ความคิดเห็นทั้งหมด : 8

ผมว่าถ้าวันนั้นผมไม่เลือกเรียนหมอ ชีวิตคงจะมีความสุขกว่านี้


   บทความนี้เป็นบทความที่คัดลอกมาจากเว็บบอร์ดที่อื่น อยากให้เพื่อนได้อ่านกัน
ผมได้คัดลอกมาจากเว็บนี้ครับ
http://www.mthai.com/webboard/5/94216.html


ตอนนี้ทำงานในโรงพยาบาลของรัฐครับ

ผมยังจำได้ในวันแรกที่สอบได้ ญาติๆและคนรู้จักต่างมาแสดงความยินดี.... แต่มีญาติสนิทคนนึงที่เป็นหมอ ท่านเดินเข้ามาท่ามกลางวงที่แสดงความยินดี และจับไหล่ผมก่อนจะบอกว่า เสียจด้วย ที่ห้ามไม่ให้เรียนหมอไม่ได้
ท่านบอกว่าผมจะต้องทนทรมานไปอีกนานเพราะชีวิตที่ยากลำบาก ซึ่งตอนนั้นผมตอบไปว่า ผมทนเหนื่อยได้แน่นอน..... แต่ผมไม่รู้เลยว่า มันไม่ได้แค่ความเหนื่อยเท่านั้น หากแต่มีความหนักใจและความน้อยใจต่างหาก

วันแรกที่ไปสัมภาษณ์ คำถามที่อาจารย์แพทย์ถามคือ ทำไมอยากเป็นหมอ ผมตอบไปว่า เพราะเป็นอาชีพที่น่าจะมั่นคงและได้ทำงานไปพร้อมๆกันกับช่วยเหลือคนอื่น อาจารย์ถามต่ออีกว่าแล้วคิดว่าจะไปทำงานในชนบทหรือเปล่า ผมก็ตอบว่า ก็ต้องไป เพราะเป็นทั้งหน้าที่และสิ่งที่น่าทำอยู่แล้ว............. ปีนั้น ผมรู้มาทีหลังว่าเพื่อนๆหลายคนคิดอย่างนั้น มีน้อยคนที่ตอบไปว่าอยากเป็ฯเพราะอยากช่วยเหลือผู้คน ซึ่งเป็นคำตอบโหลๆในอดีต
ด้วยอุดมการณ์ที่สูงเต็มที่ตอนปี1-2-3 ผมว่าผมก็ตั้งใจเรียน ในขณะเดียวกันก็พยายามรู้จักข่าวสารบ้านเมืองอย่างที่คนที่จะเป็นหมอควรรู้ โดยละเอาเวลาที่จะไปเที่ยวเล่นหรือเที่ยวสถานที่อโคจรออกไป กิจกรรมที่เห็นว่าทำไปเพื่อความสนุกสนานเช่นดูหนังดูละครไปเที่ยวห้างโยนโบลล์อย่างที่เคยทำตอนมัธยม เลิกหมด...... มาทำงานในหอผู้ป่วย พยายามเรียนรู้และทำความเข้าใจในทั้งเรื่องโรคภัยไข้เจ็บ และเรื่องความเป็นมนุษย์ที่ว่าคนป่วยและญาติก็เป็นคนๆนึง
ผมเชื่อว่านศพ.ในปัจจุบัน ตระหนัก และไม่คิดว่าคนไข้เป็นแค่"เคส" แต่มองคนไข้เป็นคนๆนึง

ระหว่างเรียนในปี5-6 พวกผมต้องเรียนและทำงานบางอย่างเพื่อเพิ่มประสบการณ์ และทำงานเพื่อแบ่งเบาภาระงานในโรงพยาบาล หลายครั้งที่ต้องอดหลับอดนอนจนป่วย (นอนวันละ1-2ชั่วโมงโดยไม่ได้แอบไปงีบพักตอนกลางวัน) หลายครั้งกินข้าววันละมื้อ
ตอนตีสามตีสี่ ต้องมานั่งเย็บแผลให้คนเมาที่ทะเลาะกัน บางครั้งเย็บไปโดนด่าไปด้วยคำพูดที่หยาบคาย ร้ายไปกว่านั้นบางครั้งโดนร้องเรียนกล่าวหาว่าไปแกล้งเย็บแรงๆหรือไปแกล้งเย็บโดยไม่ฉีดยาชา (บ้าเหรอ แค่ฉีดยาชาก็ร้องแหกปากหาแม่แล้ว)
ช่วงที่เรียนอยู่ ในเวลาร่วมๆสามเดือนที่อยู่ห้องฉุกเฉิน ผมโดนคนไข้ที่เมาทำร้ายร่างกายไม่ต่ำกว่าสิบครั้ง ส่วนใหญ่เป็นเตะ
ช่วงที่ต้องรักษาคนไข้เอดส์ ถูกคนไข้ทำเข็มเปื้อนเลือดแทงเข้าที่มือ โดยญาติคนไข้บอกว่า "ก็หมอบอกว่าไม่รังเกียจ แล้วจะบ่นไปทำไม" และเกือบโดนร้องว่าทำกริยาไม่เหมาะสมดูถูกคนไข้ ด้วยการรีบไปล้างมือ
คนไข้โรคหัวใจน้ำท่วมปอดแล้ว สั่งห้ามกินอาหารเค็มและจำกัดน้ำ แต่ญาติๆช่วยกันหาอาหารทั้งเค็มๆ(แกกินเค็มกว่าผมอีก)และน้ำมาให้ ผลคือคนไข้ทรมานด้วยอาการหายใจไม่ออก ซึ่งญาติก็ก่นด่าหมอทุกวันและหาว่าดูถูกว่าจนเลยไม่รักษา
แม่เด็กเป็นไข้เลือดออก พอไข้ลงก็ได้อธิบายว่าต้องอยู่ต่อ เพราะเป็นไข้เลือดออกแล้วจังหวะไข้ลงคือช่วงที่อันตรายที่สุด แม่เด็กไม่เชื่อและไม่ยอมจะเอาลูกกลับให้ได้และด่าว่าหมอว่าจะเอาไว้ให้เสียเงินใช่ไหม ในระหว่างที่เถียงเด็กก็ชัก.....ขณะที่หมอพยาบาลกำลังช่วยเด็ก ญาติๆก็มาถึง เมื่อหมอออกมาก็พบกับแม่เด็ก ที่กำลังเล่าให้ญาติของตนและชาวบ้านที่มาเยี่ยมคนที่ป่วยว่า หมอเห็นว่าตนไม่มีเงินเลยจะไล่ลูกแกที่เป็นไข้เลือดออกให้กลับบ้านโดยที่แกไม่ยอม,,,,,,,,,, เป็นคำโกหกที่ผมเจ็บปวดที่สุดในชีวิตครั้งนึงของคนไข้ที่เราพยายามช่วยในทั้งการรักษาโรคและทางสังคมจิตใจ

ผมจบมาด้วยความรู้สึกว่า สังคมไทยมันก็แย่พอสมควร คนไทยก็เชื่อข่าวง่ายๆ
บางข่าวเชื่อข่าวฝ่ายเดียวที่คนไข้เอามาเสนอ พอความจริงปรากฎ สื่อก็เงียบ ไม่มีแม้แต่จะขอโทษ
บางข่าวซึ่งเป็นส่วนใหญ่ทีเดียว สื่ออธิบายวิชาการทางการแพทย์คลาดเคลื่อนแล้วบวกกับคำพูดฝ่ายเดียวของคนไข้ เพื่อทำให้หมอเป็นคนที่ดูผิด
ในที่สุด ผมก็จบมาโดยหวังว่า เมื่อมาทำงานให้ประชาชนในพื้นที่ๆขาดหมอ คงเจอคนดีๆมากกว่า ส่วนเรื่องเงินเดือนผมบอกตรงๆว่าไม่ได้คิดเลย เพราะการเรียนแพทย์ที่ผมเจอมา ทำให้ผมไม่รู้ว่าจะเอาเวลาไปทำอะไรได้อีก รวมไปถึงครอบครัวที่พอจะมีกินบ้าง
เพื่อนที่จบวิศวะรุ่นเดียวกันหลายๆคน รายได้รวมของแต่ละคน มากกว่ารายได้รวมของผมทั้งหมดทุกด้านเอามารวมกันซะอีก (ใครว่าหมอเงินเดือนเยอะฟะ) แต่ทำงานเฉลี่ยในแต่ละสัปดาห์ ผมทำงานมากกว่า วันละประมาณ8-9ชั่วโมง(สัปดาห์ละ64ชั่วโมง)

ที่จริงทนมาได้นานแล้วนะ แต่ว่าช่วงนี้มีข่าวหมอบ่อยและมีเรื่องกระทบจิตใจพอสมควร
เรื่องแรก คนไข้ปวดท้องมา10กว่าวัน ดูยังไงก็ไส้ติ่งที่แตกไปแล้ว พอมาก็งดน้ำงดอาหารให้ครบ6ชั่วโมงเพื่อจะดมยาให้อย่างปลอดภัย ผ่าเสร็จก็มาดูบ่อยๆเพราะว่าอาการไม่ได้ดีมาก
นี่แว่วๆมาว่า มีคนเชื่อว่าเรื่องงดน้ำอาหารเป็นเรื่องโกหกและผมไปดูเพราะรู้สึกผิด
อีกเรื่อง มีเพื่อนเย็บแผลห้ามเลือดที่ทวารหนัก แล้วเอาไปผ่าต่อภายหลัง ญาติคนไข้หาว่าไปเย็บผิดต้องไปผ่าเสริม

เบื่อไปหมด ยิ่งช่วงนี้มีกระแสมั่วว่าเรียนหมอใช้เงินหลวงเยอะทั้งที่จริงเมื่อเอามาดูจริงๆ รายเงินที่สนับสนุนมาที่ตัวคนเรียนจริงๆ หมอก็ยังไม่ได้มากที่สุดด้วยซ้ำ
แต่หมอกลับต้องมาใช้ทุนในลักษณะทาสการเงิน โดยถูกมองว่าหมอไม่อยากมาอยู่หรอก(ทั้งที่ส่วนใหญ่แม้ไม่ต้องจ่าย ทุกคนก็อยากมา ปีนี้ลาออกน้อยมากๆด้วย)

เบื่อเมืองไทย ที่เป็นแบบนี้ ถ้าต่อไปคนจ้องหาเรื่องมากกว่านี้ อุดมการณ์ผมคงกระเจิงแน่ๆ


โดย : แพทย์ที่เริ่มท้อ
อีเมล์ : aggga@hotmail.com
วันที่ : 2005-05-06 02:33:48


Posted by : หมอคนหนึ่ง , Date : 2005-05-08 , Time : 21:09:08 , From IP : 172.29.4.99

ความคิดเห็นที่ : 1


   ต้องส่งกำลังใจไปช่วย



.........


Posted by : one2go , Date : 2005-05-08 , Time : 21:10:40 , From IP : 172.29.7.152

ความคิดเห็นที่ : 2


   ผมก็คิดแบบคุณ
ผมเลยเลือกเรียนต่อด้านที่ไม่ต้องพบคนไข้
อาทิ patho, นิติเวช


Posted by : one3go , Date : 2005-05-08 , Time : 21:35:18 , From IP : 172.29.1.213

ความคิดเห็นที่ : 3


   -ผมคิดว่าสิ่งสำคัญที่ควรมีในตัวเราคือความสามารถในการแยกแยะข่าวสารข้อมูล เราควรรู้ว่าอะไรควรเชื่อ ไม่ควรเชื่อ
-ผมทำงานเป็นแพทย์มาประมาณ 3 ปี ไม่รวมตอนเป็นextern ผมยังไม่เคยเจอเหตุการณ์อย่างที่คุณ"แพทย์ที่เริ่มท้อ"กล่าวไว้เลย (แต่อาจเป็นเพราะผมยังเจอผู้ป่วยไม่เยอะพอก็เป็นได้) ผมเลยอยากรู้ว่าเขาไปทำงานที่ไหนกัน และที่สำคัญเขาทำตัวอย่างไร มีหลายประโยคที่อยู่ในวงเล็บที่แสดงให้เห็นถึงความก้าวร้าวในใจ
เช่น บ้าเหรอ แค่ฉีดยาชาก็ร้องแหกปากหาแม่แล้ว เป็นต้น
-ผมคิดว่าการฟ้องร้องแพทย์คงมากขึ้นแน่เพราะคนเรามีความรู้ เขารู้ว่าเขาควรได้อะไร อะไรไม่ควรเกิดกับเขา ดังนั้นคนที่จะประกอบอาชีพหมอจะต้องรักษาstandard of careไว้ตลอดไป รู้จักการพูด การอธิบาย ไม่ใช่ทำอย่างเดียวไม่พูดอะไรเลย


Posted by : megumi , Date : 2005-05-08 , Time : 21:59:05 , From IP : 172.29.7.117

ความคิดเห็นที่ : 4


   ความเห็นในกระดาน mthai ก็ค่อรนข้างเยอะนะครับ ผมขอเพิ่มเติมส่วนที่ไม่ใคร่มีใครแยกแยะออกมาจากบทความนี้เท่าที่ผ่านมา นั่นคือ "แล้วประสบการณ์ที่เหลือที่ผ่านมา มีอะไรดีๆที่ทำให้ทำต่อบ้างหรือไม่?"

อาชีพหมอพยาบาลมี privilege อยู่อย่างหนึ่งครับ คือเรา "ทำบุญ" ในเนื้องาน ที่พุทธภาษิตสั่งสอนว่าให้เก็บทรัพย์บางส่วนฝังดินเป็นทุนรอนนั้น อาชีพนี้ไม่ต้องครับ ไม่ต้องหาเวลาไปถวายสังฆทาน สร้างโบสถ์ สร้างเจดีย์ ขอเพียงแค่ "ทำงาน" ก็เพียงพอแล้ว เป็นที่น่าเสียดายหากจับพลัดจับผลูได้มาอยู่ในวง
การแล้ว ไม่สามารถที่จะ "เสพย์บุญ" กรรมมันจะบังไว้เยอะทีเดียว

การทำงานในวิชาชีพแพทย์เต็มไปด้วย "ทาน คือ การให้" เต็มไปด้วย "อุเบกขา" ละวางปล่อยปละซึ่งสายโยงระยางแห่งวิบากกรรมที่เป็นบ่วง เต็มไปด้วย "อโหสิกรรม" ทั้งของเราและของเขา ที่ถึงเวลาแล้วที่เราจะบั่นไม่ต่อ ขอเพียงให้เราเรียนจากความผิดพลาดเพื่อให้บทเรียนนั้นๆช่วยชีวิตคนอีกเป็นจำนวนมาก ขอเพียงให้อโหสิกรรมของเราต่อการประพฤติไม่ดีต่อเรานั้นเป็นวิบากที่ตามมาทัน และเราไม่ควรจะสร้างเสริมเติมต่อให้เป็นพันธะยืดยื้อต่อไปอีก

ชีวิตนักเรียนแพทย์นั้นนอกเหนือจากเกร็ดความรันทดที่แพทย์ท่านที่ได้เขียนบรรยายมาไว้พอเห็นภาพพจน์ ผมคิดว่าถ้าเราคิดดูดีๆเราก็มี "เกร็ดความภาคภูมิใจ" เกิดขึ้นมาไม่น้อย การเย็บแผลคนไข้คนแรก การทำคลอดเด็กคนแรก การสัมภาษณ์ผู้ป่วยคนแรก ฯลฯ ว่าไปถึงความสัมพันธ์ที่คนในอาชีพนี้ก่อนหน้าเราเคยได้รับ และเราเริ่มลิ้มชิมรสว่า "การช่วย" คนขณะที่เจ็บไข้ได้ป่วยนั้น มันเป็นตัวเร่งสร้างคงามสัมพนธ์ไมตรีจิตได้ดีขนาดไหน อย่างไร เกณ้ดเหล่านี้ ไม่ใคร่มีคนบ่นรำพึงให้ฟัง แต่จะเป็นแรกผลักที่มองไม่เห็นที่ทำให้หมอส่วนหนึ่ง "อยู่ได้" ท่ามกลางอุปสรรคขวากหนามเยอะแยะไปหมด

ชีวิตหมอหลังจบ นอกเหนือจาก "เกร็ดรันทด" มันก็มี "เกร็ดดี" ให้เป็นน้ำหล่อเลี้ยงบ้างไหม? หมอทุกคนอาจจะช่วยๆกันย้อนนึกและเล่าให้ฟังได้ มีกี่คำ "ขอบคุณ" ที่เราได้ และไม่ใช่จากการพูดตามมารยาทอย่างในวงการวิชาชีพอื่นๆ แต่เป็น "ขอบพระคุณ" จาก "พระคุณ" จริงๆ จากแม่ของลูก จากลูกของพ่อ จากภรรยาของสามี สิ่งเหล่านี้มันมีอะไรที่ "จรรโลงใจ" บ้างไหม อาจจะไม่ถ้าเราไม่ได้จงใจจะ "เสพย์" มันเมื่อมันมาให้เสพย์ แต่สำหรับคนที่จงใจแสวงหาน้ำทิพย์นี้ เขาเหล่านั้นก็คงจะมีอายุการใช้งานในวงการนี้ต่อไปได้อีกระยะหนึ่ง



Posted by : Phoenix , Date : 2005-05-08 , Time : 22:00:20 , From IP : 203.156.119.53

ความคิดเห็นที่ : 5


   ส่วนตัวแล้วผมยังเชื่อมั่นในคุณค่าของวิชาชีพแพทย์อยู่ แต่ก็เข้าใจว่าสภาพสังคมในปัจจุบันกำลังเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ ทำให้คุณค่าของวิชาชีพแพทย์เริ่มเสื่อมถอยลงเรื่อยๆ
ผมคิดว่าสิ่งหนึ่งที่จะเป็นความจริงตลอดกาลคือยิ่งแพทย์คนนึงยิ่งมีความรู้ความสามารถแค่ไหน ก็ยิ่งดีเท่านั้น เพราะงั้นวันนี้ในฐานะนศพก็ขวนขวายหาความรู้ให้เต็มที่ ส่วนความผิดพลาดที่สุดวิสัยในการรักษาได้แต่ฝากความหวังไว้ว่าคนไข้จะสัมผัสได้ถึงความจริงใจของเรา เหลือเกินกว่านั้นคงต้องทำใจเพราะเป็นเรื่องธรรมดาที่ความยุติธรรมบางครั้งก็หาไม่ได้ในโลกแห่งความเป็นจริง ทุกๆอาชีพก็ไม่แตกต่างกัน แต่ลองถามดูบ้างว่ามีสักกี่อาชีพที่ช่วยชีวิตคนได้มากเท่าหมอบ้าง? ตรงนี้เองที่ผมว่ามันคือ "บุญ" ที่จะอยู่กับเราไม่ไปไหน เราจะรู้อยู่แก่ใจว่าสิ่งที่เราทำลงไปมันมีคุณค่า มันเป็นประโยชน์กับคนอื่น เราจะภูมิใจในสิ่งที่เราทำอย่างแท้จริง


Posted by : Tamujin , Date : 2005-05-09 , Time : 02:59:50 , From IP : 172.29.4.132

ความคิดเห็นที่ : 6


   ถึงอย่างไรหนูก็ยังตั้งใจที่จะเรียนแพทย์ และอุทิศตนเพื่อการเป็นแพทย์ที่ดีต่อไปค่ะ หนูเชื่อในศรัทธาของการเป็นแพทย์

Posted by : เด็กที่ฝันเพิ่งเป็นจริง , Date : 2005-05-10 , Time : 18:03:49 , From IP : 192.168.26.87

ความคิดเห็นที่ : 7


   ทุกอาชีพแหล่ะที่เปนอย่างนี้ เราก้คนหนึ่ง

Posted by : pop angle , Date : 2005-05-11 , Time : 03:22:37 , From IP : 203.209.41.132

ความคิดเห็นที่ : 8


   โชคดีจังเลยอ่ะ ที่ไมได้เลือกเรียนแพทย์ ศรัทธาในวิชาชีพแพทย์เริ่มเสื่อมถอย อีกหน่อยแพทย์ก็คงเป็นได้แค่พนักงานรักษาคนไข้ ไม่ได้มีเกียรติอย่างที่เป็นมาในอดีต แถมเป็นอาชีพที่เหนื่อยซะด้วยซ้ำ คิดว่าคนเรียนแพทย์ ถ้าไม่ได้เป็นคนที่ใจบุญ & น้ำใจงามอย่างสุดๆแล้ว ก็น่าจะเป็นคนที่คิดผิดมั้ง ที่เลือกเรียนแพทย์ (เฉพาะหมายความถึงคนที่ไม่มีน้ำใจงามอะนะ) เลือกเรียนแพทย์จะเป็นคนที่ฉลาดจริงรึป่าว ชักไม่ค่อยแน่ใจแล้วสิ

Posted by : - , E-mail : (-) ,
Date : 2005-05-17 , Time : 12:50:20 , From IP : 172.29.4.85


ความเห็นจาก Social Network : Facebook


สงวนสิทธิ์การแสดงความคิดเห็นสำหรับ สมาชิกเท่านั้น
>>>>> Page loaded: 0.004 seconds. <<<<<