะ เค้ายังผ่านมาได้เลย อย่าทำตัวเองเป็นศูนย์กลางจักรวาลสิคะ

Posted by หมั่นไส้() 2005-05-13 , 15:39:58 , 203.113.76.71

>>ขอโทษครับ ผมว่าน้องเค้าตั้งกระทู้สร้างสรรค์แล้วคนอื่นเค้ามาป่วน น้องเค้าเลยตอบแบบนี้
ทำไมไม่ลองคิดกันมั่งละว่าไอ้ระเบียบวิธีการคร่ำครึหลายอย่างที่พวกเราใช้กันอยู่ตอนนี้มันสมควรจะได้รับการเปลี่ยนแปลงได้แล้ว
ผมเห็นด้วยนะครับว่าไอ้สัญญาแบบนี้มันเอาเปรียบเกินไปอย่างรุนแรง มันไม่เกี่ยวหรอกครับว่าเค้าจะตั้งใจทำงานใช้ทุนหรือจ่ายเงินให้ ปัญหามันคือคำว่า"ยุติธรรม"มันอยู่ที่ไหนต่างหาก
ฟังๆดูแต่ละคนพูดกันอย่างกับว่าไอ้การเรียนแพทย์นี่มันเป็นการให้เปล่าเหมือนแจกผงซักฟอกฟรีที่ห้างทอปส์ยังไงยังงั้น....ขอโทษนะครับ แต่ไม่ทราบว่าคนที่ต้องพยายามแทบเลือดตากระเด็นเพื่อให้ได้เรียนแพทย์นี่มันใครกันแน่ ผู้ที่จะเข้ามาเรียนหรือคนให้ทุนครับ?!?
อยากจะให้เลิกซะที เวลามีคนตั้งกระทู้ขึ้นมาถามวิธีการทำงานบางอย่างของราชการ แล้วโดนกระแนะกระแหนแบบบั่นทอนกำลังใจ ไม่สร้างสรรค์แล้วยังทำลายอีก ลองไปคิดดูเองนะครับว่าแบบนี้คือ"หมอที่ดี"ตามนิยามของเราหรือ?


Posted by : Coolguy , Date : 2005-05-14 , Time : 09:16:15 , From IP : 172.29.4.121

ความคิดเห็นที่ : 10


   เห็นด้วยกับคุณ Coolguy ครับ
ลองคิดดูถ้าคุณมีโฉนดที่ดินหนึ่งล้านแล้วต้องเอามาค้ำสิ่งที่มีค่าแค่ 4 แสน แล้วเกิดมีความจำเป็นต้องใช้เงิน ก็คงลำบากน่าดูเพราะเงินส่วนเกินอยู่ในที่ค้ำ
จะดีกว่ามั้ยถ้ายอมรับ และแก้ไข้สิ่งที่ไม่เหมาะสมให้ดีขึ้น ?





Posted by : EVO , Date : 2005-05-14 , Time : 18:41:54 , From IP : 172.29.4.203

ความคิดเห็นที่ : 11


   ตกลงคิดว่า "ใคร" ล่ะครับที่จะรับรู้ข้อเสนอและ "สามารถ" แก้ไขเปลี่ยนแปลง? แก้ที่ กพ.? แพทยสภา? วุฒิสภา? หรือถามข้อมูลจากคนที่ทำเรื่องนี้โดยตรง เช่น คนที่น้องกำลังต้องไปจัดการเซ็นสัญญาอีกไม่กี่วันนี้

ถ้า "สมมติ" นะครับว่า ระเบียบที่ว่านี้ไม่สามารถแก้ไขได้ทันใจ ในไม่กี่วันนี้ อยากทราบว่าคิดว่าจะทำอย่างไรในการแก้ปัญหาครับ? วิธีทั่วๆไปแบบที่ว่าเราอยู่ในสังคมที่มีกฏหมายไม่ได้ดั่งใจเรา คนในสังคมนั้นๆควรจะทำเช่นไร?



Posted by : Phoenix , Date : 2005-05-14 , Time : 20:06:25 , From IP : 172.29.7.21

ความคิดเห็นที่ : 12


   ถึงไม่มีความรู้มากนัก แต่คิดว่าการที่เรียนแพทย์นั้น ลำพังแค่สี่แสน ออกจะน้อยเกินไปสำหรับความต้องการแพทย์ของประเทศ ซึ่งทุ่มทุนถึงกว่าล้านบาทหรือมากกกว่าต่อปี ซึ่งรวมๆแล้วก็หลายล้านอยู่ แต่สำหรับเราจ่ายค่าเล่าเรียนเพียงอย่างแพงปีละแค่50000บาท แต่บ่อยครั้งยังมีคนไม่ตระหนักถึงเรื่องนี้ เรียนจบไปแล้วทิ้งทุนของประเทศ ภาษีประชาชน จ่ายเพียงแค่สี่แสน ตัดความรับผิดชอบผลิตแพทย์ของประเทศไปกระจุกตามเมืองใหญ่ ซึ่งทำให้ระบบต่างๆเกิดความล้มเหลวไปส่วนหนึ่ง
ประเด็นนี้แม้อาจจะไม่เกี่ยวข้องกับกระทู้นี้ แต่เพียงอยากบอกกล่าวความคิดเห็นให้ทราบ เพราะไม่อาจมีความสำคัญพอที่จะเปิดกระทู้ไหม่
ไม่ได้ว่าพาดพึงถึงใคร ไม่ได้ยุให้แตกแยก เป็นเพียงแค่ความคิดที่พึงแสดงออกตามสิทธิตามรัฐธรรมนูญ


Posted by : JinX , Date : 2005-05-15 , Time : 01:23:34 , From IP : ppp-210.86.142.220.r

ความคิดเห็นที่ : 13


   จ่ายสี่แสนแล้วมันหนักหัวใครครับ?
นักการเมืองโกงกินมีอยู่ให้เห็นทั่วประเทศ พวกที่ใช้นิยามคำว่า"ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์"มากอบโกยผลประโยชน์เข้ากระเป๋าตัวเองก็มีหลายรูปแบบ อาจจะรวมถึงหลายคนที่มาตอบในกระทู้นี้ด้วย
ถ้าคุณไม่อยากให้เค้าจ่ายเงิน คุณก็ตัดระเบียบนี้ออกไปซิครับ เหมือนกับที่คุณบอกข้างบนว่า"ก็ระเบียบมันเป็นงี้ จะให้ทำไง"
คำพูดมันย้อนเข้าตัวครับ จะคิดอะไรก็คิดให้เป็นผู้เป็นคนหน่อย


Posted by : Dimey , Date : 2005-05-15 , Time : 10:18:09 , From IP : 203.195.105.33

ความคิดเห็นที่ : 14


   นั่นคือข้อเสียของกฏระเบียบ กฏหมายยังไงล่ะครับ มันไม่มีวิญญาณ แห้งแล้ง และอย่างที่ว่า เป็นตัวหนังสือ

ยุคสมัยทำให้การมอง การคิดเปลี่ยนไป คุณค่า ค่านิยมก็เปลี่ยนไป ในทางดีหรือทางตรงกันข้ามเป็นสิ่งที่เราน่าจะกังวลพอสมควร เพราะยังไงๆเราก็เป็นคนหนึ่งที่อาศัยในสังคมนี้

เรื่องการชดใช้ทุนโดยเงินหรือทำงานนี่ คงจะต้องไปดูที่เป้าหมายดั้งเดิมว่าแนวความคิดเป็นมายังไง สมัยก่อนเรายังไม่มีมหาวิทยาลัยแพทย์เอกชน และในบรรดาอุดมศึกษาวิชาต่างๆ แพทย์เป็นสาขาที่เป็นที่ต้องการของประเทศโดยรวม มีผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชน ต่อเศรษฐกิจ ของประเทศ ทุกๆประเทศจึง "จำเป็น" ต้องผลิตแพทย์ให้ได้ทันเท่าความต้องการ ทีนี้ต้นทุนผลิตแพทย์นั้นมันราคาแพงมากครับ ถ้านักศึกษาจ่ายค่าเล่าเรียนตามทุน ก็จะไม่มีคนมีเงินพอมาเรียนซะส่วนใหญ่ รัฐก็เลย subsidize จ่ายให้บางส่วน (หรือส่วนใหญ่) และเป็นอาชีพที่จบแล้วรัฐขอให้ทำสัญญาทำงานเพื่อประเทศสักระยะหนึ่งเป็นอย่างน้อยก่อนที่จะเป็นอิสระ ทีนี้พอมีกฏมันก็มีคนทำและไม่ทำตามกฏตามสัญญา มันก็เลยต้องมีบทชดเชย บทปรับ ขึ้นมา

สมัยก่อนนี้ตอนสอบสัมภาษณ์ ผมคิดว่าน่าจะน้อยมากหรือไม่มีเลยที่นักเรียนจะพูดหน้าตาเฉยว่าผมคิดเหมือนกัน หรือพ่อแม่ผม/หนูคิดเหมือนกันครับว่าคงจะใช้เงินสี่แสน ดูเป็นเรื่องธรรมดา หรือบอกว่านี่เป็นเรื่องของหนู เป็นสิทธิตามกฏหมาย ก็ดันเขียนไว้อย่างนั้น แปลว่าถูกต้องตามทำนองคลองธรรม เดี๋ยวนี้ไอ้ความรู้สึกว่าพูดยังงั้นเป็นเรื่องผิด เป็นเรื่องที่สังคมจะมองดูด้วยความรู้สึกไม่ดีกำลังจะเปลี่ยนไปแล้วหรือ? จาก comment สองสามอันด้านบน

แต่อย่างน้อยถ้าคนตอบมีอารมณ์โกรธเวลาถูกกล่าวหาก็ยังดีครับ เพราะมันยังมี sense ว่าเรื่องนี้มันกระทบต่อคุณค่า ต่อความดีงาม ต่อคุณธรรมของคนที่ตั้งใจเข้ามาร่ำเรียนในสาขานี้ แต่ถ้าไม่รู้สึกอะไรเลย ยิ้มแย้มแจ่มใสประกาศตั้งแต่ปีหนึ่งว่าที่มาเรียนนี่ไม่ได้ตั้งใจจะทำงานให้รัฐ ให้ประชาชน มันก็เป็นบทสรุปอีกแบบหนึ่ง ทำอย่างนั้นไปเรียนมหาวิทยาลัยเอกชนที่จ่ายเงินเองเรียนทั้งหมด ไม่ต้องมีสัญญาผูกพัน อาจจะตรงกับปรัชญาการผลิตแพทย์ของแต่ละที่มากกว่า ที่ที่รัฐช่วยจ่ายให้นั้น เขาไม่ได้ตั้งใจจะหาเงินสี่แสนหรอกครับ เขาตั้งใจจะหาแพทย์ทำงานให้รัฐ แต่ถ้าเป็นมหาวิทยาลัยเอกชนนัน คุณเข้าไปเรียน ผนวกกับ MBA และการบริหารธุรกิจออกมาเปิดโรงพยาบาลเอกชนโดตรงก็ได้ ไม่แปลกอะไร




Posted by : Phoenix , Date : 2005-05-15 , Time : 11:58:58 , From IP : 203.147.0.9

ความคิดเห็นที่ : 15


   ฟังๆดูแต่ละคนพูดกันอย่างกับว่าไอ้การเรียนแพทย์นี่มันเป็นการให้เปล่าเหมือนแจกผงซักฟอกฟรีที่ห้างทอปส์ยังไงยังงั้น....ขอโทษนะครับ แต่ไม่ทราบว่าคนที่ต้องพยายามแทบเลือดตากระเด็นเพื่อให้ได้เรียนแพทย์นี่มันใครกันแน่ ผู้ที่จะเข้ามาเรียนหรือคนให้ทุนครับ?!?

post by coolguy

->>> คนที่พยายามเป็นเราครับ แต่พยายามเพื่อวัตถุประสงค์อะไรนั้นอาจจะต่างกันไปในแต่ละคน แต่ไม่ปฏิเสธว่าส่วนหนึ่งก็เพื่อตัวเอง และก็มีอีกหลายคนที่อยากจะมาอยู่ตรงนี้แต่ไม่มีโอกาส อยากถามน้องว่า
บุญคุณอาจารย์ใหญ่ที่บริจาคร่างกายให้เราเรียนตอนชั้นพรีคลินิค
คุณลุงคุณป้าที่ยอมให้เราตรวจร่างกายตอนที่เรียนชั้นคลินิค เราตอบแทนแล้วเหรอครับ มันวัดค่าเป็นตัวเงินได้หรือเปล่า พวกเค้าเหล่านั้นเคยเรียกร้องอะไรจากเราบ้าง
ปัจจุบันสังคมเริ่มมองแพทย์เปลี่ยนไปเพราะอะไร ส่วนหนึ่งเป็นเพราะพวกเราบางส่วนทำให้สังคมคิดอย่างนั้นรึเปล่า ลองคิดดูนะครับ
การใช้ทุนสามปีไม่ใช่เรื่องลำบาก อย่าคิดว่าเป็นการใช้ทุน แต่ให้คิดว่ามันคือการทำหน้าที่ของแพทย์ คือการทำงานเหมือนอาชีพอื่น แล้วสิ่งที่น้องจะได้จากการใช้ทุนนอกจากค่าตอบแทนที่เป็นตัวเงินแล้ว ยังมีประสบการณ์ที่เพิ่มขึ้น คำขอบคุณจากคุณลุงคุณป้าที่วัดค่าเป็นตัวเงินไม่ได้
ในสังคมปัจจุบันเจตนคติที่ดีในวิชาชีพจะช่วยให้เราทำงานอย่างมีความสุขได้แม้บางครั้งจะท้อบ้างก็ตาม


Posted by : เสือใส่เกือก , Date : 2005-05-15 , Time : 17:43:40 , From IP : ppp-203.144.193.183.

ความคิดเห็นที่ : 16


   ผมเห็นด้วยในประเด็นที่ว่าถ้าคนที่มาเรียนแพทย์มีการคำนึงถึง "สิ่งที่ได้ลงทุน" ออกเป็นตัวเงิน ตรงนี้เป็นการตั้ง "อุปสงค์" ที่ค่อนข้างหมิ่นเหม่ครับ

"สมมติ" นะครับว่าเป็นคณะแพทย์เอกชนเต็มรูปแบบ ที่ทุกอย่าง นศพ. ต้องจ่ายหมด ค่าเล่าเรียน ค่าจ้างครู ค่าหาอาจารย์ใหญ่ รวมทั้งคนไข้จำลอง 100% สำหรับทุกๆ case เพื่อหาประสบการณ์ตามเกณฑ์มาตรฐานแพทยสภา ค่าเล่าเรียนคงพุ่งขึ้นไปเยอะกว่านี้หลายเท่า หลังจากจบแล้วแพทย์กลุ่มนี้จะตั้งเป้าหมาย "เอาคืน" สิ่งที่ลงทุนไปก็คงจะเป็นอีกกรณีหนึ่ง (จะเหมือนกับที่เราเคยคิดว่า "นักการเมืองหาเสียงเป็นการลงทุน แล้วจะ "เอาคืน" เมื่อได้ตำแหน่ง ทำนองนั้น)

ทีนี้ โรงเรียนของรัฐ ที่รัฐช่วย subsidize ค่าเล่าเรียน ค่าโสหุ้ยในการผลิตแพทย์นี้ล่ะก็ คำถามที่ว่า แต่ไม่ทราบว่าคนที่ต้องพยายามแทบเลือดตากระเด็นเพื่อให้ได้เรียนแพทย์นี่มันใครกันแน่ ผู้ที่จะเข้ามาเรียนหรือคนให้ทุนครับ?!? คำตอบคงเป็น เงินส่วนหนึ่งมาจากภาษีชาวบ้านตาสีตาสานี่แหละครับ ที่มาจ่ายค่าหลอดทดลอง ค่าห้องเรียน ค่าน้ำ ค่าไฟ ส่วนที่ค่าเทอมของเราไม่ได้ครอบคลุม คนที่ไม่มีโฉนด ไม่มีรายได้มากมายอะไร ที่อาจจะ "แทบเลือดตากระเด็น" จริงๆ เหล่านี้แหละครับที่ "ช่วย" ให้พวกเราเรียนจบ ฉะนั้นพวกเราไม่ได้เรียนฟรีแน่ๆครับ และไม่ได้จ่ายเองทั้งหมดด้วย สังคม ช่วยจ่ายให้เราเรียนจนจบครับ

ถ้าเราลืมไปเรื่องแบบนี้ ตอนนี้เราจะรู้สึกเป็น "หน้าที่" ที่เราจะตอบแทนโดยการทำอะไรให้คุณลุงคุณป้าบนหอผู้ป่วยบ้าง (นอกเหนือจากคิดว่าเรากำลังทำบุญให้) ก็น่าจะดี

อย่างน้อยก็เป็นสิริมงคลต่อตนเองครับ




Posted by : Phoenix , Date : 2005-05-15 , Time : 19:35:09 , From IP : 203.156.122.18

ความคิดเห็นที่ : 17


   เห็นด้วยอย่างยิ่งสำหรับ "หน้าที่" และภาษีของตาสีตาสา จะเรียกว่าบุญคุณของสังคมก็ไม่ผิดไปจากคำนี้นัก ดังนั้น ถือว่า สังคมช่วยสนับสนุนเรา ให้ได้เป็นแพทย์ตามเป้าหมายการกระจายแพทย์ แต่สังคมไทยปัจจุบันแนวโน้มของผู้ที่สนองความต้องการของแนวทางการกระจายแพทย์ สนองต่อความต้องการตาสีตาสาห่างไกลความเจริญจะมีซักครึ่งหนึ่งของผู้จบไหม่หรือไม่ แนวทางการกระจายแพทย์ตอนนี้เป็นเช่นไร
อยากให้ตระหนักถึงเรื่องนี้ให้มากๆก่อนความสบายของตัวเอง อนาคตสาธารณสุขไทยอยู่ในกำมือทุกคน


Posted by : JinX , Date : 2005-05-16 , Time : 17:44:39 , From IP : ppp-210.86.142.220.r

ความคิดเห็นที่ : 18


   เห็นพูดกานดีจังแต่ละคนๆ
เวลาจบทำให้ได้อย่างพูดนะค้าบ คุณหมอปากดีทั้งหลาย


Posted by : MonKeyBoy , Date : 2005-05-17 , Time : 13:36:15 , From IP : 172.31.0.155

ความคิดเห็นที่ : 19


   อีกอย่าง คุณPhoenix ช่วยกลับไปอ่านreplyบนๆของคุณด้วยว่าตอบว่ายังไง
แต่พอมาข้างล่างมันโพสต์เฉยว่า

"นั่นคือข้อเสียของกฏระเบียบ กฏหมายยังไงล่ะครับ มันไม่มีวิญญาณ แห้งแล้ง และอย่างที่ว่า เป็นตัวหนังสือ"

พอเค้าพูดความจริงที่เถียงไม่ได้ คุณก็กลับลำทันที ช่วยแสดงจุดยืนให้มันหนักแน่นหน่อยดีกว่า เห็นแล้วรำคาญพวกweak standing point of viewนะครับ(ยืมคำมาจากที่ชาวอเมริกันใช้ด่าจอห์น แคร์รี่)
ปล.เรื่องอาจารย์ใหญ่นั่น จริงๆแล้วเค้าให้ก็เพราะหวังผลบุญไม่ใช่หรือ?ถ้าเค้าให้เพราะหวังผลแล้ว ควรหรือไม่ที่คนรับจะกตัญญูซาบซึ้งอย่างสุดแสน
ลองไปคิดดูเอง


Posted by : MonKeyBoy , Date : 2005-05-17 , Time : 15:21:54 , From IP : 172.31.0.155

ความคิดเห็นที่ : 20


   ปล.เรื่องอาจารย์ใหญ่นั่น จริงๆแล้วเค้าให้ก็เพราะหวังผลบุญไม่ใช่หรือ?ถ้าเค้าให้เพราะหวังผลแล้ว ควรหรือไม่ที่คนรับจะกตัญญูซาบซึ้งอย่างสุดแสน
ลองไปคิดดูเอง
Posted by MonKeyBoy

->> ผมหวังว่าคุณคงไม่ใช้ นศพ.นะครับ ตั้งแต่เรียน anatomyตอนปีสอง จนตอนนี้สิบกว่าปีแล้วผมยังจำชื่ออาจารย์ใหญ่ของผมได้ และระลึกถึงท่านเสมอ และผมก็เชื่อว่ามีแพทย์หลายๆท่านที่รู้สึกเหมือนผม


Posted by : เสือใส่เกือก , Date : 2005-05-17 , Time : 17:41:43 , From IP : ppp-203.144.193.179.

ความคิดเห็นที่ : 21


   ผมไม่แน่ใจว่าคุณ monkeyboy เข้าใจว่า standing point of view ของผมคืออะไร และตรงไหนที่กลับลำบ้าง ถ้าผมเขียนอะไรเข้าใจยากไปนิดก็ขออภัยด้วยก็แล้วกัน ลองขยายความสักนดว่าคุณเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยกับความเห็นของผมประเด็นไหนบ้าง ยินดีแลกเปลี่ยนกันครับ

ถ้าคุณ MonkeyBoy เป็นนักศึกษาแพทย์ และมีความเห็นอย่างข้างบนต่ออาจารย์ใหญ่จริงๆ ผมเป็นห่วงวิธีคิดของคุณมากเลยทีเดียว ตกลงคุณพ่อคุณแม่คุณที่เลี้ยงดูคุณมานี่จะหวังอะไรในตัวคุณได้บ้างหรือไม่ หรือว่าต้องเป็นการเลี้ยงเอาบุญเท่านั้น?

ผมไม่ทราบ psychology ของผู้บริจาคร่างกายทุกคน แต่พอจะทราบของบางคนครับ เขาคิดว่าถ้าร่างกายเขาพอจะมีประโยชน์ เขาอุทิศให้นักเรียนแพทย์ได้เรียน ได้เข้าใจร่างกายมนุษย์นั้น ไม่ใช่เพราะเพื่อเจ้านักศึกษาแพทย์คนนั้นได้เรียนครับ แต่เพื่อชาวบ้านที่นักศึกษาแพทย์คนนั้นจบมาและจะไปรักษาต่างหาก เขาไม่ได้หวังอะไรมากกว่านั้น และผมเห็นว่ามันสมเหตุสมผลพอสมควรที่เขาจะ "คาดหวัง" อะไรเช่นนี้ ถามว่าถ้าเป็นไปได้ด้วยวิถีกลใดก็ตาม คนที่บริจาคร่างกายเกิดทราบว่านักศึกษาแพทย์คนที่เอาร่างกายเขามาเรียนนั้น ต้องการเข้ามาเรียนเพื่อจะออกไปขูดรีดขูดเนื้อชาวบ้าน เต็มไปด้วยจิตอกตัญญูรู้คุณคน อีกหน่อยก็คงจะไม่มีใครอยากจะทำบุญวิธีนี้อีกต่อไป

ผมสนใจความพยายามของคุณ MonkeyBoy ที่จะ justify ความคิดด้านการไม่ใช้ทุน ด้านการไม่ต้องกตัญญูต่ออาจารย์ใหญ่พอสมควรทีเดียว ลองมาให้ความเห็นเพิ่มเติมกันต่อหน่อยนะครับ



Posted by : Phoenix , Date : 2005-05-17 , Time : 20:40:29 , From IP : 172.29.7.230

ความคิดเห็นที่ : 22


   ความเห็น เอียงไปทาง คุณ Phoenic อย่างยิ่งครับ

แสดงความเห็นแบบเห็นได้ชัดว่า เป็นบุคคลที่มีมุมมองหลากหลายจิงๆ
มีประสบการณ์มาก

ถ้าเดาก็คงอาวุโสแหละครับ ทำนองว่าเปงอาจารย์หมอ (รึเปล่าไม่รู้นะ คิคิ)

อ่านแล้วทำให้คิดไรได้หลายๆอย่างเลย แล้วผมจาเรียนรู้ไปเรื่อยๆนะครับ
ได้เข้าใจและเห็นมุมมองต่างๆ ที่ไม่เคยได้คิดถึง เช่นประเด็นของการบริจาคร่างกายมาให้เราได้เรียน ว่าได้หมอเรียนจบแล้วขูดรีดต่อไปเค้าก็ไม่บริจาคร่างกายให้เรามาเรียน กลายเปงต้องซื้อกันในราคาแพง ทึ่งครับตรงจุดนี้ ทำให้คิดโยงไปอีกหลายๆเรื่องเลยครับ



Posted by : Tomicsm , Date : 2005-05-18 , Time : 00:19:15 , From IP : 203.113.71.134

ความคิดเห็นที่ : 23


   อย่างน้อยก็ไม่ได้มีแต่คนคิดแบบคุณPhoenix
รู้แค่นี้ผมก็มีชีวิต กิน นอน ขี้ได้เป็นปกติสุขแล้วครับ
ไม่หัวเสียกับเรื่องงี่เง่าพรรค์นี้หรอก


Posted by : Coolguy , Date : 2005-05-19 , Time : 14:03:34 , From IP : 172.29.4.121

ความคิดเห็นที่ : 24


   เห็นด้วยครับ ในการอยู่ร่วมกันในสังคมคือศิลปของ agree to disagree สามารถอยู่กับความเห็นที่หลากหลายแตกต่าง สามารถมี communication skill ที่จะสื่อสารคุณค่าของสิ่งที่ตนเองเชื่อ และ respect ในสิ่งที่คนอื่นและสังคมเชื่อ ไม่ใช่เรื่องที่เราจะต้องกินไม่ได้นอนไม่หลับ

ผมคงจะกังวลทีเดียวถ้าใครกินไม่ได้นอนไม่หลับขี้ไม่ออกเพราะมีความคิดที่ต่างจากผม หรือต่างจากใครๆ แต่พูดยังนี้ก็ตามทีนะครับ ถ้าผมเกิดทราบว่ามีนักศึกษาแพทย์คิดว่าตนเองไม่สมควรจะต้องรู้สึกกตัญญูต่ออาจารย์ใหญ่ และกำลังจะจบไปเป็นแพทย์จริง


Posted by : Phoenix , Date : 2005-05-19 , Time : 17:55:16 , From IP : 203.156.36.7

ความคิดเห็นที่ : 25


   เห็นด้วยครับ ในการอยู่ร่วมกันในสังคมคือศิลปของ agree to disagree สามารถอยู่กับความเห็นที่หลากหลายแตกต่าง สามารถมี communication skill ที่จะสื่อสารคุณค่าของสิ่งที่ตนเองเชื่อ และ respect ในสิ่งที่คนอื่นและสังคมเชื่อ ไม่ใช่เรื่องที่เราจะต้องกินไม่ได้นอนไม่หลับ

ผมคงจะกังวลทีเดียวถ้าใครกินไม่ได้นอนไม่หลับขี้ไม่ออกเพราะมีความคิดที่ต่างจากผม หรือต่างจากใครๆ แต่พูดยังนี้ก็ตามทีนะครับ ถ้าผมเกิดทราบว่ามีนักศึกษาแพทย์คิดว่าตนเองไม่สมควรจะต้องรู้สึกกตัญญูต่ออาจารย์ใหญ่ และกำลังจะจบไปเป็นแพทย์จริง ผมเกรงว่าผมคงจะ "รู้สึกเป็นห่วง" ชาวบ้านที่กำลังจะถูกดูแลจากคุณหมอคนนี้พอสมควร และคงจะนอนหลับกระสับกระส่ายนิดหน่อย

ผมไม่แน่ใจว่าคุณ Coolguy เป็นนักศึกษาแพทย์ของเราหรือไม่นะครับ เป็นห่วงว่าถ้าคุณกังวลมากเกี่ยวกับการ "แต่ไม่ทราบว่าคนที่ต้องพยายามแทบเลือดตากระเด็นเพื่อให้ได้เรียนแพทย์นี่มันใครกันแน่" ก็ขอให้ความรู้สึกกระเสือกกระสนนี้บวกกับการที่ไม่ได้เข้ามาเรียนฟรีๆจะมีผลต่อความคิดที่จะทำตามหลักปรัชญาของวิชาชีพเรา

แค่นี้เราทุกคนก็จะกินได้ นอนหลับ ถ่ายสะดวกกันทุกๆคนเลยครับ



Posted by : Phoenix , Date : 2005-05-19 , Time : 18:00:57 , From IP : 203.156.36.7

ความคิดเห็นที่ : 26


   ตกคำว่า "ไม่" ไป แก้เป้น

"ก็ขอให้ความรู้สึกกระเสือกกระสนนี้บวกกับการที่ไม่ได้เข้ามาเรียนฟรีๆจะไม่มีผลต่อความคิดที่จะทำตามหลักปรัชญาของวิชาชีพเรา "




Posted by : Phoenix , Date : 2005-05-19 , Time : 18:02:57 , From IP : 203.156.36.7

ความคิดเห็นที่ : 27


   ผมขอข้ามที่จะแสดงความเห็นต่อทัศนะของคุณ Coolguy ไปนะครับ :-(

และขอพูดในฐานะที่เป็นชาวบ้านธรรมดาที่ต้องฝากชีวิตไว้กับแพทย์ว่า
ผมชื่นชมคุณ Phoenix และอีกหลาย ๆ ท่าน (ที่ผมเข้าใจว่าเป็นแพทย์
หรือ นศ. แพทย์ จาก มอ.) ที่ได้แสดงออกให้เห็นว่า สังคมไทยเรายังพอ
จะฝากความหวังไว้กับแพทย์บางคนและสถาบันแพทย์อย่างที่ มอ. นี้ได้
อยู่บ้าง

อันที่จริง ผมอยากให้แพทย์เข้าใจว่า การที่แพทย์เอื้ออาทรต่อคนยากไร้
และทำงานโดยมุ่งช่วยเหลือคนมากกว่ามุ่งเอาเงินแต่เพียงอย่างเดียวนั้น
นอกจากเป็นการเชิดชูเกียรติศักดิ์ศรีของตนเองแล้ว ยังช่วยส่งเสริมเกียรติภูมิ
ของวิชาชีพแพทย์โดยรวมอีกด้วย ทำให้สังคมตอบแทนแพทย์ด้วยการ
ยกย่องฐานะแพทย์ในสังคมอย่างสูงส่งกว่าวิชาชีพอื่น ๆ และส่งผลไปสู่ค่า
ตอบแทนที่สูงกว่าวิชาชีพอื่น ๆ ด้วย ซึ่งในระยะยาวแล้วท่านก็จะได้ทั้งเงิน
และกล่อง นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมแพทย์จึงต้องมีแพทยสภาเพื่อดูแลจรรยา-
บรรณของแพทย์ แต่ถ้าท่านขาดความเข้าใจสิ่งนี้และมุ่งที่จะรวยเร็วแต่เพียง
อย่างเดียวแล้วละก็ ในที่สุดสังคมไทยก็จะเห็นแพทย์เป็นเพียงผู้รับจ้างรักษา
กาย และจะมีการฟ้องร้องแพทย์เกี่ยวกับ malpractice มากมายอย่างใน
สหรัฐฯ ซึ่งปัจจุบันก็เริ่มมีให้เห็นบ้างแล้วในสังคมไทย


Posted by : เพลโต , Date : 2005-05-24 , Time : 11:13:49 , From IP : green.ee.psu.ac.th

ความเห็นจาก Social Network : Facebook


สงวนสิทธิ์การแสดงความคิดเห็นสำหรับ สมาชิกเท่านั้น
>>>>> Page loaded: 0.013 seconds. <<<<<