ความคิดเห็นทั้งหมด : 41

ถึงอาจารย์จารุรินทร์ครับ


   อาจารย์ครับ เมื่อคืนนี้เป็นคืนที่แย่ที่สุดสำหรับผมเลยครับ แย่กว่าที่ผ่านมามาก ผมไปงานอุ่นไอรักกับเพื่อน ๆ ทำงานด้วยกัน พยายามหาเรื่องคุย เพื่อที่ผมพยายามจะลืม นัดครั้งสุดท้ายของผม
เมื่อคืนวันที่ 13 กุมภาพันธ์ของปีที่แล้ว ผมอยู่กับผู้หญิงคนที่ผมรักมากที่สุดคนหนึ่ง เรามีนัดกันทุกคืนก่อนวันวาเลนไทน์ของทุกปีตั้งแต่เราคบกัน ผมนั่งปรึกษาเรื่องของผม และช่วยแก้ปัญหาเรื่องของเธอตลอดมา ทุกปีเธอจะรอลุ้นว่าผมจะให้ดอกอะไรเธอในคืนก่อนวันแห่งความรัก เราจะนั่งรอวันแห่งความรักด้วยกันทุกปี และจะนัดสถานที่ในปีหน้าที่เราจะต้องไปเจอกันตอนเวลาเดิม มันเป็นเรื่องที่ผมรอคอยมาตลอดครับ เมื่อปีที่แล้วผมให้ดอกทานตะวันครับ ผมยังจำได้ไม่เคยลืมครับ เธอดูแปลกใจมากแต่ก็หัวเราะชอบใจครับ
ผมพยายามที่จะลืมนัดปีนี้ ผมไม่อยากทำให้ตัวเองแย่ลงไปกว่าที่เป็นอยู่ ผมพยายามเรียนรู้ที่จะอยู่ด้วยตัวเองแล้วครับ แต่ผมทำไม่ได้ ผมอยากไปที่นั่น อยากไปเจอเธอมาก ถึงแม้จะรู้ว่าไม่มีทางได้พบอีก แต่ผมก็อดหวังไม่ได้ ผมเดินไปพร้อมกับดอกกุหลาบแดง ผมไม่เคยซื้อดอกกุหลาบแดงให้ใครเลยครับ สำหรับผมมันหมายถึงการแสดงความรักอย่างที่สุด แต่เมื่อคืนผมอยากจะบอกให้เธอได้รับรู้ครับว่าผมรักเธอมาก คิดถึงมาก ผมไม่สามารถอยู่คนเดียวได้ ผมยังคิดว่าเธออยู่กับผมตลอด ผมอยากได้ยินเสียงหัวเราะนั่นอีก อยากได้เห็นสีหน้ารอคอยว่าดอกไม้ของปีนี้เป็นดอกอะไร เมื่อคืนร้านปิดครับ แต่ผมยังนั่งรอจนถึงเวลานัด ผมหวังว่าเธอจะมา ผมหวังว่าเธอจะอยู่ที่นั่น นั่งข้างผมตรงนั้น ไม่ว่าในรูปแบบใดก็ตาม ผมอยากให้เธอรู้ว่าผมไม่เคยลืมเธอเลย แต่ผมก็ไม่พบเธอ แม้แต่ร่องรอยครับ ผมรู้สึกว่าผม กำลังแย่ครับ แย่มาก มันเป็นความต้องการที่จะพบ ต้องการที่จะสัมผัสความรู้สึกเมื่อเธออยู่ใกล้ๆ ผมนั่งรอวันแห่งความสุขของใครหลายคนหน้าร้านนั่น...คนเดียว... มันเป็นความเหงาที่ร้ายกาจครับ แต่ผมต้องเจอ เมื่อคืนผมไม่ได้นอนเลยครับ ผมนั่งคิดเรื่องราวต่าง ๆ ทั้งคืน ไม่มีเรื่องอะไรที่ผมจะนึกถึงอีกเลย แม้แต่เรื่องสอบครับ
ปีหน้าผมไม่มีนัดแล้วครับ ผมต้องยอมรับว่ามันไม่มี นี่ทำให้ผมไม่อยากทำอะไรเลย ไม่อยากเรียน ไม่อยากเดิน ไม่อยากเจอใคร ผมรู้สึกเหมือนสร้างกำแพงกั้นทุกคนออกไปแล้ว...พยายามควานหาเธอในโลกของผม..อยากมีแค่ผมกับเธออยู่ในกำแพงนั้น ตอนี้ผมไม่สนใจใครเลยครับ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ไม่อยากให้ใครรับรู้เรื่องของผม เพื่อนในชั้นปีส่วนใหญ่ยังเห็นว่าผมปกติดี แค่พูดน้อยลงเท่านั้นซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่ผมต้องการครับ บางคนที่รับรู้ผมก็พยายามปิดบัง ผมไม่อยากวางใจใครง่าย ๆ อีก ตอนนี้ผมเหลือ พ่อ แม่ และเพื่อนสนิททั้ง 4 ที่คบกันมาตั้งแต่เด็ก เท่านั้นที่ทราบเรื่องทั้งหมด แต่ทุกคนก็อยู่ไกลผมเหลือเกินครับ
ตอนนี้ผมไม่เพียงกลับไปเริ่มต้นใหม่ครับ แต่ผมถอยกลับไปมากกว่านั้น ผมไม่อยากทำอะไรเลย แต่พยายามที่จะอ่านหนังสือเพราะผมคิดว่าเธอไม่ชอบให้ผมเป็นคนขี้เกียจ ผมบอกแม่แล้วครับ และแม่ก็ร้องไห้ตามฟอร์มอีกอย่างเคย ผมไม่อยากได้ยินแม่ร้องไห้อีก แต่ผมก็ทำอะไรไม่ได้เลยครับ ทุกอย่างล่องลอยไปหมด ไม่รู้จะทำอะไรดีครับ


Posted by : โดดเดี่ยว , E-mail : (Agony_Kul@hotmail.com) ,
Date : 2005-02-14 , Time : 17:36:48 , From IP : 172.29.2.203


ความคิดเห็นที่ : 1


   เป็นธรรมดานะ ที่สถาณการณ์ต่างๆ โดยเฉพาะวันสำคัญที่มีความหมายสำหรับเรากับคนที่เรารัก จะกระตุ้น emotion ที่เราพยายามเก็บกดมันไว้ ให้มันผุดโผล่ขึ้นมาทำร้ายเราอีกรอบ แล้วก็เป็นธรรมดานะที่เราอาจจะรู้สึกเหมือนว่าเราย้ำอยู่กับที่ กับความเศร้าโศกที่เราเคยคิดว่ามันดีขึ้น แต่ที่จริงตอนนี้เรารู้สึกว่ามันไม่ดีขึ้น เพราะมันกลับมาหาเราอีก
แต่น้องเชื่อพี่สิ การหายจากอารมณ์โหยหา หรือหวนคะนึงถึงดังกล่าว มันอาจจะเก็บกดลงไปได้เร็วกว่าที่ผ่านมา เพราะน้องเติบโตขึ้นกว่าเดิมงัย
อีกอย่างพี่ฟังแล้ว พี่ว่าเรื่องแบบนี้มันก็ดีนะ ทำให้เราได้ระลึกถึงภาพความทรงจำที่เราประทับใจเกี่ยวกับเธอ ซึ่งนั่นก็อาจแปลได้ว่าเธออยู่ในความทรงจำ ความคิดคำนึงหรือเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเราที่ยังดำเนินอยู่ น้องก็ได้มีเธออยู่ในตัวตนน้องไปแล้ว อาจเรียกว่ามากกว่าครึ่งหนึ่งก็ได้นะ
อย่างไรเสีย น้องก็คงอดคิดไม่ได้ว่า ถ้าเลือกได้เราคงอยากได้เธอมาครอบครองทั้งหมด ซึ่งการครอบครองส่วนใหญ่ที่เรามักจะโหยหาอยากได้กันก็คือ ร่างกายตัวตนที่จับต้องได้หน่ะ แต่การได้ใจเขามาอยู่ในใจเรานั้นก็ถือว่าดีกว่า ไม่ใช่เหรอ

เอาเป็นว่า พี่ว่าไม่ว่าเขาจะอยู่ที่ใด น้องจะปฏิบัติกับเขาเหมือนเดิมทุกอย่างก็คงไม่น่าจะแปลกอะไร เพราะถ้าเขารับรู้ได้ ก็คงนำความปลาบปลื้มใจ มาให้ทั้งตัวน้องและเพื่อนน้องนะ
น้องลองshareกับพี่อีกนะ


Posted by : พี่ลิลลี่ , Date : 2005-02-14 , Time : 19:29:52 , From IP : 172.29.7.228

ความคิดเห็นที่ : 2


   ผมอยากให้ทุกอย่างมันดีขึ้นครับ ไม่อยากเป็นคนที่คิดเรื่องนี้อยู่ตลอดเวลา แต่ตอนนี้ผมค่อนข้างแย่ครับ ผมห้ามไม่ได้เลย ผมอยากรู้ว่าเขาเป็นยังไงบ้าง อยากรู้ว่าอยู่ที่ไหน ขอแค่ได้ยินเสียงสักนิดก็ดี เมื่อคืนผมขับรถเพื่อนไปในที่ที่เราเคยนัดเจอกัน ที่ที่เวลามีปัญหาเราเคยไปนั่งคุยกัน ผมไม่ได้อยากไปนั่งนึกถึงความหลังหรอกครับ แต่ผมหวังว่าจะเจอเธอที่นั่น สักที่หนึ่ง ที่เธอจะนั่งคอยผมอยู่เวลาผมมีปัญหา ที่ที่ผมจะได้รับการรักษาเรื่องที่อยู่ในใจทุกครั้ง แต่ผมก็ไม่เจอใคร ไม่เจอเลย ที่นั่นมีแต่ผม..คนเดียวครับ ผมไม่อยากร้องไห้ แต่น้ำตามันก็ไหล...ไม่ได้ตั้งใจเลยครับ
ตอนนี้ผมรู้สึกว่าอยู่ตัวคนเดียวจริง ๆ ครับ ไม่ใช่ว่าไม่มีเพื่อน แต่ผมไม่มีเธอต่างหาก เราคุยกันทุกเรื่อง มีกันอยู่เท่านี้เอง จะสุขจะทุกข์ก็รับรู้ แต่ตอนนี้ผมไม่รู้เลยว่าเธอเป็นอย่างไรบ้าง ผมยังรับข้อนี้ไม่ได้ครับ ผมทนไม่ได้กับการที่ต้องอยู่คนเดียวมันแย่จังเลยครับ
ที่ผมยังทำทุกอย่างได้อยู่ตอนนี้ เพราะผมอยากทำเพื่อผู้หญิงที่สำคัญที่สุดในชีวิตผม 2 คน และฮีโร่ของผมเท่านั้นครับ คุณพ่อ คุณแม่ และก็เธอ ผมไม่นึกถึงตัวเองแล้วครับ ผมรู้สึกว่าผมไม่มีค่าเลย แค่อยากทำให้พวกเขามีความสุข ตอนนี้ผมอ่านไดอารี่ที่เธอเขียนไว้ตอนเธอไปเรียนที่เมืองนอก ผมขอคุณแม่ของเธอมาครับ เธอเขียนทุกอย่างที่อยากบอกผมเอาไว้ในนั้น มันทำให้ผมได้รับรู้ทุกอย่างที่เธอคิด หลายอยางที่ผมอยากตอบเธอครับ แต่ผมทำไม่ได้อีกแล้ว ผมรู้สึกว่าผมนิสัยไม่ดีเลยที่ไหม่ฟังเธอ แต่เธอก็ไม่เคยโกรธผมเลย เธอเขียนไดอารี่ถึงผมทุกหน้า เรื่องนี้ผมน่าจะเห็นด้วยที่เธอจะทำ เรื่องนี้ผมคงไม่ชอบ เธอนึกถึงผมตลอดเวลาครับ ผมดีใจจังที่ได้รู้ แต่ก็เสียใจมากที่เพิ่งรู้

>ตาหัวดื้อ....
>ไม่ว่าจะเมื่อไหร่ก็ตาม
>เธอจะต้องยืดอกอย่างภาคภูมิ
>เดินแกว่งแขนอย่างสง่างาม
>บนเส้นทางสายใหญ่
>ที่ทอดยาวไปถึงสวรรค์
>เราจะไปเจอกันที่นั่นนะ

นี่เป็นข้อความที่เธอเขียนไว้ ผมอยากจะบอกเธอจังเลยครับ ว่าผมจะตามเธอไปที่นั่น ผมอยากไปเจอเธอที่นั่นครับ


Posted by : โดดเดี่ยว , E-mail : (Agony_Kul@hotmail.com) ,
Date : 2005-02-15 , Time : 13:33:04 , From IP : 172.29.2.194


ความคิดเห็นที่ : 3


   พี่คิดว่าตอนนี้อาการแย่ลงกว่าเดิมนะ
น้องซึมเศร้ามากกว่าเดิมหรือเปล่า มีความคิดอยากทำร้ายตัวเองไหม ถ้าไม่ไหว ติดต่อขอพบพี่ด่วนเลยนะ พรุ่งนี้ตอนเที่ยงที่ภาควิชานะ ถ้ายังงัยพี่จะพยายามติดต่อกลับไปค่ะ


Posted by : พี่ลิลลี่ , Date : 2005-02-15 , Time : 19:19:02 , From IP : 172.29.7.56

ความคิดเห็นที่ : 4


   ตอนนี้เป็นงัยแล้วบ้าง อ่านหนังสือสอบได้ไหม นอนหลับดีไหม แล้วเจ้าความคิดที่สับสนเป็นยังงัยบ้าง ส่งข่าวมาหน่อยนะ

Posted by : พี่ลิลลี่ , Date : 2005-02-21 , Time : 00:12:37 , From IP : 172.29.7.172

ความคิดเห็นที่ : 5


   หลาย ๆ อย่างดูดีขึ้นครับ ผมทำตามที่อาจารย์บอกไว้ ผมไปวัดมา 3 ครั้งแล้ว ก็เลยอ่านหนังสือสอบที่วัดเลยครับ มันทำให้ผมลืมไปได้ชั่วครู่ ยอมรับว่ายังมีอาการเศร้าอยู่ครับ แต่พยายามแก้ให้เร็วที่สุดครับ วันนี้ผมเพิ่งสอบวันแรกครับ รู้สึกว่าผลงานไม่ค่อยดีครับ น่าจะทำได้ดีกว่านี้แต่ไม่กังวลอะไรครับ ช่วงนี้ผมฝันเห็นเธอบ้างครับ แต่ไม่ได้คิดถึงจนไม่อยากทำอะไร ผมพยายามเปลี่ยนที่อยู่บ้างครับ เช่น ไปดินเล่น หาที่อ่านหนังสือใหม่ ๆ พยายามไม่ให้ตัวเองรู้สึกแย่ ๆ ครับ วันก่อนผมยังเนอาจารย์ตอนผมไปอ่านหนังสือที่โวคเลยครับ ตอนนี้ทุกอย่างยังทรงตัว ไม่ทรุดครับ ที่ไม่ได้มาส่งข้าวเพราะเร่งอ่านหนังสือครับ เพราะเริ่มอ่านช้ามากเลยครับ สงสัยเกรดคงไม่ได้อย่างที่หวังครับ แต่ไม่เป็นไรครับ ผมคิดว่าผมต้องทำให้ทุกอย่างดีขึ้นได้ครับ ถึงจะใช้เวลาหน่อย แต่ทุกอย่างจะดีขึ้นครับ เธอบอกอย่างนี้กับผมบ่อย ๆ อ่ะครับ
แล้วจะมาส่งข่าวเรื่อย ๆ ครับ


Posted by : โดดเดี่ยว , E-mail : (Agony_Kul@hotmail.com) ,
Date : 2005-02-22 , Time : 18:06:41 , From IP : 172.29.2.149


ความคิดเห็นที่ : 6


   เอ่อ.....อาจารย์ครับ อาจารย์คิดว่าคนที่อยู่เพื่อคนอื่น เป็นสิ่งที่ดีไหมครับ แล้วถ้าคนคนนั้น มีใครอีกคนที่อยู่เพื่อเขาซึ่งไม่ใช่คนที่เขาใฝ่หา เขาจะทำไงดีครับ

Posted by : โดดเดี่ยว , E-mail : (Agony_Kul@hotmail.com) ,
Date : 2005-02-22 , Time : 18:17:45 , From IP : 172.29.2.149


ความคิดเห็นที่ : 7


   การที่เราอยู่เพื่อคนอื่นไม่ใช่เรื่องเสียหายนะ แต่มันน่ากลัวอยู่นิดหน่อย ถ้าเราผูกติดตัวตนของเราไว้กับเขา เพราะมันอาจทำให้เราไม่มีตัวตนที่เป็นของตนเอง ทางที่ดีต้องอยู่เพื่อตนเองด้วย และอาจต้องให้น้ำหนักความรักตนเองด้วยตัวเองมากหน่อยหน่ะ
อีกเรื่อง....
พี่ว่าเป็นการดีนะที่คนเราจะมีคนมารัก และอยากอยู่หรือทำทุกอย่างเพื่อเรา เพราะมันอาจทำให้เรารู้สึกว่าตัวตนเรามีคุณค่างัย แต่แหม เขาเป็นคนที่เราไม่ใฝ่หาเหรอ ยากหน่อยนะ คงจะได้เป็นทุกข์กันอีกหรือเปล่าเนี่ย เพราะพี่ว่าเรื่องแบบนี้มันอาจทำให้บางครั้ง เราจะรู้สึกผิดได้ง่ายว่า เราเอาเปรีบยเขาหรือเปล่าเนี่ย เพราะมันเป็นrelationshipที่unfair หรือไม่เท่าเทียม
แต่พี่ว่าของแบบนี้ เรื่องความสัมพันธ์ มันเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา ตอนนี้มันอาจไม่สมดุลย์กัน แต่อนาคต อาจสมดุลย์ได้จ้า อยู่กับความสัมพันธ์ในปัจจุบัน ไม่ต้องกังวลเรื่องอนาคต น่าจะดีกว่าไหม เน้นนะ ว่า here and now ไว้ก่อนดีกว่าจ้า


Posted by : ลิลลี่ , Date : 2005-02-22 , Time : 20:38:16 , From IP : 172.29.7.198

ความคิดเห็นที่ : 8


   "One may not reach the down
Save by the path of night."

กลางคืนอาจจะยาวนาน แต่ในที่สุดแล้วมันก็จะเช้า
ขอให้ผ่านช่วงนี้ได้เร็วๆ นะ


Posted by : Son of the Dawn , Date : 2005-02-23 , Time : 12:59:18 , From IP : 172.29.4.130

ความคิดเห็นที่ : 9


   ครับ ตอนนี้ผมจะใส่ใจสิ่งที่อยู่ตรงหน้านี้ให้ได้ก่อนครับ เมื่อการสอบคราวนี้ผ่านไป ผมจะพยายามแก้ปัญหาทุกอย่างครับ ในช่วงที่ผ่านมานี้ผมเรียนรู้อะไรมามากเลยครับ หลายอย่างผมรู้มาบ้างแล้วก้อรู้มากขึ้น หลายอย่างเป็นสิ่งที่ได้เรียนรู้ใหม่ โดยเฉพาะ การยอมรับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นมา ตอนนี้ผมยังรับไม่ค่อยได้หรอกครับที่เสียเธอไป ยอมรับไม่ได้ว่าเสียไปแล้ว แต่ผมคิดว่าผมต้องทำได้ อาจารย์ว่าไหมครับ แต่อีกนานเท่าไหร่ผมไม่รู้เลยครับ เมื่อหน้าที่สำคัญผ่านไป ผมคงพยายามเปลี่ยนอะไรหลายอย่างครับ ( นั่นคงอาจหมายถึงช่วงปิดเทอมที่ผมต้องกลับบ้านและเข้ากระดานนี้ไม่ได้ อาจารย์คงไม่รังเกียจถ้าผมจะส่งเมลล์ไปหาโดยตรงเพื่อขอคำปรึกษาในบางเรื่องบ้างครับ) ถึงเวลานั้นผมคงมีเรื่องวุ่นใจไม่น้อยเลยครับ แต่มันยังอีกนานครับ
ขอบคุณสำหรับทุกคำแนะนำเลยครับ ตอนนี้ผมยังทำหน้าที่การสอบได้ครับ ถึงแม้คิดว่าเกรดคงไม่ตามเป้าครับ ^_^


Posted by : โดดเดี่ยว , E-mail : (Agony_Kul@hotmail.com) ,
Date : 2005-02-24 , Time : 13:02:55 , From IP : 172.29.2.175


ความคิดเห็นที่ : 10


   ยินดีด้วยนะ ที่น้องแกร่งขึ้นมาอีกหนจ้านะ เราคงติดต่อทางไหนก็ย่อมได้ไม่ว่ากัน แล้วเจอกันค่ะ

Posted by : ลิลลี่ , Date : 2005-02-24 , Time : 19:02:02 , From IP : 172.29.7.189

ความคิดเห็นที่ : 11


   ขอบคุณพี่ลิลลี่มากครับ

Posted by : โดดเดี่ยว , Date : 2005-02-26 , Time : 01:05:12 , From IP : 172.29.4.239

ความคิดเห็นที่ : 12


   สิ่งดีๆที่เกิดขึ้นล้วนมาจากการเลือกที่จะกระทำสิ่งต่างๆโดยตัวน้องเองหรือเปล่า อีกอย่างพี่คิดว่า มันเป็นการลงแรงด้วยศักยภาพในตัวน้องที่มีทั้งหมดเชียวแหล่ะ ดังนั้นพี่นับว่า ทุกอย่างที่ดีขึ้นมันคงเป็นผลงานของน้องเองล้วนๆเลยนะ
ถ้าถึงทางตันอีก พี่ยินดีที่จะเป็นผู้นำแนวทางผ่าทางตันให้อีกหนนะจ๊ะ


Posted by : พี่ลิลลี่ , Date : 2005-02-26 , Time : 07:29:58 , From IP : 172.29.7.105

ความคิดเห็นที่ : 13


   เป็นกำลังใจให้เสมอ นะ........... จำไว้ว่าอย่างน้อยนายก็มีเพื่อน เพื่อนอย่างเราที่ยังรอคอยเพื่อนที่เริงร่ากลับมาเสมอ ติดต่อกันบ้างนะเฟ้ย.....

Posted by : สุดสวย , Date : 2005-04-25 , Time : 11:25:17 , From IP : 172.29.2.200

ความคิดเห็นที่ : 14


   พี่คงไม่แก่ไปใช่ไหม ที่จะขอเป็นเพื่อนกับน้อง..สุดสวย ด้วย ว่างั้นไหม

Posted by : พี่ลิลลี่ , Date : 2005-04-25 , Time : 19:43:16 , From IP : 172.29.7.111

ความคิดเห็นที่ : 15


   เพื่อนเหมือนจะดีขึ้นแล้ว เลยไม่กลับมาอ่านอีก เลยไม่ทราบว่าพี่ลิลลี่อยากเป็นเพื่อนกับสุดสวย ยินดีมาก ถ้าได้รู้จักกับพี่ลิลลี่มากกว่านี้ สุดสวยคงต้องขอคำแนะนำในการดูแลเพื่อนสุดสวยอีกมากค่ะ ขอบคุณมากค่ะพี่ลิลลี่ (จิตวิทยานี้ยากจังเลย....แงๆๆ)

Posted by : สุดสวย , Date : 2005-08-24 , Time : 22:15:46 , From IP : 172.29.4.124

ความคิดเห็นที่ : 16




   ใครว่าไม่เคยกลับมาอ่านล่ะ กลับมานั่งอ่านใหม่ไม่รู้ตั้งกี่ครั้ง วีรกรรมเที่ยวนี่เจ๋งดี
ก็ที่ทะเลาะกันอยู่เนียะยังไม่เป็นเพื่อนกันอีกเหรอ จะแกล้งให้เข็ดหลาบเลย 555
แหมคนเรามันก็ต้องมีลองใจดูกันบ้างสิ ผ่านครับผ่านแบบทดสอบนี่คุณพี่สอบผ่านฉลุยเลยหล่ะ ผมยอมแพ้แล้ว ทั้งความอดทน ความเอาใจใสในเรื่องราวต่างๆ
แถมลูกตื๊อ ไม่ยอมละความพยายาม ทำผมดื้อต่อไม่ออกเลย
ก็ไม่รู้ว่า ก็ไม่รู้ว่าพี่จะกลับมานั่งอ่านมันอีกหรือเปล่าน่ะนี่ก็อยากรู้เหมือนกัน


Posted by : delpiero , Date : 2006-11-05 , Time : 12:17:27 , From IP : 172.29.4.231

ความคิดเห็นที่ : 17


   การวางหมาก...การเล่นเกมส์...บนความปรารถนาดีของคนอื่น สุดท้ายทุกอย่างจะย้อนกลับมาทำร้ายตัวเราเองนั่นแหละนะ delpiero โดดเดี๋ยว สุดสวย และ....

Posted by : พี่ลิลลี่ , Date : 2006-11-06 , Time : 16:53:26 , From IP : 172.29.7.140

ความคิดเห็นที่ : 18




   แล้วถ้าทุกอย่างที่ผมบอกไปครั้งหนึ่งมันเคยเป็นเรื่องจริงละ มันเกิดขึ้นจริงนี่
แต่ผมก็สามารถกลับมาหายดีเป็นปรกติได้ด้วยตัวเองด้วยความยากลำบากบนลำแข้งตนเอง
และหากความปรารถนาดีที่เป็นพิษเป็นภัยนั้น ผมมีสิทธิ์ที่จะปฏิเสธไหมครับ
ผมก็เสียใจน่ะที่ทำอย่างนั้นกับพี่ โดยเฉพาะกับพี่ลิลลี่และพี่คนเหล็ก ผู้ว่ากานรัดแคลิฟอเนีย แต่ผมมีสิทธิ์ที่จะโยนหินถามทางนี่นา ที่พวกพี่ล่ะวิเคราะห์ผม คิดวิเคราะห์ในสิ่งที่ผมนั้นพูดออกไปอย่างเปิดใจและจริงใจ และตีค่าตีคุณค่ามันตีความหรืออาจจะตีตรามัน มันถูกต้องไหมล่ะยุติธรรมกับผมไหมล่ะ ผมคุยกับพี่ผมไม่เคยตีค่าอะไรใครเลยน่ะหากว่าเขาเป็นยังไงก็เป็นอย่างนั้น และจะไม่ไปบุกรุกเขาไปเปลี่ยนอะไรเขาด้วยให้เขาเป็นในสิ่งที่เขาเป็นเสมอและนั้นก็คือสิ่งที่ผมพอใจเสมอมา


Posted by : delpiero , Date : 2006-11-09 , Time : 20:39:21 , From IP : 172.29.4.137

ความคิดเห็นที่ : 19




   ท่าทางข้อความเราจะถูกเอาไปตีความแบบโรคจิตๆอีกละมั่งเนียะ ผมล่ะหน่ายกับพวกคุณพี่จริงๆ น่าเบื่อจริงเลยแฮะ นี่ตกลงผมจะพูดอะไรที่มันแหวกแนว หาแนวทางใหม่ไม่ได้เลยเหรอ ไปดีกว่าก็เคยคิดว่าชอบจิตเวชอยู่หรอกน่ะ แต่พอดูใกล้เห็นวิธีคิดของที่นี่แล้ว ยึดติดความคิดตัวเองอย่างแรง!!!!! ไม่ไหวไม่ไหว ไปทำอย่างอื่นดีกว่าเรา มาเรียนหมอก็กะจะเข้าจิตเวชแต่ต้นแล้วนะเนียะ แต่เห็นที่นี่แล้วไม่ไหวเลย ผิดหวังอย่างแรง โทษทีน่ะบอกกันไปตรงเลยจะดีกว่าขี้เกียจอ้อมแล้ว หมดกันแรงจูงใจในการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆในตัวจบกันพอดี

Posted by : kasparov , Date : 2006-11-11 , Time : 14:32:46 , From IP : 172.29.4.101

ความคิดเห็นที่ : 20




   นี่ ไม่ตอบต่อแล้วเหรอครับ

Posted by : nigel short , Date : 2006-11-21 , Time : 19:03:12 , From IP : 172.29.4.107

ความคิดเห็นที่ : 21




   จุ๊ๆๆ....
โดนหลอกจนหัวทิ่มหัวตำ......ท่าทางจะเสียหน้ามากสิน่ะเนี๊ยะ
ถึงได้มากระแนะกระแหนกันในคาบเรียนเนียะน่ะ
ทุกอย่าหนะเป็นความคิดของคุณเพ่น่ะครับแยกให้ออกดิ นั้นหนะเป็นการรับรู้ของคุณพี่น่ะ เพ่แปลเอาเองทั้งเพน่ะครับ fix fale believe
รู้จักคำว่าตีหน้าเศร้าเล่าความเท็จไหมครับ

รู้อะไรไหม ใครต่อยผม ผมเอาคืนเสมอ (เป็นการเปรียบเทียบน่ะ)

คุณต่อยผมก่อนตั้งแต่วันแรกที่ผมเหยียบที่นี่แล้วล่ะครับ คุณหยามผมอย่างแรง
อีกอย่างตอนนั้นผมยังไม่ได้เป็นศิษย์คุณนี่ คุณมีสิทธิ์อะไรมาทำอย่างนั้น
และหากผมเป็นศิษย์คุณแล้วจะดุด่าว่ากล่าวอะไรผมก็ได้ทั้งนั้นผมหากว่าผมได้วิเคราะห์แล้วว่าที่ว่ากล่าวนั้นเพราะความหวังดีด้วยความจริงใจของอาจารย์ เพื่อให้ผมได้เดินไปในทางที่ถูกที่ควร เพื่อให้ผมเป็นคนที่ดีขึ้น ผมดูออก เรื่องไหนผมผิดจริงผมไม่ว่าผมพร้อมรับผิดเสมอ เรื่อไหนไม่ใช่ผมสู้ตาย


ลองกลับไปอ่านที่ผมเขียนใหม่ให้ดีๆเถอะน่ะ ทุกกระทู้นั้นแหละ เป็นตาที่ผมสัมภาษณ์คุณบ้าง ตอนนั้นคุณทำกับผมยังไงทำยังกับผมเป็นผู้ต้องหาฆ่าใครตายมายังงั้นแหละ ตี 1 แล้วคุณปล่อยให้พ่อผมนั้งคอยอยู่ข้างล่างนั้น คุณเห็นใบหน้าของพ่อตัวเองที่หมดเรี่ยวแรงที่จะขับรถพาผมกลับบ้านไหม แต่พ่อก็ยังฝืนยิ้มให้ผมบอกว่าไม่เป็นไรเอาใหม่แล้วกันช่างมันเถอะ คุณทำให้แม่ผมกินไม่ได้นอนไม่หลับไปกี่วัน คุณสร้างปมปัญหาที่ไม่มีอยู่จริงให้ผู้อื่น
รู้จักคำว่าเจ็บใจไหม
รู้จักคำว่าแค้นใจไหม
ไม่มีประโยชน์อะไรหรอกที่จะจบไปโดยขาดความนับถือตัวเอง
รู้ไหมทำไมผมยังมาเรียนที่นี่ ผมไม่เดินหนีไปเฉยๆแน่ นั้นมันสิทธิผม คุณไม่มีสิทธิทำกับผมแบบนั้น นั้นมันความคิดบ้าๆของคุณ แล้วโยนให้ผู้อื่นไม่ได้ เวลาคิดอะไรให้ทำกับตัวคุณเองสิไม่ใช้ไปทำใส่คนอื่น ถ้าผมเดินหนีไปเฉยๆเท่ากับผมแพ้แล้ว ผมปล่อยให้ใครมาทำกับพ่อแม่ผมอย่างนั้นไม่ได้หรอกน่ะ
นั้นแหละเหตุผลหละคุณคงสงสัยหาคำตอบไม่ได้ใช่ไหมว่าผมทำแบบนั้นทำไมเพื่ออะไรเหตุจูงใจในการกระทำ ซึ่งผมคุณหาไม่ได้คิดไม่ออกเองก็โยนว่ามันบ้าสะเลยง่ายดีน่ะ (เหอะๆๆ คนเราชอบเหตุผลแคอธิบายเสมอแม้ว่ามันไม่จริงดีกว่าไม่มีเลย )
เวลาเห็นหน้าเนียะเดือดปุดๆเลย โทษทีน่ะครับไม่อยากจะให้เป็นอย่างนี่หรอกน่ะแต่คนมันเป็นของมันอย่างนี่แหละไม่เกลียดคือไม่เกลียดน่ะเกลียดแล้วเกลียดจริง


แล้วก็เลิกงี่เง่ากับผมสักทีผมเบื่อแล้ว ผมอยู่ในห้องเรียนอยากเรียนหนังสือ
โรคซึมเศร้าบ้างล่ะโรคจิตเภทบ้างล่ะ คิดอะไรไม่ออกแล้วเออก็โยนให้พันธุ์กรรมแล้วกันไม่รู้ว่าโรคอะไร 555 อยากจะบ้าตายดูเข้าสิๆ

แล้วสายสืบคุณอ่ะน่ะ งี่เง่ามั้กมาก เป็นเครื่องมือนกต่อในการปั่นหัวคุณได้อย่างดีเลยหล่ะ รู้ตั้งวันแรกที่ 007 คุณเสนอหน้ามาแล้ว มาก็ดีใช่มันสะเลย แต่ก็น่ารักมีน้ำใจดีน่ะ ขอบคุณที่ส่งมาผมชอบเขาน่ะ


Posted by : รู้นี่ว่าใคร , Date : 2007-01-09 , Time : 03:08:29 , From IP : 172.29.4.197

ความคิดเห็นที่ : 22




   ขอโทษและขอบคุณ
คุณ aquarius มากครับ
คือที่จริงมันผิดแผนไปนิดน่ะครับ
คือผมเข้าใจผิดนิดหน่อยเลยดึงคุณมาด้วย
ก็แก้ปัญหาเฉพาะหน้ากันไป
แต่ก็เพราะคุณนั้นแหละทุกอย่างมันดันไปลงตัวของมันพอดี


Posted by : ^_^' , Date : 2007-01-09 , Time : 04:14:49 , From IP : 172.29.4.197

ความคิดเห็นที่ : 23


   ผมคิดว่าผม sense ถึง "อารมณ์" ที่วิ่งพลุ่งพล่านค่อนข้างมาก ถึงแม้ว่าจะเป็น fragments ที่ไม่ค่อยมีที่มาที่ไปก็ตาม แต่ "แรงผลัก" ที่อยู่เบื้องหลังการแสดงออกค่อนข้างจำแนกได้ไม่ยากว่าเป็นอารมณ์

judgemental attitude การฟันธง การสรุป การตัดสิน ฯลฯ เป็นสิ่งที่เราทำอยู่ทุกวี่ทุกวัน เพียงแต่ว่าเมื่อไรก็ตามที่มีโอกาส อาจจะมีประโยชน์ถ้าเราจะลองใช้ "If we were wrong" (หรือแม้แต่ "If we are wrong") มาแทนที่สิ่งที่เราเองคิดว่าใช่ คิดว่าถูก คิดว่าเป็นอย่างนั้น ลองแทนค่าด้วยมุมอื่นๆที่คนอื่นมองเห็นดูบ้าง

การแสดงออกของเรานั้น ตั้งแต่ รุปร่าง หน้าตา เสื้อผ้าการแต่งตัว อากัปกิริยาต่างๆ ลองคิดดูนะครับว่าสิ่งที่ "เรา" มองเห็นตัวเราเอง most of the time นั้น ก็แค่เงาจางๆของจมูกเราเองเท่านั้น ที่เหลือคือ สิ่งที่คนอื่นมองเห็น สัมผัสได้ในตัวเรา ดังนั้น "เรา" ในสังคมนั้น อาจจะต้องอาศัยพึ่งพาการสะท้อนจากคนอื่นมาช่วยในการทำให้เรา "เห็น" ตัวเราจากภายนอกได้ดียิ่งขึ้น

ไม่ว่าเราจะมั่นใจในตัวเองแค่ไหนก็ตาม อาจจะมีประโยชน์ถ้าเราจะทดสอบโดยการลองคิดว่า "ถ้าเราเป็นคนผิด ถ้าสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้น เกิดจากเราเอง ไม่ได้เกิดจากคนอื่น" ลองเปิดโอกาสความเป็นไปได้นั้นดู พิจารณาดูว่า ความเป็นไปได้อันนี้ มันยากเย็นในการเปิดแค่ไหน มันบาดเจ็บขนาดไหน บางทีร่องรอยความพยายามในการเก็บ ไม่เผชิญหน้า หรือปฏิเสธนั้น อาจจะสัมผัสได้โดยคนภายนอกมานานแล้วก็ได้

เรื่องของเรื่องก็คือ เมื่อไรก็ตามที่เรามีความมั่นใจในอะไรบางอย่าง 100% หรือเกือบๆ 100% มีความเป็นไปได้สูงครับที่เรากำลังจะพลาด เพราะสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นในสังคมนั้น มีน้อยมากที่เป็น linear equation ส่วนใหญ่จะเป็น multidimensional matrix ทั้งสิ้น เรื่องราวไม่ได้ตรงไปตรงมาเหมือนการเดินหมากรุกบนกระดาน 64 ตารางแค่นั้น เครือข่ายโยงใยของหมากแต่ละตัวเปรียบเทียบกันไม่ได้กับชีวิตจริง เราอาจจะเกิด delusion ว่าเรา "สามารถ" มองเห็นหมากทุกหมาก มุมทุกมุม ของชีวิตเหมือนกระดานหมากรุก แต่จริงๆแล้วเราเองก็เป็นหมากตัวหนึ่งเหมือนกัน ที่ผู้เล่นนั้นตัวหมากไม่สามารถมองเห็นได้ ตัวม้า ตัวขุน ตัวโคน นั้นไม่ทราบหรอกครับว่าที่มันเดินๆไป มีแรงผลักดันมาจากอีกมิติหนึ่งที่ใหญ่กว่า กว้างกว่า

สิ่งหนึ่งที่อาจจะต้องเริ่มก็คือ ลองคิดดูว่า เป็นไปได้ไหมที่คนที่เราไม่ชอบ อาจจะหวังดีต่อเราก็ได้ สิ่งที่ตำหนิ ดุด่า หรือตักเตือน อาจจะเป็นเพราะต้องการช่วยเหลือเราก็ได้ การที่เรามี fixed idea ตั้งแต่ต้น และความสัมพันธ์ต่อมาสานต่อจากอคตินั้นๆ มันจะบดบังความเป็นไปได้ลงไปอย่างมากมาย

เป็นแพทย์นั้น ต้องมีอารมณ์ที่นิ่งครับ ต้องสามารถมองของอย่างเป็น objective ได้ และประเมินได้อย่าง clear mind, clear conscience ถ้าเรามีอารมณ์ที่วูบวาบ sensitive และเกิด reference อะไรๆก็เป็นเรื่องของตนเอง เป็นไปตาม story line เป็นไปตาม script เหมือนวิดิโอเกมอยู่ตลอดเวลา นั่นไม่ใช่โลกที่แท้จริง แต่เป็นโลก artificial ที่เรากำลัง select to percieve เลือกที่จะมองแค่บางจุดเท่านั้น


Posted by : Aquarius , Date : 2007-01-10 , Time : 09:12:22 , From IP : 172.29.3.231

ความคิดเห็นที่ : 24




   หมากรุกนั้นสอนให้เด็กใช้สติปัญญาแก้ไขปัญหาครับ ไม่ใช้คารมมาแก้ปัญหา คารมนั้นแก้ปัญหาอะไรไม่ได้หรอกครับ มันทำได้เพียงแค่ปัดภาระแค่นั้นเอง
และการเกิด delusion ในการมองเกมของหมากรุกผมเห็นว่ามันยิ่งไม่เป็นจริงและถูกบิดเบือนไปกันใหญ่ครับ แล้วที่ผมคิดน่ะครับในใจผมไม่ได้ปักหลักอะไรหรอกเป็นเพียงการณ์คาดคะเนคาดการณ์ประเมินมันเอา ผมก็ไม่ได้แน่ใจอะไรว่ามันจริงหรือเปล่าหรอกน่ะ ซึ่งมันอาจจะผิดก็ได้
หมากรุกนั้นหลังจากเราจินตนาการสร้างสรรค์เกมบุกหรือว่าวาดภาพกลยุทธในเกมรับแล้วสิ่งที่เป็นจินตนาการเราจะถูกทดสอบหรือถูกนำเอออกมาใช้จริง
เห็นผลจริงทันทีในกระดานครับว่าคิดผิดคิดถูกอย่างไรมองได้ละเอียดแค่ไหน
เกิด delusion นั้นน่าเป็นห่วงกับคนที่ความคิดตนหมกหมุนแต่ไม่รู้ว่ามันจริงแค่ไหนน่ะครับไม่เคยได้ลองใช้เลยมีแต่พูดๆ พูดให้สวยเข้าไว้คำพูดแม้ดูดีบางครั้งตรงข้ามกับความจริงครับ แต่มันทำเราเผลอคิดว่าจริงไปแล้วด้วยความไพเราะของประโยค
ลองคิดดูดีๆสิครับว่าตนเองในได้เดินได้ลองให้ความคิดมันได้ออกสู่โลกความเป็นจริงมากน้อยแค่ไหนคารมในเวบบอดเรานี่ตัดสินกันด้วยความถูกผิดยากครับส่วนใหญ่ก็พลิ้วนอกเรื่องไปเรื่อยหรือไม่ก็เพียงแค่ใครพูดได้ดูดีน่าเชื่อถือกว่า
บางครังหรือหลายครั่งผมก็ขำๆอยู่ในใจเหมือนกันเพราะว่ามันไม่ค่อยจริงและทางปฏิบัติแล้วใช้ไม่ค่อยได้ บางอย่างพิสูจณ์ออกมาให้เห็นได้เป็นรูปธรรมแล้วก็ยังดื้ออยู่
สิ่งที่ผมชื่นชอบชื่นชมเสมอคือการมองมันตามความจริง

ข้อความท่อนข้าล่างนี่มันเหมือน mak up ขึ้นมาจากความคิดยังไงไม่รู้หรือที่เรียกว่าปรุงแต่ง


"เรื่องราวไม่ได้ตรงไปตรงมาเหมือนการเดินหมากรุกบนกระดาน 64 ตารางแค่นั้น เครือข่ายโยงใยของหมากแต่ละตัวเปรียบเทียบกันไม่ได้กับชีวิตจริง เราอาจจะเกิด delusion ว่าเรา "สามารถ" มองเห็นหมากทุกหมาก มุมทุกมุม ของชีวิตเหมือนกระดานหมากรุก"

ความจริงเรียบง่ายครับ มันเรียบง่ายเสมอมา
ชีวิตคนเราแท้จริงเรียบง่ายครับ มันอยู่อย่างเรียบง่ายเสมอมาครับ
แม่ผมบอกผมเสมอครับว่า "ทำชีวิตให้เป็นสมการชั้นเดียวเสมอ"
เพื่อนซี้ที่สุดผมบอกเสมอ "ถ้ามีปัญหาอย่าเอามันมาผูกกัน"
ผมคงไม่ต้องยกคำพูดจากคานธี หรือพุทธทาส หรือนักปราญช์ มาอ้างหรอกครับคำคนใกล้ตัวผมนี่แหละคมพอๆกันแหละ
ส่วนใหญ่แล้วพวกเซียนหมากรุกนั้นเขาไม่ทำชีวิตตัวเองให้ยุ่งยากหรอกครับ
วิถีของพวกเขานั้นเรียบง่ายเสมอ รักสงบ ไม่ใคร่จะชมชอบวิถีที่วุ่นวายนัก ระบบที่วุ่นวายนัก
แต่แสนจะยิ่งใหญ่เหลือเกินในกระดานหมากนั้น

รู้มากไปก็สับสนได้ครับ บางครั้งผมมองมันเป็นเพียงการเอ่ยอ้าง ไม่ค่อยมีหลักอะไรเท่าไหรนัก สิ่งที่โดดเด่นในตัวอาจารย์จริงแล้วเป็นความรอบรู้ต่างหาก

เราวิวัฒนาการมากันไกลเกินไป ตัดขาดจากธรรมชาติเดิมแท้ของตัวเรามากไป
เรานั้นโดนระบบตีตรามากจนเกินไป โดนสัญลักษณ์บดบังเกินไป ความคิดครอบงำเรามากไป


ความหวังดีนั้น ทำไมผมจะไม่รู้ รู้สิ และรู้สึกดีด้วย
เพียงแต่ไม่ชอบความซับซ้อนของความคิดก็เท่านั้น การแปลความหมายต่างๆด้วย ถ้าเราเดินไปเห็นใครสักคนหน้าตาขวางโลกอย่างแรงเราอาจสัมผัสได้ว่าเขาเครียด มีอะไรไม่พอใจไม่สบายใจ แต่อย่าได้ไปใส่เหตุผลให้เขาเพราะว่าแบบนั้นเราคิดจากการอ้างอิงตัวเองนั้นแหละที่ผมไม่ชอบ เราไม่ใช่เขา และเขาก็ไม่ใช่เรา คนสองคนแม้ว่าตกอยู่ในสถานะการณ์เดียวกัน กลับรู้สึกไม่เหมือนกัน คิดก็ไม่เหมือนกัน จะไปคิดแทนคนอื่นไม่ได้ ผมไม่เห็นด้วย ทำได้เพียงแค่เสนอทางที่สร้างสรรค์เท่านั้น
ที่ผมไม่ชอบเพ่คนเหล็ก ก็เพราะการที่ชอบครอบงำคนอื่นนี่แหละ การชอบที่จะได้ contral คนอื่นนี่แหละ ลองถามตัวเองดูว่าลึกๆแล้วจริงหรือป่าว (ลึกแล้วมีปัญหาอะไรรึป่าวถามตัวเองดูมั่งสิ)
แบบนั้นไม่มีใครอยากเข้าใกล้หรอก

ในแง่ theory วงกลมของเขาของเราที่อาจารย์ก็เคยได้ยินลูกเพ่คนเหล็กเคยพูดให้ฟังน่ะครับ มันไม่ใช่แค่การ อินเตอร์เซ็ค หรือการยูเนียนแน่ครับ ความจริงที่เด่นชัดคือมันจะมีการดึงดูดความคิดกันและกันเกิดขึ้นในกลุ่มขึ้นหมายถึงจะมีวงกลมหนึ่งซึ่งจะมีอิทธิพลในการครอบงำวงอื่นๆด้วยเมื่อมาแชร์กันมันมีมากกว่านั้นครับแต่ผมลืมไปแล้วว่าเคยคิดอะไรทิ้งไว้แล้วก็เลยผ่านๆมันไป



"ผู้เล่นนั้นตัวหมากไม่สามารถมองเห็นได้ ตัวม้า ตัวขุน ตัวโคน นั้นไม่ทราบหรอกครับว่าที่มันเดินๆไป มีแรงผลักดันมาจากอีกมิติหนึ่งที่ใหญ่กว่า กว้างกว่า "

ก็จริงน่ะ ดอกไม้จะบาน ห้ามมันได้ไหม
ถึงคร่าที่มันจะโรยรา ห้ามมันได้ไหม

อย่าบอกว่าฉีดฟอร์มะลินน่ะ

หมากรุกสอนให้เด็กใช้จิตนาการในการแก้ปัญหาครับ วิธีการคิดของหมากรุกนั้นไม่ใช่การคิดแบบคณิตศาสตร์ ย้ำว่าไม่ใช่คณิตศาสตร์ ในหมากรุกคณิตใช้น้อยมาก ถ้าจะคิดแบบตัวเลขเราต้องประเมินมันแบบคอมครับ 400ล้านตาเดินต่อวินาที เราไม่ได้คิดแบบนั้นเราคิดแบบนักหมากรุกคนหนึ่งที่เล่นหมากรุกเป็นคิดกัน kasparov ,kramnik ,anand คิดแบบนักหมากรุกคนหนึงคิดกันซึ่งจะคิดได้4-5 position ในหนึ่งวินาที แต่วิธีคิดหรือจิตภาพจินตนาการเราจะเท่ากับการคิดแบบคอม 400ล้านตาเดินครับ มันชัดเจนอยู่แล้วว่าใครฉลาดกว่ากันระหว่างคนกับคอม คอมนั้นมีแค่ปริมาณหรอกครับไม่ใช่คุณภาพ ชนะเราเพราะปริมาณมากว่าเรากี่เท่าตัวกันล่ะครับ


Posted by : dynamic chess , Date : 2007-01-19 , Time : 03:52:04 , From IP : 172.29.4.118

ความคิดเห็นที่ : 25


   ผมเชื่อว่าพวกเราแต่ละคนคงจะมีวิธีการตรวจสอบ "ความจริง" กันไป แล้วแต่ความถนัด ความเชื่อ และประสบการณ์ จากที่ผ่านมาผมไม่คิดว่าผมเน้น "ความไพเราะ" เวลาอภิปราย แต่ใช้อย่างอื่นมากกว่า แต่ก็อีกแหละ ถ้าฝ่ายรับจะรับไปเป็นอย่างไหน เป็นเรื่องที่ควบคุมไม่ได้ จากการที่ผมมีคนบางคนไม่ชอบมากมายนั้น ไม่น่าจะเป็นเพราะเป็นผู้ใช้ความ "ไพเราะ" นำในการสื่อกระมัง? บางที "ตรรกะ" หรือ "ความจริง" ทำร้ายจิตใจที่ไม่ได้เตรียมไว้ก่อนได้ดีกว่าเยอะ

"ผล" ของการปฏิบัติตัว การคิด การพูด การกระทำ ก็จะออกมาเป็น personality ออกมาเป็นผลงาน ออกมาเป็นงาน เรามักจะเห็นชัดมากที่สุดก็งานของเรา การที่เราจะ "เห็น" หรือ "ไม่เห็น" งานคนอื่นนั้น เป็นสิ่งที่ยากขึ้นเยอะครับ ว่าคนอื่นนำไปใช้หรือไม่ใช้จริงจังแค่ไหน

ลูกเต๋าลูกหนึ่งวางอยู่บนพื้น ถ้าเรายืนกันคนละฝั่งก็จะเห็นตัวเลขไม่ตรงกัน เดินรอบๆดู ก็ยังไม่เห็นด้านที่วางอยู่บนพื้น การมองอะไรที่ oversimplified นั้น เรากำลังใช้อคติ ใช้ประสบการณ์เก่า ใช้เจตคติมุมมองที่เรามีอยู่ก่อนแล้ว ถ้าเรายังไม่ได้สำรวจให้รอบจริงๆ เราก็คงอ่านลูกเต๋าเป็นเลขสี่ เลขห้า เลขหก แต่มองไม่เห็นด้านที่เหลือ (อันนี้ไม่ได้อ้างของใครครับ)

ตอนเราเล่นหมากรุกนั้น เกือบจะเหมือน play god เรามีอภิสิทธิ์ที่มองเห็นกองทัพ rook ห่างออกไป 8 ช่อง เห็นกองทัพ knight ห่างออกไป 6 ช่อง มองเห็นปฏิสัมพันธ์ต่างๆมากมาย ถ้าชีวิตเรา "ง่ายแบบนั้น" ก็คงไม่มีปัญหา แต่บางทีเราไม่สามารถมองข้ามตัว Bishop ข้างหน้า หรือ Queen ข้างๆ ไปได้ว่าข้างหลังเกิดอะไรขึ้นอยู่

เช่นกันครับ บางทีปัญหาที่เรามีอยู่ข้างหน้านั้น เปรียบเสมือนตัวหมากรุกเบื้องหน้าเรา โลกนี้มีแค่อุปสรรคนี้เท่านั้น ถ้าเราฆ่ามัน ฟันมัน ก็น่าจะ OK แต่ชีวิตกว่าจะดำเนินมาถึงตรงนั้นได้ มันซับซ้อนกว่าที่ตัวหมากตัวใดตัวหนึ่งจินตนาการออก ดังนั้นหมากบางตัวใกล้จะตายแล้วยังไม่รู้ตัว ถูกกินไปก็ยังไม่ทราบด้วยซ้ำ

เมื่อไหร่ก็ตามที่เราครองสติ มีสติ คิดไตร่ตรองให้ช้าลง ให้ละเอียดขึ้น เราจะ "เห็น" อะไรๆได้กว้างกว่าเดิม มีความสุข จิตใจสงบลงกว่าเดิม

ลองไตร่ตรองว่า ณ ขณะนี้เรามีอารมณ์โกรธ เกลียด อิจฉา ริษยา โมหะ อยู่บ้างหรือไม่ จากความคิด จากคำพูด จากการแสดงออก ลองพิจารณาสิ่งเหล่านี้ด้วยตนเอง ถ้าอารมณ์เหล่านี้ยังพลุ่งพล่าน ความสัมพันธ์ในตนเองยังไม่สมดุล ก็จะออกมาเป็นความสัมพันธ์กับโลกภายนอกที่ร่อแร่ ไม่สามารถจะ orientate หน้าที่ การงาน ลำดับความสำคัญของกิจต่างๆในชีวิตได้

การทำอย่างที่ว่าต้องทำจริงๆแน่นอนครับ เห็นด้วย สิ่งที่เกิดขึ้นก็จะเกิดอยู่ภายในใบหน้า ใต้กระโหลกศีรษะ ที่มีแต่ตัวเราเท่านั้นจะทราบว่าใจเราสงบมากน้อยแค่ไหน เราคงจะไม่ไปเสียเวลาคาดเดาคนอื่นหรอกครับว่าเขาคิดยังไง ทำยังไง มีผลแค่ไหน เอาตัวเราให้ดี ว่างๆก็ขอยืมกระจกรอบๆข้างมาช่วยส่องตนเองว่าเรา OK ไหม เราทราบไหมว่าหน้าที่ของเราคืออะไร พ่อแม่หวังอะไรต่อตัวเรา และเราได้กำลังทำให้ความหวังอันนั้นมันริบหรี่ลงหรือใกล้ความจริงมากขึ้น ครอบครัว เพื่อน สิ่งแวดล้อมหวังอะไรจากตัวเรา และตัวเรากำลังทำอะไรอยู่ อะไรมีความสำคัญก่อนหรือหลังแค่ไหน

แบบไทยๆเรานั้น เรามี "ความกตัญญูเป็นเครื่องหมายแห่งคนดี" ลองสำรวจจิตใจของเราดูว่า แว่บแรกที่เราได้ยินประโยคนี้ เรา "รู้สึก" อย่างไร หลังจากนั้นหน่วงให้ช้าลง ตรวจสอบดูอีกทีว่าเราควรจะมีความกตัญญูต่อใครบ้าง และเราได้ทำอะไรไปบ้าง ที่เรามาอยู่ในคณะฯนี้ ในมหาวิทยาลัยนี้ เราเป็น "หนี้" ใครอยู่บ้าง และน่าจะกำลังทำอะไรสักอย่างไหม ที่จะทำให้หนี้นี้ได้ถูกชดใช้ไปอย่างดีที่สุด

เวลาเรา "บอกตัวเอง" ว่าเรากำลัง "สร้างสรรค์" นั้น อาจจะต้องใช้คนอื่นมาช่วยสะท้อนด้วยครับว่า สร้างสรรค์ที่ว่านั้น จริงมากน้อยแค่ไหน งานที่ควรจะสำเร็จในเวลาเท่านี้ๆ เราใช้เวลาแค่ไหนจึงสำเร็จ และสำเร็จอย่างดี หรือทุลักทุเล กระเสือกกระสนพอผ่านไปได้ เรามี "ความภาคภูมิใจ" ที่จะมองกลับไปในชีวิตที่เราใช้ผ่านมา เมื่ออาทิตย์ที่แล้ว เมือเดือนที่แล้ว เมื่อปีที่แล้ว เมื่อ 4-5 ปีที่แล้ว อย่างไร? รู้สึกอิ่มอกอิ่มใจ รู้สึกว่าน่าพอใจ เอาไปเล่าให้พ่อแม่ฟังแล้วท่านจะภาคภูมิใจในตัวเรา สิ่งเหล่านี้พอเรามองย้อนไปก็จะกลายเป็นกำลังใจ เป็นเครื่องยืนยันว่าเราได้ "สร้างสรรค์" อะไรมาหลายอย่างเหมือนกัน

David Bohm และกฤษณมูรติ มีความเห็นตรงกันว่าปัญหาในโลกนี้นั้น แก้เท่าไร ก็ยุ่งเหยิง เพราะเราพยายาม analyze คือ "แยก แยก แตก วิเคราะห์" หั่นออกเป็นท่อนๆ แก้ที่ละท่อน เราไม่ได้พยายามแก้เป็น "องค์รวม" ทีนี้ถ้าเรื่องราวเป็นองค์รวม เราไปแก้เป็นท่อนๆ เราก็จะแก้เฉพาะท่อนที่มองเห็น ปัญหาปลิ้นทะลักไปท่อนอื่นเรามองไม่เห็น เพราะเราคิดว่ามันไม่เกี่ยวกัน ลองใคร่ครวญว่า "มันไม่เกี่ยวกันจริงหรือ?" ปัญหาที่เรามีนั้น เป็นไปได้ไหมว่าเกิดจากเราไม่เคยเชื่อคำตักเตือน คำแนะนำของคนอื่นเลย เราฉลาดที่สุด เก่งที่สุด รู้รอบที่สุด

แต่ทำไมเรายังมีปัญหา?

แต่ทำไมเรายังทุกข์?

เรายังมีปัญหาในด้าน relationship กับคนอื่นอยู่?

หวังว่าความฉลาดนั้น หมายถึง wisdom ไม่ใช่หมายถึง cleverness นะครับ skill ที่เราใช้ตอนเล่าหมากรุกนั้น บางอย่างจะมีประโยชน์มากถ้านำมาดัดแปลงในบริบทชีวิตจริง (ดัดแปลงก่อนนะครับ เพราะมัน "ไม่เหมือนกัน")



Posted by : Aquarius , Date : 2007-01-19 , Time : 15:09:49 , From IP : 172.29.3.231

ความคิดเห็นที่ : 26


   จริงๆส่วนหนึ่งเพราะผมไม่เข้าใจคำตักเตือนน่ะสิครับ
ผมฟังและตั้งใจฟังแต่ผมไม่เข้าใจ
เพราะสุดท้ายผมก็จะกลับไปบ้าบอของผมตามเดิม
ส่วนใหญ่ผมไม่ค่อยเข้าใจในสิ่งที่ผมไม่ได้ลงไปลุยกับตัวเองเท่าไหรนัก
แต่ถ้าผมได้ลองโยนตัวเองเข้าไปในเหตุการณ์นั้นจึงจะพอมีความเข้าใจกลับมาบ้าง
ถ้าตัวผมเองไม่ได้โดนเตะให้ลงไปอยู่ในเหตุการณ์แล้วค่อยเอาตัวกระเสือกกระสนให้รอดกลับมาแล้วผมจะไม่ค่อยได้เรียนรู้อะไรสักเท่าไหร่หรอกครับส่วนใหญ่มันเข้าหูซ้ายทะลุหูขวา
เพื่อนผมมันเคยบอกผมว่าพวกเรานั้นเป็นพวก skill (คือมันก็แบ่งตามเกมที่มันเล่นนั้นแหละ) การเรียนรู้ของพวกเราจึงไม่ค่อยเหมือนนักเรียนทั่วๆที่เข้ามาในมหาลัย
เราจึงไม่ค่อยถูกโรคกับห้องเรียนนัก
ในเรื่องการฟังนั้นน่ะมีคนพูดกับผมไม่รู้ตั้งเท่าไหร่แล้วล่ะครับเรื่องให้เชื่อฟังคำตักเตือนของผู้อื่นบ้าง แม่ผมนี่แหละพูดมากสุดแล้วในเรื่องนี่ แต่ไม่ค่อยจะมีใครที่เข้าใจผมจริงๆ ผมฟังไม่เข้าใจ ยิ่งฟังมาผมยิ่งสงสัย ยิ่งงง
สิ่งที่ผมไม่เข้าใจตลอดมาเลยคือทำไมเด็กบางคนเวลาใครสอนอะไรแล้วมันรู้เรื่องเข้าใจไปหมดน่ะ ผมไม่เห็นเคยเข้าใจอะไรกับเขาเลย


Posted by : งง , Date : 2007-01-20 , Time : 01:32:47 , From IP : 172.29.4.244

ความคิดเห็นที่ : 27


   เคยมีคนถามกฤษณมูรติว่า เขาควรจะวางแผนทำอะไรบ้าง หรือควรจะคิดจะทำอะไรบ้าง กฤษณมูรติบอกว่า "อย่าวางแผน อย่าคิด จงทำเลย"

เรื่องบางเรื่อง อุปสรรคเพียงอย่างเดียวคือ "เราคิดว่าเราทำไม่ได้ เราคิดว่าต้องมีเงื่อนไขอะไรก่อนถึงจะทำ"

เคยมีคนพูดว่า เด็กไทยเรียน PBL ไม่ได้หรอก เราไม่ mature ขนาดนั้น เราต้องเรียนแบบมีคนป้อน จริงๆคำว่า "เด้กไทย" ที่คนๆนี้ใช้นั้นหมายถึง "ตัวเขาเอง" เพียงแต่ใช้คำ generalize ออกไปเท่านั้น

อาจารย์ธาดา ยิบอินซอย เคยตั้งคำถามในห้องบรรยายตอนหนึ่งในชั่วโมง health promotion ว่า "ทำไมนักศึกษามหาวิทยาลัยจึงไม่ใส่หมวกกันน็อก?" คำตอบมีตั้งแต่เพราะไม่ทราบ ไม่รู้ เพราะมหาวิทยาลัยออกกฏไม่ดี เพราะไม่มียามเพียงพอที่จะ reinforce กฏ ฯลฯ อาจารย์เฉลยว่าจริงๆเพราะ "นักศึกษาไม่ทำเอง"

ผมคิดว่าคำตอบว่าทำไมคุณถึงไม่เชื่อคำตักเตือนนั้น ได้แสดงออกมาแล้วในสิ่งที่เขียนมาครับ นั่นคือมุมมอง เจตคติ ต่อคนที่เตือน ต่อคำที่เตือน ทั้งหมดที่ได้พรรณนาความรู้สึกมานั่นแหละครับ

ถ้าเรา "รู้สึก" หรือ "มีอคติ" ว่าคนเตือนเป้นคนที่ไม่หวังดีต่อเรา ต้องการกลั่นแกล้งเราตั้งแต่ยุคไหนๆ ตั้งแต่ยังไม่เจอหน้า เกลียดเรา คอยเอาแต่ประชดประชันเรา มีเรื่องแบบนี่ผลักดันอยู่ภายใน มีหรือที่เราจะมีวันอนุญาตให้ตัวเรา "เปิดใจรับฟัง" คำเตือนอะไรได้

เรามีความ respect ต่อคนเตือนมากน้อยแค่ไหน ก็มีผลต่อเจตคติ มุมมอง ต่อคำพูด หรือความเห็นของคนๆนั้นโดยปริยาย ปกติเราจะตั้งฉายาคนที่เรามีความเคารพนับถือไหมครับ? การที่เราถอดความสัมพันธ์ที่มี respect กันออก เปลี่ยนเป็นชื่อเล่น ชื่อล้อเลียน การเลือกใช้ภา ใช้คำพูดแบบหนึ่งๆก็จะ สะท้อน ให้เห็นถึงเรารู้สึกหรือคิดว่าความสัมพันธ์ระหว่างเรากับคนๆนั้นเป็นยังไง เป็นแค่เพื่อน เป็นแค่เล่นๆ เป็นศัตรู เป็นคนที่เม่รู้อะไร ไม่มีอะไรที่เราต้องเคารพนับถือ แล้วเป็นอย่างนี้ เราจะเชื่ออะไรได้ตราบใดที่ยังมี barrier อย่างนี้อยู่?

วัยรุ่นเป็นวัยที่คิดว่าตนเองนั้น unique มากๆ เพราะเริ่มมี autonomy คิดว่าเราไม่เหมือนใคร ประสบการณ์ของเรานั้นพิศดาร ความฉลาด ความรอบรู้ของเรานั้นเหลือเฟือ สิ่งเหล่านี้ก็เป็นอุปสรรคที่จะไปเชื่อคำเตือน คำสอนอะไรก้ไม่รู้จากคนที่เราคิดว่าไม่รู้เรื่องอะไร ฉลาดเท่าเราก็ไม่ได้ โบราณล้าสมัย

บางทีถ้าเราสามารถค้นหา internal barrier เหล่านี้ได้ ปรับได้ (และยอมปรับ) ที่ที่เราเคยคิดว่าทำไม่ได้ ไม่ใช่ style เรา ไม่ใช่แบบเรา ก้อาจจะเปลี่ยนแปลงไป การเปลี่ยนแปลงแบบนี้ บางคนเรียกว่า "การเป็นผู้ใหญ่" หลุดพ้นจากวัยที่หมกมุ่นกับตัวเองไปได้ เปืดรับโลกกว้าง ให้คุณค่าต่อ "ประสบการณ์"


Posted by : Aquarius , Date : 2007-01-20 , Time : 17:12:47 , From IP : 124.157.218.195

ความคิดเห็นที่ : 28


   เรื่องชื่อคนเหล็ก คุณแปลผิดไปน่ะ และกรุณาอย่าคิดแทนผม เพราะผมอาจไม่ได้คิดอย่างที่คุณคิด
ที่เลี่ยงไม่เรียกตรงๆแต่อ้อมๆเพราะถ้าใครผ่านมาอ่านเจอคนที่เรากล่าวอ้างด้วยจะเสียหายได้ แต่ถ้าเรียกแบบนี่จะไม่มีคนรู้ว่าใคร ก็จะไม่เสียหาย อีกอย่างเรื่องนี่อยากให้รู้แค่วงในแค่นั้นผมอยากให้รู้แค่คนไม่กี่คนไม่ใช่เอาเรื่องผมไปเที่ยวเล่าให้ใครต่อใครฟัง รู้ไหมไม่ว่าใครเล่าอะไรให้ผมฟังเกี่ยวกับตัวเขานั้นผมไม่เคยเลยสักครั้งที่จะเอาไปเล่าต่อให้คนอื่นฟัง

ที่จริงแล้วผมชอบเขาน่ะและผมรู้มาตลอดแต่ผมโกรธที่เอาเรื่องผมไปเล่าให้คนอื่นฟังผมไม่ชอบเลย ในตอนนั้นผมอยากคุยกับเขาอยากให้เขารับรู้เรื่องนี่ของผม คนที่ผมอยากให้รู้และอยากปรึกษาด้วยคือเขาไม่ใช่คนอื่น แต่ดันเอาเรื่องผมไปเล่าให้คนอื่นฟัง ผมก็ไม่รู้ว่าจะพูดยังไงแล้วล่ะ และผมก็รู้ด้วยว่าเขาไปทำแบบนี่กับคนอื่นมาเยอะแล้วด้วย ผมรับไม่ได้เลย บอกตรงๆตอนนี่ผมไม่ไว้ใจเลยสักนิด แต่ก็ไม่รู้จะไปหาใครไม่รู้จะไปปรึกษาใคร พอไปปรึกษากับพี่ ]b]]uj กลับแป้นแปลเอาเองน่ะครับ EN---->TH ก็เข้ารูปเดิมอีก บอกสิจะให้ผมไปหาใคร ถ้าหากผมไปหาคนอื่นส่วนก็จะแค่บอกว่าเราควรทำไงทำอะไร ซึ้งจริงๆแล้วมันไม่ใช่สิ่งที่ผมต้องการหา ผมรู้ ไม่ใช่ไม่รู้ว่าตัวเองต้องทำอะไร ผมไม่รู้ว่าตัวเองติดอะไรอยู่ ตัวผมเองนั้นติดขัดอะไรสักอย่าง เป็นอะไรสักอย่างเหมือนว่ามันทำให้ผมขาดความมั่นใจในตัวเองไป อย่าเพิ่งคิดว่าผมบ้าน่ะ ผมแค่ติดขัดกับอะไรสักอย่างหนึ่ง เรื่องราวที่ผ่าน หรือความคิดที่เป็นอยู่ มันต้องมีอะไรสักอย่างแน่ ผมหาไม่เจอ
มีอยู่ช่วงหนึ่งน่ะนี่เรื่องจริง ที่ผมเปิดกว้างผมรู้ว่าตัวเองเปิดกว้างมากตอนนั้น แต่ผมรู้สึกเจ็บปวด ผมไม่รู้ว่าทำไม แต่มันดีที่ผมผ่อนคลายไม่มีความกังวล ผมเข้าใจอะไรหลายสิ่งได้มาก ผมรับรู้ได้มากมาย รู้สึกเหมือนเป็นตัวของตัวเอง มีความเชื่อมั่น แต่มันเจ็บปวดมากในบางเวลา บางครั้งเจ็บจนสติผมชาไปเลย มันชาและเจ็บ ไร้เรี่ยวแรง เหมือนจะพุบลงไปกองกับพื้น แต่พอผมเริ่มจะปิดกั้นพยายามหมกมุนอยู่แต่กับความคิดมันค่อยๆไหยไป
รู้มั้ยทำไมผมถึงมาหมกหมุนอยู่กับหมากรุกครับเพราะมันเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้อาการเหล่านั้นบรรเทาลงไป ผมไม่เคยเป็นแบบนี่มาก่อนเลย ตอนผมอยู่บ้านผมไม่เคยเป็นเลย เพิ่งมาเป็นก็ตอนมาอยู่ที่นี่แหละ
อย่าบอกใครผมไม่อยากให้ใครรู้ครับ


Posted by : jotaro , Date : 2007-01-21 , Time : 02:14:39 , From IP : 172.29.4.137

ความคิดเห็นที่ : 29


   การเป็นผู้ใหญ่ นี่ถึงเวลาที่ผมต้องเป็นผู้ใหญ่แล้วเหรอเนียะ
หรือว่าจิตใจที่มันเปลี่ยนแปลงไป สิ่งที่มันสับสน เป็นเพราะว่าผมเริ่มเข้าสู่การเป็นผู้ใหญ่
การตระหนักในหน้าที่และความรับผิดชอบ ผมกำลังก้าวเข้าสู่ส่วนหนึ่งของการเป็นคนในสังคมและความรับผิดชอบในสังคม การมีส่วนร่วมในสังคม


Posted by : jotaro , Date : 2007-01-21 , Time : 03:30:51 , From IP : 172.29.4.137

ความคิดเห็นที่ : 30


   ใช่แล้ว
ผมไม่ใช่เด็กแล้ว
ผมเป็นผู้ใหญ่แล้ว
ผมมีหน้าที่และความรับผิดชอบ
แยกให้ออกว่าเวลาไหนคือหน้าที่และความรับผิดชอบ
เวลาไหนคือเวลาส่วนตัว
เรื่องไหนเป็นหน้าที่และความรับผิดชอบของเราที่มีต่อสังคม
เรื่องไหนคือเรื่องส่วนตัว


Posted by : j , Date : 2007-01-21 , Time : 03:58:20 , From IP : 172.29.4.137

ความคิดเห็นที่ : 31


   ผมยังสื่อสารได้ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ มีทั้งตกหล่นและเบี่ยงเบนจากที่ตั้งใจ ขอเอาใหม่นะครับ

1. ที่ได้ "ขอให้ทำ" คือ ลองสะท้อนตนเองครับ ผมได้ให้ตัวอย่างการสะท้อน การรับรู้จากภายนอกไปให้ แต่ลองสะท้อนตนเองว่าอะไรคืออะไร อย่างช้าๆ อย่ารีบร้อน รู้สึกอย่างไรเป็นความรู้สึกของเราเอง ลองฟังเสียง "สะท้อน" ว่าที่เราแสดงออกนั้น คนรอบข้างจะรับรู้อย่างไรได้บ้าง

ผมเคยเขียนบทความเรื่องการใช้นามแฝงไว้ครั้งหนึ่ง นานมากแล้ว โดยสรุปก็คือ ทำยังไงก็ได้ครับ ขออย่างเดียวอย่าได้ใช้นามแฝงเพื่อที่จะทำอะไรที่เราปกติจะไม่ทำในชื่อจริงเพราะเราทราบว่าเป็นเรื่องไม่ดี ไม่ควรทำ ผิดกฏหมาย ผิดจริยธรรม เพราะว่าการใช้นามแฝงนั้น คล้ายเป็นเป็นการปลดปล่อย identity และสายตาของ superego ไป subconscious หรือตัวตนระดับ Id จะออกมาได้ ไร้ควบคุม ขออนุญาตยกตัวอย่างนะครับ

ลองพยายามตั้งนามแฝงให้คนที่เรารัก เคารพ นับถือดู เช่น พ่อ แม่ ครู อาจารย์ที่เราเคารพ มหาตมคานธี แม่ชีเทเรซา พระพุทธเจ้า ในหลวง ต่อให้เราใช้นามแฝง แต่ด้วยความสัมพันธ์ ความเคารพ นับถือ สิ่งเหล่านี้จะออกมาในนามแฝงนั้นๆเสมอ เราจะหลีกเลี่ยงคำที่จะดูหมิ่น ลดศักดิ์ศรี เปลี่ยนความสัมพันธ์ ฯลฯ ไปโดยไม่รู้ตัว เพราะ relationship ส่วนตัวนั้นลบยาก แต่ในทำนองกลับกัน ก็เช่นกัน ความไร้ความเคารพ การขาดความนับถือ ความโกรธ ความเกลียด ก็จะออกมากับคำที่เราเลือกจะใช้ได้เหมือนกัน

อีกประการ ถ้าเจตนาคือการปกปิด identity แล้ว ปกติเราจะไม่บอกวิธี decode ลงไปด้วยครับ และการปกปิด identity ที่คนประมาณ 200-300 คนจะรู้ว่าพูดถึงใคร ก้ไม่ค่อยเป็นการปกปิดสักเท่าไหร่ จิรงไหมครับ เราอาจจะต้องลองตรวจสอบว่า ที่เราทำกึ่งปกปิด กึ่งเปิดเผยนั้น เป้นการแสดงออกหรือไม่กับ "คนใน" ที่คุณว่า ว่าฉันอยากจะพูดยังนี้ คิดอย่างนี้ กับคนๆนี้แหละ จะทำไม มีอะไรรึเปล่าลองคิดดูดีๆว่าที่เราบอกว่าเรื่องเราไม่อยากให้ใครรู้นั้น แต่สิ่งที่แสดงออกมาบนกระดานสาธารณะนี้ มี clue หรือมีอะไรที่จะทำให้คนส่วนใหญ่เดาได้ไม่ยากหรือไม่ว่าเราเป็นใคร? สัญลักษณ์อะไรที่เรามช้เป็นส่วนใหญ่? และเราได้ express สัญลักษณเหล่านั้นในที่เปิดเผยหรือไม่? อย่างไร?

ลองพิจารณาดูครับ ค่อยๆคิด ค่อยๆนึก

ลองทบทวนส่วนที่แสดง "ความรู้สึก" ของคนที่คุณ refer ถึง และกำลังบอกว่าชอบทีหลังนี่ดูดีๆครับ ปกติเราจะไม่บรรยายคนที่เรานับถือว่าเป็นคนที่จงใจทำร้ายเรา จงใจกลั่นแกล้ง ทำร้ายบิดามารดาเรา เป็นคนที่ประชดประชัน เป็นคนที่เราจงใจหลอก จงใจปั่นหัว หรอกครับ เวลาที่เราอยู่ใน virtual world มันเป็นอย่างนี้แหละครับ คือ อะไรๆที่ถูก suppress ในโลกธรรมดา มันจะปลิ้นทะลักออกมาโดยไม่รู้ตัว หลังจากที่ได้บรรยายอย่างนั้นไปแล้ว น้ำหนักที่จะเปลี่ยนเป็นอีกแบบมันก็จะยาก หรือทำให้ข้อมูลทั้งสองด้านไม่สอดคล้อง ไม่ทราบว่าเรื่องไหนๆเป็นเรื่องจริงอีกต่อไป เราก็อาจจะเผลอ discredit สิ่งที่เราพูด เราทำ ไปเองโดยไม่รู้ตัว

2. ผมได้พูดถึง "การเปลี่ยนแปลงเป็นผู้ใหญ่" นั้น เป็นแบบ condition ครับ คือคนที่สามารถให้ความสำคัญของ "ประสบการณ์" ได้ และข้อสำคัญที่เคยเน้นเสมอๆก็คือ "sense of responsibility และ accoutability" ยังไม่ได้ประเมินว่าใครมีหรือไม่มี แต่ลองตรวจสอบตนเองได้ไม่ยากครับว่า เรามี responsibility หรือไม่

ผมคาดหวังว่านักศึกษาแพทย์นั้น รู้อยูแก่ใจว่าเรา "ต้อง" เป็นผู้ใหญ่ครับ คงเป็นเรื่องน่าประหลาดใจ (ถ้าไม่นับตกใจ หรือน่าเศร้าใจ) ที่จะมีนักศึกาที่กำลังจะเป็นแพทย์เต็มตัวในอีกไม่กี่วันนี้ คิดว่าตนเองเป็นเด็กอยู่ หรือถึงไม่ได้คิดว่าตนเองเป็นเด็ก แต่ยังไม่มีความสามรรถจัดลำดับความสำคัญของชีวิตขณะนี้ได้ว่า อะไรคือ priority ตอนที่เรามีโอกาส และมี หน้าที่ แสวงหาความรู้เพื่อจะไปรักา รับผิดชอบชีวิตคนอีกเป็นจำนวนมากนั้น เราได้ให้ความสำคัญเรื่องแบบนี้อยู่สักกี่มากน้อย หรือว่าเรามัวแต่ให้ความสำคัญกับตนเองมากกว่า? เราควรจะไตร่ตรองคำตักเตือนให้ทำงาน ให้เรียน ให้ความสำคัญเรื่องหน้าที่ ไม่ใช่หวาดระแวงว่าครูอาจารย์เกลี่ยดเราตั้งแต่ย่างก้าวแรกที่เข้ามาในมหาวิทยาลัยหรือไม่?

ถ้าเรารู้สึกว่าต้องการความช่วยเหลือ เพราะไม่สามารถทำสมาธิในการเรียนต่อไปได้ คนที่มี insight ดี ก็จะปรึกาขอความช่วยเหลือครับ อาการง่ายๆ เช่น เศร้าซึม terminal insomnia หรือ insomnia หรือ idea of reference หรือ paranoid ต่างๆเหล่านี้ ไม่ยากที่จะประเมินเอง Insight เป็นเรื่องสำคัญ ถ้าเราคิดว และทราบ ว่าเรามีปัญหา และเรามองไม่เห็นทางแก้ อย่ามัวปรึกษาเพื่อนอยู่เลยครับ หาคนที่ qualified มาช่วยจะดีกว่า


Posted by : Aquarius , Date : 2007-01-21 , Time : 22:04:19 , From IP : 222.123.96.110

ความคิดเห็นที่ : 32


   ไร้สาระครับ
สิ่งที่ครอบตัวคุณไว้ไม่จำเป็นต้องนำเอามาครอบผมนี่
งั้นสื่อให้ฟังไหมน่ะผมเกลียดใครก็ตามที่จะมาครอบงำความคิดผม
ในวันแรกที่สัมภาษณ์คนเหล็กช่วยผมหมายถึงอยู่ข้างผมผมรู้ไม่ใช่ไม่รู้
แต่ผมไม่ชอบตอนหลังที่มาเล่นลูกเล่นกับผมก็แค่นั้น
ส่วนคุณเลิกแปลความมั่วๆดีกว่าคุณไม่รู้อะไรเลยไม่รู้เบื้องหน้าเบื้องหลัง
ผมว่าคุณน่ะมีปัญหาเรื่องกับรับสื่อมากกว่าตรงชอบจูนเรื่องเอาเองคิดเพ้อเจ้อเองแล้วมันจริงแค่ไหนคุณน่ะแหละตัวดีชอบสร้างโลก "artificial ที่เรากำลัง select to percieve เลือกที่จะมองแค่บางจุดเท่านั้น " นี่คำพูดคุณไง แต่แย่น่ะไม่ทำกับตัวเองแต่ทำกับคนอื่น
ลองแปลอีกสิชักสนุกขึ้นมานิดๆแล้วเอาอีกสิลองแปลออกมาอีก แสดงความเพ้อเจ้ออีกสิ

ไม่ต้องห่วงหรอกน่ะ ผมจบไปก็คงไม่เป็นหมอหรอก

มาดูความฟุ้งซ่านของคุณต่อดีกว่า คุณไม่รู้ตัวเลยเหรอว่าความคิดพวกนั้นของคุณน่ะมันกดทับตัวคุณอยู่ นั้นแหละโลกที่คุณอยู่หละโลก artificial ของคุณไงล่ะ มันเป็นเกราะชั้นดีให้คุณเลยหละ ส่วนผมทำในสิ่งที่ผมต้องการจะทำเสมอเพราะนี่มันชีวิตผม ผมมีชีวิตของผมเอง ผมไม่ยอมให้อะไรมากดทับชีวิตผมหรอก ผมมีความต้องการของผมเองและไม่ยอมแลกมันกับอะไรทั้งนั้น



Posted by : dynamic , Date : 2007-01-22 , Time : 16:39:33 , From IP : 172.29.4.92

ความคิดเห็นที่ : 33


   เมื่อชีวิตและความต้องการของตัวเองถูกพรากจากไปนั้นแหละคือความเจ็บปวด
มั่วซั่วจังเลย ผมคิดผิดน่ะผมประเมินคุณสูงเกินไป คุณมันแค่คนที่เติบโตมาโดยใช้ชีวิตในรูปแบบของคนอื่น ดูความคิดคุณสิไม่เห็นจะเป็นตัวของตัวเองเลยสักนิด


Posted by : เซ็ง , Date : 2007-01-22 , Time : 16:46:56 , From IP : 172.29.4.92

ความคิดเห็นที่ : 34


   เมื่อชีวิตและความต้องการของตัวเองถูกพรากจากไปนั้นแหละคือความเจ็บปวด
มั่วซั่วจังเลย ผมคิดผิดน่ะผมประเมินคุณสูงเกินไป คุณมันแค่คนที่เติบโตมาโดยใช้ชีวิตในรูปแบบของคนอื่น ดูความคิดคุณสิไม่เห็นจะเป็นตัวของตัวเองเลยสักนิด


Posted by : เซ็ง , Date : 2007-01-22 , Time : 16:47:02 , From IP : 172.29.4.92

ความคิดเห็นที่ : 35


   เมื่อชีวิตและความต้องการของตัวเองถูกพรากจากไปนั้นแหละคือความเจ็บปวด
มั่วซั่วจังเลย ผมคิดผิดน่ะผมประเมินคุณสูงเกินไป คุณมันแค่คนที่เติบโตมาโดยใช้ชีวิตในรูปแบบของคนอื่น ดูความคิดคุณสิไม่เห็นจะเป็นตัวของตัวเองเลยสักนิด


Posted by : เซ็ง , Date : 2007-01-22 , Time : 16:47:13 , From IP : 172.29.4.92

ความคิดเห็นที่ : 36


   สาระนั้นเป็น relative term ครับ แน่นอนสิ่งที่ "เรา" ไม่สนใจ เราก็จะรู้สึกว่าไร้สาระ แต่สิ่งนั้นๆสำหรับคนอื่น อาจจะใช้เวลาหลาย generations ในการค้นคว้าศึกษาก็ได้

ในเรื่อง moral sensitivity หรือ "ความไวทางจริยธรรม" นั้น มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าเราคิดอะไรอยู่ด้วยซ้ำ แต่ขึ้นอยู่กับเรามี concern ว่าคนอื่นคิดอะไรอยู่มากกว่า ในคำสั่งสอนของสมเด็จพระมหิตลาธิเบศร์ อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนกนั้น ท่านทรงมีพระราชดำรัสให้เราถือ "ประโยชน์เพื่อนมนุษย์เป็นอันดับหนึ่ง" เราจะทำอย่างนั้นได้ต่อเมือ เราสามารถ "รับฟังความคิดของคนอื่น" เราเปิดกว้าง มองเห็นที่มาของระบบความคิด ความรู้สึก ของคนอื่น เราจึงจะทราบว่าอะไรคือ ประโยชน์ของเพื่อนมนุษย์ครับ

การมีเสียงสะท้อนนั้น ไม่ได้แปลว่าเรา "เป็น" แต่อย่างน้อยที่สุด ก็คือ "เงา" ที่คนอื่นรับรู้เช่นนั้น ถ้าเราเอาแต่ยืนยันว่าเรา "ไม่เป็น" แต่ไม่สืบค้นหาว่าทำไมการรับรู้ของผู้อื่นจึงเป็นแบบนี้ เราจะใช้แต่ self-centred เท่านั้น ไม่มีการ care ความคิด ความรู้สึกของผู้อื่น

ประเด็นจึงไม่ใช่ว่าคุณ เป็น หรือ ไม่เป็น ตามที่มีคนสะท้อนหรอกครับ ประเด็นอยู่ที่ว่าปฏิกิริยาที่เรามี ที่เรารู้สึก และที่เราแสดงออกนั้น มันมาอย่างไร และแสดงออกอย่างไร ตรงนี้ที่จะสะท้อนถึง maturity ความเป็นผู้ใหญ่ ความสามารถที่จะอยู่ในสังคมต่อไปในอนาคต คุณคงไม่จำเป็นต้องเป็นห่วงผมมากในเรื่องที่ว่าผมทำ หรือไม่ได้ทำอะไรหรอกครับ ผมแนะนำให้คุณใช้เวลาไตร่ตรองเรื่องคุณได้ทำ และไม่ได้ทำอะไรมากขึ้น ผมเห็นด้วยว่าคุณควรใช้เวลาในการตัดสินใจว่าจะเป็นหรือไม่เป็นแพทย์ในอนาคต เพราะมันจะมีผลกระทบต่อคนรอบข้างมากมายหลายคน

กระดานแห่งนี้คือกระดานที่ปรึกษาอาจารย์ครับ ถ้าคุณอยากจะสร้างกระทู้เพื่อแสดงความรู้สึกของนักศึกษาต่ออาจารย์แต่ละท่านอย่างไร อาจจะไม่ตรงต่อวัตถุประสงค์เท่าไรนัก ไปๆมาๆคนปรึกษาอยากจะออกความเห็นคนให้คำปรึกษาซะมากกว่ารึเปล่า? ผลประโยชน์ก็จะเบี่ยงเบนไป

และยืนยันให้อีกทีก็ได้ครับ ความคิดของคนเรานั้นเป็นอิสระ และไม่ถูกครอบงำด้วยอะไรอยู่แล้ว อารมณืโกรธ เกลียด ของเราเองต่างหากที่เป็นตัวครอบงำ และจะควบคุมเราหรือไม่นั้น ไม่ได้ขึ้นกับความคิดของคนอื่นหรอกครับ ถ้าเราปล่อยให้ความโกรธ เกลียด ทำงานของมันไปเรื่อยๆ เราเองที่จะถูกอารมณ์ครอบงำ สุดท้ายเราก็จะเกลียดตัวเองที่ไม่อาจจะเป็นอิสระจากอารมณ์ของตนเองได้

ในความคิด และเรื่องราวต่างๆนั้น free will หรือความเป็นอิสระมีอยู่ในตัวเองครับ เราไม่ต้องไปกังวลการแปลของคนอื่นมากเท่ากับการรู้เท่าทันอารมณ์ความคิดของเรา เอาความรู้สึกและการแปลของคนอื่นมาเป็นเครื่องเสริมกำลังความคิดของเราเองให้ได้จะดีกว่า ลดความพยายามที่จะยั่วยุคนอื่นลง เพิ่มความพยายามที่จะควบคุมตนเองให้มากขึ้น

ถ้าคิดว่าจบไปคงจะไม่เป็นหมอ น่าจะลองให้เวลาคิดกับ idea นี้สักหน่อยก็ดีครับว่าจะเป็นอะไร การจะเป็นอะไรนั้น ต้องใช้เวลาตระเตรียมพอสมควร บางทีสิ้นเปลืองเวลากับกิจกรรมที่เราจะไม่ทำต่อแน่ๆ ก็อาจจะเป็นการเสียเวลาที่ "ไร้สาระ" จริงๆสำหรับตัวเราก็ได้


Posted by : Aquarius , Date : 2007-01-22 , Time : 17:07:50 , From IP : 172.29.3.231

ความคิดเห็นที่ : 37




   ผมทนข้อความที่คุณเขียนมาไม่ไหวแล้ว
อะไรหนักหนาเนียะไม่ไหวแล้ว
ผมไม่อยากคุยกับคุณอีก
สะท้อนตัวเองบ้างดีกว่ามั้ง ดูที่ใช้ข้อความทิ่มแทงคนอื่นเขาสิ
ดูข้อความรุนแรงที่คุณเคยเขียนมาทั้งหมดสิ
คุณเป็นแต่รังแกคนอื่นทางความคิดเท่านั้นแหละ
มีบ้างบางคนคิดผิดคิดพลาดได้บ้างแต่นั้นเพราะเขาเหล่านั้นเป็นเพียงคนๆหนึ่ง
ซึ่งไปเจอเรื่องราวที่ทำให้ตัวเขาคิดแบบนั้น ผมเห็นแล้วล่ะคุณตอนคุณอัดcabin_crewสะเละเลยไม่เห็นต้องทำขนาดนั้นเลย
อยากเขียนอะไรเขียนไปผมไม่อ่านมันหรอก



Posted by : oasis , Date : 2007-01-23 , Time : 17:36:54 , From IP : 172.29.4.72

ความคิดเห็นที่ : 38


   กิจกรรมเดียวที่ผม "แนะนำ" ให้ทำคือการสะท้อนตนเองเท่านั้นแหละครับ ถ้าการสะท้อนตนเองเป็นการทิ่มแทง ผมแนะนำให้เรียนรู้จากความรู้สึกนั้นๆ

เราควรจะอยู่กับ "การสะท้อนตนเอง" ให้ได้ครับ เพราะตัวเราจะหนีตัวเองไปไม่พ้น conscience หรือ มโนสำนึกนั้นอยู่กับเราไปตลอด ไม่ว่าจะมีคนอื่นหรือไม่ free will ที่เป็นอารมณ์ หรือ ความคิด ของเราที่จะเป็นตัวทิ่มแทงเราไปเรื่อยๆ ถ้าเราไม่สามารถเปลี่ยนบทบาทเป็นผู้ควบคุมมันให้ได้

หน้าที่ของหมอนั้น เราต้องคลี่คลายความทุกข์ของคนอื่น แต่ถ้าปมของตนเองปลดไม่ออก ยังไม่สามารถจำแนกแยกแยะบทบาท หน้าที่ และจัดลำดับความสำคัญ ณ ขณะนี้ได้ ตรงนี้จะเป็นปัญหาในอนาคตได้ครับ ไม่ว่าจะสำหรับอาชีพอะไรก็ตาม ในระยะหลังถึงมีคนพูดถึง emotional quotient มากกว่า IQ หรือ intellectual quotient เสียอีก วุฒิภาวะทางอารมณ์ที่เราสามารถเป็น "นาย" อารมณ์ ควบคุมอารมณ์ได้ รู้เท่าทันอารมณืได้จึงสำคัญ และเริ่มจากตนเองก่อน จึงจะค่อยไปช่วยเหลือคนอื่นได้

ลองสำรวจดูครับว่า ใครเป็นใช้ "ความรุนแรง" ในการคิด ในการแสดงออก ลองอ่านดูซ้ำช้าๆ ไม่ต้องรีบร้อน ลองสอดใส่ "บริบท" ความสัมพันธ์ลงไป แล้วพิจารณาดูว่าเราได้มีการแสดงออกสมบทสมบาทหรือไม่ อย่างไร ถ้าเราไม่สามารถตัดสินได้อย่าง objectively เราก็จะมีความยากในการใช้ insight และยากที่จะเริ่มต้นแก้ไขอะไรได้

เราควรสะท้อนตนเองตลิดเวลาเท่าที่ทำได้จริงๆครับ ผมไม่อาจจะทำให้คุรเชื่อได้ว่าทำได้มากน้อยแค่ไหนในขณะนี้แน่นอน เพราะดูจะไม่อยู่ในอารมณ์ที่ "รับ" อะไรไปเท่าไหร่นัก แต่ตรงนี้อาจจะเป็นคำตอบหรือไม่ ต่อสิ่งที่คุณได้ประเมินตนเองไว้ว่ามีปัญหาในการรับคำตักเตือนของใครๆ ลองวิเคราะห์สมมติฐานและหาทางแก้ไขดูครับ

เวลามีปัญหา เราอาจจะเลือกวิธีหลีกหนีปัญหา ไม่รับฟัง ไม่มอง ไม่ค้นหามัน รอเผื่อว่าปัญหาสลายตัวไปเอง หรือว่าลองแก้ปัญหาดู ก้าวถอยออกมาหน่อยก้ได้ครับ ตัดวสินว่า ณ ขณะนี้ อะไรเป็น priority เราเป็นใคร? อยู่ในฐานะอะไร? และหน้าที่ความรับผิดชอบตอนนี้คืออะไรกันแน่? หน้าที่ทั้งต่อตนเอง และต่อคนที่เรา care ความรู้สึกก็ได้ครับ

ถ้าไม่อยู่ในอารมณ์ที่จะสนทนาต่อ แนะนำให้ทุ่มเทลงไปในการเรียนหนังสือครับ ทำตัวให้เป็นประโยชน์ อย่างน้อยที่สุดต่อตนเองก่อนก็ได้ ถ้า calm down พอจะมาสนทนากันใหม่ก็แล้วแต่ หรือจะเลิกไม่พูดคุยกันต่อไป ก็คงเป็นวิจารณญานของตนเองครับ


Posted by : Aquarius , Date : 2007-01-23 , Time : 19:26:25 , From IP : 222.123.42.8

ความคิดเห็นที่ : 39




   ขอบใจน่ะครับผมชอบบทตัวโกงมากกว่า ค่อยหายใจได้สบายขึ้นหน่อย
ว่าแต่รู้รึป่าวเนียะว่าผมกำลังขอบคุณเรื่องอะไรอยู่อิอิ


Posted by : check mated , Date : 2007-01-30 , Time : 20:42:06 , From IP : 172.29.4.142

ความคิดเห็นที่ : 40




   ไม่หรอกเรื่องที่จะไม่เป็นหมอต้องคิดอีกทีตอนทำงานใช้ทุนโรงบาลชุมชน
ถ้าอยู่ที่นั้นแล้ว happy ก็อาจจะทำต่อไปเรื่อยๆสักพักแต่ถ้าไม่ happy ก็คงออกแหละ
ผมว่าผมไม่ใช่ไม่ชอบเรียนหรอกน่ะผมว่าตัวผมชอบน่ะแต่ปัจจัยอื่นที่เข้ามาต่างหากที่ทำให้ไม่ค่อยมีความสุขนักเลยพาลเป็นไม่อยากเรียน

ที่จริงแล้วลึกๆผมแค่อยากสร้างบางสิ่งให้เป็นรูปธรรมขึ้นมาก็แค่นั้นแต่ผมยังไม่รูเลยว่าจะทำอะไรดี
จบออกไปเจอโลกข้างนอกน่าจะมันส์กว่านี่แน่คงรู้ว่าตัวจับอะไรแล้วรุ่งบ้างแน่


Posted by : casiopea , Date : 2007-01-30 , Time : 21:02:40 , From IP : 172.29.4.142

ความคิดเห็นที่ : 41




   สบายใจขึ้นเยอะเลยล่ะครับผมไม่มีอะไรค้างคาอยู่ในใจแล้วล่ะครับดีขึ้นเยอะเลย
ได้ระบายหมดเปลือกแบบนี่รู้สึกดีจริงๆ ส่วนใครจะว่าอะไรช่างหัวมันรู้สึกดีขึ้นมากเลย
ผมเก็บมันมานานเกินไป ดังเลยเราบ้าดีจริงๆ
แปลกดีน่ะ แค่ได้บอกให้อีกฝ่ายรับรู้เนียะแค่นี่เองมันทำให้เรารู้สึกดีขึ้นเยอะเลย


Posted by : โย้ว , Date : 2007-01-30 , Time : 21:14:40 , From IP : 172.29.4.142

ความเห็นจาก Social Network : Facebook


สงวนสิทธิ์การแสดงความคิดเห็นสำหรับ สมาชิกเท่านั้น
>>>>> Page loaded: 0.029 seconds. <<<<<