ความคิดเห็นทั้งหมด : 46

ทุบCR-V เปรียบเทียบกับกรณีย้ายหอ,intern VS พชท และงานประชุมเชียร์


   ได้อ่านและดูข่าวผู้หญิงคนนึงเอา CR-V ป้ายแดงที่มีปัญหา และเธอไม่ได้รับความเอาใจใส่รับผิดชอบที่สมควรจากผู้ให้บริการและผู้มีหน้าที่รับผิดชอบ
มาทุบทิ้งโชว์สื่อมวลชน
น่าสนใจกว่าคือได้ออกข่าว Breaking News ของ CNN ด้วย
Breaking News นะครับ ไม่ใช่ข่าว routine
Breaking news แบบเดียวกับที่รายงานข่าว Tsunami ของบ้านเรา
ข้อสรุปคือ Honda ต้องยอมซื้อรถคืน และให้เธอเอาเงินไปซื้อรถToyota ตามที่เธอต้องการ

กรณีนี้บอกอะไรแก่เรา และคนที่อ่านกระทู้ hot ติด siren ทั้งหลายบนกระดานนี้

บางครั้งpathwayของการร้องเรียนที่ถูกต้องตามขั้นตอน แบบเดียวกับที่คนตั้งกระทู้ และผู้หญิงคนนี้เคยทำมาตลอดสองเดือนก่อนทุบรถคันนี้ทิ้ง

ไม่มีประสิทธิภาพตามอย่างที่ควรจะเป็น

แต่สิ่งหนึ่งที่เราได้เรียนรู้จากกรณีเหล่านี้
ชื่อเสียงของอีกฝ่าย และการนำเรื่องราวมาแสดงให้คนอื่นรับรู้ เพื่อเป็นการ discredit กันกลายๆ คืออาวุธสำคัญที่คนที่มีทางสู้น้อย หรือไม่ได้รับความเป็นธรรม ใช้เป็นข้อต่อรองเพื่อการได้มาในสิ่งที่คิดว่าสมควรจะได้

ดังกรณีของกระทู้ hot 2-3 อันที่กล่าวถึงข้างต้น
ถึงวันนี้ ข้อเรียกร้อง หรือข้อต่อรองของคนตั้งกระทู้เหล่านั้น
สำเร็จหรือใกล้เคียงความจริงกับที่ผู้หญิงคนนั้นได้รับหรือเปล่า

สิ่งสำคัญที่ผมอยากจะสื่อก็คือ ทำไมเรื่องราวหลายๆอย่างในสถาบันเรา ต้องถูกนำออกมาละเลงกันบนนี้ แล้วจึงจะได้ resolution
ผมไม่ได้บอกว่าการทำแบบนี้เป็นสิ่งดี
เพราะจะดีที่สุดคือ ปัญหาต่างๆควรจะได้รับการดูแลแก้ไขก่อน โดยไม่มีใครต้องมาเจ็บตัวแบบที่เป็นอยู่นี้
จะดีกว่ามั้ย

ถามคุณ Phoenix เคยอ่านกระทู้หลายครั้งที่คุณแสดงความเห็นเกี่ยวกับการที่มีใครมาร้องเรียนอะไรๆ บนกระดานนี้ แล้วได้รับคำแนะนำให้ดำเนินการ ตามpathway ปกติ

เห็นข่าวCR-V นี้แล้ว ยังมีความรู้สึกแบบเดิมหรือเปล่า
และคุณคิดว่า ถ้าเธอคนนี้รอร้องเรียนตามpathway เธอจะได้สิ่งที่ต้องการ รวดเร็วกว่าการ "ประจาน" HONDA แบบที่ทำเมื่อวานรึเปล่า



Posted by : nathan , Date : 2005-01-29 , Time : 15:39:13 , From IP : 172.29.4.244

ความคิดเห็นที่ : 1


   .....ผมว่ามันแล้วแต่คนจะมองครับ....ผมว่าคุณ Phoenix ก็คงจะรู้หรอกว่าในสังคมแบบนี้อะไรเป็นอะไร....แต่ลองคิดดูสิ....จะให้คนที่เราทราบๆสถาณภาพกันดีอย่างคุณ Phoenix มาเขียนแนะนำแบบที่ผมชอบ....เช่น..ลุยมันเลยพรรคพวก...ไม่ต้องไปฟังมันแล้ว....ชกมันเลย...อะไรแบบนั้นคงไม่ได้....

.....คุณ Phoenix มีสถาณภาพเป็น"ครู"อยู่ด้วย....ซึ่งล่อแหลมมาก...จะเขียนจะพูดอะไรต้องระวัง....ลองคิดดูหละกัน...ต่อให้คุณ Phoenix รู้เรื่องการตุกติกเรื่องหอพัก....คิดว่าคุณ Phoenix จะทำอะไรได้หรือ?....มาเขียนประจานในนี้...ให้ตัวเองโดนไล่ออกหรือ?....ให้ใครต่อใครที่ไม่หวังดีต่อตัวคุณ Phoenix เองออกมาซัดใช่ไหมว่า "ขนาดเป็นครู ยังสั่งสอนลูกศิษย์ไม่ได้ แถมเป็นตัวอย่างที่ไมดีอีก" อย่างงั้นหรือ?.....

.....ที่นี้ลองคิดดูถึงสิ่งที่คุณเขียน....คุณตั้งคำถามเหล่านั้นได้....เพราะคุณสบายใจว่าไม่มีคนทราบว่าคุณเป็นใคร....โอเค....ดิ้นรนหน่อยอาจจะทราบได้....แต่ไม่เป็นไรนิ....ใครจะสนใจชื่อแบบคุณ....เพราะคุณมันไม่ดังเท่าคุณ Phoenix นะสิ...คุณจะเขียนอะไรก็ได้.....มันหมดสมัยแล้วที่ออกรบแบบถือดาบเล่มเดียวแล้วลุยไปเรื่อยๆ....เราต้องคิด...ต้องวางแผน...ต้องวิเคราะห์ถึงผลดีผลเสีย....คิดดูก็ได้...ถ้าคุณตัวคนเดียว...ไม่มีครอบครัว...ไม่มีคนรัก..คุณจะทำอะไร...อาจจะไม่ต้องคิดมากก็ได้...จริงเปล่า??

....ใช่ว่าผมจะไม่เคยดิ้นรน....ผมดิ้นรน...ผมทำมาเกือบทุกทางแล้ว....สุดท้ายผมรู้แล้วหละ....ความยุติธรรมมันไม่มีจริงหรอก...มันขึ้นกับมุมมองของคุณต่างหาก...ว่าเท่าไรคุณถึงจะพอ....เท่าไรคือความยุติธรรม...แค่นั้น....

.....ลองคิดว่าคุณเป็นคุณ Phoenix ดูสิ....คุณอาจจะไม่ต้องถามคำถามนั้นก็ได้..."ความเที่ยงธรรมในโลกนี้นะเหรอ?....มันไม่จริงเท่าชีวิตจริงหรอก...ต่อให้คุณรักความยุติธรรมสักแค่ไหน...แต่ถ้าการดิ้นรนของคุณจะทำให้นอกจากชีวิตคุณเองแล้วยังชีวิตคนที่คุณรักพังพินาศไปด้วย...คุณจะทำไหมหละ??"....

....ไม่ต้องถามใครหรอก....ถ้าจะถกเรื่องความยุติธรรมหละก็...คุยกะผม....เดี๋ยวโรงพยาบาลนี้เค้าก็ไล่ผมออกแล้วหละ...:D...:D



Posted by : Death , Date : 2005-01-29 , Time : 16:22:05 , From IP : 172.29.7.68

ความคิดเห็นที่ : 2


   ไม่เกี่ยวกันเลย ไม่เหมือนกัน

อันหนึ่งของฟรี (สวัสดิการ) ที่มีได้มากได้น้อย

อีกอันเป็นการซื้อขาย ที่ "สมควร" จะได้

ที่นี้การต่อลองที่น่าเห็นใจอย่างการทุบรถประจาน อันนั้นเป็น เหตุอันควรในระดับหนึ่ง

ส่วนหอพัก ถ้าจะให้เหมือนกันคือ คุณควรจ่ายเงินซื้อ โดยมีสัญญาตอนแรกว่าจะได้ 1:1 แต่พอมาได้ 2:1 มันก็เป็นสิทธิของคุณเต็มที่ที่จะ ร้องเรียน

ถูกต้องที่ทำไมไม่มี vision ที่จะสร้างหอพักรองรับเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้น อันนั้นคงเป็นความผิดพลาด ที่หลายฝ่ายสมควรพิจารณา


แต่ปัญหาที่ตามมา มันเกิดขึ้นแล้ว และการเสนอให้ "แบ่งปัน" กัน มันก็เป็นเหตุอันควรไม่ใช่หรือ
พอองค์กรมีปัญหา การปรับ "ของฟรี" ที่จะได้นั้นให้องค์กรอยู่รอด มันก็เป็นสิ่งที่น่ากระทำ


เข้าใจว่าโตๆกันแล้ว อยากได้ 1:1 "ช่วยกัน" แก้ปัญหาไม่ดีกว่าหรือ ไม่ใช่มา discredit กันในนี้


ส่วนคำถามว่าทำไมต้องมาละเลงกันตรงนี้จึงจะได้รับการแก้ไข

อันนี้ขอให้ดูว่า มีการกระทำให้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องรับทราบในทิศทางอื่นหรือเปล่า เช่นทำหนังสือเสนอความเห็นของเหล่า พชท หรือการรวมตัว พชท เพื่อเข้าพบผู้มีส่วนเกี่ยวข้องนั้น ได้มีการกระทำไหม

ถ้าได้กระทำสิ่งต่างๆในทางที่เหมาะสมแล้วไม่ได้รับความเป็นธรรม แล้วมาละเลงกันในที่แจ้งโดยไม่ระบุตัวตนที่แท้จริง ก็คงเรียกได้ว่า ที่นี่เป็น pathway ที่เหมาะสมระดับหนึ่ง

แต่ถ้าไม่เคยสื่อให้ผู้อื่นรับทราบในทางอื่นมาก่อน แล้วมาละเลงความไม่พอใจกันตรงนี้เป็นด่านแรก แล้วจึงตามมาด้วยการแก้ปัญหาให้ มันก็ถูกต้องแล้วไม่ใหรือ


Posted by : Be mature , Date : 2005-01-29 , Time : 16:25:04 , From IP : 172.29.7.41

ความคิดเห็นที่ : 3


   ....ใช่...ผมเห็นด้วยคุณพูดถูกว่า..."เป็นความผิดพลาด ที่หลายฝ่ายควรพิจารณา"......เรามารอดูแค่ตรงนี้กันก่อนไหม.....ส่วนที่เหลือยังไม่รีบเท่าไรนี่ครับ?....จริงไหม?...:D...:D



Posted by : Death , Date : 2005-01-29 , Time : 16:38:10 , From IP : 172.29.7.68

ความคิดเห็นที่ : 4


   ครับผม ผมยังมีความรู้สึกและความคิดเห็นทุกอย่างเหมือนเดิมครับ

จริยธรรมนั้นไม่ได้อยู่ที่ Outcomes ครับ อยู่ที่ "หลักการ" ซึ่งจะมีผลกระทบต่อ "ความคิด" และ "คุณค่า" ของตัวตนปัจเจกบุคคล และอย่างที่ผมเคยเรียนให้ทราบ จริยธรรมนั้นจะต้องถูกทดสอบได้ และไม่โยกไหวโดยง่าย งายขนาดไหน? ที่แน่ๆก็คือไม่ใช่เพราะข่าวอย่างที่ว่านี่จะทำให้ความคิดหลักการของเราเปลี่ยนไปในทันทีทันใด

มีพ่อแม่บางคนพาลูกเล็กๆไปห้างสรรพสินค้า ลูกอยากได้ของเล่น พอไม่ให้ก็ throw tantrum ลงไปดิ้นปัดๆอยู่บนพื้น screaming กรี๊ดๆ พ่อแม่บางคนทนความอับอายไม่ไหวก็ยอมๆซื้อให้ แต่บางคนก็จะพาลูกคนนั้นกลับไปบ้าน เพื่อที่จะอบรมสั่งสอนใหม่ ผลในระยะสั้นลูกคนแรกได้ของเล่น ลูกของคนหลังไม่ได้ของเล่น บทเรียนระยะยาว? ลุกคนแรกทราบว่าถ้าทำให้พ่อแม่อับอาย หมดปัญญากล่อมให้สงบ เขาอยากจะได้อะไรก็ได้ อะไรคือพฤติกรรมในระยะยาวที่จะเกิดขึ้น เด็กสองบ้านนี้จะสั่งสมสันดานที่ไม่เหมือนกันเพราะได้รับการปลูกฝังที่แตกต่างกัน

สื่อต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น CNN BBC ไทยรัฐ เดลินิวส์ที่ร่วมมือลงข่าวต่างๆนั้น ไม่ได้เล่นบทบาท moral tool หรอกครับ มันก็แค่ "ข่าว" เท่านั้น ซึ่ง Media ใช้อำนาจนี้ค่อนข้างฟุ่มเฟือย และบางครั้งก็ "หลงอำนาจ" บางคนถึงขนาดรวบรวมเป็นหลักการว่าถ้าทำอะไรให้มันดัง ให้มันอึกทึก นั่นคืออำนาจ และกลายเป็นความถูกต้องได้ อีกหน่อย "ถูกผิด" จะวางอยู่บนใครได้ลงข่าวครึกโครมกว่ากัน ใครมีเงินว่าจ้างประชาสัมพันธ์ให้ทำให้อีกฝ่ายขายหน้ามากกว่ากัน

ในกรณีข้างบนบริษัทอาจจะกำลังไตร่ตรองว่าระหว่างการพิสูจน์ว่ารถคันที่ถูกทุบไม่มีอะไรผิดพลาดกับการยอมซื้อให้ผู้หญิงคนนี้อีกคัน อะไรเป็น cost effectiveness มากกว่ากัน บริษัทไม่ได้สนใจเรื่องถูกผิดเท่าไหร่หรอกครับ แต่สนใจว่าจะลด publicity ที่มี bad images ให้สั้นที่สุดอย่างไร ให้เสียเงินน้อยที่สุดอย่างไร ผู้หญิงคนนี้จะใช้วิธี pursue ความถูกต้องบนหลักการต่อไปแล้วจะได้ผลหรือไม่ ในเวลาเท่าไหร่ สำหรับตัวผมเองนั้น สิ่งเหล่านี้ไม่ relevant เลยครับ การได้สิ่งที่เธอต้องการเร็ว นั้นไม่เกี่ยวอะไรกับความถูกผิดหรือหลักจริยศาสตร์ส่วนบุคคล และจริยธรรมความถูกต้อง ไม่ได้ตัดสินที่ได้สิ่งที่เราต้องการเร็วหรือช้าด้วย

สำหรับคุณ Death

ผมไม่ทำอะไรหรือทำอะไรเพราะกลัวการถูกไล่ออก ตราบใดที่ผมรู้สึก clear conscience ครับ เท่าที่ผ่านมาผมไม่ pro-popularity อยู่แล้ว ผม sceptic ว่าประเพณีปลอดภัยไว้ก่อนเป็นสิ่งที่น่าเชิดชู และผมคิดว่าด้วยความเป็นครู ผมคงจะต้อง "อธิบาย" ได้ว่าผมทำอะไรเพราะอะไร การสั่งสอนลูกศิษย์นั้น ครูรับผิดชอบได้ถึง "ขนาดหนึ่ง" เท่านั้นครับ และไม่ทั้งหมด เหมือนกับหลัก palliative care ที่ว่าเราทำอะไรให้แก้ผู้ป่วยระยะสุดท้ายได้ถึงขนาดหนึ่งแค่นั้น ที่เหลือเป็นเรื่องชะตากรรมส่วนบุคคลที่ต้องเผชิญ แต่ผมทำให้ดีที่สุดพอแล้ว

และผมขอ reassure คุณ Death ว่าเราสามารถจะ firm และแสดงออกอย่างหลักการที่เรามีและคิดถึผลกระทบต่อลูกและภรรยาได้ในเวลาเดียวกัน ผมว่าประเทศเรายังห่าวไกลจาก Police state ที่มีพวกเกสตาโปจะมาหิ้วคอไปยิงอีกไกล

คนเรารักความยุติธรรมแค่ไหน? คำตอบก็คือเท่าที่คุณแสดงออกครับ



Posted by : Phoenix , Date : 2005-01-29 , Time : 21:41:59 , From IP : 172.29.7.202

ความคิดเห็นที่ : 5


   Part II

หลังจากประเมินแนวความคิดและการนำเสนอแล้ว ผมเกิดความไม่มั่นใจว่าเรากำลังพูดถึง "ยุทธวิธีในการได้สิ่งที่เราต้องการ" หรือว่าเรื่อง "จริยศาสตร์" กันแน่นะครับ ด้วยความเคยตัว (และพึ่งกลับมาจากบรรยายเรื่อง Palliative care ที่ศูนย์ธัญญรักษ์) เลย assume ไปเป็นอย่างหลัง

outcome ไม่ได้เป็นตัว justify ความถูกหรือความดีแห่งการกระทำ เช่น เราบรจาคเงินสร้างโรงเรียน คนงานก่อสร้างทำไฟไหม้คนตาย ความดีของเรานั้นหยุดอยู่ตรงขบวนการที่เราบริจาคเพราะเรา "เจตนา" ให้ได้มีโรงเรียน และเราไม่ต้องไป guilt ว่า โถ ถ้าเราไม่บริจาค โรงเรียนก็จะไม่ไหม้ คนก็จะไม่ตาย มันคนละเรื่องกัน Goodness นั้นอยู่ตรงเนื้อแท้แห่งเจตนา และการกระทำ

บริษัทขายเครื่องเสียงในอเมริกามี campaign ให้คนลองเอาชุดเครื่องเสียงไปใช้ที่บ้านก่อน และคืนได้ภายใน 1 เดือน ถ้าไม่พอใจ มีเด็กนักเรียนไทยมาคุยให้ฟังอย่างภาคภูมิใจว่าเขาลองใช้เครื่องเสียงชุดแพงๆมากมายแล้วก็ส่งเปลี่ยนไปเรื่อยๆ โดยไม่มีเจตนาจะซื้อแม้แต่เครื่องเดียว แกล้งบอกไปว่ามันมีข้อตำหนิตรงโน้น ตรงนี้ ไปเรื่อยๆ ถามว่าตกลงบริษัทคิดว่าเครื่องเสียงเขาชำรุดหรือไม่ดีจริงไม่จริง? คงไม่สำคัญ แต่บริษัทแค่ต้องการรักษา reputation ในด้าน customer service และ customer is always right ให้ภาพพจน์นี้คงอยู่เท่านั้น และอาศัยศรัทธาว่ายังมีลูกค้าที่มีจรรยาจริยธรรมมากพอเหลืออยู่ เพราะถ้าลูกค้าทุกคนคิดอย่างนี้หมดก็คงอยู่ไม่ได้

ที่เล่ามา ไม่ได้หมายความว่าผมทราบว่ารถ Honda ที่ว่านี้ดีจริง ไม่จริง แต่อยากให้เราประเมินเผื่อไว้ในอีกแง่ว่าการที่ Honda ยอม ไม่ได้แปลว่าคนเรียกร้องเป็นฝ่ายถูก หรือมี moral superior เสมอไป และหากลูกค้าทุกคนทำอย่างนี้มากขึ้นๆ บริษัทก็จะเจ๊งไปในที่สุด

ดังนั้นที่น่าเป็นห่วงก็คือ หลังจากมีข่าวดังกล่าว เริ่มมีคนเอามาผูกเช่อมโยงกับการเรียกร้องต่างๆในคณะนี้ โดยยึดเอา "การได้ในสิ่งที่ต้องการ" เป็น moral ground หรือความถูกต้อง ผมว่ามันคนละเรื่องกันอย่างสิ้นเชิง เรากำลังจะเพาะพันธุ์ค่านิยมว่า tantrum คือยุทธวิธีครองโลก เราอยากจะให้พ่อแม่ยอมเด็กทุกกครั้งที่ลงไปนอนดิ้นปัดๆแหกปากร้องไห้บนพื้น แทนที่จะพาไปอบรมสั่งสอนใหม่

หรือผมคิดมากไปเอง?



Posted by : Phoenix , Date : 2005-01-29 , Time : 22:12:52 , From IP : 172.29.7.202

ความคิดเห็นที่ : 6


   Part III

แต่สิ่งหนึ่งที่เราได้เรียนรู้จากกรณีเหล่านี้
ชื่อเสียงของอีกฝ่าย และการนำเรื่องราวมาแสดงให้คนอื่นรับรู้ เพื่อเป็นการ discredit กันกลายๆ คืออาวุธสำคัญ (ที่คนที่มีทางสู้น้อย หรือไม่ได้รับความเป็นธรรม) ใช้เป็นข้อต่อรองเพื่อการได้มาในสิ่งที่คิดว่าสมควรจะได้


ตรงนี้ผมว่าน่ากลัว และน่าหมิ่นเหม่มาก เหมือนเดินอยู่ริมเหวที่มี slippery slope

อะไรเป็นตัวกำหนดถึงคุณสมบัติในวงเล็บ? หลังจากที่ได้ทำอะไรไปตามขั้นตอนแล้ว? หรือว่าเป็น status ที่เราคิดเองว่าเราเป็น? อะไรคือขอบเขตหรือกรอบข้อปฏิบัติที่ลูกจ้าง ข้าราชการ พนักงาน สติปัญญาระดับเรียน post-graduate "สามารถมีทางสู้" ภายในสังคม? การกระทำตามขั้นตอนรวมอยู่ใน list หรือไม่?

และ/หรือ เราพึงกระทำกำลัดขั้นตอนอย่างในข่าวเป็นลำดับแรก? ผมไม่ได้อ่านข่าวแบบนี้ละเอียดนัก เลยไม่ทราบว่า "ขั้นตอนร้องเรียน" ก่อนที่จะถึงระดับสุดท้ายที่เป็นข่าว เธอได้พยายามจน "เลือดเข้าตา" มากน้อยเพียงใด หรือว่าลัดขั้นตอนเพียงใด

นั่นแค่ส่วน qualification ของในวงเล็บ ที่นี้มาดูในส่วนแรกบ้าง

ชื่อเสียงของอีกฝ่าย การ discredit อาวุธสำคัญ มีความหมายว่าอะไร?

ตรงไปตรงมาก็คือ เป็นการทำงานโดย operate บนหลักการแห่ง ความกลัวที่จะเกิดอะไรขึ้น เราต้องการให้นี่เป็น recommended means ในการทำงานหรือไม่? ทำเพราะกลัวถูกไล่ออก ไม่ทำเพราะกลัวถูกไล่ออก ทำเพราะมีคนรู้ว่าเราเป็นใคร ทำเพราะไม่มีคนรู้ว่าเราเป็นใคร ในความเห็นส่วนตัวของผม นั่นไม่ใคร่เป็นสังคมที่ผมอยากจะมีส่วนร่วมสร้างเท่าไหร่นัก

ปัญหาคือ เราทุกคนมีส่วนร่วมและกำลังสร้างสังคมที่เราอยู่ครับ

ถ้าถามว่าเราไป รพ. ทุกวันนี้เพราะอะไร ตอบว่ากลัวถูกไล่ออกแล้วไม่มีเงินซื้ออมยิ้มดับ tantrum นั่นคงจะน่าเศร้าพอสมควร ในอุดมคติเราอาจจะอยากได้ยินเช่น มาดูคนไข้ มาสั่ง order เพื่อให้คนไข้หายป่วย ออกจาก รพ. มาทำงานเพราะมันเป็นหน้าที่ อะไรทำนองนั้นแทน

ถ้าถามว่าทำไมเราไม่ลอกข้อสอบ ทำไมเราไม่แซงคิว ตอบว่าเพราะกลัวถูกทำโทษ กลัวถูกปรับ ก็คงจะน่าเศร้าพอสมควร เราน่าจะคาดหวังคำตอบว่า เพราะมันเป็นการโกง เป็นสิ่งที่ผิด เป็นเรื่องไม่ถูกต้องมากกว่า (หรือไม่?)

เหตุผลหรือความหมายเบื้องหลังการทำกระทำของเรานี่แหละครับ ผมว่าสำคัญกว่า Outcomes ที่ออกมา เพราะ outcome ไม่ได้สะท้อนความเปนตัวเรา หรือหลักการของเรา แต่ "การกระทำ" ที่จะทำให้เรา trace back ไปหาความเป็นตัวตนของเราจริงๆได้



Posted by : Phoenix , Date : 2005-01-30 , Time : 08:20:21 , From IP : 172.29.7.113

ความคิดเห็นที่ : 7


   เข้ามาดู


ขอบคุณ


Posted by : OmniSci , Date : 2005-01-30 , Time : 10:45:31 , From IP : 172.29.7.164

ความคิดเห็นที่ : 8


   การที่จะดำเนินแนวทางชีวิตด้วยหลักคุณธรรม(แบบจอมยุทธเล่งฮู้ชง) หรือ"หลักการ"ที่วางอยู่บนรากฐานของความเสียสละและความกล้าหาญ นั้นกระทำได้ลำบากถ้าไม่คิดว่าเป็นเรื่องธรรมดาหรือพบเห็นทั่วไปในสังคม

เหมือนพ่อแม่เจออาการ tantrum ของเด็กล่ะครับ จะมีพ่อแม่สักกี่คนที่พาลูกกลับบ้านไปอบรมสั่งสอนเพื่อหวังผลระยะยาวที่เป็นประโยชน์แก่ลูก โดยที่ไม่รู้สึกอับอายหรือหงุดหงิดขณะ tantrum ของเด็ก

เรื่องของการร้องเรียน การใช้เวบบอร์ดนั้น มันก็ลำบากที่จะหักห้ามใจ ในการที่จะนำสิ่งนี้มาใช้เป็นอาวุธเพื่อผลประโยชน์ของตัวเองหรือทำลายผู้อื่น
การที่จะควบคุมการกระทำให้อยู่ในหลักของตนได้นั้น ก็ต้องมีความ mature คุมอารมณ์จิตใจของตนและปัญญาที่รู้หนทางที่ถูกที่ควรจะทำต่อไป

เรื่องของรถที่เจ้าของโมโหจนต้องทุบทิ้งไปนั้น เป็นไปได้ไหมว่า เจ้าของรถคันนั้นไม่รู้จัก สคบ. มาก่อน ไม่รู้ว่าควรจะร้องเรียนใครในทางกฎหมายต่อไป ... หรือว่าเป็นคนขี้โมโหเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว จนฉุนขาดคุมอารมณ์ไม่อยู่ หรืออาจจะคาดผลลัพธ์ของการกระทำนี้เพื่อผลประโยชน์ของตนไว้แล้วก็เป็นได้ทั้งนั้น

ร่วมด้วยช่วยสร้างสังคมอีกแรงครับ


Posted by : ArLim , Date : 2005-01-30 , Time : 11:55:55 , From IP : ppp-210.86.223.221.r

ความคิดเห็นที่ : 9


   เจ้าของรถร้องเรีบน สคบ. แล้ว แต่ได้รับการนัดหมายที่ล่าช้าเกินความต้องการ และไม่คาดหวังว่า สคบ. จะช่วยเหลือเธออย่างจริงใจ จึงเลือกดำเนินการอย่างที่เราเห็นๆกัน และรู้สึกว่าจะได้ผลลัพธ์เกินความคาดหมายอยู่มาก
จรังๆด้วย การกระทำของคนเรา (ในทุกๆเรื่อง หรือส่วนใหญ่ ?) ก็มีวัตถุประสงค์คล้ายคลึงกันทั้งสิ้น คือทำเพื่อผลประโยชน์ของตนเองเป็นหลัก...


Posted by : แมวดำ , Date : 2005-01-30 , Time : 14:28:02 , From IP : 172.29.7.172

ความคิดเห็นที่ : 10


   ถึงแม้ว่าแรงบันดาลใจจะเหมือนกัน แต่การกระทำอาจจะไม่เหมือนกันครับ

ผลประโยชน์หรือวัตถุประสงค์ของตัวเราเป็นจุดเริ่มต้น แต่เราอยู่ในสังคมที่มีกฏระเบียบ ศีลธรรม และจริยธรรมเป็นกรอบ ตรงนี้ที่จะทำให้เกิดความแตกต่างของการกระทำ

เรื่องราวเฉพาะของรายที่ผ่านมา เราจะเข้าใจได้แท้จริง (ซึ่งคงเป็นไปม่ได้แล้วกระมัง) เมื่อเราทราบข้อมูลจาก "ทั้งสองฝ่าย" เช่น กำหนดนัด สคบ. ที่ว่าช้านั้น ช้าเพียงไร และผิดจากปกติ หรือเป็นอย่างไร และเหตุผลว่าทำไมเธอถึงไม่คาดหวังการช่วยเหลืออย่างจริงใจจาก สคบ. เป็นเพราะข้อมูลที่น่าเชื่อถือได้ หรือว่า "ความเชื่อ" ว่าระบบไว้ใจไม่ได้แต่เริ่มต้น

ทีนี้เราจะเรียนอะไรจากตรงนี้? อะไรจะออกมาสรุปเป็นพฤติกรรมหรือสิ่งที่เราได้เรียนรู้ ผมว่าเราคงต้องใช้หลายๆอย่างมาประกอบกัน เหมือนกระทู้ นศพ. จากบทความของ อ. ธาดา นั่นแหละครับ พื้นเพของคนทำให้การมอง การเรียนรู้ และพฤติกรรม แปลเรื่องๆเดียวกันได้หลากหลายออกไป



Posted by : Phoenix , Date : 2005-01-30 , Time : 14:37:25 , From IP : 172.29.7.236

ความคิดเห็นที่ : 11


   ทุบตึกโชว์เลย
เรียก CNN มาถ่ายด้วย


Posted by : เหมือนกันเย้ย , Date : 2005-01-30 , Time : 18:17:37 , From IP : 203.156.38.77

ความคิดเห็นที่ : 12


   ......มันจะดีกว่านี้ไหมหละคุณ Phoenix.....ถ้าคุณตัวคนเดียวแบบผม....อาจจะไม่มีอะไรต้องเสียเวลาแสดงความเห็นในนี้ก็ได้.....อย่างมากผมก็ถูกไล่ออกกลับไปขับแท็กซี่แถวบ้านแทน.....เสียดายที่เรื่องที่กำลัง discuss กันทั้งหลายตอนนี้ ไม่มีอะไรเกี่ยวกับผม....ผมเลยได้แต่นั่งดู....แต่เห็นแล้วมันก็อดเซ็งไม่ได้.....

.....อย่างที่ผมเคยเขียนไว้ในกระทู้เรื่องการเอาเปรียบเรื่องการทำงานที่มีมานานแล้ว....เราทำอะไรไม่ได้หรอกครับ....เรามันตัว"เล็ก"เกินไปที่จะมีสิทธิมาตัดสินอะไรง่ายๆ....ทำให้พวกตัว"ใหญ่"ทั้งหลายยังเชิดหน้าอยู่ได้ในสังคม...เพราะคิดว่าไอ้ตัว"เล็ก"พวกนี้ไม่มีปัญญาทำอะไร....ร้องเรียนตามขั้นตอนจนตายก็ไม่มีวันประสบผล....ผมบอกไม่ได้หรอกว่าอะไรทำให้คนเราเลิกเชื่อถือระบบบ้าง..แต่เราเห็นๆกรณีทั้งหลายที่เกิดขึ้นมันเปลี่ยนแปลงไปตามเวลา....เช่นการฟ้องร้องหมอที่เป็นพระเจ้าในสมัยก่อน....หมอเราจะทำย่ำยีคนไข้อย่างไรก็ได้...ปัจจุบันเราต้องระวังมากขึ้น...ศักดินา"พระเจ้า"สำหรับเรามันหมดไปแล้ว.....เช่นเดียวกับทุกอาชีพ....ไม่ใช่ว่าขายรถยนต์จะโดยฟ้องไม่ได้.....และก็เช่นกัน....ไม่ใช่ว่าเป็นผู้บริหารโรงพยาบาลจะอ้าปากพูดหรือกลับคำพูดแบบไม่รับผิดชอบได้.....

.....แต่นั้นหละ....จะทำอย่างไรให้คนเหล่านี้สำนึกถึงตัวตนที่เป็นว่าไม่ได้ยิ่งใหญ่คับฟ้า....เราตัว"เล็ก"เราทำอะไรไม่ได้....ไม่จริงแล้วครับ....มันมีทางออกมากมายที่เราจะล้ม"ยักษ์"ได้.....คุณเคยถกเถียงกับผมเรื่องนี้ใมนไม่ดีที่เขียนทางกระดานข่าว....แต่ผมบอกแล้ว....มันกำลังจะเปลี่ยนไป....เราจะยืนยันในอำนาจอันล้นเหลือของเราต่อไปไม่ได้อีกแล้วหละครับ.....เราต้องปรัปตัว...."ยักษ์"ทั้งหลายก็ตัองเรียนรู้เรื่องกระดานข่าว....ต้องเรียนรู้เรื่องสือมวลชน...."ยักษ์"ที่ไม่รู้เรื่องเหล่านี้....หรือยังดื้อดึงต่อการพัฒนา.....จะอยู่ไม่ได้หรอกครับ....คิดง่ายๆก็ได้....ถ้าหมอสักคนยังคิดว่าตนเป็น"พระเจ้า"อยู่....สักวันก็ต้องพลาดครับ.....

......ขนบธรรมเนียมประเพณีที่ดี....กาละเทศะที่คุณอยากจะรักษาเอาไว้....วันหนึ่งก็ต้องเปลี่ยนครับ.....ไม่งั้นป่านนี้เราอาจจะต้องนุ่งโจงกระเบนและหมอบคลานกันอยู่.....อยู่แค่ว่า....เราจะปรับตัวและสอนลูกหลานเราอย่างไรต่างหากให้อยู่ในสังคมบัดซบแบบนี้ได้.....ผมกำลังรอดูครับ.....ถึงการล่มสลายของ"ยักษ์"ทั้งหลาย......



Posted by : Death , Date : 2005-01-30 , Time : 20:02:07 , From IP : 172.29.1.97

ความคิดเห็นที่ : 13


   คนเรามี "ยักษ์" อยู่ในสมองของเราเองนี่แหละครับ พระท่านเรียก "อุปาทาน"

ผมไม่ใคร่เข้าใจความตัวเล็ก ตัวใหญ่ คนแคระ ยักษ์ อะไรนั่นเท่าไหร่นักหรอกครับ ผมอ่านหนังสือของพระพยอม ท่านเป็นลูกชาวนาธรรมดาๆ แต่ท่านด่าได้ตั้งแต่รัฐมนตรี นายก ยันขี้เหล้าข้างบ้าน ตัวท่านก็ใหญ่เท่าเดิม ปากท่านยังตะไกรไม่มีน้ำผึ้งเหมือนเดิม ก็ห็นมีคนเคารพกราบไหว้ท่านเยอะดี

คนเราที่เดิน "เชิดหน้า" ในสังคมได้คงจะมีหลายแบบกระมัง เดินเชิดหน้าเพราะเงินในกระเป๋า เดินเชิดหน้าเพระใหล้ชิดคนใหญ่คนโต แต่คงมีบางคนเดินเชิดหน้าเพราะเขาไม่ได้คิดแม้แต่น้อยว่าเขาต้องเชิดหน้าหรือไม่ แค่มั่นใจในตัวเองด้วยสาเหตุบางอย่าง เช่น ไม่เคยโกงใคร เป็นคนมีศีลธรรม มีครอบครัวที่ตนเองได้สอนสั่งเป็นอย่างดี

เมื่อมีคนเดินเชิดหน้าก็คงมีคน "เดินหลบหน้า" ด้วยรึเปล่า? หลบหน้าเพราะไม่มีเงิน มีหนี้สิน หลบหน้าเพราะไม่มีเส้น หรือหลบหน้าหลบตาเพราะสำนึกอยู่ลึกๆว่าเรามีชนักติดหลัง ไร้คุณธรรม ไม่กล้าสบตาใครกลัวคนจะรู้ว่าเราคิดอะไรอยู่ ระแวงคนจะมองเห็นความสกปรกในหัวที่ตนเองคิดอยู่

หมอ "ไม่เคย" เป็นพระเจ้ามาก่อนหรอกครับ ไม่ว่ายุคไหนก็ตาม หมอ ไม่เคย" มีอำนาจล้นเหลือ เพราะเรามีหน้าที่ "บริการ" แปลว่าเชื่อฟังคนไข้ เหมือนกับคำว่า "ข้าราชการ" แปลว่า "ผู้รับใช้กิจของพระราชา" นั่นแหละครับ ไม่ได้มีตรงไหนที่จะหมายความว่าเรามีอำน่งอำนาจอะไร ถ้าเราไม่เคยมีอำนาจที่ว่า งั้นเราก็ไม่เคยที่จะต้อง "หมดอำนาจ" แต่ไอ้ความคิดที่ว่าหมอเป็นพระเจ้ามาก่อนนี่แหละเป็นเมล็ดแห่งความชัง ความเกลียด ความอะไรต่อมิอะไรต่ออาชีพนี้ในปัจจุบัน ผมคิดว่าไม่ว่าอาชีพไหนก็ตาม ขอเพียงเป็นคนดี มีหลักการอย่างน้อยก็ยึดถือศีล ไม่โกหกว่าเราเป็นหรือไม่เป็นใคร ไม่มุสาส่อเสียดหยาบคายลามก ก็สามารถมีคนรัก คนนับถือได้ ผมคิดว่าโดยลักษณะงานของแพทย์พยาบาลคนให้บริการสุขภาพ มันมีความต้องการ trait บางอย่างในการคิด การพูด การแสดงออก และเพราะเหตุนั้นที่หมอพยาบาลรุ่นพ่อรุ่นแม่เราทำไว้ ลูกหมอหลายพยาบาลกำลังเก็บเกี่ยวบุญเก่า ถ้าไม่สร้างต่อก็หมดแน่นอน สรเงได้ไม่ได้ ขึ้นอยู่กับ ความเชื่อ ในวิญญาณของอาชีพเรานี่แหละครับ ใครจะทำอะไร มีความคิดยังไง ผมว่าถ้ากฏข้อที่หนึ่งยังเป็นตามรอยพระบาทสมเด็จพระราชบิดาอยู่ล่ะก็ ผมว่ามันหลงไปไม่ไกล ยังกู่กลับเสมอ

ถ้าสังคมนี้จะเป็นคนดีหมายความว่าต้องกลับไปนุ่งโจงกระเบนเคี้ยวหมาก so be it. ถ้าสังคมนี้ที่ modern แปลว่าคนเราต้องสำรากขากถุยแทงหลังกันบนกระดานข่าว ผมจะเปลี่ยนมัน หรืออย่างน้อยก็จะพยายามเปลี่ยนมัน ความเป็นบัดซบ หรือเสนียดแห่งสังคมนั้น ผมเชื่อเหลือเกินว่ามันเกิดจากเมล็ดพืชพันธุ์ที่มนุษยเรานี่แหละหว่าน อ้อ... อาจจะไม่ใช่มนุษย์ครับ เพราะ "มนุษย์" มาจาก มะนะ และ อุษยะ แปลว่า "ใจสูง" ในความเห็นส่วนตัวของผม คนที่ลับๆล่อๆ เอาประโยชน์ตนเองเป็นที่ตั้ง พูดจาแต่ละครั้งเพราะกิเลส เพราะทำลาย เพราะความเกลียด ไม่ค่อยตรงกับนิยามของ "ใจสูง" ไม่งั้นเราแต่ละคนคงจะมี versions ต่างๆของมนุย์และ "อมนุษย์" เดินปะปนกันไป

ใครยืนยันประกาศตนจะมาทำลายประเพณีไทยที่ดี วัฒนธรรมไทยที่ดี มาอ้างแค่โลกนี้เปลี่ยนไปแล้วผมไม่ "ซื้อ" ง่ายๆขนาดนั้น เผอิญรุ่นพ่อรุ่นแม่ผมส่วนใหญ่เป็น "ข้าแผ่นดิน" มาทั้งนั้น เป็นครู เป็นตำรวจ เป็นทหาร เป็นทูต เป็นหมอ เป็นอัยการ ที่ผมถูกสอนเจาะกระโหลกเข้าไปค่อนข้างลึกคือให้ทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด ไม่มีใครบอกว่าให้ชำเลืองดูว่าสังคมมันฟอนเฟะเมื่อไหร่ให้กระโดดตาม ผมมี "หลัก" ยึดของผมอย่างนี้แหละครับ คุณ Death พอจะ share หลักของคุณให้ผมทราบบ้างได้ไหมล่ะครับ




Posted by : Phoenix , Date : 2005-01-30 , Time : 21:27:18 , From IP : 172.29.7.142

ความคิดเห็นที่ : 14


   ....งั้นเรามาคุยกันสักประเด็นดีกว่า....เอาเรื่องหอพักก่อนแล้วกัน....มาดูความเห็นของคุณและผมกัน.....ดีไหม?....

....คุณคิดว่าทางออกของกรณีหอพักในตอนนี้คืออะไร?......
.....สำหรับผมผมคิดว่าทางออกตอนนี้ไม่มีทางออกไหนที่เลือกแล้วจะไม่ถูกต่อว่าจากบุคคลากรโรงพยาบาล.....ไม่ว่าจะเลือกทางออกไหนมีแต่เสีย....แต่จะเสียมากเสียน้อยแล้วแต่.....คุณว่าไง?

.....กรณีการลงกระดานข่าว......คุณคิดว่าเหมาะสมหรือไม่?....
.....ผมคิดว่าเหมาะสมครับ....อย่างน้อยๆเราก็ได้เห็นการแสดงความรับผิดชอบของผู้เกี่ยวข้อง....ซึ่งจนถึงบัดนี้.....ยังไม่มีแถลงการใดๆออกมา......ผมจะรอดู....ว่าผู้รับผิดชอบกรณีนี้แน่จริงแค่ไหน....มีความรับผิดชอบมากพอเหมือนหน่วยประปาหรือเปล่า.....เวลาที่ผ่านไป....คงพอจะบอกอะไรได้บ้าง...คุณว่าไงครับ?

.....ถ้าเป็นคุณ....ที่คุณแนะนำคนอื่นให้ร้องเรียน....ถ้าเป็นคุณเองนะ....คุณจะร้องเรียนไหม....คุณจะยอมเป็นหัวหน้ากลุ่มเพื่อร้องเรียนการตรวจสอบความโปรงใสของการบริหารโรงพยาบาลหรือไม่......คำตอบของผมคือ....ถ้าเรื่องนี้เกี่ยวกับผม....ผมจะลงไปลุยเอง....ผมจะเป็นหัวหน้าผู้ร้องเรียนเอง...โดยไม่กลัวการโดนไล่ออก.....แล้วคุณหละ?

....ลองแค่นี้ก่อนหละกัน.....ถ้ามีประเด็นอื่น....ถามมาได้....ผมไม่เชื่อครับ...ว่าการทำทุกอย่างตามขั้นตอนที่มีให้ทำ....จะแก้ปัญหาความอยุติธรรมในสังคมบัดซบนี้ได้....บางอย่างมันต้องตาต่อตาฟันต่อฟันครับ.....อยากจะโกงเหรอ...ไม่ง่ายแน่นอน.....



Posted by : Death , Date : 2005-01-30 , Time : 22:15:10 , From IP : 172.29.1.97

ความคิดเห็นที่ : 15


   อันดับแรกคือ "ข้อมูล" ก่อนครับ ที่จะตัดสินใจทำหรือไม่ทำอะไร

เพระถ้า Fact คือ มีหออยู่จำนวน "เท่านี้" ห้อง มีบุคลากรอยู่จำนวน "เท่านี้" คน และเป็นบุคลากรที่สถาบัน commit ว่าควรหรือต้องอยู่ในนี้ ผมว่าทางออกมันจำกัดมาก จนไม่รู้จะบ่นเรื่องอะไรต่อ หรือพูดอีกอย่างก็คือบ่นทั้งรู้ว่าจะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ถ้าเป็นยังงั้นก็ป่วยการที่จะมี action ส่วนคนจะเถียงกันเองว่าฉันขออยู่สบายกว่าคนอื่นนั้น ยิ่งแสดงออกมามาก ผมคิดว่ายิ่งลดศักดิ์ศรีของตนเองครับ อันนี้ไม่ใช่ข้อสรุปแต่เป็นแค่ความเห็น ลอง sound เสียง พชท. และแพทย์ประจำบ้านทั้งหมดประมาณ 200 คนดูก่อนก็ได้ว่า พวกคุณมีความเห็นอย่างไรว่าถ้าจำเป็นต้อง share หอพักกับบุคลากรอื่น ควรจะลงเอยอย่างไร เอาบริบทของพวกคุณเองนั่นแหละครับ เดี๋ยวจะหาว่าผมอยู่บ้านพักแพทย์เลยคิดแบบคุณไม่ออก

แต่ถ้าเกิด "มีทางออกอื่น" ที่ควรจะมีอันดับแรกคือสโมสรหรือสหภาพผู้รับจ้างครับ และทางที่ดีไม่ควรจะแยกหมอ พยาบาล ทางที่ดีควรเป็นสหภาพของผู้รับจ้างทั้งหมด เพราะมันจะมีกำลังมากกว่า ตรงนี้ก็คงแล้วแต่พวกคุณกระมังว่าอยากจะรวมหรือแยกกับพยาบาล เพื่อนร่วมอาชีพ (และชะตากรรม) ของคุณทั้งในที่นี้และในอนาคตข้างนอก เอาตามบริบทความคิดภูมิหลังของพวกคุณเองนั่นแหกละครับเป็นตัวตั้ง ไม่ต้องเอาแบบผม

เสร็จแล้วก็มีตัวแทนไปต่อรองเรียกร้อง "สิทฺธิ" ของคุณ ในที่นี้คือสิทธิที่พึงมี ก็แปลว่าน่าจะมีที่มาพอสมควร เช่น อยู่ใน contract อยู่ในระเบียบทั่วไปของพนักงานของรัฐ หรือจากมาตรฐานทั่วๆไปของสถาบันอื่นๆลักษณะคล้ายๆกัน (แต่ผมได้ยินว่าที่จุฬา อยู่หอสี่คนต่อห้อง และไม่พอสำหรับทุกคนซะด้วยซ้ำ) เอามาเป็นมาตรฐานว่าอย่างน้อยเราก็น่าจะได้อย่างคนอื่น เสร็จแล้วก็ "ฟัง" คำชี้แจงและข้อมูลของผู้มีอำนาจหน้าที่รับผิดชอบว่าข้อเสนอต่างๆทำได้ ไม่ได้เพราะอะไร เอามาคิดไตร่ตรองว่ามันจริงอย่างที่ง่ารึเปล่า ถ้าเราคิดได้ดีกว่านั้น มีทางออกที่เรา happy กว่านั้นก็เสนอขึ้นไป

ข้อดี:
๑) ไม่ใช่ individual project นั่นคือ ที่เสนอเป็นความเดือดร้อนของส่วนรวม ไม่ใช่ความเป็นคุณหนูส่วนตัว
๒) ความเป็นตัวตน representative ที่ official ข้อมูลที่ได้สามารถเข้าและกระจายให้สมาชิกเข้าใจได้รวดเร็ว ไม่เกิด rumour effects
๓) facilitate การขอข้อมูล official ถ้าเป็น request ที่เป็นทางการจาก officially-organized group
๔) ถ้าทำอย่างข้างต้นทุกอย่าง ผมไม่เห็นหนทางที่จะมีใครถูกไล่ออก หรือเหตุผลที่ว่า ด้วยสาเหตุใด
๕) นี่ "ไม่ใช่" การตรวจสอบความโปร่งใสของการยริหาร และสหภาพแรงงานที่ไหนๆในโลกนี้ก็ไม่ได้มีปรัชญาว่าจะตรวจสอบความโปร่งงสของการบริหาร ปรัชญาของสหภาพแรงงานคือ well-being ของคนงาน ซึ่งจริงๆแล้วในองค์กรที่เน้นคุณภาพ มันเป็นเรื่องที่สอดคล้องกับวัตถุประสงค์หรือมาตรวัดอยู่แล้ว (QCDIPSM = quality, cost, delivery, productivity, safety, and morale)

ส่วนใคร "โกง" ใคร อย่างไร คงจะต้องมีการ define ให้ชัดเจนครับ คำๆนี้มีความหมายชัดเจนตามกฏหมาย ไม่ใช่คำที่ sensationalize เล่นโก้ๆ ถ้ามีโกง ก็มีบทลงโทษตามกฏหมายแน่นอน

ส่วนการเคลื่อนไหวที่ไม่ Official นั่นเขาเรียกว่า mob ครับ และ mob ที่ทำให้สาธารณชนเดือดร้อนก็ผิดกฏหมายแน่นอนเหมือนกัน และ mob ของแพทย์ที่จะทำให้ผป.เดือดร้อนโดยตรง เพื่อเรียกร้องอะไรที่ public ไม่เห็นด้วยก็ยิ่งออกมา ugly มากยิ่งขึ้น

ผมไม่ทราบว่าคุณประเมินผลของกระทู้ที่ผ่านออกมาว่า win ขนาดไหน แต่ผมเห็นสองอย่างคือ ๑) กระทู้ที่ผ่านมาไม่ได้สร้างกำลังเพิ่ม แต่ไปทะเลาะกับพยาบาลซึ่งเป็นผู้รับกรรมเหมือนกับพวกคุณเอง และ ๒) เป็นการบ่นที่ไม่มี strategy ไม่มีการแสดงออกถึงข้อสัญญาที่ได้รับต่อสาธารชนคนเข้ามาอ่าน บุคคลที่สามมาอ่านจะเกิด negative thought ต่อพวกคุณได้พอๆกับการสงสาร แต่ใน climate ปัจจุบัน การสงสารแพทย์จากมวลชนเป็นอย่างที่คุณว่าคือน้อยลงเยอะ tactic นี้ผมไม่เห็นว่าจะเกิด pressure แต่อย่างใด whatsoever กับเป้าหมายสุดท้ายที่พวกคุณอยากได้



Posted by : Phoenix , Date : 2005-01-30 , Time : 22:54:18 , From IP : 172.29.7.102

ความคิดเห็นที่ : 16


   ลืมบอกไป การ "ไม่มี" แถลงการตอบบัตรสนเท่ห์ในที่สาธารณะ จากองค์กรบริหารที่ไหนก็ตามในโลกนี้ ไม่เป็นข้อสรุปที่แสดงคถึงความรับผิดชอบแต่อย่างใด จะตอบหรือไม่ตอบบัตรสนเท่ห์ เป็น absolute choice ที่ irrelevant ต่อ integrity ครับ จะรอไปนานแค่ไหนก็ตามใจ

อ้อ... การเป็น representative ใครนั้น ไม่ได้มาจากอยากเป็นครับ แต่เป็นคนที่เราจะ reopresent เขาเห็นว่าเรามีคุณวุฒิ วัยวุฒิ integrity และความสามารถรักษาผลประโยชน์ รักษาชื่อเสียง รักษาคุณธรรมความเป็นตัวตนของเขาได้ ก็เลย elect ขึ้นมาเป็นตัวแทน อย่างในกรณี้นี้ผมไม่สามารถจะ represent คุณ Death or vice versa เพราะเราไม่สามารถคิดและพูดแทนกันได้แน่นอน เนื่องจากเรามีความเห็นตรงกันข้ามเกือบทุกเรื่องครับ



Posted by : Phoenix , Date : 2005-01-30 , Time : 23:05:53 , From IP : 172.29.7.102

ความคิดเห็นที่ : 17


   ......สรุป...คุณไม่ตอบผมสักข้อ....ไม่เป็นไร....แค่นี้ผมก็พอทราบแนวทางของคุณแล้ว.....ผมแค่ถามความเห็นคุณเป็นข้อๆเพื่อให้เข้าใจอะไรง่ายขึ้น....แต่คุณก็ชอบแบบนี้.....ไม่ตอบอะไรตรงๆสักอย่าง....ทำแบบผู้บริหาร....ต้องถอยไปตั้งหลัก....ขอเวลาตัดสินใจ....ขอข้อมูลมากกว่านี้นิด....ขอปรึกษาที่ปรึกษาก่อน....ถามจริงเถอะ....ไหนว่าคุณไม่กลัวถูกไล่ออกไง....กะแค่แสดงความเห็นง่ายๆสั้นๆเอง....ยังคิดมากซะขนาดนี้....ตามใจครับ....คุณเลือกของคุณเอง....ผมคงได้แต่นั่งดูหละครับ.....ขอบคุณครับ.....

.....ไม่ใช่มันไม่มีทางออกหรอกครับ....ทุกอย่างมีทางออก....แต่จะเลือกหรือเปล่า....มันอีกเรื่องครับ......เฮ้อออออออ......



Posted by : Death , Date : 2005-01-30 , Time : 23:07:18 , From IP : 172.29.1.97

ความคิดเห็นที่ : 18


   การหาข้อมูลที่จำเป็นก่อนมันผิดยังไงครับ?

ไอ้การลุยโดยไม่มีข้อมูลน่ะมันเป็นวิธีหนึ่ง แต่ซุนวูไม่ได้แนะนำให้ทำ แกบอกว่า "รู้เขา รู้เรา" มันถึงจะมีโอกาสชนะ คุณถามผมว่าผมจะทำยังไง ก็ตอบไปแล้ว ถ้ายังไม่ทราบว่าตอบไปแล้วก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะตอบยังไง

ตรงไหนที่แสดงว่าผมจะถูกไล่ออก? ละวางอุปาทานลงบ้างก็ดีครับ ผมแสดงความเห็นที่ชัดเจน และจริงๆแล้วใครที่รู้จักความคิดของผม ก็น่าจะรู้ว่าผมจะทำตามหลักการเดิมแน่ๆ และการ resort มาใช้กระดานข่าวนั้นผมไม่เคย pro มาก่อนเลยในประวัตศาสตร์การเขียนกระทู้ที่นี่ ไม่ทราบว่าถามทำไมเหมือนกันว่าผมเห็นด้วยกับการใช้กระดานข่าวแบบ anonymous นี่รึเปล่า



Posted by : Phoenix , Date : 2005-01-30 , Time : 23:13:36 , From IP : 172.29.7.102

ความคิดเห็นที่ : 19


   ได้อรรถรสในการโต้ตอบดีระดับหนึ่ง




อันตัวเราก็หาได้รู้จักท่านทั้งสองเป็นการส่วนตัวไม่ แต่ก็ขอชมเชย


ติดอยู่นิดหนึ่งว่าเหมือนคนละชั้นกัน

อยากแนะนำว่า คุณ Death ออกจะปนด้วยอารมณ์ และความอยากจะ "ชนะ" ไปหน่อย บางส่วนออกจะ ข้างๆ คูๆ

ขออภัย เราอาจผิดพลาดเพราะ น้อยด้วยประสบการณ์


Posted by : เราเพียงเข้ามาลิ้มลอง , Date : 2005-01-30 , Time : 23:32:37 , From IP : 172.29.7.113

ความคิดเห็นที่ : 20


   .....แค่ความเห็นครับ....ความเห็น....ไม่ต้องไปศึกษาสารานุกรมไหนเพิ่ม....ตอบมาตามเท่าที่ทราบ.....ไม่เห็นจะเสียหายตรงไหน....ทำไมต้องพล่ามอะไรยาวๆเป็นหน้าทั้งๆที่ผมไม่ได้ถาม.....บางทีผมแค่ขอให้คุณตอบว่า ใช่ หรือ ไม่....คุณยังไม่ตอบเลย.....แล้วจะให้ผมมาแชร์หลักการของผมทำอะไร.....

.....หลักของผมมีแค่จริงเท่านั้น.....คุณลองคิดถึงผู้บริหารที่ยินดีลดตัวลงมาตอบคำถามทางกระดานข่าว....ยินดีมาให้ข้อมูลแก่บุคคลากรที่กำลังทะเลาะกัน....มันเสียหายตรงไหนเหรอ?

.....นี่คือจุดยืนของผู้บริหารที่คุณบอกงั้นเหรอ...คุณคิดว่าไม่ผิด...ที่ไม่ตอบบัตรสนเทห์......ไม่ผิดใช่...ไม่ตอบไม่ว่า...แต่ถ้ามีผู้บริหารสักคนที่มีความจริงใจพอแก่ลูกน้องตนเอง....มาตอบหละ....คุณว่าองค์กรนั้นจะเป็นอย่างไร....ถ้าผู้บริหารใส่ใจลูกน้องทุกระดับชั้น.....ผมไม่ได้ถามสักนิดว่าเมื่อเช้าคุณกินอะไร....ผมไม่ได้ตั้งคำถามเรื่องส่วนตัวหรืออะไรที่ตอบไม่ได้เลย.....แค่แสดงความเห็น....แค่นั้นยังไม่ได้....แสดงว่าเราเป็นบุคคลากรชั้นต่ำมากขนาดไม่ควรได้รับความสนใจอย่างงั้นหรือ.....นี่หรือคือองค์กรที่คุณอยากจะอยู่.....

......คิดดูหละกัน...ผมมีแค่ความจริง....หลักผมมีแค่นั้น....ไม่ต้องมาเขียนอะไรยาวเหยียดแล้วทำไม่ได้จริง.....จะฝันก็ฝันไป....ตามสบายเลยครับ....อนาคตคุณจะเป็นผู้บริหารแบบนี้เหรอ...?....โธ่......โรงพยาบาล....แค่นี้เองเหรอ...



Posted by : Death , Date : 2005-01-30 , Time : 23:50:41 , From IP : 172.29.1.97

ความคิดเห็นที่ : 21


   ผมไม่ได้คิดถึงอนาคตว่าผมจะเป็นผู้บริหารหรอกครับ ผมคิดแค่ต้องการเป็นคนดีแค่นั้น

อาจจะเริ่มจากผมไม่เคยบอกครูอาจารย์ผมคนไหนว่า "พล่าม" ทั้งๆที่ไม่ได้ถาม ตรงนี้อาจจะเป็นความแตกต่างของการอบรม สั่งสอน คนละเผ่ากัน ไม่เป็นไร

การตอบหรือไม่ตอบบัตรสนเท่ห์นั้น ไม่เกี่ยวกับ "จุดยืน" ครับ เวลาเราใช้คำว่าจุดยืนเราน่าจะหมายความถึงสิ่งที่เป็นหลักการมากกว่านั้นสักนิด ไม่งั้นก็จะมีจุดยืนการรินเหล้า จุดยืนการนินทา จุดยืนการด่าครู จุดยืนการลืมคำสั่งสอนพ่อแม่ ฯลฯ อีกมากมาย และอย่างที่เรียนให้ทราบ นั่นเป็นความคิดของผมว่าการตอบหรือไม่ตอบ "ไม่เกี่ยว" กับ Integrity เพราะ "บัตรสนเท่ห์" นั้นไม่ได้ represent ใครได้อย่างแท้จริง ตอบก็เหมือนกับตอบให้เมฆหมอก ใครก็ไม่ทราบได้ ส่วนเสียหายหรือไม่อย่างที่เรียนให้ทราบคือขึ้นอยู่กับวิจารณญานของท่านผู้บริหารครับว่าอยากหรือไม่อยากตอบ ผมคิดแทนใครคนอื่นไม่ได้

การตอบคำถามของผมนั้น เนื่องจากเราไม่ได้อยู่ในศาล ผมมักจะชี้แจงเหตุผลและที่มา รวมทั้งขยายความว่าถ้าผมตอบว่าใช่หรือไม่ใช่นั้น มีเงื่อนไข หรือถ้า หรืออะไรรึเปล่า การตั้งใจตอบเพื่อให้คนถามเข้าใจนั้น จากที่ที่ผมถูกอบรมมาแปลว่าการให้เกียรติและความเคารพต่อคนถามครับ ขออภัยที่กลายเป็นพล่าม ทำให้คุณ DeaTH เคืองพระโสต เสียเวลาอ่านความเห็นของผมไปหลายวินาที

ผมอยากให้บุคลากรเราเป็นบุคคลดีครับ ชั้นสูงต่ำไม่เกี่ยง เป็นบุคลากรแพทย์ที่คนไข้นับถือ เป็นคนที่เจริญรอยตามวาทะสมเด็จพระราชบิดา หลังจากนั้นแล้วผมเชื่อว่าจะมีคนมาสนใจและเคารพเราเอง ผมคิดว่าแพทย์ พยาบาลเป็นคนมีเกียรติพอที่จะเดินไปแสดงความเห็นกับใครก็ได้อย่างเปิดเผย นั่นคือความหมายของคนชั้นสูงได้บ้างกระมัง? พวกเรามีหน้าที่ต้องออกไปสอนชาวบ้าน ทำอย่างนี้ซิถูก ทำอย่างนี้ซิสุขภาพจะดี เราเป็นทั้งหมอทั้งครูโดยอาชีพอยู่แล้ว ผมไม่คิดว่าเราจะต้องอับอายหรือมีปมด้อยไม่กล้าพูดเรียกร้องสิทธิที่เราพึงมีภายใต้ anonymous ตรงกันข้ามการกระทำดังกล่าวผมคิดว่าเป็นการมองตนเองว่าเป็นบุคลกรชั้นต่ำ เป็นการดถูกตนเอง เป็นการไม่ยอมรับความมีตัวตนหรือนับถือความถูกต้องของตนเอง



Posted by : Phoenix , Date : 2005-01-31 , Time : 00:16:28 , From IP : 172.29.7.102

ความคิดเห็นที่ : 22


   ....ถ้าอย่างนั้น....ถ้าให้คุณเลือกระหว่างสองอย่าง....

....อย่างแรก....องค์กรที่ผู้บริหารจริงใจพอที่จะมาตอบกระดานข่าว...เนื่องจากบุคคลากรมีข้อสงสัย.......โดยไม่ปิดบังข้อมูล.....และกล้าให้ซักถาม.....

....อย่างที่สอง...องค์กรที่ผู้บรหารคิดว่าไม่ผิดอะไรที่ไม่ตอบคำถามใดๆของบุคคลากรทางกระดานข่าว....ไม่สนใจ...ปล่อยให้บุคคลากรเข้าใจอะไรกันผิดๆ...หลงเชื่อข่าวลือ....ทะเลาะกันไปมา.....

....โดยในข้อมูลอื่นๆ...ของทั้งสององค์กรเหมือนกันหมด......คุณจะเลือกอยู่ในองค์กรไหนครับ.....

....ผมเลือกองค์กรแรกครับ....นี่คือความจริงใจของผม....แล้วของคุณหละครับ....ขอแสดงความนับถือครับ.....



Posted by : Death , Date : 2005-01-31 , Time : 00:25:06 , From IP : 172.29.7.42

ความคิดเห็นที่ : 23


   ถ้าตามที่ผมวิเคราะห์ไว้ก็จะมี choice ที่สามครับ คือผมไม่คิดว่าการที่ผู้บริหารองค์กรนั้นๆตอบหรือไม่ตอบกระดานข่าวชนิด anonymous แบบนี้ เป็นส่วนในการตัดสินคุณค่าขององค์กรที่ผมอยากจะอยู่

ผมเห็นด้วยว่าการชี้แจง โปร่งใสนั้นดี แต่ตาม "หลัก" การสื่อสาร ความโปร่งใสซื่อตรงนั้นเป็นกระบวนการ quid pro quo ครับ นั่นคือนักการสามารถถามคณบดีตรงๆว่ายังงี้ยังงั้น ไม่มีใครใส่หน้ากาก ก่นด่า สำรากด้วยวาจากเฬวรากแล้วยังคาดหวังการตอบดีๆ

องค์กรแบบนี้แหละครับที่ผมอยากอยู่



Posted by : Phoenix , Date : 2005-01-31 , Time : 00:32:51 , From IP : 172.29.7.102

ความคิดเห็นที่ : 24


   .....ขอบคุณสำหรับความจริงใจครับ....คุณ"เหมาะ"มากเลยถ้าจะเป็นผู้บริหารองค์กรที่สอง.....โชคดีหละกันครับ.....



Posted by : Death , Date : 2005-01-31 , Time : 00:36:33 , From IP : 172.29.7.42

ความคิดเห็นที่ : 25


   โชคดีที่ "ไม่มี" องค์กรที่ "วัฒนธรรมองค์กร" ขึ้นอยู่กับหลักการตอบกระทู้ anonymous

และขอให้โชคดีในองค์กรที่คุณ Death กำลังไปอยู่ หรือไปสร้างขึ้นมาครับ ผมขออวยพรให้คุณ Death แวดล้อมด้วยบุคลากรที่มีความคิดอ่าน value คุณค่าการดำเนินชีวิตเหมือนกับที่คุณเองมีและคิดว่าถูกต้อง น่นน่าจะเป็นองค์กรที่คุณมีความสุขที่สุด เหมาะแก่การมีครอบครัว เลี้ยงดูบุตรหลานสืบไปครับ



Posted by : Phoenix , Date : 2005-01-31 , Time : 00:41:34 , From IP : 172.29.7.102

ความคิดเห็นที่ : 26


   ....ผมไม่สนใจหรอกว่าจะมีองค์กรแบบที่คุณว่าหรือไม่....แค่ให้เลือกหนึ่งในสองอย่าง....คุณยังไม่กล้าเลือกเลย....คุณจริงใจกับผมเพียงเท่านี้....ผมคงไม่ขอร้องอะไรมากกว่านี้หละครับ....คำแนะนำดีๆทั้งหลายที่คุณใช้สอนคนอื่น..สุดท้ายพอสถานการณ์สมมติว่าถ้าเป็นคุณ คุณจะเลือกแบบไหน...คุณเลือกที่จะหนี...เหมือนพวกดีแต่พูด....พอให้ทำจริงๆ...ให้เลือกจริงๆ.....ก็จบ...เท่านั้น....เฮ้อออออออออออออ.....ขับแท็กซี่อาจจะเหมาะกับผมแล้วหละครับ....ขอบคุณสำหรับคำอวยพรนะครับ....ลองมานั่งดูกัน...ว่าผลลัพธ์ของกรณีหอพักจะเป็นอย่างไร....

.....ถามเล่นๆสักอย่างสิ...ถ้า...ผมเป็นผู้บริหาร....มาขอคำแนะนำคุณเรื่องนี้....คุณจะให้คำแนะนำว่าไง?....ไม่ตอบก็ได้นะครับ....บอกแล้วว่าถามเล่นๆ....:D



Posted by : Death , Date : 2005-01-31 , Time : 01:10:08 , From IP : 172.29.7.42

ความคิดเห็นที่ : 27


   คุณเข้าใจผิดครับ

ผมตอบจาก "ความเป็นตัวตน" ของผมเอง ผมคิดว่านั่นเป็นการแสดงความเห็นที่จริงใจที่สุดแล้ว เพราะผมบอก "ตั้งแต่แรก" แล้วว่าผมประเมินการตอยกระทู้ว่ามีความสำคัญอย่างไร ถ้าผมตอบผิดไปจากนั้น นั่นซิแสดงว่าผม "ไม่จริงใจ" ต่อสิ่งที่ผมเชื่อ

ในภาพยนต์เราเคยเห็นทนายความ (ส่วนใหญ่ตัวร้าย) Idiot หลายคนพยายามรัดคำตอบให้เหลือ yes หรือ no เพราะเพื่อทำให้รูปคดี ความจริงเปลี่ยนไป คนดูสามารถรู้สึกถึงความอึดอัด อยากจะตะโกนกรอกหูพวกทนายพวกนี้ (หรือเอาอะไรยัดหู) ว่า "ความจริง" นั้นกอปรด้วยบริบทเสมอ ผมแสดงความคิดเห็นแล้ว ผม "กล้า" พอที่จะ backup ความเห็นทุกชิ้นด้วยเหตุผลความเป็นตัวตน และเปิดเผยของผม อย่างที่ทุกคนทราบว่าผมเป็นใครในที่นี้ ดังนั้นก็ขอขอบพระคุณการประเมินความกล้าหาญของคุณ Thank but no thanks

ขออนุญาต clear คำถาม (ด้วยความเคารพอย่างสูง) จาก scenario ดังกล่าวที่ในฐานะคุณเป็นผู้บริหาร แล้วผมรู้ว่าคุณเป็นผู้บริหารแบบไหนด้วยรึเปล่าครับ?
(ถามจริงๆ)




Posted by : Phoenix , Date : 2005-01-31 , Time : 01:24:06 , From IP : 172.29.7.102

ความคิดเห็นที่ : 28


   ไหนๆคุณ Death พูดถึงเรื่องความจริงใจและกล้าหาญกันมาพอสมควร เรามาเปิดเผย identity ให้น้องๆเพื่อนๆพี่ๆบนกระดานนี้ทราบกันดีไหมครับ? (ถามเล่นๆ)



Posted by : Phoenix , Date : 2005-01-31 , Time : 01:36:41 , From IP : 172.29.7.73

ความคิดเห็นที่ : 29


   .....คุณเข้าใจคนละอย่างแล้วครับ....ผมไม่ได้สนใจความเป็นตัวตนอะไรของคุณ...ผมแค่ถามความเห็นจากสถานการณ์ที่มีในปัจจุบัน....แค่แสดงความเห็นไม่ใช่ให้คิดมากไปยาวเหยียด....ผมไม่คิดว่าผมจะตั้งคำถามที่มัน Complicated ขนาดนั้นเลย....แค่ถามว่าจะทำหรือไม่....เลือกอะไร...ผมรู้ว่าเราต้องมานั่งคิด....แต่สุดท้ายเวลาเราเลือก....เราเหลืออยู่ไม่กี่อย่าง....ผมแค่อยากจะรู้ว่าถ้าเหลือแค่สองอย่างงี้....คุณจะเลือกอะไร?....ไม่ได้อยากได้คำตอบหนึ่งหน้าโดยที่ไม่รู้ว่าตอบอะไร....เหมือนพวกผู้บริหารที่ชอบตอบอะไรยาวๆ....สุดท้ายคือไม่ทำนั่นหละ...ตอบมาว่าไม่...ก็หมดเรื่อง....

....สำหรับคำถามผู้บริหาร...คิดได้เลยว่าผมเป็นผู้บริหารแย่ๆ....ไม่มีความรับผิดชอบ....แต่ตอนนี้ซวยแล้วเพราะมีปัญหาเรื่องนี้....คุณจะแนะนำอย่างไร..[ถามจริงเหมือนกัน]....



Posted by : Death , Date : 2005-01-31 , Time : 01:39:07 , From IP : 172.29.7.42

ความคิดเห็นที่ : 30


   .....ผมยังไม่เห็นเลยว่าคุณมีความกล้าตรงไหน?....ผมตอบเล่นๆก็ได้ครับ...ว่าผมไม่สนใจที่คุณท้าหรอกครับ....ผมท้าคุณ...คุณไม่เห็นสนใจตรงไหนเลย...เฮ้ออออออออ.....



Posted by : Death , Date : 2005-01-31 , Time : 01:42:53 , From IP : 172.29.7.42

ความคิดเห็นที่ : 31


   ถ้าผมรู้ว่าคุณเป็นผู้บริหาร ผมก็คิดว่าคุณก็จะตอบกระทู้ชี้แจงไปเอง เพราะว่านั่นคือสิ่งที่คุณบอกว่าคุณคิดว่าถูกต้องสมควรทำ

ถ้าผมไม่รู้จักคุณ ผมก็คงถามว่าแล้วคุณมีข้อมูลอะไรให้ผมบ้าง ก่อนที่ผมจะให้คำแนะนำคุณได้ ผมไม่ให้คำแนะนำโดยไม่มีข้อมูลที่เพียงพอ เพราะนั่นเป็นการโกหกว่าที่เราให้คำแนะนำไปเป็นสิ่งที่ดีพอ ในเมื่อเราจะให้คำแนะนำไป เราต้องทราบ (หรืออย่างน้อยคิด) ว่ามันดีซะก่อน

ที่ผมว่ามันมี third choice เพราะใน "โลก" ของผมมันไม่มีทาง descend ลงไปเหลือแค่สอง choices อย่างที่เรียนให้ทราบผมคิด "แทน" คุณไม่ได้ ถ้าคุณถามความเห็นของผม ผมสามารถให้คำตอบจาก perspective ของผมเอง ผมไม่สามารถจะมองโลกจาก angle ของคุณได้

ผมไม่เข้าใจว่าที่เรากำลังทำอยู่นี้มันจะนอกเหนือไปจาก "พูด" ได้อย่างไร เพราะเป็นเรื่องสมมติทั้งสิ้น และเนื่องจากเป็นเรื่องสมมติที่ "ไม่มีวันเป็นจริง" (if-clause the third type) การตอบว่าอย่างไรมันไม่เกี่ยวกับความกล้าตอบไม่กล้าตอบ

ส่วนเรื่องความกล้านั้น ประเด็นมันอยู่ในคำที่ผมใช้มาตลอดคือความ anonymous ผมคิดว่าผมแสดงออกโดยไม่ได้มีความซ่อนเร้นอะไรในเรื่องนี้ ผมเลยถามคุณ Death ว่าอยากจะ share ความโปร่งใสตรงนี้กับผมรึเปล่าเท่านั้น

ขอชี้แจงเพิ่มเติมสักนิด สำหรับตัวผม ไม่มี Universal answer ที่ตอบใครเหมือนกันหมด ทุกที่ ทุกเวลา ทุกคน ตราบใดที่เราถกกันเรื่อง facts ไม่ใช่เรื่อง truth นั่นคือ facts นั้นวางอยู่บน observation แต่ truth ไม่ใช่ (เช่น ปรัชญา ศาสนา) ผมเป็นอย่างนี้มานานมากแล้ว ดังนั้นถ้าจะถามคำถามอะไรทีตอบสั้นๆก็ไปถามคนอื่น แต่ถ้าอยากรู้ว่า "ผม" ความเห็นว่าอย่างไรกับเรื่องนั้นๆ ผมต้อง "อธิบาย" ครับ



Posted by : Phoenix , Date : 2005-01-31 , Time : 01:56:26 , From IP : 172.29.7.73

ความคิดเห็นที่ : 32


   .....ขอบคุณสำหรับคำตอบ....โอ๊ยยยย....เหนื่อยยยยย.....กว่าจะได้คำตอบแต่ละที.....เฮ้อออออออออออออออออ......

......นั่นสินะ....ที่ผมยังงงๆ.....ในเมื่อมันเป็นเรื่องสมมติ....จะตอบอย่างไรก็ได้ถูกหรือไม่....จะต้องกังวลทำไม....มันไม่เห็นต้องใช้ความกล้าตรงไหน....แล้วทำไมคุณถึงไม่ตอบหละ?....ตอบอะไรก็ได้.....เลือกอะไรก็ได้ตามใจคุณ.....ที่ผมยังเลือกได้เลย...แล้วมันหนักหนายังไงถึงต้องมีทางเลือกที่สามเนี่ย....ไม่เข้าใจเหมือนกัน....เฮ้อออออออออออ.......

.............:D...:D



Posted by : Death , Date : 2005-01-31 , Time : 02:17:55 , From IP : 172.29.7.42

ความคิดเห็นที่ : 33


   ผม "ตอบไปแล้ว" ครับ

ตอบว่าผมขอข้อมูลเพิ่มเติม
ตอบว่าผมเลือกทางเลือกที่สาม

เพียงแต่ผมตอบ "ไม่ถูกใจ" คุณเท่านั้น ที่คุณสรุปว่าผมไม่ได้ตอบ อันนั้นช่วยไม่ได้ครับ



Posted by : Phoenix , Date : 2005-01-31 , Time : 02:23:17 , From IP : 172.29.7.73

ความคิดเห็นที่ : 34


   ....โอเค.....นอนเถอะ...ราตรีสวัสดิ์ครับ......



Posted by : Death , Date : 2005-01-31 , Time : 02:26:47 , From IP : 172.29.7.42

ความคิดเห็นที่ : 35


   บางทีน่าจะใช้กุศโลบายสักนิดเพื่อที่จะให้อีกฝ่ายเข้าใจได้มากขึ้นนะฮะ
การแข็งอย่างเดียว มันอาจจะไม่ได้ผล
. . .


Posted by : ArLim , Date : 2005-01-31 , Time : 02:58:59 , From IP : ppp-210.86.142.220.r

ความคิดเห็นที่ : 36


   ทราบมาว่าได้มีการคุยกันแล้วระหว่างตัวแทนและผู้บริหาร ซึ่งน่าจะมีทางออกที่ดี ถึงแม้ว่าจะไม่ได้แถลงในกระดานข่าว

Posted by : มณีแดง , Date : 2005-01-31 , Time : 08:53:30 , From IP : 172.29.3.105

ความคิดเห็นที่ : 37


   มัยไม่ไปคุยกันสองคนว้า คนข้างนอกเค้าดูอยู่นะ

Posted by : 000 , Date : 2005-01-31 , Time : 13:15:00 , From IP : 172.29.1.110

ความคิดเห็นที่ : 38


   คือ รู้สึกอยากตอบด้วย แบบว่า คงไม่เป็นการขัดจังหวะคุณสองคนนะ
คือว่าเรื่อง tantrum น่ะ
เอาแบบไม่เข้าข้างใครนะ
การตอบสนองที่ถูกต้องสำหรับเด็ก tantrum คือการวางเฉยและไม่ตามใจทันที
เพราะจะเกิด reinforcement ให้เด็กทำอีก
อันนี้เข้าใจถูกต้อง
........
แต่สิ่งหนึ่งที่เราหลายคนลืม
หลักการข้อหนึ่งของการ control เด็ก tantrum ก็คือ
ก่อนจะกลับไปสั่งสอนลูกที่บ้าน ว่าต่อให้ลูกร้องจนดิ้นยังงัย พ่อแม่ก็จะไม่ซื้อของเล่นให้
พ่อแม่มีหน้าที่ต้องถามตัวเองก่อนว่า ของเล่นที่ลูกมี เพียงพอหรือยัง
ต้อง assure ก่อนว่า เด็กต้องมีของเล่นอย่างเพียงพอ แล้วถ้ายังโวยวาย อยากได้เกินควร แล้วออกอาการtantrum จึงค่อยจัดการตามที่คุณ Phoenixว่า
(จริงๆ นี่มาจากข้อสอบของราชวิทยาลัยเลยนะ)

ไม่รู้ตอบเข้าข้างใครรึเปล่า


Posted by : ขอตอบ , Date : 2005-01-31 , Time : 20:27:40 , From IP : ppp-202.176.173.21.r

ความคิดเห็นที่ : 39


   เออ น่าสนใจเรื่อง tantrum

แล้ว การประเมินว่าของเล่นมีพอหรือยังนี่มีคำแนะนำให้ใช้ standard อะไรหรือเปล่า

เช่น เทียบกับของเด็กข้างบ้าน หรือเอาความเห็นของพ่อแม่เป็นหลัก หรือมีสูตรคำนวณอะไรหรือเปล่า

ไปถามเด็กเองมันก็คงบอกไม่พอ

ราชวิทยาลัยเข้ามีบอกไว้ไหมครับ จะได้ไม่เข้าข่ายตามใจเด็กเกินไป

ผมอยากรู้ เผื่อเอามาประเมินคนใกล้ตัวบ้าง


Posted by : OmniSci , Date : 2005-01-31 , Time : 20:37:58 , From IP : 172.29.7.245

ความคิดเห็นที่ : 40


   ขออนุญาตวิเคราะห์ข้าม field สักนิดนึงนะครับ เพื่อต่อยอดความรู้ของผมเอง

ประการแรก ผมคิดว่ายังไงๆ tantrum นั้น ต้อง "ไม่ได้" รับการตอบสนองแน่ๆใช่ไหมครับ ไม่ว่าเด็กจะมีของเล่นพอหรือไม่

ประการสองในส่วนที่พิจารณาว่ามีของเล่นพอไม่พอนั่น ไว้ประกอบตอนที่เรากลับมาสอนเด็ก ว่าเราต้องพิจารณาอะไรบ้าง อะไรเป็นสาเหตุที่เด็กถึงได้มี emotional rise แบบเรียกร้องแบบนั้น จะได้ปรับทั้ง drive และ means ไม่น่าจะแปลว่าถ้าของเล่นไม่พอ ก็ต้อง tantrum เป็นธรรมดา

ใช่ไหมครับ?



Posted by : Phoenix , Date : 2005-01-31 , Time : 20:45:21 , From IP : 172.29.7.46

ความคิดเห็นที่ : 41


    ขอใช้สิทธิ์พาดพิงสักเล็กน้อยครับ คุณ Death ไม่น่าจะเอาหน่วยประปามาเอ่ยถึงเลยนะครับ เราเพิ่งผ่านการโดนโจมตีอย่างหนักมาจากแทบทุกทิศทาง ( กระทู้ก่อนหน้านี้ไ่ม่นานนี่เอง) แผลเรายังไม่หายดี ขอเราพักก่อนนะครับ

Posted by : หน่วยประปา , Date : 2005-01-31 , Time : 22:06:10 , From IP : 172.29.7.85

ความคิดเห็นที่ : 42


   ไปถึงเรื่องtantrumกันเลยเหรอเนี่ย ใครในที่นี้กำลังมีอาการอยู่หรือเปล่า
tantrumไม่ใช่เรื่องไม่ดี
เป็นการสื่อหรือแสดงออกของอาการขัดใจไม่พอใจ ซึ่งเป็นactionmที่เป็นทางออกของอารมณ์ เพื่อบอกคนที่มีปฏิสัมพันธ์ด้วยว่ากำลังไม่พอใจอยู่ หรือต้องการให้คุณทำอะไรให้...นะ
มันอยู่ต่อไปแบบเป็นอย่างไร ขึ้นอยู่กับการตอบสนองของอีกฝ่าย
ทีนี้เวลาไม่พอใจ หรืออยากได้อะไร แล้วได้รับการตอบสนองให้พอใจทุกครั้งที่แสดงพฤติกรรมtantrumนี้ พฤติกรรมนี้ก็จะคงอยู่ถาวรและใช้ได้บ่อยขึ้น เพราะมันเคยได้ผลมาเสมอ เด็กหรือเราก็จะติดนิสัย เอามาใช้ไปเรื่อยๆโดยอัตโนมัติ เพราะมันเป็นการเรียนรู้ แบบlearning theoryเลยทีเดียว
พอโตหน่อยtantrumก็ติดตามตัวมา แต่อาจอ่อนลงหรือถูกmodified ถ้าแบบพอน่ารักก็เช่น งอน งอน งอน ถ้ารุนแรงหน่อยก็ แบบ manipurativeเรียกร้อง ทีนี้คงขึ้นอยู่กับความก้าวร้าวที่มีอยู่ในตัวด้วย ถ้าหุนหันพลันแล่นหน่อย ก้าวร้าวหน่อยชอบacting outแล้วหล่ะก็ tantrumก็อาจรุนแรง ทำลายร้างกันได้ คงไม่มากระทืบเท้าแบบเด็กๆ เพราะเรามีอำนาจในการจัดการอะไรเองได้แล้ว ก็น่ากลัวหล่ะทีนี้


Posted by : pisces , Date : 2005-02-01 , Time : 07:21:25 , From IP : 172.29.7.47

ความคิดเห็นที่ : 43


   ...เรียนหน่วยประปาครับ...
...ขออภัยที่เอามากล่าวถึงครับ....ผมชื่นชนในความรับผิดชอบที่ท่านได้ยินดีมาชี้แจงข้อผิดพลาด....ถึงแม้จะรู้ว่าต้องโดนด่าก็ยังออกตัวมาแสดงความรับผิดชอบ....ผมคิดว่าเป็นสิ่งที่ควรจะได้รับการยกย่องครับ.....ขอบคุณมากครับที่แนะนำ....



Posted by : Death , Date : 2005-02-01 , Time : 21:51:49 , From IP : 172.29.7.217

ความคิดเห็นที่ : 44


   กระทู้อะไรคะเนี่ย ว่าจะมาอ่านเรื่องหอพักว่าใครเขาคิดอย่างไรกับก่รที่ต้องจับมาใส่รวมกันในรูหนู(คำเปรียบเปรยว่าห้องมันเล็กขนาดนั้น) เปิดประตูส้วม
เอ้ยขอโทษค่ะ สุขาวดี ก็ชนกับเตียง แต่ไม่เป็นไรคับที่อยู่ได้ คับใจอยู่ยาก
กลายเป็นว่าพี่ death กับ อาจารย์ Pheonix มาประทะคารมผ่านสื่อกันอีกแล้ว
อยู่ภาคเดียวกันน่าจะคุยกันตรงๆได้นะคะ เวลาเดินสวนกันไม่รู้ว่าเขินตัวเองกัน
บ้างมั้ย ...


Posted by : งง , Date : 2005-02-02 , Time : 17:16:16 , From IP : 192.168.35.67

ความคิดเห็นที่ : 45


   ถ้าพิจารณาจากชื่อกระทู้ผมว่าคุณงงมีโอกาสที่จะเข้าใจผิดได้หลายเปอร์เซนต์ทีเดียว

ประการที่สอง ผมไม่เคยคิดว่ากระดานข่าวเป็นเวทีปะทะคารมหรอกครับ ผมคิดว่าผลกระทบของกระดานข่าวมัน serious และจริงจังกว่านั้นมาก และผมเดินไปมาในรพ.อย่างเชิดหน้าและสบตาคนตลอด จากสิ่งที่ผมทำและจะทำทั้งหมด

กระดานข่าวเป็นเวที share ความคิดความเห็นและความรู้สึก ผ่านการเรียบเรียงของภาษาออกมาเป็นบทความให้อ่าน สิ่งสำคัญที่สุดเวลาสื่อคือ "เนื้อหา" รองลงมาคือ "บริบท" ในส่วนของเนื้อหาสิ่งสำคัญที่สุดน่าจะเป็น "เจตนา" และรองงมาคือ back up ด้วยเหตุผลหรือจริยธรรม

ผมไม่แน่ใจว่าถ้าผมอภิปรายเรื่องการเปิดประตูส้วมในรูหนูแล้วผมจะมองหน้าใครได้หรือไม่ อาจจะต้องตัดสินใจปิดหน้าปิดตาไม่ให้ใครทราบว่าเป็นผม Post เหมือนกันเพราะความเขินนิดๆ

ตอนผมอภิปรายบนกระดานแห่งนี้ ผมให้ความเข้มข้นจริงจังเท่ากันเสมอกันพอสมควรทีเดียวครับ ผมไม่ได้สนใจเท่าไหร่ว่าผมอภิปรายกับใครเป็นครั้งที่เท่าไหร่ แต่ผมสนใจว่า contents ของความคิดบนนี้ผมอยากจะแลกเปลี่ยนความคิดเห็นหรือไม่เท่านั้น จะกับคนเดียวกัน 100 ครั้ง หรือกับคนร้อยคน หรือคนเดียว 100 alias นั่นไม่ใช่ criteria ที่ผมจะตอบหรือไม่ตอบกระทู้ ดังนั้นเรื่องที่ได้พูดมานั้นผมไม่ได้คิดว่ามันเป็นเรื่องส่วนตัวที่จะต้องไปคุยกัน แต่เมื่อความคิดมัน "ออก" มาอยู่บนนี้ ผมกำลัง address บนความคิดนั้น บนกระดานข่าวแห่งนี้

เขินหรือไม่เขินนั้นคงจะขึ้นกับระดับ conscience ของพวกเราในแต่ละคนล่ะครับ ผมเป็นใคร มีศักดิ์ฐานะเช่นไร Identity เป็นเช่นไร ผมมีความกระจ่างเปิดเผยในเรื่องนี้มานานแล้ว ถ้าผมคิดว่าจะเขินจะละอายแก่ใจจะเป็นทุกข์ใจเวลาเดินในโรงพยาบาลเพราะเรื่องอะไรก็ตาม ผมก็มีทางเลือกคืออย่าไปทำในสิ่งเหล่านั้นครับ และไม่เคยคิดจะไปแต่งนามแฝงเพื่อจะทำสิ่งเหล่านั้นด้วย เพราะเวลาผมอายในการทำอะไร ผมอายแม้แต่ตัวเองที่รู้ว่าได้ทำไปแล้ว จะให้โกหกตัวเองว่านั่นไม่ใช่ผมคงจะทำไม่เป็นหรอกครับ



Posted by : Phoenix , Date : 2005-02-02 , Time : 17:43:59 , From IP : 172.29.7.57

ความคิดเห็นที่ : 46


   เหอๆ

เราว่างานนี้ปัญหาแก้กันง่ายๆ


เราว่าอย่างน้อย น่าจะให้เค้ามีทางเลือก เล่นกันแฟร์ๆนะ จะดีกว่าไหม

1. ใครอยากอยู่หอใหม่ห้องละ 2 คน ก็ย้ายออกไป

2. ใครอยากอยู่หอเก่าห้องคนเดียวก็อยู่ต่อ

ถ้าไม่บังคับกัน ก็ไม่มีใครอยากมีปัญหาไปเถียงกะโรงพยาบาลหรอก


แต่ที่น่ากลัวคือ กลัวเวอร์ชั่นที่ว่า ยังไง โรงพยาบาลก็บังคับให้คุณย้ายมาหอใหม่ห้องละ 2 คนนี่ดิ แล้วให้ย้ายออกจากหอเดิม

แต่ยังไงเราก็ยังคิดนะ ว่าโรงพยาบาลคงจะไม่สิ้นคิดถึงขนาดบังคับให้ย้ายหรอก

แต่ถ้าบังคับกันจริงนี่ก็นะ มันดูเอาแต่ใจเกินไปแระล่ะ

ผู้บริหารก็ดูจะโตๆกันแล้ว ไม่น่าจะมาทำ Tantrum ลงไปดิ้นปัดๆ

ก็จะให้พชท.ย้ายยยยยยยยยยย ยังไงก็จะให้ย้ายยยยยยยย

พฤติกรรมไม่ต่างจากเด็กสักนิด ^^"


Posted by : LiLy , Date : 2005-02-04 , Time : 20:23:10 , From IP : 172.29.7.31

ความเห็นจาก Social Network : Facebook


สงวนสิทธิ์การแสดงความคิดเห็นสำหรับ สมาชิกเท่านั้น
>>>>> Page loaded: 0.018 seconds. <<<<<