ความคิดเห็นทั้งหมด : 14

ใครๆ ก็เป็นหมอได้


   สมัยก่อน จะไปบางกอกด้วยเครื่องบินทีก็คิดแล้วคิดอีก
เดี๋ยวนี้ใครๆ ก็บินได้





เห็นยุคนี้เรื่องผลิตแพทย์แล้ว




ใครๆก็เป็นหมอได้


ว่าไหม


เข้ามาแล้ว อาจารย์ไม่กล้าเอาออกอีก (ต้องเลวสุดๆ) เลวธรรมดา ออกไป เปิด clinic ลดความอ้วนเอาอะไรให้คนไข้กินก็ไม่รู้ กูรวยซะอย่าง

เข้าง่าย อยู่ง่ายๆ (ไม่มีใครเอาออกง่ายๆ) จบไปง่ายๆ (ยังงัยก็เข็นจนจบ)


ใครๆ ก็เป็นหมอได้


กลัวแต่จะเหมือน ประเทศเพื่อนบ้านสิ หมอเต็มไปหมด ขับแท็กซี่ ก็มี


Posted by : one2go , Date : 2005-05-05 , Time : 22:48:08 , From IP : 172.29.3.227

ความคิดเห็นที่ : 1


   ที่คุณ one2go โพสเนี่ย


ไม่ทราบว่าต้องการจะบอกอะไรเหรอครับ


หรือว่าเป็นแค่ประโยคบอกเล่า







Posted by : SodaMint , Date : 2005-05-05 , Time : 23:19:15 , From IP : 172.29.4.191

ความคิดเห็นที่ : 2


   อืมมมม



ขอบคุณสำหรับคำทักท้วง ครับ Sodamint

ลืมระบุให้ชัดๆ (นึกว่าจะสะกิดให้คิดเองได้)

process การผลิตแพทย์ของเรากำลังเปลี่ยนแปลงไปครับ (เปลี่ยนมาแล้วช่วงหนึ่ง)

ก่อนเข้า เมื่อก่อน กับสมัยนี้ด้วยเหตุปัจจัยต่างๆ ตอนนี้ต้องไปหาคนมาเข้าเรียนแพทย์ เพราะ จะได้ไม่ครบ ที่นี้ process การกรอง นักศึกษาจะเป็นอย่างไร ตะแกรง จะรูใหญ่ขึ้นหรือเปล่า ไหนๆก็กลัวจะไม่ครบอยู่แล้ว
อันนี้คือข้อแรก เข้ามาง่ายขึ้น

เข้ามาแล้ว อาจารย์ท่านอยากให้จบ เข็นกันให้จบ
ด้วย KPI หน่วยงาน การเอาตัวชี้วัดด้านการศึกษา คือปริมาณผู้จบแพทย์ มาชี้วัด หลายสิ่งหลายอย่าง สงเสรมให้ จบง่ายครับ



ใครๆก็เป็นหมอได้


Posted by : one2go , Date : 2005-05-05 , Time : 23:39:19 , From IP : 172.29.3.227

ความคิดเห็นที่ : 3


   ส่วนตัวฉันคิดว่า...

ความคิด ที่ว่า



อย่างน้อยก็เพราะต้องใช้คะแนนเอนท์สูงๆ

ทำให้เกิดปัญหาว่า ใครๆก็อยากเรียนหมอทั้งที่ไม่ได้ชอบ

ถ้าใคร ก็เรียนหมอได้....

น่าจะเป็นทางแก้ปัญหาที่ดีทางหนึ่ง

หรือคุณคิดว่าไงคะ?


Posted by : pin a vee , Date : 2005-05-05 , Time : 23:44:52 , From IP : 202.129.50.158

ความคิดเห็นที่ : 4


   เอ๋... ข้อความหายไปหนึ่งประโยค

ความคิด ที่ว่า ...

หมอ ไม่ใช่อาชีพที่เป็นกันได้ง่ายๆ


Posted by : pin a vee , Date : 2005-05-05 , Time : 23:50:50 , From IP : 202.129.50.158

ความคิดเห็นที่ : 5


   น่าสนใจครับ

คุณ pin a vee

พอจะขยายความหน่อยได้ไหมครับ ว่าจะดีอย่างไร


เช่นคุณภาพของแพทย์ที่ออกไป

(ยังไม่พูดถึงจรรยาบรรณ)


Posted by : one2go , Date : 2005-05-05 , Time : 23:59:52 , From IP : 172.29.3.227

ความคิดเห็นที่ : 6


   จริงๆ ผมมองอย่างนี้นะ

เข้ามาง่ายหนะดี

แต่ตระแกรงที่จะกรองออก ต้องเข้มขึ้นกว่าเดิม

มีกระบวนการที่สามารถ reject คนได้ง่ายๆ (โดยไม่ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่โต) โดยที่ทุกคนที่เข้ามาต้องยอมรับสภาพการ reject นั้น ไม่ใช้มาฟ้องทางศาล เล่นเอา กระบวนการ reject ไม่เกิดง่ายๆ


Posted by : one2go , Date : 2005-05-06 , Time : 00:04:54 , From IP : 172.29.3.227

ความคิดเห็นที่ : 7


   เห็นด้วยกับกระบวนการ Reject ค่ะ

ถ้าเขาเรียนไม่ไหว น่าจะให้เขาออกไป


ตอบคำถามคุณต่อนะ

ฉันเคยได้ยินหมอคนหนึ่งบอกว่า การเรียนหมอไม่ใช่สิ่งที่ยาก(เกินไปนัก)

จึงคิดว่า ... การคัดกรองตรงนี้ ช่วงคะแนน ของคนที่ ..น่าจะเรียนหมอได้...

ไม่น่าจะอยู่ที่ 430 up - 700

แต่ก็คงไม่ถึงขนาด 300 down

ค่ะ

คิดว่าขึ้นอยู่กับกระบวนการเรียนในคลาสด้วยค่ะ ว่า เขามีพัฒนาการด้านการเรียนรู้แค่ไหน ถ้าไม่ไหว ก็ควร Reject (เหมือนวิศวะ)

ฝากคำถามต่อว่า...เราจะหาคนที่เหมาะสมที่สุดได้อย่างไร

ด้วยค่ะ




Posted by : pin a vee , Date : 2005-05-06 , Time : 00:46:26 , From IP : 202.129.50.158

ความคิดเห็นที่ : 8


   ก็ดีนะที่ขนาดมีหมอไปขับแทกซี่ หรือทำอะไรอื่นๆ
ระบบการแพทย์พื้นฐานจะได้ลงสู่รากหญ้าบ้าง ระบบสาธารณสุขดีขึ้น
โรคภัยลดลง ประชากรโดยรวมการศึกษาดีขึ้น สุขภาพความเป็นอยู่ดี ประเทศจะได้เจริญ
แต่...
อย่าลืมคิดว่าโดยระบบเศรษฐศาสตร์แล้ว อุปสงค์มาก แต่ไม่มีเงินทุน ก็ผลิตออกมาไม่ได้ เช่นกันกับรัฐบาลเราตอนนี้
อีกอย่าง ผมไม่รู้นะว่าคุณ one2go เรียนหมอหรือเปล่า? ผมคิดว่าถ้าคุณเรียนคุณจะไม่พูดอย่างนี้แน่ๆครับ คุณจะไม่รู้หรอกถ้าคุณไม่ได้มายืนที่จุดนี้จริงๆ มันเหนื่อยมากๆนะครับ และจะยิ่งท้อลงทุกวันๆ
ตามความคิดผมนะ ผมว่าวงการแพทย์เป็นวงการที่มีคนชั่วอยู่น้อย ถึงจะชั่วก็ไม่ได้เดือดร้อนใครมาก ไม่มีฆ่าข่มขืน ฆ่าชิงทรัพย์ ไม่มีโกงกินบ้านเมือง ไม่มีอุ้มฆ่า แต่ที่เห็นเป็นข่าวใหญ่โต เพราะประชาชนคาดหวังสูง เมื่อคาดหวังสูงก็ย่อมสนใจมากกว่าอาชีพอื่นเป็นเรื่องธรรมดา หมอก็เป็นมนุษย์ธรรมดาๆคนหนึ่ง กิเลสตันหาย่อมมี ซึ่งเป็นเรื่องของบุคคลนั้น ขนาดพระภิกษุก็ยังมีกิเลสตัณหาเลย เมื่อทำผิดก็ต้องรับโทษไปตามระเบียบ หากต้องการหมอในอุดมคติ ผมว่าควรจะมีการจัดการทดสอบเรื่องเกี่ยวกับสภาพจิตใจและนิสัยให้เข้มข้นและรัดกุมมากกว่านี้ครับ


Posted by : หมอคนหนึ่ง , Date : 2005-05-06 , Time : 02:27:21 , From IP : 172.29.4.174

ความคิดเห็นที่ : 9


   ขอบคุณครับ คุณหมอคนหนึ่ง และคุณ pin a vee

ผมเป็น "คนแถวนี้" เท่านั้นครับ อาจไม่รู้ถึงความท้อใจของ นศพ ที่ต้องฝ่าฝัน ขยัน อดทน และทุ่มเท ให้กับการเรียน

ที่ผมกลัวคือ พ่อ แม่ ที่อยู่ต่างจังหวัด ไม่สบายขึ้นมา แล้วน่าเป็นห่วงว่า หมอที่มาตรวจจะเป็นแบบไหน จะทิ้งๆ ขว้างๆ หรือเปล่า (ผมว่า มันมีมากขึ้น คุณหมอพวกนี้)

ก็กลับมาเรื่องการ กรอง และ reject อีก นั้นแหละ อยากวิงวอนให้ช่วยทำหน่อย ใครที่มีแนวโน้ม จะเป็นอันตรายต่อผู้ป่วย ของให้อย่า ปล่อยไปเลยครับ

แย่ครับ ถ้าชาวบ้านห่างไกลหมอดีๆ ต้องเจอแต่หมอที่มาง่ายไปง่าย เพราะรูรั่วมันเยอะครับ

อีกหน่อยใครๆ ก็อยากมา มอ. หมดครับ

วิกฤต ศรัทธา หนะครับ


Posted by : one2Go , Date : 2005-05-06 , Time : 10:05:17 , From IP : 172.29.7.167

ความคิดเห็นที่ : 10


   การเป็นหมอไม่ใช่เรื่องยากแต่การเป็นหมอที่ดีสร้างประโยชน์ให้กันสังคมและสร้างคุณค่าให้กับตัวเองเป็นเรื่องยาก ทุกวันนี้หมอคำนึงถึงเรื่องค่าตอบแทนเป็นหลักจริงอยู่ว่าเรียนหนักจบออกมาก็หาทางชดเชยสิ่งที่สูญเสียไปแต่ก็ขอให้คำนึงถึงประเทศชาติและประชาชนบ้าง

Posted by : เด็กดอย , E-mail : (-) ,
Date : 2005-05-06 , Time : 21:23:45 , From IP : 61.7.137.137


ความคิดเห็นที่ : 11


   ตอนนี้ทำงานในโรงพยาบาลของรัฐครับ

ผมยังจำได้ในวันแรกที่สอบได้ ญาติๆและคนรู้จักต่างมาแสดงความยินดี.... แต่มีญาติสนิทคนนึงที่เป็นหมอ ท่านเดินเข้ามาท่ามกลางวงที่แสดงความยินดี และจับไหล่ผมก่อนจะบอกว่า เสียจด้วย ที่ห้ามไม่ให้เรียนหมอไม่ได้
ท่านบอกว่าผมจะต้องทนทรมานไปอีกนานเพราะชีวิตที่ยากลำบาก ซึ่งตอนนั้นผมตอบไปว่า ผมทนเหนื่อยได้แน่นอน..... แต่ผมไม่รู้เลยว่า มันไม่ได้แค่ความเหนื่อยเท่านั้น หากแต่มีความหนักใจและความน้อยใจต่างหาก

วันแรกที่ไปสัมภาษณ์ คำถามที่อาจารย์แพทย์ถามคือ ทำไมอยากเป็นหมอ ผมตอบไปว่า เพราะเป็นอาชีพที่น่าจะมั่นคงและได้ทำงานไปพร้อมๆกันกับช่วยเหลือคนอื่น อาจารย์ถามต่ออีกว่าแล้วคิดว่าจะไปทำงานในชนบทหรือเปล่า ผมก็ตอบว่า ก็ต้องไป เพราะเป็นทั้งหน้าที่และสิ่งที่น่าทำอยู่แล้ว............. ปีนั้น ผมรู้มาทีหลังว่าเพื่อนๆหลายคนคิดอย่างนั้น มีน้อยคนที่ตอบไปว่าอยากเป็ฯเพราะอยากช่วยเหลือผู้คน ซึ่งเป็นคำตอบโหลๆในอดีต
ด้วยอุดมการณ์ที่สูงเต็มที่ตอนปี1-2-3 ผมว่าผมก็ตั้งใจเรียน ในขณะเดียวกันก็พยายามรู้จักข่าวสารบ้านเมืองอย่างที่คนที่จะเป็นหมอควรรู้ โดยละเอาเวลาที่จะไปเที่ยวเล่นหรือเที่ยวสถานที่อโคจรออกไป กิจกรรมที่เห็นว่าทำไปเพื่อความสนุกสนานเช่นดูหนังดูละครไปเที่ยวห้างโยนโบลล์อย่างที่เคยทำตอนมัธยม เลิกหมด...... มาทำงานในหอผู้ป่วย พยายามเรียนรู้และทำความเข้าใจในทั้งเรื่องโรคภัยไข้เจ็บ และเรื่องความเป็นมนุษย์ที่ว่าคนป่วยและญาติก็เป็นคนๆนึง
ผมเชื่อว่านศพ.ในปัจจุบัน ตระหนัก และไม่คิดว่าคนไข้เป็นแค่"เคส" แต่มองคนไข้เป็นคนๆนึง

ระหว่างเรียนในปี5-6 พวกผมต้องเรียนและทำงานบางอย่างเพื่อเพิ่มประสบการณ์ และทำงานเพื่อแบ่งเบาภาระงานในโรงพยาบาล หลายครั้งที่ต้องอดหลับอดนอนจนป่วย (นอนวันละ1-2ชั่วโมงโดยไม่ได้แอบไปงีบพักตอนกลางวัน) หลายครั้งกินข้าววันละมื้อ
ตอนตีสามตีสี่ ต้องมานั่งเย็บแผลให้คนเมาที่ทะเลาะกัน บางครั้งเย็บไปโดนด่าไปด้วยคำพูดที่หยาบคาย ร้ายไปกว่านั้นบางครั้งโดนร้องเรียนกล่าวหาว่าไปแกล้งเย็บแรงๆหรือไปแกล้งเย็บโดยไม่ฉีดยาชา (บ้าเหรอ แค่ฉีดยาชาก็ร้องแหกปากหาแม่แล้ว)
ช่วงที่เรียนอยู่ ในเวลาร่วมๆสามเดือนที่อยู่ห้องฉุกเฉิน ผมโดนคนไข้ที่เมาทำร้ายร่างกายไม่ต่ำกว่าสิบครั้ง ส่วนใหญ่เป็นเตะ
ช่วงที่ต้องรักษาคนไข้เอดส์ ถูกคนไข้ทำเข็มเปื้อนเลือดแทงเข้าที่มือ โดยญาติคนไข้บอกว่า "ก็หมอบอกว่าไม่รังเกียจ แล้วจะบ่นไปทำไม" และเกือบโดนร้องว่าทำกริยาไม่เหมาะสมดูถูกคนไข้ ด้วยการรีบไปล้างมือ
คนไข้โรคหัวใจน้ำท่วมปอดแล้ว สั่งห้ามกินอาหารเค็มและจำกัดน้ำ แต่ญาติๆช่วยกันหาอาหารทั้งเค็มๆ(แกกินเค็มกว่าผมอีก)และน้ำมาให้ ผลคือคนไข้ทรมานด้วยอาการหายใจไม่ออก ซึ่งญาติก็ก่นด่าหมอทุกวันและหาว่าดูถูกว่าจนเลยไม่รักษา
แม่เด็กเป็นไข้เลือดออก พอไข้ลงก็ได้อธิบายว่าต้องอยู่ต่อ เพราะเป็นไข้เลือดออกแล้วจังหวะไข้ลงคือช่วงที่อันตรายที่สุด แม่เด็กไม่เชื่อและไม่ยอมจะเอาลูกกลับให้ได้และด่าว่าหมอว่าจะเอาไว้ให้เสียเงินใช่ไหม ในระหว่างที่เถียงเด็กก็ชัก.....ขณะที่หมอพยาบาลกำลังช่วยเด็ก ญาติๆก็มาถึง เมื่อหมอออกมาก็พบกับแม่เด็ก ที่กำลังเล่าให้ญาติของตนและชาวบ้านที่มาเยี่ยมคนที่ป่วยว่า หมอเห็นว่าตนไม่มีเงินเลยจะไล่ลูกแกที่เป็นไข้เลือดออกให้กลับบ้านโดยที่แกไม่ยอม,,,,,,,,,, เป็นคำโกหกที่ผมเจ็บปวดที่สุดในชีวิตครั้งนึงของคนไข้ที่เราพยายามช่วยในทั้งการรักษาโรคและทางสังคมจิตใจ

ผมจบมาด้วยความรู้สึกว่า สังคมไทยมันก็แย่พอสมควร คนไทยก็เชื่อข่าวง่ายๆ
บางข่าวเชื่อข่าวฝ่ายเดียวที่คนไข้เอามาเสนอ พอความจริงปรากฎ สื่อก็เงียบ ไม่มีแม้แต่จะขอโทษ
บางข่าวซึ่งเป็นส่วนใหญ่ทีเดียว สื่ออธิบายวิชาการทางการแพทย์คลาดเคลื่อนแล้วบวกกับคำพูดฝ่ายเดียวของคนไข้ เพื่อทำให้หมอเป็นคนที่ดูผิด
ในที่สุด ผมก็จบมาโดยหวังว่า เมื่อมาทำงานให้ประชาชนในพื้นที่ๆขาดหมอ คงเจอคนดีๆมากกว่า ส่วนเรื่องเงินเดือนผมบอกตรงๆว่าไม่ได้คิดเลย เพราะการเรียนแพทย์ที่ผมเจอมา ทำให้ผมไม่รู้ว่าจะเอาเวลาไปทำอะไรได้อีก รวมไปถึงครอบครัวที่พอจะมีกินบ้าง
เพื่อนที่จบวิศวะรุ่นเดียวกันหลายๆคน รายได้รวมของแต่ละคน มากกว่ารายได้รวมของผมทั้งหมดทุกด้านเอามารวมกันซะอีก (ใครว่าหมอเงินเดือนเยอะฟะ) แต่ทำงานเฉลี่ยในแต่ละสัปดาห์ ผมทำงานมากกว่า วันละประมาณ8-9ชั่วโมง(สัปดาห์ละ64ชั่วโมง)

ที่จริงทนมาได้นานแล้วนะ แต่ว่าช่วงนี้มีข่าวหมอบ่อยและมีเรื่องกระทบจิตใจพอสมควร
เรื่องแรก คนไข้ปวดท้องมา10กว่าวัน ดูยังไงก็ไส้ติ่งที่แตกไปแล้ว พอมาก็งดน้ำงดอาหารให้ครบ6ชั่วโมงเพื่อจะดมยาให้อย่างปลอดภัย ผ่าเสร็จก็มาดูบ่อยๆเพราะว่าอาการไม่ได้ดีมาก
นี่แว่วๆมาว่า มีคนเชื่อว่าเรื่องงดน้ำอาหารเป็นเรื่องโกหกและผมไปดูเพราะรู้สึกผิด
อีกเรื่อง มีเพื่อนเย็บแผลห้ามเลือดที่ทวารหนัก แล้วเอาไปผ่าต่อภายหลัง ญาติคนไข้หาว่าไปเย็บผิดต้องไปผ่าเสริม

เบื่อไปหมด ยิ่งช่วงนี้มีกระแสมั่วว่าเรียนหมอใช้เงินหลวงเยอะทั้งที่จริงเมื่อเอามาดูจริงๆ รายเงินที่สนับสนุนมาที่ตัวคนเรียนจริงๆ หมอก็ยังไม่ได้มากที่สุดด้วยซ้ำ
แต่หมอกลับต้องมาใช้ทุนในลักษณะทาสการเงิน โดยถูกมองว่าหมอไม่อยากมาอยู่หรอก(ทั้งที่ส่วนใหญ่แม้ไม่ต้องจ่าย ทุกคนก็อยากมา ปีนี้ลาออกน้อยมากๆด้วย)

เบื่อเมืองไทย ที่เป็นแบบนี้ ถ้าต่อไปคนจ้องหาเรื่องมากกว่านี้ อุดมการณ์ผมคงกระเจิงแน่ๆ












เรื่องดีๆต้องเอามาแบ่งปัน


Posted by : อ่านแล้วเห็นอนาคตรันทด , Date : 2005-05-08 , Time : 17:41:07 , From IP : 172.29.4.174

ความคิดเห็นที่ : 12


   เห็นใจครับ

..........




Posted by : one2go , Date : 2005-05-08 , Time : 21:09:19 , From IP : 172.29.7.152

ความคิดเห็นที่ : 13


   jhgg

Posted by : nh , Date : 2005-05-18 , Time : 21:23:19 , From IP : 172.29.4.36

ความคิดเห็นที่ : 14


   update กระทู้ ให้

Posted by : OmniSci , Date : 2005-05-20 , Time : 09:15:58 , From IP : 172.29.7.227

ความเห็นจาก Social Network : Facebook


สงวนสิทธิ์การแสดงความคิดเห็นสำหรับ สมาชิกเท่านั้น
>>>>> Page loaded: 0.01 seconds. <<<<<