ความรู้วิทยาศาสตร์ก้าวหน้าในปัจจุบันเน้นเรื่อง "การเกิด" มากจริงครับ แต่น้อยมากที่จะ address เรื่องของ "การตาย"
ปัจจุบันเราเข้าใจอะไรหลายอย่างว่ามันเกิดขึ้นมาได้อย่างไร แต่มีสองเรื่องที่วิทยาศาสตร์ไม่เคยเข้าใกล้ไปถึงจุดที่จะ "อธิบาย" ได้คือ ๑) อะไรคือ purpose of life? และ ๒) อะไรคือ absolute goodness? นั่นเป็นที่มาของสองสาขาวิชา metaphysics คือ ปรัชญา และศาสนศาสตร์ และถ้าจะประเมินความสำคัญของ metaphysics ต่อมนุษยชาติ เราอาจจะใช้ proxy parameter เช่น กฏหมาย รัฐธรรมนูญ ของประเทศ ของชุมชนมาวัด เราจะเห็นสัดส่วนน้ำหนักของ metaphysics ไม่น้อย (หรือยิ่งมากกว่า) น้ำหนักของ technology หรือ physics มากมาย ว่าไปตั้งแต่ birth right, law, welfare, security, safety, liberty, etc สิ่งเหล่านี้อาจจะเตือนเราเป็นพักๆว่า "Science is not everything"
คำถาม "ตายแล้วไปไหน" ไม่จำเป็นต้องเป็น religious-based question เสมอไป จริงๆแล้วมีคนพยายามตอบมาทุกรูปแบบ religious, philosophy, cult, science, logic, reasoning, faith, or belief มีแขนงนึงที่ popular คือ direction or purpose of life นี่แหละครับ
เกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นสัจธรรม เป็น real truth จนกระทั่งเราน่าจะถามตนเองบางครั้งว่า มัน make sense สักกี่มากน้อยที่เราจะ "ไม่สามารถทน" ต่อเหตุการณ์ที่เป็นสัจธรรมเหล่านี้ได้? คล้ายๆกับเราประกาศว่าเราไม่สามารถจะทนต่อ oxygen carbondioxide อีกต่อไป เราไม่สามารถทนต้องกินอาหารกินน้ำอีกต่อไป ดังนั้นการที่ใครจะขาดความสามารถในการ cope หรือเผชิญกับการ เกิด แก่ เจ็บ ตาย นั้น จะถูก condemn ให้เกิดทุกข์ "อย่างแน่นอน" ดังนั้นแม้แต่ถ้าเราไม่ใช้วิธีทาง metaphysics, religious, philosophy ในการเผชิญเรื่องราวเหล่านี้ แต่พยายามใช่ตรรกศาสตร์ เหตุผล หรือ physics เท่านั้นก็ตาม มนุษย์ไม่ได้ถูกออกแบบให้จยหนทางต่อการสูญเสีย พรากจาก มนุษย์คนอื่นๆแน่ๆ เพราะถ้าสมการนี้ไม่จริง มนุษยชาติก็จะต้องล่มสลายมาหลายพันปีก่อนหน้านี้ไปนานแล้ว
แต่ละคนก็จะใช้กลวิธีในการ cope ต่างๆกันออกไปแหละครับ ผมว่าน้องน่าจะ OK พอสมควรแล้ว ลองถามเพื่อนน้องดูว่าอยากจะมาแลกเปลี่ยนกันดูไหมนะครับ
Posted by : Aquarius , Date : 2005-01-19 , Time : 16:16:04 , From IP : 172.29.3.109
|