ตอนนี้ทำงานในโรงพยาบาลของรัฐครับ
ผมยังจำได้ในวันแรกที่สอบได้ ญาติๆและคนรู้จักต่างมาแสดงความยินดี.... แต่มีญาติสนิทคนนึงที่เป็นหมอ ท่านเดินเข้ามาท่ามกลางวงที่แสดงความยินดี และจับไหล่ผมก่อนจะบอกว่า เสียจด้วย ที่ห้ามไม่ให้เรียนหมอไม่ได้
ท่านบอกว่าผมจะต้องทนทรมานไปอีกนานเพราะชีวิตที่ยากลำบาก ซึ่งตอนนั้นผมตอบไปว่า ผมทนเหนื่อยได้แน่นอน..... แต่ผมไม่รู้เลยว่า มันไม่ได้แค่ความเหนื่อยเท่านั้น หากแต่มีความหนักใจและความน้อยใจต่างหาก
วันแรกที่ไปสัมภาษณ์ คำถามที่อาจารย์แพทย์ถามคือ ทำไมอยากเป็นหมอ ผมตอบไปว่า เพราะเป็นอาชีพที่น่าจะมั่นคงและได้ทำงานไปพร้อมๆกันกับช่วยเหลือคนอื่น อาจารย์ถามต่ออีกว่าแล้วคิดว่าจะไปทำงานในชนบทหรือเปล่า ผมก็ตอบว่า ก็ต้องไป เพราะเป็นทั้งหน้าที่และสิ่งที่น่าทำอยู่แล้ว............. ปีนั้น ผมรู้มาทีหลังว่าเพื่อนๆหลายคนคิดอย่างนั้น มีน้อยคนที่ตอบไปว่าอยากเป็ฯเพราะอยากช่วยเหลือผู้คน ซึ่งเป็นคำตอบโหลๆในอดีต
ด้วยอุดมการณ์ที่สูงเต็มที่ตอนปี1-2-3 ผมว่าผมก็ตั้งใจเรียน ในขณะเดียวกันก็พยายามรู้จักข่าวสารบ้านเมืองอย่างที่คนที่จะเป็นหมอควรรู้ โดยละเอาเวลาที่จะไปเที่ยวเล่นหรือเที่ยวสถานที่อโคจรออกไป กิจกรรมที่เห็นว่าทำไปเพื่อความสนุกสนานเช่นดูหนังดูละครไปเที่ยวห้างโยนโบลล์อย่างที่เคยทำตอนมัธยม เลิกหมด...... มาทำงานในหอผู้ป่วย พยายามเรียนรู้และทำความเข้าใจในทั้งเรื่องโรคภัยไข้เจ็บ และเรื่องความเป็นมนุษย์ที่ว่าคนป่วยและญาติก็เป็นคนๆนึง
ผมเชื่อว่านศพ.ในปัจจุบัน ตระหนัก และไม่คิดว่าคนไข้เป็นแค่"เคส" แต่มองคนไข้เป็นคนๆนึง
ระหว่างเรียนในปี5-6 พวกผมต้องเรียนและทำงานบางอย่างเพื่อเพิ่มประสบการณ์ และทำงานเพื่อแบ่งเบาภาระงานในโรงพยาบาล หลายครั้งที่ต้องอดหลับอดนอนจนป่วย (นอนวันละ1-2ชั่วโมงโดยไม่ได้แอบไปงีบพักตอนกลางวัน) หลายครั้งกินข้าววันละมื้อ
ตอนตีสามตีสี่ ต้องมานั่งเย็บแผลให้คนเมาที่ทะเลาะกัน บางครั้งเย็บไปโดนด่าไปด้วยคำพูดที่หยาบคาย ร้ายไปกว่านั้นบางครั้งโดนร้องเรียนกล่าวหาว่าไปแกล้งเย็บแรงๆหรือไปแกล้งเย็บโดยไม่ฉีดยาชา (บ้าเหรอ แค่ฉีดยาชาก็ร้องแหกปากหาแม่แล้ว)
ช่วงที่เรียนอยู่ ในเวลาร่วมๆสามเดือนที่อยู่ห้องฉุกเฉิน ผมโดนคนไข้ที่เมาทำร้ายร่างกายไม่ต่ำกว่าสิบครั้ง ส่วนใหญ่เป็นเตะ
ช่วงที่ต้องรักษาคนไข้เอดส์ ถูกคนไข้ทำเข็มเปื้อนเลือดแทงเข้าที่มือ โดยญาติคนไข้บอกว่า "ก็หมอบอกว่าไม่รังเกียจ แล้วจะบ่นไปทำไม" และเกือบโดนร้องว่าทำกริยาไม่เหมาะสมดูถูกคนไข้ ด้วยการรีบไปล้างมือ
คนไข้โรคหัวใจน้ำท่วมปอดแล้ว สั่งห้ามกินอาหารเค็มและจำกัดน้ำ แต่ญาติๆช่วยกันหาอาหารทั้งเค็มๆ(แกกินเค็มกว่าผมอีก)และน้ำมาให้ ผลคือคนไข้ทรมานด้วยอาการหายใจไม่ออก ซึ่งญาติก็ก่นด่าหมอทุกวันและหาว่าดูถูกว่าจนเลยไม่รักษา
แม่เด็กเป็นไข้เลือดออก พอไข้ลงก็ได้อธิบายว่าต้องอยู่ต่อ เพราะเป็นไข้เลือดออกแล้วจังหวะไข้ลงคือช่วงที่อันตรายที่สุด แม่เด็กไม่เชื่อและไม่ยอมจะเอาลูกกลับให้ได้และด่าว่าหมอว่าจะเอาไว้ให้เสียเงินใช่ไหม ในระหว่างที่เถียงเด็กก็ชัก.....ขณะที่หมอพยาบาลกำลังช่วยเด็ก ญาติๆก็มาถึง เมื่อหมอออกมาก็พบกับแม่เด็ก ที่กำลังเล่าให้ญาติของตนและชาวบ้านที่มาเยี่ยมคนที่ป่วยว่า หมอเห็นว่าตนไม่มีเงินเลยจะไล่ลูกแกที่เป็นไข้เลือดออกให้กลับบ้านโดยที่แกไม่ยอม,,,,,,,,,, เป็นคำโกหกที่ผมเจ็บปวดที่สุดในชีวิตครั้งนึงของคนไข้ที่เราพยายามช่วยในทั้งการรักษาโรคและทางสังคมจิตใจ
ผมจบมาด้วยความรู้สึกว่า สังคมไทยมันก็แย่พอสมควร คนไทยก็เชื่อข่าวง่ายๆ
บางข่าวเชื่อข่าวฝ่ายเดียวที่คนไข้เอามาเสนอ พอความจริงปรากฎ สื่อก็เงียบ ไม่มีแม้แต่จะขอโทษ
บางข่าวซึ่งเป็นส่วนใหญ่ทีเดียว สื่ออธิบายวิชาการทางการแพทย์คลาดเคลื่อนแล้วบวกกับคำพูดฝ่ายเดียวของคนไข้ เพื่อทำให้หมอเป็นคนที่ดูผิด
ในที่สุด ผมก็จบมาโดยหวังว่า เมื่อมาทำงานให้ประชาชนในพื้นที่ๆขาดหมอ คงเจอคนดีๆมากกว่า ส่วนเรื่องเงินเดือนผมบอกตรงๆว่าไม่ได้คิดเลย เพราะการเรียนแพทย์ที่ผมเจอมา ทำให้ผมไม่รู้ว่าจะเอาเวลาไปทำอะไรได้อีก รวมไปถึงครอบครัวที่พอจะมีกินบ้าง
เพื่อนที่จบวิศวะรุ่นเดียวกันหลายๆคน รายได้รวมของแต่ละคน มากกว่ารายได้รวมของผมทั้งหมดทุกด้านเอามารวมกันซะอีก (ใครว่าหมอเงินเดือนเยอะฟะ) แต่ทำงานเฉลี่ยในแต่ละสัปดาห์ ผมทำงานมากกว่า วันละประมาณ8-9ชั่วโมง(สัปดาห์ละ64ชั่วโมง)
ที่จริงทนมาได้นานแล้วนะ แต่ว่าช่วงนี้มีข่าวหมอบ่อยและมีเรื่องกระทบจิตใจพอสมควร
เรื่องแรก คนไข้ปวดท้องมา10กว่าวัน ดูยังไงก็ไส้ติ่งที่แตกไปแล้ว พอมาก็งดน้ำงดอาหารให้ครบ6ชั่วโมงเพื่อจะดมยาให้อย่างปลอดภัย ผ่าเสร็จก็มาดูบ่อยๆเพราะว่าอาการไม่ได้ดีมาก
นี่แว่วๆมาว่า มีคนเชื่อว่าเรื่องงดน้ำอาหารเป็นเรื่องโกหกและผมไปดูเพราะรู้สึกผิด
อีกเรื่อง มีเพื่อนเย็บแผลห้ามเลือดที่ทวารหนัก แล้วเอาไปผ่าต่อภายหลัง ญาติคนไข้หาว่าไปเย็บผิดต้องไปผ่าเสริม
เบื่อไปหมด ยิ่งช่วงนี้มีกระแสมั่วว่าเรียนหมอใช้เงินหลวงเยอะทั้งที่จริงเมื่อเอามาดูจริงๆ รายเงินที่สนับสนุนมาที่ตัวคนเรียนจริงๆ หมอก็ยังไม่ได้มากที่สุดด้วยซ้ำ
แต่หมอกลับต้องมาใช้ทุนในลักษณะทาสการเงิน โดยถูกมองว่าหมอไม่อยากมาอยู่หรอก(ทั้งที่ส่วนใหญ่แม้ไม่ต้องจ่าย ทุกคนก็อยากมา ปีนี้ลาออกน้อยมากๆด้วย)
เบื่อเมืองไทย ที่เป็นแบบนี้ ถ้าต่อไปคนจ้องหาเรื่องมากกว่านี้ อุดมการณ์ผมคงกระเจิงแน่ๆ
เรื่องดีๆต้องเอามาแบ่งปัน
Posted by : อ่านแล้วเห็นอนาคตรันทด , Date : 2005-05-08 , Time : 17:41:07 , From IP : 172.29.4.174
|