ความคิดเห็นทั้งหมด : 18

หมอ.....การลดความอ้วน....ช่วยคนไข้หรือธุรกิจ


   ใครที่ผ่านมา ผ่านไป แถวถนนสายหนึ่งในหาดใหญ่ คงสังเกตเห็นคลินิกแห่งหนึ่งที่เพิ่งเปิดไม่นานแต่ก็มีคนไข้รอตรวจตรึม ยืนรอกันจนแทบจะล้นออกมานอกร้าน เป็นที่น่าอิจฉาของคลินิกอื่น ๆ ในละแวกใกล้เคียงเป็นอย่างยิ่ง

เป็นเพราะว่าจับจุดขายได้ถูก ที่รู้ว่า กลุ่มเป้าหมาย คือ หญิงสาววัยรุ่น ที่อยากสวย เพรียว หุ่นดี หน้าใส มีกำลังซื้อ ยอมจ่ายได้เพื่อรูปโฉมที่สวยงาม จากปากต่อปาก เพื่อนสู่เพือน ก็ช่วยประชาสัมพันธ์ให้มีคนมารักษามากขึ้นเรื่อย ๆ ส่วนใหญ่ของคนที่มารักษาก็ไม่ได้อ้วนอะไรมากมาย แต่อยากลดเพื่อให้ดูสวย คนนึงต้องมาหลายครั้ง นัยว่าเพื่อรักษาอย่างต่อเนื่อง เป็นคอร์ส

ที่น่าสนใจกว่า ก็คือ หมอที่ทำแบบนี้ คิดยังไงกันแน่ เพราะดูท่าจะเป็นเชิงธุรกิจอย่างชัดเจน ตัวยาที่ใช้รักษาก็ต้องเป็นความลับ แถมยังมีการจ้างหมอจบใหม่ ๆ ที่หวังรายได้พิเศษไปช่วยกันตรวจแทน ช่วยกันสั่งยา ช่วยกันหากำไร อยากรู้จังว่ามีการแนะนำหรือให้คำปรึกษาคนไข้บ้างหรือเปล่าว่า มันมีวิธีอื่น ๆ อีกในการลดความอ้วน นอกจากยา หรือว่ามันไม่ได้กะตังค์ ก็เลยไม่พูดซะดีกว่า

แล้วบรรดาอาจารย์รร.แพทย์หรือแพทยสภาล่ะ ทนดูอยู่ได้อย่างไร ก็ลูกศิษย์ตัวเองทั้งนั้น ไม่ใช่หรือ ไม่คิดที่จะทำอะไรที่ถูกต้องหรือปกป้องสังคมกันบ้างหรืออย่างไร





Posted by : โมนาลิซ่า , Date : 2005-01-12 , Time : 09:44:19 , From IP : 172.29.1.216

ความคิดเห็นที่ : 1


   ใครบอกละว่าแทบจะล้นออกมานอกร้าน ความเป็นจริงคือล้นออกมารอกันข้างนอกเชียวละ ทั้ง ๆ ที่เป็นตึก 2 คูหา จะบอกอะไรให้ ก่อนเปิดทำงานก็มีคนไปรออยู่หน้าร้านแล้วเกือบชั่วโมงทุกวันจ๊ะ มีแต่ผู้หญิงซะเมื่อไหร่ เข้าใจผิดแล้ว
อย่าอิจฉาเลยนะ คนเก่งมีความสามารถก็ต้องชื่นชมเขาสิ ไม่ลองไปใช้บริการบ้างเหรอ


Posted by : เห็นแล้ว , Date : 2005-01-12 , Time : 11:00:08 , From IP : 172.29.2.106

ความคิดเห็นที่ : 2


   ลองไปมาแล้วครั้งแรกก็ให้รอพบหมอ พอได้พบหมอเค้าก็ถามว่าอยากได้น้ำหนักเท่าไหร่ เราอยากให้น้ำหนักเหลือแค่ไหน ที่นี้ก็ทำให้ได้ ตามใจลูกค้ามากๆ ไม่รู้ว่าจะเป็นห่วงลูกค้าบ้างอะเป่า ว่าหากอยากได้น้ำหนักน้อยแล้วต้องกินยาติดต่อกันเป็นเวลานานจะมีผลข้างเคียงยังไง ไม่ยักกะมีบอกลูกค้านะ ว่าควรหยุดได้แล้ว มีแต่มาหนหลังขึ้นชั่งน้ำหนักหากว่าน้ำหนักยังเป็นที่ไม่พอใจลูกค้า ก็ให้เลือกรับยาได้เลยว่าจะเอาแรงขึ้นหรือเท่าเดิม 1อาทิตย์ หรือ 2อาทิตย์ โดยที่ไม่ต้องมีการพบหมอหรือปรึกษาให้เสียเวลาอีกเลย หลายๆคนส่วนมากจะได้พบหมอแค่ครั้งเดียวคือครั้งแรก เลยเลิกดีกว่าเรา

Posted by : เคยไปมาแล้ว , Date : 2005-01-12 , Time : 13:39:23 , From IP : 172.29.2.152

ความคิดเห็นที่ : 3


   ถ้ามันไม่ดีจริง หรือมันไม่ใช่การช่วยเหลือผู้ป่วยจริงๆ หรือถ้าอันตรายมาก

คงไม่มีหมอคนไหนที่หน้าเงิน บัดซบ ต่ำช้า หรือเลวทราม ขนาดจะนำมาหากินกับเด็กวัยรุ่นหรอก

หมอต้องทรงไว้ซึ่งจรรยารรณ แห่งวิชาชีพอยู่แล้วหละ

เชื่อเราสิ


Posted by : หมอที่ไหนหรือ , Date : 2005-01-13 , Time : 08:37:22 , From IP : 172.29.7.159

ความคิดเห็นที่ : 4


   malpractice เพราะสังคมบีบเขา เชิดชูแต่คนรวย ลงข่าวแต่ไฮโซ จริยธรรมจึงลดลง พวกเราอยากแก้ไขมั้ย?

Posted by : หมอ , Date : 2005-01-13 , Time : 09:58:57 , From IP : 172.29.3.187

ความคิดเห็นที่ : 5


   บอกชื่อหมอ มอ. ที่ไปนั่งตรวจที่ clinic นั้นหน่อยสิ

อยากรู้จักหมอประเภทนั้นด้วยจัง


Posted by : ... , Date : 2005-01-13 , Time : 11:08:01 , From IP : 172.29.7.180

ความคิดเห็นที่ : 6


   ตามหลักสูตรแพทยศาสตร์ศึกษา แพทย์ควรจะแนะนำคนไข้แต่ถ้าเขาไม่แนะนำก็ไม่ได้บอกว่า malpractice และแพทย์ทุกคนที่มีใบประกอบวิชาชีพของแพทสภา แพทสภานะครับสามารถไปนั่งตรวจได้หมดเพราะแพทย์ที่เซ็นใน OPD card และใบสั่งยาเขาต้องรับผิดชอบต่อลายเซ็นต์ของเขาเอง แต่แพทย์ที่ไปนั่งตรวจต้องแจ้งไปยัง สสจ. ก่อนน่ะครับในฐานะผู้ดำเนินการ ตาม พรบ. สถานพยาบาล พ.ศ. อะไรผมจำไม่ได้ครับ วิธีสังเกตง่ายๆ คือแพทย์ที่มีสิทธิตรวจที่คลีนิคนั่นๆ ต้องมีใบอนุญาตที่ออกโดย สสจ. นั้นๆ

ส่วนจะเป็นธุรกิจหรือไม่ผมว่าแล้วแต่ใครมอง เพราะทุกสถานพยาบาล ทุกคลีนิกก็ทำเหมือนกัน

แต่ที่น่าสนใจมากกว่าก็คือว่าได้พบแพทย์เฉพาะครั้งแรกแล้วครั้งต่อมาไม่ได้พบแพทย์เพราะตรงนี้มีผลต่อคนไข้ คุณสามารถที่จะแจ้งไปยัง สสจ. สงขลา ให้มาตรวจสอบได้ครับ เพราะตาม พรบ. สถานพยาบาลถ้าเป็นประเภทคลีนิคเวชกรรมต้องมีแพทย์รับผิดชอบต่อการตรวจและการรักษาตลอดเวลาครับ

ถ้าเกิดความเสียหายต่อคนไข้จากการรักษาที่ไม่ได้มาตรฐานวิชาชีพ ผู้ดำเนินการและผู้ประกอบการต้องรับผิดชอบครับ


Posted by : คนหนึ่ง , Date : 2005-01-13 , Time : 11:47:59 , From IP : 61.19.199.142

ความคิดเห็นที่ : 7


   อ่านเจอจากมติชนรายวัน ก็เลยเก็บมาฝากพชท.หรือพจบ.ที่อาจจะเข้าข่าย

ห่วงหมอรุ่นใหม่หวังรวยเร็ว ถูกหลอกเซ็นขายยาลดอ้วน

"นายกแพทยสภา"แฉ แพทย์จบใหม่หวังรวยเร็ว ถูกร้านขายยาหลอกให้เซ็นอนุญาตยาลดความอ้วน ต้องนำบทเรียนไปสอนนัก เรียนแพทย์ด้วย เผยบางคนถูกถอนใบประกอบโรคศิลปะ 3 เดือนแล้วกลับมาหลอกคนไข้ว่าไปดูงาน กมธ.แนะตั้งสถาบันลดความอ้วนภายใต้ความควบคุมใกล้ชิด



เมื่อวันที่ 5 มกราคม คณะกรรมาธิการ(กมธ.)การสาธารณสุข วุฒิสภา ที่มี นพ.วีรพงศ์ สกลกิติวัฒน์ ประธาน กมธ.เป็นประธานได้พิจารณาเกี่ยวกับผลกระทบจากการกินยาลดความอ้วน ซึ่งกำลังเป็นปัญหาในหมู่วัยรุ่นหญิงที่อยากผอมตามค่านิยมของสังคมในขณะนี้ ซึ่งที่ผ่านมาส่งผลกระทบที่เป็นอันตรายต่อผู้ใช้ยาเหล่านี้

พญ.เชิดชู อริยศรีวัฒนา เหรัญญิกแพทยสภา และเภสัชกรวีรวรรณ แตงแก้ว รองเลขาธิการองค์การอาหารและยา(อย.) ร่วมกันชี้แจงว่า ผู้ที่กินยาลดความอ้วนมีผลข้างเคียง คือ มึนงง ความจำเสื่อม เกิดโรคจิตประสาท ตามธรรมชาติเด็กวัยรุ่นจะรูปร่างอวบ แต่ค่านิยมผอมเพรียวทำให้เด็กนิยมกินยาลดความอ้วน ซึ่งมาตรฐานการวัดว่าอ้วนหรือไม่อ้วนนั้นมีหลักเกณฑ์ทางวิชาการอยู่แล้ว เช่นมวลกายไม่เกิน 25 ไม่ถือว่าอ้วน สำหรับร้านขายยาลดความอ้วนโดยไม่มีแพทย์สั่ง เจ้าหน้าที่จากกองประกอบโรคศิลปะจะตรวจสอบทั้งในกรุงเทพฯและต่างจังหวัด รวมทั้ง อย.จะส่งเจ้าหน้าที่ไปส่งสุ่มตรวจว่ามีแพทย์คนใดสั่งจ่ายยาลดความอ้วนกว่าที่กำหนดไว้หรือไม่ และให้แพทย์รายงานกลับมาด้วย

นพ.สมศักดิ์ โลห์เลขา นายกแพทยสภา กล่าวว่า ควรเลี้ยงลูกไม่ให้อ้วน ไม่อย่างนั้นจะส่งผลให้เป็นผู้ใหญ่อ้วนด้วย ทั้งนี้ปกติการใช้ยาลดความอ้วนจะอยู่ในความควบคุมของแพทย์ แต่แพทย์จบใหม่ที่อยากมีรายได้เพิ่ม มักถูกร้านขายยาหลอกให้ใบเซ็นอนุญาต คนขายยาจึงเป็นคนละคนกับคนเซ็นอนุญาต ส่วนใหญ่กรณีนี้ถูกลงโทษจากแพทยสภา ดังนั้นต้องนำเรื่องนี้ไปสอนนักเรียนแพทย์ด้วย และแพทย์ที่ทำผิดเมื่อถูกถอนใบอนุญาตประกอบโรคศิลปะ 3 เดือน มักไปต่างประเทศ แล้วบอกกับคนไข้ว่าไปดูงาน กลับมาก็ขึ้นค่ารักษาพยาบาลอีก นอกจากนี้อยากเสนอให้กำหนดผลข้างเคียงไว้ที่ฉลากยาความอ้วนด้วยตัวหนังสือตัวโตๆ ไว้เลย

ขณะที่ นพ.ประสิทธิ์ พิทูรกิจจา ส.ว.นครสวรรค์ กล่าวว่า อยากให้ อย.กล้าประกาศชื่อแพทย์ที่ทำผิดจรรยาแพทย์หรือชื่อบริษัทที่ขายยาปลอม ให้ดูตัวอย่าง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกฯกล้าเด้งอธิบดีกรมอุตุนิยมวิทยาที่ไม่เตือนภัยแผ่นดินไหว เพราะฉะนั้นในฐานะลูกน้องหมอหน่อย(นางสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข) อย.ต้องกล้าๆ หน่อย ไม่อย่างนั้นแพทย์พวกนี้จะกลับมาทำร้ายประชาชนอีก

อย่างไรก็ตาม ที่ประชุม กมธ.มีความเห็นว่า น่าจะตั้งสถาบันลดความอ้วนเลยภายใต้การควบคุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิด และหลังจากแพทย์สภาลงโทษแพทย์ที่ทำผิดจรรยาแพทย์แล้วให้ประกาศรายชื่อแพทย์และสถานพยาบาลเอกชนนั้นให้ประชาชนได้รับทราบ

หน้า 1


Posted by : เก็บมาฝาก , Date : 2005-01-13 , Time : 15:38:45 , From IP : 172.29.1.216

ความคิดเห็นที่ : 8


   หมอที่เปิดบริการลดความอ้วน+รักษาสิว+เสริมความงามแบบธุรกิจ คิดว่าไม่ถูกนะ เพราะการให้บริการทางกานแพทย์ต้องคำนึงถึงผลดีผลเสียของยา โดยต้องชี้แจงให้ผู้รับบริการเข้าใจด้วยว่ายาที่ใช้มีโทษอะไรบ้าง ใช้ระยะยาวได้หรือไม่ เท่าที่ทราบคลีนิกลดความอ้วน เพิ่มความงามทั้งหลาย ไม่เคยบอกสิ่งเหล่านี้เลยโฆษณาเพียงว่าเขาสามารถช่วยลดนน. สิวหาย หน้าอกสวย ฯลฯ คิดว่าเป็นการกระทำที่ผิดทั้งจรรยาบรรณและคุณธรรม เป็นการเอาเปรียบผู้รับบริการที่เปรียบเสมือนเหยื่อผู้ตกอยู่ในกระแสความเชื่อของสังคม

ถ้าเป็นการกระทำเพื่อการรักษาจริงๆ เช่นนน.เกินจนเป็นปัญหาแล้ว ก็ต้องมีการรักษาที่มีมาตรฐานทางการแพทย์ สามารถตรวจสอบได้ ก้คงทำได้



Posted by : อีกความเห็น , Date : 2005-01-14 , Time : 12:30:53 , From IP : 172.29.1.165

ความคิดเห็นที่ : 9


   action reflects purpose, to be right or wrong depends on what they do for. It seems they are blamed for not caring patients but do every thing for money. I suppose the commentors were right then if they help patients control their weight because of kindness, the story would be different. To be blames are ones who taught such doctors to be so money oriented, those are their parents, teachers and society. All must be one of the society, so do yourself the right thing.

Posted by : aunt , Date : 2005-01-14 , Time : 20:19:49 , From IP : 172.29.7.184

ความคิดเห็นที่ : 10


   อย. นั่นแหละตัวแสบ ยาที่ใช้ก็ซื้อจาก ย. ทั้งนั้น
ลองไม่ต้องเอามาขายสิก็จบ ไม่ใช่ตัวเองเป็นคนขายยา
แล้วก็มาทำโฆษณาต่อต้านการใช้ยาลด ดูแล้วเลี่ยนหงะ
ดีไม่ดีเงินค่าโฆษณา ต้านยาลดก็ได้มาจากค่าหัวคิวยาลดนั่นแหละ

.....เฮ้อ...... ช่วยกันสร้างภูมิคุ้มกันให้สาวไทยดีกว่า..


Posted by : ผ่านมา , Date : 2005-01-16 , Time : 18:53:12 , From IP : 172.29.7.92

ความคิดเห็นที่ : 11


   ผิดหรือถูกประเด็นนึง ขออนุญาต comment ของคุณ aunt นิดนึงว่า จุดเริ่มต้นของการกระทำนั้นน่าจะมาจาก "คนๆนั้น" เองครับ

การเรียนรู้นั้นกอปรด้วยบริบทมากมาย ข้อมูลที่เข้าไปในคนๆหนึ่งถูกย่อยดูดซึมและกลั่นกรองหลายชั้นออกมาเป็นบุคลิกและความเชื่อ ผมว่าไม่มีพ่อแม่ครูอาจารย์หรือหลักสูตรไหนที่เจาะจงลงไปว่าเงินเป็นพระเจ้า แต่พฤติกรรมแวดล้อมต่างๆ เมื่อแต่แต่ละ "ปัจเจก" บุคคลรับไปแล้ว form เป็นตัวตนต่างหากที่เป็นจุดเริ่ม

ตรงนี้อาจจะเป็น abstract นิดนึง แต่ผมคิดว่ามันจะมีผลต่อพฤติกรรมและวิธีการแก้ไขพอสมควร เมื่อไหร่ก็ตามที่จะมีการ blame เกิดขึ้น นั่นจะเป็นโจทย์ว่าเราจะไปแก้ตรงนั้นก่อน ใน List ที่ให้มาเป็นการแก้ "คนอื่น" ก่อน แต่ผมว่ายังงั้นมันอาจจะ work ยากครับ การแก้ไขอะไรก็ตามมันต้องเริ่มจากตนเอง "รู้ตัว" จึงเกิดความอยากแก้



Posted by : Phoenix , Date : 2005-01-17 , Time : 07:58:30 , From IP : 203.156.62.234

ความคิดเห็นที่ : 12


   ทำไม...ทำไม...ทำไม... และ ทำไม...

Posted by : ทำไม... , Date : 2005-01-17 , Time : 20:59:16 , From IP : ce2.cat.net.th

ความคิดเห็นที่ : 13


   ลุงนกไฟพูดแล้วฟังยากจัง แล้วจะมีวิธีแก้พวกหมอที่เห็นแก่เงินนี้อย่างไร เพราะเขาก็ไปตามกระแสสังคมไม่ใช่เหรอ เรียนจบก็ทำงาน หาเงิน เลี้ยงลูกเลี้ยงเมีย ถ้าทำงานตามหลักวิชาที่ร่ำเรียนมาเป๊ะ ๆ รับราชการอย่างเดียว ไม่ทำร้าน สิบปียังไม่มีรถดี ๆ ใช้เลย แล้วจะสู้เพื่อน ๆ ได้ยังไง เป็นหมอแบบเขาชื่อกานต์ หรือไง

เราว่านะ หมอเขาก็ช่วยสังคมแบบนึง ก็เด็ก ๆ เค้าอยากสวยกันนี่นา เพียงแต่หาช่องทางหาเงินได้เก่งกว่าหมอคนอื่น ๆ บ้าง อย่าอิจฉาเขาดีกว่า โดยเฉพาะบรรดาอาจารย์ที่ปากว่า ตาขยิบทั้งหลาย


Posted by : พูดความจริง , Date : 2005-01-18 , Time : 02:43:06 , From IP : 172.29.7.46

ความคิดเห็นที่ : 14


   อืม..อันนี้เริ่มสับสนเล็กน้อย

ผมไม่แน่ใจว่าทั้งหมดที่ตอบกระทู้นี้มามีใครเป็นอาจารย์แพทย์บ้าง แต่ที่แน่ๆผมเปิดเผย identity มานานแล้ว และผมยังไม่ได้วิจารณ์เรื่องนี้ว่าใครถูกใครผิดเลยแม้แต่น้อย เลยไม่แน่ใจว่าที่ตอบมาล่าสุดนั้นมีความเป็นมา ความเข้าใจอย่างไรนะครับ

ประการแรก ไม่เพียงแต่หมอ แต่ทุกอาชีพในปัจจุบัน คนต้อง "คำนึงถึง" เงินแน่นอน เพื่อที่จะได้มี quality of life ตามที่ตนเองเห็นว่าสมควรได้รับ ตรงนี้ไม่จำเป็นต้องเท่ากัน

ประการที่สอง ที่กระทู้นี้ raised ขึ้นมา นั่นคือ เส้นกั้นระหว่างการทำมาหากินตามปกติกับจรรยาบรรณ ซึ่งจากที่อภิปรายมาทั้งหมด ยังไม่มีใครไปถึงขั้นฟันธงว่า "ใคร" ทำผิด มีแต่สมมติฐาน if clause ต่างๆ

ประการที่สาม ความเห็นที่ผม respond นั้น ได้บอกไว้แล้วว่าผิดถูกอีกเรื่องนึง แต่การจะ blame อะไรเพื่อหาทางแก้ไข ผมเสนอว่าน่าจะเริ่มที่ตนเองก่อน ก่อนที่จะไปว่าอดีตชาติ พ่อแม่ ครูอาจารย์ ฯลฯ เพราะถ้าเริ่มที่ตนเอง การแก้มันจะเริ่มได้ง่ายกว่าการเริ่มที่คนอื่นแน่ๆ

ผมไม่แน่ใจว่าอาจารย์ปากว่าตาขยิบในที่นี้ มาจากบริบทไหน อยากให้ขยายความเพิ่มเติมหน่อยก็ดีครับ



Posted by : Phoenix , Date : 2005-01-18 , Time : 17:51:23 , From IP : 172.29.7.219

ความคิดเห็นที่ : 15


    คิดว่าเป็นพฤติกรรมของหมอที่เห็นแก่เงิน รวมทั้งหมอ ที่เรียนต่อมอ ก็เกิดความโลภด้วย จ่ายยาทั้งๆ ที่ไม่รู้ว่าเป็นอะไร ไปภามไอ้ศักดาบ้างซิ เจ้าของร้าน หมอมอที่เปิดคลินิกอยู่ก็ไม่ต้องมาเปิดลดความอ้วนด้วย แล้วจะสอนลูกศิษย์ได้อย่างไร

Posted by : hotmail , Date : 2005-01-19 , Time : 04:32:23 , From IP : 203.156.45.125

ความคิดเห็นที่ : 16


   ขยายความก็ได้ เพื่อให้ลุงนกไฟเข้าใจมากขึ้น เอาง่าย ๆ อาจารย์รร.แพทย์เนี่ยส่วนหนึ่งก็ทำมาหากิน มีทั้งที่อยู่ในกรอบแห่งจรรยาบรรณ และแบบที่หลุดออกนอกกรอบไปตามความโลภของตัวเอง บางรายก็ malpractice แบบที่ว่าจับไม่ได้ ไล่ไม่ทัน ประโยค classic ที่ชอบพูดกับลูกศิษย์ ก็คือ "ทำตามที่ผมสอน(ในรร.แพทย์) แต่อย่าทำตามที่ผมทำ(นอกรร.แพทย์)" ถ้าไม่เชื่อลุงนกลองไปถาม ๆ ที่รพ.เอกชนดูสิ

ทีนี้ถ้าตัวคนที่ควรจะเป็น role model เองยังเป็นแบบนี้ แล้วจะสอนเด็ก ๆ ได้อย่างไร เด็กสมัยนี้ก็วัตถุนิยมอยู่แล้ว เขาชื่นชมอ.ที่ขี่รถเบนซ์ มีบ้านหลังใหญ่ ๆ รวย ๆ ไม่ใช่หรือ ไอ้ตอนที่ยัง train อยู่ในรร.แพทย์เด็กเขาก็รู้ว่าต้องทำตามทฤษฎี ถูกต้องตามหลักจริยธรรม เพราะรู้ว่ามีอ.จับตาดูอยู่ แต่พอจบออกไปแล้ว ก็ทำงานแบบตัวใครตัวมัน พอความโลภมาเยือน ก็เดินตามรอยเท้าอ.บางคนไปอย่างง่ายดาย เงินมันก็หาได้ไม่ยากนิ หมอเจ้าของคลินิกที่ว่าเนี่ยก็จบม.อ. อย่ารู้เลยว่ารุ่นไหน ที่แน่ ๆ สาขาเดียวกับลุงนกนั่นแหล่ะ เคยสอนเขาบ้างหรือเปล่าล่ะ


Posted by : พูดความจริง , Date : 2005-01-22 , Time : 12:49:41 , From IP : 172.29.7.67

ความคิดเห็นที่ : 17


   ขอบคุณครับที่ขยายความ

จริงๆแล้วนั่นคือเหตุผลที่ผมเสนอว่า การจะเปลี่ยนแปลงหรือวิเคราะห์สาเหตุนั้นน่าจะเริ่มจาก "ตนเอง" ก่อน

ผมว่ามันเป็นตรรกะที่แปลกๆ ที่เรารู้ว่าการกระทำบางอย่างเราไม่เห็นด้วยเพราะมันไม่ดี ผิดคุณธรรม แต่พอมีคนทำไปแล้วเราจะนำมาเป็นเหตุผลว่างั้นเราก็ทำบ้าง จะได้สมน้ำสมเนื้อ เด็กสมัยนี้วัตถนิยมขนาดไหน ตัวผมเองไม่อยากจะ generalize หรอกครับ ผมเพิ่มเจออาจารย์เก่าสมัยผมเป็น นศพ. ตอนนี้ท่านเกษียณแล้วแต่ทำงานเป็นอาจารย์พิเศษ และเป็นประธานจริยรรมอยู่ที่สถาบันเดิม ท่านบอกว่าเด็กสมัยนี้เท่าที่ท่านได้ observe ดู (จากประสบการณ์เกือบ 40 ปีในการสอน) ส่วนใหญ่เป็นเด็กดี สนใจเรื่องความทุกข์ชาวบ้าน สนใจเรื่องคุณภาพชีวิตของคนไข้ แต่เด็กส่วนใหญ่พวกนี้ไม่ค่อยมีปากเสียงออกมาให้เราทราบซักเท่าไหร่ เรามักจะเห็นอะไรๆที่ขวางหูขวางตาง่ายกว่า จำได้นานกว่า ฉะนั้นเราไม่ควรจะสุ่มว่าเด็กแย่ไปซะทั้งหมดจากปลาเน่าไม่กี่ตัว ตรงนี้ก็แสดงว่าความเห็นของอาจารยผมกับคุณ "พูดความจริง" ไม่ตรงกัน ผมขอคิดดูก่อนว่าจะเลือกของใคร

สังคมที่เราอยู่จะเป็นอย่างไร ก็อยู่ที่เราช่วยกันสร้างครับ ถ้าเราสร้างตามคนที่เราเพิ่งด่าไป เด็กรุ่นต่อไปก็จะด่าเราเหมือนที่เราเคยด่าคนอื่นเป็นวัฏสังสาร มีคนออกนอกลู่นอกรอยเมื่อหลุดพ้นโรงเรียนไปกี่คน ก็ยังไม่เป็นกฏว่าเราจะต้องเชิดชูบูชาอะไรเหมือนคนเหล่านั้นใช่ไหมครับ?

การพยายามสอนใครเราคงจะทำได้เท่าที่เวลาที่เรามีอยู่ ก็หกปีนี่แหละครับ หลังจากนั้นแต่บะคนก็จะเกณฑ์ประสบการณ์และตั้งวิถีชีวิตของตนเอง มีนิยามของความดีงามของตนเอง และมีบทบาทเป็นส่วนหนึ่งของสังคมเท่าเทียมกับพ่อแม่ครูบาอาจารย์ หรือพูดง่ายๆเป็น unit หนึ่งของสังคม ผมคิดว่าเวลาเรามองตัวอย่างที่ไม่ดี ไม่มีคุณธรรม ตามที่เราคิด ส่วนหนึ่งอาจจะทำตามที่คุณ "พูดความจริง" บอก ปล่อยให้ความโลภหรืออะไรต่อมิอะไรที่ว่านำวิถีชีวิตไป แต่ผมยังคิดว่ามีอีกส่วนหนึ่งที่จะ Pursue แนวทางชีวิตที่ตนเองคิดว่าดีอยู่เดิม ไม่ว่าจะเป็นเพราะเราไม่ต้องการให้ลูกหรือเพื่อนลูกมาถอนหงอกทีหลัง หรือเปนเพราะเราเชื่อในหลักการจริงๆก็ตาม

น่าจะมีทั้งสองกลุ่มไหมครับ แล้วเราอยากจะเลือกเป็นแบบไหน ก็ขึ้นอยู่กับเรา ไม่มีใครมัดมือ สะกดจิตเราว่าเราต้องมีเบนซ์ เราต้องมีเบนซ์ เราต้องมีเบนซ์ หรอกครับ



Posted by : Phoenix , Date : 2005-01-22 , Time : 21:31:50 , From IP : 172.29.7.135

ความคิดเห็นที่ : 18


    ทำไมต้องการหุ่นดีต้องไปหาหมอด้วย ผมว่าคนที่ไปหาหมอไม่ฉลาดซักเท่าไหร่ หมอจะงกหรือไม่ก็ช่าง แต่คนไปหาหมอก็ควรใช้สติปัญญากันบ้าง หรือการศึกษาของเรามันทำให้คนคิดอะไรง่ายๆเกินไป ชอบอะไรที่มันรวบรัด ง่ายๆ เห็นผลเร็ว แต่ระยะยาวผมว่ามันไม่ดีต่อร่างกายแน่นอน
อยากรูปร่างดี ก็ต้องควบคุมอาหาร ทั้งปริมาณและประเภทของอาหารด้วย


Posted by : อยากผอม , Date : 2005-01-30 , Time : 21:58:21 , From IP : 172.29.7.76

ความเห็นจาก Social Network : Facebook


สงวนสิทธิ์การแสดงความคิดเห็นสำหรับ สมาชิกเท่านั้น
>>>>> Page loaded: 0.008 seconds. <<<<<