ความคิดเห็นทั้งหมด : 11

นี่หรือที่เค้าเรียกว่าหมอ


   เก็บมาฝาก.........ไปอ่านมา.......จาก pantip.com ถ้าอยากรู้ว่าคนอื่นเขาคิดกันยังไงบ้างก็ลอง click ไปที่นี่
http://www.pantip.com/cafe/lumpini/topic/L3275463/L3275463.html

ขอระบายหน่อยเหอะ เมื่อวานเราไปหาหมอที่ รพ.แห่งหนึ่งแถวสะพานควาย เนื่องจากปวดท้องเมนส์มาก แล้วก้อใช้บัตรประกันสังคม พอไปถึงแผนกทะเบียน เราก้อบอกว่าปวดท้องประจำเดือน พนงใคนนั้นเค้าก้อบอกว่าหมอมีทุ่มนึงค่ะ(หมอสุติฯ) สักพัก อีกคนเดินมากระซิบบอกคนแรกว่า ส่งไปที่คุณหมอ...เลย(โรคทั่วไป) แล้วลงไปว่าปวดท้องธรรมดา เสร็จแล้วเราก้อไปนั่งรอหมอ
พอถึงคิวเราเข้าไปพบหมอ เราก้อเห็นแล้วว่าเป็นหมอผู้ชาย อายุประมาณ 50 ก้อเลยยกมือไหว้แล้ว พูดว่า

เรา-- สวัสดีค่ะ
หมอ-- เป็นไงแม่สาวอายุ24 ปวดท้องอะไรหล่ะ
เรา-- ปวดท้องประจำเดือนค่ะ
หมอ--แล้วมีความรู้อะไรเกี่ยวกับเมนส์มั่งหล่ะ พูดมาสิ แล้ววาด curve ของช่วงเวลาการมีเมนส์ให้ดูหน่อยสิ ว่ามันเป็นไง ช่วงไหนฮอร์โมนเป็นไง
หมอ-- ว่าไงรู้ไรบ้าง วัยรุ่นสมัยนี้
เรา--คิดในใจว่า โหอะไรเนี่ย เราปวดท้องจะตายอยู่แล้วต้องให้เรามานั่งอธิบายอีกเหรอว่า ปจด.มันคืออะไร มาจากไหน มาได้ยังไง แล้วถ้าเราวาดเสร็จ อธิบายเสร็จ มันจะหายปวดมั้ย ที่เรามาหาหมอเพื่อให้เค้าตรวจนะว่าเราเป็นไร ไม่ใช่ให้มาทำข้อสอบ เราโมโหมาก ก้อเลยตอบไป

เรา-- ไม่รู้ค่ะ (เพราะปวดท้องมากเลยจะตัดปัญหา)
หมอ--เหรอ แย่เนาะ สังคมไทย สุขศึกษาเค้าไม่ได้สอนเลยเหรอ ....................................(ด่า+ดูถูก)
เรา-- เงียบอย่างเดียวเลยเพราะไม่มีแรงจะพูดแล้วก้อโมโหด้วย ก้อเลยปล่อยให้เค้าพูดไปแล้วก้อมีแต่ศัพท์ทางแพทย์ที่เราไม่รู้เรื่องเลย
หมดเวลาไปแค่ไม่ถึง 5 นาที
หมอ-- เสร็จแล้ว ไปรอรับยาได้
เรา-- งง อึ้ง มองหน้าหมอ แล้วก้อคิดในใจว่า เฮ้ย ไม่คิดจะตรวจกันหน่อยเหรอ นี่เราไม่สบายนะถึงมาเนี่ย มาถึงมาฟังหมอด่า ดูถูกสารพัด ตรวจสักนิดก้อไม่มี แล้วยาที่ให้มาก้อหาซื้อเองได้ตามท้องตลาด แผงละไม่ถึง 50 บาทด้วย ถ้าเราสบายดีเราจะมาทำไม หรือว่าเพราะใช้ประกันสังคม การบริการถึงห่วยแบบนี้ เราทั้งโมโห ทั้งเสียความรู้สึกมาก
แล้วก้อคิดว่าเนี่ยเหรอ ระบบของประกันสังคม เพื่อประชาชน


Posted by : อ.มอ. , Date : 2005-02-05 , Time : 15:49:25 , From IP : 172.29.7.142

ความคิดเห็นที่ : 1


   อ้าว ตัวเองก็ควรมีความรู้ในร่างกายของตนไม่ใช่รึ
หมอไม่ใช่พระเจ้า จะรักษาได้ทุกโรค
การส่งเสริมสุขภาพ หรือเข้าใจธรรมชาติของโรค หรือการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายสิ เปนสิ่งสำคัญ
รู้ไว้ไม่เสียหลาย


Posted by : ไม่รู้สิ , Date : 2005-02-05 , Time : 21:50:20 , From IP : 203.150.217.115

ความคิดเห็นที่ : 2


   ผมคิดว่าเรื่องที่เราควรทราบ biology ของร่างกายเราหรือไม่นั่น คงไม่ใช่ Main message ของบทความนี้ครับ

น่าจะเป็นเรื่อง communication skill จรรยาบรรณและปฏิสัมพันธ์ doctor-patient relationship มากกว่า



Posted by : Phoenix , Date : 2005-02-05 , Time : 22:02:09 , From IP : 172.29.7.220

ความคิดเห็นที่ : 3


   นอกจากที่ อ.กล่าวข้างต้น
ในประเด็นคนไข้นี้ ..... คนไข้ควรได้รับการตรวจโดยหมอสูติหรือเปล่า
ถ้าตามหลักก็ควรได้ตรวจโดย GP ก่อนน่ะ แต่คนไข้คาดหวังว่าจะได้รับการตรวจ
จากหมอเฉพาะทาง ........ และคิดดูถ้าไม่ใช่ ปกส. หมอสูติคนนั้นจะตรวจเองหรือเปล่า
อีกอย่าง....ทำใจครับ ... หมอเราทำผิดจะเป็นข่าวดัง
ทำดีเสมอตัว หรือได้รับการยกย่องเงียบๆ อาชีพเราพลาดไม่ได้ครับ
เพราะ เรา hold ชีวิตคนไข้ไว้ในมือ (แม้ว่าไม่ใช่เครื่องจักรก็ตาม) :)


Posted by : namenob , Date : 2005-02-05 , Time : 22:30:33 , From IP : p154-rasskalf1.S.csl

ความคิดเห็นที่ : 4


   นี่เป็นบทความหนึ่งที่ให้เราได้เรียนรู้ถึงความคิด ความรู้สึก ความคาดหวัง ของคนที่มาหาเราในฐานะคนไข้ ซึ่งส่วนใหญ่เราไม่ค่อยสนใจที่จะทำความเข้าใจตรงนี้ clinical skill เรื่องนี้เป็นเรื่องเก่าที่เราละเลยไปหรือไม่ก็เพราะเราขาด skill ตรงนี้
อาจารย์จรัส สุวรรณเวลาเคยสอนผมในครั้งแรกที่เรียน bedside กับอาจารย์ว่าส่วนใหญ่แล้วคนไข้มาหาเรา เขามีวัตถุประสงค์ของเขาไม่กี่อย่าง กลุ่มแรกมาเพราะมีทุกข์กาย(ปวด) อยากให้เราช่วยรักษาทุกข์ของเขา กลุ่มที่สองมาด้วยทุกข์ใจมีความกลัว มีความกัวล มีความสงสัยในปรากฏการณ์ทางกาย กลุ่มที่สามมาทั้งสองอย่าง
เราต้องมีสามารถเข้าใจความรู้สึก ความคาดหวัง ความคิดเขาให้ได้ก่อนที่จะเอาความรู้เรื่องโรคต่างๆมาใช้ ถ้าเราไม่เข้าใจเขา ดูเขาไม่ออก เราก็จะไม่สามารถแก้ได้ตรงกับทุกข์จริงๆของเขา
ผมขอยกตัวอย่างคนไข้มาหาเราด้วยปัญหาปวดท้อง(ทุกข์กาย) แต่ถ้าเราไม่สนใจทุกข์กายของเขา เรากลับพยายามไปพยายามแก้ที่ความรู้ ความคิดของเขาถึงแม้จะเป็นความรู้ที่ดีอย่างไรเขาก็ไม่สนใจเพราะความคาดทุกข์หลักของเขาไม่ได้แก้
นอกจากไม่ได้ผลแล้วเราอาจถูกด่าตามหลังอีก
อีกรายเช่นผู้หญิงวัยรุ่นมีก้อนที่เต้านมมาหาหมอ(มีปัญหาทางกายแต่ที่มาเพราะทุกข์ใจมากกว่า) เราถามประวัติ ตรวจร่างกายแล้วอธิบายให้เขาฟังว่าก้อนไม่เหมือนเนื้อร้าย โอกาสเป็นมะเร็งต่ำ เราเข้าใจ สบายใจขึ้น เลิกขอทำแมมโมแกรม ไม่ต้อง excision กลับบ้านได้อย่างมีความสุข หมอเองก็ก็อิ่มใจที่ได้ช่วยแก้ทุกข์ให้คนอีกหนึ่งคน
นี่คงเป็นอีกบทความหนึ่งที่บอกเราให้หันมามองความรู้สึก ความคาดหวัง ความคิด ของคนอื่นมากขึ้น


Posted by : ต้นกล้า , Date : 2005-02-06 , Time : 00:21:21 , From IP : 172.29.7.111

ความคิดเห็นที่ : 5


   นี่เป็นบทความหนึ่งที่ให้เราได้เรียนรู้ถึงความคิด ความรู้สึก ความคาดหวัง ของคนที่มาหาเราในฐานะคนไข้ ซึ่งส่วนใหญ่เราไม่ค่อยสนใจที่จะทำความเข้าใจตรงนี้ clinical skill เรื่องนี้เป็นเรื่องเก่าที่เราละเลยไปหรือไม่ก็เพราะเราขาด skill ตรงนี้
อาจารย์จรัส สุวรรณเวลาเคยสอนผมในครั้งแรกที่เรียน bedside กับอาจารย์ว่าส่วนใหญ่แล้วคนไข้มาหาเรา เขามีวัตถุประสงค์ของเขาไม่กี่อย่าง กลุ่มแรกมาเพราะมีทุกข์กาย(ปวด) อยากให้เราช่วยรักษาทุกข์ของเขา กลุ่มที่สองมาด้วยทุกข์ใจมีความกลัว มีความกัวล มีความสงสัยในปรากฏการณ์ทางกาย กลุ่มที่สามมาทั้งสองอย่าง
เราต้องมีสามารถเข้าใจความรู้สึก ความคาดหวัง ความคิดเขาให้ได้ก่อนที่จะเอาความรู้เรื่องโรคต่างๆมาใช้ ถ้าเราไม่เข้าใจเขา ดูเขาไม่ออก เราก็จะไม่สามารถแก้ได้ตรงกับทุกข์จริงๆของเขา
ผมขอยกตัวอย่างคนไข้มาหาเราด้วยปัญหาปวดท้อง(ทุกข์กาย) แต่ถ้าเราไม่สนใจทุกข์กายของเขา เรากลับพยายามไปพยายามแก้ที่ความรู้ ความคิดของเขาถึงแม้จะเป็นความรู้ที่ดีอย่างไรเขาก็ไม่สนใจเพราะความคาดทุกข์หลักของเขาไม่ได้แก้
นอกจากไม่ได้ผลแล้วเราอาจถูกด่าตามหลังอีก
อีกรายเช่นผู้หญิงวัยรุ่นมีก้อนที่เต้านมมาหาหมอ(มีปัญหาทางกายแต่ที่มาเพราะทุกข์ใจมากกว่า) เราถามประวัติ ตรวจร่างกายแล้วอธิบายให้เขาฟังว่าก้อนไม่เหมือนเนื้อร้าย โอกาสเป็นมะเร็งต่ำ เราเข้าใจ สบายใจขึ้น เลิกขอทำแมมโมแกรม ไม่ต้อง excision กลับบ้านได้อย่างมีความสุข หมอเองก็ก็อิ่มใจที่ได้ช่วยแก้ทุกข์ให้คนอีกหนึ่งคน
นี่คงเป็นอีกบทความหนึ่งที่บอกเราให้หันมามองความรู้สึก ความคาดหวัง ความคิด ของคนอื่นมากขึ้น


Posted by : ต้นกล้า , Date : 2005-02-06 , Time : 00:21:22 , From IP : 172.29.7.111

ความคิดเห็นที่ : 6


   เรื่องหลอกลวง อ่านดูก็รู้ เป็นไปไม่ได้ หมอจากคลินิก นี่น่ะนะ ไม่มีวันด่าคนไข้หรอก ทีหลังแต่งเรื่องให้แนบเนียนหน่อย

Posted by : ... , E-mail : (...) ,
Date : 2005-02-06 , Time : 00:55:25 , From IP : 172.29.7.20


ความคิดเห็นที่ : 7


   อ่านเอาความรู้ หรือสิ่งที่ เนื้อหาเขาอยากสื่อ แล้วนำมาคิด ผมก็ได้อีกหนึ่งบทเรียนที่ดีแล้ว




หลอกลวงหรือไม่ เราไม่ทำให้มันเกิดขึ้นน่าจะดีที่สุด


Posted by : OmniSci , Date : 2005-02-06 , Time : 04:45:11 , From IP : 172.29.7.154

ความคิดเห็นที่ : 8


   เราจะเรียนอะไรได้นั้น จำเป็นเหลือเกินที่ต้องเริ่มจาก "insight" ก่อน เริ่มจาก self มีความกระตือรือร้นขวนขวายและตระหนักว่าเรา "จำเป็น" ต้องแสวงหาความรู้ไปเรื่อยๆ

ตั้งแต่หลังถุงกล้วยแขกไปจนถึงปกหลังด้านในของ Encyclopedia Britanica สิ่งที่ปรากฏอยู่บนนั้นคือ "ความคิด" ของคนๆหนึง เมื่อเป็นความคิดของคนๆนึงก็มีค่าพอที่จะสนใจเรียนรู้แล้วว่าเขาคิดว่าอะไร ทำไมถึงคิดอย่างนั้น ยิ่งเดาบริบทที่มาเบื้องหลังของความคิดแต่ละอย่าง ยิ่งนำเราไปสู่ความเข้าใจซึ่งความหลากหลายของ "คน" และผลที่จะมากระทบต่อ "สังคมแวดล้อม" ที่เราอยู่มากยิ่งขึ้น ทำตรงนี้ไปเรื่อยๆ ที่สุดเราอาจจะสามารถเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ด้านความคิด ระมัดระวัง consequence จากการกระทำ การแสดงออกของเรามากยิ่งขึ้น และแล้วก็มี "ความรับผิดชอบ" ต่อสิ่งที่เราได้ทำ กลายเป็นผู้ใหญ่ที่เป็นส่วนหนึ่งของสังคมอย่างมีค่า

ไม่ทำลาย แต่สร้างสรรค์ Be mature, Be positive, and Be civilized



Posted by : Phoenix , Date : 2005-02-06 , Time : 05:46:23 , From IP : 172.29.7.169

ความคิดเห็นที่ : 9


   เพิ่งได้รับ mail จากเพื่อนเก่า จบแพทย์ที่มอ.นี่แหละ สิ่งที่เราคุยกันในกลุ่มเพื่อนๆที่เรารู้สึกดีๆ และคิดว่าคนไข้ของเพื่อนเราก็รู้สึกดีๆเช่นกัน เลยอยากเอาอีกด้านหนึ่งที่รู้สึกดีได้โดยคุณใช้วิชาชีพแพทย์หรือวิชาชีพอะไรก็ได้ที่คุณมีหน้าที่ช่วยเหลือผู้ป่วย แต่อย่าลืมบวกใจคุณลงไปด้วย แล้วคุณก็จะมีความสุขแม้จะเผชิญความตาย (เรื่องข้างล่างเป็นเรื่องจริงที่พี่ชายเพื่อนอีกคนเสียชีวิตด้วยโรคหัวใจแต่กำเหนิด)
*****************************
ผมเพิ่งอ่านบันทึกจบครับ

ความรู้สึกเหมือนตอนผมตัดสินใจหยุด CPR คนไข้ที่ผมเป็นเจ้าของไข้ ดูแล และผ่าตัดเขามากับมือผมเอง ทุกครั้งที่ declare death ความรู้สึกผมเหมือนกับ ร่างกายและสมองผมมีแต่ความว่างเปล่า ไร้เรี่ยวแรง อ่อนล้า รับรู้ถึงความสูญเสียอันยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตมนุษย์ ผมจะเอื้อมมือไปปิดตาให้เขา ในรายที่ตาเขาหลับไม่สนิท ให้เวลากับเขาอีกระยะหนึ่ง ทบทวนเหตุการณ์กลับไปกลับมาในระหว่างนาทีแห่งความเป็นและความตาย ถามตัวเองว่าทำดีที่สุดแล้วใช่ไหม ถ้าคิดว่าไม่ใช่ ทำไมไม่ทำแบบนั้นแบบนี้

ร่างกาย และกลไกของมนุษย์เป็นสิ่งที่ซับซ้อนอย่างที่สุด ไม่มีการสอบแก้ตัวสำหรับการรักษาที่ผิดพลาดในยามวิกฤติ ไม่มีการรื้อออกมาดูแล้วใส่กลับเข้าไปใหม่ให้ดีดังเดิมดังเครื่องจักรรถยนต์ การรักษาคนไข้วิกฤติจึงไม่ใช่การลองผิดลองถูก ผลลัพธ์คือ ตาย กับ ไม่ตายเท่านั้น

ในกรณีของพี่.... ทุกคนควรได้รับการยกย่องสรรเสริญ ทุกคนทำหน้าที่ของตัวเองได้อย่างดีที่สุดแล้วครับ รวมทั้งตัวพี่.....และหัวใจดวงน้อยของพี่เขาที่ถึงแม้จะพิการ แต่ได้ทำหน้าที่เพื่อเจ้าของจนจังหวะสุดท้ายครับ

ขอกราบคารวะดวงวิญญาณ และขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งครับ

**********************************


Posted by : เอามาแปะมั่งถึงจะไม่ใช่แพทย์ , Date : 2005-02-07 , Time : 16:53:01 , From IP : 172.29.1.216

ความคิดเห็นที่ : 10


   ก็เป็นอีกเรื่องที่ผมว่าอาจจะเกิดขึ้นจริงหรือไม่ก็ได้ แต่ลองเดาดูสิครับว่าเรื่องพรรณนี้จะมีกี่คนที่ไม่เชื่อ กี่คนที่ไม่เอาไปพูดต่อให้เสียกับวิชาชีพเรา ก็เข้าใจนะครับว่าสังคม net มันก็เป็นแบบนี้แหละ ก็ได้แต่หวังว่าคนที่อ่านจะมีวิจารณญานและพวกเราเองก็พยายามอย่าให้มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นก็แล้วกันนะครับ อย่างน้อยก็ตัวเราที่ไม่ทำแบบนี้ ใครจะทำก็ช่างเขาเนอะ

Posted by : อยากเป็นพ่อมดฮับ , Date : 2005-02-08 , Time : 21:00:07 , From IP : 172.29.7.155

ความคิดเห็นที่ : 11


   คิดถึงการดูแลผู้ป่วยแบบองค์รวมด้วยค่ะ

Posted by : 1. , Date : 2005-02-28 , Time : 14:27:10 , From IP : 202.28.181.9

ความเห็นจาก Social Network : Facebook


สงวนสิทธิ์การแสดงความคิดเห็นสำหรับ สมาชิกเท่านั้น
>>>>> Page loaded: 0.006 seconds. <<<<<