ความคิดเห็นทั้งหมด : 1

Debate LXXXV: ใครอยู่ใน "ทีมการรักษา" กับเราบ้าง?


   ความคิดนี้ค่อยๆ formulated ขึ้นมาเมื่อสองอาทิตย์ที่แล้วที่มีคน (หลวมตัว) เชิญผมไปร่วมอภิปรายในหัวข้อเรื่องการทำ Palliative Care ในศัลยกรรม หลังจากนั้นเมื่อวานซืนมีคนถามในรายการวิทยุถึงคำถามเดียวกันกับหัวเรื่องนี้ ผมเกิดความรู้สึกว่าน่าจะสานต่อ

เวลาเราพูดถึง "ทีม" การรักษาพยาบาล เรานึกถึงใครบ้าง? แพทย์ พยาบาล นักกายภาพบำบัด รังสี นักจิตวิทยา นักสังคม นักโภชนาการ หรือเรียกรวมๆว่า "บุคลากรด้านสุขภาพ" ก็พอจะครอบคลุมที่กล่าวมาทั้งหมด

ย้อนกลับไปที่ตัวคำถามใหม่อีกที "ใครอยู่ใน "ทีมการรักษา" กับเราบ้าง?" "ทีม" คืออะไร? หรือเอาให้จำเพาะมากอีกนิด "ทีมเรา" คืออะไร?

ใครก็ได้ที่มี "วัตถุประสงค์เดียวร่วมกับเรา" บวกกับใครก็ได้ที "มีส่วน" ลงทุน ลงแรง ลงกาย ลงใจ ร่วมกับเรา ในการทำงานอะไรสักอย่างหนึ่ง

ถ้าเป็นอย่างที่ว่านี้ เราจะพบว่ารายชื่อในรายการของเรายังไม่ครบ ยังขาดอีกสององค์ประกอบ สองบุคคลสำคัญไป นั่นคือ ผู้ป่วย และญาติ จริงๆแล้ว เป็นสองบุคคลสำคัญที่สุดในงานที่พวกเรากำลังช่วยกันทำอยู่ทีเดียว

ถ้าเราไม่ได้รวมผู้ป่วยและญาติอยู่ในทีมการรักษาด้วย เราจะลืมตรวจสอบว่า "วัตถุประสงค์" ที่เรากำลังทำกันอยู่นั้น ถูก shared ร่วมกันหมดทั้งทีมแล้วหรือยัง เราแน่ใจอยู่ทุกวันหรือไม่ว่าวัตถุประสงค์ระยะยาว ระยะสั้นที่เราทำงานในแต่ละวันนี่ ทุกคน "ในทีม" ตระหนักและจะรับรู้ถึง "ความสำเร็จ" ในแต่ละวันแล้วหรือไม่?

คนไข้และญาติของเรารู้ไหมว่าเย็นนี้ ถ้าหมอเห็นหรือสามารถเอา NG tube ออก นั่นนับเป็นความสำเร็จของ "วันนี้" หรือพรุ่งนี้ถ้าคนไข้ตดออกมาได้ นั่นคือสิ่งที่เราต้องการได้ยิน เพราะแปลว่า "ดี" ไปจนถึงการที่คนไข้สามารถลุกขึ้นนั่ง ลุกขึ้นมาถ่าย ลุกขึ้นมายิ้ม

ในทำนองกลับกันหมอ พยาบาล ที่เดินราวน์อยู่บน ward รู้หรือไม่ว่าลุงบุญชุบเตียง 34 จะรู้สึกว่าวันนี้จะสบายขึ้นมากถ้าเขาไม่คันบริเวณที่ให้น้ำเกลือ หรือป้าประนอมอยากจะเอาสาย NG ออกก่อนนอนเพราะทุกอย่าง OK แล้ว

และไกลไปกว่านั้นคือวัตถุประสงค์ระยะยาว เช่น คุณประสงค์จะต้องกลับไปบ้านอย่างเดินไม่ได้ไปอีกหลายปี ต้องมาทำกายภาพบำบัด ดังนั้นแผนที่จะเป็นนักวิ่ง olympic อาจจะต้องเลื่อนไปก่อน ถ้าแผนการเหล่านี้ ไม่ได้ถูกทำให้กระจ่างชัดกับ "ทีมการรักษาทั้งหมด" เราก็อาจจะกำลังจะขาดแรงผลักบางส่วน บางเปอร์เซนต์ลงไปอย่างน่าเสียดาย หรือเราอาจจะกำลังทำอะไรที่ "มากเกินไป" กับคนไข้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ป่วยระยะสุดท้าย

ถ้าผู้ป่วยและญาติอยู่ใน "ทีม" ของเรา เขามีสิทธิ์รับทราบ อภิปรายความต้องการ และเรา "รับฟัง" เพื่อที่ทั้งทีมจะได้ตั้งเป็หมายทั้งระยะสั้นและระยะยาวไปพร้อมๆกัน น่าจะดี

ขอฟังความเห็นครับ

Be Mature, Be Positive, and Be Civilized



Posted by : Phoenix , Date : 2005-02-26 , Time : 02:33:58 , From IP : 172.29.7.212

ความคิดเห็นที่ : 1


   รู้สึกประเด็นยังไม่โดนใจ ไม่เคลียร์ หรือไม่น่าสนใจพอ ขออนุญาตรำพึงต่อก็แล้วกัน

หัวใจสำคัญของ "ความสำเร็จ" อะไรก็ตามขึ้นอยู่กับเป้าประสงค์ของกิจกรรมนั้นๆ และจะเป็นการมีประสิทธิภาพสูงสุดถ้า "ทุกคน (stake-holder)" มีส่วนตั้งใจผลักดันกิจกรรมนั้นไปในทิศทางเดียวกัน ไม่มีใครดึงลากแถกถูออกไปข้างทาง (หรือย้อนหลัง!!) ผมเชื่อว่าโดยปกติใน case ธรรมดาๆไม่ค่อยมีปัญหาอยู่แล้ว เพราะหมอพยาบาลพร้อมที่จะแจ้ง "ข่าวดี" ให้กับทีม ไม่ว่าจะเป็น พชท. นศพ. พยาบาล รวมทั้งคนไข้และญาติ ว่า case นี้เราทำสำเร็จ การแจ้งข่าวดีเสริมสร้างความมั่นใจ คุณค่า แลกำลังใจในการทำงาน ในความรู้สึก "ต่อตนเอง" ฉะนั้นเรามักจะหาโอกาสทำบ่อยๆ

แต่ถ้าบริบทมันเปลี่ยนไป เป็นโรคที่เรื้อรัง เป็นโรคที่ยังไม่รู้เป็นโรคอะไร เป็นโรคที่ยังไม่รู้จะรักษาอย่างไร เป็นโรคที่ไม่รู้พยากรณ์โรค เป็นโรคที่ไม่แน่ใจว่าคนไข้มีตังค์จ่ายค่ารักษารึเปล่า (เอกชนอาจจะมีประด็นนี้) เป็นโรคที่ รพ.เรามีคนรักษาได้ไหมหรือต้อง refer เป็นโรคที่รักษาไม่หายแน่ๆ จนไปถึงกลุ่มผู้ป่วยระยะสุดท้าย ทีนี้ข่าวที่จะแจ้งให้ทีมทราบมันไม่ใคร่เป็นข่าวดีซักเท่าไหร่อีกต่อไปแล้ว มันเต็มไปด้วยความไม่มั่นใจ หรือแม้กระทั่งการสูญเสียความมั่นใจ บางทีอาจจะลามไปถึงการสูญเสียหน้า คุณค่าของตัวเราเอง การขาดความมั่นใจว่าเราจะสื่อเรื่องแบบนี้อย่างไร ถ้าเรามีพยาธิสภาพแบบนี้ปนๆอยู่ บางทีก็จะมีการเลือกการ "ไม่สื่อ" เป็นทางออกไปซะเฉยๆ การไม่สื่อ นี่อาจจะมีทั้งการจงใจ หรือความรู้สึกลึกๆภายใน หรือเป็น ignorance คือความไม่ใส่ใจจะสื่อซะเฉยๆเพราะคิดว่าไม่สำคัญ ไม่ใช่หน้าที่

เมื่อ การไม่สื่อ เกิดขึ้น หมายความว่า "ทีม" จะมีการกระจายของข้อมูลคนไข้ไม่สม่ำเสมอไม่เท่ากัน เกิดได้ทั้งขึ้น ทั้งลง และแนวระนาบ การไม่มีการเขียนบันทึกรายงาน admission, progress note, summary note, การส่งเวรที่ดี การถ่ายทอดข้อมูลจากผู้ป่วย จากญาติ สู่พยาบาล สู่หมอ มันปั่นป่วนสูญหาย ในที่สุดคนในทีมก็จะจำเป็นต้องใช้การ "เดา" หรือ "assumption" ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง เพื่อเติม jigsaw เอาเอง กิจกรรมการเดานี้แหละที่ก่อปัญหาได้เยอะ เพราะไม่ได้ใช้ observatory facts และขึ้นกับบริบทของคนเดา เช่น อารมณ์ maturity ความสัมพันธ์กับคนรอบข้าง กอปรกับบุคลิกอดีตกาลการเลี้ยงดอบรมสั่งสอนกลั่นออกมาเป็นการเดาแต่ละครั้ง โอกาสพลาดจะยิ่งเยอะถ้าบริบทห่างกันเยอะเกิน

คนไข้โรคเดียวกัน จะมีอะไรมาเล่าให้เราฟังไม่ซ้ำกันเลย สิ่งเหล่านี้ทำให้ perception ของโรค ของโรงพยาบาล เจตคติกับทีมหมอพยาบาล ของคนไข้แต่ละคนไม่เหมือนกัน แต่ละคนที่เข้ามานอนใน รพ. ก็เหมือนกัยสมาชิกใหม่ของ "ทีม" ของเรา ต้องมีการปรับตัวจากทั้งสองฝ่าย ต้องมีการสร้างความไว้ใจ ความเชื่อมั่นศรัทธาเกิดนขึ้น ตรงนี้ต้องเริ่มจาก "ความต้องการจะสร้าง" ก่อนจากทั้งสองฝ่าย

ผมว่าฝ่ายผู้ป่วยและญาติน่ะอยากจะเริ่มอยู่แล้ว แล้วฝ่าย "เรา" มีความต้องการเช่นนี้ ควรจะทำอย่างไรบ้าง?



Posted by : Phoenix , Date : 2005-02-27 , Time : 10:23:49 , From IP : 203.156.37.2

ความเห็นจาก Social Network : Facebook


สงวนสิทธิ์การแสดงความคิดเห็นสำหรับ สมาชิกเท่านั้น
>>>>> Page loaded: 0.004 seconds. <<<<<