ความคิดเห็นทั้งหมด : 11

Debate LXXX: "พุทธ" ศาสนาหรือปรัชญา?


   บทความนี้เป็นการ "แปล" ผนวกกับสอดแทรกวิเคราะห์ของส่วนตัวผมเข้าไปเอง ในส่วนแปล ผมจะให้ cross references ไว้ด้วย เพื่อท่านผู้รู้จะได้ตรวจทาน และแนะนำ ที่เหลือเป็นประเด็นที่จะเชิญชวนผู้สนใจร่วมอภิปรายนะครับ

Buddhism เป็นศาสนาหรือปรัชญา?
พระพุทธเจ้ากล่าวถึงสิ่งที่ท่านสั่งสอนรวมเป็น "พระธรรมวินัย" (the doctrine and discipline) ซึ่งกระจายอยู่ใน "สามตะกร้า (Tipitaka หรือ พระไตรปิฎก)" คือ พระสูตร พระวินัย และพระอภิธรรม ประกาศเป็นศาสนามากว่าสองพันห้าร้อยกว่าปี มีผู้ศึกษา และผู้นับถือกระจายไปทั่วโลก มีความพยายามจะจัดความหมายหรือปรัชญาของพุทธะเป็นระบบจริยศาสตร์ (ethical system) เป็นวิถีชีวิต (way of life) ซึ่งมีเป้าหมายจำเพาะ จากกระบวนการดังกล่าว ร่วมกับการศึกษาแบบมีโครงสร้าง (structured knowledge) ทำให้เกิดมุมมองเห็นว่าพุทธศาสนานั้นมีทั้งส่วนที่เป็นศาสนาและปรัชญาอยู่ในตัวเองอย่างแยกยาก

พุทธศาสนาเป็น "ปรัชญา"
พุทธศาสนานั้นมี "แก่น" คือ อริยสัจจสี่ ประเด็นตรงนี้มีลักษณะคล้ายวิชาปรัชญาอื่นๆคือ มีความพยายามในการจัดระบบให้กับความซับซ้อนยุ่งเหยิงของมนุษย์ เพื่อเป็น "หลัก" อธิบายปรากฏการณ์หรืออ้างอิง หรือความมีซึ่ง "ระเบียบ" ของจักรวาล กล่าวได้ว่า "ระบบ" ที่วางไว้ออกมาเป็น "อริยสัจจสี่" นั้นสัมบูรณ์มาก มีความทรมาน (suffering; ทุกข์) ซึ่งมีสาเหตุ (cause; สมุทัย) และทุกข์นี้มีที่สิ้นสุด (an end; นิโรธ) รวมทั้งคำอธิบายที่จะดำเนินไปถึงที่สิ้นสุดนั้นๆ (a way to reach the end; มรรค) ในส่วนเรื่องของกรรมและวิบาก (Karma and Vipaka) เป็นคำอธิบายอย่างเป็นตรรกศาสตร์ถึงระบบ cause-effect ยิ่งถ้าเราพิจารณาลึกซึ้งถึงตอนที่กล่าวถึง cosmology ในมุมมองของพุทธศาสนานั้น ดูเผินๆจะเป็นเสมอนเป็นไปไม่ได้ แต่จริงๆแล้วก็เป็นแค่บทขยายความของกฏแห่งกรรม ซึ่งทางธรรมถือว่าเป็นกฏที่ไม่สั่นคลอนและเป็นสัจจธรรม

พุทธศาสนา "ไม่ใช่" ปรัชญา
ทว่าพุทธศาสนามีปีระเด็นที่แตกต่างจากวิชาปรัชญาอื่นๆอย่างเห็นได้ชัดเจนที่สุดประการหนึ่งนั่นคือ ความต้องการพื้นฐานที่ผู้ศึกษา "ต้องปฏิบัติด้วยตนเอง" อย่างเพียรพยายามและด้วยศรัทธาเท่านั้นจึงจะเข้าใจ ปรัชญาโดยทั่วๆไปจะเป็นการศึกษาโดยการคาดการณ์ และใช้พลังแห่งตรรกะและเหตุผลเพื่อที่จะนำมาสู่ข้อสรุปที่ถูกต้องตามตรรกศาสตร์ แต่ "เข้าใจและเข้าถึง" พุทธศาสนานั้นไม่สามารถจะทำได้โดยไม่มีการลงมือกระทำ สังเกตผลด้วยตนเอง สั่งสมบารมี ความเข้าใจ และกลไกต่างๆด้วยตนเอง ด้วยปัญญาตนเอง กล่าวได้ว่าการศึกษา "แห้ง" ทางพุทธศาสนานั้น ไม่ได้อยู่ในวิธีการ "ฝึก" ของศาสนาพุทธ ฉะนั้นจะเป็นการศึกษาในห้องเรียน อ่านจากหนังสือ หรือการอภิปรายถกเถียงเรื่องราวทางจิตวิญญาณจะมีบทบาทที่สำคัญอย่างยิ่งในการศึกษาพุทธศาสนาในส่วน cognitive (ปัญญาพิสัย) แต่สิ่งเหล่านี้ไม่สามารถนำผู้ศึกษาไปสู่ "แก่น" หรือ "หัวใจ" ของพุทธศาสนาได้ ธรรมะนั้นจึงไม่ใช่เพียงระบบนามธรรมของความคิด หรือศึกษาเพื่อเสริมสร้างสติปัญญาเพียงโสตเดียวแค่นั้น แต่ธรรมะนั้นเปรียบเสมือน "แผนที่" ที่ผู้ใช้ไม่เพียงต้องอ่านให้เข้าใจ แต่ยังต้อง "เดินทาง" ไปตามแผนที่นั้นด้วย เป้าหมายนั้นคือ "นิพพาน" (nibbana or nirvana)

พุทธศานาเป็น "ศาสนา"
หัวใจของทุกๆศาสนาหลักคือ transcendent ideal จุดมุ่งหมายปลายทางอันศักดิ์สิทธิ์ บรรลุเกิน "ขอบเขต" จำกัดที่บุคคลทั่วๆไปจะดำเนินไปถึง ถ้าหากผู้ศึกษาและปฏิบัติของศาสนานั้นๆทำตามที่ doctrine หรือ dogma ได้กำหนดไว้ในรูปแบบต่างๆ ดังนั้นของพุทธก็คือ "นิพพาน" สัญญลักษณ์แห่ง "การหยุดแล้ว" ซึ่งเราทุกคนอยู่ในวงจรนั้นๆ (cessation of samsara) ความหมายของนิพพานนั้น นักการศึกษาทั่วไปลงความเห็นว่าเป็นเรื่องเกินกว่าที่ใช้คำบรรยายด้วยภาษาอะไรที่เรามีใช้อยู่ เพราะเป็นสิ่งที่ต้อง "ประสบ" ด้วยตนเองเท่านั้นโดยผู้ที่มีคุณสมบัติเพียงพอ การที่พุทธศาสนามีเป้าหมาย transcendent ในลักษณะนี้จะตรงกับนิยามโดยทั่วไปของ "ศาสนา"

พุทธศาสนา "ไม่ใช่" ศาสนา
แต่ในขณะเดียวกัน ที่พุทธศาสนาต่างจากศาสนาอื่นๆก็คือ การที่ศาสนาพุทธไม่ได้บูชา "สิ่งศักดิ์สิทธิ์" (Buddhism invokes no divinity) ไม่มี "ผู้สร้าง" (supreme Creator or supreme Self, no Holy Spirit or omniscient loving God to whom we might appeal for salvation) ทางศัพท์เทคนิกศาสนาที่มีลักษณะที่กล่าวมาคือ Thiesm แต่พุทธศาสนาก็ไม่ได้ขัดแย้ง หรือลงความเห็นว่า "ไม่มี " เรื่องดังกล่าว ถ้าจะจัดระบบก็จะเป็น Agnosism คือมีหรือไม่มีก้ได้ ไม่มีนัยต่ออริยสัจจสี่หรือหนทางสู่นิพพาน ทุกสิ่งทุกอย่างที่ได้เกิดขึ้น กำลังเกิด และจะเกิดต่อตัวเราล้วนแล้วแต่เป็นความรบผิดชอบของตัวเราเองทั้งสิ้น ไม่ต้องไปโทษใครคนอื่นหรือกล่าวว่าถูกกำหนดโดยใคร ฉะนั้นจึงเป็น "หน้าที่" ของตัวเราเองโดยตรงที่จะต้องสั่งสมบารมีต่างๆที่จำเป็นในการดำเนินบนมรรคาไปสู่เป้าหมาย หนทางนี้เราต้องดำเนินด้วยตัวเราเอง แม้แตพระพุทธเจ้าเองก็จะไม่สามารถจะพาเราไปถึงจุดหมายนั้นได้ ไม่มี short cut ไม่มีทางลัด ตัวเราเองตามลำพังที่จะต้องทำงานทั้งหมดที่จำเป็นในการบรรลุวัตถุประสงค์ เราเองเป็นผู้ที่ต้องพิจารณาอุปสรรค เห็นว่าอะไรเป็นอุปสรรค และสลัดตนเองให้หลุดรอดจากอุปสรรคนั้นๆ โดยอาศย "ความเข้าใจและรู้แจ้ง" ซึ่งจะได้โดนการพัฒนา "moral excellence" การฝึกฝนการใช้ปัญญาเพื่อเห็นและเข้าใจ

reference มาจาก Access to Insight

ขอเรียนถามความเห็นเพิ่มเติมครับ



Posted by : Phoenix , Date : 2004-11-15 , Time : 01:27:35 , From IP : 172.29.7.104

ความคิดเห็นที่ : 1


   แล้วไม่ทราบว่าอาจารย์มองว่าศาสนาและปรัชญามีความความหมายเป็นอะไรครับ สองคำนี้แยกกันโดยสมบูรณ์หรือมีบางส่วนคาบเกี่ยวกัน หรือว่ามันคือสิ่งเดียวกัน? บางทีเราอาจเสียเวลาเปล่าที่จะมามัวคิดจำแนกนิยามศัพท์แต่ละคำหรือให้ความหมายในสิ่งที่ป็นไปไม่ได้ มีอยู่ช่วงหนึ่งที่วงการพุทธศาสนาเมืองไทยต้องวุ่นวายกับการพิสูจน์นิพพานเป็นอัตตาหรืออนัตตา ฝ่ายหนึ่งก็ว่าอัตตา ฝ่ายหนึ่งก็ว่าอนัตตา ส่วนอีกฝ่ายก็บอกว่าไม่ใช่ทั้งสองอย่าง เรื่องราวมันก็มีไปจนถึงขั้นที่มีการเสนอให้จัดทำศัพท์บัญญัติในศาสนาพุทธไปเลยว่าอะไรคืออะไรและอะไรไม่ใช่อะไร มันก็น่าขำดีอยู่หรอกที่บรรดานักวิชาการต่างก็ไม่เคยรู้ไม่เคยสัมผัสว่านิพพานนั้นคืออะไร อัตตาคืออะไร อนัตตาคืออะไร การเที่ยวถามหานิพพานทั้งที่ตัวเองยังต้องการลาภสักการะ ต้องการความเคารพยกย่อง ต้องการมีชีวิตเสพสุขอย่างคนทั่วไปนี้ก็เป็นสิ่งที่ขัดแย้งในตัวเองเพียงพออยู่แล้ว

เรามักมองว่าพุทธศาสนามีความทันสมัยเพราะเข้ากับเหตุผลและวิธีการทางวิทยาศาสตร์ได้ แต่มองในอีกแง่เราก็ใช้วิธีคิดทำนองเดียวกับการบูชาพระเป็นเจ้านั่นเอง มองดีๆจะเห็นว่ามีบางอย่างที่เราเชื่อสนิทใจทั้งๆที่ไม่เคยพิสูจน์ไม่เคยสัมผัสและไม่มีเหตุผล เช่นการมีอยู่หรือความประเสริฐสุดยอดของพระนิพพานหรือหลักการที่สมบูรณ์แบบของพุทธศาสนา สิ่งเหล่านี้จริงโดยไม่ต้องพิสูจน์? ที่เราจะบูชาจะยินยอมน้อมรับมาปฏิบัติโดยไม่ตั้งข้อสงสัย ในทำนองเดียวกันคริสต์ศาสนาก็ให้แง่คิดบางอย่างไว้อย่างน่าฟังว่า จงอย่าสงสัยในพระเป็นเจ้า เหตุผลจะใช้ทำความเข้าใจพระเป็นเจ้าไม่ได้ เพราะทรงอยู่เหนือเหตุผลทั้งปวง กาลามสูตรจะมีไว้เพื่อจุดประสงค์ใด? เพื่อให้สงสัยในพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์หรือเปล่า แล้วจะไม่กลายเป็นวิจิกิจฉาไปหรือ

ดูเหมือน"สิทธารถะ" ของ Hermann Hesse จะมองปัญหาเหล่านี้ออกอย่างลึกซึ้ง และพยายามตีความคำตอบเอาไว้อย่างเกินจะเข้าถึง สลายความขัดแย้งโดยรวมเอาความใช่และไม่ใช่ไว้ด้วยกัน นิยามให้ประพจน์เท่ากับนิเสธของประพจน์ เช่นเดียวกับที่นิกายเซนทำ บทสรุปก็คือชีวิตมนุษย์แสวงหาเป้าหมายอยู่บนความไม่แน่นอน คุณค่าทั้งมวลอาจไร้รูปแบบโดยสิ้นเชิง

พุทธศาสนาเป็นปรัชญาหรือศาสนาอย่างใดอย่างหนึ่ง พุทธศาสนาเป็นทั้งปรัชญาและศาสนา พุทธศาสนาไม่เป็นทั้งปรัชญาและศาสนา


Posted by : macus , Date : 2004-11-15 , Time : 20:17:24 , From IP : 172.29.4.183

ความคิดเห็นที่ : 2


   -พุทธ: ศาสนาหรือปรัชญา ผมไม่เคยคิดเกี่ยวกับพุทธในแง่นี้มาก่อน ผมอยากให้คนไทยที่นับถือศาสนาพุทธทุกคนรู้จักการเลือกข้อมูลมายอมรับปฏิบัติ ไม่ใช่เขาว่าอย่างไรก็เอาอย่างนั้น ผมไม่สามารถมีโอกาสรับฟังถ้อยคำสอนของพระพุทธเจ้าด้วยตนเอง ดังนั้นคำสอนของพระพุทธเจ้าที่ผมรู้ตอนนี้ มีโอกาสที่จะบิดเบือนไปจากความเป็นจริง คำสอนของพระสงฆ์ที่ผมเชื่อถือตอนนี้คงเป็นของพระพุทธทาสแต่เพียงผู้เดียว หมายความว่า พระสงฆ์ที่ผมจะยกมือไหว้อย่างไม่คลางแคลงใจในตอนนี้คือพระพุทธทาสเท่านั้น ส่วนพระสงฆ์รูปอื่นผมคงต้องขอเวลานั่งสนธนาด้วยก่อนจึงจะตัดสินได้ว่าควรจะยอมรับสักการะหรือไม่



Posted by : megumi , Date : 2004-11-15 , Time : 20:59:03 , From IP : 172.29.7.228

ความคิดเห็นที่ : 3


   จะให้หรือไม่ให้นิยามเรื่องอะไรนั้น คงขึ้นอยู่กับ "วัตถุประสงค์" ของคนให้แหละครับ บอกยากว่าถูกหรือผิด เสียเวลาหรือคุ้มเวลา ในบรรดาเรื่องราวไร้สาระที่พวกเรากระทำกันอยู่ทุกวี่วันนับไม่ถ้วนนั้น ประการหนึ่งคือการพยายามให้นิยามว่าอะไรคือไร้สาระ อีกประการหรือการพยายามบอกว่าไร้สาระมีอะไรบ้าง และที่เสียว่าเปล่ามากที่สุดอาจจะเป็นการพยายามทำให้คนเชื่อนิยามที่ตั้งขึ้นมาว่าถูกต้อง

พุทธศาสนาไม่ได้ใช้ "ตรรกะ" เพียงอย่างเดียวแน่ๆ เพราะขนาดใน lineage ที่เน้นคัมภีร์สุดอย่างเถรวาทก็ยังให้ credit ของคำ "ศรัทธา" อย่างชัดเจน เพียงแต่ศรัทธาที่ใช้ไม่ได้เป็น blind faith หรือการเชื่อที่ไม่ได้ผ่าน critical appraise (เหมือนกับเวลาเราอ่าน journal นั่นแหละครับ) ยกตัวอย่างการที่ผู้เริ่มศึกษาจะต้องลอง "สละเพศคฤหัสถ์" ออกบวชและศึกษาพระธรรม มาเป็นส่วนหนึ่งของ "พระรัตนตรัย" ตรงนี้ดูเผินๆมันไม่ได้มีตรรกะ เหตุผลอะไร แต่เป็นการแสดงความแน่วแน่มุ่งมั่น คล้ายๆพระเจ้าตากทุบหม้อข้าวก่อนบุกจันทบุรีอะไรทำนองนั้น เหล่านี้อาจจะเป็นแค่ gesture จะทำหรือไม่ทำก็อาจจะไม่มีความหมายอะไร แต่ก็ไม่ใช่ประเด็นสำคัญที่เราจะต้องมาถกเถียงว่าถูกหรือผิด ยกเว้นจะลองexercise การอภิปรายเล่นๆ

ศรัทธาในทางพุทธนั้นปรากฏว่าถูกนำมาดัดแปลงใช้ "ทดสอบ" ความมั่นคงและเชื่อว่าสิ่งที่เรากำลังทำนำไปสู่เป้าหมายเบื้องปลายจริง และเรา "ควร" จะสอบถามตนเอง ตรวจสอบตนเองว่ามันอยู่บนทางที่เรากำลังเดินด้วยรึเปล่า จริงๆแล้วผลข้างเคียงก็คือคัมภีร์พระไตรปิฎกนั้น ผู้ศึกษานับร้อยนับพันปีถูก "เชื้อเชิญ" ให้ตรวจสอบ ศึกษา และ "ปฏิบัติ" ก่อนที่จะเชื่อเต็มที่ว่าจริง ใครจะคิดว่าอย่างไรไม่ทราบ แต่อุบายนี้ผมว่าเป็นกลไกที่มีประสิทธิภาพสูงมากในการป้องกันการตีความผิดๆ และการสั่งสอนโดยผู้ไม่รู้เท่าถึงการณ์ เลยเถิดไปเป็นแขนงแปลกๆ และผ่านพ้นการทดสอบของการเวลามาได้ยาวนานอย่างที่เห็น แม้การไหว้เคารพพระพุทธรูปจะดูคล้ายๆ ritual gesture ของศาสนากลุ่ม Theistic religions แต่เนื้อแท้ไม่ใช้การไหว้เพื่อขอทำ salvation (คำนี้แปลยาก อาจจะเกินความสามารถในการถ่ายทอดของผม คล้ายกับการขอให้ปกป้องจากบาป ขอความคุ้มครองจากกรรมหรือสิ่งชั่วร้าย ซึ่งไม่ใช่บริบทของการไหว้ของเรา) หากแต่เป็นการแสดงกิริยาความเคารพนับถือซึ่งความลึกซึ้ง บริสุทธิ์แห่งพระรัตนตรัย

ผมเห็นด้วยกับคุณเมกุมิประเด็นที่ว่าพุทธศาสนาจะไม่บอกให้ใครเชื่ออะไรหรือว่าอะไรว่าตามกันแน่ๆ ที่ผ่านมาประเด็นที่ผมยกมาคือความเป็นศาสนาหรือปรัชญามีการถกเถียงกันมานานมากแล้ว แล้วผลคืออะไร? ถ้าเราเชื่อในทฤษฎีพฤติกรรมศาสตร์เกี่ยวกับ ความรู้ เจตคติ และพฤติกรรม เราจะเห็นว่าจากการที่เราเปิดให้คนสามารถ explore พุทธศาสนาอย่างเปิดเผย เชิญชวนมาปฏิบัติ "ลิ้มรสพระธรรม" ด้วยตนเอง (ซึ่งเป็น "วิธีเดียว" ในการที่จะทำให้เกิดความเข้าใจ) พระพุทธศาสนาก็ยังยั่งยืนมายาวนานที่สุดเท่าที่ศาสนาหลักบนโลกนี้มีอยู่อย่างสันติสุข ความ unique ของศาสนาพุทธ ที่ scripture เปิดให้ผู้ศึกษาตีความและอภิปรายถกกันไม่ว่าเชื้อชาติไหน ภาษาใด นั้นเป็น self-evidence ของสิ่งที่พวกเราเชื่อว่าเป็น "สัจธรรม" ใช่หรือมิใช่?

ผมคงไม่ qualified ที่จะบอกว่า version ไหนถูกผิด และไม่ qualified ที่จะให้ "นิยาม" ของคำว่าอะไรเยี่ยงไรทั้งสิ้น ขอเรียนต่อไปเรื่อยๆก่อนครับ (อีกสักสองสามร้อยชาติกระมัง)



Posted by : Phoenix , Date : 2004-11-16 , Time : 17:43:14 , From IP : 203.156.42.233

ความคิดเห็นที่ : 4


    ท่านมองไกลเกินไป
ธรรมดาคนเรา เกิดมาย่อมมีสติอันตั้งอยู่ไว้ตามกำลังปัญญา
ตามหาสุข สนุกสนาน ไปตาม กำลังสติปัญญาที่มี

คนทำดีก็สุขดี คนทำไม่ดีก็สุกไหม้

แต่ไฉนเลย พระศาสดาท่านจึงให้สละทุกสิ่งเพื่อให้รู้จักอริยสัจ4

เหตุก็คือ ผู้ไม่แพ้ ไม่ชนะ ย่อมเกิดความสงบ ผู้ไม่แพ้ ไม่ชนะนั่นแหละ
คือหลักสำคัญ
ศาสนา ดำรงอยู่ด้วยคน ท่านต้องดำรงให้คนมาทำตาม
ท่านจึงไม่ค้านโลก โลกว่าอย่างไรดี ก็ดี อย่างไรร้ายก็ร้าย
เกิดมาแต่เหตุ มีผลตามมาทั้งสิ้น

การนั่งสมาธิ มองผิวเผิน เหมือนนั่งธรรมดา สัปหงก ไม่ได้การงาน
อะไร

แต่ทำไม องค์ศาสดาถึงสอนว่าให้ดำเนินกรรมฐานตาม มหาสติปัฏฐาน 4
ก็เพื่อความเป็นกลาง ในสิ่งต่างๆ
ปรัชญา ศาสนา หรืออะไรจิปาถะ ก็แล้วแต่โลกจะตั้งชื่อเรียก
กระบวนการ หรือ กิจกรรม ก็แล้วแต่ไม่สำคัญ อะไรทั้งสิ้น
พุทธศาสนา ก็คือ การกระทำตามสิ่งที่ควรกระทำทั้งความคิด จิตใจโดยผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน เป็นผู้สั่งสอน แนะนำ


ท่านจะคิดจะกอบกำเอาความรู้ไว้ ก็เรื่องหนึ่ง
ท่านจะปฏิบัติตามก็อีกเรื่องหนึ่ง
เหมือน ปริยัติ ปฏิบัติ ก็แยกกันไป หากท่านจะมัวตีความไปใยเสียเวลาเปล่า
ความเห็นท่านบางส่วนก็ถูก ท่านมีแผนที่ไม่เดินตามก็ไม่ถึง
มัวมากังวัลว่าแผนที่จะถูกหรือไม่ก็ คงจะช้า น่าจะใช้ปัญญาที่มีคิดดูให้ดี

ท่านจึงมีบทที่ว่า ควรจะนำเอาธรรมมาใส่ใจ

เพื่อที่จะได้ไม่เสียเวลา ลังเล ในภาระของชีวิต

การที่พระพุทธองค์ทรงดำเนินด้วยพระบาท เจ็ดก้าว มีดอกบัวมารองรับเป็นเรื่องจริงแท้

การที่ข้าพเจ้ายกปฏิจจสมุทบาทขึ้นมาก็เพื่ออยากให้ท่านคิดว่าสิ่งเหล่านี้จริงไหม
เป็นไปได้หรือไม่
แต่ว่า มันเป็นเรื่องของ ตัวเอง รู้ด้วยตัวเอง

หากท่านอยากรู้จริง ก็ขอให้ท่านปฏิบัติมากกว่านี้ ข้าพเจ้า ขอให้ท่านพบกับสิ่งที่ท่านหวัง และพบกับสิ่งที่ดี โดยที่ท่านไม่ได้หวังไว้ ขอให้อาจารย์สอนหนังสืออย่างมีความสุขครับผม


Posted by : Fahrenheit 9/11 , Date : 2004-11-19 , Time : 04:37:28 , From IP : 203.156.62.77

ความคิดเห็นที่ : 5


   --->ในบรรดาเรื่องราวไร้สาระที่พวกเรากระทำกันอยู่ทุกวี่วันนับไม่ถ้วนนั้น ประการหนึ่งคือการพยายามให้นิยามว่าอะไรคือไร้สาระ อีกประการหรือการพยายามบอกว่าไร้สาระมีอะไรบ้าง

อันนี้ไม่ค่อยเห็นด้วยครับ การพยายามแสวงหาสิ่งที่เป็นสาระ นี่เป็นเรื่องไร้สาระด้วยเหรอครับ เพราะทุกอยางที่ทำนั้นเราก็ต้องคิดก่อนอยู่แล้วว่ามันมีสาระอย่างไร เป็นคุณหรือโทษอย่างไร หรือจะให้ประโยขน์อะไรบ้าง

แล้วอีกอย่างประโยคนี้ก็กำลังขัดแย้งในตัวเอง เพราะกำลังตัดสินว่าอะไรเป็นเรื่องราวไร้สาระ


Posted by : ตู้ระเบิด , Date : 2004-11-19 , Time : 17:42:31 , From IP : 61.19.201.135

ความคิดเห็นที่ : 6


   เพราะการพยายามตัดสินที่ว่ามันเป็นเรื่องไร้สาระไงครับ ฉะนั้น เห็นด้วย แต่คงไม่มีอะไรขัดแย้งในตัวเอง สิ่งที่เราทุกคนทำกันอยู่ทุกวันนั้นมันไม่ได้มีสาระ 100% แน่นอน และตราบใดที่เราไม่ได้ "ครอบ" สาระของเราให้กับผู้อื่น หรือเอาแค่ "แลกเปลี่ยนความคิดเห็น" เวทีบานนี้จะมีแต่ผลบวก ไม่เกิดผลลบ

ดังที่ได้ชี้แจงในกระทู้แรก คงไม่มีใคร "ฟันธง" ว่าอะไรเป็นหรือไม่เป็นอะไร ทีนี้ถ้าเราจะมองจาก perspective ที่ก้าวถอยมาอีกนิด อาจจะเกิดปุจฉาวิสัชนาขึ้นมาเองว่า อย่างไหนจะนำไปสู่อะไร แบบว่าเป็นการ exercise ความคิดอะไรทำนองนั้นแหละครับ ถ้าเราติดอยู่กับ DOGMA อย่างนี้ก็ห้าม อย่างนี้ก็ดีแล้ว อย่างนี้เชื่อไปเลย มันก็ไม่สนุก ไม่สมกับที่เราบำเพ็ญเพียรสร้างปัญญามาใช้

ความคิด Idea ที่ว่าพุทธศาสนาเป็นศาสนานั้นไม่แปลกอะไร เพราะประเทศที่นีบถือก็คิดว่ามันเป็นยังงี้มาแต่ไหนแต่ไร ผมอยากจะเดาว่ามันน่าจะเริ่มจากคนที่ไม่ได้นับถือพุทธอย่างศาสนามามองหาดูว่าเพวกเรากำลังทำอะไรกันอยู่นะ มันช่าง intriguing และน่าสนใจดี ปรากฏว่ามีเพื่อนผมที่ศึกษาปรัชญาหลายคนที่นับถือศาสนาอื่นๆ สามารถอุทิศเวลามาศึกษาพุทธศาสนามากจนถึงระดับปฏิบัติเพราะประเด็นที่ว่าของเรามีส่วนที่คล้ายปรัชญาอยู่เยอะในเรียนนี่เอง เพราะศาสนานั้นบางครั้งจะเกิด dilemma หากผู้นับถือจะจงใจไปศึกษาศาสนาอื่นๆหรือ "ลองดู" โดยเฉพาะศาสนาที่เป็น Theism-based แต่หากถ้าเปิดช่องเป็นการศึกษาปรัชญาความคิด อุดมคตินี่สามารถ "เข้ากันได้" กับการดำเนินชีวิตในทุกสังคม

จะว่าไปในทางปฏิบัติ จากการที่พุทธศาสนาถูกศึกษาเชิงปรัชญาได้นั้น ทำให้มีหลายๆคนสามารถศึกษาหาความรู้เรื่องนี้ไปพลางๆ ไม่ว่าจะนับถือศาสนาอะไรอยู่ การที่เราไม่ต้องมีการ register ว่าเป็นพุทธมามกะก่อนหรือ "ต้อง" เป็นอย่างนี้ "ต้อง" ทำอย่างนั้นก่อน ทำให้แนวการศึกษาทางนี้เปิดกว้าง ผมว่าสำหรับมุมมองนี้ ในฐานะคนในวงการศึกษา เป็นเรืองที่ healthy ต่อกระบวนการเรียนรู้ การศึกษา และการเปิดกว้างต่อสิ่งใหม่ๆอย่างยิ่ง

มีสองสามเหลี่ยมพฤติกรรมที่น่าสนใจ อันนึงของ ศ.นพ.ประเวศ วะสี คือความรู้ สื่อสาร และการเมือง อีกอันหนึ่งสำหรับทฤษฎี behavioral science คือ ความรู้ เจตคติ และพฤติกรรม มั้งสองถึงแม้จะกล่าวถึงสองระดับคือ มหภาค และ จุลภาคหรือปัจเจก แต่เราพอจะมองเห็นว่าพฤติกรรมนั้น ย้อนกลับไปจะมาจาก "ข้อมูล" ที่มีอยู่ในตัวบุคคลก่อนเหมือนกัน หลังจากนั้นผ่านการปรุงแต่งจากประสบการณ์ วิถีความคิด และสิ่งแวดล้อมกรองออกมาเป็นความเชื่อ ปุคลิก วิธีปฏิบัติ ในความเห็นส่วนตัวของผมก็คือ ทุกๆศาสนานั้นมีส่วนที่เป็นปรัชญาที่น่าสนใจ และมีค่าพอที่ใครก็ได้จะศึกษาหาความรู้ ปรัชญาหรือความคิดนั้นเป็นสมบัติกลางไม่มีอาณาบริวณ ขัณฑสีมากั้น จะมีก็เพียงแต่ prejudice ที่ปัจเจกบุคคลได้กางกั้นไว้ก่อนที่จะเป็นอุปสรรค




Posted by : Phoenix , Date : 2004-11-21 , Time : 18:20:40 , From IP : 172.29.7.204

ความคิดเห็นที่ : 7


   การที่พระพุทธองค์ทรงดำเนินด้วยพระบาท เจ็ดก้าว มีดอกบัวมารองรับเป็นเรื่องจริงแท้


ประเด็นนี้และอีกหลายประเด็นทำนองเดียวกันในพุทธประวัตินั้น ผมว่าน่าศึกษาหาความรู้ครับ พระพุทธเจ้านั้น หากบันทึกพระสูตรต่างๆถูกต้องแม่นยำ ท่านเป็นครูที่ "เลือก" วิธีการที่จะสื่อกับผู้เรียน ผู้ฟัง ณ ขณะนั้นๆเป็นอย่างยิ่ง เพื่อให้ "แก่น" ของสิ่งที่จะสื่อนั้นสามารถและถูกถ่ายทอดไปได้ กลยุทธนี้รวมไปถึงการเลือกที่จะ "ไม่สื่อ" เลยก็มีในกรณีที่ท่านพิจารณาผู้ถามนั้นมีความใบ้บ้ามัวเมาและยังไม่พร้อมที่จะเรียนหรือมาเพื่อลองดีเฉยๆ

หากสมมติฐานข้างต้นเป็นจริง จากการที่สื่อสารต้องขึ้นกับสามส่วนเสมอคือ ผู้สื่อ บริบท และผู้รับ หากพิจารณาพวกเราในฐานะ "ผู้รับ" แล้ว เราอาจจะพบว่าพวกเรานี้เสียเปรียบผู้ที่รับฟังคาถาจากพระตถาคตโดยตรงอยู่หลายขุม อันนึงคือท่านไม่ได้ประเมินเราก่อนครับว่าพวกเรามีบริบยทความเชื่อ พื้นฐานบารมี ความเข้าใจภาษา ขนบธรรมเนียมอย่างไรเหมือนอย่างที่ท่านมีโอกาสไตร่ตรองตอบปุจฉาต่างๆในพระสูตรที่เรานำมาอ่านกัน ถ้าหาก คนในปัจจุบันถามคำถามทำนองเดียวกัน มองเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้น ก็อาจจะเกิดมุมมอง การแปลความที่แตกต่างกันออกไป ตามบริบทของผู้บันทึกนั้นๆเหมือนกัยกระบวนการเรียนรู้ธรรมดาๆ

ฉะนั้นในฐานะที่ผมเคยเห็นทารกแรกเกิดมาหลายคน ผมคิดว่าเป็นประเด็นที่น่าสงสัยหรือตีความว่าเราควรจะ take literally ตามบันทึก ตามตัวอักษรหรือไม่ว่าเจ้าชายสิทธัตถะจะเดินเจ็ดก้าวทันทีที่ประสูติออกมาจากพระครรภ์ของพระนางสิริมหามายา (สำหรับผู้ที่ไม่ได้เรียนแพทย์ หรือเลี้ยงเด็กมาก่อน ปกติเด็กจะเดินได้ประมาณอายุ 15 เดือนครับ) และหลังจากเจ็ดก้าวแรกนี่ท่านสูญเสียความสามารถในการเดินไปแล้วพัฒนาการตามปกติ หรือว่าทำอะไรๆที่แสดงถึงการพัฒนาการที่ล้ำหน้าทางกายนี้ต่อไป ส่วนดอกบัวที่ตามรองรับพระบาททุกๆย่างก้าวนั้น ในทางปฏิบัติคงจะน่ารำคาญน่าดูโดยเฉพาะอย่างยิ่งขณะที่ไม่ได้สวมรองพระบาท จะเป็นไปได้หรือไม่ว่าว่าทั้งหมดนี้จะสรุปออกมาเพียงว่าเจ้าชายสิทธัตถะเป็นคนมีบารมีและแตกต่างจากคนอื่อนๆ หรือเป็นสารคดีเชิง Epic ที่สอดใส่ปาฎิหาริย์ต่างๆเป็นการแสดงการเชิดชูพระเกียรติ พระเดช พระบารมีของท่าน?

ผมคิดว่าประเด็นนี้เป็นส่วนปลีกย่อยที่ไม่ได้มี relevance ต่อแก่นพระธรรมหรือคำสอนของท่าน แต่จะทำให้เราเกิดความรู้ความเข้าใจในภาษา วัฒนธรรม ประเพณีของชาวพื้นที่เมื่อ 2500+ ปีก่อน ผมัยงไม่เคยประเมินว่า ถ้าเกิด เราเชื่อตามตัวอักษรแล้วมันเกิดไม่ได้จริงตามนั้นจะสามารถมี collateral damages อะไรได้บ้าง ก็คงยกเป็นประโยชน์ตรงนี้ว่ายังไม่เห็นโทษก็แล้วกัน หรือกลับกันว่าความเชื่อตรงนี้เป็น minimal requirement ตอใครก็ตามที่จะศึกษาพระธรรมคำสั่งสอนก็คงไม่มีการสรุปอย่างนั้น



Posted by : Phoenix , Date : 2004-11-21 , Time : 18:40:24 , From IP : 172.29.7.204

ความคิดเห็นที่ : 8


    นกอินทรีย์ ก่อนจะบินกระพือปีกกี่ที
เต่าก่อนที่จะเดินลงทะเล ต้องคลานกี่ที

หากเราต้องการมองที่นกบิน สนใจทำไมเรื่อง นกกระพือปีกกี่ทีก่อนจะบิน
เต่าว่ายในน้ำได้ สนใจทำไมเรื่องต้องคลานกี่ที


เรื่องพุทธภูมินั้น ความจริงเป็นเรื่องสูง
เป็นเรื่องส่วนของพระพุทธองค์
ท่านเป็นคนบอกเองหรือไม่ว่าท่านมีดอกบัวกี่ดอกรองที่เท้า
ท่านเองไม่บอกหรอก

ในหลวงเสด็จไปไหนทำไมมีคนมาคุ้มกันมากมาย
หรือต้องเป็นข่าวหน้าหนึ่งในหนังสือพิมพ์ทุกครั้งที่พระองค์ทรง
เสด็จกระทำอะไรด้วยพระองค์


ฉันใด ไม่ต้องสนใจหรอกว่า ดอกบัวที่มารองนั้นมีจริงหรือไม่ไม่สำคัญ
อยากให้สนใจเฉพาะ อรรถ และธรรม

ข้าพเจ้าคงไม่มาตอบกระทู้นี้อีกแล้วครับ
ก็อยากให้เข้าใจคนอธิบายบ้าง หากท่านคิดจะเอา สิ่งนั้นมาอธิบายสิ่งนี้
อธิบายได้หมด มันก็เท่านั้น เพราะว่า ท่านไม่ศรัทธา ไม่เข้าใจว่า
บาป บุญ มีจริง กรรมก่อให้เกิด ความแตกต่าง
คนไม่ทำบาป ก็ต่างจากคนทำทั้งบุญทั้งบาป
คนที่รู้ด้วยตัวเอง ก็ต่างจากคนที่อธิบายได้

บารมี 10 ทัศน์
1.ทาน พระโพธิสัตว์ท่าน นำดวงตาออกมาเป็นทานมากกว่าดวงดาวในอากาศ
ศีรษะ ก็ตัดออกเป็นทาน ถ้านำมากองก็สูงกว่าภูเขาทั้งหมดในประเทศไทย

ท่านเชื่อไหม แต่สิ่งเหล่านี้จริง
ยังไม่นับอีก 9 อย่างที่ พระโพธิสัตว์ท่านทรงบำเพ็ญ

ดอกบัวที่รองรับพระบาทของพระพุทธองค์ คือ สิ่งที่รองรับของสูง
ท่านบำเพ็ญเพื่อโปรดสัตว์ ไม่ได้เกิดมาด้วยความหลง



Posted by : Fahrenheit 9/11 , Date : 2004-11-26 , Time : 00:51:18 , From IP : 203.156.39.26

ความคิดเห็นที่ : 9


   ผม "เลือก" ศรัทธาเป็นส่วนๆครับ ผมไม่ใคร่สบายใจกับ concept ของ blind faith เท่าไหร่ แต่มีเพื่อนสนิทผมหลายคนที่มี blind faith บางเรื่องแต่ก็เป็นนักวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อเสียงระดับนานาชาติได้

จริงๆแล้วจากการสงสัย ทำให้ศึกษา ก่อให้เกิดการลองปฏิบัติ พิสูจน์ได้ด้วยตนเอง มั่นคงว่าดี มี conviction มาถูก ศรัทธานี้สามารถทนต่อการ challenge และเชิญชวนคนมาทดสอบ และสำเร็จมากว่าสองพันห้าร้อยกว่าปี

พุทธะ นั้นเป็นของคนทุกคนในความคิดของผม และอยู่ในตัวคนทุกคน ผมไม่ใคร่เข้าใจคำ abstract ว่าอะไรเป็นของสูงกลางต่ำ แต่เชื่ออยู่อย่างหนึ่งว่าสิ่งเหล่านี้มีประเด็นที่น่าสนใจ ปฏิบัติได้ และรอเก็บเกี่ยวผลได้ โดยไม่ต้องพึ่งอุบาย สิ่งมหัสจรรย์ ปาฏิหาริย์มาประกอบ จุดประสงค์ในทางปฏิบัติของพุทธศาสนานั้น ผมเข้าใจว่าเราไม่ได้ต้องการสำเร็จฌานมหัศจรรย์ รำลึกชาติ แต่อยู่ที่วิถีแห่งการพ้นทุกข์แค่นั้น

ไม่ใคร่เข้าใจอุปมาอุปไมยเรื่องข่าวหน้าหนึ่งเวลาเสด็จ หรือเรื่องคนคุ้มกันครับ และเรื่องนกอินทรีย์กระพือปีกหรือเต่าก้าวเดินครับ ถ้าว่างอาจจะช่วยขยายความให้ความรู้อีกสักนิดจะเป็นพระคุณอย่างสูง

สรุปแล้วผมเห็นด้วยร้อยเปอร์เซนต์ที่ว่า แก่นเท่านั้นที่เราน่าจะ care ที่จะศึกษา ส่วนเกร็ดนั้น ไม่ใช่ Big deal ที่จะต้อง defend อะไร สิ่งที่เรานำมาเผยแพร่ ณ ที่นี้ บ้างเป็นสิ่งที่เรารู้ บ้างเป็นสิ่งที่เราอ่าน บ้างเป็นสิ่งที่เราเข้าใจ และบ่อยครั้งไม่แพ้กันเป็นสิ่งที่เราเชื่อโดยไม่รู้ ไม่ได้อ่าน หรือไม่ได้เข้าใจ ผมเองก็คิดว่าไม่แปลกอะไรที่จะมีการเชื่อแบบนี้ สิ่งที่ปัจเจกบุคคลมองเห็นขณะนั่งสมาธิ หรือวิปัสสนานั้นคงไม่ใช่สิ่งที่อธิบายเป็นคำพูด ในทำนองเดียวกับการพยายามอธิบายนิพพานคืออะไร ผมคิดว่าไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรอีกเหมือนกันที่แต่ละคนจะกลไกในการเชื่ออะไรสักอย่างไม่เหมือนกัน มีความต้องการหรือที่มาก่อนจะเชื่ออะไรไม่เหมือนกัน



Posted by : Phoenix , Date : 2004-11-26 , Time : 01:41:30 , From IP : 172.29.7.100

ความคิดเห็นที่ : 10


   PS: ช่วยเล่าให้ฟังเรื่องพระโพธิสัตว์ตัดศีรษะเป็นทานให้พวกเราหน่อยได้ไหมครับ ไม่แน่ใจว่าเคยรับฟังมารึเปล่า เลยบอกไม่ได้ว่าเชื่อหรือไม่



Posted by : Phoenix , Date : 2004-11-26 , Time : 07:39:03 , From IP : 172.29.7.174

ความคิดเห็นที่ : 11


   คะวะโยลอก

Posted by : คะวะโย , E-mail : (โคนามิแมน) ,
Date : 2005-12-26 , Time : 18:47:18 , From IP : 202.57.159.135.rev-i


ความเห็นจาก Social Network : Facebook


สงวนสิทธิ์การแสดงความคิดเห็นสำหรับ สมาชิกเท่านั้น
>>>>> Page loaded: 0.008 seconds. <<<<<