ความคิดเห็นทั้งหมด : 27

สุขภาวะทางจิตวิญญาณตามกรอบ WHO


   สุขภาวะทางจิตวิญญาณตามกรอบองค์การอนามัยโลก WHO

1.ยึดถือคติไม่เห็นแก่ตัว

2.ไปพ้นจากการยึดถือตัวตน

3.ไปพ้นจากลัทธิวัตถุนิยม

4.แสวงหาแก่นแท้ของชีวิต

5.มีความเชื่อในพลังอำนาจที่เหนือกว่าตน ในพระผู้เป็นเจ้า และความรักในเพื่อนมนุษย์


อ้างอิง : จากคอลัมน์หนึ่งในหนังสือพิมพ์ที่ไม่รู้ชื่อและวันเดือนปี มันเคยแปะอยู่ข้างฝาที่ตึกคณะพยาบาล

เห็นว่าผู้ที่เป็นแพทย์ควรจะสนใจไว้บ้าง ว่านี่ประชาคมโลกเขาก็ก้าวหน้าขึ้นมาบ้างแล้ว มนุษย์เรานั้นแท้จริงต้องการสุขภาพเพื่ออะไร หรือใครมีรายละเอียดเพิ่มเติมก็กรุณาอธิบายไว้หน่อยครับ จะเป็นประโยชน์อย่างสูงยิ่ง





Posted by : Immanuel Kant , Date : 2003-05-01 , Time : 20:23:14 , From IP : 172.29.2.97

ความคิดเห็นที่ : 1


   ข้ออื่นไม่ว่าอะไรตอนนี้ แต่ข้อห้านั้นเป็น Theistism religion-based ครับ คงจะมี influence heavily มาจาก Juda, christian และ muslim น่าเสียดายที่ Buddhism ตกบัญชีไป



Posted by : Phoenix , Date : 2003-05-01 , Time : 20:41:00 , From IP : 172.29.3.202

ความคิดเห็นที่ : 2


   ผมว่าสี่ข้อแรกนั้นเป็นแก่นใหญ่ใจความของพุทธศาสนาอยู่แล้ว

ส่วนเรื่องพระผู้เป็นเจ้านั้นผมก็ไม่ว่าอะไร เพราะผมเชื่อในความเป็นอันเดียวกันของสัจธรรมที่อธิบายคนละแบบกันเท่านั้น นักปรัชญาหลายคนรวมทั้งค้านท์นั้นพิสูจน์ว่าพระเจ้ามีอยู่จริงครับ แต่เมื่อไปอ่านดูแล้วพบว่าพระเจ้าที่หมายความกันนั้นก็ไม่ได้เป็นสิ่งงมงายอะไร แต่เป็นลักษณะของธรรมชาติในทางปรัชญาด้วยซ้ำ ไม่ได้เลอะเทอะอะไรเลย

โดยเฉพาะความรักนี่ผมเห็นว่าทุกศาสนาเข้าใจตรงกันได้ง่ายที่สุด




Posted by : Immanuel Kant , Date : 2003-05-01 , Time : 20:53:55 , From IP : 172.29.2.97

ความคิดเห็นที่ : 3


   อา....มีการพิสูจน์ว่าพระเจ้ามีจริงไปเรียบร้อยแล้วหรือครับ ผม debate อยู่ใน edepot มาหลายปีเรื่อง "Prove and Disprove of God" ผม miss อันนี้ไปได้ ช่วยขยายความสักนิดได้ไหมครับ?

ผมว่าอริยสัจสี่คือแก่นของศาสนาพุทธนะครับ ข้างบนเป็นแค่กระผีกหนึ่งเท่านั้นเอง นี่เป็นความเห็นส่วนตัวนะครับ อาจจะถูกผิดก็ได้



Posted by : Phoenix , Date : 2003-05-01 , Time : 21:09:03 , From IP : 172.29.3.202

ความคิดเห็นที่ : 4


   คุณเคยได้ยิน สพฺเพ ธมฺมา นาลํ อภินิเวสาย หรือเปล่าครับ สิ่งทั้งหลายทั้งปวงอันใครๆไม่ควรยึดมั่นถือมั่น ทรงสำทับว่าพุทธศาสนานั้นอาจสรุปเป็นประโยคนี้ได้ประโยคเดียว และหากใครได้ยินประโยคนี้ก็เท่ากับได้ยินทั้งหมดในพุทธศาสนา

อริยสัจที่คุณว่ามันก็ถูก และมันสามารถสมมูลกับความไม่ยึดมั่นถือมั่นในตัวตนได้




Posted by : Immanuel Kant , Date : 2003-05-01 , Time : 21:17:39 , From IP : 172.29.2.97

ความคิดเห็นที่ : 5


   ในเรื่องพระเจ้านั้นคุณลองไปศึกษาในส่วนของอภิปรัชญาเอาเองเถอะครับ มันยาวและใช้ศัพท์ยากมาก

นักปรัชญาตะวันตกแทบทุกคนเคยกล่าวถึงพระเจ้าไว้ทั้งนั้น แล้วแต่ว่าคุณจะชอบแบบใคร เช่น เรเน เดการ์ต,เดวิด ฮิวม์,จอห์น ล็อค,ฟรานซิส เบคอน,บิชอป บัตเลอร์,อิมมานูเอล ค้านท์ และอื่นๆอีกมากมาย หลายคนพยายามจะพิสูจน์ความมีอยู่ของพระเจ้าเสียด้วย และพระเจ้าที่เขาอ้างถึงก็อาจไม่ได้งมงายอย่างใด โดยเฉพาะของค้านท์ ผมแนะนำให้คุณอ่านอย่างยิ่ง

แม้แต่สตีเฟน ฮอว์คิ้ง เจ้าของทฤษฎีบิกแบงเองก็ยังไม่ได้ปฏิเสธความมีอยู่ของพระเจ้า



Posted by : Immanuel Kant , Date : 2003-05-01 , Time : 21:27:10 , From IP : 172.29.2.97

ความคิดเห็นที่ : 6


   
มันส็ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆอีกแล้วครับผม..จะติดตามตั้งแต่ต้นจนอวสานเลย


Posted by : คนนอก , Date : 2003-05-01 , Time : 21:43:31 , From IP : 172.29.3.204

ความคิดเห็นที่ : 7


   ที่จริงผมไม่คู่ควรเข้ามาแจมหรอกครับ ผมกัว แต่สงสัยสักนิดว่าพุทธศาสนาปฏิเสธ God จริงเหรอครับ และพระศรีอารยเมตรัยหรือองค์อวโลกิเตศวรเล่า เป็น certain forms of God เหมือนกันหรือเปล่า และท่าน regard God ในลักษณะไหนหรือ พุทธทาสภิกขุเคยให้ไอเดียไว้ว่า Godism เป็นเช่นการใช้ภาษาที่ต่างกันในการอธิบายธรรม และ God ในหินยาน (ที่กระเดียดไปทางเซนตามแบบของท่าน) คือสภาวะธรรม ผมเองเชื่อว่าเราอาจ regard God ในลักษณะที่ต่างกันไปตามภูมิธรรมของตน ไม่ว่าจะเป็น superstitious power, เป็น mother nature หรือเป็นจิตเดิมแท้ เป็นสภาวะธรรมและอีกหลายหลากคำสอน การตีความเรื่องของ God น่าจะต้อง read between the lines มิใช่ติดที่เปลือกทางภาษา

Posted by : พี่ว่าว , Date : 2003-05-02 , Time : 10:37:33 , From IP : 133.1.67.161

ความคิดเห็นที่ : 8


   ศาสนาพุทธไม่ได้เป็น Atheist (พวกที่เชื่อว่าไม่มี God) แต่เป็นแค่ Agnostic (มีหรือไม่มี ไม่มีคำตอบ ไม่ relevance to the path, i.e. The Eightfold Path: มรรคแปด) ครับ

เวลา debate inter-religion เท่าที่เคยเห็นมานะครับ เรายกเหตุและผมมาวางกันครับเพื่อ support สิ่งที่เรากำลังเสนอ แต่ไม่ได้ให้อีกฝ่ายไปอ่านเอง มิฉะนั้นจะแปลว่าเราทุกครบน platform หนึ่งๆต้องเจนจบศาสนาทุกศาสนา ปรัชญาทุกปรัชญามาก่อนซึ่งเป็นไปไม่ได้ การที่มีคนจำนวนมากกล่าวถึงเรื่องใดเรื่องหนึ่งไม่ได้เป็นการ prove ถึง existence ของสิ่งนั้นครับ คนส่วนใหญ่ของโลกเคยเชื่อว่าโลกแบนเหมือนปิซซ่า คนส่วนใหญ่ของโลกเคยพูดว่าโลกเป็นศูนย์กลางของระบบสุริยจักรวาล (ฉลาดๆทั้งนั้นด้วยนะครับ แต่เผอิญเครื่องมือเครื่องไม้ที่ใช้ observe ไม่ใคร่ดีและหลายท่านปฏิเสธที่จะเชื่อแนวความคิดใหม่ๆ (common and forever mistake)

สาเหตุที่ผมถามเรื่อง prove of God นั้น เพราะประเด็นนี้เป็นปัญหาที่ถกกันมานานมากและไม่เคยมีข้อสรุป ยกเว้นแต่ว่า "ไม่ต้องการข้อสรุป เพราะเป็นศรัทธา" จบแค่นั้น เวลาผมได้ยิน นักปรัชญาหลายคนรวมทั้งค้านท์นั้นพิสูจน์ว่าพระเจ้ามีอยู่จริงครับ ที่ข้างบนเลยรู้สึกตื่นเต้น ว่าทำไมใน debating community มองข้ามข้อสรุปของเมื่อสามร้อยปีที่แล้วไปได้ เลยบังอาจขอคำขยายความ

ที่คุณ Kant พูดเรื่องยึดมั่นถือมั่นนั้นโดนใจเลยล่ะครับ ผมพยายามตรวจสอบและรับฟังให้มากที่สุด โดยไม่เคยวางตัวเองยึดตัวเองมั่นใจตัวเองไว้ก่อนว่าถูกต้องเลย ผมจึงถามเหตุผลก่อนไงครับ list ของชื่อนักปราชญ์นั้นไม่มีผลหรอกครับจนกว่าผมจะทราบว่าแกว่ายังไง คุณ Kant มีอะไรที่ยึดมั่นถือมั่นบ้างหรือเปล่าครับ?



Posted by : Phoenix , Date : 2003-05-02 , Time : 12:49:02 , From IP : 203.107.207.62

ความคิดเห็นที่ : 9


   ผมไม่ได้รู้เรื่องคริสตศาสนาอะไรมากหรอกครับ

ที่ผมแนะนำให้คุณไปหาอ่านเองเพราะเกินกำลังที่ผมจะนำมาอธิบายจริงๆ ผมถึง"แนะนำและเชิญชวน"ให้คุณ"ไปอ่าน

ผมเองไม่ค่อยได้สนใจอะไรมากสำหรับสิ่งที่นักปราชญ์เหล่านั้นพิสูจน์พระเจ้าไว้หรอก

แต่ผมเพียงอยากให้คุณรู้ว่ายังมีคำอธิบายอื่นที่ไม่ได้ทำให้พระเจ้าเป็นสิ่งงมงาย

ตามทัศนะของค้านท์นั้นพระเจ้าไม่ได้เป็นผู้สร้าง ผู้บงการ และผู้ทำลายอย่างพวกนักเทววิทยาว่า แต่ถือว่าพระผู้เป็นเจ้าทรงควบคุมและคุ้มครองกฎแห่งความสุขและหน้าที่ให้สัมพันธ์กันได้ ระหว่างโลกนี้กับโลกหน้า ส่วนการกระทำนั้นมนุษย์เป็นผู้ตัดสินใจเอง นี่ทำให้ผมนึกถึงและนำไปสัมพันธ์เอากับกฎธรรมชาติและโลกุตรธรรมในพุทธศาสนา



Posted by : Immanuel Kant , Date : 2003-05-02 , Time : 13:12:36 , From IP : 172.29.2.112

ความคิดเห็นที่ : 10


   ถ้าจะให้พูดอย่างท่าพุทธทาสก็คือ

พระผู้เป็นเจ้านั้นคือธรรมชาติ

และโลกหน้านั้นก็คือโลกุตระ คือเหนือโลกแห่งตัวตนขึ้นไป



Posted by : Immanuel Kant , Date : 2003-05-02 , Time : 13:49:18 , From IP : 172.29.2.112

ความคิดเห็นที่ : 11


   อ้อ...คุณควรรู้จักปฏิจจสมุปบาทฝ่ายนิโรธวารไว้ด้วยนะครับ

คุณถึงเข้าใจว่ายึดมั่นอย่างไรจึงจะเลว

และความแตกต่างระหว่าง"สมาทาน" กับ "อุปาทาน"



Posted by : Immanuel Kant , Date : 2003-05-02 , Time : 14:56:33 , From IP : 172.29.2.112

ความคิดเห็นที่ : 12


   ผมเชื่อในแนวทางของวิทยาศาสตร์ครับ....สิ่งที่พิสูจน์ไม่ได้นั้น
ไม่ได้บอกว่าไม่มี.....
ขณะเดียวกันก็ไม่อาจบอกได้ว่า....มีจริง.....

การสรุปความให้พระเจ้ากลายเป็นนามธรรมนั้น ไม่ได้พิสูจน์ ความมีตัวตนของพระเจ้าเลยครับ

ข้อ 5
มีความเชื่อในพลังอำนาจที่เหนือกว่าตน ในพระผู้เป็นเจ้า และความรักในเพื่อนมนุษย์

บ่งบอกถึงสุขภาวะทางวิญญาณได้งัยครับ...ผู้รู้ตอบหน่อย


Posted by : ิbuf , Date : 2003-05-02 , Time : 23:02:44 , From IP : 172.29.2.104

ความคิดเห็นที่ : 13


   เอ้อ...คุณ Kant ครับ หากมีประโยชน์ต่อส่วนรวมและไม่เหนือบ่ากว่าแรง ช่วย elaborate เนื้อหาไปนอกเหนือจากให้ไปอ่านเองได้ไหมครับ? ไหนๆก็อ่านมาแล้วจนซึมซาบ จะเป็นประโยชน์ต่อน้องๆครับ

ขอบพระคุณแทนทุกท่าน





Posted by : Phoenix , Date : 2003-05-03 , Time : 01:08:49 , From IP : 203.107.207.88

ความคิดเห็นที่ : 14


   อันเดียวกันกับ Dependent Origination ที่ผม list ไว้ครั้งหนึ่งใน Debate: Gay รึเปล่าครับ?

เชิงอรรถ ปฏิจจสมุปบาท (Dependent Origination)

"อวิชชาเป็นปัจจัย เกิดสังขาร
สังขารเป็นปัจจัย เกิดวิญญาณ
วิญญาณเป็นปัจจัย เกิดนามรูป
นามรูปเป็นปัจจัย เกิดสฬายตนะ
สฬายตนะเป็นปัจจัย เกิดผัสสะ
ผัสสะเป็นปัจจัย เกิดเวทนา
เวทนาเป็นปัจจัย เกิดตัณหา
ตัณหาเป็นปัจจัย เกิดอุปาทาน
อุปาทานเป็นปัจจัย เกิดภพ
ภพเป็นปัจจัย เกิดชาติ
ชาติเป็นปัจจัย เกิดชรา มรณะ โสกปริเทวะ ทกขโทมนัสอุปายาส ความเกิดซึ่งพร้อมแห่งกองทุกข์



Posted by : Phoenix , Date : 2003-05-03 , Time : 12:52:12 , From IP : 203.107.202.36

ความคิดเห็นที่ : 15


   ในการพิสูจน์พระเจ้านั้นนักปรัชญาเขาก็ไม่ได้ใช้วิธีพิสูจน์อะไรอย่างวิทยาศาสตร์ครับ เพียงแต่ใช้วิธีการอนุมานด้วย"เหตุผลเชิงปฏิบัติ" ถ้าใช้ผมมองก็คือนักปรัชญาเหล่านั้นคล้ายจะเปรียบเปรยสิ่งสูงสุดอย่างหนึ่งขึ้นมา เพื่อให้เป็นผู้ควบคุมกฎธรรมชาติ แต่ก็ไม่ได้อธิบายงมงายว่าพระเป็นเจ้าคือตัวตนมีปีกอาศัยอยู่ในดินแดนยาววาหนาคืบอย่างนั้นหรอกครับ

ส่วนปฏิจจสมุปบาทที่คุณช่วยยกขึ้นมานั้นเป็นฝ่ายสมุทยวารครับ ที่อธิบายกลไกการเกิดทุกข์ ยังมีอีกฝ่ายหนึ่งคือนิโรธวารอธิบายกลไกการไม่เกิดทุกข์ครับ



Posted by : Immanuel Kant , Date : 2003-05-03 , Time : 13:50:10 , From IP : 203.155.144.57

ความคิดเห็นที่ : 16


   ในเรื่องสุขภาวะทางวิญญาณนั้น

คุณต้องมองปัจจุบันให้ออกก่อนครับ ว่าคุณมีสุขดีแล้วหรือยัง มีความทุกข์บ้างหรือไม่ และคุณต้องการอะไร

การมีสุขภาพทางกายดีอย่างเดียวช่วยให้คุณได้สิ่งที่ต้องการหรือไม่

แล้วสุขภาพทางกายนี่คุณบงการได้ทั้งหมดหรือเปล่า

ผมจะสรุปให้คุณฟังเลยครับว่า

ความรักผู้อื่นนั้นทำให้ชีวิตมนุษย์สมบูรณ์ขึ้น และทำให้ได้สิ่งที่ต้องการ โดยการสละความต้องการออกไป



Posted by : Immanuel Kant , Date : 2003-05-03 , Time : 14:31:20 , From IP : 203.155.144.57

ความคิดเห็นที่ : 17


   อีกอย่างหนึ่งที่หลายคนอาจไม่รู้ครับ

วิทยาศาสตร์นั้น ถึงพิสูจน์อย่างวิทยาศาสตร์ได้ ก็บอกไม่ได้ครับว่ามีจริง

สรุปก็คือเราบอกไม่ได้ครับว่าอะไรจะมีจริงหรือไม่ ภายนอกประสาทสัมผัสของเรา

วันใดวิทยาศาสตร์บอกว่าพระเจ้ามีจริง ก็แปลว่าจริงอย่างวิทยาศาสตร์เท่านั้น ไม่ได้เป็นความแท้จริงครับ





Posted by : Immanuel Kant , Date : 2003-05-03 , Time : 15:39:25 , From IP : 203.155.144.57

ความคิดเห็นที่ : 18


   ถ้าอย่างนั้นช่วยขยายความของฝ่ายนิโรธวารให้พวกกเราฟังหน่อยเป็นอย่างไรครับ? (อาจจะเพิ่มเติมความแตกต่างของสองฝ่ายนี้ด้วย ยิ่งสมบูรณ์) ถ้าเราเข้าใจกลไกการ "เกิด" มิได้หมายความว่าเราจะทราบการ "ดับ" ไปพร้อมๆกันหรือ?

ตรงนี้อาจจะมีความแตกต่างของคำว่า "พิสูจน์" และคำจำกัดความของ "งมงาย" อยู่บ้าง "กฏธรรมชาติ" นั้นเป็นไปตามธรรมชาติ ทำไมจึงต้องมี "สิ่งสมมุติ" เพื่อคอยควบคุมกฏธรรมชาติอีกที่หนึ่ง? ผมไม่แน่ใจอีกประการในการที่เราบอกว่า God เป็นสิ่งสมมุตินั้นจะเป็นที่ยอมรับของผู้ที่เชื่อในศาสนานั้นๆจริงๆหรือไม่ จะเป็นก็แต่การยอมรับโดยนักปรัชญาเท่านั้น การยอมรับในกลุ่มนักปรัชญามิได้แปลว่าเป็นการพิสูจน์แต่อย่างใด ที่ศาสนาพุทธเป็น agnostic นั้นก็เพราะเราบอกอย่างนี้แหละครับ

ยกตัวอย่างการจะแต่งตั้งใครสักคนเป็น Saint นั้น criteria หนึ่งคือต้องเคยมีการแสดงปาฏิหาริย์ (supernatural) และตำนานอีกหลายๆตำนานในไบเบิ้ลนั้น เขาไม่ได้นับถืออย่างอุปมาอุปไมย (อย่างน้อยๆในหลายๆ community ที่ตัวกระผมเองเคยพูดคุย รวมทั้งบนกระดานอภิปราย) เรือของโนอาห์และการอพยพสัตว์นั้นเป็นจริง หอคอยแห่งบาบิโลนนั้นเป็นจริง พระเจ้าได้ส่ง "ลูก" ของท่านมาไถ่บาปแก่ชาวโลกจริงๆ การสร้างโลกในเจ็ดวันนั้นจริงๆ

เรื่องสุขหรือทุกข์ทางพุทธศาสนานั้น ผมเองเข้าใจว่าเริ่มจากมีอะไรเป็นสาเหตุแห่งทุกข์บ้าง เป็นเรื่องสำคัญที่สุด เพราะความสุขต่างๆนั้นสามารถบังสายตาได้ และเกิด attachment มิได้มองผ่านไปถึงสาเหตุแห่งทุกข์จากการยึดมั่นในความสุขอันนั้น จากมรรคแปดเราจะมองออก (หรือพยายามมองให้ออก) ถึงสัจธรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อนิจจัง และ อนัตตา จึงจะเข้าใจและหลุดพ้นทุกข์



Posted by : Phoenix , Date : 2003-05-03 , Time : 17:08:54 , From IP : 203.107.207.134

ความคิดเห็นที่ : 19


   วิทยาศาสตร์นั้น ถึงพิสูจน์อย่างวิทยาศาสตร์ได้ ก็บอกไม่ได้ครับว่ามีจริง => คุณ kant ช่วยขยายความหน่อยครับ

เช่นนี้แล้วเราจะพิสูจน์ความมีแท้จริงได้จากอะไรล่ะครับ ปรัชญารึ หรือตรรกกะ


Posted by : buf , Date : 2003-05-03 , Time : 17:09:13 , From IP : 172.29.2.149

ความคิดเห็นที่ : 20


   คุณไม่มีทางรู้ได้หรอกครับว่าความแท้จริงจะเป็นอย่างไร ความแท้จริงจะมีจริงหรือไม่ก็ยังไม่รู่ด้วยซ้ำ

คุณลองบอกผมสิครับว่าด้วยกฎความโน้มถ่วงของนิวตันหรือแม้แต่ของไอน์สไตน์นั้น จะยืนยันให้ผมรู้ได้ยังไงว่าว่าพรุ่งนี้ก้อนหินที่ีอยู่ในมือผมต้องตกลงพื้น

การเอาปรากฎการณ์ของวันก่อนๆมาอ้าง ไม่ช่วยให้คุณสรุปได้หรอกครับว่าพรุ่งนี้ก้อนหินต้องตกลงพื้น

................................

คุณคิดว่าสี่เหลี่ยมที่คุณเห็นจะเหมือนกับสี่เหลี่ยมที่ผมเห็นแน่นอนเหรอครับ

................................

แล้วคุณมีตัวตนภายนอกจริงหรือเปล่าผมก็พิสูจน์ไม่ได้นะครับ



Posted by : Immanuel Kant , Date : 2003-05-03 , Time : 22:00:54 , From IP : 203.155.144.54

ความคิดเห็นที่ : 21


   ส่วนในเรื่องปรัชญานั้นผมอธิบายอะไรไม่ได้อีกแล้ว

ถ้าคุณอยากเข้าใจการสมมติต้องไปศึกษาลัทธิอนุมานนิยมเอาเอง


Posted by : Immanuel Kant , Date : 2003-05-03 , Time : 22:53:19 , From IP : 203.155.144.54

ความคิดเห็นที่ : 22


   ฟังดูแล้วดูเหมือน "การพิสูจน์ไม่ได้" จะมีน้ำหนักความเป็นไปได้มากกว่านะครับ ผมชัก confused กลับไปอ่านดูใหม่คุณ Kant ก็เขียนว่า นักปรัชญาหลายคนรวมทั้งค้านท์นั้นพิสูจน์ว่าพระเจ้ามีอยู่จริงครับ

ตกลงเป็นแค่อุปมาแค่นั้น ไม่ใช่การพิสูจน์หรือเปล่าครับ?

PS: เอ้อ..ช่วยขยายความปฏิจจสมุปบาทฉบับนิโรธวารให้ด้วยจะเป็นพระคุณอย่างสูงครับ



Posted by : Phoenix , Date : 2003-05-03 , Time : 23:19:21 , From IP : 203.107.206.238

ความคิดเห็นที่ : 23


   มีอยู่จริง (exist) ของพี่นกไฟแปลว่าอะไรอะครับ มีมวลสาร จับต้องได้ เคลื่อนที่ได้เมื่อถูกแรงมากระทำ หรือ ถ้าเพียง we belive he exist, he exist. ได้ไหมอะครับ

Posted by : พี่ว่าว , Date : 2003-05-06 , Time : 09:43:30 , From IP : 133.1.67.161

ความคิดเห็นที่ : 24


   คงจะเริ่มจาก "พิสูจน์" ไปทำไมกัน....

เรื่องทำนองนี้ ถามพระ พระท่านก็คงนิ่งเฉยเสีย ไม่ตอบ พระเซนอาจจะแถมกระบองตรงแสกหน้าเข้าให้สักโป้กจะได้ซาโตริซะเลย existence นั้นคงจะตอบในกรอบความคิดของฝ่ายตะวันออกยาก (หรือตอบว่าไม่มี หรือ ไม่ควรมี)

believe นั้นเป็น mechanism of mind ครับ คงจะแล้วแต่ school ว่าอยากจะให้ "ใจว่าง" หรือ "ไร้ใจ" แต่ believe นั้นไม่ใช่ "ปัญญา"



Posted by : Phoenix , Date : 2003-05-06 , Time : 13:27:55 , From IP : 172.29.3.160

ความคิดเห็นที่ : 25


   โดยเฉพาะความรักนี่ผมเห็นว่าทุกศาสนาเข้าใจตรงกันได้ง่ายที่สุด

ผมว่าอันนี้ไม่เหมาะกับคุณ kant เท่าไรนะ เพราะว่าถ้าหากมีความรักจะไม่บรรลุนิพพานครับ ดังนั้น ผมคิดว่าแก่นของศาสนาไม่ได้เป็นอย่างเดียวกันอย่างที่คุณคิด น่าจะมีความต่างกันบ้าง และไม่ได้เป็นอันเดียวกันของสัจธรรมที่อธิบายคนละแบบกัน


Posted by : 111 , Date : 2003-05-09 , Time : 18:48:11 , From IP : 172.29.2.161

ความคิดเห็นที่ : 26


   เปิดผ่านหนังสืออิทัปปัจจยตา ของท่านพุทธทาส มีกล่าวถึงปฏิจจสมุปบาทฝ่ายนิโรธวาร ดังนี้

เพราะอวิชชาดับไม่เหลือ นามรูปจึงดับ
เพราะนามรูปดับ อายตนะจึงดับ
เพราะอายตนะดับ ผัสสะจึงดับ
เพราะผัสสะดับ เวทนาจึงดับ
เพราะเวทนาดับ ตัณหาจึงดับ
เพราะตัณหาดับ อุปาทานจึงดับ
เพราะอุปาทานดับ ภพจึงดับ
เพราะภพดับ ชาติดับ
เพราะชาติดับ ความทุกข์ก็ตั้งอยู่ไม่ได้

นี้เรียกว่าฝ่ายนิโรธวาร เป็น อิทัปปัจจยตาหรือเป็นปฏิจจสมุปบาทฝ่ายนิโรธวาร เป็น ทุกขนิโรธอริยสัจจ์

reverse version ของที่เคยยกไป หรือที่จะเรียกอันนู้นว่าฝ่ายสมุทยวาร (ฝ่ายให้เกิดความทุกข์นั้นเอง)



Posted by : Phoenix , Date : 2003-05-22 , Time : 02:06:33 , From IP : 172.29.3.206

ความคิดเห็นที่ : 27


   oof ตกไปบ่วงนึง อวิชชาแล้วต้องเป็น "สังขาร" แล้วก็ "วิญญาณ" ถึงจะถึงนามรูปครับ ขออภัย (ดึกแล้วนี่น้า....ไปนอนได้แล้ว ไป๊...จ้ะๆ ไปเดี๋ยวนี้แหละจ้ะ)



Posted by : Phoenix , Date : 2003-05-22 , Time : 02:09:27 , From IP : 172.29.3.206

ความเห็นจาก Social Network : Facebook


สงวนสิทธิ์การแสดงความคิดเห็นสำหรับ สมาชิกเท่านั้น
>>>>> Page loaded: 0.018 seconds. <<<<<