ความคิดเห็นทั้งหมด : 59

เป็น หมอ แล้วไป ถ่ายแบบลงนิตยสาร แฟชั่น เนี่ย ได้ ป่าวครับ เห็นวิจารณ์ กันจัง


   สืบเนื่องจากมีจิตแพทย์ สาวท่านหนึ่งถ่ายแบบลงนิตยสารแฟชั่นฉบับหนึ่ง และหนังสือพิมพ์ ฉบับหนึ่งลงว่าเป็นการถ่ายแนวเซ็กซี่ วาบหวิว ( หวิวตรงใหน?)
ตามด้วยบทสัมภาษณ์ ของอาจารย์ ผู้ใหญ่หลายๆท่านแสดงความไม่เห็นด้วย แต่ก็บอกว่าเป็นเรื่องส่วนตัว


แล้วตกลงว่าเป็นหมอ แล้วไป ถ่าย แฟชั่นลงนิตยสาร เนี่ยผิด หรือ ป่าว

แล้วหมอ ไปประกวดนางงาม ผิดหรือ ไม่ หรือ หมอไปประกวดหนุ่มดัชชี่ หรือ ประกวดร้องเพลงได้หรือ ไม่ หรือ หมอถ่ายนู้ด ไว้ดูตอนแก่ ได้หรือ ไม่

ถามกันดู เ่ล่นๆ ครับเพราะ ดูรูปที่ หนังสือพิมพ์ลงแล้วไม่ได้น่าเกลียด แถมน่าดูอีกตังหาก

ดู เนื้อหาข่าวได้ที่เวบนี้ ครับ
http://www.matichon.co.th/khaosod/khaosod.php?sectionid=0301&searchks='&sk='&s_tag=03p0101030248&day=2005/02/03&show=1

และดูที่หมอ เขาวิเคราะห์วิจารณ์ กันที่เวบนี้ครับ

http://www.thaiclinic.com/cgi-bin/wb_xp/YaBB.pl?board=doctorroom;action=display;num=1107392001



Posted by : munich , Date : 2005-02-03 , Time : 17:08:09 , From IP : 172.29.7.159

ความคิดเห็นที่ : 1


   คุณ Munich ลองเริ่มก่อนเลยดีไหมครับ



Posted by : Phoenix , Date : 2005-02-03 , Time : 18:32:57 , From IP : 172.29.7.148

ความคิดเห็นที่ : 2


   ผมขอให้ความเห็นเหมือนที่ไปให้ที่ ThaiClinic
ว่า

มันน่าตกใจมากกว่า
ที่หมอหลายคนบอกว่าธรรมดา

จริงๆถ้าไม่ใช่หมอก็คงธรรมดานั่นแหละ ไม่ sexy ด้วยซ้ำ

แต่พอบอกว่าเป็นหมอเนี่ย ต้องถอยมาสัก 3 ก้าวแล้วคิดใหม่ (แบบวิธีที่หลายท่านชอบใช้-ขอยืมหน่อย) ว่าจะเอาอาชีพหมอไว้ตรงไหน

ถ้าอยากให้เป็น "ของสูง" อยู่ อันนี้ก็ไม่เหมาะ

ถ้าไม่อยากให้อาชีพหมอ "สูง" ก็คงถือว่าธรรมดา

ดังนั้นแล้วแต่คิด


Posted by : OmniSci , Date : 2005-02-03 , Time : 19:02:03 , From IP : 172.29.7.117

ความคิดเห็นที่ : 3


   แต่ผมว่าประเด็น จริงๆ ไม่ได้อยู่ที่ โป๊หรือ sexy นะ นสพ อยากขายได้มากกว่า
ประเด็นอยู่ที่ ไปโฆษณา สินค้าที่เกี่ยวกับสุขภาพมากกว่า (น้ำผลไม้มาลี??)

ถ้าไม่ระบุว่าหมอ ก็คงเฉยๆ
แต่ถ้าไปสื่อว่า พญ. ด้วยแล้ว เหมือนเอาตัวเองไปช่วยขายด้วย

เหมือน เอาความเป็นหมอ ไปขายน้ำสมุนไพร หรือผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ

ยังงัยก็ไม่เหมาะ


Posted by : OmniSci , Date : 2005-02-03 , Time : 19:12:07 , From IP : 172.29.7.117

ความคิดเห็นที่ : 4


   หากินกับอาชีพ กับบรรพบุรุษหมอ ไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง

Posted by : นศพ มอ ของแท้ ( ไม่มีเจือปน ) , Date : 2005-02-03 , Time : 19:52:31 , From IP : 172.29.4.102

ความคิดเห็นที่ : 5


   คิดว่าไม่เหมาะสมครับ อาชีพเราต้องคำนึงถึงภาพลักษณ์ด้วย การถ่ายแบบอย่างนี้อย่าทำดีกว่าครับ

Posted by : หมอ , Date : 2005-02-03 , Time : 20:47:04 , From IP : 172.29.4.141

ความคิดเห็นที่ : 6


   


หมอเซ็กซี่ - ภาพแฟชั่นของพ.ญ.เบญญาภา ชินเวชกิจวานิชย์ จิตแพทย์ ร.พ.กรุงเทพ จันทบุรี และมิสมาลี คอนฟิเดนซ์ 2004 ที่โพสท่าถ่ายลงนิตยสาร"มาดาม ฟิกาโร"ฉบับล่าสุด ซึ่งวงการแพทย์วิจารณ์อย่างกว้างขวางในขณะนี้


อีกบท- ภาพแฟชั่นจากนิตยสารมาดามฟิกาโร ซึ่งพ.ญ.เบญญาภา ชินเวชกิจวานิชย์ จิตแพทย์ ร.พ.กรุงเทพ จันทบุรี และมิสมาลี คอนฟิเดนซ์ 2004 โพสท่าถ่ายลงจนวงการแพทย์วิจารณ์กันอย่างกว้างขวาง ตามข่าว

ข่าวจาก นสพ.ข่าสด
ฮือฮาแพทย์หญิงสาวสวย ถ่ายแบบเซ็กซี่-เฟี้ยวฟ้าวลงนิตยสารในฐานะเจ้าของตำแหน่ง "มิสมาลี คอนฟิเดนซ์ 2004" เผยเป็นจิตแพทย์จบจากม.ขอนแก่น ปัจจุบันทำงานอยู่ร.พ.กรุงเทพ เมืองจันท์ เจ้าตัวเปิดใจมั่นใจไม่เสียหาย เพราะไม่ได้ถ่ายแบบวาบหวิวอะไร ปกติตัวเองก็แต่งตัวเปรี้ยวแบบนี้อยู่แล้ว เผยมีเพื่อนร่วมรุ่นเป็นหมอนางสาวไทย "หมอเบิร์ท-อภิสมัย" คนดังด้วย ทางด้านหมอผู้ใหญ่ไม่ค่อยแฮปปี้ ชี้ทางเดียวกันเป็นสิทธิส่วนบุคคลที่สามารถทำได้ แต่ไม่ค่อยเหมาะสมกับภาพของหมอเท่าไร ยก"หมอเบิร์ท"มาเปรียบ วางตัวดี ทำงานก็เก่ง

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในแวดวงแพทย์ได้วิพากษ์วิจารณ์กันมาก กรณีที่พ.ญ.เบญญาภา ชินเวชกิจวานิชย์ จิตแพทย์ร.พ.กรุงเทพ จันทบุรี ไปถ่ายแบบลงในนิตยสาร"มาดาม ฟิกาโร" ฉบับเดือนก.พ. 2548 โดยโพสท่าในลักษณะเซ็กซี่ รวมทั้งใส่เสื้อสั้นโชว์สะดือด้วย ทั้งนี้ พ.ญ.เบญญาภาเคยได้รับตำแหน่ง"มิสมาลี คอนฟิเดนซ์ 2004" ในการประกวดคัดเลือกของน้ำผลไม้มาลีมาก่อน

พ.ญ.เบญญาภา กล่าวถึงกรณีดังกล่าวว่า ไม่ได้รู้สึกหนักใจว่าจะโดนวิพากษ์วิจารณ์ เพราะภาพที่ถ่ายลงในนิตยสารก็ไม่ได้วาบหวิวมาก ปกติก็เป็นคนแต่งตัวเปรี้ยวอยู่แล้ว สำหรับที่มาของการเข้าประกวดมิสมาลี จิตแพทย์คนสวยกล่าวว่า ได้กลับมาบ้านที่กรุงเทพฯ มีวันหนึ่งไปเดินที่ห้างเซ็นทรัล ปิ่นเกล้า ซึ่งมีบูธของน้ำผลไม้มาลีอยู่ แล้วมีคนเข้ามาถามว่าสนใจถ่ายรูปและเขียนใบสมัครมิสมาลีไหม จึงลองประกวดดู ปรากฏว่าได้รับตำแหน่ง ตอนเข้าประกวดเพื่อนๆก็เห็นด้วย ให้การสนับสนุน

"เมื่อได้ตำแหน่งก็รู้สึกดีใจ หลังจากได้ตำแหน่ง หมอก็ยังปฏิบัติหน้าที่หมออยู่เช่นเดิม และก็เริ่มมีงานข้างนอกเข้ามาบ้าง เริ่มด้วยการถ่ายแบบในนิตยสารมาดามฟิกาโร เป็นหน้าซึ่งทางมาลีได้เข้าไปซื้อโฆษณา ภาพที่ถ่ายออกมาหมอก็พอใจ และในการทำงานทางบ.ก.ใหญ่ของมาดามฟิกาโรก็มายืนควบคุมการถ่ายทำด้วยและคอยกำชับไม่ให้วาบหวิวจนเกินไป เพราะเราเป็นหมอ ในส่วนของตัวหมอเองก็คิดว่ามันไม่ได้โป๊ เป็นชุดธรรมดา เพราะปกติตัวหมอเองก็เป็นคนที่ชอบแต่งตัวเปรี้ยวอยู่แล้ว โดยเฉพาะวันเสาร์อาทิตย์ ส่วนวันธรรมดาก็จะแต่งตัวเรียบร้อย แต่จะเน้นสีสัน แฟชั่นชุดตัวใน แล้วสวมชุดกาวน์ไว้ข้างนอก" พ.ญ.เบญญาภากล่าว

จิตแพทย์สาวกล่าวต่อไปว่า พอหนังสือออกมา ได้ถามความคิดเห็นของเพื่อนเหมือนกันว่าดูน่าเกลียดไหม เพื่อนก็บอกว่าไม่โป๊ เพราะนิตยสารหัวฝรั่งแบบนี้ก็เป็นธรรมดาที่ต้องมีวาบหวิวบ้าง แต่ฉบับที่ตนถ่าย ทางนิตยสารก็ลงมาดูเป็นพิเศษ เพราะเขารู้ว่าเราเป็นหมอและใส่ใจว่าต้องรักษาภาพพจน์ของเราด้วยไม่ให้น่าเกลียดจนเกินไป ส่วนทางครอบครัวก็ไม่ได้ว่าอะไรเช่นกัน โดยเฉพาะคุณแม่ก็เป็นคนหัวสมัยใหม่และชอบแต่งตัวเหมือนกัน สำหรับตัวหมอเรียนจบคณะแพทยศาสตร์ หลักสูตรแพทย์ทั่วไป 6 ปีที่มหาวิทยาลัยขอนแก่น รุ่นเดียวกับหมอเบิร์ท-พ.ญ.อภิสมัย ศรีรังสรรค์ อดีตนางสาวไทย ซึ่งเป็นจิตแพทย์ประจำร.พ.ศรีธัญญา หลังจากนั้นก็ไปเรียนแพทย์เฉพาะทางด้านจิตแพทย์ที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

"ปกติเป็นคนที่ชอบแต่งตัวอยู่แล้ว เพราะเราทำงานด้านนี้ก็อยากให้คนไข้รู้สึกสดชื่น ถ้าหากปล่อยตัวโทรม คนไข้ก็อาจรู้สึกไม่สดชื่นแจ่มใสได้" พ.ญ.เบญญาภาระบุ

ทางด้านน.พ.ม.ล.สมชาย จักรพันธุ์ อธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าวภายหลังได้ดูรูปถ่ายแฟชั่นในนิตยสารมาดาม ฟิกาโรว่า พ.ญ.เบญญาภาเป็นหมออายุก็เยอะแล้ว น่าจะคิดได้ว่าทำอะไรอยู่ ถ้าถามว่ามีสิทธิ์ทำได้หรือไม่ก็คงต้องตอบว่ามีสิทธิ์ แต่ว่าภาพลักษณ์ของหมอคนมักจะติดว่าต้องเรียบร้อย น่าเคารพ ถ้าพ.ญ.เบญญาภาเป็นหมอด้านความสวยความงามแล้วมาเป็นพรีเซ็นเตอร์ให้กับผลิตภัณฑ์เพื่อความสวยความงามก็คงจะเหมาะ แต่กรณีนี้เป็นจิตแพทย์ ถ้าถามถึงความเหมาะสมว่าเหมาะหรือไม่นั้น เรื่องนี้ขึ้นกับเจ้าตัวที่จะต้องคิดเอาเอง เป็นหมออายุมากแล้วน่าจะคิดได้

น.พ.ม.ล.สมชายกล่าวต่อว่า พ.ญ.เบญญาภาเรียนจบหมอ ภาพของความเป็นหมอก็จะติดตัวตลอดไป ตัวเขาเองอาจจะไม่ค่อยอยากเป็นก็ได้ แต่ก็คงไม่สามารถลบคำว่าหมอออกไปได้ การกระทำอะไรนั้นหากทำแล้วรู้ตัวว่าทำอะไรอยู่ก็โอเค หมอเป็นนางสาวไทยก็เคยมีมาแล้ว แต่ต่างจากกรณีนี้ เพราะพ.ญ.อภิสมัย ศรีรังสรรค์ เป็นคนวางตัวดี แต่งตัวดี เป็นคนทำงานเก่ง หากสังคมจะว่าเหมาะหรือไม่เหมาะก็เป็นสิ่งที่สังคมพูดได้ แต่ถ้าเจ้าตัวอยากจะทำก็ไม่ว่ากัน

"พ.ญ.เบญญาภาเนี่ยในสมัยเรียนจบใหม่ๆ เคยมาฝึกเป็นหมอด้านผิวหนัง แต่ตอนนั้นไม่มีตำแหน่ง จึงไม่ได้รับเข้าไว้ในโรงพยาบาล" อธิบดีกรมสุขภาพจิตกล่าว

ส่วนน.พ.สมศักดิ์ โล่ห์เลขา นายกแพทยสภา กล่าวว่า ตามกฎของแพทยสภา ห้ามแพทย์ พยาบาล โฆษณาสินค้าที่เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ด้านสุขภาพ เพราะถือว่าจะทำให้ประชาชนเข้าใจผิดได้ กรณีดังกล่าวจำเป็นต้องเข้าที่ประชุมคณะกรรมการเพื่อพิจารณาว่าเข้าข่ายโฆษณาผลิตภัณฑ์ด้านสุขภาพหรือไม่ ส่วนเรื่องการถ่ายภาพล่อแหลม ถือเป็นสิทธิส่วนบุคคล ช่วงหลังๆ มีการเรียกร้องสิทธิส่วนบุคคลมากขึ้น ทำให้แพทยสภาไม่สามารถห้ามอะไรได้ ถ้าการถ่ายแบบดังกล่าวไม่โป๊ถึงขั้นเปลือย ทำให้เสื่อมเสียเกียรติยศของแพทย์ก็เป็นสิทธิส่วนบุคคลที่สามารถทำได้ คณะกรรมการไม่มีสิทธิ์ห้าม แต่ในส่วนของการเป็นพรีเซ็นเตอร์สินค้านั้น จำเป็นต้องพิจารณาให้ถี่ถ้วน เพราะถือว่ามีผลต่อความเข้าใจของประชาชน อาจมีความเข้าใจผิดได้ว่าสินค้าดังกล่าวได้รับการการันตีคุณภาพโดยแพทย์ผู้โฆษณา ซึ่งทำให้ประชาชนอาจเข้าใจผิดถึงสรรพคุณของสินค้า

น.พ.พินิจ กุลละวณิชย์ เลขาธิการแพทยสภา กล่าวว่า แพทยสภามีหน้าที่ดูแลว่าด้วยเรื่องของวิชาชีพ การประกอบวิชาชีพ การกระทำสิ่งของแพทย์ พยาบาล ที่มีผลกระทบต่อผู้ป่วยโดยรวม เรื่องดังกล่าวจึงถือเป็นสิทธิของแต่ละบุคคลที่จะสามารถทำได้ แต่หากเป็นความเห็นส่วนตัว ตนคิดว่าเป็นเรื่องซึ่งคนเป็นแพทย์ไม่น่ากระทำ

น.พ.วิชัย เทียนถาวร ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวถึงกรณีดังกล่าวว่า เป็นเสรีภาพที่สามารถจะทำได้ แต่ด้วยวิชาชีพ เช่นหมอหรือครู ต่างเป็นอาชีพที่ประชาชนให้ความเคารพศรัทธา ไม่ว่าคนเด็กหรือคนแก่ ต่างก็ยกมือไหว้ จากการดำรงอยู่ในวิชาชีพแพทย์ ซึ่งบุคลิกภาพของแพทย์ พยาบาล ต้องประกอบด้วยกิริยา มารยาท การแต่งกาย เพื่อให้สมกับที่คนให้ความเคารพ เรื่องดังกล่าวก็เป็นสิทธิที่พึงปฏิบัติได้ แต่ด้วยวัฒนธรรม ด้วยวิชาชีพ ก็ขึ้นอยู่กับวิจารณญาณของแต่ละบุคคลที่จะพึงกระทำ


Posted by : SMC , Date : 2005-02-03 , Time : 20:59:47 , From IP : 172.29.4.206

ความคิดเห็นที่ : 7


   ไม่น่าเป็นไรนะ ของๆเขา ร่างกายของเขา อยากจะทำอะไรก็เรื่องของเขา
แต่เท่าที่ดูรูปก็ไม่เห็นได้โชว์อะไรมากมายนี่ ไม่เห็นเซ็กซี่ตรงไหน
เหมือนโพสต์ท่าถ่ายรูปธรรมดา เพียงแต่ได้ลงหนังสือเท่านั้นเอง
ที่วิจารณ์กันเยอะคงเป็นเพราะไม่ค่อยมีหมอที่ได้ทำแบบนี้มากกว่า
ส่วนเรื่องการเอาวุฒิแพทย์ไปแอบอ้างโฆษณาชวนเชื่อนั้น
น่าจะเป็นคนละประเด็นกัน แต่คิดว่าไม่เหมาะสมแน่นอน


Posted by : Maxim , Date : 2005-02-03 , Time : 21:01:33 , From IP : 172.29.7.28

ความคิดเห็นที่ : 8


   


หมอเซ็กซี่ - ภาพแฟชั่นของพ.ญ.เบญญาภา ชินเวชกิจวานิชย์ จิตแพทย์ ร.พ.กรุงเทพ จันทบุรี และมิสมาลี คอนฟิเดนซ์ 2004 ที่โพสท่าถ่ายลงนิตยสาร"มาดาม ฟิกาโร"ฉบับล่าสุด ซึ่งวงการแพทย์วิจารณ์อย่างกว้างขวางในขณะนี้


อีกบท- ภาพแฟชั่นจากนิตยสารมาดามฟิกาโร ซึ่งพ.ญ.เบญญาภา ชินเวชกิจวานิชย์ จิตแพทย์ ร.พ.กรุงเทพ จันทบุรี และมิสมาลี คอนฟิเดนซ์ 2004 โพสท่าถ่ายลงจนวงการแพทย์วิจารณ์กันอย่างกว้างขวาง ตามข่าว

ข่าวจาก นสพ.ข่าสด
ฮือฮาแพทย์หญิงสาวสวย ถ่ายแบบเซ็กซี่-เฟี้ยวฟ้าวลงนิตยสารในฐานะเจ้าของตำแหน่ง "มิสมาลี คอนฟิเดนซ์ 2004" เผยเป็นจิตแพทย์จบจากม.ขอนแก่น ปัจจุบันทำงานอยู่ร.พ.กรุงเทพ เมืองจันท์ เจ้าตัวเปิดใจมั่นใจไม่เสียหาย เพราะไม่ได้ถ่ายแบบวาบหวิวอะไร ปกติตัวเองก็แต่งตัวเปรี้ยวแบบนี้อยู่แล้ว เผยมีเพื่อนร่วมรุ่นเป็นหมอนางสาวไทย "หมอเบิร์ท-อภิสมัย" คนดังด้วย ทางด้านหมอผู้ใหญ่ไม่ค่อยแฮปปี้ ชี้ทางเดียวกันเป็นสิทธิส่วนบุคคลที่สามารถทำได้ แต่ไม่ค่อยเหมาะสมกับภาพของหมอเท่าไร ยก"หมอเบิร์ท"มาเปรียบ วางตัวดี ทำงานก็เก่ง

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในแวดวงแพทย์ได้วิพากษ์วิจารณ์กันมาก กรณีที่พ.ญ.เบญญาภา ชินเวชกิจวานิชย์ จิตแพทย์ร.พ.กรุงเทพ จันทบุรี ไปถ่ายแบบลงในนิตยสาร"มาดาม ฟิกาโร" ฉบับเดือนก.พ. 2548 โดยโพสท่าในลักษณะเซ็กซี่ รวมทั้งใส่เสื้อสั้นโชว์สะดือด้วย ทั้งนี้ พ.ญ.เบญญาภาเคยได้รับตำแหน่ง"มิสมาลี คอนฟิเดนซ์ 2004" ในการประกวดคัดเลือกของน้ำผลไม้มาลีมาก่อน

พ.ญ.เบญญาภา กล่าวถึงกรณีดังกล่าวว่า ไม่ได้รู้สึกหนักใจว่าจะโดนวิพากษ์วิจารณ์ เพราะภาพที่ถ่ายลงในนิตยสารก็ไม่ได้วาบหวิวมาก ปกติก็เป็นคนแต่งตัวเปรี้ยวอยู่แล้ว สำหรับที่มาของการเข้าประกวดมิสมาลี จิตแพทย์คนสวยกล่าวว่า ได้กลับมาบ้านที่กรุงเทพฯ มีวันหนึ่งไปเดินที่ห้างเซ็นทรัล ปิ่นเกล้า ซึ่งมีบูธของน้ำผลไม้มาลีอยู่ แล้วมีคนเข้ามาถามว่าสนใจถ่ายรูปและเขียนใบสมัครมิสมาลีไหม จึงลองประกวดดู ปรากฏว่าได้รับตำแหน่ง ตอนเข้าประกวดเพื่อนๆก็เห็นด้วย ให้การสนับสนุน

"เมื่อได้ตำแหน่งก็รู้สึกดีใจ หลังจากได้ตำแหน่ง หมอก็ยังปฏิบัติหน้าที่หมออยู่เช่นเดิม และก็เริ่มมีงานข้างนอกเข้ามาบ้าง เริ่มด้วยการถ่ายแบบในนิตยสารมาดามฟิกาโร เป็นหน้าซึ่งทางมาลีได้เข้าไปซื้อโฆษณา ภาพที่ถ่ายออกมาหมอก็พอใจ และในการทำงานทางบ.ก.ใหญ่ของมาดามฟิกาโรก็มายืนควบคุมการถ่ายทำด้วยและคอยกำชับไม่ให้วาบหวิวจนเกินไป เพราะเราเป็นหมอ ในส่วนของตัวหมอเองก็คิดว่ามันไม่ได้โป๊ เป็นชุดธรรมดา เพราะปกติตัวหมอเองก็เป็นคนที่ชอบแต่งตัวเปรี้ยวอยู่แล้ว โดยเฉพาะวันเสาร์อาทิตย์ ส่วนวันธรรมดาก็จะแต่งตัวเรียบร้อย แต่จะเน้นสีสัน แฟชั่นชุดตัวใน แล้วสวมชุดกาวน์ไว้ข้างนอก" พ.ญ.เบญญาภากล่าว

จิตแพทย์สาวกล่าวต่อไปว่า พอหนังสือออกมา ได้ถามความคิดเห็นของเพื่อนเหมือนกันว่าดูน่าเกลียดไหม เพื่อนก็บอกว่าไม่โป๊ เพราะนิตยสารหัวฝรั่งแบบนี้ก็เป็นธรรมดาที่ต้องมีวาบหวิวบ้าง แต่ฉบับที่ตนถ่าย ทางนิตยสารก็ลงมาดูเป็นพิเศษ เพราะเขารู้ว่าเราเป็นหมอและใส่ใจว่าต้องรักษาภาพพจน์ของเราด้วยไม่ให้น่าเกลียดจนเกินไป ส่วนทางครอบครัวก็ไม่ได้ว่าอะไรเช่นกัน โดยเฉพาะคุณแม่ก็เป็นคนหัวสมัยใหม่และชอบแต่งตัวเหมือนกัน สำหรับตัวหมอเรียนจบคณะแพทยศาสตร์ หลักสูตรแพทย์ทั่วไป 6 ปีที่มหาวิทยาลัยขอนแก่น รุ่นเดียวกับหมอเบิร์ท-พ.ญ.อภิสมัย ศรีรังสรรค์ อดีตนางสาวไทย ซึ่งเป็นจิตแพทย์ประจำร.พ.ศรีธัญญา หลังจากนั้นก็ไปเรียนแพทย์เฉพาะทางด้านจิตแพทย์ที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

"ปกติเป็นคนที่ชอบแต่งตัวอยู่แล้ว เพราะเราทำงานด้านนี้ก็อยากให้คนไข้รู้สึกสดชื่น ถ้าหากปล่อยตัวโทรม คนไข้ก็อาจรู้สึกไม่สดชื่นแจ่มใสได้" พ.ญ.เบญญาภาระบุ

ทางด้านน.พ.ม.ล.สมชาย จักรพันธุ์ อธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าวภายหลังได้ดูรูปถ่ายแฟชั่นในนิตยสารมาดาม ฟิกาโรว่า พ.ญ.เบญญาภาเป็นหมออายุก็เยอะแล้ว น่าจะคิดได้ว่าทำอะไรอยู่ ถ้าถามว่ามีสิทธิ์ทำได้หรือไม่ก็คงต้องตอบว่ามีสิทธิ์ แต่ว่าภาพลักษณ์ของหมอคนมักจะติดว่าต้องเรียบร้อย น่าเคารพ ถ้าพ.ญ.เบญญาภาเป็นหมอด้านความสวยความงามแล้วมาเป็นพรีเซ็นเตอร์ให้กับผลิตภัณฑ์เพื่อความสวยความงามก็คงจะเหมาะ แต่กรณีนี้เป็นจิตแพทย์ ถ้าถามถึงความเหมาะสมว่าเหมาะหรือไม่นั้น เรื่องนี้ขึ้นกับเจ้าตัวที่จะต้องคิดเอาเอง เป็นหมออายุมากแล้วน่าจะคิดได้

น.พ.ม.ล.สมชายกล่าวต่อว่า พ.ญ.เบญญาภาเรียนจบหมอ ภาพของความเป็นหมอก็จะติดตัวตลอดไป ตัวเขาเองอาจจะไม่ค่อยอยากเป็นก็ได้ แต่ก็คงไม่สามารถลบคำว่าหมอออกไปได้ การกระทำอะไรนั้นหากทำแล้วรู้ตัวว่าทำอะไรอยู่ก็โอเค หมอเป็นนางสาวไทยก็เคยมีมาแล้ว แต่ต่างจากกรณีนี้ เพราะพ.ญ.อภิสมัย ศรีรังสรรค์ เป็นคนวางตัวดี แต่งตัวดี เป็นคนทำงานเก่ง หากสังคมจะว่าเหมาะหรือไม่เหมาะก็เป็นสิ่งที่สังคมพูดได้ แต่ถ้าเจ้าตัวอยากจะทำก็ไม่ว่ากัน

"พ.ญ.เบญญาภาเนี่ยในสมัยเรียนจบใหม่ๆ เคยมาฝึกเป็นหมอด้านผิวหนัง แต่ตอนนั้นไม่มีตำแหน่ง จึงไม่ได้รับเข้าไว้ในโรงพยาบาล" อธิบดีกรมสุขภาพจิตกล่าว

ส่วนน.พ.สมศักดิ์ โล่ห์เลขา นายกแพทยสภา กล่าวว่า ตามกฎของแพทยสภา ห้ามแพทย์ พยาบาล โฆษณาสินค้าที่เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ด้านสุขภาพ เพราะถือว่าจะทำให้ประชาชนเข้าใจผิดได้ กรณีดังกล่าวจำเป็นต้องเข้าที่ประชุมคณะกรรมการเพื่อพิจารณาว่าเข้าข่ายโฆษณาผลิตภัณฑ์ด้านสุขภาพหรือไม่ ส่วนเรื่องการถ่ายภาพล่อแหลม ถือเป็นสิทธิส่วนบุคคล ช่วงหลังๆ มีการเรียกร้องสิทธิส่วนบุคคลมากขึ้น ทำให้แพทยสภาไม่สามารถห้ามอะไรได้ ถ้าการถ่ายแบบดังกล่าวไม่โป๊ถึงขั้นเปลือย ทำให้เสื่อมเสียเกียรติยศของแพทย์ก็เป็นสิทธิส่วนบุคคลที่สามารถทำได้ คณะกรรมการไม่มีสิทธิ์ห้าม แต่ในส่วนของการเป็นพรีเซ็นเตอร์สินค้านั้น จำเป็นต้องพิจารณาให้ถี่ถ้วน เพราะถือว่ามีผลต่อความเข้าใจของประชาชน อาจมีความเข้าใจผิดได้ว่าสินค้าดังกล่าวได้รับการการันตีคุณภาพโดยแพทย์ผู้โฆษณา ซึ่งทำให้ประชาชนอาจเข้าใจผิดถึงสรรพคุณของสินค้า

น.พ.พินิจ กุลละวณิชย์ เลขาธิการแพทยสภา กล่าวว่า แพทยสภามีหน้าที่ดูแลว่าด้วยเรื่องของวิชาชีพ การประกอบวิชาชีพ การกระทำสิ่งของแพทย์ พยาบาล ที่มีผลกระทบต่อผู้ป่วยโดยรวม เรื่องดังกล่าวจึงถือเป็นสิทธิของแต่ละบุคคลที่จะสามารถทำได้ แต่หากเป็นความเห็นส่วนตัว ตนคิดว่าเป็นเรื่องซึ่งคนเป็นแพทย์ไม่น่ากระทำ

น.พ.วิชัย เทียนถาวร ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวถึงกรณีดังกล่าวว่า เป็นเสรีภาพที่สามารถจะทำได้ แต่ด้วยวิชาชีพ เช่นหมอหรือครู ต่างเป็นอาชีพที่ประชาชนให้ความเคารพศรัทธา ไม่ว่าคนเด็กหรือคนแก่ ต่างก็ยกมือไหว้ จากการดำรงอยู่ในวิชาชีพแพทย์ ซึ่งบุคลิกภาพของแพทย์ พยาบาล ต้องประกอบด้วยกิริยา มารยาท การแต่งกาย เพื่อให้สมกับที่คนให้ความเคารพ เรื่องดังกล่าวก็เป็นสิทธิที่พึงปฏิบัติได้ แต่ด้วยวัฒนธรรม ด้วยวิชาชีพ ก็ขึ้นอยู่กับวิจารณญาณของแต่ละบุคคลที่จะพึงกระทำ


Posted by : SMC , Date : 2005-02-03 , Time : 21:01:33 , From IP : 172.29.4.206

ความคิดเห็นที่ : 9


   ไม่เห็นเสียหายตรงไหนนี่ครับ รูปที่ออกมาผมว่าไม่ได้น่าเกลียดอะไร เรื่องนี้ผมเห็นว่าเป็นสิทธิส่วนบุคคลครับ
แต่เรื่องที่ใช้ชื่อ พ.ญ.เป็นพรีเซนเตอร์ผลิตภัณฑ์ด้านสุขภาพนั้นคงต้องพิจารณากันอีกประเด็นหนึ่ง


Posted by : peterz , Date : 2005-02-03 , Time : 21:46:11 , From IP : 172.29.4.165

ความคิดเห็นที่ : 10


   ผมคิดว่ามันขึ้นอยู่กับเราว่าจะมองในแง่ไหน 1. ถ้าให้คุณเบญญาภาเป็นเพียงคนคนหนึ่งในสังคมก็จะไม่มีข้อโต้แย้งว่ามันเป็นสิทธิ์ของเขา 2. ถ้าสมมติว่าแพทย์หญิงเบญญาภาไปถ่ายรูปเปลือย แน่นอนว่ามันจะดูเป็นเรื่องเกินงาม และในที่นี้คุณเบญญาภามีบทบาทมากกว่าหนึ่งอย่าง แต่สังคมก็อดไม่ได้ที่จะเชื่อมโยงว่าภาพเปลือยกับความเป็นแพทย์เป็นสิ่งที่ไม่เหมาะสม

สำหรับผม ผมเข้าใจว่าวิชาชีพแพทย์เป็นสิ่งที่ใครๆก็ให้ความเคารพ และแพทย์ก็เป็นผู้นำในทีมรักษาผู้ป่วย(ไม่รู้ว่าเกี่ยวกันมั้ย) แต่ผมว่า(จากรูปที่เห็น)มันก็ไม่ได้เปลือยอะไรนอกจากสะดือนี่นา และการเป็นเพียง presenter แต่ไม่ได้สนับสนุนว่าผลิตภัณฑ์ดังกล่าวดีจนเกินความจริงก็ไม่น่าจะเป็นเรื่องที่จะต้องมาวิจารณ์ในแง่ลบนะ

ไม่ทราบว่าท่านอื่นๆ มีความเห็นเช่นไร


Posted by : Skywalker , Date : 2005-02-03 , Time : 21:51:01 , From IP : 172.29.4.131

ความคิดเห็นที่ : 11


   ในชีวิตประจำวันของคนทุกคนแสดงหลายบทบาทอยู่แล้วในเวลาเดียวกัน เช่นเป็นพ่อเป็นแม่ เป็นครูเป็นอาจารย์ เป็นลูก และเป็น....อีกมากมาย ไม่แปลกที่คนคนหนึ่งจะเป็นแบบนี้ เพราะนี่คือการแสดงอีกบทบาทหนึ่งคือ มีสมาลี
แต่มันสำคัญตรงที่ว่า ต้องกำหนดให้ชัดว่า เรากำลังเล่นอยู่ในบทบาทไหน เช่นไม่ควรใช้คำว่า พญ ที่เป็นอีกบทบาทหนึ่งในการกระทำดังกล่าว น่าจะเปลี่ยนroleไปเป็นอีกแบบหนึ่งไปเลย เช่น ทำในบทบาทของ มีสมาลี2004
แต่อย่างไรเสีย ถ้าบทบาทต่างๆที่เราเล่นนั้นมันแตกต่างกันอย่างสุดขั้วคนละด้านแบบชัดเจนมากเกินไป ก็เป็นไปได้ว่าบทบาทหนึ่งอาจจะไปกระทบกับอีกบทบาทหนึ่งได้อย่างเช่นกรณีนี้ ก็คงต้องยอมรับผลที่ตามมา กับการที่คนอื่นจะสับสนในตัวเรา
ถ้าจะวิเคราะห์ลงลึกว่าบทบาทนี้ จะกระทบต่อการเป็นจิตแพทย์หรือไม่ ก็คงอยู่ที่การวางตัว วางบทบาทตอนเป็นจิตแพทย์ ซึ่งคิดว่า คงมีหลักการของวิชาชีพให้ยึดถือปฏิบัติกันอยู่ ถ้าไม่สับสนไปเสียก่อน และยังคงยึดตามกรอบที่ควรจะเป็น ก็ไม่น่าจะเป็นไร


Posted by : pisces , Date : 2005-02-03 , Time : 22:14:52 , From IP : 172.29.7.218

ความคิดเห็นที่ : 12


   พอดีเพิ่งอ่านความเห็นของคุณ peterz แล้วพอจะจำได้บ้างว่าเคยเรียนอะไรในวิชา Ethics ตอนปี 2-3 ซึ่งคุ้นๆว่าจะเป็น Hippocratic Oaths, International Codes of Medial Ethics และ Declaration of Genova
ตอนนี้ผมชักจะไม่แน่ใจแล้วสิครับว่ากรณีดังกล่าวยังอยู่ใน Ethics and Medical Professionalism หรือไม่


Posted by : Skywalker , Date : 2005-02-03 , Time : 22:17:16 , From IP : 172.29.4.131

ความคิดเห็นที่ : 13


   เผื่อท่านไหนสนใจครับ

World Medical Association International Code of Medical Ethics
http://www.wma.net/e/policy/c8.htm

The Hippocratic Oath (traditional text)
http://en.wikipedia.org/wiki/Hippocratic_Oath


Posted by : Skywalker , Date : 2005-02-03 , Time : 22:22:10 , From IP : 172.29.4.131

ความคิดเห็นที่ : 14


   เศร้าใจจริงๆคนมีความรู้ดีๆน่าจะชี้นำสังคมในทางที่ดี แพทย์เป็นอาชีพที่สูงส่งทุกคนในสังคมรักในอาชีพนี้เป็นความฝันของเยาวชน แต่หมอกลับลดความน่าเชื่อถือในวิชาชีพด้วยเศษของอะไรไม่รู้ไร้แก่นสารซ้ำยังมอมเมาเยาวชนให้หลงผิดไม่คุ้มกันเลย ชุดหมอที่สวมใส่ช่างขาวสอาดปกปิดมิดชิดใครเห็นเขาก็รู้ว่าเป็นหมอ ไม่เคยสักครั้งที่จะโป๊ แต่ทำไมนะจึงหลงผิดได้ เอาเศษ.......ที่ได้มาคืนเขาแล้วขอโทษที่ก้าวย่างพลาดไปสังคมยังอภัยให้...เยาวชนของเราก็ภาคภูมิใจ

Posted by : อินทรีย์ , Date : 2005-02-03 , Time : 23:15:03 , From IP : 172.29.7.48

ความคิดเห็นที่ : 15


   คงจะต้องวิเคราะห์เป็นส่วนๆ และไม่พยายาม sensationlize ให้น่าตื่นเต้นเกินบริบท คงจะเป็นจุดเริ่มต้นทีดีเหมือนกัน

เอาเรื่อง "จริยศาสตร์" ก่อน Principle of Ethics มี 4 ประการหลักคือ autonomy, non-maleficence, beneficence และ justice คือการดำเนินชีวิตโดยสิทธิของปัจเจกบุคคลตราบที่สิทธินั้นไม่ได้ไปเบียดเบียนผู้อื่น หลักการไม่ทำอะไรที่เป็นภยันอันตรายหรือเดือดร้อน หลักการทำให้ความดีความสุข และหลักแห่งความยุติธรรม ตรงนี้จะเข้ากับ (หรือไม่เข้ากับ) หลักข้อไหน?

Ethics เป็นเรื่องของ reasoning และ เผอิญ reasoning นี่ ยากที่เราจะไม่เอา Background ของ individual มาตัดสินด้วย แต่ถ้าว่านามนิยามของคำจริงๆ จริยศาสตร์นั้นเป็น "สากล" คือเป็น share value ที่พูดที่ไหนก็คิดเหมือนกัน ถ้าเมือ่ไหร่ที่ share value ต่างกันผมว่าตรงนั้นจะออกไปทางขนบธรรมเนียมประเพณีหรือวัฒนธรรมประจำชาติ ประจำเผ่า ประจำท้องถิ่นมากกว่า และในความคิดของผมเรื่องนี้ตกมาประเด็นหลังนี่ ไม่ใช่ประเด็นแรก

ทำไม?

share value of medical professional หรือหลักปรัชญาที่เป็น "แก่น" ของเรามีคำเดียวแหละครับ ชาติอื่นๆคล้ายๆกันแต่ที่สมเด็จพระราชบิดาวางไว้นั่นชัดเจนที่สุดแล้ว คือ งานของเรา คุณค่าของเรา คือการรักษา การทำประโยชน์ของผู้ป่วยเป็นหลักสำคัญ

หมอจะแต่งขาก๊วยก็สามารถวิ่งไปกดหลอดเลือด carotid ที่คอคนไข้ได้ หมอที่นุ่งบิกินนี two-piece ก็สามารถทำ CPR resuscitate ทำ mouth-to-mouth คนไข้จมน้ำได้ โดยไม่ต้องตะขิดตะขวงใจต้องไปนุ่งผ้าให้เรียบร้อยซะก่อน หมอที่หนวดเครารุงรัง พูดจากรรโชกโฮกฮาก แต่ถ้าแกสามารถช่วยคนไข้สุนามิไปสามวันสามคืนไม่หลับนอนก็ไม่เห็นเป็นไร มีใคร concern เรื่องทรงผมหมอพรทิพย์บ้างตอนแกทำงานอยู่?

ถ้าตรงนี้ OK ก็จะหลุดจาก "ต้องทำ" หรือ "ต้องไม่ทำ" ไปอยู่ใน category "ควร" หรือ "ไม่ควร" ก็ไม่ใช่เรื่องว ethics อีกต่อไป แต่เป็นเรื่องจรรยาบรรณวิชาชีพ บ้าง เรือ่งวัฒนธรรม ประเพณี ความเชื่อส่วนตัว ตรงนี้แหละอย่างที่คุณ Omnisci ว่าคือก่อนจะลุยลงไปด่าใคร ถอยออกมาสองก้าว สูดลมหายใจลึกๆ แล้วคิดว่าเรากำลัง "ตัดสิน" เพราะ background เป็นหลักหรือว่า share value (ระดับ local) เป็นหลัก ข้อที่ควรคำนึงอีกประการนึงก็คือ democracy ไม่ใช่เครื่องมือที่ดีที่สุดในการตัดสินผิดถูก

ตกลงเรากำลังวิจารณ์เรื่องการแต่งตัวของ "หญิงไทย" หรือ "แพทย์หญิงไทย" อันนั้นเรื่องที่หนึ่ง เรื่องที่สองคือ "การแต่งตัว" กับคุณค่าของคนนี่ค่อนข้างจะห่างไกลกันพอสมควร และแถมยังเป็นเรื่องของ "คนมอง" แทนที่จะเป็นคนใส่ซะด้วยซ้ำในกรณีส่วนใหญ่ เช่น ตกลงคนที่เห็นสะดือผู้หญิงแล้วรู้สึกลามกในหัวนั้น น่าจะแก้ที่สะดือผู้หญิงหรือไปลดความลามกจกเปรตในความคิดของตนเองลง คนที่เห็นขาอ่อนแล้วนึกออกแต่เรื่องอย่างว่า ควรจะไปออกกฏหมายปิดชายหาดหรือเอาคนนี้ไปเข้าจิตบำบัดแก้โรค sex ขึ้นสมอง มีคนทนไม่ได้แม้แต่ดูภาพนู้ด รูปปั้น human body แล้วแก้ตัวว่าคนปั้น คนทำ คนถ่ายภาพที่ลามก ทั้งๆที่ลามกนั้นเกิดตอน "รับและแปลผล" นะครับ ไม่ใช้เกิดตอนส่งสัญญานออก

มันเป็นเพราะความหงุดหงิดที่ตนเองถูกกระตุ้นง่ายรึเปล่า เลยต้องรีบ blame คนอื่นก่อน แทนที่จะยอมรับว่าเราเองที่นึกเลยเถิดเกินสิ่งที่เห็น เรื่องนี้ก็เหมือนกับ blame culture ที่ว่า ความรู้สึก insecure ที่เราถูกกระตุ้นให้คิดเรื่องต่ำใต้สะดือ ทำให้เราต้อง force ให้คนอื่นอย่าโชว์ อย่าแสดง เพราะเราจะคอยแต่นึกถึงได้แต่เรื่องอย่างนั้น

ความน่าเชื่อถือ ของวิชาชีพ ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย และไม่ว่าวิชาชีพไหนก็ตาม ผมว่าเราควรจะเริ่มจากการมองที่ "แก่น" ที่ "สาระ" ของวิชาชีพนั้นๆมากกว่าเปลือก เช่น หมอ ต้องใส่แว่น เสื้อขาว ตำรวจต้องใส่เสื้อฟิต แว่นเรย์แบน นักการเมืองต้องชุดพระราชทาน ยิ้มเก่ง นักปฏิงัติต้องแต่งตัวโทรมๆ ต่อต้านกฏทุกคนที่นึกออกที่ผ่านหน้า ผมว่าที่เป็นรากพิษของสังคมคือการติดที่แค่เปลือกนี่เอง ทำให้เราเป็นคนที่ Materialism มากขึ้นเรือยๆ ตัดสินคนแต่เปลือกนอก บอกว่าเลวตั้งแห็นรูป บอกว่าดีตั้งแต่เห็นในทีวี บอกว่าสุดยอดโดยแค่อ่านจากข่าวหนังสือพิมพ์

ถ้าเราพยายาม "ตัดสินคุณค่า" เร็วๆแบบนี้ไปเรื่อยๆ เราจะนำตัวเราห่างจากหลักการ ปรัชญา เนื้อหาสาระที่แท้จริงไปเรื่อยๆเหมือนกัน กลายเป็นพวก reactionary ตัดสินคนแค่มีคนเอาเงินมาให้ก็เลือกตั้งมันไป เพราะมันน่าจะดีนะ คนๆนี้ฉันเห็นสะดือเขาแล้ว น่าจะเป็นกะหรี่ไม่สงวนตัวนะ คนๆนี้แต่งตัวเข้าท่าน่าจะเป็นหมอที่ดีมีคุณธรรมนะ คนๆนี้เคยเลือกเรียน skin แปลว่า? (ตรงนี่ผมงงจริงๆ ว่าท่านอธิบดีกรมจิตเรา กำลังหมายความว่าอะไร ท่านมีมุมเจตคติเช่นไรกับหมอที่เลือกเรียน skin? ทำไมท่านถึงคิดว่ามันมีความสำคัญขนาดต้อง add รวมอยู่ใน comment?)



Posted by : Phoenix , Date : 2005-02-04 , Time : 04:04:44 , From IP : 172.29.7.60

ความคิดเห็นที่ : 16


   ปีที่แล้ว ผมไปประชุมเรื่องจริยศาสตร์ อาจารย์อรุณ โรจนกุล (หัวหน้าภาคศัลย์ จุฬา) สรุป "การปฏิบัติ" เรื่องจริธรรมไว้สี่หมวด เวลามี dilemma ว่าพึงจะทำอย่างไรได้บ้าง
1) declaration
2) juror consultant
3) regulation
4) banning

เลือกใช้ต่างกรรม ต่างวาระ

Declaration เช่น เวลาเราไป present ผลงานวิจัยที่ได้ทุนมาจากบริษัทนี้ จากงบประมาณขององค์กรนี้ (เช่น animal right acitviist เรื่องการทดสอบเครื่องสำอางค์ในสัตว์) ถ้าเราคิดว่า "การแปลผล" อาจจะมีคนคิดว่ามีความกระทบกระเทือนจากต้นสังกัด จากต้นทุนได้ ก็ declare ไปลยตั้งแต่แรก อย่าไปปิดบัง และให้เป็นวิจารณญานของคนฟัง ว่านี่เรา decalre แล้ว จะได้เอาไปประกอบกับฟัง methodology ของเรา ว่าจะเชื่อหรือไม่เชื่อเอาเอง

Juror consulting or meeting
อันไนที่ไม่แน่ใจ ก็ถามๆกันหลายๆคน อันนี้ก็เป็น informal และเรื่องไมใหญ่มาก เช่น บริษัทยาจะเลี้ยงติ่มซำประกอบหลังอ่าน journal โดยว่าเป็นการส่งเสริมวิชาการ เดี๋ยวคุณหมอจะหิว ฟังไม่รู้เรื่อง เอ... ดีไหมหว่า ก้ลองถามคนภายนอกเป็น represenatative ดูว่า เนี่ย ยังงี้น่าเกลียดไหม หรือ OK ใช้วิธีนี้ก็จะไม่เป็น norm สำหรับทั่วทั้งวงการ เหมาะสำหรับเร่องจ้อยๆ หาคนมาเสริมความมั่นใจ ความโปร่งใส

Regulation
ถ้าเป็น issue ที่เป็นปัญหาบ่อยๆ และสาธารณชน concern เช่น บริษัทยาให้เงินสดเป้นค่าวิทยากร เป็น ฯลฯ อันนี้มันชักก้ำกึ่งว่าจะบริสุทธิ์ใจได้ขนาดไหน declare แล้วก็อาจจะไม่ช่วย ฉะนั้นองค์กรวิชาชีพก็ต้องยื่นมือเข้ามาตั้งเป็นกฏเป็นเกณฑ์ เช่น เวินสด รับได้ค่าอะไรพวกนี้ไม่เกิน 1000 บาทเท่านั้น คิดว่าปริมาณก็ไม่ได้มากมายอะไร คงไม่มีใครจะยอมโกหกเอ่วิชาชีพของตนมาเสียกับเงินแค่นี้

banning
อันนี้ก็ตรงตัว คือมันเสียหายได้แน่ๆ "ถึงแม้ว่า" จะมีเจตนาบริสุทธิ์ก็ตาม อันหวาดเสียวมาก เอาเห็นชัดๆก็ active euthanasia ในไทยยังผิดกฏหมายอยู่นะครับ ห้ามทำ สองแบบหลังนี้ต้องตั้งแล้วพอเห็นวิธี control surveillace นะครับ ไม่งั้นก้ไม่มีผลบังคับอะไร กลายเป็นเสือกระดาษ

ถ้าวิชาชีพหรือวงการจรรยาบรรณอะไรคิดว่าเรือ่งไหนสำคัญ อย่างน้อยก็ต้องทำไม่ regulate ก็ต้องban ไปเลย อย่างที่อธิบดีกรมจิตบอกว่า ถ้าพ.ญ.เบญญาภาเป็นหมอด้านความสวยความงามแล้วมาเป็นพรีเซ็นเตอร์ให้กับผลิตภัณฑ์เพื่อความสวยความงามก็คงจะเหมาะ แสดงว่าแกไม่เคยรับทราบกฏ regulation อะไรเลย ที่เขาห้ามแท้ๆดันคิดว่าเหมาะควรอีกต่างหาก อันนี้ต้องไปสืบดูว่าแกพูดยังงี้จริงๆ เพราะเข้าใจผิด หรือ quote ผิดรึเปล่า

แต่ถ้าไม่มี regulation ออกมาทั้งๆที่เป็นเรื่องพูดกันมานาน ให้เราสงสัยไว้ก่อนครับว่าที่เราไม่ชอบนั้น อาจจะเป็น preference ส่วนตัวของเรารึเปล่า อาจจะไม่ใช่เรื่อง ethics หรือเรื่องจรรยาบรรณ อย่างที่คิด คนเราปกติอ้าง "คนส่วนใหญ่คิดว่า" หรือ "สังคมคิดว่า " หรือเริ่มต้นประโยคว่า "จริงๆแล้ว" อันนี้เป็นธรรมชาติที่เราอยากจะเสริมความมั่นใจ หาพวก หรือตีขลุมว่าเราเองเป็นคนส่วนใหญ่ไว้ก่อน



Posted by : Phoenix , Date : 2005-02-04 , Time : 04:26:08 , From IP : 172.29.7.60

ความคิดเห็นที่ : 17


   คิดว่าการที่มีหมอสวยๆบ้างไม่ใช่เรื่องแปลก ของสวยงามใครๆก็อยากดู ถ้าถ่ายแล้วสวยก็ไม่เห็นเป็นไรแต่ถ้าน่าเกลียดนั่นสิควรจะโจมตีรูปที่ออกมาก็สวยดี อย่ามาคิดสิว่าคนที่เป็นหมอต้องใส่แต่เสื้อกาวน์ ใส่แว่นตาโตๆ เชย หมดสมัยแล้ว ย้อนกลับมาที่หมอมอ.บ้าง ปัจจุบันหมอมอ.แต่งตัวสวยๆ แต่งหน้าสวยๆ ก็ดีแล้ว ผป.จะได้รู้สึกสดชื่น

Posted by : หนูหน่อย , Date : 2005-02-04 , Time : 05:01:33 , From IP : 172.29.1.215

ความคิดเห็นที่ : 18


   การที่หมอถ่ายภาพที่ในนิตยสาร ไม่เห็นจะแปลกตรงไหนเลยสวยดีออกรู้สึกว่าหมอไม่ได้อยู่แต่ในโลกที่มีแต่การเจ็บไข้ได้ป่วย แต่มี หมออ้อยแต่งหน้าเกลียดกว่าอีก ที่จริงเขาไม่ได้เป็นหมอด้วยซ้ำ แต่แทนตัวเองว่าหมอ จริงๆเขาเป็นพยาบาล ทำไมหมอไม่ออกมาคัดค้านกันบ้าง เราเป็นพยาบาล เรายังไม่ชอบคุณอ้อยคนนี้เลย รู้สึกว่าเขาเหมือนผู้หญิงไม่ดี แต่คุณหมอที่ถ่ายแบบนิตยสารน่าดูดีออก

Posted by : No.1 , Date : 2005-02-04 , Time : 05:31:09 , From IP : 203.156.190.37

ความคิดเห็นที่ : 19


   ใจผมคิดว่าความถูกหรือผิด อาจจะไม่ขึ้นอยู่กับถ่ายแล้ว "ดูดี" หรือ "ดูไม่ดี" นะครับ ผมอาจจะเข้าใจผิดความหมายตรงนี้ไปนิด แต่ขออนุญาตขยายความหน่อยนึง

การแต่งตัวเป็นการ "สร้างภาพพจน์" กลายๆอย่างหนึ่งของเรา ขึ้นอยู่กับภาพพจน์นั้นๆ อยู่ใน priority list ระดับไหน แต่ละคนจะต่างกันไปตามบริบท ตามความชอบส่วนตัว ใครจะชอบโกนคิ้วข้างเดียวก้ได้ ใครจะชอบไว้เคราคางแพะ ใครจะชอบทาตาสีม่วงมีเกร็ดแวววาว ตรงนั้นกับ "คุณค่า" จริงๆของคนไน้น ผมว่าห่างไกลกันมาก

ถามว่าแต่งให้ใครดู ลึกๆแล้วผมว่าเราแต่งให้ "ตัวเอง" ครับ อันดับหนึ่ง เราเป็นคนเลือกเสท้อผ้า ลองแล้วลองอีก คนเห็น คนตัดสินใจก็เรานี่แหละครับ ถ้าเราเริ่มแต่งให้ "คนอื่น" ล่ะก็จะมีปัญหาทันทีครับ เพราะพวกเราอาจจะไม่ใคร่ "ชอบชม" คนอื่นเท่าไหร่ ถ้าตรงกันข้ามล่ะก็ไม่มีปัญหา ตรงนี้สำหรับบางคนไม่ว่าทุนเดิมจะหน้าตาเป็นอย่างไร มันเป็น "คุณค่าส่วนตัว" ของปัจเจกบุคคลคนนั้น ถ้าอยู่ "ในกรอบ" และไม่ติดผูกพันกับมันมากเกินไป เราก็ยังมีโอกาสที่ใช้เวลาส่วนใหญ่ไปให้กับ "คุณค่าส่วนอื่น" ได้ คุณหมอคนไหนจะให้ความสำคัญของคุณค่าตรงนี้เยอะขึ้น นั่นแปลว่าท่านได้พิจารณาเรียบร้อยแล้วว่า "สัดส่วน" ของคุณค่าของเขาเป็นยังงี้ๆ อันนี้คงจะรวมไปหมอทุกสาขาอาชีพ

ทีนี้เวลลาที่เรานำมาใช้ติชมนี่ ผมว่ามันไม่ค่อย relevant ต่อ personal value ซักเท่าไหร่เลย และอย่างตัวอย่างหมออ้อย พยาบทลอ้อยอะไรนั่น คำๆนี้ไม่ได้ reflect ถึงสถาบันเราหรอกครับ มันเป็นแค่ "ฉายา" อย่างหนึ่ง ซึ่งเป็นเรื่องของเขา ตราบใดที่ไม่ได้ใช้ฉายาที่ว่านี้ mislead ทำร้ายสถาบันหรือองค์กร

คนเราจะทำร้าย "สถาบัน" หรือ "จรรยาบรรณ" ได้นั้น มันต้องให่กว่านี้นิดนึง ในความเห็นของผม ยิ่งถ้าสาธารณชนเข้าใจประเด็นเอง generalization หรือ stereotyping ดีขึ้น เรื่องเหล่านี้มันจะไม่เนอารมณืเรามากหรอกครับ แต่ในสังคมที่ติดอยู่กับ "พิธีการ" มากกว่า substance คุณค่าความเลวดีงามถูกตัดสินกันที่ข่าวหนังสือพิมพ์ ข่าวลือ เราก็จะได้สังคมแบบหนึ่ง

ขณะนี้สังคมเป็นแบบไหนที่เราอยู่กันนี่ ผมว่าปัจเจกบุคคลประเมินยากครับ ที่ง่ายกว่าคือ ตัวเราอยากอยู่ในสังคมแบบไหน มากกว่า เพราะเราสามารถเริ่มทำ เริ่มผลัก เริ่มจูง เริ้มดันด้วยตัวเราเองโดยไม่ต้องไป sound เสียงหรืออุปโลกน์ว่าตัวเรานี่แหละคือเสียงส่วนใหญ่ของสังคม



Posted by : Phoenix , Date : 2005-02-04 , Time : 07:49:01 , From IP : 172.29.7.55

ความคิดเห็นที่ : 20


   มียายคนหนึ่ง หลังจากออกมาจากการรับการตรวจจากแพทย์ใช้ทุน มอ. มีสีหน้าเป็นห่วงบอกกับพยาบาลอย่างหวังดีว่า รีบไปบอกหมอด้วยว่ากระดุมเสื้อหลุดหมดแล้ว เห็นเสื้อชั้นในเลย พยาบาลก็เดินไปดู เห็นแพทย์ท่านนั้นแต่งตัวแบบ พชท ใส่กาวน์สั้นสวมทับเครื่องแต่กายปกติข้างในโดยไม่ติดกระดุมเสื้อกาวน์ เสื้อข้างในค่อนข้างโป๊ ยายอาจจะหัวโบราณ แต่เราน่าจะมองเห็นว่า ยายเขามองและนับถือแพทย์เช่นไร
เรื่องที่ได้รับการเล่ามา


Posted by : เกียรติภูมิแพทย์ , Date : 2005-02-04 , Time : 08:46:51 , From IP : 172.29.3.169

ความคิดเห็นที่ : 21


   สวย Sexy -> OK
ขี้เหร่อยากโชว์ -> นี่ สมเพทเวทนา
อย่างนี้ขายอาชีพ ไม่ใช่ขายเรือนร่าง หน้าตา


Posted by : Ok , Date : 2005-02-04 , Time : 09:14:58 , From IP : 172.29.1.133

ความคิดเห็นที่ : 22


   ไม่ทราบว่าเราสามารถมองเป็นการ "ยอมรับตนเอง และภาคภูมิใจในตนเองอย่างที่ตนเองเป็น" ได้หรือไม่ครับ?

เรื่องรสนิยมใครสวย ใคร sexy ใครน่ารัก นั้นคงเป็นความชอบส่วนตัว เคยมีนางแบบระดับโลกคนหนึ่ง ต้องผ่าตัดเต้านมออกไปข้างหนึ่งเพราะมะเร็งเต้านม เขาสู้ฝ่าฟันช่วงวิถีชีวิตดังกล่าวจนกระทั่งต่อมาเขาสามารถออกมาเดินแบบใหม่ ถ่ายรูปลงปกใหม่ เป็นชุดที่เปิดหน้าอกหนึ่งข้างด้วยซ้ำไป นั่นคือการมองตนเองและยอมรับตนเอง และสามารถเห็นคุณค่าของตนเองโดยไม่ต้องสนใจว่าคนอื่นจะมายุ่งกับ "ร่างกายของเขา" เช่นไร

ส่วนหนึ่งเวลาที่เราอาจจะชื่นชมโดยไม่รู้ตัว เวลาดูนางแบบมืออาชีพ ซึ่งมีทั้งสวยบ้าง ไม่สวยบ้าง นั่นคือ "ความมั่นใจ ความเป็นตัวของตัวเอง" ตรงนี้เป็นประการหนึ่งที่ผมว่ามีประโยชน์ที่เราจะฝึก เพราะเมื่อไหร่ที่เราสามารถเคารพตนเอง "อย่างที่ตนเป็นจริงๆ" ถึงตอนนั้นเราจะเข้าใจและเคารพในสิทธิและความเป็นตัวตนของ "ผู้อื่น"ได้ ฟังคุ้นๆไหมครับ นี่เราเรียกว่า "Principle of Autonomy"

ถ้าเรามองเห็นคนไข้อ้วน หน้าตาขี้เหร่ (มาตรฐานของเรา) แต่งตัวซะเริ่ดหรู โชว์พุงตามสมัย แล้วเราเริ่ม judge เริ่มสมเพชเวทนา หรือบางทีปลิ้นไปรู้สึกทุเรศ ไม่ว่าอะไรก็ตามที่ negative นั่นเป็นจุดเริ่มต้นที่ไม่ดีแล้วในการสร้างสัมพันธภาพระหว่างหมอกับคนไข้ เผลอๆเราจะติดค่านิยมที่จะ look down คนอย่างรวดเร็ว ตัดสินใจดีกว่าด้อยกว่าแค่รูปร่างหน้าตา บางคนอาจจะแถมตีค่าตามการศึกษา ฐานะเงินทอง และเครื่องแต่งกายเครื่องประดับ ถ้าเราให้ "คุณค่า" กับสิ่งเหล่านี้เยอะๆ เวลาที่เราจะให้กับ "คุณค่าภายใน" มันจะลดน้อยลงไปเรื่อยๆ

ขณะที่คุณยายเขาแอบเตือนคุณหมอกระดุมเสื้อหลุด แต่ถ้าคุณหมอคนนั้นเขาได้ take care คุณยายอย่างเต็มไปด้วยความเมตตากรุณา สุภาพเรียบร้อยและหวังดีต่อคุณยายอย่างแท้จริง ใจผมคิดว่าคุณยายเขาไม่สูญเสียความนับถือเพราะเรื่องภายนอกแค่นี้หรอกครับ คนรุ่นนั้นผมว่าแกมอง "ความงามภายใน" ออก และซาบซึ้งว่างานของหมอที่แท้จริงนั้นมันควรจะมอง ควรจะประเมินตรงไหน ส่วนการที่จะมีกี่คนกี่เปอร์เซนต์ติดอยู่ที่ความงามภายนอกที่หาซื้อได้ด้วยเงิน ด้วยการไป John Robert Power ด้วยอะไรที่เป็น artificial ทั้งหลายแหล่ ผมว่าสิ่งเหล่านี้มันไม่จีรังยั่งยืนอะไรหรอกครับ



Posted by : Phoenix , Date : 2005-02-04 , Time : 10:48:30 , From IP : 172.29.3.109

ความคิดเห็นที่ : 23


   เวลาถ่ายแบบ ก็ใช้ชื่อ นส.เบญญาภา สิ ตำแหน่งแพทย์ใช้ติดตัวเฉพาะเมื่อปฏิบัติงานในหน้าที่เท่านั้น ถ้าเอาไปนำหน้าชื่อ แล้วใช้ในการอื่น ก็ดูจะไม่ค่อยเหมาะ

Posted by : 11 , Date : 2005-02-04 , Time : 13:04:30 , From IP : 172.29.1.209

ความคิดเห็นที่ : 24


   แฮ่ะ ๆๆ มา ดู กระทู้ เอาป่านนี้ ก้อปาไป 23 reply แล้ว เลยไม่ได้ แสดงความเห็นแบบที่ อ. ฟีนิกซ์ ให้เริ่มก่อน เมื่อ เริ่มก่อนไม่ได้ ผมขอ เริ่มหลัง แล้ว กัน
ในความเห็นของผม ซึ่งไม่มี evidence base ลองรับ เนี่ย คิดว่า งานนี้ หมอ เละ และ หนังสือพิมพ์ ขายข่าวได้ อีก แล้ว ครับท่าน .. เห็นด้วยหรือป่าว ในส่วนตัวลึกๆแล้ว ไม่เห็นด้วย ผมคิดว่าเราสวมบทบาท หรือสวมหัวโขนกันอยู่ แม้จะหลายๆใบ แล้วแต่ว่าตอนนั้นเราทำหน้าที่อะไร ถ้าหัวโขนแต่ละอย่างมันสัมพันธ์กันตลอดเวลา ก็คงต้องคิดหน่อย อย่างหมอคนนี้ ตอนถ่ายแบบใช่เขาไม่ได้ทำหน้าที่หมอ แต่เขาเป็นหมออยู่ และยังใช้คำนำหน้าชื่อว่า พญ.อยู่ มันอาจจะเป็นธรรมเนียม หรือ วิถี อะไร ก้อ ตามแต่ที่ทำให้หมอ ต้องทำตัวให้น่านับถือเพื่อ ความเชื่อถือของคนไข้ ก็ไม่รู้คนที่มองดูรูปพวกนี้แล้วจะมึความคิดหรือความรู้สึกยังไง บ้างน่ะ แต่ผมคิดว่าส่วนหนึ่งคงคล้ายๆ ป้าที่แนะนำให้หมอใส่กระดุมเสื้อให้เรียบร้อยนั่น แหล่ะ ......แต่ถ้าถามผม ผมก็จะตอบว่าชอบดู และจะไปรักษากับหมอคนนี้หรือไม่ ผมก็คงต้องค้นข้อมูลก่อน เรื่องฝีมือ งานวิชาการ งานวิจัย ว่าเขาทำหน้าที่หมอดีแค่ใหน ...

อืม ผมจะถ่ายลงปก VIVA FRIDAY หน่อย อ่ะ ไม่เห็นมีใครมาติดต่อ เลย

หุหุ


Posted by : munich , Date : 2005-02-04 , Time : 15:28:00 , From IP : 172.29.3.119

ความคิดเห็นที่ : 25


   ผมยกตัวอย่างที่ extreme หน่อยแล้วกัน ให้คุณหมอผู้หญิงคนนั้น แก้ผ้าตรวจยายเขาเลย แบบว่า ชอบโชว์ คุณหมอนั้นเอาใจใส่ดูแลยายอย่างเต็มที่และดีด้วย


-------------------ใจผมคิดว่าคุณยายเขาไม่สูญเสียความนับถือเพราะเรื่องภายนอกแค่นี้หรอกครับ----------------------------------------------------------


เพราะเราไม่รู้นะสิว่ายายมี บรรทัดฐานของการแต่งกายของ คุณหมอ ที่แกรักและนับถือแค่ไหน เสื้อข้างในโป๊ๆ ตามสมัยนิยม นั้น ป้าแกจะประเมินเท่ากับแก้ผ้าหรือเปล่า ก็ยากจะคิดแทน


Posted by : OmniSci , Date : 2005-02-04 , Time : 15:57:17 , From IP : 172.29.3.170

ความคิดเห็นที่ : 26


   แถมท้าย ให้ munich

พอดีไม่รู้จัก VIVA FRIDAY มัเป็นหนังสือไก่ชนหรือครับ คุณ munich เลยรอให้เขาชวนไปถ่ายแบบปก


Posted by : OmniSci , Date : 2005-02-04 , Time : 16:00:47 , From IP : 172.29.3.170

ความคิดเห็นที่ : 27


   Extreme นั้นมีสอง ends เสมอนะครับ

ถ้าคุณยายบอกว่าหมอต้องใส่เสื้อคอปิดสีขาว นุ่งกระโปรงยาวคร่อมตาตุ่มสีดำ ห้ามแต่งหน้าทาลิปสติกล่ะครับ? หมอผู้ชายต้องส่แขนยาวสีขาว ผูกทสีดำ กางเกงขายาวดำ รงเท้าคัทชูหนังสีดำเท่านั้นล่ะครับ? หมอที่ไม่ยอมทำอย่างนั้นผิดหรือไม่? หรือกลับกันถ้าจะเอา customer oriented คนไข้หนุ่มๆขอให้พยาบาลนุ่งวับๆแวมๆ หน่อย หรือมีคนบอกว่าหมดที่นี่แต่งตัวเชยสุดขีด สงสัยไม่เคยออกไปดูโลกภายนอกเลยว่าเดี๋ยวนี้เขาไปถึงไหนแล้ว ตกลงเราจะรักษา "เกียรติหมอ" กันตรงแฟชั่นตรงนี้เองล่ะหรือ สุดท้ายคิดว่าจะลงเอยที่ว่าใส่อะไรก็ช่างให้ดูแลคนไข้ดีๆหน่อยรึเปล่า?

ผมถึงเสนอว่า "อย่าคิดแทน" ครับ พัฒนา moral exellence ของเราเองดีกว่า เราชอบตอดอยู่ที่ทำโน่นทำนี่เพราะ "คนอื่น" จะว่ายังงั้น ยังงี้



Posted by : Phoenix , Date : 2005-02-04 , Time : 17:14:59 , From IP : 172.29.7.91

ความคิดเห็นที่ : 28


   แห่ะๆๆ อ. อมนี่สิ เอ อ่านยังงี้หรือป่าว หรือ ออมนิไซน์ จารย์ไม่รู้จัก Viva friday จริง อ่ะ หนังสือ การ์ตูน ที่ ออกทุกอาทิตย์ ไงครับ .

Posted by : munich , Date : 2005-02-04 , Time : 17:33:03 , From IP : 172.29.3.119

ความคิดเห็นที่ : 29


   หนู 999 ครับ

ไม่ทราบว่าหนูเป็นคนไข้ นักศึกษาแพทย์ หรือใครนะครับ ผมคิดว่าหนูใช้กระดานข่าวทำ personal attack บุคคลที่สามอยู่ ซึ่งการกระทำอย่างนี้มันไม่ดีหลายประการ ได้แก่ หนึ่งเป็นการกระทำลับหลังคนอื่น สองเป็นการชี้นำทาง negative ที่ม่ได้นำเสนอบริบทว่าอะไรไม่ดี

ผมคิดว่าแพทย์ (ไม่ว่าจะสาขาอะไรก็ตาม) ทำอะไรตอน part time นั้นเป็นสิทธิเบื้องต้นส่วนบุคคล เหมือนกับที่หนู 999 จะทำอะไรก็ตาม ขอให้หนูได้ fullfill หน้าที่การงานที่ได้รับเงินเดือนหรือรับปากพ่อแม่มาปฏิบัติงานในเวลาเสร็จ หลังจากนั้นหนู 999 จะไปเที่ยวเตร่ ทำมาหากินด้วยการเปิดร้าน ไปโรงพยาบาลเอกชน เล่นกีฬา หรืออะไรก็ได้ที่ไม่ผิดศีลธรรม ก็เป็นสิทธิของหนูครับ

ถ้าไม่ได้ชี้แจงบริบทเพิ่มเติม มันจะมองกลายเป็นว่าหนูมีอะไรเป็นการส่วนตัว แล้วใช้ความเป็น anonymous มาทำ personal attack แทนไป



Posted by : Phoenix , Date : 2005-02-04 , Time : 18:34:28 , From IP : 172.29.7.176

ความคิดเห็นที่ : 30


   ปัญหานี้ อ.ดาวลดา ภาคอายุรฯ รู้ดี..........

Posted by : . , Date : 2005-02-04 , Time : 20:30:06 , From IP : 172.29.7.205

ความคิดเห็นที่ : 31


   .....ยากจังนะ.....เป็นหมอ...เฮ้ออออ.....
.....ช่างมันเถอะ....ผมว่านะ...ทิ้งๆไอ้พวกอะไรหนักๆบนหลังบ้างเถอะ....ถ้ามันไม่ Extreme มากนัก....อย่าไปสนใจเลย...ผมว่าบางทีเราบ้าเกินไป....สนใจอะไรที่มันไม่น่าสนใจ.....เชื่อสิ...ถ้ามีกรรมกรใส่สูทออกไปสร้างตึก...คงจะมันกว่านี้...

.....แต่ก็นะ....Level of Extreme ของแต่ละคนคงไม่เท่ากัน....ผมเฉยๆนะ....จะแต่งตัวแบบไหน....ถ่ายแบบอะไร....เป็นหมอที่"ดี"หรือเปล่าหละ....ถ้า"ดี"พอแล้ว...ผมไม่สนหรอก...จะใส่ชุดอะไรก็เถอะ....

....ถ้าจะมีคนใข้สนใจว่าผมจะใส่สูทมาตรวจหรือไม่....ผมคงบอกให้ไปหาหมอคนอื่นเถอะ...ผมจะแต่งตัวโทรมๆเหมือนโจรของผมแบบนี้....ผมมีชีวิตของผมได้เอง...โดยไม่ต้องใส่ใจสังคมบ้าๆพวกนี้หรอก....ไม่มีใครเป็นหมอตลอด 24 ชั่วโมงหรอก....ยังไงเราก็เป็น"คน"อยู่ดี....

.....ว่าแต่ท่าทางคุณ Phoenix จะว่างนะครับวันนี้....ไม่เชิญที่กระทู้ข้างล่างเรื่องเสื้อกาวน์สักนิดหละครับ...ไปเทศน์ให้น้องๆที่เรียกร้องหาคนรับผิดชอบให้ออกมาชี้แจงฟังหน่อยก็ดีนะครับ.....เดี๋ยวต่อไปจะมีแต่ Generation เรียกร้องความเป็นธรรมมากขึ้น...เดี๋ยวโรงพยาบาลจะลำบาก.....อยากจะเปลี่ยนอะไรสักทีอาจจะต้องปิดกระดานข่าวก่อน.....



Posted by : Death , Date : 2005-02-04 , Time : 21:09:30 , From IP : 172.29.7.113

ความคิดเห็นที่ : 32


   Childish innocuous remarks "d better let them drain



Posted by : Phoenix , Date : 2005-02-04 , Time : 22:10:24 , From IP : 172.29.7.150

ความคิดเห็นที่ : 33


   การแต่งกายของหมอบางครั้งมันก็ไม่ได้บอกว่าเขาเป็นคนที่รักษาคนไข้ดีหรือเปล่า แต่ที่อยากรู้มากคือเวลาคนไข้เจอหมอผู้ชายทีไว้ผมยาวคนนั้น ที่ภาคศัลย์ คนไข้ทำหน้ายังไงบ้าง แล้วอาจารย์ในภาค คิดเช่นไร คะ

Posted by : nina , Date : 2005-02-04 , Time : 22:33:41 , From IP : 203.156.190.37

ความคิดเห็นที่ : 34


   คนไข้ทำหน้าทุกข์ใจเวลาปวด ยิ้มออกเวลาหมอบอกว่ากำลังจะหาย ฉงนใจเวลาหมออธิบายไม่ชัดเจน หวาดกลัวเวลาบอกว่าเป็นมะเร็ง โล่งใจเวลาบอกว่าเรารักษาได้ กังวลใจเวลาบอกว่าต้องให้เคโม อาจารย์ในภาคคิดว่าจะทำอะไรให้คนไข้คนนี้ดีสำหรับวันนี้และวันต่อๆไป

คนไข้ไม่ได้บอกว่าเขาสังเกตเห็นชุดใหม่ของหมอ น้ำหอมใหม่ รองเท้าคู่สุดเท่ห์ ของแพทย์พยาบาลบน ward ให้เราทราบ ผมคิดว่าเหตุผลคือเขาและญาติมีอะไรสำคัญกว่านั้นให้คิดกระมังครับ เวลาถูก admit เข้านอน รพ.





Posted by : Phoenix , Date : 2005-02-04 , Time : 22:43:46 , From IP : 172.29.7.150

ความคิดเห็นที่ : 35


   ขอยืนยันอีกครั้งว่าแพทย์เป็นผู้ที่มีความรู้ดี เป็นที่ยกย่องกราบไหว้ของผู้ป่วยผู้ทุกข์ยาก ควรชี้นำสังคมในทางที่ดีงามเท่านั้น.....ยกตัวอย่างว่า แพทย์สูบบุหรี่ถามว่าผิดมั๊ย.....เหมาะสมมั๊ย....แล้วชี้นำสังคมมั๊ย...ถ้าแพทย์เป็นผู้ที่คอยฉวยโอกาสแพทย์ก็ปล้นผู้ป่วยผู้ทุกข์ยากที่กราบไหว้ได้ ซึ่งเท่ากับคุณเป็น..โจ....ในคราบเสื้อกาว............

Posted by : อินทรีย์ , Date : 2005-02-04 , Time : 23:02:56 , From IP : 172.29.7.44

ความคิดเห็นที่ : 36


   ส่วนตัวเป็นคนสวยค่ะ ใครเห็นก็ชมและบอกว่าไม่ค่อยเคยเจอหมอสวยๆแบบนี้ บางอารมณ์อยากแต่งตัวสวยๆและแอบเซ็กซี่บ้างเนื่องจากคาดว่าอีกไม่กี่ปีก็คงแต่งไม่ขึ้นแล้ว(หมดอายุ) แต่ทุกครั้งที่สวมบทบาทความเป็นแพทย์จะรู้สึกไม่มั่นใจเลยหากการแต่งกายไม่สุภาพเรียบร้อย แม้แต่เสื้อคอกว้างไปนิดหรือกระโปรงสั้นไปหน่อยก็ยังไม่ควร ลองนึกดูว่าหมอก้มตรวจคนไข้ที คนไข้สามารถมองเห็นไปถึงไหนต่อไหน จะมามัวระวังก็ใช่เรื่อง ดังนั้นแต่งชุดที่มันเหมาะสมกับบทบาทหน้าที่ในตอนนั้นน่ะดีที่สุด แต่ถ้าเวลาไปเที่ยวส่วนตัวอยากทำอะไรแค่ไหนคงไม่มีใครมาว่าเพราะพวกเราก็เป็นคนด้วยไม่ได้เป็นหมออย่างเดียว ป.ล. หมอคนนี้หน้าตางั้นๆแหละ เราว่าเราสวยกว่านะ 5555555

Posted by : หมอสวยแต่หัวโบราณ , Date : 2005-02-04 , Time : 23:51:06 , From IP : ppp-210.86.184.179.r

ความคิดเห็นที่ : 37


   ทุกคนครับ อาจหลงประเด็น ผิดความจริง ๖๖ที่จริงก็ไม่รู้หรอกว่าอะไรจริงนะ๖๖
ผมจะมองอีกมุมนะครับ
ถ้าเป็นการเปิดประเด็นใหม่ ขอโทษด้วยนะครับ.....

ความต้องการของ คนเหล่านี้ อาจต้องการ promote ตัว เองก็ได้
ผล คือ

๑ ได้ทำให้ ตัวเองเป็นที่รู้จัก ของคนทั่วไป เวลาเจ็บป่วย เป็น กลาก ผื่นคัน คงนึกถึงชื่อ เขาเป็นคนแรก เช่น
สมมติมีหมอโรคผิวหนัง คน หนึ่ง เป็น พิธีกรเกมส์ โชว์ แถมหน้าตา ดี
กับ หมอผิวหนัง อีกคน มีจรรยาบรรณ ฝีมือรักษากลางๆ ไม่ดังกระฉ่อนมากอ่ะนะ
อยู่ใกล้ๆบ้าน ของ ผู้ป่วยเท่ากัน ราคาเท่ากัน

ชาวบ้าน.ชาวบ้าน ตาดำๆ จะเลือก ใคร
และตาม ประสาคนไทย ด้วยอ่ะนะ เห่อความดัง มากกว่า ความดี
ยิ่งวัยรุ่น ยิ่งแล้วใหญ่ ไปหาหมอ OOZIng มาหน้าตาดีมาก มีลายเซ็นต์ ด้วยประมาณนั้นเลย
เว้นแต่โรค เป็ฯตาย 50 50 อาจคิด หนัก คงไม่กล้า เอาชีวิต ไปเสี่ยง กับพวก ATYPICAL PHYSICIAN อย่างนันแน่ๆ (แต่ก็มีบางคนยังรักเดียวใจเดียว)

ไม่ได้ว่าชาติ ตัวเอง นะ ในหนังสือ ประวัติศาสตร์ไทย เล่มสีขาวใหญ่ๆๆๆมากๆๆ ที่สมเด็จพระเทพรัตนสุดา ทรงนิพนธ์ ก็ได้ กล่าวถึง บุคคลิกคนไทย ส่วนนี้ ไว้เหมือนกัน (( คุณ PHOENIX กับ คุณ DEATH ได้อ่านรหือเปล่า ผมว่าเป็นหนังสือดีนะ))

๒ ดัง ด้วย ได้ทำ สิ่งที่ตัวเอง ฝันด้วย
คนเรามีชีวิตอยู๋ได้ทุกวัน เพราะมีเป้าหมาย ในชีวิต มีความหวังใฝ่ฝันของตัวเอง เป็ฯน้ำหล่อเล้ยงชีวิต
มีความคาด หวัง จากคนอื่นเป็ฯแรงผลักดัน โดยเฉพาะ ครอบครัวพ่อแม่ ภริยา หนือ อีหนู ก็ตาม
วันรุ่ง ขึ้นรู้ว่าทำอะไร เพื่ออะไร
เพราะ ฉะนั้น ว่าๆ เป็นเรื่องส่วนตัว ก็ไม่ผิดนักหรอก
ก็แค่ ความฝัน เขาถ่ายแบบ ความฝ้นเราเปิดร้านขายขนมครกที่บ้านเท่านั้นเอง

แค่ ๑ บวก ๒ ก็ตัดสินใจทำแล้วล่ะมั้ง
ก็กฎหมายเรา แพทยสภา ห้ามเราโฆษณา คลินิค โรงบาล ก็ต้องหาทางอ้อม
จะว่าไป เทียบได้กับ พรรคการเมือง ที่อยากได้ นักการเมื่อง ที่เป็น ดารา นักข่าว ฯลฯ

3" หรือไม่ก็แรงกดดัน จากอย่าง อื่น บวกกับ coping ไม่ดี เช่น นศ.สาวๆ ยอมเสีย....จะได้ตังค์ไปซื้อ GUCCCIIIII ก็สงสารเถอะ

จุดอ่อน อยู๋ที่ มหาชน (มหภาค) ด้วย ไม่ใช่ สภาเราดูแล ไม่ดี กฏเกณฑ์ไม่ดี
ต้องปรับหน่อย ละนะ ให้ทันยุค


Posted by : OOZING , Date : 2005-02-04 , Time : 23:58:53 , From IP : 172.29.4.232

ความคิดเห็นที่ : 38


   เรรา จะ screen คนเหล่านี้ ได้มั้ย ก่อนรับเข้ามา
หรือระหว่างศึกษา ก็ get rid ไปพลาง

เพราะ ลึกๆ เป็นปัญหา ด้าน บุคลิกภาพส่วนหนึ่งด้วยนะ
ไม่รู้เรียกว่าอะไรใครคิด. Functionalism ของ William James
หรือไม่ ก็ Behaviorism ของ John B. Watson, Ivan Pavlov

ถ้า จะเชื่อPSYCHOANALYSIS ของ SIGMUND FREUD ก็ต้อง บอกว่า เป็น ปม FIXATION ในวัยเด็ก ก็ว่ากันไป

แต่ก็อย่างที่ post กันมานะ ถ้ายังรักษาคนไข้ไม่ตาย ยังเคารพ หมอ(อย่บ้าง) ก็ดีแล้ว ปล่อยให้หลุดเป็นหมอบ้าง เป็น variant
จริงแล้ว ....ภาพพจน์ตอนนี้ ที่กระทบ ภาพลักษณ์เดิม ของหมอ ก็แค่ สมมติ อันหนึ่ง (ทางพุทธศาสนา) ที่คนทั่วไปยึดไว้ เท่านั้นเอง อาจเกิดการเปลี่ยนแปลง

UNCERTAINTY is CERTAINTY


Posted by : OOZING , Date : 2005-02-05 , Time : 00:16:03 , From IP : 172.29.4.232

ความคิดเห็นที่ : 39


   คงต้องดูจุดประสงค์ของคนถ่าย........ว่าต้องการอะไร.......อยากดัง....เงิน....หรือเปล่า....เพราะน่าจะต้องรู้อยู่แล้วว่า........ต้องเป็น talk of the town........เพราะหมอผู้หญิงส่วนใหญ่ไม่กล้าทำ.....แม้ว่าจะสวยและเซ็กซี่กว่า............

ที่น่าเป็นห่วงก็คือ........ถ้าสังคมยอมรับเรื่องแบบนี้ได้.....ไม่ช้าเราจะได้เห็นความกล้าที่มากขึ้นเรื่อย ๆ ของหมอสาว...........เหมือนกับการใส่เสื้อสายเดี่ยว....เกาะอก....ตอนนี้หลาย ๆ คนก็เริ่มยอมรับว่า....เออ...ก็สวยดี...สิทธิส่วนบุคคล....ย่อมทำได้.....อยากรู้หรือเปล่าว่า...ผู้ชายส่วนใหญ่เขามองแล้วคิดอะไรกันบ้าง....นอกเหนือจาก....สวยดี

โล่งอก...ที่ไม่ใช่....หมอม.อ.


Posted by : อ.มอ. , Date : 2005-02-05 , Time : 01:14:30 , From IP : 172.29.7.167

ความคิดเห็นที่ : 40


   ผมอยากรู้ว่า ใครคิดว่าผู้ชายส่วนใหญ่มองแล้ว คิดอะไรกันบ้างครับ น่าสนใจ



Posted by : Phoenix , Date : 2005-02-05 , Time : 02:20:05 , From IP : 172.29.7.207

ความคิดเห็นที่ : 41


   ทุกคนมีสิทธิเสรีภาพในการกระทำ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นไม่ว่าวิชาชีพใด ต้องอยู่บนพื้นฐานของกาละเทศะด้วย

Posted by : ลอยมากับแสงดาว , Date : 2005-02-05 , Time : 09:14:07 , From IP : 203.155.221.253

ความคิดเห็นที่ : 42


   ....ไม่เข้าใจ จุดประสงค์ของคุณ Nina เลย.....เอาหละถ้าผมเป็นอาจารย์นะ....ผมตอบได้ว่าผมไม่สนใจ....ถ้าหมอของผมดูแลคนไข้ดี....งานทุกอย่างเรียบร้อย...จะไว้ผมยาวถึงเท้าก็ช่าง....เอาหละถ้าผมเป็นคนไข้บ้าง...ผมเห็นหมอแบบนี้...ผมอาจจะรู้สึกแปลกนิดหน่อย...แต่ถ้าหมอเขาดูแลผมดี....ผมไม่สนใจหรอกครับ...คนเราจะเชื่อใจใครให้ใครมารักษาเรา เราต้องรู้จักพูดคุยครับ และพิจารณาเอาเองครับ...ตัดสินกันที่ภายนอกมันไม่ยุติธรรมเลย.....

.....ผมคิดนะครับ....ว่าการที่คุณตั้งข้อสงสัยว่าใครจะรู้สึกแบบใดกับสิ่งที่เห็นภายนอก....ก็คล้ายกับการตัดสินว่าใครสักคนเป็นโจรเพราะแต่งตัวโทรมๆ ผมไม่ตัด หนวดไม่โกน น้ำไม่อาบ....แต่คุณไม่เคยเห็นโจรที่ใส่สูทแต่งตัวดีๆ.....ก็เหมือนกันหมอหละครับ....แต่งตัวดีๆก็ใช่ว่าจะต้องรับผิดชอบหน้าที่ดีทุกคน.....ผมเชื่อว่าคุณคงไม่รู้จักหมอคนที่ว่านี้ดีพอที่จะมาตัดสินอะไรตรงนี้หรือตั้งข้อสงสัยที่ทำให้ใครมองเพื่อนผมไปในทางไม่ดีหรอกครับ....ด้วยความเคารพครับ.....ถ้ายังมีข้อสงสัยคุณน่าจะมาที่ภาควิชาด้วยตนเอง...แล้วเรามา clear กับข้อสงสัยของคุณตรงนั้นได้ครับ......ขอบคุณครับ



Posted by : Death , Date : 2005-02-05 , Time : 10:40:11 , From IP : 172.29.7.57

ความคิดเห็นที่ : 43


   ประเทศนี้มันประเทศเสรีนะโฟ้ยยยยย หมอผมยาว หมอถ่ายแฟชั่น แล้วไงอ่ะ ไม่ได้ค้ายาบ้า หรือโกงเงินหลวงนี่หว่า.....



Posted by : แม่ง ชาติไม่เจริญ , Date : 2005-02-05 , Time : 11:54:37 , From IP : 203.157.254.1

ความคิดเห็นที่ : 44


   ทำไม คูณ PHONIX ต้อง ถามแต่ ผู้ชาย ด้วยอ่ะ
ไม่เข้าใจจุดประสงค์


Posted by : OOZING , Date : 2005-02-05 , Time : 12:29:16 , From IP : 172.29.4.232

ความคิดเห็นที่ : 45


   เป็นคำถามต่อเนื่องจาก comment ของคุณ อ.มอ. ก่อนหน้าผมตอบครับ



Posted by : Phoenix , Date : 2005-02-05 , Time : 12:41:04 , From IP : 172.29.7.32

ความคิดเห็นที่ : 46


   thank you death


Posted by : vaio , Date : 2005-02-05 , Time : 15:38:39 , From IP : 172.29.7.233

ความคิดเห็นที่ : 47


   อย่างไรก็ตาม

(บังเอิญยิ่งนึกๆไปผมยิ่ง ไม่อยากสรุป "เขตแดนของความเหมาะสม" แม้ของตัวผมเอง รู้สึกว่าอาจคิดไปผิดทาง นานาจิตตัง นะ ยิ่งพอไปอ่าน กระทู้ข้างบน (หมอที่ สะพานควาย) ยิ่งรู้สึกว่าความเป็นหมอที่ดี มันคงเหนือกว่าสิ่งที่เห็นด้วยตาเนื้อนะ)

ขอให้พวกเราเป็นหมอที่ดี ดูแลผู้ป่วยเหมือนดูแลญาติที่เรารัก ด้วยความจริงใจ ภายนอกจะเป็นอย่างไรก็ ช่างเถอะ



Posted by : OmniSci , Date : 2005-02-05 , Time : 19:30:55 , From IP : 172.29.7.189

ความคิดเห็นที่ : 48


   ความ unique ของ Ethics คือ หลักการมีอยู่นิดเดียวแต่เวลานำไปใช้มันหลากหลายกว้างขวางมาก ดีที่สุดคือเราต้อง customize ให้เป็นกรณีๆไป

ชัดที่สุดคือ Palliative Care หรือ End-of-Life care บอกไม่ได้หรอกครับว่า "ตายดี" นี่มีกฏว่าอะไรบ้าง มันแล้วแต่คนไข้แต่ละคนกันไป

ตรวจคนไข้ depress โดยหมออารมณ์ดีหน้าตารับแขกน่าจะดี ตรวจผู้หลักผู้ใหญ่เอาหมอบุคลิกท่าทางภูมิฐาน ตรวจวัยรุ่นก็เอาหมอที่พอจะเข้าใจภาษาท่าทางความคิดเขาหน่อยว่าเขาคิดอย่างไร ตรวจเด็กก็อาจจะต้องหลีกเลี่ยงการทำตัวให้เหมือน Darth Vader หรือ Gollum หรือ Ring Wraith น่าจะดีกว่า

ที่เหมือนๆกันคือมีความจริงใจและจริงจังต่องานและ "ปรัชญา" ของเรา เพราะสิ่งนี้มันจะออกปนมากับดวงตา น้ำเสียง และ non-verbal ทั้งหมด และคนไข้ "รับ" ได้นะครับไอ้พวก non-verbal ทั้งหลายแหล่นี่

ฉะนั้นคิดไม่ต้องมากเรื่องออกกฏ ร่างกฤษฏีกา ยี่ห้อและแบบของกางเกงใน ผ้าพันคอ เนคไทหมอ เอาเวลาส่วนใหญ่มาฝึกจิตใจให้ "รักคนไข้" มากๆหน่อย รองลงมาก็ "รักวิชาชีพ" ของเรา ซึ่งหมายถึง "ทีม" นะครับ วิชาชีของเราไม่ใช่ one-man show ทั้ง horizontal และ vertical ทำงานเป็นทีมให้เป็นให้ได้ สุดท้ายค่อยรักตนเอง (จำเป็นเหมือนกัน)



Posted by : Phoenix , Date : 2005-02-05 , Time : 19:48:14 , From IP : 172.29.7.129

ความคิดเห็นที่ : 49


   ต๊าย ตาย

คุณ minich ชื่อผมอ่านว่า ออม-นิ-ไซ

ไปอ่านเป็นอื่นเดี๋ยวเขาจะหาว่าผม เป็น หมอนกเขา เอาได้นะ

เสียหาย ๆ


Posted by : OmniSci , Date : 2005-02-05 , Time : 20:45:07 , From IP : 172.29.7.189

ความคิดเห็นที่ : 50


   หมอจะอินเทรนด์บ้างไม่ได้หรอ??
หมอต้องใส่แว่นหนาเตอะ ใส่เสื้อเชยๆ
ยิ่งเชยยิ่งน่าเชื่อถึอ?
ผมเชื่อถือในการกระทำมากกว่าการแต่งตัว


Posted by : ... , Date : 2005-02-06 , Time : 13:42:22 , From IP : 172.29.2.128

ความคิดเห็นที่ : 51


   พลังอันยิ่งใหญ่ มักมาพร้อมกับความรับผิดชอบอันใหญ่ยิ่งครับ


Posted by : Jugusleang , Date : 2005-02-06 , Time : 19:01:51 , From IP : 172.29.3.119

ความคิดเห็นที่ : 52


   With great power, comes great responsability..

Posted by : beanie baby , Date : 2005-02-07 , Time : 16:43:39 , From IP : 172.29.1.134

ความคิดเห็นที่ : 53


   ให้คลายเครียดบ้างเถอะ ถ้าไม่บอกว่าเป็นหมอก็ไม่มีใครรู้ คนไข้บ้างคนยังจำเราไม่ได้เลย

Posted by : sin , Date : 2005-02-19 , Time : 01:16:56 , From IP : 172.29.3.192

ความคิดเห็นที่ : 54


   ตอนนี้ผมกล้ามสวยมากเลยครับแมนสุดๆ
ยกน้ำหนักทุกวัน
อยากถอดเฉพาะเสื้อโชว์หุ่นลงนิตยสารบ้าง
จะโดนด่าไหมครับ


Posted by : หมอผู้ชาย , Date : 2005-02-20 , Time : 23:25:58 , From IP : 172.29.7.236

ความคิดเห็นที่ : 55


   ถ่ายไปเถอะหมอ อย่าไปสนใครนินทา อะไรมีความสุขทำไปเถอะ คนเราเกิดมามีชีวิตเพียงครั้งเดียวเท่านั้น งานสุจริต ไม่ต้องสนใจใคร เรียนระดับนี้แบ่งแยกได้ใช่มั้ย ดีไม่ดีมันอยู่ที่ตัวเรา

Posted by : ิnok , E-mail : (atiatiati@thaimail.com) ,
Date : 2005-02-26 , Time : 00:15:56 , From IP : p226-lirrbrMT1.C.csl


ความคิดเห็นที่ : 56


   ทำสีผมใหม่สวยจัง

Posted by : ploy , E-mail : (ploy@hotmail.com) ,
Date : 2006-05-13 , Time : 09:32:20 , From IP : 124.157.144.230


ความคิดเห็นที่ : 57


   ทำสีผมใหม่สวยจัง

Posted by : ploy , E-mail : (ploy@hotmail.com) ,
Date : 2006-05-13 , Time : 09:32:47 , From IP : 124.157.144.230


ความคิดเห็นที่ : 58


   ทำสีผมใหม่สวยจัง

Posted by : ploy , E-mail : (nirapab@hotmail.com) ,
Date : 2006-05-13 , Time : 09:33:51 , From IP : 124.157.144.230


ความคิดเห็นที่ : 59


   Video Link - xttp://today.reuters.com/tv/videoChannel.aspx?storyid=8aaf73d73a8f85e9a947b418d50275b52e919e25

Apr. 23 - More than 1,200 people have stripped off in the Spanish town for a nude photo shoot.

The shoot was organised by Spencer Tunick, a U.S. artist famous for his photos of naked crowds in public spaces.

The shoot began inside a convention centre, but moved to the beach right outside the complex where participants seemed more confident and comfortable. The session lasted five hours and ended with claps and thanks from the American photographer.

-
http://music-trades.com/investment/ - Investment
http://music-trades.com/stock/ - Stock






Posted by : Trisha , E-mail : (trisharexi@mail.ru) ,
Date : 2006-05-15 , Time : 00:09:09 , From IP : 206.71.148.148


ความเห็นจาก Social Network : Facebook


สงวนสิทธิ์การแสดงความคิดเห็นสำหรับ สมาชิกเท่านั้น
>>>>> Page loaded: 0.066 seconds. <<<<<