ความคิดเห็นทั้งหมด : 6

มีงานวิจัยเรื่องความรักมาให้อ่าน (แล้วลองตอบคำถามตอนท้ายดูเล่น ๆ )


   ดร.เฮเลน ฟิชเชอร์ (Dr.Helen Fisher) นักมานุษยวิทยาแห่ง มหาวิทยาลัยรัทเกอร์ส (Rutgers University) และทีมวิจัยของเธอ ได้ประกาศหาอาสาสมัครที่บอกว่าเพิ่งจะตกหลุมรักมาใหม่ๆ มาทำการทดลอง โดยคนที่ถูกทดลองจะได้ดูภาพของคนรักสลับกับภาพของคนอื่น (ที่พวกเขารู้สึกเฉยๆ) และจะมีโจทย์เลขง่ายๆ คั่นระหว่างภาพ เพื่อล้างภาพเดิมในสมอง ทั้งนี้ จะใช้เทคนิคเอฟเอ็มอาร์ไอ (fMRI = functional magnetic resonance imaging) เพื่อสแกนสมองดูว่า สมองส่วนไหนกำลังทำงานในขณะที่เห็นภาพต่างๆ (หรือกำลังคิดโจทย์เลข)

ผลปรากฏว่าเมื่อคนที่ถูกทดลองเห็นภาพของคนที่กำลังติดพันอยู่ สมองส่วนที่เรียกว่า คอเดตนิวเคลียส (caudate nucleus) และบริเวณเวนทรัล เซ็กเมนทัล (ventral segmental area) จะมีกิจกรรมมากกว่าปกติ โดยส่วนของสมองทั้งสองนี้เป็นบริเวณที่เกี่ยวข้องกับสารสื่อประสาทที่เรียกว่า โดพามีน (dopamine)

สารนี้จะพุ่งสูงมากในช่วงแรกๆ ที่ความรักยังบานฉ่ำเท่านั้น เพราะเมื่อเวลาผ่านไป โดพามีนจะลดลงและเปิดโอกาสให้สารสื่อประสาทอื่น เช่น ออกซีโทซิน (oxytocin) และเอนดอร์ฟิน (endorphin) เข้ามาทำงานแทน คล้ายๆ กับว่าธรรมชาติใช้สารสื่อประสาทอย่างโดพามีนหลอกล่อให้คนเราตกหลุม "รักแบบดื่มด่ำฉ่ำหวาน" (romantic love) ในช่วงแรกๆ (จะได้เริ่มสืบทอดเผ่าพันธุ์ ....เย้...เย้..เย) จากนั้นก็ใช้สารอื่นเปลี่ยนความรู้สึกไปเป็น "รักแบบผูกพัน" (attachment) ซึ่งตื่นเต้นเร้าใจน้อยลง โดยกระบวนการทั้งหมดนี้กินเวลาประมาณ 4 ปี

ตัวเลข 4 ปีนี้น่าคิด เพราะดูจะไปกันได้กับสถิติข้อมูลการหย่าร้างของคนในหลายๆ สังคมและวัฒนธรรม ซึ่งพบว่า การหย่าร้างของคู่สมรสที่มีบุตรคนเดียวมักจะเกิดในช่วง 2-4 ปีแรก โดยเกิดถี่ที่สุดในช่วงปีที่ 4 และนี่เอง ทำให้ ดร.ฟิชเชอร์ โยงเข้ากับวิวัฒนาการของคนเรา โดยเสนอว่า เบบี้ของคนเรานั้นช่วยเหลือตัวเอง (แทบจะ) ไม่ได้ จึงจำเป็นต้องมีผู้ใหญ่ช่วยกันดูแลสักพักใหญ่ พูดง่ายๆ คือ กลไกวิวัฒนาการทำให้คู่ชาย-หญิงผูกใจสมัครรักใคร่กันประมาณ 4 ปี ซึ่งนานเพียงพอที่เด็กเล็กๆ จะเติบโตจนไม่ต้องคอยดูแลใกล้ชิดมาก โดยถ้าทั้งคู่ไม่มีลูกคนใหม่ ก็จะมีโอกาสหน่ายแหนงสูง แต่ถ้ามีลูกอีกคน ก็จะเข้าสู่วัฏจักร "4 ปี น้ำผึ้งขม" กันต่อไป!

แนวคิดอย่างนี้ย่อมมีคนที่ไม่เห็นด้วยแน่ เพราะบางคนทักว่า แล้วความรักสุดซึ้งสีม่วงๆ ระหว่างเพศเดียวกันละจะว่าไง ไม่เห็นจะมีเด็กเล็กๆ มาเกี่ยวด้วยเลย ส่วนปรากฏการณ์ "หัวปี-ท้ายปี" นี่ก็ขัดกับตัวเลข 4 ปีอีกต่างหาก!

แล้วคุณล่ะ คิดว่า "4 ปี น้ำผึ้งขม" นี่ ชัวร์หรือมั่วนิ่ม?


Posted by : tp53 , E-mail : (tp_53_45@hotmail.com) ,
Date : 2005-04-26 , Time : 16:31:13 , From IP : 172.29.2.78


ความคิดเห็นที่ : 1


   มันก็น่าคิดอยู่หรอกนะ แต่ว่าใช้ไม่ได้กับทุกคน โดยเฉพาะกับเด็กสมัยนี้น่ะ น่าจะน้อยกว่า 4 ปีด้วยซ้ำ ความรักเดี๋ยวนี้กลายเป็นแค่ความต้องการตามธรรมชาติมากกว่า หลอกกันไปหลอกกันมา หาความจริงจังยาก

Posted by : เรา , Date : 2005-04-27 , Time : 11:25:39 , From IP : 203.113.70.74

ความคิดเห็นที่ : 2


   ธรรมชาติกำหนดมาให้สี่ปี เป็นระยะเวลาคร่าวๆ ในการเลี้ยงดู ซึ่ง จะสามารถทำให้มนุษย์เกิดการ survive ได้ ซึ่ง ส่วนตัวคิดว่า นั่นเป็นขั้นต่ำสุดที่ธรรมชาติ สร้างไว้ให้ คืออย่างน้อยที่สุด คุณก็จะมีเวลาสี่ปีในการเลี้ยงลูก แต่ในความเป็นจริงมีก็มีตัวแปรอื่นมาทำให้แปรผันไปได้อีก ไม่งั้นทำไมธรรมชาติไม่กำหนดให้เรามีลูกแค่ 1 คนแล้วเป็นหมันหรือตายไปแบบพวกแมงมุม

เคยอ่านงานวิจัยของ นพ. xxxx (จำชื่อไม่ได้) ของอิตาลี เคยทดลองเกี่ยวกับความรักเหมือนกันแต่คนนี้เขาสังเกตพบ Serotonin level เปลี่ยนแปลง อ่านบทความนี้แล้วเลยเอะใจเล็กน้อยว่ามันขัดกัน (ดูจาก NT pathway ของแต่ละตัวแล้วก็ไม่ได้ซ้อนทับกันเนอะ)

เอ่อ...อีกนิด

กำลังคิดว่า ปรากฏการณ์ 4 ปี หัวปี ท้าย ปี นี่คือ ในระยะเวลา สี่ปี นี้ ถ้าเป็นไปตามข้อสรุปของงานวิจัยชิ้นนี้ หญิงกับชายคู่นี้ ก็ยังอยู่ในระยะที่ dopamine มีอิทธิพลต่อการสั่งงานของสมอง ซึ่ง ก็มีโอกาสที่จะมี sex กันได้ เมื่อมีโอกาสที่จะมี sex ก็จะทำให้สามารถมีลูกได้ แต่หลังจากนั้น สี่ ปี คนที่มีลูก หัวปีท้ายปี จะเริ่มรู้สึกต่อกันและกันอย่างไร ยังรักกันอยู่เหมือนเดิมไหม ถ้าสี่ปีห้หลังผ่านไป ชักเริ่มไม่หัวปีท้ายปี ... ก็เข้ากันกับทฤษฎี ไม่ใช่หรือ?

คือเราคิดว่า (ชักเริ่มเพี้ยน) การหลั่ง dopamine ตรงนี้ เกี่ยวอะไรกับเด็กด้วย เอ่อ... มันเกิดกลไกนี้ เพราะธรรมชาติ ต้องการให้บุตรของเรามีคนคอยดูแลในระยะสี่ปีแรก ก็หมายความว่า ทุกคนเมื่อตอนเกิดมา ก็จะมีกลไกนี้ในการดำรงชีวิตอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็น เกย์ ทอม บอย หรือ เกิร์ล สมมติ ทอมไปเจอกับดี้ ก็เกิดกลไกเดียวกันกับที่ ชาย เจอกับ หญิง เพราะว่า อาจจะเพราะการทำงานของสมองส่วนอื่น ที่ทำให้เห็นผู้หญิงเป็นตัวกระตุ้นแทนที่จะเป็นผู้ชาย ตรงนี้ สารก็จะหลั่งออกมาตามกลไกธรรมชาติ และอีกสี่ปี ก็จะหายไป (ทอมกับดี้ก็จะเลิกกันและเป็นข่าวขึ้นหน้าหนึ่งไทยรัฐ)

อันนี้มองไปแบบสมมติว่า ทฤษฎีนี้ วิจัยกันอย่างถูกต้องนะ ซึ่ง ที่จริงแล้วก็ไม่รู้ว่ามันจะจริงหรือเปล่า พี่ๆไม่ลองวิจัยกันดูบ้างละคะ ^_^ มอ.ก็มีเครื่อง MRI ไม่ใช่หรือ ยังสงสัยว่า MRI ใช้ทำแสกนแบบ fMRI ได้ด้วยหรือเปล่า (อันนี้ก็ไม่ทราบเหมือนกัน ใครทราบช่วยชี้แจงแถลงไขด้วยนะคะ)

^_______________^



Posted by : pin a vee , Date : 2005-04-29 , Time : 16:53:12 , From IP : 202.129.50.158

ความคิดเห็นที่ : 3


   ไม่แน่ใจว่าตัวเองคิดถูกหรือคิดผิดนะคะ ^_^

ยังอ่อนด้อยประสบการณ์ค่ะ ใครคิดอย่างอื่น มา discuss กันดีกว่า จะได้มีความรู้เพิ่มเติมด้วย


Posted by : pin a vee , Date : 2005-04-29 , Time : 16:55:40 , From IP : 202.129.50.158

ความคิดเห็นที่ : 4


   ถึงว่าซิ ผู้ป่วยโรค Parkinson ส่วนใหญ่อยู่กับคู่รักจนแก่ จนเต้าเกือบทุกคน...เพราะต้องทานยา เสริม dopamine อยู่บ่อย ๆ (ความรักพุ่งสูงอยู่ตลอดเวลา) ...เกี่ยวกันป่าวนี่

Posted by : tp53 , E-mail : (tp_53_45@hotmail.com) ,
Date : 2005-04-29 , Time : 17:43:44 , From IP : 192.168.26.158


ความคิดเห็นที่ : 5


   ฮา...

อันนี้ไม่ทราบเหมือนกันนะคะ แล้วแบบนี้พวก schizoprenic จะเพ้อรักไปเลยรึเปล่าเนี่ย อย่างนี้เพื่อลดปัญหาการหย่าร้าง เราควรแนะนำให้ผู้ป่วยกิน dopamine บ่อยบ่อย เสียแล้ว

แต่ว่าทำให้นึกถึงเรื่องวันก่อน

ในงานศพครั้งหนึ่ง คนเสียชีวิตเขาแก่แล้ว เป็นผู้หญิงอายุราวๆ แปดสิบกว่าปี มีภาพหนึ่งที่เห็นแล้วแบบ อย่างอึ้ง คือ สามีเขา ขึ้นมา รดน้ำอบให้ศพภรรยา ทำให้คิดว่า เขาอยู่กันมาได้จนแก่เฒ่า ถึงวันที่คนหนึ่งต้องจากไป.... พยายามดูในดวงตาเขาว่ารู้สึกอย่างไร ดูเท่าไร ก็ดูไม่ออก อยากรู้ว่าเขาจะรู้สึกอย่างไร เพราะว่า ตัวเราก็เศร้าแทนเหลือเกิน แบบว่าซึ้งไป คนที่อยู่ด้วยกันมาชั่วชีวิต จนกระทั่งถึงวันหนึ่ง คนหนึ่งจากไปเพราะโรคชรา ตรงกันข้ามกันเหลือเกินกับครอบครัวของเราซึ่งพ่อแม่หย่าร้างกันไปเรียบร้อยแล้ว เขาอยู่กันมาได้ยังไงหนอ ขนลุกเลย ส่วนตัวไม่ค่อยศรัทธาในความรักมาก แต่เจอคู่นี้แล้ว คิดว่า โลกนี้ยังมีมุมที่เราไม่เคยเห็นอีกเยอะ น้ำตาซึมเลย (ทั้งที่ไม่ได้สนิทอะไรกับเขานะคะ ) ซึมเพราะซึ้งอย่างรุนแรง

จากประเด็น NT จะกลายเป็นประเด็นความรักไปเสียแล้ว ฮ่าๆ ๆ ๆ



Posted by : pin a vee , Date : 2005-04-29 , Time : 18:55:02 , From IP : 202.129.50.158

ความคิดเห็นที่ : 6


   เป็นความรู้ที่น่าสงสัยอยุ่อ่ะ แต่จิงๆๆๆๆๆแล้วมันเป้งงัยก้มะรู้อ่ะ แต่เขาว่าความรักกะลุกนี้น่าจะเข้ากันด้ายบางกรณี ทุกด้านของชีวิตแลละสิ่งที่มนุษย์มีมาตั้งแต่เกิด อาจมีหลายด้านหลายมุมมองสิ่งที่ถูกอาจผิด สิ่งที่ผิดอาจถูกอ่ะมั้งหุหุ

Posted by : น่ารักคุง , Date : 2005-05-01 , Time : 11:36:14 , From IP : 172.29.4.152

ความเห็นจาก Social Network : Facebook


สงวนสิทธิ์การแสดงความคิดเห็นสำหรับ สมาชิกเท่านั้น
>>>>> Page loaded: 0.004 seconds. <<<<<