ความคิดเห็นทั้งหมด : 13

อยากเป็นคนของศตวรรษกันบ้างไหม


   -อยากกระตุ้นให้คนไทยตื่น ก็เลยลองเอามาถามดู ใครมีความเห็นอย่างไรลองมาคุยกัน คนที่ไม่เคยมีความเห็นอาจจะได้ประโยชน์ด้วย
ผมเห็นว่าหลายคนที่ในช่วงต้นของศตวรรษที่20 เขาเป็นแค่คนธรรมดา แต่ในปลายศตวรรษกลับกลายเป็นบุคคลที่ทุกคนจดจำ ตอนนี้เพิ่งเริ่มศตวรรษที่21เอง เราอยากให้ตัวเราเป็นอย่างไร หรือพอใจแค่การได้ฉลองปีใหม่ศตวรรษใหม่ครับ



Posted by : megumi , Date : 2005-01-06 , Time : 19:10:35 , From IP : 172.29.7.230

ความคิดเห็นที่ : 1


   แล้วต้องทำไงหรอคะ ถึงจะได้เป็นคนของศตวรรษ ยกตัวอย่างหน่อยสิคะ

Posted by : prinky , Date : 2005-01-08 , Time : 00:18:28 , From IP : 172.29.4.90

ความคิดเห็นที่ : 2


   ผมไม่แน่ใจว่า อยากเป็นหรือเปล่า แต่ผมเคยได้ยินมาอย่างนี้ว่า อย่าหวังที่จะเป็นดวงอาทิตย์ที่ส่องแสงให้โลกใบนี้ แต่ขอเป็นเพียงต้นหญ้าเล็ก ๆ ที่คอยสร้างO2 ให้กับโลก เราอาจไม่จำเป็นที่จะต้องเป็นคนที่ยิ่งใหญ่หรือคนที่โลกต้องจดจำ เราเป็นเพียงเรา สิ่งมีชีวิตตัวเล็กๆ ที่ทำประโยชน์ให้โลกนี้ หรือให้สังคมบ้างก็พอ
หรืออย่างน้อยที่สุดก็อย่าไปทำให้โลกมันแย่ลงไปก่วานี้ ผมคิดว่านะ ไม่รู้น้อยเกินไปหรือเปล่า


Posted by : Dhan , Date : 2005-01-08 , Time : 01:32:07 , From IP : 172.29.7.45

ความคิดเห็นที่ : 3


   -ตอบคุณprinky ผมว่าเราน่าจะเริ่มจากการสังเกตว่าในแต่ละวันเราทำอะไรบ้าง เราตื่นกี่โมง จากนั้นเราทำอะไร แล้วเข้านอนก็โมง จากนั้นลองมาดูมาเราใช้เวลาเหมาะสมหรือไม่ เราจะทำอย่างนี้ไปทุกวันเลยหรือ ถ้าไม่เราจะทำอะไรดี อันนี้คงแล้วแต่คุณprinkyแล้วหละครับว่าอยากทำอะไร
-ตอบพี่Dhan ผมเห็นด้วยกับการทำตนให้เป็นประโยชน์ต่อโลกแม้เพียงเล็กน้อย แต่ผมไม่เห็นด้วยกับการไม่มีความฝัน แม้จะดูเหมือนฝันเฟื่องในความคิดของบางคน แต่หลายๆสิ่งเริ่มจากการฝัน มนุษย์เคยคิดว่าเหล็กไม่สามารถลอยในอากาศได้ เคยอิจฉานกที่บินในอากาศ จนมนุษย์พยายามที่จะบินให้เหมือนนก เราจึงมีเครื่องบินใช้อย่างในปัจจุบัน
***ผมไม่เห็นด้วยกับการไม่มีความใฝ่ฝัน มีนักฟิสิกส์ท่านหนึ่งกล่าวว่า ทุกสิ่งที่มนุษย์สามารถจินตนาการได้ มีโอกาสที่จะเป็นไปได้ ดังนั้นถ้าเราไม่เริ่มคิด เริ่มฝันเราก็คงเป็นอย่างเดิมไปวันๆ ถ้าโชคดีอาจก้าวหน้า ถ้าโชคร้ายก็คงได้แค่นี้



Posted by : megumi , Date : 2005-01-08 , Time : 05:44:29 , From IP : 172.29.3.247

ความคิดเห็นที่ : 4


   "Imagination is even more important than intelligernce"

Albert Einstein



Posted by : Phoenix , Date : 2005-01-09 , Time : 09:39:19 , From IP : 203.156.60.194

ความคิดเห็นที่ : 5


   ไม่รู้เคยอ่านกันบ้างหรอยัง "13 พัฒนาการสำคัญทางแพทย์ ที่หยุดโรคร้ายและยืดชีวิตมนุษย์" โดย Discovery chanel

1. รู้จักร่างกายมนุษย์ (Human Anatomy) ปี 1538

แอนเดรียส วีเซเลียส (Andreas Vesalius) นักกายวิภาคศาสตร์ชาวเบลเยี่ยม ผู้ศึกษากายวิภาคจากศพคนจริงๆ โดยได้ผ่าศพมนุษย์ ทำให้ได้เห็นรายละเอียดทางกายวิภาคของมนุษย์ และล้มล้างคำสอนเกี่ยวกับสรีระที่เชื่อกันมานานถึง 1,500 ปี โดยเวซาลิอัสเชื่อว่าความเข้าใจทางกายวิภาคของมนุษย์มีความสำคัญเป็นอย่างมาก และได้ตีพิมพ์หนังสือ “เดอ ฮิวแมนี คอร์พอริส ฟาบริกา” (De Humani Corporis Fabrica) ในปี 1543

นอกจากการค้นพบครั้งนี้ของวีเซเลียสจะทำให้เขากลายเป็น “บิดาแห่งวิชากายวิภาคศาสตร์” แล้วการศึกษากายวิภาคของคนจากร่างกายของคนบังทำให้การพัฒนาด้านการแพทย์เจริญก้าวหน้าเข้าสู่ยุคใหม่มากขึ้น

2. พบระบบไหลเวียนโลหิต (Blood Circulation) ปี 1628

วิลเลียม ฮาร์วีย์ (William Harvey) ค้นพบว่าเลือดของคนเรามีการไหลเวียนไปทางเดียวกัน และมีการไหลเวียนอยู่ในหลอดเลือดตลอดเวลา (ก่อนหน้านี้เชื่อกันว่าโลหิตไหลกลับไปกลับมาทั่วตลอดทั้งร่างกายเหมือนกับคลื่นในทะเล) และฮาร์วีย์ก็เรียก “หัวใจ” ว่าเป็นอวัยวะที่ทำหน้าที่ปั๊มหรือสูบฉีดเลือดไปทั่วร่างกาย โดยฮาร์วีย์ได้ตีพิมพ์หนังสือชื่อ “อนาโตมี เอสเส ออน เดอะ โมชัน ออฟ ฮาร์ต แอนด์ บลัด อิน แอนนิมอลส์” (Anatomical Essay on the Motion of the Heart and Blood in Animals) ในปี 1628 จนกลายเป็นตำราพื้นฐานของสรีรศาสตร์ยุคใหม่

3. พบหมู่โลหิต (Blood Groups) ในปี 1902

คาร์ล แลนด์สไตนเนอร์ (Karl Landsteiner) นักชีววิทยาชาวออสเตรีย และทีมของเขาพบว่าเลือดในร่างกายมนุษย์มีทั้งหมด 4 หมู่ ประกอบด้วยหมู่โลหิต เอ(A) บี(B) โอ(O) และเอบี (AB) การค้นพบและจำแนกหมู่โลหิตครั้งนี้ทำให้เกิดการเปลี่ยนถ่ายเลือดระหว่างบุคคลได้อย่างปลอดภัย และกลายเป็นหลักปฏิบัติอันสำคัญกระทั่งถึงปัจจุบัน

4. สร้างยาสลบ (Anesthesia) ระหว่างปี 1842–1846

นักวิทยาศาสตร์หลายคนได้ค้นพบสารเคมีบางตัวสามารถนำมาใช้เป็นยาสลบได้ โดยช่วยไม่ให้คนไข้เกิดความเจ็บปวดระหว่างการผ่าตัด ซึ่งยาสลบตัวแรกที่นำมาทดลองใช้ก็คือ “ไนตรัสออกไซด์” (nitrous oxide) หรือก๊าซหัวเราะ และก๊าซอีเทอร์ (ether)

5. บังเอิญพบรังสีเอ็กซเรย์ (X-rays) ในปี 1895

วิลเฮลม์ เรินต์เก็น (Wilhelm Roentgen) พบกับ “เอ็กซเรย์” (X-rays) โดยบังเอิญ ขณะกำลังทดลองการฉายรังสีคาโทด (cathode ray) หรือลำแสงอิเล็กตรอน (electrons) ซึ่งเขาได้สังเกตเห็นว่าลำแสงดังกล่าวสามารถทะลุทะลวงกระดาษดำที่หลอดรังสีคาโทดไว้ เรินต์เก็นจึงคิดว่า เขาได้ค้นพบรังสีชนิดใหม่ขึ้นแล้ว โดยให้ชื่อว่า "X-rays" และเขาได้ใช้เวลาอีกหลายสัปดาห์ต่อมา สังเกตถึงการทะลุทะลวง (Penetration) ของเอ็กซเรย์ผ่านกระดาษผ่านโลหะ และแม้กระทั่งผ่านเนื้อหนังของคน และเขาได้ถ่ายภาพรังสี ของมือของภรรยาเขาไว้ด้วย ในที่สุดเขาจึงประกาศให้โลกได้รู้ว่า เขาได้ค้นพบเอ็กซเรย์

การค้นพบของเรินต์เก็นช่วยปฏิวัติวงการฟิสิกส์และแพทย์ แถมยังทำให้เขาได้รับรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ในปี 1901 อีกด้วย

6. สร้างทฤษฎีเชื้อโรค (Germ Theory) ช่วงปี 1800

หลุยส์ ปาสเตอร์ (Louis Pasteur) นักเคมีชาวฝรั่งเศส ผู้พบว่า “จุลชีพ” เป็นเหตุให้เกิดโรคต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นอหิวาตโรค แอนแทรกซ์ และพิษสุนัขบ้า ซึ่งในขณะนั้นต่างเป็นโรคลึกลับ

เมื่อหลุยส์ ปาสเตอร์ ได้ใช้กล้องจุลทัศน์ส่องดูจุลินทรีย์ และค้นคว้าเกี่ยวกับเรื่องนี้ เขาได้พบว่า จุลินทรีย์มีทั้งประโยชน์และโทษ โดยพวกที่ให้ประโยชน์คือ พวกยีสต์ เขาได้ศึกษาเรื่องอาหารบูด การทำน้ำส้ม พร้อมทั้งค้นพบการแก้โรคระบาดของปศุสัตว์และจัดทำเซรุ่มที่ฉีดเข้าไปต่อต้านเชื้อพิษสุนัขบ้าได้สำเร็จ หลังจากพบยาแก้โรคพิษสุนัขบ้าแล้ว หลุยส์ ปาสเตอร์ ยังค้นคว้าหายาแก้โรคอื่นๆอีก เช่น อหิวาตกโรค ไข้คอตีบ วัณโรค

การค้นพบของ หลุยส์ ปาสเตอร์ จึงทำให้เขาได้รับการขนานนามว่า เป็น “บิดาแห่งวิชาแบคทีเรีย” เพราะงานของเขานำไปสู่การศึกษาทางวิทยาศาสตร์แขนงใหม่

7. รู้จักวิตามิน (Vitamins) ก่อนช่วงปี 1900

เฟรเดริก ฮอปกินส์ (Frederick Hopkins) และอีกหลายๆ คนได้ค้นพบว่าโรคบางอย่างเกิดขึ้นเพราะการขาดสารอาหารที่จำเป็นบางอย่าง ต่อมาเรียกสารอาหารที่จำเป็นเหล่านั้นว่า “วิตามิน” ด้วยการทดลองกับสัตว์ในห้องทดลอง ทำให้ฮอปกินส์สรุปว่าวิตามินเป็นสิ่งสำคัญต่อร่างกาย อันเป็นปัจจัยที่จำเป็นต่อการสร้างสุขภาพให้สมบูรณ์


8. เพาะเชื้อสร้าง “เพนนิซิลลิน” (Penicillin) ในปีช่วงปี 1920–1930

อเล็กซานเดอร์ เฟลมิง (Alexander Fleming) ค้นพบ “เพนนิซิลลิน” ขณะที่ทำงานอยู่ในห้องทดลอง ซึ่งยาปฏิชีวนะเป็นสารที่ฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่มีผลกระทบต่อร่างกายมนุษย์ ใช้เพื่อต่อสู้กับโรคหลาย ๆ ชนิด รวมทั้งนิวโมเนียและโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ เฟลมิงได้เพาะแบคทีเรียในจาน เขาสังเกตเห็นว่ามีเชื้อราสีเขียวอยู่ในจานหนึ่ง และแบคทีเรียตาย เฟลมิงศึกษาเชื้อราแล้วพบว่ามันเป็นเชื้อราที่อยู่ในกลุ่มเชื้อราที่มีรูปร่างคลายแปรงเรียกว่า เพนนิซิลิน เขาจึงเรียกการค้นพบของเขาว่า “เพนนิซิลิน”

ต่อมาโฮวาร์ด ฟลอรีย์ (Howard Florey) และเอิรน์ บอริส เชน (Ernst Boris Chain) ได้นำเพนนิซิลินมาพัฒนาเพื่อใช้ในการรักษาโรคติดเชื้อ และทั้ง 3 คนก็ได้รับรางวัลโนเบลร่วมกันในปี 1945

9. ยาจำพวกซัลฟา (Sulfa Drugs) ช่วงปี 1930

เกอร์ฮาร์ด โดมากค์ ได้นำ “พรอนโทซิล” (Prontosil) ยาที่ย้อมสีแดงส้มมาใช้รักษาอาการติดเชื้อจากแบคทีเรียตระกูลเสต็ปโตค็อกคัซ ซึ่งนับเป็นยากลุ่มซัลฟาชนิดแรกของโรคที่นำมาใช้ฆ่าเชื้อโรค และการค้นพบดังกล่าวเปิดประตูสู่การสังเคราะห์ทางเคมีเพื่อใช้ในทางอายุรเวชโดยมุ่งสร้างยา และยากลุ่มซัลฟาก็ถูกผลิตขึ้นเพื่อฆ่าเชื้อโรค

10. การปลูกฝี (Vaccination) ในปี 1796

เอดวาร์ด เจนเนอร์ (Edward Jenner) แพทย์ชาวอังกฤษได้ปลูกฝีต้านไข้ทรพิษขึ้นเป็นครั้งแรก เขาเริ่มศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับไข้ทรพิษครั้งแรกในปี ค.ศ. 1792 ซึ่งกำลังแพร่ระบาดใน ยุโรป เพราะบังเอิญวันหนึ่งเขาได้เห็น หญิงรีดนมวัวและคนอื่นๆ ไมได้ป่วยเป็นโรคไข้ทรพิษเลยนอกจากมีแผลพุพองเล็กน้อย หลังจากนั้นเขาก็ทดลองสกัดหนองจากหญิงเหล่านั้นมาทำให้เชื้ออ่อนลงแล้วนำไปทดลองกับสัตว์ต่างๆ และทดลองกับเด็กชายคนหนึ่งปรากฏว่าหายจากโรคร้าย

11. พบฮอร์โมนอินซูลิน (Insulin) ช่วงปี 1920

เฟรเดอริก บานติง (Frederick Banting) และเพื่อนร่วมงานค้นพบฮอร์โมนอินซูลิน ที่ช่วยสร้างความสมดุลระดับของน้ำตาลในเลือด ซึ่งช่วยผู้ป่วยโรคเบาหวานและทำให้พวกเขาได้มีชีวิตอย่างปกติ ก่อนที่จะค้นพบอินซูลินนั้น ทุกคนรับรู้ว่า “โรคเบาหวาน” หมายถึงความตายที่กำลังจะเกิดขึ้นอย่างช้าๆ

12. ยีนที่ทำให้เกิดมะเร็ง (Oncogenes) ปี 1975

แฮร์โรลด์ วาร์มุส (Harold Varmus) และไมเคิล บิชอป (Michael Bishop) พบ “ยีนก่อมะเร็ง” โดยปกติแล้วยีนจะทำหน้าที่ควบคุมการเจริญเติบโตทุกๆ อย่างในเซลล์ แต่ก็สามารถเปลี่ยนเซลล์ธรรมดาให้กลายเป็นเซลล์มะเร็งได้ ถ้ามีปัจจัยกระตุ้นไม่ว่าจะเป็นการกลายพันธุ์หรือแสดงออกในลักษณะผิดปกติ เซลล์มะเร็งนี้เป็นเซลล์ที่เพิ่มจำนวนทวีคูณโดยไม่สามารถควบคุมได้ และปัจจัยในการกลายพันธุ์ที่สำคัญนั้นมาจากการได้รับพิษจากสิ่งแวดล้อม ไม่ว่าจะเป็นการรับรังสีหรือสูบบุหรี่

13. “เอชไอวี” กลุ่มไวรัสภูมิคุ้มกันบกพร่อง (The Human Retrovirus HIV) ในช่วงปี 1980

โรเบิร์ต กาลโล (Robert Gallo) จากสหรัฐอเมริกา และลุค มอนทาเนียร์ (Luc Montagnier) จากฝรั่งเศสสามารถแยกเชื้อไวรัสที่เป็นสาเหตุของโรคเอดส์ได้ เรียกชื่อไวรัสนี้ว่า เอช-ไอ-วี (HIV=Human Immunodeficiency Virus หรือไวรัสที่ทำให้เกิดภาวะภูมิต้านทานบกพร่องในคน) ส่วนโรคเอดส์ เรียกว่า “โรคภูมิต้านทานบกพร่อง” (AIDS ย่อมากจากคำว่า Acquired= เกิดขึ้นภายหลัง ไม่ใช่เป็นแต่กำเนิด, Immune= ภูมิคุ้มกัน, Deficiency= บกพร่องหรือเสียไป, Syndrome= กลุ่ม อาการหรือมีอาการได้หลาย ๆ อย่าง) มีการรายงานเป็นครั้งแรก 2 ปีก่อนหน้าที่ทั้ง 2 จะค้นพบเชื้อเอชไอวี

การค้นพบทางการแพทย์เชื่อว่ายังไม่หมดเพียงเท่านี้ เพราะนอกจากความพยายามศึกษาและหาทางเอาชนะโรคร้ายที่อยู่คู่กับมวลมนุษย์มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว เรายังจะต้องป้องกันโรคใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นมากมายอย่างไม่หยุดย่อนทั้งเกิดจากความผิดพลาดจากร่างกายของเรา และการก่อกำเนิดจากสิ่งแวดล้อมในปัจจุบัน




Posted by : Dhan , Date : 2005-01-09 , Time : 17:26:22 , From IP : 172.29.7.236

ความคิดเห็นที่ : 6


   ท่านเหล่านั้นคงไม่เพียงเป็นคนของศตวรรษ แต่คงเป็นคนของสหัสวรรษ กันเลยทีเดียว ผมเห็นด้วยว่าสิ่งเหล่านั้นเริ่มจากจินตนาการและความฝันอันเป็นแรงขับดันให้เกิดวิวัฒนาการ แต่ผมคงไม่เห็นด้วยถ้าจะเริ่มจากความอยากเป็นคนของศตวรรษครับ

Posted by : Dhan , Date : 2005-01-09 , Time : 17:30:32 , From IP : 172.29.7.236

ความคิดเห็นที่ : 7


   -ตามความคิดของผม ผมว่าทุกคนทำเพื่อตัวเอง แต่การทำเพื่อตัวเองของเราอาจทำให้เกิดผลดีหรือผลเสียกับผู้อื่นก็ได้ ดังนั้นเราควรเลือกทำแต่สิ่งที่ไม่ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน ผมเชื่อว่าความอยากเป็นสิ่งกระตุ้นที่ดีให้เราตั้งใจทำสิ่งหนึ่งสิ่งใด แต่เราต้องไม่ลืมว่าถ้าไม่สามารถเป็นอย่างที่เราต้องการได้นั้นเราต้องไม่เป็นทุกข์ด้วย




Posted by : megumi , Date : 2005-01-09 , Time : 17:45:58 , From IP : 172.29.3.94

ความคิดเห็นที่ : 8


   อาจจะเป็นเรื่องค่อนข้าง romantic ที่ใครจะทำอะไรสักอย่างเพื่อที่จะได้มีชื่ออยู่ในหน้าประวัติศาสตร์ ไม่ทราบว่ามีซักกี่เปอร์เซนต์ที่ทำอย่างนั้น แต่ผมว่าทุกๆคนที่ได้กลายเป็นบุคคลแห่งศตวรรษ ทศวรรษ หรือสหัสวรรษอย่างที่คุณ Dhan ว่ามานั้นต้องขอบคุณคนๆหนึ่งเหมือนกันคือ พ่อแม่ครูอาจารย์ผู้ให้กำเนิดและอบรม

ท่านเหล่านั้นคือ the real behind-the-scene, unsung hero/heroine

ผลอย่างหนึ่งแห่งความกตัญญูกตเวทีคือ ความต้องการจะทำดีต่อๆไปกับ generation ต่ออย่างที่เราเคยถูกกระทำ



Posted by : Phoenix , Date : 2005-01-10 , Time : 09:58:29 , From IP : 172.29.3.212

ความคิดเห็นที่ : 9


   -ผมคิดว่าการถ่ายทอดเป็นสิ่งสำคัญ พวกเราที่สามารถเข้ามาอ่านกระดานข่าวนี้ได้คงมีความรู้อยู่ในระดับหนึ่ง ( ลองนึกว่ามีคนกี่%ที่ยังอ่านหนังสือไม่ออก พิมพ์ดีดไม่เป็น ใช้computorไม่เป็น ) มีสักกี่ครั้งที่เราคิดจะถ่ายทอดความรู้ให้คนรุ่นหลัง
ถ้าเราทำงานไปวันๆ วันหนึ่งพอเราตายไปทุกอย่างก็จบ



Posted by : megumi , Date : 2005-01-10 , Time : 22:49:51 , From IP : 172.29.7.84

ความคิดเห็นที่ : 10


   "As we are right here, only because we are standing on the giants" shoulders."
Sir Isaac Newton

ผมลืม exact verbatim ของ Newton ไปแล้ว แต่ว่าที่ต้องการจะสื่อก็คือ มันมีเหตุผลมากกว่าการที่มี long list ของ references ตามหลังบทความหรือ journal แล้วทำให้ดูเท่ห์ นั่นคือการตระหนักถึงบุญคุณความดีของท่านผู้ได้ศึกษาเรื่องราวต่างๆมาก่อนหน้าเรา ไม่ว่าจะถูกหรือผิด เราก็ได้เรียนรู้จากท่านเหล่านี้ทั้งสิ้น และทั้งหมดนี้เป็นไปได้ก็เพราะท่านได้ยอมจารึก เล่า บันทึก บอกต่อๆมาให้ความรู้ (หรือ "ความไม่รู้" ก็สำคัญไม่ยิ่งหย่อนกว่ากัน เพราะการเรียนรู้จากข้อผิดพลาดก็สำคัญอย่างยิ่ง) ผลิดอกออกผลให้คนรุ่นหลังเก็บเกี่ยวใช้สอยบริโภค

ปราศจากสิ่งเหล่านี้ เราก็จะไม่ต่างกับมนุษย์ยุคหิน หรือแม้กระทั่งสัตว์ชั้นต่ำที่ไม่มีวิวัฒนาการ



Posted by : Phoenix , Date : 2005-01-11 , Time : 21:40:54 , From IP : 203.156.41.23

ความคิดเห็นที่ : 11


   -บางครั้งการได้มาซึ่งความรู้ก็ดูโหดร้าย เพื่อจุดประสงค์เดียวคือความรู้ บางครั้งเราต้องเรียนจากความผิดพลาดของทั้งตนเองและผู้อื่น ไม่มีใครอยากพลาดแต่ทุกครั้งหลังจากที่พลาดเราต้องแข็งแกร่งขึ้น ผู้ที่เป็นแม่พิมพ์ที่นี่ได้แสดงแบบอย่างให้ผู้ที่มาเรียนได้เห็นหรือยัง มีกี่คนที่กล้าpresent MMอย่างตรงไปตรงมา มีกี่คนที่เห็นว่าจุดนี้เราพลาดแล้วสมควรระวังไม่ให้เกิดขึ้นอีก มีกี่คนที่มีหัวใจให้อภัยคน



Posted by : megumi , Date : 2005-01-11 , Time : 23:10:50 , From IP : 172.29.3.119

ความคิดเห็นที่ : 12


   เอ ทำไมสุดท้ายกลายมาเป็นเรื่อง MM conference ได้หว่า

Posted by : กะเหล็ดปั่ว , Date : 2005-01-12 , Time : 21:59:08 , From IP : 202.44.8.98

ความคิดเห็นที่ : 13


   -นั่นนะสิ ชักหลงประเด็น ขอหยุดดีกว่า



Posted by : megumi , Date : 2005-01-13 , Time : 16:44:24 , From IP : 172.29.3.247

ความเห็นจาก Social Network : Facebook


สงวนสิทธิ์การแสดงความคิดเห็นสำหรับ สมาชิกเท่านั้น
>>>>> Page loaded: 0.007 seconds. <<<<<