ความคิดเห็นทั้งหมด : 38

ทำไมกระทู้ผมโดนลบ


   "พื้นที่ตรงนี้เปิดขึ้นเพื่อให้ผู้ใช้ internet ได้แสดงความคิดเห็น ข้อเสนอแนะในเรื่องราวต่าง ๆ ได้อย่างเสรี "

คุณเอาประโยคนี้ออกไปจากหน้าแรกของบอร์ดซะน่ะ

ผมแค่ตั้งกระทู้ว่า "ทำไมเราถึงทุ่มเทให้การเชียร์ มากกว่าด้านกีฬาทั้งๆที่เป็นการแข่งขันกีฬา 12 คณะ การโชว์ความเป็นชั้นปี ทำได้โดยการไปเชียร์เพื่อนที่แข่งกีฬาข้างสนาม ไม่ใช่หรือ หรือการนั่งเชียร์กันเองในห้องเชียร์ แล้วปล่อยให้เพื่อนแข่งกีฬาไปโดยไม่มีใครสนใจ แบบไหนเป็นการโชว์สปิริตมากกว่าครับ สงสัยมานานแล้ว "

ทำไมถึงโดนลบ ครับ webmaster ช่วยตอบด่วน ผมทำผิดตรงไหน


Posted by : ทำไมกระทู้ผมโดนลบ , Date : 2005-01-21 , Time : 14:48:55 , From IP : 172.29.2.127

ความคิดเห็นที่ : 1


   "พื้นที่ตรงนี้เปิดขึ้นเพื่อให้ผู้ใช้ internet ได้แสดงความคิดเห็น ข้อเสนอแนะในเรื่องราวต่าง ๆ ได้อย่างเสรี ไม่ว่าจะเป็นเรื่องวิชาการ การทำงาน ปัญหาต่าง ๆ กีฬา หรือ บันเทิง เปิดโอกาสให้ผู้อื่นได้ร่วมแสดงความคิดเห็นกับข้อเสนอแนะที่ตั้งขึ้นมา แต่กรุณาใช้วิจารณญานในการใช้งาน และกรุณาอย่าใช้คำหยาบ หรือข้อความที่สร้างความเสื่อมเสียให้กับผู้อื่น"
ข้างบนคือประโยคแรกของบอร์ดนี้

ถึง ประธานเชียร์

อ่านที่ผมโพสอีกรอบน่ะ แต่ขอให้คุณตัดความเป็นประธานเชียร์ในตัวออกไปก่อน (อำนาจมักทำให้คนหลงผิด) อ่านดีๆตั้งใจน่ะ
"ทำไมเราถึงทุ่มเทให้การเชียร์ มากกว่าด้านกีฬาทั้งๆที่เป็นการแข่งขันกีฬา 12 คณะ การโชว์ความเป็นชั้นปี ทำได้โดยการไปเชียร์เพื่อนที่แข่งกีฬาข้างสนาม ไม่ใช่หรือ หรือการนั่งเชียร์กันเองในห้องเชียร์ แล้วปล่อยให้เพื่อนแข่งกีฬาไปโดยไม่มีใครสนใจ แบบไหนเป็นการโชว์สปิริตมากกว่าครับ สงสัยมานานแล้ว "

แล้วทีนี้ลองกลับมาดูที่คุณโพสไว้น่ะ
"ผู้เป็นนักศึกษาแพทย์เป็นผู้มีความรู้ผิดชอบชั่วดี มีพุทธิภาวะทั้งทางอารณ์ และทางสังคมในขั้นดี ไม่สมควรอย่างยิ่งที่จะกระทำการในลักษณะนี้ "
แล้วกลับขึ้นไปอ่านประโยคแรกใหม่อีกที ผมถือว่าคุณกำลังโพส"ข้อความที่สร้างความเสื่อมเสียให้กับผู้อื่น"
เพราะ

คุณกำลังกล่าวหาผม ว่า ไม่มีความรู้ผิดชอบชั่วดี ไม่มีพุทธิภาวะทั้งทางอารณ์ และทางสังคม ประโยคไหนที่มันแสดงสิ่งเหล่านี้ให้คุณเห็น ผมแค่ไม่อยากให้เราซ้อมเชียร์กันจนลืมสนใจนักกีฬา คุณคิดดูน่ะ ชื่อกิจกรรมคือ กีฬา 12 คณะ ย้ำ กีฬา 12 คณะ การเชียร์ คือ การให้กำลังใจนักกีฬาที่กำลังแข่งขัน มันเป็นผลที่ตามมาจากการแข่งกีฬา

ดังนั้น "ปัจจัยร่วมอื่นๆ ก็มีมาก เช่น ความสนใจในกีฬาแต่ละประเภทของแต่ละบุคคลก็ต่างกัน ถ้าดูไม่เป็นไม่รู้เรื่องก็ไม่สนุก ความสนิทสนม และความชื่นชมเป็นการส่วนตัวของผู้ชมกํบผู้เข้าแข่งขันก็มีผลด้วย หากคุณไม่มาร่วมกิจกรรมกับผู้อื่น ไม่รู้จักใคร ใครจะไปเชียร์คุณ " คุณโพสแบบนี้แสดงว่าคุณกำลังบอกผมว่าที่คุณซ้อมเชียร์อยู่นั้นไม่ได้ต้องการให้เพื่อนๆมาเชียร์นักกีฬาหรอก ทำไมคุณไม่คิดว่าจะทำอย่างไรดี ให้การเชียร์เข้าถึงทุกกีฬา คุณกำลังทิ้งความเป็นชั้นปีไป เพราะคุณกำลังบอกว่าคนที่เป็นนักกีฬาแต่ไม่เป็นที่รู้จักของเพื่อนๆมากนัก เมื่อไม่มีใครไปเชียร์ก็เป็นความผิดของนักกีฬาเองที่ไม่เป็นที่รู้จัก แสดงว่าคุณไม่ได้แคร์เลยว่าที่เค้ากำลังแข่งขันอยู่ในฐานะตัวแทนคณะน่ะ ที่เราเชียร์เพื่อคณะไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมพอจะเชียร์จึงเอาความเป็นตัวตนของแต่ละบุคคลเข้ามาเกี่ยวข้องแสดงว่าคุณยังไม่ได้คิดถึงคณะอย่างแท้จริง

และงานที่เรากำลังทำอยู่ทุกวันนี้ผมไม่เห็นว่าจะทำให้เราเพิ่มความสามัคคีระหว่างเพื่อนหรือชั้นปีขึ้นมาเลย คนที่ทำอยู่ก็หน้าเดิมๆ พอถูกด่าทีนึงก็ เฮ กันเข้ามาทำแล้วก็หายหัวไป มันทำให้เราเห็นธาตุแท้ของกันมากกว่า ช่วงนี้รุ่นพี่ก็สอบแทนที่จะทำให้เราได้สนิทกับเค้ากลับทำให้เค้ารำคาญที่เรามาส่งเสียงดังรบกวนเวลาอ่านหนังสือของพวกเค้า ผิดใจกันเปล่าๆ
แต่มาดูในการซ้อมกีฬาทำให้เราได้สนิทสนมกันอย่างแท้จริงทั้งระหว่างเพื่อนและรุ่นพี่

เชียร์ลีดเดอร์ก็เหมือนกัน อยากให้พวกเค้ามาเชียร์เราแข่งกีฬาข้างสนามบ้างน่ะ อย่ามัวแต่ซ้อมกันอย่างเหน็ดเหนื่อยเพื่อโชว์วันแข่งเชียร์แค่วันเดียวอีกเลย

"เพราะ พวกคุณคือ ผู้นำเชียร์ กีฬา ไม่ใช่พวก แข่งเต้นประกวดน่ะ จำไว้"

สุดท้ายอยากบอกว่า การแข่งขันกีฬา 12 คณะ จุดประสงค์จริงๆเค้าคงอยากให้เรา มีกิจกรรมผ่อนคลายความเครียด จากการเรียนที่เหน็ดเหนื่อย อยากให้เชียร์กันอย่างเต็มใจและสนุกสนาน และนักกีฬาทุกคนเต็มใจจะแข่งเพื่อเพื่อนๆและคณะน่ะ ดังนั้น ช่วยมาเชียร์พวกเค้าหน่อยน่ะ
เค้าน้อยใจมามากพอแล้ว







Posted by : อันนี้ขอตอบกระทูเก่า ที่โดนลบ , Date : 2005-01-21 , Time : 14:49:56 , From IP : 172.29.2.127

ความคิดเห็นที่ : 2


   กิจการ นศ. แจ้งลบมาครับ

Posted by : garnet , Date : 2005-01-21 , Time : 15:10:08 , From IP : 172.29.2.195

ความคิดเห็นที่ : 3


   มหกรรมกีฬา 12 คณะเป็นกิจกรรมของมหาวิทยาลัยที่จัดขึ้นเป็นทุกๆปี จุดประสงค์ของการแข่งกีฬา 12 คณะ ถ้ามองกันจริงๆ มันไม่ใช่เพียงแค่ "กีฬา 12 คณะ" อย่างที่ชื่อมันบอก แต่มันกว้างกว่านั้นเพราะมันคือกิจกรรมที่ต้องการรวมนักศึกษาทุกคนจากทุกคณะในมหาวิทยาลัยให้มาร่วมทำกิจกรรมนี้ด้วยกัน ถามว่าถ้าการแข่งขันกีฬามีเพียงนักกีฬา กับผู้ที่ชื่นชอบกีฬาแล้วตามไปเชียร์ถึงขอบสนาม มันจะสามารถเป็นตัวแทนของกลุ่มนักศึกษาทั้งมหาวิทยาลัยได้หรือไม่ แล้วคนที่เค้าไม่ชอบเล่นกีฬา ไม่ชอบดูกีฬาล่ะ จะเอาพวกเขาไปไว้ที่ไหน???

ไม่รู้เหมือนกัน ไม่เคยทำสำรวจ แต่ถ้าเราเป็นคนที่จัดงาน แล้วเราต้องการจะให้นักศึกษาทุกคนในมหาวิทยาลัยเข้าร่วมเราจะต้องทำอย่างไร ง่ายๆ เราก็ต้องพยายามคิดกิจกรรมที่ทำให้ทุกๆคนได้มีส่วนร่วมซี การจัดขบวนพาเหรดเอย การแข่งเชียร์เอย เป็นกิจกรรมเสริมที่เพิ่มมาจากการแข่งกีฬา เพื่อให้มีความครอบคลุมในกลุ่มนักศึกษา เพราะเราจะได้ผู้ร่วมกิจกรรมเป็นนักกีฬา คนที่ชอบกีฬาแล้ว เรายังจะได้กลุ่มคนที่อาจจะไม่ได้ชื่นชอบกีฬา แต่เข้ามาทำงานเชียร์อีกด้วย แล้วถ้าคนที่ไม่ทำงานเชียร์ล่ะ พวกเขาก็จะกลายเป็นคนดูไปโดยปริยาย เพราะการแข่งเชียร์มันคือการแสดง พูดถึงการโชว์การแสดงมันเป็นความบันเทิง ก็คงมีคนชอบเยอะ เพราะฉะนั้นถ้าได้คนสามกลุ่มนี้มา มันน่าจะมีจำนวนมากพอที่จะทำให้กิจกรรมนี้เป็นกิจกรรมของมหาวิทยาลัยอย่างแท้จริง เพราะแทบทุกคนจะมีส่วนร่วม ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ไม่แข่งกีฬา ก็เป็นคนทำเชียร์ ไม่ใช่คนทำเชียร์ ก็ต้องเป็นคนอยากดูเชียร์

กิจกรรมการแข่งเชียร์หรือขบวนพาเหรด เป็นกิจกรรมที่ถือว่าเป็นไฮไลท์ เพราะเป็นอะไรที่แปลกใหม่ ได้ดูการแสดงสวยๆมีความสร้างสรรค์ ได้ดูหลีดเดอร์เป็นหนุ่มสาวหน้าตาดี ยิ่งการทำให้ทุกคณะต้องเตรียมโชว์ของตัวเองด้วย มันยิ่งทำให้เกิดความตื่นเต้น ว่าแต่ละคณะจะนำอะไรออกมาโชว์ จึงเป็นกิจกรรมที่สามารถดึงดูดความสนใจของคนได้เยอะทีเดียว

กิจกรรมพวกนี้จึงมักถูกนำไปใส่ในพิธีเปิดและพิธีปิดของการแข่งขัน เพราะมันจะสามารถดึงดูดคนให้มาเข้าร่วมได้เยอะ ถ้าเราไม่มีการแข่งเชียร์ ไม่มีแข่งขบวนพาเหรด พิธีเปิดและพิธีปิดมีเพียงแค่การนำประธานในพิธีมาพูดเปิดหรือปิดการแข่งขัน ถามว่าจะมีใครมาร่วมงานมั้ย แม้แต่นักกีฬาที่เป็นพระเอกของงานก็เหอะ จะมาเข้าร่วมด้วยหรือเปล่า ขอถามหน่อย

มันกลายเป็นประเพณีนิยมไปแล้วล่ะ ที่จะต้องมีโชว์มีการแสดง ไม่เชื่อเราลองหันมองไปรอบๆดูกันดีกว่า... กีฬาสิบสามเข็มมีการแสดงมั้ย กีฬาซีเกมส์ล่ะ เอเชี่ยนเกมส์ล่ะ โอลิมปิคที่กรีซล่ะ อุตส่าห์เอาคนมาเพนท์เป็นรูปปั้นกรีกโบราณ นี่เค้าทำจุดประสงค์ของการแข่งขันกีฬาโอลิมปิคเสียไปหรือไงเนี่ย???

การเล่นกีฬาทำให้เกิดความสามัคคี อันนี้เห็นด้วยมากๆ ในแง่ของนักกีฬา แต่คนที่เชียร์กีฬาล่ะ ถ้าการเชียร์กีฬาเป็นแค่การรวบรวมคนไปเชียร์กีฬาไม่กี่นาทีเสร็จแล้วก็แยกย้ายกลับหอ มันจะก่อให้เกิดความสามัคคีขึ้นได้จริงเหรอ แต่พอมีการแข่งเชียร์มีการประกวดเชียร์ แม้จะเพียงแค่ 15 นาที แต่ก่อนที่จะถึง 15 นาทีนั้นมันมีอะไรมากกว่านั้น เทคนิคเชียร์ต้องคิดเทคนิคด้วยกันหัวแทบแตก สแตนด์เชียร์ต้องซ้อมด้วยกันเป็นเดือนๆ หลีดเดอร์ต้องซ้อมหลีดเป็นปีๆ พวกเค้าต้องทำงานร่วมกันให้ได้ เพราะเขาใช้ชีวิตส่วนหนึ่งอยู่ด้วยกัน อดหลับอดนอนด้วยกัน กินข้าวด้วยกัน ทะเลาะกันก็มี แต่พอถึงวันที่ต้องแข่ง พวกเขาต้องเป็นพวกเดียวกัน มีเป้าหมายเดียวที่จะต้องทำให้สำเร็จเหมือนกัน ความสามัคคีมันก็เกิด ไม่ต่างอะไรกับกลุ่มนักกีฬาที่ต้องใช้ชีวิตร่วมกัน ความรักความเข้าใจมันจะเกิดก็เมื่อได้ลำบากฝ่าฟันอุปสรรคด้วยกันนี่แหละ

เรื่องที่มัวแต่เอาเวลาเชียร์เพื่อนไปซ้อมเชียร์ ปล่อยให้เพื่อนแข่งกีฬากันไปไม่สนใจ อันนี้ก็ไม่สมควร เพราะนักกีฬาก็คือตัวแทนของคณะที่เราจะต้องให้ความสำคัญกับเขา แต่ถือว่ามันเป็นเรื่องภายในชั้นปีของคุณ คุณจะต้องจัดการตกลงเวลาระหว่างกันให้ได้ ว่าทำอย่างไรเราจึงจะไปเชียร์เพื่อนเราเล่นกีฬาได้ ในขณะเดียวกันเราก็ต้องซ้อมเชียร์ได้เช่นกัน เพื่อนกันทำไมจะตกลงกันเรื่องแค่นี้ไม่ได้


Posted by : Euphoria , Date : 2005-01-21 , Time : 17:10:35 , From IP : 172.29.4.85

ความคิดเห็นที่ : 4


   ผมไม่รู้หรอกครับว่าเขาทะเลาะกันเรื่องอะไร เห็นเขียนยาว ๆ ขี้เกียจอ่าน แต่มาสะดุดตาที่ คุณ Garnet บอกว่าหน่วยกิจการนักศึกษาแจ้งลบ ผมเข้าใจว่าเป็นกระทู้ที่เด็กแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันเฉย ๆ นะครับ ถึงแม้ว่าดูอุณหภูมิการ discuss จะสูงไปนิดแต่ ก็น่าจะปล่อยให้เขากำหนดทิศทางของการทำกิจกรรมของเขาเอง หน่วยกิจการนักศึกษามีสิทธิ์อะไรมาลบครับ เพราะสิ่งที่เขาพูดกันก็ไม่เห็นเสียหายตรงใหน ออกจะเป็นการแทรกแซงสื่อที่ไม่สมควรยิ่งครับ เราพยายามสอนให้เขารู้จักคิด รู้จักพูด ผมว่าคงไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะเนื้อหาทางการแพทย์นะครับ

การที่หน่วยกิจการพยายามกระตุ้นให้มีการทำกิจกรรมก็ดีแต่เขาน่าจะเป็นผู้กำหนดทิศทางเองโดยเราเป็นฝ่ายสนับสนุน และต้องให้เห็นถึงความสำคัญของการทำจริง ๆ ไม่ใช่ทำเพื่อหน้าตา หรือทำเพราะต้องทำ แต่ควรเป็นการทำเพราะอยากทำ ทำเพื่อยกระดับจิตใจให้สูงขึ้น ทำอะไรเพื่อสังคม

ถ้าเราสนับสนุนให้เขาทำสิ่งที่หรูหราฟุ่มเฟือย ทำสิ่งที่ดูโก้หรู เราก็จะได้หมอที่จบออกมาแบบหนึ่ง ผมไม่แน่ใจว่าสมัยนี้เขายังไปกินอยู่กับชาวบ้านอีกหรือเปล่า เขาเคยไปดูคุณป้า คุณยายทำนากันบ้างใหม ยังไปตรวจไข่พยาธิให้เด็ก ๆ กันอยู่หรือเปล่า หรือมีแต่การไป รพ.ชุมชนแล้วมาโม้กันว่า ที่นี่เลี้ยงดี ที่นี่สบาย ที่นี่เที่ยวสนุก

ผมไม่รู้ แต่ผมสงสัยว่าเดี๋ยวนี้ "หนุ่มสาวหายไปใหน"


Posted by : Dhan , Date : 2005-01-21 , Time : 18:56:55 , From IP : 172.29.7.84

ความคิดเห็นที่ : 5


   "แด่หนุ่มสาว" ครับ ชอบอ่านเล่มนี้มาก กฤษณมูรติเขียน ได้ข้อคิดดี

ปีนี้ค่ายสร้าง น่าจะไปที่เกาะ ชายฝั่งที่ โดนสึนามินะ ว่าม่ะ

เวลาที่เหนื่อยสุดๆ หิวสุดๆ ง่วงสุดๆ ทรมานสุดๆ จะพิสูจน์คนครับ โดนเฉพาะว่าใครเห็นแก่ตัว


Posted by : พี่ที่อาบ อบ นวดมาก่อน , Date : 2005-01-21 , Time : 19:54:45 , From IP : 203.157.14.245

ความคิดเห็นที่ : 6


   ตอนนี้มีนักศึกษากำลังทำโครงการช่วยเหลือผู้ประสบภัยอยู่ค่ะ

คืนนี้ ปี 2 (ที่เพิ่งสอบเสร็จ) ก็กำลังจะไป

หนุ่มสาวยังไม่หายไปไหน

แค่ขอเวทีให้พวกเราได้แสดงออกอย่างสร้างสรรค์

เชื่อว่ายังมี นศพ.รุ่นใหม่ ที่พร้อมจะแสดงพลังออกมาอย่างที่คุณอาจคาดไม่ถึง

(เพียงแต่อย่าคาดหวังสูงเกินไป เพราะต่างคนก็ต่างใจ ใครจะไปรู้)


Posted by : สาวน้อยร้อยชั่ง , Date : 2005-01-21 , Time : 20:07:06 , From IP : 172.29.4.48

ความคิดเห็นที่ : 7


   เท่าที่เห็นเรามีเวทีที่ให้น้องๆสร้างสรรค์เรื่องราวต่างๆหลายแห่งนะ ซึ่งคิดว่าพวกเราทุกคนควรร่วมกันให้คุณค่ากับเรื่องต่างๆที่น้องๆสร้างสรรค์ออกมาให้มากๆ เพื่อจะได้เป็นการลดคุณค่าเรื่องที่ไม่สร้างสรรค์หรือเรื่องที่สร้างความขัดแย้งกันในองค์กรชั้นปี หรือต่างชั้นปี มากกว่า
เอาเป็นว่าให้น้องๆพลังหนุ่มสาวปี2และปี1บางส่วน ที่จะเดินทางไปบ้านน้ำเค็ม เดินทางด้วยความปลอดภัยนะ และให้ทำงานสานต่อจากพี่ปี3ได้ลุล่วง สมตามเจตนารมณ์ที่ทุกคนหวังไว้นะ แล้วอย่าลืมกลับมาเล่าสู่กันฟังต่อหล่ะ


Posted by : pisces , Date : 2005-01-21 , Time : 21:40:49 , From IP : 172.29.7.173

ความคิดเห็นที่ : 8


   เรื่องที่มัวแต่เอาเวลาเชียร์เพื่อนไปซ้อมเชียร์ ปล่อยให้เพื่อนแข่งกีฬากันไปไม่สนใจ อันนี้ก็ไม่สมควร เพราะนักกีฬาก็คือตัวแทนของคณะที่เราจะต้องให้ความสำคัญกับเขา

Posted by Euphoria() 2005-01-21 , 17:10:35 , 172.29.4.85

---------------------------------------------------------------------------------

คุณ Euphoria โพสมาตั้งยาว แต่พึ่งจะเข้าประเด็นก็แค่ประโยคนี้แหละ


Posted by : ผ่านมาดู , Date : 2005-01-22 , Time : 01:12:34 , From IP : 192.168.32.31

ความคิดเห็นที่ : 9


   พิธีเปิด พิธีปิด พาเหรด สำคัญก็จริง แต่งานกีฬาก็คืองานกีฬา ไม่ควรนำสิ่งอื่นมาให้ความสำคัญเหนือกีฬา

ถ้ามีแต่คนทำพิธีเปิด พิธีปิด พาเหรด แต่ไม่มีใครไปเชียร์นักกีฬา

ประชุม"เชียร์" ...... เชียร์ใคร ?





Posted by : ผ่านมาดู (อีกที) , Date : 2005-01-22 , Time : 01:17:41 , From IP : 192.168.32.31

ความคิดเห็นที่ : 10


   แต่ผมว่า บางทีนักกีฬาก็คงไม่อยากได้กำลังใจจากคนที่ไม่เต็มใจมาเชียร์หรอกครับ ว่างก็มา ไม่ว่างก็ไม่เป็นไร ไม่ว่ากัน

Posted by : นักกีฬาธรรมดาคนหนึ่ง , Date : 2005-01-22 , Time : 03:05:39 , From IP : 203.150.217.116

ความคิดเห็นที่ : 11


   เป็นเรื่องนักกีฬาน้อยใจเหรอ น่าเห็นใจนะ ทำไมหล่ะเขาก็เพื่อนเรา ก็ไปเชียร์สิ ไม่ต้องแบ่งแยกหรอก
อย่าปลุกกระแสความแตกแยกสิ


Posted by : PSU , Date : 2005-01-22 , Time : 07:06:22 , From IP : 172.29.7.91

ความคิดเห็นที่ : 12


   ก็นั่นแหละ อย่างที่คุณพูด ไม่มีใครไปเชียร์หรอก ทั้งคณะอ่ะจะมีซักกี่คนที่เล่นกีฬาเป็น นี่แหละ ที่นักกีฬาหมดความสำคัญ เพราะเป็นคนหมู่น้อยไง ก็อย่างที่ผมบอกน่ะแหละ ว่างก็มา ไม่ว่างก็ไม่เป็นไร ไม่ว่ากัน เพราะไม่หวังอะไรอยู่แล้ว

Posted by : นักกีฬาธรรมดาคนหนึ่ง , Date : 2005-01-22 , Time : 10:26:55 , From IP : 203.150.217.116

ความคิดเห็นที่ : 13


   
จะเอาเวลาไหนไปเชียร์นักกีฬาล่ะ ก็ประชุมเชียร์อยู่ทุกวี่ทุกวัน
เชียร์เสร็จก็ไปทำอุปกรณ์ต่อ ต้องขอโทษเพื่อนๆนักกีฬาด้วย
ไปเชียร์ไม่ได้จริงๆ

ทำงานใหญ่ก็อย่างนี้แหละ คนทำก็ทำกันจนตาย เอาทุกหน้าที่
คนไม่มาทำก็ไม่มาเลย เผลอๆคนมาทำตลอด แค่หายหน้าไป1วัน ด้วยเหตุผล
จำเป็น กลับมาอีกที โดนเพื่อนด่าว่าเห็นแก่ตัวอีก ช่างน่าเห็นใจ

น่าจะมีมาตรการให้คนที่ไม่ช่วยเหลืองานคณะเลย สำนึกบ้างก็ดีนะ


Posted by : อ่านะ , Date : 2005-01-22 , Time : 16:32:03 , From IP : 203.150.217.118

ความคิดเห็นที่ : 14


   ส่วนตัวแล้วคิดว่าน่าจะมีการบอกกล่าวให้รู้ทั่วกันให้แน่ชัดก่อนว่า กิจกรรมการเชียร์ที่ซ้อมกันอยู่ วัตถุประสงค์เพื่ออะไร ต้องการทำให้ผลออกมาอย่างไร คาดหวังต่อผลที่ออกมามากแค่ไหน ทำอย่างไรถึงจะพอดีไม่ทุ่มลงทุนมากเกินไป(ทั้งเงิน เวลา และแรงกาย) เทียบประโยชน์ที่ลงทุนไปกับผลที่ได้และรวมผลเสียที่อาจเกิดขึ้นด้วย และอาจมีประเด็นอื่นๆ ที่ต้องมาร่วมพิจารณาอีก ถ้าทุกคนเข้าใจ และมีความเห็นร่วมกันในสิ่งเหล่านี้ ความขัดแย้งต่างๆ อาจลดลง

จริงอยู่ที่กิจกรรมการเชียร์เป็นหน้าตาของการแข่งขันกีฬา ทุกทีมก็อยากให้ทีมของตัวเองทำได้ดี สวยงาม แข่งขันกับทีมอื่นได้ ซึ่งสิ่งเหล่านี้มันก็ขึ้นอยู่กับว่าเราตั้งความคาดหวังไว้แค่ไหน ถ้าสูงมาก เราก็ต้องพยายามมาก อาจรวมถึงต้องลงทุนมากด้วย(แรง เวลา เงิน) แล้วสิ่งเหล่านั้นมันเบียดเบียนตัวเราเองหรือใครคนอื่นหรือเปล่าก็ต้องคิดกัน

คิดว่าในการเชียร์ หรือซ้อมเชียร์ ทุกคนควรมีส่วนร่วมแสดงความคิดเห็นและกำหนดจุดมุ่งหมายของการกระทำ และทุกคนก็ควรร่วมรับผิดชอบต่อผลของการกระทำที่ออกมาด้วย ไม่ควรโทษใครคนใดคนหนึ่ง


Posted by : ขอด้วยคน , Date : 2005-01-22 , Time : 16:34:11 , From IP : 172.28.1.138

ความคิดเห็นที่ : 15


   ในฐานะที่ได้ผ่านกิจกรรมเชียร์กีฬาระหว่างคณะมาแล้วนะครับ มีข้อสงสัยกันทุกปีว่าเราทำไปทำไม เสียทั้งเงิน เสียทั้งแรง แต่สิ่งที่ได้กลับมามมันมากกว่านั้นครับ มันทำให้ผมได้รู้จักกับเพื่อนๆหลายคนมากขึ้น ได้ความรักความสามัคคีกัน อาจมีคนเถียงว่าการไปเชียร์สปิริตข้างสนามก็ทำให้สามมัคคีกันได้ ก็จริงนะครับแต่มันแค่เพียงกลุ่มเล็กๆที่ไปเชียร์ด้วยกัน คงไม่สามารถทำให้คนทั้งชั้นปีไปเชียร์ด้วยกันได้หรอกใช่มั๊ยครับ การที่ได้ร่วมกันคิด ได้ร่วมกันซ้อม ได้ร่วมกันแก้ปัญหา มันทำให้เราได้รู้ซึ้งถึงความเป็นเพื่อนมากขึ้นครับ
การไปให้กำลังใจนักกีฬาก้เป็นสิ่งที่ดีครับ ถ้าเป็นไปได้ก็ควรทำทั้งสองอย่างเลย ทั้งซ้อมเชียร์เพื่อแสดงศักยภาพของชั้นปี และไปเชียร์สปิริตเพื่อให้กำลังใจกับนักกีฬา


Posted by : FRANCHESCO TOTTI , Date : 2005-01-22 , Time : 19:23:58 , From IP : 172.29.4.66

ความคิดเห็นที่ : 16


   คนที่ไม่ได้ช่วยอะไรชั้นปีเลย รับรองว่าวันนึงจะเสียใจ เพราะกิจกรรมนี้เป็นโอกาสแค่ครั้งเดียวในชีวิตของนศพ ที่จะได้รวมกันเป็นหนึ่งเดียวต่อสู้กับความยากลำบากไปด้วยกัน คนที่ได้ร่วมแรงร่วมใจกับเพือนจะได้รับความภูมิใจเป็นรางวัลเมื่องานเสร็จสิ้น ซึ่งรับรองว่าหาที่ไหนไม่ได้อีกแล้ว
เป็นกำลังใจให้น้องปีหนึ่งทุกคนที่ทุ่มเทกับงานนี้ครับ


Posted by : พี่คนหนึ่ง , Date : 2005-01-22 , Time : 20:33:05 , From IP : 172.29.4.113

ความคิดเห็นที่ : 17


    กีฬาแข่งวันไหนคะ


Posted by : กิฟท์ซี่ , Date : 2005-01-22 , Time : 23:33:56 , From IP : 172.29.3.102

ความคิดเห็นที่ : 18


   ......วันก่อนผมไปติดต่อขอตารางกีฬาที่ตกค้าง
......วันก่อนผมช่วยประธานกีฬาหานักกีฬา
......วันก่อนผมไปยืมตลับเมตรมาวัดแสตนด์เชียร์
......วันนี้ผมไปเชียร์บาสหญิงมา
......วันนี้ผมไปซื้อของมาทำอุปกรณ์กับประธานเทคนิค
......วันนี้ผมไประบายสีคัดเอ้าท์
......วันนี้ผมไปช่วยสวัสดิการยกนำ้ และเสริฟน้ำให้กับขบวนพาเหรด
......วันนี้ผมกับประธานเทคนิคช่วยกันวางแผนวงจรไฟและคิดทำขั้นบันไดให้แสตนด์
......วันนี้ไดโอดระเบิดใส่มือผมด้วย
......พรุ่งนี้ผมไปแข่งกระโดดไกล อย่าลืมไปเชียร์ผมล่ะ! และจะไปเชียร์ฟุตบอลชาย
......บางวันผมต้องออกเงินไปก่อนเพื่อซื้อของเพราะถือว่าเงินไม่กี่บาท
......บางวันผมกินข้าวเย็นตอนเที่ยงคืน
......ทุกวันผมกลับถึงหอเวลาประมาณตีสอง พร้อมกับเทคนิคกลุ่มสุดท้าย
......ทุกวันผมไปเรียนคาบแรกสาย และหลับในคาบตอนเช้าๆ
......ทุกวันผมนั่งคิดว่าวันนี้เราต้องทำอย่างไรบ้าง และทำอย่างไรให้งานเสร็จทัน และกระทบกับความยุ่งยากของคนอื่นให้น้อยที่สุด
......ทุกวันผมต้องให้กำลังใจตนเองเวลามีปัญหาและให้กำลังใจทุกคนที่ช่วยผมทำงาน
......
......ผลตอบแทนของผมคืออะไร
......คำชมไม่มี
......คำให้กำลังใจจากคนที่เข้าใจมีบ้าง
......คำพูดส่อเสียด ประชดประชันใส่ผมมีทุกวัน
......
......หากงานสำเร็จใครได้ประโยชน์
......ชั้นปี
......
......หากงานล้มเหลวใครโดนตำหนิ
......ผมคนเดียว
......
......ผมได้อะไรบ้างจากการเป็นประธานเชียร์
......อำนาจนะหรือ? ผมยกให้เอาไหม
......เพื่อนเกลียด เพื่อนไม่เข้าใจ เพื่อนตีตัวออกห่าง
......หรือที่เรียกว่าเพื่อนไม่คบ
......ผมคงชอบที่เป็นแบบนี้ และมีความสุขกับมันมาก
......
......ผมดีใจที่กระทู้โดนลบ เพราะคงลดความเข้าใจผิด การทะเลาะกันซึ่งผมไม่ต้องการให้เกิดขึ้น
......คุณเสียใจ น้อยใจเพราะที่ระบายอารมณ์ของคุณหายไป
......คุณสุขใจ ที่ตัดตอนข้อความของผมมาโพสและหาข้อบกพร่องเพื่อวิจารณ์ผม
......
......ผมไม่ทราบว่าชื่อการแข่งขันคือ การแข่งกีฬา 12 คณะ หรือ แข่งเชียร์ 12 คณะ
......แต่หน้าที่ของผมคือ ประธานเชียร์ ผมต้องทำให้งานของชั้นปีเราสำเร็จ ทราบเท่านี้
......หน้าที่ของผมในฐานะนักเรียนชั้นปี 1 med'32 คือ ร่วมมือกับทุกฝ่ายให้งานสำเร็จ ผมไม่ได้ทำแค่ขู่เพื่อน คุมเพื่อนเชียร์ หรือห้ามเพื่อนไปทำอย่างอื่นนอกเหนือจากเชียร์ ผมก็แข่งกีฬาเหมือนกัน ถึงแม้ไม่เก่งนัก หรือไม่มีความหวังก็เต็มใจทำ
......ผมเป็นคน ผมเป็นนักศึกษาเหมือนคุณ
......ผมไม่ได้ขอความเห็นใจเพียงแต่เล่าให้ฟัง
......ผมตอบกระทู้เพราะคุณขอ ไม่ได้แก้ตัว
......ผมไม่ทราบว่าคุณมีอารมณ์อย่างไรเมื่อพิมพ์
......แต่ผมกำลังจะร้องไห้ และอยากเจอคุณ เรามาเจอกันหน่อยได้ไหม
................................................................ณัฐพล ศิริมุสิกะ(หนุ่ม ปี1)


Posted by : ประธานเชียร์ , E-mail : (num47@hotmail.com) ,
Date : 2005-01-23 , Time : 00:55:24 , From IP : 203.150.217.118


ความคิดเห็นที่ : 19


   อ่านดูแล้ว เจ้าของกระทู้ไม่ได้อยากให้หยุดทำการเชียร์หรือพาเหรดหรอก

ไม่ได้ตำหนิการทำงานของใครด้วย

เพียงแค่สงสัยว่า

ทำไมไม่สนใจนักกีฬากันบ้าง

ให้พวกเขาแข่งไปทำไม

ในเมื่อ ไม่มีใครสนใจพวกเขาเลย

แสดงความเป็นชั้นปีงั้นเรอะ

งั้นแสดงว่านักกีฬาไม่ใช่คนในชั้นปีงั้นสิ

พวกเขาถึงไม่ได้รับการดูแล เหลียวแล แม้แต่น้อย...





Posted by : ผ่านมาดู (อีกทีน่า) , Date : 2005-01-23 , Time : 02:12:35 , From IP : 192.168.32.31

ความคิดเห็นที่ : 20


   ผมดีใจที่กระทู้โดนลบ เพราะคงลดความเข้าใจผิด การทะเลาะกันซึ่งผมไม่ต้องการให้เกิดขึ้น

Posted by ประธานเชียร์(num47@hotmail.com) 2005-01-23 , 00:55:24 , 203.150.217.118

---------------------------------------------------------------------------------

ถ้าจะเรียนระบบ PBL ส่วนนี้คงจะต้องปรับปรุงกันหน่อย การถกกันด้วยเหตุผล ไม่ใช่การทะเลาะเบาะแว้ง ควรจะมีการรับฟังทุกปัญหา ถ้ามีเหตุผลพอก็เสนอกลับไป ไม่ใช่หนีด้วยการตัดบท

บางที ปัญหาที่คุณเจอ อาจจะทำให้คณะของเราพัฒนาไปอีกไกลได้


Posted by : ผ่านมาดู (อีกทีน๊ะ) , Date : 2005-01-23 , Time : 02:19:57 , From IP : 192.168.32.31

ความคิดเห็นที่ : 21


   แต่ถึงยังไงๆ ก็เป็นกำลังใจให้ประทานเชียร์นะ ตั้งใจทำงานต่อไป คนชื่นชมคุณน่ะมีอยู่แล้ว แต่จำไว้ ไม่ว่าจะทำงานหนักแค่ใหน เป็นหัวหน้า สิ่งสำคัญคือ รับฟังทุกความเห็น อย่าคิดว่าความคิดของเราถูกที่สุด เพราะเราอยู่ในสังคมประชาธิปไตย ไม่ใช่เผด็จการ

Posted by : ผ่านมาดู (อีกสักทีน่าน๊ะ) , Date : 2005-01-23 , Time : 02:26:13 , From IP : 192.168.32.31

ความคิดเห็นที่ : 22


   criticism นั้นมีหลายแบบ แบบที่ดีทีสุดคือ constructive criticism แปลเป็นไทยอย่าง over-simplified นิดๆคือ "ติเพื่อก่อ"

อย่างไรก็ดี เรามีโอกาสที่จะเป็นได้ทั้งผู้ติ หรือผู้รับ เมื่อไหร่ก็ตามที่เป็นผู้รับ ตรงนั้นจะมีทางเลือกน้อยลงในการหวังที่จะได้รับติเพื่อก่อทุกๆครั้ง ตรงนี้เราสามารถจะทำอย่างไรได้บ้างกับ "ติที่ไม่ใคร่ก่อ" (ในความเห็นของเราเอง)?

เริ่มจาก "ทำไมคนถึงติ?" ไม่ว่าจะเพื่อก่อหรือไม่ก่อก็ตาม
- มีความเห็นไม่ตรงกัน
- อยากจะติซะอย่างก็หาเรื่องที่จะเห็นไม่ตรงกันได้ ศรศิลป์ไม่กินกัน เป็นคู่แข่งกัน ไม่ชอบหน้ากัน ฯลฯ

แต่ fundamentally จะต้องมาจากหรือลงเอยที่ "ความคิดที่แตกต่าง"

ดังนั้นปฏิกิริยาตอบสนองในเรื่องติหรือรับการติก็น่าจะมี
- เห็นด้วยว่าที่ติมาถูกต้อง
- ไม่เห็นด้วย
- เห็นด้วยว่าที่ติมามีประเด็น แต่เหตุผลของเราดีกว่า
- เป็น controversial issue มีเหตุผลทั้งสองด้าน ไม่มีใครถุกใครผิด

ทีนี้ก็มาถึงการแสดงออก ถ้าเราเป็นผู้รับการติหรืติเองก็ตาม สามารถ stick on the issue เรื่องความคิดที่แตกต่าง เราสามารถจะตัดตัวป่วนที่สำคัญคือ "อารมณ์" ออกไปได้จากการอภิปรายนั้นๆ ปัญหากคือในกรณีที่เราเป็นคนรับ และคนติไม่ได้มีเจตนาสร้างสรรค์ในการติ ก็จะมีโอกาสที่ต้องเผชิญกับการยั่วยุในรูปแบบต่างๆ เราจะทำอย่างไร? ผมแนะนำให้เราอภิปราย "บนเนื้อหา" ความคิดส่วนที่แตกต่าง โดยใช้ภาษาอภิปรายตามปกติครับ ตัดแรงผลักดันที่เราจะเกิดตอบสนองโดยอารมณ์จากสิ่งยั่วยุนั้นไป ตราบใดที่เราทำอย่างนี้ เราจะยังรักษา "อารมณ์" ของเราไว้ และเป็นการ expose defect ของฝ่ายยั่วยุได้ในที่สุด

ข้อสำคัญก็คือ ถึงแม้จะเกิดหรือไม่เกิดจากความยั่วยุ ข้อตำหนิจะต้องมีรากมาจากความคิดที่แตกต่าง ดังนั้นเรา "สามารถ" ดึงมุมมองที่แตกต่างนี้มาเสริมบุคลิกความคิดของเราได้ทั้งนั้น บางอย่างทำให้เราเรียนรู้เพิ่ม บางอย่างทำให้เรามั่นใจในความถูกต้องของเรามากยิ่งขึ้น อย่าให้อารมณ์ที่อาจจะเกิดมาบดบังโอกาสเรียนรู้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่ทำงานเพื่อส่วนรวมนั้น ขอให้มีความหนักแน่นและมั่นคงในความถูกต้องของความเสียสละของเราตั้งแต่เริ่มแรก ความคาดหวังคำชมนั้นเป็นธรรมชาติของคนทั่วๆไป แต่อย่าให้เป็นเงื่อนไขว่าเราทำไปเพราะ "ต้องการ" อย่างนั้น อย่างนี้ หรือ "ไม่ต้องการ " อย่างนั้นอย่างนี้ เพราะสิ่งเหล่านี้เราไม่สามารถควบคุมได้

คำว่า "ความดี" ของหลักจริยศาสตร์นั้น ไม่ได้หมายถึงสิ่งที่มีของดีเป็นเครื่องตอบแทน แต่เกิดขึ้น "ขณะ" ที่เราได้ "ทำ" ความดีนั้นต่างหาก เกิดขึ้นเพราะเรา "เชื่อ" อย่างลึกซึ้งว่านั่นเป็นสิ่งที่ถูกต้องต่างหาก "แม้องค์พระปฏิมายังราคิน มนุษ์เดินดิน ฤาจะสิ้นคนนินทา"



Posted by : Phoenix , Date : 2005-01-23 , Time : 10:23:14 , From IP : 172.29.7.57

ความคิดเห็นที่ : 23


   ใจเย็นๆ ครับน้อง กิจกรรมทุกอย่างที่มีขึ้นใน มหาวิทยาลัย มีประโยชน์ ทั้งนั้น ทั้งเรียนรู้การทำงาน การทำงานร่วมกับคนอื่น หรือ แม้นแต่การฝึกอารมณ์ตัวเองให้รับกับสภาวะเครียดๆ มันเหมือนการจำลองชีวิตการทำงานมาแล้ว
ขอให้น้อง ก้าวต่อไป คนทำเชียร์ ก็ได้ประโยชน์ คนแข่งกีฬาก็ได้ประโยชน์ เชื่อ สิ มีกิจกรรมไม่กี่ครั้งหรอกที่จะมารวมกลุ่มใหญ่ๆ เพื่อทำกิจกรรมร่วมกัน

รักกันไว้ครับ น้อง ๆ



Posted by : munich , Date : 2005-01-23 , Time : 23:25:50 , From IP : 172.29.3.214

ความคิดเห็นที่ : 24


   ขอเป็นกำลังใจให้น้องประธานเชียร์ครับ เมลล์ไปหาน้องแล้ว อ่านด้วยครับ

Posted by : พี่ , Date : 2005-01-24 , Time : 12:10:15 , From IP : 172.29.4.162

ความคิดเห็นที่ : 25


   No comment


Posted by : chaman , Date : 2005-01-24 , Time : 12:45:53 , From IP : 172.29.2.186

ความคิดเห็นที่ : 26


   ถึง.......ประธานเชียร์
เป็นหนึ่งในทีมงานขของmed32 ปีนี้ ได้เห็นได้รับรู้อะไรหลายอย่าง เพราะไปๆมาๆอยู่ทั้งห้องซ้อมเชียร์ และสนามกีฬา จากกการทำงานและจากกระทู้ที่ได้ถูกตั้งไว้แล้วคิดว่า ประธานเชียร์ควรรับฟังสิ่งที่คนอื่นได้เสนอความคิดมา เพราะมันคือเรื่องจริง ไม่เถียงหรอกว่าการประชุมเชียร์จะทำให้เกิดความสามัคคีขึ้น และก็ไม่เถียงหรอกว่าเราไม่สามารถทำให้คนทั้งชั้นปีไปเชียร์กีฬาที่สนามได้ แต่ไหนล่ะ จุดประสงค์ของการเชีนร์..... การเชียร์คือการให้กำลังใจ การเอาใจช่วยนักกีฬาให้พวกเขามีแรงกายแรงใจในการแข่งขันไม่ใช่เหรอ หรือการเชียร์คือการแสดงความความสามารถในการร้อง เล่น เต้น เพื่อให้คณะอื่นๆได้ดูเป็นการแสดง มันน่าจะถึงเวลาที่มาทบทวนกันว่า เราทำกีฬา 12 คณะ ข้นมาทำไม ชื่อมันก็บอกอยู่แล้วว่ากีฬา แล้วทำไมเราไม่ไปเชียร์นักกีฬา แต่กลับมานั่งร้องเพลงเชียร์อยู่ในห้อง เพื่อที่จะแสดงศักยภาพของชั้นปี เราไม่จำเป็นต้องพากองเชียร์ทั้ง 64 ชีวิตไปเกาะติดสนามก็ได้ ทางเลือกมันมีเยอะแยะไป เพียงแค่คุณลองเปลี่ยนมุมที่ยืนอยู่ แล้วลองมองจากมุมอื่นๆดูบ้าง คุณก็จะเห็นอะไรที่คุณมองข้ามไป......
ติเพื่อก่อ


Posted by : ผู้ร่วมงาน , Date : 2005-01-24 , Time : 12:57:59 , From IP : 172.29.2.90

ความคิดเห็นที่ : 27


   ไม่ว่าใครจะทำงานอะไร ทำกองเชียร์เพื่อประกวด หรือเป็นนักกีฬา ถ้ามองโดยภาพรวมแล้วคิดว่าทุกคนทำให้คณะหมด การมองโดยองค์รวมจะทำให้เรารู้สึกว่าทุกส่วนต้องมีกันและกัน และสำคัญเท่ากัน มันจึงทำให้ภาพโดยรวมทั้งหมดperfect ซึ่งคิดว่าถ้าเรารับรู้ว่าตัวเราอยู่จุดไหน มีความสำคัญอย่างไรต่อองค์กรรวม ก็จะทำให้ต่างคนก็ทำหน้าที่ของตนได้โดยไม่ตะขิดตะขวงใจ
แต่ถ้าเรามามองแยกส่วนกันแบบนี้ มันก็จะเกิดความเหลื่อมล้ำกันว่าใครทำให้มากกว่า น้อยกว่า อีกฝ่ายสบาย อีกฝ่ายงานหนักกว่า แบบนี้เรื่องก็เกิด
ทางที่ดี ทุกคนคิดเพียงว่าไม่ว่าอยู่ส่วนใด ตรงจุดไหน ถ้าเราทำให้คณะ และเพื่องานชั้นปีเรา ก็จบจ้า


Posted by : pisces , Date : 2005-01-24 , Time : 21:07:34 , From IP : 172.29.7.98

ความคิดเห็นที่ : 28


    ในฐานะที่ผมเป็นปีหนึ่งคนหนึ่งผมมีความคิดเห็นเกี่ยวกับการที่เรามานั่งเขียนกระทู้โต้ตอบกันไปมาอย่างนี้ว่า การที่เราจัดให้มีการเชียร์ 12 คณะเกิดขึ้นมานั้นเพื่อที่จะส่งเสริมความสามัคคีภายในชั้นปีของเราให้เข้มแข็งขึ้น ผมเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่งกับการซ้อมเชียร์กันว่าเป็นกิจกรรมที่ทำให้เรารู้สึกกลมเกลียวเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันมากขึ้น การทำเทคนิคมันทำให้เราได้ทำงานร่วมกัน ลำบากร่วมกัน ระดมสมองและความคิดซึ่งแสดงถึงความสามารถของเราได้อย่างแจ่มชัด งานสวัสดิการก็ดี งานเทคนิคก็ดี งานแสตนก็ดี รวมถึงสตาฟทุกคนก็ด้วยทุกคนต่างทำงานของตัวเองให้สุดความสามารถ เราไม่อาจกล่าวได้ว่าใครทำงานหนักที่สุดถึง เพราะเราต่างมีหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบที่แตกต่างกันออกไปและถ้าขาดใครคนใดคนหนึ่งไปแล้วงานก็คงไม้อาจสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดีครับ ถ้าเราเปรียบการทำงานร่วมกันของทุกฝ่ายเหมือนกับจิ๊กซอ แน่นอนถ้าขาดจิ๊กซอเพียงแค่ชิ้นเดียวไปภาพที่ออกมาย่อมหาความสมบูรณ์แบบแสวยงามไม่ได้ เช่นกันต่างฝ่ายต่างมีความสำคัญด้วยกันทั้งนั้น ส่วนคนที่ไม่ค่อยทำงานผมคิดว่ามันเป็นเรื่องปกติของสังคมทุกๆสังคมครับเราควรยอมรับและตั้งหน้าตั้งตาทำงานของเราต่อไปให้ดีที่สุดจะดีกว่าครับ
สิ่งๆหนึ่งที่ทำให้ผมสะดุดใจขึ้นมาก็คือการที่มีคนโพสว่าเราควรให้ความสำคัญกับนักกีฬาให้มากขึ้นกว่านี้ อันนี้ผมเห็นด้วยเป็นที่สุดครับ เพราะนักกีฬาก็คือกาวที่เราจะนำจิ๊กซอมาประกอบกันเพื่อเข้ากรอบมาตั้งโชว์ให้คนได้รู้ว่าเราเป็นหมอที่สมบูรณ์หร้อมแค่ไหนครับ ผมเข้าใจครับว่าการที่เรากำลังแข่งกีฬาอยู่แต่ไม่มีคนมาเชียร์มันเป็นอย่างไร เราจะอยากชนะไปเพื่ออะไร ทั้งๆที่ไม่มีใครมาเชียร์เรา เราแข่งกีฬาไปเพื่ออะไร?ผมคิดว่าเพื่อคณะครับและถ้าเราชนะมันก็เป็นความภาคภูมิใจของเราไปในตัวด้วยครับ การที่เราได้ฝึกซ้อมกีฬาร่วมกับเพื่อนๆ พี่ๆทุกคนผมว่าป็นการสานความสัมพันธ์ที่ดีและมีประโยชน์ที่สุดเลยครับ เมื่อเราคิดได้เช่นนี้แล้วเราก็จะรู้ได้เองครับว่าเราแข่งกีฬาไปเพื่ออะไร แต่มีจุดหนึ่งที่ผมอยากให้ปรับปรุงคือถ้าเป็นคุณที่กำลังแข่งกีฬาเพื่อคณะอยู่แล้วไม่มีใครไปเชียร์สักคน แล้วมารู้ทีหลังว่าเพื่อนๆที่ไม่ได้ไปเชียร์เราเค้ากำลังไปซ้อมเชียร์กันอยู่ครับ ผมคิดว่าเราควรแบ่งเวลาให้กับนักกีฬาบ้างครับ เพราะกำลังใจเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดเหนือสิ่งอื่นใด เป็นยิ่งกว่ายาใดๆในยามที่เราสับสนและท้อแท้ครับ ส่วนความคิดเห็นในเรื่องของการโพสกระทู้โต้ตอบกันนั้นผมคิดว่าเป็นการถูกต้องแล้วครับ ดีกว่าเก็บมันไว้เป็นไฟในใจเผาตัวเองไปเปล่าๆและอาจทำให้เราไม่กล้าเจอหน้ากันเลยก็เป็นได้ ให้เราคิดว่าเอาใจเขามาใส่ใจเราไว้เสมอก่อนโพสและคิดถึงคณะด้วยนะครับเพราะกระทู้ที่เราโพสเป็นกระทู้เปิดคนที่ไม่เข้าใจอาจตีความไปผิดๆก็เป็นได้ครับ สุดท้ายผมก็ขอให้กำลังใจประธานเชียร์ต่อไปครับ คุณทำได้ถูกแล้วครับและผมขอชื่นชมมากครับที่คุณได้เสียสละให้คณะเราได้จนประสบความสำเร็จมาได้ขนาดนี้ครับ และขอบคุณเพื่อนๆทุกคนนะครับที่ทำให้ชั้นปีของเราเป็นจิ๊กซอที่สวยที่สุด แขวนไว้ ณ. มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ที่รักของเรา
ขออภัยในบางคำพูดถ้าได้ไปล่วงเกินหรือทำให้ใครไม่พอใจนะครับ ขอบคุณมากครับ




Posted by : Med32คนหนึ่ง , Date : 2005-01-25 , Time : 14:17:38 , From IP : 172.29.2.186

ความคิดเห็นที่ : 29


   ขอเบี่ยงประเด็นเล่นๆนิหน่อยนะ
แค่อยากลองใช้learning styleที่น้องๆได้วิเคราะห์ตัวเองไปแล้วมาลองapplyดู
พี่ว่าถ้าเป็นเรื่องงานเชียร์ งานนี้ตัวเด่นน่าจะเป็นcs,ar คือว่า
csน่าจะเด่นเรื่องการกำหนดกรอบกว้างๆ ใครทำอะไรที่ไหน อย่างไร และเมื่อไหร่เพื่อจะได้ให้ทันเวลาที่จะประกวด เน้นนะว่ากรอบกว้างๆ เพราะว่า เราต้องมีเวลาระหว่างนั้นให้arทำงานคือ
ar ควรได้รับการเปิดโอกาสให้เขาได้มีส่วนร่วมสร้างสรรค์มากๆเลยหล่ะงานนี้ เพราะว่างานนี้เป็นงานศิลปะ และสร้างสรรค์ล้วนๆเลย เขาจะได้มีความคิดบรรเจิดออกมา
asงานนี้ควรdebateให้น้อยๆนะ เพราะlogicที่น้องใช้ได้ถนัด ในครั้งนี้คงใช้ได้เรื่องเดียวคือ สิ่งที่arเสนอมีความน่าจะเป็นที่จะทำให้ทีมเราทำได้สำเร็จเพียงใด เรื่องที่ว่ามันจะสวยงาม หรือโดนใจคนอื่นหรือไม่นั้นนั้น น้องอาจคิดไม่ออก และไม่ควรเถียง เพราะarเขามีตัวรับคลื่นอารมณ์การโดนใจได้มากกว่าน้อง เถียงไป อาจไม่มีเหตุผลกลับมาจาก arและที่สำคัญทำให้เขาเสียใจ น้อยใจ งานสร้างสรรค์ก็หมดอีก
crให้เขาดูห่างๆ และสรุปผล หรือจุดด้อยบางจุดที่เราตันหรือคิดไม่ออกก็ได้
ว่าแต่ถ้าเป็นนักกีฬา
เป็นarก็น้อยใจง่ายหน่อยไม่มีใครมาเชียร์ arที่เหลือน่าจะเข้าใจเห็นใจเขาหน่อยไปเชียร์กันหน่อยนะ ส่วน as อาจงงว่าทำไมต้องเชียร์ ก็ต่างคนก็ทำหน้าที่กันไปสิ เราก็มีหน้าที่ของเรา แบบนี้ ก็ลองปรับดูหน่อยนะ เเพราะมันเป็นเรื่องของเพื่อนกำลังมีอารมณ์หน่ะ เอาlogicมาอธิบายก็อาจไม่เป็นผลเท่าไหร่
ลองวิเคระห์เล่นๆดูไม่รู้ช่วยอะไรน้องๆได้ไหม


Posted by : pisces , Date : 2005-01-26 , Time : 07:21:29 , From IP : 172.29.7.245

ความคิดเห็นที่ : 30


   ถึงเวลาแล้วมั๊ง สำหรับทฤษฏีที่ผิดๆ จะต้องถูกเปลี่ยนแปลง


Posted by : kiss , Date : 2005-01-27 , Time : 11:12:05 , From IP : 172.29.2.200

ความคิดเห็นที่ : 31


   ทำไมประธาน เชียร์ ปัญญาอ่อนทุกรุ่นเลยวะ

Posted by : y , Date : 2005-01-27 , Time : 12:48:19 , From IP : 172.31.0.128

ความคิดเห็นที่ : 32


   สงสัยจังว่า คณะอื่นเค้าซ้อมกันที่ไหน?
เค้าทุ่มเทซ้อมเท่าคณะเรามั้ย?(หมายถึงเวลา กำลังใจและกำลังความคิด)
แล้วที่เราทุ่มเทซ้อมขนาดนี้เราหวังผลอะไร?
เราหวังเป็นผู้ชนะหรือเพียงความสามัคคีในหมู่พวกอย่างกล่าวอ้าง
ชัยชนะหรือความสามัคคีนั้นเราจะกอดไว้ด้วยความเดือดร้อนของคนอื่นไหม?
คุ้มหรือไม่กับการทุ่มเทเพื่อสร้างความสามัคคีในพวกเราแต่ก่อความเดือดร้อนรำคาญให้คนอื่น(ที่ไม่ใช่พวกเรา)?
คำถามสุดท้ายสงสัยมากว่า หอข้างๆบินหลาจะเข้าใจและให้อภัยความทุ่มเทของน้องอย่างที่พี่พยายามทำหรือเปล่า? จ๊ะน้อง


Posted by : Lucifer , Date : 2005-01-28 , Time : 00:12:31 , From IP : 172.29.4.181

ความคิดเห็นที่ : 33


   ทุกเรื่องถ้ามันตึงเกินไปก็ไม่ดีทั้งสิ้น (ถ้าใครดูโหมโรง น่าจะจำตอนที่ครูเทียมช่วยหย่อนสายระนาดให้เจ้าสอนก่อนงานประลองกับขุนอินทร์)

การหย่อนในที่นี้ ไม่ได้หมายถึงหย่อนเทิบทาบ แต่หมายถึงเราต้องลองพิจารณา ลองฟัง ลองดูก่อนว่ามัน "ตึงเกินไป" หรือไม่ แล้งค่อนหย่อนให้มัน "พอดี" พอดีเรื่องอะไรบ้าง? ก็ควรจะหมดทุกเรื่องแหละครับ ตั้งแต่ความต้องการเป้าประสงค์ของงาน ความคาดหวัง การอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคม การแสดงความเห็น ระดับความเจริญของการแสดงความเห็นก็ช่วย การหัดสังเกตว่าทำไมคนอื่นเขามีกริยามารยาทต่างจากเรา ใช้ภาษาที่ต่างจากเรา ใช้แล้วเกดผลอย่างไร? เป็นการก่อเสริม หรือว่าทำลายล้าง

ที่แน่ๆคือเรื่องแพ้ชนะนั้นเป็น bonus ที่มีความสำคัญระดับหลังๆ กิจกรรมในมหาวิทยาลัยที่น้องจะจำได้ในอีก 20 ปีข้างหน้า มันไม่ใช่เรื่องเราชนะกีฬาสีคณะตอนปีหนึ่งหรอกครับ แต่เป็นเมื่อเรามองย้อนหลังเรากำลัง "เก็บเกี่ยว" ประสบการณ์ชิ้นนั้นอย่างไร เราสามารถทำงานร่วมกับเพื่อนได้อย่างไร เราเคยทะเลาะเพื่อสิ่งที่ดีที่สุด (ของเรา) กับดีที่สุด (ของเพื่อน) อย่างไร ฤานัยหนึ่งคือมอง "ตัวเราเอง" ย้อนหลัง ตรงนี้เป็นการ "สะท้อน" เท่านั้น จะไปแก้อะไรก็ไม่ได้แล้ว ใครจะภาคภูมิใจ มีสุข หรือเสียใจน้ำตาไหลพรากให้ลูกหลานถามปู่ๆเป็นอะไรไป หลงอีกแล้วเหรอ ก็แล้วแต่ชะตากรรมที่เราสร้าง

แน่นอนที่สุด ตอนวัยรุ่น ตอนเด็ก ทุกคนก็มีช่วงงี่เง่า ปัญญามีแต่ไม่ใคร่ได้ใช้ ใช้ความ cool ของกระแสฮอร์โมนสั่งการมากกว่าสิ่งที่พ่อแม่สั่งสอน ไม่ทราบว่าการเข้ามหาวิทยาลัยนี้จะเป็นสัญญลักษณ์อันดีหรือไม่ที่เราจะเริ่มปรับตัวเข้ากับการเติบโตเป็นผู้ใหญ่ มีความรับผิดชอบ และสร้างสรรค์ความชำนาญในการอยู่ในสังคม ในการสร้างสังคมที่เราอยากให้ลูกหลานเราอยู่อย่างมีความสุข?



Posted by : Phoenix , Date : 2005-01-28 , Time : 08:25:18 , From IP : 203.156.38.127

ความคิดเห็นที่ : 34


   ในทัศนะของผู้ผ่านประสบการณ์มาก่อน
อยากขอความกรุณาอาจารย์ช่วยยกตัวอย่าง "ความพอดี" อย่างเป็น "รูปธรรม" สำหรับกรณีนี้ได้ไหมคะตั้งแต่ความต้องการ เป้าประสงค์ของงาน ความคาดหวัง การอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคม การแสดงความเห็น ระดับความเจริญของการแสดงความเห็น

หนูจะรอฟังโดยไม่คาดหวังเกี่ยวกับความเปลี่ยนแปลงใดๆทั้งสิ้น เพียงแต่อยากได้มุมมองที่ต่างไปจากตัวเองบ้าง แล้วก็คงปล่อยให้ทุกอย่างดำเนินไปอย่างเสรีตามครรลองของมัน

ขอบคุณล่วงหน้าค่ะ


Posted by : Lucifer , Date : 2005-01-28 , Time : 15:25:34 , From IP : 172.29.4.181

ความคิดเห็นที่ : 35


   เพิ่มประเด็น
- การปรับตัวเข้ากับการเติบโตเป็นผู้ใหญ่ มีความรับผิดชอบ และสร้างสรรค์ความชำนาญในการอยู่ในสังคม -
ด้วยนะคะ หนูไม่เคยเป็นผู้ใหญ่ เป็นแต่ลูกเล็กๆ ของพ่อแม่ เป็นลูกคนกลางที่ถูกoverpratect ตลอดเวลา เป็นเพื่อนที่พูดไม่ค่อยรู้เรื่องเท่าไรของเพื่อนๆ
หนูอยากทราบว่าเวลาที่คนเราจะเป็นผู้ใหญ่ เราต้องคิดถึงใคร คิดถึงเรื่องอะไรบ้าง
ขอบเขตเรื่องที่อาจารย์ยกตัวอย่างมากว้างขวางไปหน่อย และหนูนึกภาพไม่ค่อยชัดค่ะ

ขอบคุณล่วงหน้าอีกครั้งค่ะ


Posted by : Lucifer , Date : 2005-01-28 , Time : 15:44:18 , From IP : 172.29.4.181

ความคิดเห็นที่ : 36


   จะรังเกียจไหมครับ ถ้าผมจะขอให้คุณ lucifer แสดงความเห็นในแต่ละเรื่องออกมาก่อน สัญญาว่าจะ respond ในเวลาอันสั้น



Posted by : Phoenix , Date : 2005-01-28 , Time : 17:21:30 , From IP : 172.29.3.109

ความคิดเห็นที่ : 37


   เมื่อวานไปดูการแข่งกีฬาสีเด็กอนุบาลมา สนุกมากเลย เพราะเด็กๆไม่เครียดเลย เขาจัดให้เด็กได้เล่นแข่งกีฬาแบบว่าทุกอย่างจะเล่นกันเป็นทีมหมด ทำทีละคนแล้วส่งต่อให้เพื่อนในทีมทำต่อ ซึ่งในทีมจะมีเด็กอนุบาล1-3อยู่รวมกัน เช่น ตักบอลใส่ช้อนแล้วส่งต่อไปเรื่อยๆเพื่อเอาไปใส่ในตระกร้า น้องอนุบาลหนึ่งก็ไม่ประสีประสาหน่อย งงบ้าง ทำบอลหล่นบ้าง ได้บอลมาแล้วยืนเฉยบ้าง ทำให้ทีมนั้นมีอันต้องพ่ายแพ้ไป แต่สิ่งที่เห็นไม่ยักกะมีพี่อนุบาลสามหรือสอง คนใดไปว่าน้องๆที่ทำพลาดทำให้ทีมต้องแพ้
ส่วนอีกมุมที่เห็นแบบต่างออกไปคือ คุณครูที่พยายามทำทุกวิถีทางให้สีตนเองไม่ว่าจะเป็นกองเชียร์ นักกีฬาชนะ จนต้องโดนปรับเงินไปบ้าง แหมเนี่ยเป็นผลของพัฒนาการที่บอกว่าตนเองเป็นผู้ใหญ่หรือเปล่า แบบนี้เป็นเด็กอนุบาลสนุกกว่าเยอะเลยจริงไหม
สิ่งที่เรามักจะได้ยินพ่อแม่บอกลูกอยู่เสมอคือ ได้ลงแข่งหรือได้ทำอะไรที่คิดว่าทำเต็มที่ก็น่าภูมิใจ ดีที่สุดแล้ว ไม่จำเป็นต้องชนะ แพ้ก็ไม่เป็นไร หลักการแบบนี้ดีนะแต่ว่าactionที่แสดงออกไปมันน่าจะต้องไปกับสิ่งที่พูดด้วย เด็กถึงจะรับรู้เรื่องหลักการที่ว่าแบบลงลึก และไม่สับสน ก็คือพ่อแม่ควรปลอบใจเมื่อลูกแพ้
เหมือนอย่างประเพณีการเชียร์ของเรา ว่าตามหลักการอีกคือได้ลงแข่ง ทำเพื่อคณะก็น่าจะโอเคแล้ว แพ้ชนะนั้นน่าจะเป็นอีกเรื่อง ทุกคนควรคิดแบบนี้จริงๆ และที่สำคัญถ้าเราจะมีพัฒนาการที่ถดถอยจากรุ่นก่อนๆที่ทำมาบ้างก็จะเป็นไร เพราะนั่นคือตัวตนของเราที่มีมาเพียงเท่านี้ ถ้ายอมรับและรู้ตัว นั่นแหละมีโอกาสพัฒนาได้


Posted by : pisces , Date : 2005-01-29 , Time : 04:20:49 , From IP : 172.29.7.20

ความคิดเห็นที่ : 38


   คุณ Lucifer ไม่มาตอบสักที ผมขอว่าไปก่อนแล้วกัน

มันไม่ matter หรอกครับว่า "ผม" มีความเห็นว่าวัตถุประสงค์ ความคาดหวังของงานนี้เป็นอย่างไร ตรงนี้เป็นเรื่องของ collective decision ของกลุ่มนั้นๆ ไม่ว่าจะเป็น จะเอากีฬาชนะให้ได้ จะเอากองเชียร์ที่ใหญ่ที่สุด จะเอาคนที่มาร่วมสนุกที่สุด ฯลฯ ข้อสำคัญ คือเป็น collective decision ครับ คือเป็นความต้องการของ "กลุ่ม"

ที่มาของความต้องการนี้ก็หลากหลาย แต่ที่แน่ๆ มักจะมีความแตกต่าง มีหลายความเห็นก่อน แต่เมื่อมันกลายเป็น "ความเห็นกลุ่ม" ในที่สุด สมาชิกที่ไม่มีความเห็นด้วยแต่แรกเริ่มคงจะต้องยอมรับ (ในที่นี้หมายถึงกิจกรรมกลุ่มแบบนี้ นะครับ ไม่ได้หมายถึงเรื่อง ethical issues ที่ผมคิดว่า democratic process ไม่ได้เป็นวิธีที่ดีที่สุดเสมอไป) ตรงนี้ก็เป็นคุณสมบัติเตรียมตัวเราไปเป็น "ผู้หใญ่" อย่างหนึ่ง เวลาเราโตขึ้น เริ่มทำงาน จะมีกฏ ระเบียบ ประเพณี ฯลฯ มากมายที่สังคมตั้ง frame ไว้ ถ้าเราออกนอกลู่นอกทาง เรากจะอยู่ในสังคมนั้นอยากยากเย็น

นิยามของเรื่อง "ความเจริญ" นั้น ไม่ทราบว่ามีเขียนที่ไหนรึเปล่า แต่ผมคิดว่า "ความปราถนาที่จะสื่ออย่างสันติ" เป็นคุณสมบัติเบื้องต้นของความเจริญของสังคมไหนๆก็ตาม คนเราต้องสามารถนั่งคุย สื่อ สัมผส กันได้ก่อนที่จะ "ร่วม" สร้างอะไรงอกงามออกมาได้ ถ้ามัวแต่ไล่กัดงับเลียตะคอกใส่กัน มันก็จะไม่ถึงไหน จะสื่อกันได้ดีคุณสมบัติอีกประการที่ตามมาติดๆก็คือ ความจริงใจ ซื่อตรง ต่อกัน เพราะถ้ามัวแต่หลบตา จ้องเอาเปรียบ เห็นแก่ตัว เต็มไปด้วยอวิชชา ไม่มีการแสดงตัวตน ก็จะต่อรองอะไรยาก สื่ออะไรยาก เพราะไม่รู้ว่าเราสื่ออยู่กับใคร มีตัวตนหรือไม่ หรือเป็นแค่ fake identity แค่นั้น ไม่เกี่ยวกับระดับการศึกษา ฐานะการเงินทางบ้าน พูดได้กี่ภาษา พูดภาษาอะไร ความเจริญตรงนี้ผมหมายถึงความเจริญทางจิตใจ

นิยามของผู้ใหญานั้นเคยกล่าวไว้หลายครั้งแล้ว นั้นคือความรู้สึกในการรับผิดชอบต่อสิ่งที่เราคิด เราแสดง เรากระทำ สิ่งนี้คือ barrier ระหว่างความเป็นเด็กและความเป็นผู้ใหญ่ ตราบใดที่เราทำอะไรไปเกิดผลยังไงแล้วเราไม่ต้องรับผิดชอบเอง ยังมีพ่อ มีแม่ มีครู มีหมูเห็ดเป็ดไก่ มีคนไข้ มารับผลแห่งการกระทำของเราแทน โดยที่เราไม่ต้องรับตรงนั้นไป เรายังเปนเด็กอยู่ครับ คุณ Lucifer สามารถทดสอบความเป็นผู้ใหญ่ได้โดยตรวจสอบความรู้สึก "ของตนเอง" ครับ ว่าเรามี sense of responsibility มากน้อยแค่ไหนต่องานที่เราทำอยู่ เด็กอายุ 15 ก็สามารถมี maturity ได้ถ้าเขาพัฒนา sense of responsibility ขึ้นได้

เน้น ตรงที่เป็น "ความรู้สึก" นะครับ ไม่ใช่โดยอายุแล้ว เราทำงานไม่ดีเลยถูกทำโทษ นั่นไม่ใช่ quality ของตัวเราเอง บางคนมีอาชีพหน้าที่การงานถูกทำโทษและรับ consequence นั้นๆมาหลายสิบครั้งก็ "ยังไม่เป็นผู้ใหญ่" ซะที sense of responsibility เป็น self development ไม่ใช่ status ที่ได้มาโดยมอบหมาย แต่งตั้ง ถ้าคุณ Lucifer ได้รับมอบหมายให้เขียนรายงานส่ง แต่ส่งไม่ทัน แล้ว "รู้สึกผิด รู้สึกเสียใจ" นั่นคือความรู้สึกของผู้ใหญ่ (แต่ต้องไม่ใช่เสียใจเพราะจะถูกหักคะแนนนะครับ เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับ conditioning guilt) ที่ขาดความรับผิดชอบ

มันอาจจะแปลก เพราะดูๆแล้ว sense of responsibility นี้มันช่างเป็นภาระ เป็น burden แล้วมันดียังไง? มันก็ต้องให้รับทราบความรู้สึกตอนที่ job accomplished งานสำเร็จลุล่วงตามสิ่งที่เราได้รับมอบหมาย ตามความรับผิดชอบของเรานั่นแหละครับ บอกกันไม่ได้เหมือนกันว่าเป็นยังไง มันเป็น Pride of the maturity ครับ ยิ่งถ้า pride อันนั้นประกอบหนุนหลัวด้วยจริยธรรมยิ่งมีความหมายที่ยากแก่การ describe



Posted by : Phoenix , Date : 2005-01-30 , Time : 16:31:23 , From IP : 172.29.7.70

ความเห็นจาก Social Network : Facebook


สงวนสิทธิ์การแสดงความคิดเห็นสำหรับ สมาชิกเท่านั้น
>>>>> Page loaded: 0.019 seconds. <<<<<