ความคิดเห็นทั้งหมด : 28

ต้นไม้กับตึก


   กำลังจะมีการตัดต้นไม้ ขนานใหญ่ เพื่อก่อสร้างตึก LRC
(Learning Resource Center) ประมาณ 14 ชั้น บริเวณ
หน้าคณะ วจก. เคยไปป่ะ ตรงนั้นมีต้นไม้เยอะมากๆ
มีอะไรบ้างในตึกนี้
1. ทะเบียนกลาง
2. หอสมุดใหม่
3. ศูนย์คอมพิวเตอร์
4. ศูนย์ประชุม
5. ศูนย์อาหาร ร้านค้า Internet คาเฟ่ สำหรับนักศึกษา
รวมทั้งมีลานพบปะสำหรับนักศึกษา

แต่ต้องแลกกับต้นไม้ ตอนนี้กำลังมีการประท้วง
มีการบวชต้นไม้กันอยู่ คิดเห็นอย่างไร บอกเล่ากันบ้าง


Posted by : Lemon Tree , Date : 2005-04-21 , Time : 10:16:12 , From IP : 192.168.24.214

ความคิดเห็นที่ : 1


   ประโยชน์จริงๆ เอาเนื้อๆน่ะ ของ IT มีจำนวนเท่าไร
ลงทุนลงแรงเพื่อให้ได้มาซึ่ง IT มีจำนวนเท่าไร
วัดกันออกมาให้เห็นๆหน่อยซี.....
นั่งใต้ต้นไม้ ก็ใช้ IT ได้ ...
บริหารให้เป็นหน่อย... ไม่ใช่เอะอะก็สร้างตึก... ตึกใหญ่ๆ... หรูๆ ... ผู้บริหารที่ทำอย่างนี้ -> สมองโบราณจริงๆ


Posted by : ctv , Date : 2005-04-21 , Time : 11:08:28 , From IP : 172.29.1.133

ความคิดเห็นที่ : 2


   เมื่อวานใครได้แวะไปฟังการเสวนาและดนตรีที่ลานต้นไม้ดังกล่าวบ้าง พอดีเราแวะไป เรายิ่งรู้สึกว่า มหาวิทยาลัยไม่ได้ขาดแคลนพื้นที่ขนาดต้องไปทำลายต้นไท่กว่าจะโต ต้องใช้เวลาเท่าอายุ มอ.น่ะ อยากให้ผู้บรอหารเปิดใจบ้างจัง เมื่อวาน อ.ประสาท มีแต้ม (ศิษย์เก่า มอ.รุ่น 3 แต่เป็นรุ่นแรกที่ได้มาเรียนที่มอหาดใหญ่) เอาภาพตอนอ.มาอยู่ใหม่ๆ ที่ตรงนั้นถูกถางซะโล่ง นศ.รุ่นนั้นช่วยกันปลูกต้นไม้เหล่านั้นมา ที่พูดไม่ได้หมายความว่าปลูกเป็นอนุสรณืให้ใคร ไปตัดไม่ได้ แต่อยากให้เห็นว่าต้นไม้เหล่านั้นมีคุณมากมาย ถ้าไม่จำเป็นอย่าตัดเลย
หากนักศึกา อาจารยื ข้าราชการท่านใด เห็นว่าไม่ควรตัดต้นไม้ตรงนั้นเพื่อสร้างตึก ตอนนี้เราต้องแสดงพลังค่ะ ช่วยกันลงชื่อที่จะเวียนไปเจอท่านด้วย เราต่อสู้เพื่อต้นไม้ของเราอย่างสันติ


Posted by : รักษ์มอ.ด้วยคน , Date : 2005-04-21 , Time : 16:57:24 , From IP : 172.29.1.115

ความคิดเห็นที่ : 3


   ตัดมาจากกระทุ้ก่อนนี้ ใอ่นกันอีกครั้ง...

ลองอ่านความเห็นจากกลุ่มดูมั้ยคะ เป็นคนหนึ่งที่เห็นด้วยกับกลุ่ม และเชื่อมั่นว่าคนที่คัดค้านไม่ได้มีผลประดยชน์ส่วนตัว
****************************************

จดหมายเปิดผนึกฉบับที่ 2

เรื่อง ความเห็นของกลุ่มรักษ์ มอ. ต่อคำชี้แจงเรื่องการก่อสร้างตึกไอที
เรียน อธิการบดี มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
ตามที่รองอธิการบดีวิทยาเขตหาดใหญ่ได้มีบันทึกข้อความที่ มอ. 001/ว 327 ลงวันที่ 8 เมษายน 2548 ถึงกลุ่มรักษ์ มอ. เพื่อชี้แจงรายละเอียดเกี่ยวกับการสร้างตึกไอที บริเวณพื้นที่สีเขียวนั้น
กลุ่มรักษ์ มอ. ขอขอบพระคุณที่ท่านได้กรุณาชี้แจง และให้ข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนี้มา เราได้พิจารณาคำชี้แจงอย่างละเอียดแล้ว ทางกลุ่มมีความเห็นและคำถามในหลายประเด็น ขอเรียนว่าเรากำลังทำหน้าที่ของเราในฐานะที่เป็นสมาชิกของสังคม มอ. และในฐานะคนไทยที่รักและห่วงใยมหาวิทยาลัยแห่งนี้เช่นเดียวกับท่าน และเพื่อนร่วมสังคม มอ. อื่นๆ
เพื่อให้เกิดความเข้าใจอย่างเป็นระบบ กลุ่มรักษ์ มอ. จึงขอกล่าวถึงประเด็นต่างๆ โดยไล่เรียงไปตามหัวข้อที่ท่านได้ชี้แจงมา ทั้งนี้เพื่อให้สมาชิกประชาคม มอ.ของเราได้มีข้อมูลในระดับที่เท่าเทียมกัน โดยมีประเด็นดังต่อไปนี้

1. ตามที่มหาวิทยาลัยชี้แจงเรื่องงบประมาณว่า “ด้วยนโยบายของรัฐบาลต้องการสนับสนุนให้หน่วยงานมีศูนย์กลางรวมเกี่ยวกับเทคโนโลยีด้านคอมพิวเตอร์ จึงได้ให้งบประมาณเป็นกรณีพิเศษในปีนี้ ในวงเงินประมาณ 300 ล้านบาท ซึ่งต้องใช้งบประมาณให้หมดสิ้นตามงวดปี โดยเฉพาะปีแรกนี้ต้องจ่ายภายใน กันยายน 2548 ให้หมด 60 ล้านบาท ไม่เช่นนั้นเงินส่วนนี้จะถูกยกไปไว้ปีหน้า และกระทบเงินงบประมาณปีหน้าที่จะได้มาใหม่ ทำให้มหาวิทยาลัยต้องรีบจ้างบริษัทออกแบบให้เสร็จสิ้นภายในเวลา 4 เดือน ซึ่งเป็นเรื่องที่ค่อนข้างยาก เนื่องจากต้องอาศัยหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับอาคารนี้ ได้แก่ หอสมุดกลาง หน่วยทะเบียนกลาง ศูนย์คอมพิวเตอร์ สำนักวิจัย และคณะวิทยาศาสตร์” กลุ่มฯเข้าใจในข้อจำกัดเรื่องเวลาการใช้เงินงบประมาณ แต่กลุ่มฯเห็นว่าแม้ว่าจะมีเวลาจำกัด เราก็ไม่ควรละเลยความรอบคอบ และความถูกต้องในมิติอื่นที่นอกเหนือการใช้เงินให้ทัน มิฉะนั้นแล้วการตัดสินใจที่รีบร้อนกำลังสร้างปัญหาใหม่ซึ่งอาจมีผลเสียมากกว่าการใช้เงินประมาณไม่ทันตามงวดปี
นอกจากนี้คำชี้แจงของมหาวิทยาลัยยังไม่กระจ่างว่า ถ้าใช้เงินไม่ทันแล้วต้องถูกยกเงินส่วนนี้ไปไว้ในปีงบประมาณหน้านั้น มันจะทำให้มหาวิทยาลัยเสียหายอย่างไรบ้าง มากน้อยขนาดไหน และถ้าเรามีเหตุผลเพียงพอ การอธิบายความล่าช้าให้หน่วยเหนือเข้าใจเป็นสิ่งจะกระทำไม่ได้เลยหรือ

2. การที่มหาวิทยาลัยชี้แจงเหตุผลในข้อ 2 นี้ ว่า “ระยะแรกสถานที่ก่อสร้างตกลงกันไว้ บนที่บริเวณลานจอดรถ ระหว่างตึกฟิสิกส์ และคณะทรัพย์ช่องระหว่างอาคารคณะการจัดการสิ่งแวดล้อม และโรงอาหารฟิสิกส์ แต่ด้วยความต้องการที่มีจำนวนมากจึงทำให้บริษัทไม่สามารถออกแบบในพื้นที่ทีกำหนดได้ และทำให้วงเงินก่อสร้างสูงกว่างบประมาณที่ได้ ทำให้เมื่อรูปแบบเสร็จไม่สามารถก่อสร้างบนพื้นที่จริงได้ และการปรับรูปทรงเพื่อให้วางอาคารได้ จะทำให้ต้องรื้อโรงอาหารฟิสิกส์ ซึ่งจะก่อไห้เกิดปัญหาต่อสถานที่รับประทานอาหารของบุคคลากรและนักศึกษาเป็นจำนวนมาก การที่จะให้บริษัทปรับเปลี่ยนรูปแบบในเวลาจำกัดไม่สามารถทำได้ทันในการหาบริษัทเพื่อก่อสร้างให้ทันในปีนี้ได้ และค่าใช้จ่ายในการเปลี่ยนแบบก็จะเกิดขึ้นมาก”
ทั้งหมดเป็นคำอธิบายที่คลุมเครือมาก คลุมเครือจนไม่รู้ว่าอะไรคือสาเหตุหลักที่ทำให้ไม่สามารถสร้างในที่กำหนดเดิมได้ เพราะในเมื่อ ก่อนที่ มอ.จะจัดจ้างให้บริษัทนี้ (บริษัทแปลน) มาออกแบบโดยวิธีประกวดแบบนั้น มอ.ในฐานะผู้ว่าจ้างจะต้องกำหนดโจทย์ (Terms of Reference: TOR) ให้แก่บริษัทออกแบบก่อนเสมอ ซึ่งถือเป็นหลักปฏิบัติปกติที่พึงกระทำ และที่สำคัญคือ ผู้ว่าจ้างต้องระบุตำแหน่งพื้นที่หรือผังพื้นที่ และจะต้องมีจำนวนวงเงินงบประมาณก่อสร้างให้ หาไม่แล้วสถาปนิกจะไม่สามารถออกแบบได้ตามวัตถุประสงค์ ฉะนั้นการอ้างว่าเพราะความต้องการที่มีจำนวนมากจึงทำให้บริษัทไม่สามารถออกแบบในพื้นที่ที่กำหนดได้ และทำให้วงเงินก่อสร้างสูงกว่างบประมาณที่ได้ ฯลฯ จึงเป็นข้ออ้างที่ยังเป็นคำถามสำหรับทุกคน หรือทางมหาวิทยาลัยกำลังบอกว่าการจัดจ้างออกแบบครั้งนี้ มอ.ไม่ได้กำหนดโจทย์ที่เป็นสาระสำคัญดังกล่าวไว้ล่วงหน้าให้แก่บริษัทผู้ออกแบบ และถ้าเป็นเช่นนั้นจริง มหาวิทยาลัยก็ต้องตอบคำถามแก่ประชาคม มอ.ให้ได้ว่าทำไมถึงไม่ทำ?

3. ข้อนี้มหาวิทยาลัยได้อธิบายวิธีการตรวจรับงานว่า “การตรวจรับแบบซึ่งกำหนดไว้ในแต่ละงวด จะใช้เวลาเป็นเดือนเพื่อให้ผู้ที่เกี่ยวข้องตรวจสอบลักษณะอาคาร และพื้นที่ที่เป็นไปตามความต้องการของหน่วยงาน และตรวจสอบความถูกต้องในแต่ละด้าน ..............” แสดงว่ามหาวิทยาลัยกำลังชี้แจงให้ประชาคม มอ. เห็นว่า ในฐานะผู้ว่าจ้าง มอ. เราได้มีระบบการตรวจรับงานที่ดีมาก โดยกระทำอย่างละเอียดถี่ถ้วนรอบคอบ อย่างเป็นขั้นเป็นตอนเพื่อรักษาประโยชน์ของ มอ. อย่างเต็มความสามารถแล้ว ถ้าอย่างนั้นการที่มหาวิทยาลัยอธิบายในข้อ 2 ว่ามีปัญหาที่บริษัทออกแบบไม่สามารถออกแบบในพื้นที่ที่กำหนดได้และทำให้วงเงินก่อสร้างสูงกว่างบประมาณที่ได้นั้นมันเกิดขึ้นได้อย่างไร ในเมื่อ มอ.มีระบบตรวจรับงานที่ดีอย่างที่มหาวิทยาลัยอ้างไว้ในข้อนี้ ทั้งนี้แต่ละข้อที่มหาวิทยาลัยกำลังชี้แจงนั้นล้วนแต่เป็นเรื่องเดียวกันทั้งสิ้น

4. มหาวิทยาลัยได้ชี้แจงว่า “เนื่องจากเมื่อรูปแบบเสร็จเรียบร้อย พบว่า อาคารที่ก่อสร้างจริง แม้จะสร้างได้แต่ทำให้เกิดปัญหากับอาคารรอบด้าน ซึ่งจะเป็นปัญหายิ่งกว่าการย้ายไปสร้างบริเวณอื่น
ระยะแรกได้มีการมองหาสถานที่อื่นที่พอจะก่อสร้างได้ มีทั้งหมด 3 แห่ง คือ
1. บริเวณตลาดเกษตรของคณะทรัพย์ที่ข้างรั้วปุณณกัณฑ์
2. บริเวณสวนป่าข้างสระว่ายน้ำ บริเวณสามแยกหน้าคณะวิทยาศาสตร์
3. บริเวณสวนป่าข้างลานจอดรถสำนักงานอธิการบดี “
ฟังแล้วมีคำถามข้อแรกว่า ทำไมกรรมการตรวจรับการจ้างในครั้งนี้จึงยอมรับงานแบบแปลนที่พอจะนำไปสร้างจริงกลับมีปัญหากับอาคารรอบด้านเช่นนี้ได้ ทั้งๆ ที่มหาวิทยาลัยได้อ้างไว้ในข้อ 3 เองว่า มหาวิทยาลัยมีวิธีการตรวจรับแบบที่ดี เป็นขั้นเป็นตอน ละเอียดรอบคอบแล้ว และคำถามที่สองก็คือ มีผู้รับผิดชอบต่อเรื่องนี้หรือไม่ แล้วใครหรือฝ่ายใดจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบ และคำถามสุดท้ายในประเด็นนี้คือ ทำไมมหาวิทยาลัยเลือกแก้ปัญหาด้วยวิธีง่ายๆ โดยการย้ายสถานที่ก่อสร้างเช่นนี้
นอกจากนี้เรามียังความเห็นต่อประเด็นการย้ายสถานที่ว่า การย้ายสถานที่ก่อสร้างโดยใช้แปลนเดิมที่ออกแบบไว้สำหรับที่หนึ่งไปสร้างอีกที่หนึ่งนั้น ในกรณีที่เป็นอาคารขนาดใหญ่ เป็นตึกสูง เป็นอาคารในสถานศึกษาระดับมหาวิทยาลัย สถาปนิกจะต้องคำนึงถึงปัจจัยสำคัญๆ อีกหลายอย่างที่นอกเหนือจากหน้าที่ของอาคาร ไม่ว่าจะเป็นสภาพแวดล้อมใกล้เคียง ตำแหน่งที่ตั้งและทิศทางของอาคาร ตลอดจนความงดงามทางสถาปัตยกรรมของอาคารซึ่งจะต้องขึ้นอยู่กับทำเลที่ตั้ง และด้านของอาคารที่เป็นมุมมองจากภายนอกได้เป็นต้น

5. มหาวิทยาลัยได้อธิบายว่าทำไมไม่เลือกพื้นที่ตลาดเกษตรว่า “จากการพิจารณาพื้นที่บริเวณคณะทรัพย์พบว่า ปัญหาอยู่ที่ไม่เป็นศูนย์กลางสำหรับนักศึกษา ซึ่งส่วนใหญ่จะอยู่บริเวณใกล้เคียงหอสมุดกลางเดิม และการย้ายที่ศูนย์คอมพิวเตอร์มาอยู่บริเวณนี้จะทำให้ค่าใช้จ่ายในการเปลี่ยนสถานที่มาบริเวณนี้สูงมาก โดยเฉพาะการลากสายไฟเบอร์คอมพิวเตอร์จะเสียค่าใช้จ่ายมาก นอกจากนี้บริเวณนั้นเป็นพื้นที่ของคณะทรัพย์ การเจรจาเพื่อตกลงเรื่องสถานที่จะไม่สามรถทำได้ในเวลาอันจำกัด ซึ่งไม่สามารถจัดจ้างบริษัทได้ทันในการก่อสร้างปีนี้”

6. มหาวิทยาลัยให้เหตุผลที่ไม่เลือกบริเวณสวนป่าข้างสระว่ายน้ำว่า “จากการพิจารณาพื้นที่บริเวณสามแยกข้างสระน้ำ พบว่าพื้นที่เป็นลักษณะต่างระดับมาก ทำให้ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการปรับพื้นที่มาก และบริเวณนั้นเป็นแหล่งที่มีการจราจรค่อนข้างหนาแน่นทำให้เกิดปัญหาเพิ่มมากขึ้น หากมีการก่อสร้างอาคารใหญ่บริเวณนั้น และหากก่อสร้างบริเวณนั้น ก็ต้องตัดต้นไม้หลายต้นเช่นเดียวกัน”

7. มหาวิทยาลัยอธิบายเหตุผลว่าทำไมจึงเลือกบริเวณสวนป่าข้างลานจอดรถสำนักงานอธิการบดีเป็นที่ก่อสร้างว่า “การพิจารณาพื้นที่บริเวณลานจอดรถข้างสำนักงานอธิการบดี ซึ่งเป็นพื้นที่ราบกว่า และเป็นบริเวณที่การจราจรไม่คับคั่งมาก เมื่อเทียบกับบริเวณสามแยกข้างสระน้ำ และศูนย์ที่อยู่ใกลคณะที่เป็นแหล่งรองรับนักศึกษาปี 1 ที่เป็นส่วนกลางเกือบทั้งหมด ทั้งคณะศิลปศาสตร์ คณะวิทยาการจัดการ คณะวิทยาศาสตร์ และอยู่ใกล้หอพักนักศึกษา และศูนย์กิจกรรมนักศึกษา รวมถึงใกล้ศูนย์คอมพิวเตอร์เดิม ทำให้การทำงานและการลงทุนในส่วนที่เกี่ยวข้องราคาน้อยที่สุดเมื่อเทียบพื้นที่อีก 2 แห่ง แต่มีปัญหาต้องตัดต้นไม้ที่มีอยู่ ซึ่งตามรูปแบบเมื่อก่อสร้างเสร็จ จะต้องปลูกต้นไม้เพิ่มในบางส่วน และในการก่อสร้างให้ใช้วิธีตัดต้นไม้ให้น้อยที่สุด และอาจใช้วิธีชลอต้นไม้บางต้นไม้บางต้นตามความจำเป็น การตัดสินใจเลือกบริเวณนี้เป็นส่วนที่สามารถทำได้ในเวลาสั้นและเร็วที่สุด ในการให้บริษัทสำรวจพื้นที่ใหม่ และปักผังก่อสร้าง”

ทั้งสามข้อข้างต้น (ข้อ 5-7) คือเหตุผลในการตัดสินใจเลือกสถานที่ก่อสร้างใหม่ที่ย้ายสถานที่เดิม (บริเวณลานจอดรถระหว่างตึกฟิสิกส์ และคณะทรัพย์) ที่มหาวิทยาลัยเห็นว่าบริเวณสวนป่าข้างลานจอดรถสำนักงานอธิการบดีเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด ในบรรดาสามทางเลือกที่มหาวิทยาลัยมีอยู่ โดยมหาวิทยาลัยได้ให้น้ำหนักกับเรื่องต้นทุนในการก่อสร้างว่าที่นี่ราคาถูกที่สุด โดยเฉพาะในเรื่องค่าใช้จ่ายการวางสายไฟเบอร์ออพติค และการที่อ้างว่าถ้าสร้างที่ทางเลือกอื่นแล้ว จะทำให้มีต้นทุนมากนั้น ไม่ใช่การคิดวิเคราะห์อย่างใช้เหตุใช้ผลเชิงวิชาการ เราควรมองสองด้านทั้งผลดี (benefits) และผลเสีย (costs) ของแต่ละทางเลือก ไม่เฉพาะประโยชน์ที่วัดเป็นตัวเงินได้ (tangible) เท่านั้น แต่ต้องมองถึงประโยชน์ที่ไม่สามารถตีค่าทางตลาดได้ (intangible)ด้วย ซึ่งต้องพิจารณาทางเลือกที่เป็นไปได้ทั้งหมดก่อน จึงนำมาเปรียบเทียบกัน เพื่อเลือกทางเลือกที่ให้ผลดีสุทธิสูงสุด การจะเทียบว่าต้นทุนวางสายไฟเบอร์ออพติคของทางเลือกบริเวณตลาดเกษตรของคณะทรัพย์สูงกว่า ทางเลือกสวนป่าข้างลานจอดรถสำนักงานอธิการบดีนั้น ขอให้มหาวิทยาลัยชี้แจงต้นทุนดังกล่าวของสองทางเลือกนี้เป็นตัวเงินที่ชัดเจน กลุ่มฯ และประชาคม มอ. ต้องการรู้ว่า การตัดสินใจเลือกของมหาวิทยาลัยเพื่อประหยัดส่วนต่างเงินลงทุนจำนวนนี้นั้น จะเทียบได้กับคุณค่าและประโยชน์ของสวนป่าบริเวณดังกล่าวที่จะมีอยู่ตลอดไปได้หรือไม่ หรือกล่าวอีกอย่างหนึ่งได้ว่าเงินที่เราประหยัดได้นั้นมันคุ้มกันหรือไม่ กับการที่เราจะต้องสูญเสียสวนป่าที่มีคุณค่าส่วนนี้ไป

8. ข้อสุดท้ายมหาวิทยาลัยได้สรุปว่าได้ทำเรื่องนี้ไปถึงไหนแล้ว “ขณะนี้มหาวิทยาลัยสามารถเปิดซองประมูล และได้บริษัทผู้จะก่อสร้างเรียบร้อยแล้ว และเงินงบประมาณตามเงินงวด เพื่อจะลงสร้างให้ทันตามปีงบประมาณที่กำหนดซึ่งคาดว่าจะเริ่มก่อสร้างได้ภายในเดือนพฤษภาคม ถึง มิถุนายนนี้ เป็นต้นไป และต้องใช้เวลาก่อสร้าง 2 ปี” เราเห็นว่ายังไม่มีอะไรสายเกินไป สำหรับการตัดสินใจที่คำนึงผลในระยะยาว ที่ผ่านการช่วยกันคิดช่วยกันมองของคนในสังคม มอ.

กลุ่มรักษ์ มอ. รู้สึกห่วงใยต่ออนาคตของมหาวิทยาลัยของเรา เพราะเคยมีปัญหาเกิดขึ้นหลายครั้งเนื่องจากการตัดสินใจที่ขาดข้อมูลที่และขาดการรับฟังความเห็นจากประชาคม ตัวอย่างเช่น การสร้างรางสาธารณูปโภคทั่ววิทยาเขต เพื่อนำสายไฟฟ้าและสายโทรศัพท์จากเสาลงสู่ใต้ดิน ซึ่งปัจจุบันไม่ได้ถูกใช้ประโยชน์เนื่องจากความผิดพลาดทางวิชาการ ทางกลุ่มฯเชื่อว่าเรื่องนี้จะเกิดขึ้นไม่ได้เลยถ้าให้โอกาสแก่ประชาคมได้มีส่วนร่วม ที่สำคัญคือไม่มีใครรับผิดชอบต่อการตัดสินใจที่ผิดพลาดดังกล่าวเลย และตัวอย่างล่าสุดก็คือการละเมิดแผนแม่บทในกรณีเลือกสร้างตึกไอทีในครั้งนี้ ทั้งๆ ที่บริเวณพื้นที่สวนป่าแหล่งนี้ได้ถูกประกาศไว้แล้วว่าให้เป็นพื้นที่สีเขียวและส่วนบริหารของมหาวิทยาลัย

กลุ่มรักษ์ มอ. ขอเรียกร้องให้มหาวิทยาลัยทบทวนการเลือกสวนป่าเพื่อใช้สร้างตึกไอที เราขอวิงวอนให้ท่านใช้วิจารณญาณใช้สติ เพื่อยุติแนวคิดที่จะใช้ต้นไม้ใหญ่ใช้ธรรมชาติไปเพื่อแก้ปัญหาการสร้างตึกใหม่ เราเรียกร้องให้ท่านเปิดรับฟังความคิดเห็นในวงกว้างจากประชาคม มอ. เราเชื่อมั่นว่าพลังบริสุทธิ์แห่งธรรมชาติจะนำมาซึ่งทางออกที่ถูกต้อง ที่สร้างความก้าวหน้า และสันติสุขให้สังคม มอ. ตลอดไป

กลุ่มรักษ์ มอ.
18 เมษายน 2548



Posted by : รักษ , Date : 2005-04-21 , Time : 17:00:16 , From IP : 172.29.1.115

ความคิดเห็นที่ : 4


   เราเห็นด้วยกับการสร้างตึกนี้นะ น่าจะมีประโยชน์กับนักศึกษาส่วนใหญ่ ส่วนเรืองของต้นไม้ก็เข้าใจนะ และก็เสียดายด้วย ยังไงก็ขอให้มีการปลูกต้นไม้เพิ่มสัก 2 เท่าของที่ตัดก็น่าจะดีนะ ต้นไม้ตัดไปก็ปลูกใหม่ได้ แต่ความรู้และโอกาสหากเสียไปอาจไม่มีมาอีกนะครับ

Posted by : Edward , Date : 2005-04-21 , Time : 18:47:26 , From IP : 203.113.71.169

ความคิดเห็นที่ : 5


   บางครั้งความรู้ก็ไม่สามารถเอาชนะธรรมชาติได้เสมอไปหรอกนะ

Posted by : Digitalis , Date : 2005-04-21 , Time : 20:56:47 , From IP : 203.113.76.74

ความคิดเห็นที่ : 6


   ผู้ใหญ่ นี่อะไร
ต้นไม้ใหญ่ ไงไอ้หนู

เขามีไว้ทำไม

ประโยชน์มี มากมายอยู่
...............
..............
..............
ผู้ใหญ่ ถ้ามันดี ใยวันนี้ ไม่มีดู
ข้าเอง ก็ไม่รู้ รูปที่ดู ปู่ข้าให้มา

[จำได้ไม่หมดและเริ่มเลอะเลือน -คิดว่าจากวารสาร ไปยาลใหญ่-]


Posted by : RS , Date : 2005-04-22 , Time : 07:29:05 , From IP : pool-71-105-101-215.

ความคิดเห็นที่ : 7


   ผู้บริหารครับ ไหนว่าเรามี IT แล้วจะลดการใช้ทรัพยากร

1. ทะเบียนกลาง - ยังจำเป็นต้องใช้พื้นที่ ห้องใหญ่ๆอีกรึ
2. หอสมุดใหม่ - อนาคตยังมีความจำเป็นต้องใช้พื้นที่อีกหรือไม่
3. ศูนย์คอมพิวเตอร์ - นศ.ในอนาคตต้องมานั่งเรียนคอมพื้นฐานในมหาลัยอีกรึ .... แย่จังไม่พัฒนาเลย
4. ศูนย์ประชุม - ล้าสมัยแล้วมานั่งเอาหัวชนกันเพื่อประชุม
5. ศูนย์อาหาร ร้านค้า Internet คาเฟ่ สำหรับนักศึกษา รวมทั้งมีลานพบปะสำหรับนักศึกษา - ที่มีอยู่ยังใช้ประโยชน์ไม่เต็มที่เลย

เขาให้เงินมาสร้างตึกก็ไม่จำเป็นต้องบ้าตามเขา น่าจะฝึกใช้สมองในการบริหารจัดการ นำเอาเทคโนโลยี่มาใช้ให้เกิดประโยชน์มากกว่าการทำลาย

ตึกใหญ่ๆ 1 หลัง เมื่อสร้างเสร็จแล้ว สิ่งที่ตามมาคือการผลาญทรัพยากรอีกมากมาย

แย่มากๆเลย ที่มอ.มีพฤติกรรมทำลายธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ไม่สามารถสร้างสรรค์อะไรที่จะชี้นำสังคมได้

ไม่อยากเห็นการบริหารที่ทำได้แค่การก่อสร้างอาคารหรือวัตถุ


Posted by : ctv , Date : 2005-04-22 , Time : 10:24:27 , From IP : 172.29.1.133

ความคิดเห็นที่ : 8


   บางครั้งความต้องการกับการอนุรักษ์มักจะสวนทางกัน เรามาคิดต่อในประเด็น
ต่อไปนี้ นี้ครับ
1. คณะนิติศาสตร์ คณะเศรษฐศาสตร์ คณะการแพทย์แผนไทย ที่เกิด
ขึ้นมาอีก 3 คณะ ยังไม่มีตึกหรือที่ทำการ .. ทุกท่านเห็นอย่างไร ..
จะหาพื้นที่ตรงไหนให้อยู่ ถ้าไม่สร้างตึก ตัวอย่างเรื่องนี้ หากพิจารณา
คณะศิลปศาสตร์ คราวที่อาศัยอยู่กับคณะวิทยาศาสตร์ และคณะวิทยาการ
จัดการ ไม่มีพื้นที่ของตนเอง ถามอาจารย์ในคณะคง เข้าใจความอัตคัด
ดีนะครับ
2. ทะเบียนกลาง ขออาศัยพื้นที่ของคณะวิทยาศาสตร์ เมื่อคณะวิทยาศาสตร์
มีความจำเป็นต้องการใช้พื้นที่ ทะเบียนกลางต้องหาที่อยู่ใหม่ จะไปอยู่ไหนดี
3. ศูนย์คอมพิวเตอร์ บริการคอมพิวเตอร์นักศึกษาทั้งวิทยาเขต อาจารย์ และ
บุคลากรภายนอก รวมทั้งดูแลโครงสร้างเครือข่ายภายในวิทยาเขตทั้งหมด
นอกจากนี้ ยังมีระบบฐานข้อมูลบุคลากร ระบบ MIS ระบบการเงิน 3 มิติ
รวมทั้งระบบห้องสมุด
4. หอสมุด เดิมหอสมุดคุณหญิงหลงแยกกันกับศูนย์คอมพิวเตอร์ หากอยู่ด้วยกัน
การบริหารระบบจะง่ายขึ้น อีกทั้งหอสมุดเดิมมีหนังสือเก่าเยอะ ยังคงไว้ หอ
สมุดพื้นที่ใหม่จะเน้นการบริการหอสมุด online บริการ Internet ไร้สาย รวม
ทั้งระบบ IT ต่างๆ ที่สามารถให้บริการนักศึกษา
5. สำนักวิจัยและพัฒนา เดิมอาศัยพื้นที่ของบัณฑิตวิทยาลัย ไม่มีพื้นที่ของตน
เอง เมื่อมหาวิทยาลัยประกาศว่า จะเป็นมหาวิทยาลัยวิจัย จำเป็นต้องมี
พื้นที่สำหรับบริหารงานวิจัย รวมทั้งอาจจะมีหน่วยวิสาหกิจขนาดเล็กสำหรับ
นักศึกษาที่ต้องการประกอบธุรกิจขนาดเล็กของตนเอง
6. หลายคณะปัจจุบัน มีการขอก่อสร้างตึก/อาคาร เพิ่มขึ้นทุกปี ถ้าคุณเป็น
ส่วนกลางของมหาวิทยาลัยจะทำอย่างไร เช่น หอพักนักศึกษาแพทย์
หอพักนักศึกษา คณะนิติศาสตร์ คณะเศรษฐศาสตร์ คณะแพทย์แผนไทย
7. บางหน่วยงานยังไม่มีพื้นที่ของตนเอง ทั้งที่เป็นภารกิจหลักของมหาวิทยาลัย
เช่น ศูนย์ส่งเสริมศิลปวัฒนธรรม อาศัยอยู่กับคณะการจัดการสิ่งแวดล้อม

ใจเย็นๆ นะครับ ลองคุยแลกเปลี่ยนความเห็นกัน



Posted by : lemonTree , Date : 2005-04-22 , Time : 14:43:19 , From IP : 192.168.24.214

ความคิดเห็นที่ : 9


   วันที่คุณไม่เหลือต้นไม้ในโลกนี้ให้คุณเห็น วันนั้นแหละคุณจะต้องพังตึกเพื่อปลูกต้นไม้แทน (ขอบคุณ)

Posted by : 001 , Date : 2005-04-22 , Time : 20:15:35 , From IP : 172.29.1.146

ความคิดเห็นที่ : 10


   2. การที่มหาวิทยาลัยชี้แจงเหตุผลในข้อ 2 นี้ ว่า “ระยะแรกสถานที่ก่อสร้างตกลงกันไว้ บนที่บริเวณลานจอดรถ ระหว่างตึกฟิสิกส์ และคณะทรัพย์ช่องระหว่างอาคารคณะการจัดการสิ่งแวดล้อม และโรงอาหารฟิสิกส์ แต่ด้วยความต้องการที่มีจำนวนมากจึงทำให้บริษัทไม่สามารถออกแบบในพื้นที่ทีกำหนดได้ และทำให้วงเงินก่อสร้างสูงกว่างบประมาณที่ได้ ทำให้เมื่อรูปแบบเสร็จไม่สามารถก่อสร้างบนพื้นที่จริงได้ และการปรับรูปทรงเพื่อให้วางอาคารได้ จะทำให้ต้องรื้อโรงอาหารฟิสิกส์ ซึ่งจะก่อไห้เกิดปัญหาต่อสถานที่รับประทานอาหารของบุคคลากรและนักศึกษาเป็นจำนวนมาก การที่จะให้บริษัทปรับเปลี่ยนรูปแบบในเวลาจำกัดไม่สามารถทำได้ทันในการหาบริษัทเพื่อก่อสร้างให้ทันในปีนี้ได้ และค่าใช้จ่ายในการเปลี่ยนแบบก็จะเกิดขึ้นมาก”

แล้วมันจะกระทบตรงไหนก็บอกอยู่ว่าประโยชน์ของตึก LRC
5. ศูนย์อาหาร ร้านค้า Internet คาเฟ่ สำหรับนักศึกษา
รวมทั้งมีลานพบปะสำหรับนักศึกษา


Posted by : อย่าตัดต้นไม้เลย , Date : 2005-04-23 , Time : 01:34:52 , From IP : 172.29.3.91

ความคิดเห็นที่ : 11


   เห็นด้วยกับคุณ cvt ค่ะ

เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา เราได้มีการก่อสร้างปรับปรุง โรงช้าง และหอสมุดขึ้นมาใหม่ ยังไม่ทันไรเลย ก็จะสร้างสถานที่กินเพิ่มเติม และห้องสมุดอีกแล้วหรือคะ

หนังสือเก่าที่จะต้องเก็บในห้องสมุด ไม่แน่ใจว่าควรจะเก็บหนังสือไว้นานซักขนาดไหน เพราะความรู้บางอย่างก็จะล้าสมัยไป ห้องสมุดในต่างประเทศก็จะโล้ะหนังสือเก่าออก เพื่อให้มีที่สำหรับหนังสือใหม่ (ไม่ใช่สร้างตึกใหม่เพื่อเก็บหนังสือเก่า) นอกจากนี้ เรามีแนวโน้มจะมีหนังสือ และวารสารเป็นแบบอิเล็กทรอนิกส์มากขึ้น หากเอาเงินจำนวนนื้ไปลงทุนเพื่อให้มีฐานข้อมูลดีๆ ก็น่าจะมีประโยชน์เช่นกัน

ต้นไม้ได้อยู่ที่นั่นตามลำพัง---------------
เขาอยู่กับชีวิตอื่นๆ ทั้งคนและสัตว์ ถ้าตัดต้นไม้ไป ยังมีอีกหลายๆอย่างที่ถูกกระทบ

เราไม่ได้ต่อต้านการสร้างตึก แต่เราไม่อยากให้มีการทำลายต้นไม้ หากมีงบประมาณ น่าจะทำการขยาย campus ออกไปอยู่บริเวณรอบๆ มอ ด้วย เนื่องจากซักวันหนึ่งพื้นที่ใน มอ ก็จะไม่เพียงพอต่อจำนวนนักศึกษา และบุคลกรอยู่ดี ที่มหาวิทยาลัยในต่างประเทศ เมื่อเนื้อที่ภายในไม่พอ ทั้งๆที่ยังมีบริเวณที่เป็นสนามกีฬา สวนหย่อม และที่ปลูกต้นไม้อีกเยอะ เขาก็ไม่ได้ทำลายสิ่งเหล่านั้นเพื่อสร้างตึกอัดกันเข้าไปในบริเวณแห่งหนึ่ง แต่เขาขยายออกไปบริเวณรอบข้างจนถนนสายหนึ่งที่มุ่งเข้าสู่รั้วมหาวิทยาลัย มีศุนย์วิจัย มีหน่วยงานต่างๆ อยู่เต็ม และอยู่ร่วมกับร้านอาหาร ร้านขายเสื้อผ้า ฯลฯ ของคนทั่วไป ได้เป็นอย่างดี เราก็จะเห็นนักศึกษาเดินไปเดินมา ระหว่าง main campus กับ หน่วยงานอื่นๆ นอก campusอย่างเป็นสิ่งปกติ

ผังเมืองของบางประเทศ กำหนดว่าจะต้องมี park&recreation center อยู่ในทุกพื้นที่ บางทีห่างกันเพียง 1-2 กิโลเราก็จะเห็น park ซึ่งเป็นพื้นที่สีเขียว มีต้นไม้ มีนก มีน้ำ ฯลฯ ในหาดใหญ่เอง park มีประมาณ 1-3 แห่งในขณะที่ตึกห้างสรรพสินค้ามีประมาณ 10 แห่ง ก็ลองคิดดูว่าอากาศที่เราหายใจจะบริสุทธิ์ขนาดใหน

ยิ่งไปกว่านั้นในบางประเทศ ถึงกับกำหนดพื้นที่สีเขียวในแต่ละบ้าน และบริเวณที่พักว่าต้องมีอัตราส่วนเท่าไหร่ และต้องดูแลให้สวยงาม หากใครไม่ดูแล ทางการจะเข้ามาจัดการเองโดยเก็บเงินจากเจ้าของบ้าน

พื้นที่สีเขียวจำเป็นสำหรับ มอ และหาดใหญ่ค่ะ ----------------------

ตึกไอที ที่จะประกอบด้วยห้าส่วน เช่น ที่กิน ที่ประชุม ห้องสมุด ไม่มีอันไหนเลยที่ มอ ยังไม่มีตึกหรือสิ่งก่อสร้าง น่าจะเอาเงินไปปรับปรุงด้านความคล่องตัว ประสิทธิภาพ การบริการ และพัฒนาคุณภาพของบุคลากร มากกว่าสิ่งก่อสร้างค่ะ

สำหรับเรื่องห้องประชุม อนาคตมีแนวโน้มที่จะมีการประชุมทางไกลกันมากขึ้น (เทเลคอนเฟอร์เรนซ์) เพื่อประหยัดเวลาและการเดินทาง นอกจากนี้หากต้องการจัดประชุมจริงๆ ที่หาดใหญ่มีโรงแรมที่เหมาะและใหญ่พอที่จะจัดการประชุมอยู่แล้ว เป็นการกระจายรายได้ และใช้ทรัพยากรที่มีอยู่อย่างคุ้มค่าด้วยค่ะ

IT....ใช่ ควรมีอยู่ทุกที่ เพื่อให้ง่ายต่อการทำงาน ไม่ใช่จะทำงานก็ต้องไปที่ตึกนั้น ตึกนี้ หากพัฒนาระบบและเครือข่ายของ internet ให้ได้ทั่ว มอ น่าจะมีประโยชน์และสะดวกต่อการทำงานมากกว่า

ต้นไม่ที่จะปลูกทดแทนเป็นสองเท่านั้นคิดว่าทำได้ยากเหลือเกิน หากเรายังไม่สามารถเก็บรักษาของดีที่เรามีอยู่แล้ว แล้วเราจะหามาเพิ่มเป็นสองเท่าอีกได้อย่างไร นอกจากนี้เวลาที่ใช้ในการปลูกต้นไม้ให้โตขนาดนี้ใช้เวลากว่าครึ่งชีวิตเชียว

ประเด็นอื่นๆเรื่องการใช้เงิน how about ความปลอดภัยภายใน campus น่าจะใช้เงินมาปรับปรุงระบบความปลอดภัย และสิ่งแวดล้อมอื่นๆ ใน มอ ให้ดีขึ้น

ตึก IT มีก็ได้ ไม่มีก็ดี
ขาดต้นไม้-> ขาดใจ




Posted by : RS , Date : 2005-04-23 , Time : 03:46:28 , From IP : pool-71-106-204-229.

ความคิดเห็นที่ : 12


   มอ.กำลังจะสร้างกล่องไม้ขีด(ตึก)อีกหลายกล่องลงในพื้นที่เท่าเดิมเพื่อประกาศว่าเรากำลังเติมโต เราต้องสร้างลานจอดรถให้บุคลากรอีกมากมาย เห็นแล้วน่าเวทนา ......มอ.เรากำลังพิการเพราะหาความร่มรื่นไม่ได้ เป็นตัวอย่างเปรียบเทียบในทางที่แย่ๆ มอ.ตั้งอยู่ริมเชิงเขาแต่กลับตัดต้นไม้เตียนโล่งไม่สัมพันธ์กันเลยน่าจะไปตั้งอยู่กลางทุ่งนาดีกว่าเพราะมันเหมาะสมกันดี........นั่งบนตึกสูงดูวัวและดูควายสนุกออก.........จิงๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ

Posted by : อินทรีย์ , Date : 2005-04-24 , Time : 00:08:14 , From IP : 172.29.7.148

ความคิดเห็นที่ : 13


   ต้องบอกว่าเมื่อแรกที่มาอยู่มอ.ชอบมาก เพราะเรามาจากกท. อากาศร้อน แห้งแล้ง แต่เห็นที่นี่เมื่อ 10 ปีก่อนสวยงามด้วยสีเขียว ร่มรื่นด้วยต้นไม้ใหญ่ อยู่เชิงเขา มีอ่างน้ำใหญ่ ยิ่งอยู่นาน ป่าคอนกรีตแบบกท.ก็เพิ่มขึ้น จนวันนี้เห็นแต่การตัดต้นไม้ใหญ่ แล้วปลูกพืชล้มลุกแทน มันอะไรกันนี่

อยากเรียกร้องให้ผู้บริหารซึ่งต่างก็เคยผ่านเมืองนอกที่เจริญ จะเห็นว่ามหาวิทยาลัยเขารักษาต้นไม้ได้ดีมาก มอ.ไม่อับจนสถานที่ถึงกับต้องตัดต้นไม้ใหญ่กระมัง ถ้าท่านคิดไม่ออก ก็ให้ประชาคมช่วยคิด คงไม่มีใครตำหนิ

อยากให้ผู้บริหารใจกว้างเปิดเวบบอร์ดที่เวบมหาวิทยาลัยด้วย บุคลากรจะได้มีที่แสดงความเห็น อย่าทำตัวแบบนักการเมืองให้มากนัก


Posted by : คนจบที่อื่นแต่มาอยู่ มอ. , Date : 2005-04-24 , Time : 15:54:21 , From IP : 172.29.7.105

ความคิดเห็นที่ : 14


   อากาศปีนี้ร้อนมาก ๆ ส่วนนึงน่าจะเกิดจากการตัดต้นไม้เนี่ยแหล่ะ ที่หน้ามอ.ก่อนที่จะเป็นห้างโลตัส เคยเป็นสวนยางร่มรื่น พอถางซะเรียบ ก็ร้อนขึ้นทันตาเห็น คนตัดต้นไม้กันเยอะๆ ไม่นานก็จะโดนธรรมชาติลงโทษ อากาศร้อนขึ้นทุกปีๆ ต้องอยู่ในห้องแอร์ เปลืองไฟ เปลืองน้ำมัน ทำลายสิ่งแวดล้อมกันมากๆ ก็เป็นแบบนี้แหล่ะ

Posted by : เบื่อผู้บริหาร , Date : 2005-04-25 , Time : 00:43:58 , From IP : 172.29.7.98

ความคิดเห็นที่ : 15


   ถ้าตัดต้นไม้ในสถานอันถือกันว่าเป็นแหล่งผลิตบัณฑิตอีก
ในอีกเวลาที่จะถึงนั้นก็อย่าหมายที่จะสอนใครว่าให้รักต้นไม้อีกเลย
ละอายพระจิตพระใจ
ถ้าในทางปฏิบัติ
แล้วไซร้คนเหล่านั้นทำผิดเสียเอง


Posted by : พ่อข้าชื่อ สุนทร ภู่ , Date : 2005-04-25 , Time : 16:48:43 , From IP : 192.168.26.94

ความคิดเห็นที่ : 16


   การตัดต้นไม้เป็นความผิด ขนาดนั้นเชียวหรือ? ไม่ใช่การทำลายป่า เพียงแค่ตัดต้นไม้ในบ้านเพื่อให้บุคลากร นศ. ได้มีที่อยู่อาศัย ที่ทำกิจกรรม

การต่อสู้ เพื่อให้ได้งบประมาณ สำหรับก่อสร้างอาคาร ที่ว่าเป็นเรื่องยากแล้ว เพราะต้องตอบคำถาม รมต. กันหลายรอบ หลายยก กว่าจะได้งบประมาณสำหรับสร้างตึก(ยากมากๆ) แต่พบว่า! การคัดค้านจากภายในแค่เอาตึกลงก่อสร้างในพื้นที่กลับยากกว่า มีทั้งศึกนอก ศึกใน ช่วยหาทางออกที่ดีให้หน่อยนะครับ



Posted by : LemonTree , Date : 2005-04-26 , Time : 15:26:48 , From IP : 192.168.24.214

ความคิดเห็นที่ : 17


   ผมคิดว่าการที่เรื่องแบบนี้ไม่มีการลงเอย ก็เพราะมันไม่มี "ช่องทาง" จะให้ลงเอยครับ เวลามี "ข้อขัดแย้ง" ระหว่างสอง parties มันต้องมี platform ที่ "ทั้งสองฝ่าย" ได้นำเอา issues ของตนมาแลกเปลี่ยนกัน ฉะนั้นในเวทีที่มีเสียงฝั่งเดียว มันจะยิ่งนำไปสู่ความ "ชัด" ของเหตุผลฝั่งเดียว

ประเด็นสำคัญอีกอย่างคือ ความสามารถที่คนคุยกันจะ represent ได้จริงๆครับ นั่นคือคนให้เหตุผลว่าควรสร้างนั้น สามารถทำให้เกิดความรู้สึกว่านั่นเป็น "เหตุผลที่แท้จริง" ที่ตัดสินใจไปอย่างนั้น ไม่ใช่ third party ที่มองเหตุการณ์จากรอบนอกมาอภิปรายเป็นตัวแทน เพราะอีกฝ่ายเวลาเสนอข้อมูลขัดแย้งมา เขาอยากจะทราบว่าประเด็นที่เขา concern นั้น ผู้ตัดสินใจได้พิจารณาถ่องแท้แล้วแล้วหรือไม่ options ที่ถูกนำเสนอนั้นได้ถูกปฏิเสธไปโดยมีการพิจารณาดูแล้ว แต่มันไม่ดีพอรึเปล่า และเพราะอะไร

ตราบใดที่ issues ของทั้งสองฝ่ายไม่ได้ถูก cross-examined โอกาสที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งถูกจูงใจคงจะยาก เพราะเหตุผลสนับสนุนฝ่ายตนก็ยังฟังดูดีอยู่ และเหมือนกับว่าอีกฝ่ายไม่ได้เห็นความสำคัญอะไรนัก ก็เลยขี้คร้านจะชี้แจง ปล่อยไปเรื่อยๆ ก็ยิ่ง aggravate อีกฝ่ายมากขึ้นนั่นเอง



Posted by : Phoenix , Date : 2005-04-26 , Time : 22:31:09 , From IP : 203.107.197.241

ความคิดเห็นที่ : 18


   เห็นด้วยกับประเด็นตอบของคุณ RS ครับ
ผมคิดว่า มอ. เรานั้นวางนโยบายในเรื่องการขยายตัวโดยเฉพาะการเปิดคณะใหม่
แล้วจัดการกับเรื่องการจัดสรรสถานที่ได้ดีพอหรือเปล่า

ตอนนี้มีข่าวมาเลา ๆ ว่า มอ. ปัตตานีนั้นก็จะแยกตัวออกมาเป็นเอกเทศ เพื่อรองรับการขยายตัวที่จะมีการเปิดคณะเพิ่มเติมในอนาคต...

ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง ๆ ผมคาดว่าวิทยาเขตหาดใหญ่เรานั้นน่าจะมีการเปิดคณะทางสายศิลป์มากขึ้น (เพราะ มอ. ปัตตานีจะแยกตัวแล้ว) เรามีนโยบายอย่างไรในอนาคตที่จะเปิดคณะเหล่านี้ เพราะถ้าจะก่อสร้างตึกคณะต่าง ๆ เพิ่มขึ้นแต่เนื้อที่ใน มอ. หาดใหญ่เรานั้นมีเท่าเดิม ซึ่งวิธีการขยาย campus ออกไปอยู่บริเวณรอบๆ มอ. ผมคิดว่าเป็นวิธีที่เหมาะสมครับ




Posted by : chinmai , Date : 2005-04-26 , Time : 22:33:13 , From IP : 172.28.91.10

ความคิดเห็นที่ : 19


   คุณ lemon tree เคยเห็นเขาใกล้ๆ มอ ไหมคะ (ไม่ใช่เขาคอหงส์นะคะ) รู้สึกจะอยู่ด้านข้างๆ เมื่อกว่าสิบห้าปีมาแล้ว เชื่อว่าคงมีต้นไม้คลุมอย่างหนาแน่น ประมาณช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ต้นไม้ถูกตัดไปเป็นแถบๆ คือเห็นได้ชัดเลยว่ามีการตัดแบบไม่มีการปลูกทดแทน และตัดแบบถอนรากถอนโคนไปเลยค่ะ คือซีกหนึ่งของเขาทึบ และอีกซีกหนึ่งเป็นเขาหัวโล้น ในห้าปีหลังได้เห็นว่ามีการทำลายเขาไปด้วย ไม่ทราบว่าเป็นดินถล่ม หรือมีการขุดเอาดิน-หินไปทำประโยชน์อย่างอื่น

เขาตรงนั้น มองจากตึกใน มอ จะเห็นว่าใกล้นิดเดียว ยังไม่มีใครไปดูแล พูดถึงเขา คือพูดถึงต้นไม้เป็นสิบเป็นร้อย ไม่ใช่เพียงไม่กี่ต้น หมายถึงระบบนิเวศน์ทีมีความสำคัญของ "ชีวิต"

จริงอยู่ เรื่อง "ตึกกับต้นไม้"นี้เราไม่ได้พูดถึงการตัดไม้ทำลายป่า ซึ่งก็ดีแล้วค่ะ เพราะถ้าพูดถึง คงเป็นเรื่องที่น่าเศร้ากว่านี้ เพราะว่ตอนนี้เรามีพื้นที่ป่าเหลืออยู่น้อยเต็มทีแล้ว :-( เข้าใจว่าน้อยกว่าประเทศเพื่อนบ้านของเราอย่างพม่าด้วย

การที่ มอ ได้เงินมาเพื่อพัฒนาและขยายศักยภาพในการผลิตบัณฑิตย์ ก็นับว่าเป็นเรื่องที่น่ายินดีค่ะ แต่การพัฒนาไม่ควรจะหมายถึงการพัฒนาด้านวัตถุเพียงอย่างเดียว เรา....ในฐานะแม่-พ่อพิมพ์ ควรเน้นการพัฒนาจิตสำนึก จิดใจให้กับนักศึกษาด้วย การตัดต้นไม้เพื่อสร้างตึกดูเหมือนว่าเป็นความตัดสินใจที่ไม่ได้คิดให้ดีถ่องแท้เสียก่อน ดูจะเป็นการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า....มอ ยังต้องอยู่อีกนาน หวังว่าคงไม่ต้องให้ลูกหลานมาแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อม ปัญหา...ที่รุ่นพ่อ-แม่ได้ทำเอาไว้นะคะ

ขณะที่แสดงความเห็นอยู่นี้ ลูกชาย (ป1) ได้นำหนังสือ The New Book of Knowledge (ปี 2005) มาให้ดูในหัวข้อ Animals เป็นภาพแผนที่โลก และมีภาพสัตว์ป่าต่างๆบนแผนที่ เขาถามว่าทำไมบริเวณเมืองไทย ไม่มีภาพสัตว์อยู่เลย

ก็เข้ากับเรื่องนี้พอดี....เลยตอบเขาไปว่า บ้านของสัตว์คือป่า เมืองไทยมีป่าเหลือน้อยเต็มที เนื่องจากมีการตัดไม้ทำลายป่าเยอะ สัตว์ก็อยู่ไม่ได้.....เขาก็รู้สึกเสียใจมากและถามว่า "ทำไมคนต้องตัดต้นไม้"

คุณมีคำตอบทีดีที่จะตอบเด็กเล็ก หรือเปล่าคะ และถ้าผู้ใหญ่ ครูบาอาจารย์บอกว่าต้นไม้ ดี มีประโยชน์ แต่เราตัดต้นไม้เพื่อสร้างตึก คุณคิดว่าเด็กจะเข้าใจสิ่งที่เราบอก ที่เราสอนหรือเปล่าคะ แล้วซักวันที่เขาต้องตัดสินใจหรือมีส่วนร่วมกับเรื่องแบบนี้ คุณคิดว่าเขาจะตัดสินใจอย่างไร



Posted by : RS , Date : 2005-04-27 , Time : 11:03:53 , From IP : pool-71-106-184-108.

ความคิดเห็นที่ : 20


   คุณ นกไฟคะ ดิฉันไม่เชื่อว่า ปัญหานี้จะไม่มีทางออก นอกจากนี้ดิฉันเข้าใจว่ายังมีกลุ่ม และประชาคมที่นำข้อมูลออกมานำเสนอ และต้องการคำอธิบายจากผู้บริหาร ดิฉันคิดว่าถ้าทีมผู้บริหารเป็นธรรมจริง ควรเปิดโอกาสให้ประชาคม และสมาชิกใน มอ มาแสดงความเห็นและเปิดอภิปรายด้วยเหตุผล

ดิฉันเชื่อว่าคุณนกไฟมีประสบการณ์ในต่างแดนมานาน คุณนกไฟคงเคยเห็น หรือได้ยิน ประชาชน (ธรรมดา)ในต่างประเทศ ออกมาคัดค้านการสร้างตึก การสร้างโรงงาน ฯลฯ ในบริเวณที่อยู่อาศัยของเขา หรือบริเวณใกล้โรงเรียนหรือแหล่งชุมชน ซึ่งมักจะมีนักวิชาการ นักวิทยาศาสตร์ หรือบุคลากรจากมหาวิทยาลัย จากรัฐบาลมาพูดคุยกับเขาตามเนื้อหาและประเด็นต่างๆ ไม่ว่าผลจะเป็นอย่างไร แต่เขาก็ได้ต่อสู้ด้วยสิทธิ์และเสรีภาพอันชอบธรรมของเขา ไม่ใช่ "ขี้คร้านจะชี้แจง ปล่อยไปเรื่อยๆ"

สถานการณ์ใน มอ ไม่ได้เป็นสถานการณ์ที่ใหญ่โตระดับประเทศที่จะพูดคุยกันยาก เราน่าจะพูดคุยกันด้วยเหตุผล และช่วยกันหาทางออก................


ถ้า...........ประชาคมคิดว่าผู้บริหารไม่สามารถนำพาชุมชน สังคม มอ ของเราได้แล้ว เรื่องแค่นี้ยังหาทางออกแบบศานติวิธีไม่ได้ เห็นควรว่าพลังชุมชนควรหาผู้บริหารใหม่ ที่เข้าใจชุมชนของเรา และนำพาชุมชนของเราก้าวไป พัฒนาไกล อย่างถูกวิธี


Posted by : RS , Date : 2005-04-27 , Time : 11:20:45 , From IP : pool-71-106-184-108.

ความคิดเห็นที่ : 21


   น่าเสียดายมากๆ ที่เวทีนี้เป็นเพียงกระดานอภิปรายของคณะแพทย์ ซึ่งอาจจำกัดแวดวงผู้อ่านไปหน่อย ทั้งๆที่เรื่องนี้เป็นเรื่องของประชาคมมหาวิทยาลัย ...อยากให้ผู้บริหารระดับมหาวิทยาลัย ที่มีส่วนในการตัดสินใจเรื่องนี้เข้ามาอ่านจัง ทำอย่างไรดีคะ

Posted by : แมวดำ , Date : 2005-04-27 , Time : 14:01:17 , From IP : 172.29.1.209

ความคิดเห็นที่ : 22


   ลองย้ายมาคุยในบอร์ดมหาวิทยาลัยส่วนกลาง
กองอาคารสถานที่ สำนักงานอธิการบดี ครับ

ผมตั้งกระทู้ให้แล้ว เชิญไปแสดงความเห็นครับ
มากันเยอะๆ หากมีทางเลือกให้คงดีไม่น้อย
ขอบคุณครับ

มาที่นี่เลย
http://www.psu.ac.th/PresidentOffice/Building/


Posted by : LemonTree , Date : 2005-04-27 , Time : 15:41:45 , From IP : 192.168.24.214

ความคิดเห็นที่ : 23


   ประสบการณ์ในการเรียกร้องสิ่งต่างๆโดยพลังมวลชนนั้นคงไม่จำเป็นต้องยกตัวอย่างไปไกลถึงต่างประเทศครับ ในประเทศเราก็มีมาแล้วหลายครั้ง ทั้งด้านประชาธิปไตย การเมือง สร้างเขื่อน สร้างท่อ ฯลฯ

และที่สื่อ "ได้ผล" นั้นก็ต่อเมื่อ message ที่จะสื่ออยู่ในที่ที่กลุ่มเป้าหมายถูกสื่อได้ครับ และการอภิปรายนั้นจะมีการ "ลงเอย" ได้ ก้ต่อเมื่อเหตุผลของทุกฝ่ายสามารถมีทางดำเนินมาอยู่เปรียบเทียบกัน

ฉะนั้นเรื่องนี้ผมเห็นด้วยกับคุณ LemonTree ที่จะเริ่มขยับขยายไปบอร์ดส่วนกลาง หรือดีกว่านั้นผมว่าไหนๆมีฝ่ายที่รวบรวมข้อมูลค่อนข้างเยอะพอประมาณของมุมหนึ่ง จะมีทางใดหรือไม่ที่ "ผู้ตัดสินใจ" จะ implement project ได้รับทราบและชี้แจงข้อกังขาทั้งหลายแหล่ว่า ที่เราคิดๆกันว่าเขาอาจจะยังไม่ได้เอาเรื่องนี้มาคิด จริงๆได้คิดสาระตะไปเรีบร้อยแลเว เปรียบเทียบข้อดีข้อเสียไปเรียบร้อยแล้ว

ตรงนั้นแหละครับที่จะเป็น platform ที่เรื่องจะ "ลงเอย" อาจจะมีประสิทธิภาพมากกว่าการลุ้นว่ามี "ผู้ตัดสินใจ" อ่านกระดานข่าวหรือไม่ บ่อยแค่ไหน ข้อความที่ต้องการจะสื่อได้ไปถึงคนที่อยากจะสื่อแล้วหรือยัง



Posted by : Phoenix , Date : 2005-04-27 , Time : 17:49:01 , From IP : 203.156.119.68

ความคิดเห็นที่ : 24


   ขอบคุณค่ะสำหรับบอร์ดกลางที่ คุณ lemon tree จัดที่เตรียมทางไว้ให้แล้ว ไม่ทราบว่าทางผู้บริหารจะมีโอกาสรับทราบความเห็นเหล่านี้หรือไม่ ถ้าไม่ จะสามารถจัดทำเป็นเอกสารรวบรวมแล้วยื่นให้ผู้เกี่ยวข้อง รวมถึงผู้บริหารรับไว้พิจารณาได้หรือไม่คะ

แล้วเจอกันที่บอร์ดกลางค่ะ



Posted by : RS , Date : 2005-04-28 , Time : 09:13:13 , From IP : pool-71-106-188-222.

ความคิดเห็นที่ : 25


   ในเมื่อตึกใหม่จะสร้างร้านอาหารด้วย การรื้อโรงอาหารฟิสิกส์ทำไมจะทำไม่ได้ ม้นก็เก่าโทรมแล้ว ถ้าสร้างตรงนั้นจะดีกว่ามั้ย

Posted by : ศิษย์เก่า , Date : 2005-04-30 , Time : 18:17:05 , From IP : 61.19.150.150

ความคิดเห็นที่ : 26


   ทุบตึกเตี้ยๆสองสามชั้นทิ้งแล้วสร้างตึกสูงมากๆสักยี่สิบสามสิบชั้นบนพื้นที่เดิมสิ
สิ้นเปลืองงบประมาณมากมายอภิมหาศาล
แต่เราก็รักษาพื้นที่สีเขียวรอบๆของเราไว้ได้

ระวังเป็นเป้าไอ้พวกแบ่งแยกดินแดนขับเครื่องบินมาชนละกัน



Posted by : สรยุทธ , Date : 2005-04-30 , Time : 20:27:00 , From IP : 221.128.126.2

ความคิดเห็นที่ : 27


   


Posted by : test , Date : 2005-07-20 , Time : 14:28:43 , From IP : 172.29.4.63

ความคิดเห็นที่ : 28


   เรื่อง รวมพลังคัดค้านการฉกฉวยภูมิปัญญาไทยไปเป็นสิทธิของญี่ปุ่น
กราบเรียนพ่อแม่พี่น้องประชาชนที่รักทุกท่าน
เป็นเรื่องที่น่าเศร้าใจและน่าละอายอย่างยิ่งที่ญี่ปุ่นนำเอาคำว่า “ฤาษีดัดตน” ไปเป็นเครื่องหมายการค้าโดยรัฐบาลญี่ปุ่นยอมให้เอกชนจดทะเบียนการค้าได้ เพียงเหตุผลว่า คำว่าฤาษีดัดตนไม่เคยมีในญี่ปุ่นเป็นผลทำให้ บริษัทดังกล่าวมีสิทธิแต่เพียงผู้เดียวในการใช้คำว่า “ฤาษีดัดตน”เป็นหัวหนังสือ วารสาร สื่อต่าง ๆ รวมทั้ง การใช้คำว่าฤาษีดัดตนในการสอนเผยแพร่บริการ การดัดตน ซึ่งเป็นภูมิปัญญาของคนไทยแท้ ๆ ทำให้ปิดประตูโอกาสของคนไทยที่จะใช้ชื่อฤาษีดัดตนในการสอนหรือเผยแพร่บริการ ถ้าหากจะมีการทำแม้จะสอนได้ก็ต้องใช้ชื่ออื่น บริษัทดังกล่าวถือสิทธิแต่เพียงผู้เดียวในคำ “ฤาษีดัดตน” กับผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ที่จะทยอยออกมาได้แก่ แป้ง สบู่ ผ้า หรือผลิตอื่นๆอีกที่จะทยอยออกมา นี่คือความชอบธรรมในพ.ร.บ.เครื่องหมายการค้าของญี่ปุ่นแต่เป็นการขาดคุณธรรม จริยธรรมที่ทำกับคนไทยเพราะฤาษีดัดตนเป็นวัฒนธรรมของคนไทยซึ่งญี่ปุ่นไม่มีความชอบธรรมที่จะมาผูกขาด หากเราชาวไทยไม่คัดค้านในครั้งนี้จะมีผลทำให้ญี่ปุ่นสามารถนำเอาคำนี้ไปจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าได้ทั่วโลก เพราะมีศักยภาพทางด้านการเงินที่ดีกว่าเรา เท่ากับญี่ปุ่นฉวยโอกาสเอาภูมิปัญญาฤาษีดัดตนไปโดยปริยาย ลูกหลานของคนไทยในภายภาคหน้า หากจะทำการค้าเช่นนี้คงต้องเป็นเครือข่ายของญี่ปุ่นหรือไม่ก็ต้องซื้อสิทธิจากญี่ปุ่น
นับเป็นการฉวยโอกาสจากช่องว่างของพ.ร.บ.เครื่องหมายการค้าระหว่างประเทศ กล่าวคือคำใด ๆ ที่เป็นภูมิปัญญาในประเทศหนึ่ง และยังไม่แพร่หลายในอีกประเทศหนึ่ง ประเทศนั้นย่อมถือว่าเป็นคำที่ไม่ใช่คำสามัญทั่วไปในประเทศนั้น ก็จะตีขุมว่าสามารถจดทะเบียนการค้าในประเทศนั้นได้เช่น ดังในกรณี ”ฤาษีดัดตน”นี้ ในประเทศไทยเรามีภูมิปัญญาชาติอื่นมาเผยแพร่เช่น โยคะ ไชอัสสึ ไทเก๊ก เรายังไม่มีการจดบริษัทโยคะจำกัด บริษัทไชอัสสึจำกัด หรือ บริษัทไทเก๊กจำกัด เพราะเรามีความละอายพอที่จะไม่เอาภูมิปัญญาของคนอื่นมาจดทะเบียนการค้า หรือหากเราเอาคำว่า ฤาษีดัดตนมา จดทะเบียนการค้าเป็น บริษัทฤาษีดัดตนจำกัด ในประเทศไทยกลับทำไม่ได้ ตามกฏหมายเครื่องหมายการค้าเพราะเป็นคำสามัญในประเทศไทยนี่คือข้อเสียของ พ.ร.บ.เครื่องหมายการค้า หรือหากเราจะ ลงทุนไปจดทะเบียนการค้าไว้ทั่วโลก สามารถทำได้แต่ต้องใช้งบประมาณ มหาศาล เนื่องจากจดทะบียนการค้าแล้วจะต้องมีการดำเนินกิจการที่ประเทศนั้น ๆ ด้วย ซึ่งในความเป็นจริงจะมีการกีดกันทางด้านแรงงานอีก
จะเห็นได้ว่า ทางเดียวที่คนไทยจะทำได้ในเวลานี้คือ ร่วมแรงร่วมใจลงชื่อคัดค้านให้เพิกถอนการครอบครองสิทธินี้และเรียกร้องชาวญี่ปุ่นให้ร่วมคัดค้านภาคธุรกิจของชาวญี่ปุ่น ที่นำภูมิปัญญาของชาติอื่นมาเป็นของคนญี่ปุ่น เหมือนคนญี่ปุ่นไม่มีภูมิปัญญาเป็นของตนเอง ช่างน่าละอายแทนเป็นที่สุด
กับการกระทำซ้ำแล้วซ้ำเล่า ในการที่จะเอาภูมิปัญญาของคนไทยที่ผ่านมา เช่น เปล้าน้อย กวาวเครือ ลายผ้าพื้นเมือง ดนตรีพื้นเมือง ตำราใบลาน และอื่น ๆ ที่ยังไม่ทราบอีกมากมายอย่างย่ามใจ เรามิอาจทนได้อีกต่อไป ขอเชิญชวนพ่อแม่พี่น้องคนไทยทั้งชาติร่วมกันลงชื่อคัดค้านเพื่อรักษา ภูมิปัญญาและสมบัติของชาติ ไว้ให้แก่ลูกหลานไทยในอนาคตอย่าให้หมดไปในยุคของเราเลย......

ชมรมนักศึกษาแพทย์แผนไทย
ชมรมนวดไทย

หมายเหตุ : ท่านผู้ประสงค์จะลงนามคัดค้านให้เขียนข้อความคัดค้านการจดทะเบียนการค้า “ฤาษีดัดตน” ในประเทศญี่ปุ่นให้เขียนด้วยลายมือตนเอง พร้อมถ่ายสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนเซ็นต์รับรองสำเราถูกต้องพร้อมข้อความ “ ใช้เพื่อคัดค้านการจดทะเบียนการค้าในประเทศญี่ปุ่น ”
ส่งมาที่
ชมรมนวดแผนไทย
96/48 ซ.ศิริชัย ต.บางเขน
อ.เมือง จ.นนทบุรี
11000




Posted by : วอนป้องกันมรดกชาติฤาษีดัดตน , E-mail : (dee_001@hh.com) ,
Date : 2006-05-28 , Time : 00:31:28 , From IP : ppp-58.8.116.36.revi


ความเห็นจาก Social Network : Facebook


สงวนสิทธิ์การแสดงความคิดเห็นสำหรับ สมาชิกเท่านั้น
>>>>> Page loaded: 0.013 seconds. <<<<<