ความคิดเห็นทั้งหมด : 14

สูญเสีย


   จริงๆแล้ว เรื่องนี้ก็ผ่านมาเป็นเวลา3เดือนกว่าแล้ว แต่ผมรู้สึกยังเศร้าและท้อแท้อยู่ครับ
เมื่อประมาณเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ผมได้สูญเสียบุคคลที่ผมรักที่สุดในชีวิตไป โดยที่ผมไม่มีโอกาส แม้เพียงอยู่จนตราบลมหายใจสุดท้ายของท่าน
ปู่ของผมเป็นCA prostate ระยะสุดท้าย ก่อนที่ท่านจะสิ้นใจ ท่านเจ็บปวดและทุกข์ทรมานมากเพราะมันลุกลามไปที่กระดูก
จริงๆแล้วผมก็ได้ไปเยี่ยมท่านสองครั้ง ตอนที่ท่านนอนอยู่โรงพยาบาล แต่ในวันที่ท่านสิ้นลม(วันศุกร์ที่1 ตค. เวลา 13.40น.) เป็นสัปดาห์ที่ผมติดPBLพอดี แม่บอกให้ผมเรียนให้เสร็จก่อน แล้วให้รีบกลับ หลังPBLเสร็จแม่ก็โทรมาบอกว่าท่านสิ้นแล้ว มันทำให้ผมรู้สึกแย่มาก เพราะผมต้องเรียนจนไม่มีเวลาเพื่อคนที่รักเราที่สุด ผมร้องไห้ไปตลอดทางจนถึงบ้าน
ปัญหาของผมก็ คือ หลังจากที่เสียท่านไป ผมรู้สึกท้อแท้และไม่มีกำลังใจในชีวิตหรือแม้แต่เรื่องเรียนครับ ผมรู้สึกว่าชีวิตของผมคงจะไม่มีโอกาสได้ยิ้มร่าเริงเหมือนเดิมอีกต่อไป แล้วก็เฝ้าเสียใจตลอดเวลา ที่ไม่ได้ทำเพื่อท่านให้ดีที่สุด ไม่แม้กระทั่งอยู่เฝ้าท่านจนลมหายใจสุดท้าย สิ่งที่ทำให้ผมสะเทือนใจมากทีสุดก็คือ ท่านรอผมจนวินาทีสุดท้าย แต่ผมก็ไม่สามารถไปหาท่านได้
บางครั้งผมเคยนอนอยู่และตื่นมาร้องไห้เหมือนกัน มันก็พอทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นบ้าง
ตอนนี้ผมคิดว่า เวลา คงจะเป็นวิธีทางเดียวที่จะแก้ปัญหาของผมได้ ผมกำลังอดทนกับความรู้สึกนี้ พร้อมกับทำสิ่งปัจจุบันให้ดีที่สุด เพื่อท่านและพ่อแม่ผม
อาจารย์คิดว่าที่ผมทำอยู่ถูกต้องและดีที่สุดแล้วหรือไม่ครับ ผมควรทำอย่างไรดีกับการสูญเสียที่ยิ่งใหญ่ในชีวิตนี้
ขอบคุณครับ


Posted by : อ่อนแอ , Date : 2005-01-18 , Time : 05:10:16 , From IP : 172.29.4.106

ความคิดเห็นที่ : 1


   พี่เห็นชื่อน้อง ที่ใช้ว่า อ่อนแอ มันกินความหมายถึง สิ่งที่น้องกำลังรู้สึกจริงๆใช่ไหม
สิ่งที่พี่อยากบอกคือ มันไม่ใช่ความอ่อนแอ แต่มันน่าจะหมายถึงเรากำลังเผชิญหน้ากับธรรมชาติของอารมณ์ที่เกิดขึ้นจากการสูญเสีย ซึ่งเป็นเรื่องปกติที่ว่า เราต้องรู้สึกเสียใจและร้องไห้ นั่นคือ normal griefภาวะเศร้าโศกจากการสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รัก ทุกคนร้องไห้ได้นะ
แต่สิ่งที่พี่เป็นห่วงสักหน่อยคือ ความยาวนาน และความรุนแรงของภาวะเศร้าโศกของน้อง รวมทั้งความรู้สึกผิดต่อคุณปู่ที่น้องบอกว่าไม่ได้มีโอกาสไปดูหน้าท่านครั้งสุดท้าย ไม่ได้ทำเพื่อท่านให้ดีที่สุด ความคิดในเรื่องแบบนี้เป็นการรับรู้ของน้องเองใช่ไหม พี่ขอไปทีละเรื่องนะ
ถ้าให้พี่ดูที่ความยาวนานของภาวะเศร้าโศกของน้อง ดูจะค่อนข้างยาวนานพอสมควร ตามปกติประมาณ1-2เดือนน่าจะดีขึ้นและหายไป ดำเนินชีวิตได้ตามปกติ

ถ้าดูที่ความรุนแรง พี่ว่ามันรุนแรงมากพอควร ที่ทำให้น้องท้อแท้ คิดคำนึงเรื่องนี้อยู่บ่อยๆ หมดกำลังใจ รู้สึกผิด แบบนี้พี่เป็นห่วงนะ และคงต้องเฝ้าระวังว่ามันจะแปรเปลี่ยนเป็นโรคซึมเศร้าได้ต่อไป พี่ว่าเราต้องรีบแก้ไขและได้รับความช่วยเหลือ ซึ่งน้องก็เก่งมากที่รู้ตัวและมารับความช่วยเหลืออยู่นี่งัย เยี่ยมมาก

ทางแก้คงมาที่เรื่องสุดท้ายคือ น้องกำลังเล่นกลอยู่กับการรับรู้ และความคิดในแง่ลบของตนเอง ที่เกิดจากอารมณ์เศร้านั้นช่วยให้เราเป็นแบบนั้นโดยน้องไม่รู้ตัว ซึ่งพี่คงต้องขอให้น้องช่วยตอบคำถามพี่ก่อนนะ เพื่อการวิเคราะห์ลงลึกและหาทางออกของเรื่องนี้อีกสักหน่อย
น้องคิดว่าถ้าได้มาเยี่ยมคุณปู่ก่อนท่านสิ้นลม มันจะมีสิ่งใดที่น้องอยากพูดกับท่าน แล้วยังไม่ได้พูด หรือ เหตุการณ์มันจะแปรเปลี่ยนไปอย่างไร
อะไรที่ทำให้เรารู้สึกว่าไม่ได้ทำดีที่สุดเพื่อท่าน
ที่ผ่านมาความสัมพันธ์ระหว่างน้องและคุณปู่เป็นแบบใด
ทุกคนคาดหวังตัวน้องจากเรื่องนี้ว่าอย่างไร
สิ่งที่น้องคิดเกี่ยวกับตนเองในเรื่องความเจ็บป่วยของคุณปู่คืออะไร
คงไม่ยากไปใช่ไหมที่จะตอบนะ แล้วว่ากันต่อจ้า


Posted by : aries , Date : 2005-01-18 , Time : 06:41:26 , From IP : 172.29.7.200

ความคิดเห็นที่ : 2


   สิ่งหนึ่งที่น้องอาจจะเริ่มเอามาคิดคือ "อะไรคือสิ่งที่คุณปู่น้อง อยากให้น้องทำ หรือน้องเป็น มากที่สุด ณ ขณะนี้" เอามาเป็นโจทย์

สิ่งที่ท่านอยากจะได้คือการที่น้องเศร้าโศกเสียใจ ไม่สามารถทำงาน ไม่สามารถมีสมาธิในการเรียนต่อ หรือว่าท่านอยากจะเป็นหลานสามารถสู้ชีวิต ประสบความสำเร็จในการเรียน ต่อหน้าที่การงาน?

โจทย์เหล่านี้บางทีก็คุ้มค่าถ้าเราเอาตีให้แตก เพื่อดูแก่นความหมายที่แท้จริง เช่น ถ้าจะมีคำสั่งสอนสุดท้ายของคุณปู่ ความสำคัญมันอยู่ที่ wording หรือเราพอจะเดาได้ไหมว่าคุณปู่ต้องการความมั่นใจว่าเราจะเป็นเด็กที่ดี กตัญญูต่อคุณพ่อคุณแม่ ขยันหมั่นเพียรทำงาน ถ้าเป็นเช่นนั้นเราสามารถจะทำสิ่งเหล่านั้นให้สำเร็จ จะเป็นการแสดงความกตเวทีที่ท่านจะชื่นชมที่สุดอย่างแท้จริงหรือไม่?

แต่อย่างที่พี่ Aries ว่า มาประเมินกัน here and now ก่อนว่าน้องกำลังมี pathological grief รึเปล่า หรือว่าเป็นแค่ reactionary grief ตามปกติ ถ้าต้องการความช่วยเหลือเป็นการส่วนตัวก็ติดต่อได้นะครับ


Posted by : Aquarius , Date : 2005-01-18 , Time : 11:48:23 , From IP : 172.29.3.185

ความคิดเห็นที่ : 3


   สิ่งที่ผมคิดว่าจะได้ทำ คงไม่ใช่การได้พูดคุยอะไรหรอกครับ ผมคิดเพียงว่า เพียงได้อยู่ข้างท่านจนวินาทีสุดท้ายก็เพียงพอแล้ว เพราะว่าท่านไม่มีสติที่จะรับรู้ได้แล้วในตอนนั้น แต่ผมก็ไม่ได้ไป
ความสัมพันธ์ระหว่างผมกับปู่ก็เป็นเหมือนกับพ่อกับลูกคนหนึ่ง ผมเป็นหลานที่ปู่รักมากที่สุด รักมากกว่าลูกของตัวเองซึ่งก็คือพ่อของผมเสียอีก(อันนี้ไม่ได้คิดเอง เพราะญาติทุกคนบอกว่าอย่างนั้น) เวลาในชีวิตของผมมากกว่า80%เป็นเวลาที่อยู่กับปู่ ซึ่งมากกว่าพ่อและแม่ ปู่เป็นเหมือนแรงบันดาลใจในชีวิตที่ทำให้ผมมีกำลังใจ ไม่ว่าจะเมื่อไรที่ท้อแท้หรือสิ้นหวัง เพียงคิดถึงท่านก็ทำให้ผมมีกำลังใจได้ สิ่งที่ทำให้ผมรู้สึกเศร้าอีกอย่างก็คือ มันเหมือนว่าทุกสิ่งทุกอย่าง จะมีความทรงจำเกี่ยวกับท่านเสมอ เบอร์โทรศัพท์ เนื้อเพลงบางเพลง สิ่งที่ท่านซื้อให้ หรือแม้แต่ช่วงเวลาที่มีความสุขในอดีต มันทำให้ผมคิดถึงท่านอยู่บ่อยๆ แล้วก็คิดเสียใจที่จะไม่มีเวลาอย่างนั้นอีกต่อไป
ทุกคนคาดหวังตัวน้องจากเรื่องนี้ว่าอย่างไร
ในเรื่องนี้ ผมเป็นคนที่ไม่แคร์ว่าคนอื่นจะคาดหวังกับผมอย่างไร ผมจะเป็นตัวของตัวเองมากกว่า ทำเพื่อท่านให้มากที่สุด ผมอยากให้พี่จินตนาการเอาว่า ในลมหายใจสุดท้ายของชีวิตพี่นั้น ถ้าพี่มีคนที่รักมาก แต่เขาอยู่ห่างไกล พี่อยากให้เขาทำอย่างไร ผมคิดว่าท่านคงอยากให้ผมได้อยู่เป็นกำลังใจกับท่านในช่วงสุดท้ายแห่งชีวิตเหมือนกัน เหมือนกับที่ท่านอยู่เป็นกำลังใจให้ผมเสมอมาตั้งแต่ผมได้ลืมตาดูโลก
สิ่งที่น้องคิดเกี่ยวกับตนเองในเรื่องความเจ็บป่วยของคุณปู่คืออะไร
สิ่งที่ผมคิดก็คือ อาการของปู่น่าจะไม่แย่ลงเร็วอย่างนี้ อย่างน้อยท่านก็น่าจะได้อยู่ดูความสำเร็จของหลานคนนี้ก่อน และอีกอย่างคือ เมื่อผมจบแล้วผมอาจจะพอช่วยดูแลท่านได้บ้าง
อย่างที่พี่พูด "อะไรคือสิ่งที่คุณปู่น้อง อยากให้น้องทำ หรือน้องเป็น มากที่สุด ณ ขณะนี้" นี่คือสิ่งที่ผมยังคิดและไม่ได้ลืม และยังตระหนักอยู่เสมอถึงสิ่งที่ผมต้องรับผิดชอบต่อไป ไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่หรือคนอื่นที่ยังอยู่กับผม ตอนนี้ผมไม่ได้รู้สึกหมดหวังหรือสิ้นหวังในชีวิตอย่างสิ้นเชิงนะครับ ผมยังคงใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ เพียงแต่เกิดความรู้สึกว่า ชีวิตผม ไม่ได้เติมเต็มเหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว ผมอยากมีความรู้สึกว่าทุกอย่างยังเหมือนเดิม แต่อีกอย่างผมก็ไม่อยากลืมความรู้สึกดีๆที่มีกับท่าน หรือว่าผมจำเป็นต้องลืม หรืออาจจะต้องทำให้ความรู้สึกมันจางลง
ตอนนี้ เพื่อนผมคนหนึ่งก็กำลังเผชิญอยู่กับการเปลี่ยนแปลงใชชีวิตที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้อยู่เหมือนกัน เพื่อนคนนี้ของผมกำลังจะสูญเสียคุณแม่ไป เพราะCAเหมือนกัน เอาไว้ผมจะบอกให้เขามาปรึกษาพี่แล้วกันครับ
ขอบคุณครับ


Posted by : อ่อนแอ , Date : 2005-01-18 , Time : 19:25:21 , From IP : 172.29.4.106

ความคิดเห็นที่ : 4


   สิ่งที่พี่สัมผัสได้ ถึงที่มาของความสูญเสียที่มีความรุนแรงนั้นคงเป็น สิ่งที่น้องบอกคือ น้องยกให้คุณปู่ของน้องเป็นคนที่มีความสำคัญที่สุดในชีวิต เปรียบเสมือนว่าเป็นพ่อของน้อง ความสัมพันธ์นั้นแน่นอน แน่นเฟ้นกว่าปู่หลานธรรมดาทั่วไป พี่ว่าพี่ไม่กังวลนะถ้าอีกไม่นานานพออารมณ์ต่างๆของน้องนั้นสงบลง ภาพ หรือความทรงจำเกี่ยวกับคุณปู่ของน้องจะต้องคงอยู่ในใจน้องอยู่ตลอดเวลา และเป็นแรงบรรดาลใจเป็นอะไรต่างๆนาๆที่ท่านปราถนาให้เป็น เปรียบเสมือนดั่งว่าน้องอยู่ใกล้ชิดท่านเหมือนเดิม น้องไม่จำเป็นต้องลืมหรือทำให้มันจางลงหรอก เพราะท่านจะเป็นส่วนหนึ่งของตัวตนของน้องต่อไป
พี่เชื่อว่าการสื่อกันทางใจ ไม่ว่าจะเป็นการคิดคำนึงถึงไม่ว่าน้องจะทำอะไรก็ตาม หรือการยึดหลักคำสอนของท่านมาใช้ในการดำเนินชีวิตของน้องที่ผ่านมา ที่น้องได้ทำมาตลอดในช่วงชีวิตของน้องไม่ว่าจะในยามที่ท่านมีชีวิตอยู่หรือไม่ก็ตาม หรือแม้นในยามที่น้องห่างไกลท่าน เป็นเรื่องที่ท่านน่าจะปรารถนาและอยากให้น้องดำเนินต่อไป ถึงแม้นน้องจะไม่ได้ดูแลท่านเพราะยังเรียนไม่จบก็ตาม พี่ว่าสิ่งนี้ก็คือการทดแทนและเติมเต็มความปรารถนาของท่านอยู่แล้ว และควรดำเนินต่อไป
พี่ฟังดูท่านเป็นคนที่น่าศรัทธา และมีเหตุผล ที่สำคัญเข้าใจในตัวน้องได้ดีมาตลอด พี่ว่าท่านพอที่จะเข้าใจถึงเรื่องการไม่ได้พบหน้ากัน ในยามที่คิดถึงโหยหาซึ่งกันและกัน เหมือนอย่างเช่นกรณีความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในตัวน้อง การไม่ได้พบหน้ากันก่อนจากไป พี่ว่าท่านเข้าใจและให้อภัยน้องได้ หรือบางทีพี่คิดว่าท่านอาจไม่ได้รู้สึกโกรธน้องเลยก็เป็นได้ ก็คงเหมือนดั่งที่ท่านเคยทำกับน้องมาตลอดไม่ใช่เหรอ ความรัก และความเอ็นดูในตัวน้องที่น้องได้รับจากท่านพี่ว่ามันน่าจะยังคงอยู่ และคงคงอยู่ตลอดไปนะ ท่านคงไม่สบายใจนักนะที่น้องมาโกรธโทษตัวเองอยู่อย่างนี้หน่ะ
อีกอย่างพี่ไม่แน่ใจว่าน้องเชื่อเรื่องโลกหลังความตายแค่ไหน มีคนบอกว่า ความตายเป็นเพียงจุดเปลี่ยนของชีวิต เหมือนย้ายบ้านใหม่ เราเพียงรอเวลาจังหวะของชีวิตที่เหมาะสม เราก็จะได้พบกันอีกในโลกหลังความตาย ในขณะนี้ท่านอาจกำลังเฝ้ามองดูการเติบโตของเมล็ดพันธ์คือตัวน้องที่ท่านได้เฝ้าเติมเต็ม ดูแล ทนุถนอมมาตลอดชีวิตของท่าน ให้สามารถเติบโตและพัฒนาด้วยตนเองโดยปราศการมองเห็นหรือสัมผัสตัวตนของท่าน เหมือนกับว่าท่านกำลังให้แบบฝึกหัดให้น้องทำ เพื่อสอนเรื่องความกล้าหาญ ความแกร่ง ความเป็นตัวของตัวเองให้กับน้อง ซึ่งตอนนี้ท่านรออยู่อย่างเดียวคือน้องจะสอบมันผ่านได้หรือไม่ก็เท่านั้น
น้องมีความเห็นว่างัย แล้วมาว่ากันต่อนะ เป็นห่วงจ้า


Posted by : aries , Date : 2005-01-18 , Time : 20:44:46 , From IP : 172.29.7.27

ความคิดเห็นที่ : 5


   ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลช่างซับซ้อน

บางครั้งถ้าเรามีโอกาสสังเกตดู เราพบ "ความเหมือน" ว่อนเร้นอยู่ระหว่างพ่อ-ลูก ปู่หลาน แม่-ลูก อย่างประหลาด ผมไม่ได้พูดถึงรูปร่างหน้าตาจาก genetic materials อย่างเดียว ซึ่งนั่นเราอาจจะไม่ใคร่รู้สึกว่าเป้น "เรา" ซักเท่าไหร่ ผมหมายถึง อุปนิสัยใจคอ พฤติกรรม ความคิด habit บางอย่างที่ติดเป็นนิสัย คำอุทาน ฯลฯ ถ้าเรามองดีๆ คนเราสามารถ "ทิ้งรอย" ของ generations ลงไปได้ลึกซึ้งเกินกว่าที่เราคิด

ขณะที่เราคงไม่ทราบหรอกครับว่าใจจริงๆคุณปู่เราจะรักชอบคุณพ่อหรือลูกหลานคนอื่นๆมากแค่ไหน นั่นคงเป็นเรื่องภายในจิตใจของท่านที่ไม่สามารถจะหยั่งได้ แต่เราทราบดีถึงความสัมพันธ์ระหว่างเรากับท่าน ความทรงจำเหล่านี้จะมีค่าเพิ่มมากขึ้นตามกาลเวลาโดยเฉพาะอยางยิ่งถ้าเรารู้จักใช้ให้เป็นประโยชน์

มีคำกล่าวว่า "The highest flattery is to imitate" แปลว่าการยกย่องยกยอขั้นสูงสุดคือการเลียนแบบ ไม่มีอะไรที่แสดงถึงความยอมรับนับถือคนๆหนึ่งได้ดีไปกว่าเราเอาการคิด การแสดงออกของคนๆนั้นมาเป็นบุคลิกของเราเอง พูดอีกอย่างคือ เสมือนคนๆนั้นได้มากำเนิดใหม่ในตัวเรานั่นเอง อาจจะมีคำกล่าวถึงมหาบุรุษบางท่านในประวัติศาสตร์ว่าแท้จริงแล้วท่านเหล่านั้นไม่เคยตายจริงๆไปจากเราเลย เพราะความคิด บุคลิก การกระทำของท่าน เป็นตัวอย่างให้อนุชนคนรุ่นหลังกระทำตามรอยเท้าของท่านมาตลอด

ไม่ว่าจะเป็นคำสอนทางศาสนาต่างๆ ที่ prophesy หรือศาสดาท่านต่างๆได้กล่าวไว้ อุดมคติของนักปรัชญาผู้ยิ่งใหญ่ในอดีต หรือของน้อง ของพี่ที่เราได้เลือกที่จะเดินตามรอบพระยุคลบาทสมเด็จพระราชบิดา สิ่งเหล่านี้คือ "อมตสมมติ" อย่างเดียวที่หนีพ้นกฏแห่งความไม่เที่ยงแท้ ผมว่าน้องโชคดีที่มีที่ยึดเหนี่ยวทางใจที่หนักแน่น หลายๆคนไม่มีแม้แต่หลักที่จะยึด มีแต่ fake material ไปวันๆ หาได้ก็สูญเสียไป น้องจะพบต่อไปว่าความทรงจำของเราจะไม่หนีไปไหน คำสั่งสอนและความสัมพันธ์อันดีที่เคยได้รับมันจะยังอยู่ติดตัวเราไป

และเมื่อถึงเวลา น้องจะพบว่าเมื่อน้องเป็นปู่คน สิ่งที่คุณปู่ของน้องเคยทำให้ตัวน้อง น้องได้ถ่ายทอดความรัก ความห่วงใย ความสนิทสนมแบบนั้นให้กับลูกหลานของน้องไปเองโดยไม่รู้ตัว

สิ่งเหล่านี้เป็นอมตะ


Posted by : Aquarius , Date : 2005-01-18 , Time : 21:43:56 , From IP : 172.29.7.126

ความคิดเห็นที่ : 6


   เรื่องโลกหลังความตาย ในความคิดของผมผมคิดว่ามันเป็นเรื่องที่ไม่มีอยู่จริง ผมยึดมั่นในเรื่องของปัจจุบัน อดีตเป็นสิ่งที่แก้ไขไม่ได้ แต่จดจำเอาไว้เป็นประสบการณ์เพื่ออนาคตได้
ทำไม? ผมจึงไม่เชื่อเรื่องโลกหลังความตาย
นั่นก็เพราะว่า ส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะ ความคิดทางด้านวิทยาศาสตร์ที่สามารถอธิบายปรากฏการณ์ได้เกือบทุกรูปแบบและยิ่งพัฒนามากขึ้นทุกวัน ซึ่งสิ่งเหล่านี้ผมคิดว่า นศพ.ทุกคนคงรู้กันดี พี่เชื่อไหมครับว่า ผมรู้สึกอิจฉาคนที่เชื่อในโลกหลังความตาย เพราะผมรู้สึกว่าเขามีความสุขและมีจุดมุ่งหมายในการใช้ชีวิตมากกว่าผมเสียอีก จนบางครั้งผมนึกอยากที่จะเป็นเพียงคนธรรมดาคนนึงที่เชื่ออย่างแน่นแฟ้นในเรื่องโลกหลังความตาย เรื่องนรก สวรรค์ เรื่องชาติก่อน เรื่องชาติหน้า
แต่ผมก็มองในอีกแง่นึงว่า เรื่องเหล่านี้เป็นสิ่งที่มนุษย์อุปมาขึ้นมาเพื่อปิดบังความกลัวในจิตใจที่แท้จริงของมนุษย์ มนุษย์ต้องการที่ยึดเหนี่ยวทางจิตใจเพื่อปิดบังความจริงของการไม่มีอยู่ของสิ่งใดหลังจากตาย
พี่รู้ไหมว่า ปู่ผมเป็นคนที่ไม่เชื่อเรื่องภูติผีปีศาจ แต่ในวาระสุดท้ายของชีวิต ท่านก็ยังคงต้องหันเข้าหาพระพุทธศาสนา เพื่ออะไร พี่คงทราบดี เพราะนี่เป็นprogressของคนที่เผชิญหน้าอยู่กับสิ่งที่ไม่มีใครรู้ ว่าจะมีอะไรรออยู่ ที่พึ่งทางใจจึงเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับมนุษย์(คงเป็นที่มาของความรู้สึกผิดของผม ที่ไม่ได้อยู่กับท่านในวินาทีสุดท้าย เพราะมันคงเป็นช่วงเวลาที่ท่านรู้สึกกลัวมากที่สุด)
อีกประเด็นที่ทำให้ผมรู้สึกขัดแย้งมากก็คือ การที่มนุษย์มีความเชื่อที่มากมายและหลากหลาย ซึ่งทำให้เกิดศาสนาขึ้นมากมาย หากโลกหลังความตายมีอยู่จริง ทำไมมันจึงไม่มีแค่รูปแบบเดียวที่เหมือนกัน สิ่งนี้ทำให้ผมสรุปเอาว่า ศาสนาเป็นสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นเพื่อยึดเหนี่ยวและปิดบังซ่อนเร้นความกลัวในจิตใจ แค่นั้นเอง
พี่อาจคิดว่าผมเป็นคนไม่มีศาสนาในจิตใจ แต่ผมว่าผมมีศาสนาประจำใจนะ จะสำคัญอะไร หากคนๆหนึ่ง พูดปาวๆว่าเขานับถือศาสนา แต่จริงๆแล้วเขาไม่มีศาสนาประจำใจ ส่วนเรื่องขนบธรรมเนียมประเพณีผมก็ไม่ได้ต่อต้านอะไร ผมคิดว่ามันเป็นสิ่งขัดเกลาจิตใจเรารูปแบบหนึ่ง เป็นเหมือนวิถีชีวิตที่เกิดประโยชน์ทั้งในด้านจิตใจและความสัมพันธ์ต่อคนในสังคมมากกว่า ผมคิดในแง่นั้น
ส่วนเรื่องของเพื่อนที่มีปัญหาเกี่ยวกับคุณแม่อยู่ตอนนี้ พี่คิดว่าผมควรจะทำอย่างไรดีครับ ผมรู้สึกสงสารเขามากเลยครับ
ขอบคุณครับ


Posted by : อ่อนแอ , Date : 2005-01-19 , Time : 04:38:58 , From IP : 172.29.4.106

ความคิดเห็นที่ : 7


   พี่เห็นด้วยกับน้องนะ ว่าศาสนาหรืออะไรก็แล้วแต่เป็นสิ่งที่เราสร้างขี้นมาเพื่อยึดเหนี่ยวจิตใจ แล้วมันมีประโยชน์อะไรหล่ะ
ในเวลาภาวะปกติที่เราไม่ได้มีอารมณ์ใดๆอยู่ ศาสนาหรือคำสอนต่างๆคงเปรียบได้กับsuperegoหรือมโนธรรมที่เรามีอยู่ในตัว ซึ่งจะมาคอยbalance กับegoของเราในการจัดการกับ id ที่เป็นความอยากได้ อยากมี อยากตามใจตนเอง อยากทำลายล้างของแรงขับภายในของเรา ทำให้เราไม่ไปล่วงละเมิดสิทธิคนอื่น หรือทำให้เราครองตนได้เหมาะสมขึ้น ไม่ก้าวร้าว
ทีนี้ในเวลาที่เรารู้สึกเพลี่ยงพล้ำ ทำผิดหรือทำพลาดหล่ะ บางครั้งเจ้าsuperegoเนี่ยก็มาทำร้ายเราได้เหมือนกัน เพราะมันเป็นข้อกำหนดของมาตรฐานความดีสูงสุดในตัวเรา เขาเรียกว่า โดน superego punishment ทำให้เรารับรู้ได้ถึงการกล่าวโทษตนเอง ว่าทำอะไรได้ไม่perfectพอ เราก็รู้สึก guilt ผิด อารมณ์เศร้าก็ตามมา
แต่ในทางกลับกัน ก็อาจเป็นไปได้ว่าเพราะเรามีอารมณ์เศร้านำมาก่อน แล้วเราก็เล่นเกมส์กับความคิดเรา คือการ selectเรื่องราวที่negativeมามอง มารับรู้ตามอารมณ์ แล้วพอนานๆเข้า สมองก็เลยเคยชินต่อการรับรู้แบบนี้ มันก็ยิ่งทำให้เราเศร้าเข้าไปอีก และอาจกลายเป็นคนมองโลกในแง่ร้าย
เพราะฉนั้นทางที่ดี พี่ว่าเราต้องเล่นกลกับความคิดเราไหม่ โดยต้องพยายามฝึกมองต่างมุมในเรื่องเดียวกันให้ได้ว่ามันมีมุมที่แตกต่างจากที่เรามองได้หรือไม่ ถ้ามองไม่ออกต้องลองให้คนอื่นช่วยมอง นั่นคงเป็นเรื่องที่ดี ก็อย่างที่น้องทำอยู่นี่งัย พี่ว่าเนี่ยไม่ใช่การทำเพื่อหลอกตนเอง หรือเพื่อหลีกหนีความกลัว เพราะที่จริงแล้วเราเองนั้นไม่มีทางได้รู้เลยว่า ความคิดส่วนไหนของเราจริงที่สุด และมันจะเป็นจริงเช่นนั้นตลอดไปหรือไม่ เพราะมันพิสูจน์ไม่ได้ ง่ายๆเช่นน้องจะพิสูจน์ได้อย่างไรว่าคุณปู่เสียใจจากการไม่ได้พบหน้าน้อง ที่ผ่านมาเป็นเพียงแค่เราคิด คาดเดาเอาจากประสบการณ์เดิมที่เรามีต่อท่าน
สิ่งเดียวที่พี่คิดว่าเราควรทำคือ เลือกรับรู้ความคิดที่สามารถทำให้ตัวตนของเราดำรงค์อยู่ได้ และสร้างสรรค์ได้น่าจะดีสุด
น้องว่างัย คุยกันต่อได้
ส่วนเพื่อนน้อง น้องคอยเป็นกำลังใจให้เขาก็ดีอยู่แล้ว ถ้าเขาเป็นทุกข์มาก ก็มาคุยกันได้จ้า


Posted by : aries , Date : 2005-01-19 , Time : 06:20:53 , From IP : 172.29.7.58

ความคิดเห็นที่ : 8


   ความรู้วิทยาศาสตร์ก้าวหน้าในปัจจุบันเน้นเรื่อง "การเกิด" มากจริงครับ แต่น้อยมากที่จะ address เรื่องของ "การตาย"

ปัจจุบันเราเข้าใจอะไรหลายอย่างว่ามันเกิดขึ้นมาได้อย่างไร แต่มีสองเรื่องที่วิทยาศาสตร์ไม่เคยเข้าใกล้ไปถึงจุดที่จะ "อธิบาย" ได้คือ ๑) อะไรคือ purpose of life? และ ๒) อะไรคือ absolute goodness? นั่นเป็นที่มาของสองสาขาวิชา metaphysics คือ ปรัชญา และศาสนศาสตร์ และถ้าจะประเมินความสำคัญของ metaphysics ต่อมนุษยชาติ เราอาจจะใช้ proxy parameter เช่น กฏหมาย รัฐธรรมนูญ ของประเทศ ของชุมชนมาวัด เราจะเห็นสัดส่วนน้ำหนักของ metaphysics ไม่น้อย (หรือยิ่งมากกว่า) น้ำหนักของ technology หรือ physics มากมาย ว่าไปตั้งแต่ birth right, law, welfare, security, safety, liberty, etc สิ่งเหล่านี้อาจจะเตือนเราเป็นพักๆว่า "Science is not everything"

คำถาม "ตายแล้วไปไหน" ไม่จำเป็นต้องเป็น religious-based question เสมอไป จริงๆแล้วมีคนพยายามตอบมาทุกรูปแบบ religious, philosophy, cult, science, logic, reasoning, faith, or belief มีแขนงนึงที่ popular คือ direction or purpose of life นี่แหละครับ

เกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นสัจธรรม เป็น real truth จนกระทั่งเราน่าจะถามตนเองบางครั้งว่า มัน make sense สักกี่มากน้อยที่เราจะ "ไม่สามารถทน" ต่อเหตุการณ์ที่เป็นสัจธรรมเหล่านี้ได้? คล้ายๆกับเราประกาศว่าเราไม่สามารถจะทนต่อ oxygen carbondioxide อีกต่อไป เราไม่สามารถทนต้องกินอาหารกินน้ำอีกต่อไป ดังนั้นการที่ใครจะขาดความสามารถในการ cope หรือเผชิญกับการ เกิด แก่ เจ็บ ตาย นั้น จะถูก condemn ให้เกิดทุกข์ "อย่างแน่นอน" ดังนั้นแม้แต่ถ้าเราไม่ใช้วิธีทาง metaphysics, religious, philosophy ในการเผชิญเรื่องราวเหล่านี้ แต่พยายามใช่ตรรกศาสตร์ เหตุผล หรือ physics เท่านั้นก็ตาม มนุษย์ไม่ได้ถูกออกแบบให้จยหนทางต่อการสูญเสีย พรากจาก มนุษย์คนอื่นๆแน่ๆ เพราะถ้าสมการนี้ไม่จริง มนุษยชาติก็จะต้องล่มสลายมาหลายพันปีก่อนหน้านี้ไปนานแล้ว

แต่ละคนก็จะใช้กลวิธีในการ cope ต่างๆกันออกไปแหละครับ ผมว่าน้องน่าจะ OK พอสมควรแล้ว ลองถามเพื่อนน้องดูว่าอยากจะมาแลกเปลี่ยนกันดูไหมนะครับ



Posted by : Aquarius , Date : 2005-01-19 , Time : 16:16:04 , From IP : 172.29.3.109

ความคิดเห็นที่ : 9


   ช่วงนี้ยุ่งๆอยู่อ่ะครับ ไม่ค่อยได้มาโพสต์ เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมาก็กลับไปทำบุญ100วันมาครับ
พรุ่งนี้ก็ไปอิมเมอร์ชันอีก ไม่ได้กลับมาอีกหลายวันเลย
ไว้กลับจากอิมเมอร์ชันแล้วจะมาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นอีกนะครับ


Posted by : อ่อนแอ , Date : 2005-01-25 , Time : 02:54:26 , From IP : 172.29.4.115

ความคิดเห็นที่ : 10


   แสดงว่าน้องอ่อนแอดีขึ้นแล้วใช่ไหม เพราะในงานทำบุญ100วัน บางคนอาจถูกกระตุ้นอารมณ์เศร้าโศกให้กลับเป็นขึ้นมาอีกได้ง่ายๆเชียวแหล่ะ
กลับจากclinical emmersionแล้วมาคุยกันต่อได้จ้า


Posted by : aries , Date : 2005-01-25 , Time : 06:51:38 , From IP : 172.29.7.172

ความคิดเห็นที่ : 11


   Clinical Immersion เป็นโอกาสอันดีมากที่น้องจะได้เปิดหูเปิดตา ให้เตรียมตัวโดยการเปิด mode ขี้สงสัย เปิดปุ่มอยากรู้อยากเห็น และหมุนคลื่นรับทุกสิ่งทุกอย่างไว้ให้ดีครับ แล้วพี่จะไปเยี่ยม (ถ้าตรงจังหวัดกันนะ)

Posted by : Aquarius , Date : 2005-01-25 , Time : 11:35:48 , From IP : 172.29.3.109

ความคิดเห็นที่ : 12


   คือ ผมไม่ทราบว่าพี่ๆจะมาอ่านกระทู้ผมอีกหรือเปล่าเพราะว่ากระทู้มันเก่าแล้ว แต่ว่าผมมีเรื่องที่จะปรึกษาอีกอ่ะครับ ที่ผ่านมาเป็นช่วงคอมเม็ด ผมไม่มีเวลามาคุยด้วยเลย ต้องขอโทษด้วยนะครับ เอาเป็นว่าผมจะมาเช็คว่าพี่มาอ่านหรือเปล่า แต่กระทู้นี้มันเข้าจาก IP ภายนอกไม่ได้อ่ะครับ ผมคงได้มาคุยกับพี่ก็อีกหลายวันอ่ะครับ เอาเป็นว่าผมจะทิ้งอีเมลไว้ละกันเผื่อพี่จะตอบกลับมาก็ตอบกลับทางอีเมลนะครับ ช่วงนี้ก้อว่าจะไปเที่ยวให้หายเศร้าระลอกสองอีกสักพัก เผื่ออะไรๆจะดีขึ้นบ้างครับ

Posted by : อ่อนแอ V.2 , E-mail : (weaknessv2@hotmail.com) ,
Date : 2005-03-28 , Time : 00:13:47 , From IP : 172.29.4.174


ความคิดเห็นที่ : 13


   พี่และพี่ Aries เข้ามาอ่านกระดานข่าวทั้งสองสม่ำเสมอครับ น้องสามารถเขียนลงมาที่ไหนก็ได้ หรือสะดวกต้องการติดต่อส่วนตัว ก็แค่ drop ลงมาบนกระดานนี้ว่ามีเรื่องจะปรึกษา เราจะ contact ทาง email ที่น้องให้มาไปเอง

Posted by : Aquarius , Date : 2005-03-29 , Time : 09:43:39 , From IP : 172.29.3.62

ความคิดเห็นที่ : 14


   มีเรื่องเดือดร้อนร้ายแรงหรือเปล่า น้องเปิดประเด็นสิ่งที่จะปรึกษาก่อนได้เลยจ๊ะ เท่าที่จับประเด็นได้ คือ
น้องมีความเศร้าระลอกสอง มันคืออะไร แล้วตัวกระตุ้นความเศร้าหล่ะคืออะไร

ถ้าพี่เห็นว่า มีความจำเป็นที่จะต้องได้รับคำปรึกษาในลักษณะแบบ privacy พี่จะเสนอให้น้องเข้ามาคุยกับพี่ หรือกับพี่Aquarius ผ่านทางe-mail อีกทีนะ
รอน้องอยู่นะ


Posted by : aries , Date : 2005-03-29 , Time : 20:44:39 , From IP : 172.29.7.221

ความเห็นจาก Social Network : Facebook


สงวนสิทธิ์การแสดงความคิดเห็นสำหรับ สมาชิกเท่านั้น
>>>>> Page loaded: 0.008 seconds. <<<<<