ความคิดเห็นทั้งหมด : 23

Debate LXXIX: "โพย" จะตัดตอน หรือ ยั่งยืน?


   มีปุชฉา และวิสัชนาเรื่องนี้มาหลายครั้ง ส่วนใหญ่เป็นการนำเสนอข้อดีข้อเสีย คราวนี้ผมอยากจะให้ดันไปอีกระดับหนึ่งคือ แล้วเรา "ควรจะทำอย่างไรกับโพย หรือวัฒนธรรมโพย?"

การอภิปรายในภาคทฤษฎีช่วยให้เกิดความหลายหลายมุมมอง ทีนี้ผมจะขอให้เรามองไกลไปอีกหน่อย เลยขั้นตอนการสอบ เอาไปถึงขั้นตอนที่เราจะ "ดึง" ความรู้มาใช้ตอนจบอะไรทำนองนั้น และอาจจะไปถึงผลกระทบต่อ "รุ่นน้อง" ที่เราอาจจะต้องมาพิจารณาว่ามันจะมีผลดีหรือผลเสียอย่างไรจากการที่เราเก็บ สร้าง และถ่ายทอดโพย

Be Mature, Be Positive, and Be Civilized



Posted by : Phoenix , Date : 2004-11-07 , Time : 11:27:21 , From IP : 203.156.41.129

ความคิดเห็นที่ : 1


   ไม่มีทางที่จะไม่มีโพย เกิดขึ้นเลย อย่างน้อยรุ่นน้องถามก็บอกแนวข้อสอบไป บางคนสอบเสร็จเขียนใส่กระดาษไว้กันลืม
ในมุมมองนักศึกษา บางครั้งเราได้โพยมา ข้อสอบออกตรง จะรู้สึกสองอย่างคือ สบายแล้วเรา แต่อีกแง่ไม่ค่อยภูมิใจกับคะแนน ถ้าเราไม่ได้โพย (แต่มีโพย) เราก็จะตำหนิเพื่อนที่เก็บกักโพย และตำหนิผู้ออกข้อสอบที่ออกตามโพยทำไมไม่เปลี่ยนหรือพลิกแพลงบ้างหนอ หรือไม่มีเวลาออกข้อสอบ
โพยมีข้อดีคือสร้างความอุ่นใจ ประมาณว่ารู้เขารู้เรา ขนาดสอบเอนทรานซ์ยังมีข้อสอบสิบปีย้อนหลังให้ฝึกทำ คณะวจก กับวิศวะ ก็มีคลังข้อสอบให้ดาวโหลดทางเว็บห้องสมุดคุณหญิงหลง
ความรู้ทางการแพทย์มากมายไม่จบสิ้น เปลี่ยนใหม่ทุกปี ถ้าเป็นไปตามอุดมคติ ข้อสอบก็น่าจะต้องพลิกแพลงบ้าง แม้ว่าหลักการยังคงเหมือนเดิม
แต่ที่แน่ๆ ยอมรับเลยว่า MEQ บางข้อถ้าไม่ได้เตรียมตัวท่องโพย ก็คงร้อนๆหนาวๆ กับเวลาอันระทึกใจ
จงเขียนประเภทยาและกลไกของยา XXX ทั้งหมด (๕ นาที คะแนนเต็ม ๑๕ คะแนน)
........................................................................................................................................................................................................................................................................................................................
และก็เป็นความจริงอันน่าทึ่งว่า อะไรที่เป็นโพย เป็นข้อสอบ มันจำแน่นฝังลึก มากกว่าอะไรที่ไม่เอามาออก ยิ่งถ้าตรงโพย ลืมท่อง แล้วออก หรือไม่ตรงโพย แล้วออก ......Rokitansky-Aschoff-Sinus
ใครจะท่องแต่โพย เพื่อสอบผ่าน หรือดูโพยก่อนสอบเพื่อความชัวร์ แล้วแต่บุคคลและช่วงเวลาที่บีบรัด


Posted by : โพยคู่ฟ้า , Date : 2004-11-07 , Time : 16:27:28 , From IP : 172.29.4.191

ความคิดเห็นที่ : 2


   ก็ไม่ปฏิเสธนะว่า ตัวเองก็ใช้โพย เหมือนกัน แต่เป้าหมายในการอ่านโพย ผมว่าแตกต่างกันในแต่ละคน ส่วนของผม ผมตั้งเป้าไว้ว่า "ต้องรู้ให้มากกว่าโพย" โพยไม่ได้ถูกเสมอไป บ่อยครั้งที่เฉลยผิด เวลาผมอ่านโพยหนึ่งข้อ ผมจะถามตัวเองว่า รู้เรื่องที่ควรรู้เกี่ยวกับข้อนี้หรือยัง เช่น หากถามว่า upper GI bleeding มักเกิดจากสาเหตุใด สิ่งทีผมคาดหวังว่าตัวเอง ควรรู้ คือ รู้ได้อย่างไรว่าผู้ป่วยเป็น upper GI bleeding แล้วจะซักประวัติอะไร ตรวจร่างกายอะไร รักษาเบื้องต้นได้อย่างไร เมื่อผมคิดดังนี้ หากข้อสอบ "เปลี่ยนโพย" ผมก็สามารถตอบได้เพราะผมรู้เรื่อง ที่ควรรู้เกี่ยวกับ GI bleeding ในความคิดของผม "โพย" คือ แนวทางในการอ่านหนังสือเตรียมสอบเหมือนตอนข้อสอบ ent ผมจำได้สมัยที่สอบ ent เวลาอ่านโจทย์ ผมแทบตอบได้ทันที แต่หากถามว่า ผมเข้าใจในสิ่งที่ตังเองตอบไหม ผมก็ภูมิใจ ว่าผมสามารถอธิบายได้ว่าทำไมผมจึงตอบข้อนี้ ประสบการณ์ที่ผมเจอมา เพื่อนๆ มักจะกังวลกันว่า " มีการกั๊กโพย " ผมว่าหากลองใช้วิธีอ่านโพยดังข้างต้นก็ไม่ต้องกลัว สรุป คือ "โพย คือ ตำราเล่มหนึ่ง " " ขึ้นอยู่กับเจ้าของโพยว่า จะอ่านแบบได้ความรู้คู่ตัว หรือ แค่เพียงสอบผ่านเป็นครั้งๆไป" ผมว่า ทำอย่างไรให้เราให้ประโยชน์จากโพยให้คุ้มค่าและถูกทางนั่นแหละสำคัญ

Posted by : Ray , Date : 2004-11-07 , Time : 19:46:10 , From IP : 172.29.4.119

ความคิดเห็นที่ : 3


   สิ่งที่ได้จากโพย นอกเหนือจาก โอกาศที่จะการสอบผ่าน คือความรู้ครับ เพราะการอ่านโพย เหมือนกับการที่เรา อ่านโน้ตย่อนั่นเอง อีกอย่าง ความรู้ หลาย อย่าง ก็ได้จากการอ่านโพย โดยที่ในตำรา เราไม่สามารถหาอ่านได้ นอกจากนั้นแล้ว ผม เชื่อว่า คนอ่านโพยทุกคน ย่อม ต้องมีคำถาม กันมาในใจว่าไอ้ที่เฉลย เนี่ย มันถูกป่าว หลายครั้ง ที่เห็นคำตอบในโพย แล้วต้องไปเปิดตำราดูว่า มันจริงป่าว อีกอย่าง การอ่านโพย ทำให้เราได้รับรู้ว่า เราจะต้องเจอกับอะไร หมายถึงเราจะรู้ว่าข้อสอบจะออกแนว ใหน
และเหนือสิ่งอื่นใด คงไม่มีใครอ่านแต่โดยไปสอบ เพียงอย่างเดียว โพย คือส่วนหนึ่ง ของสิ่งที่ต้องอ่านไปสอบ ไม่ใช่ทั้งหมดที่ต้องสอบ ถ้าอยากให้โพย หายไป นอกจาก แก้ที่ตัวผู้สอบ แล้ว คนออกข้อสอบ คงต้องขยันมากขึ้น ในการออกข้อสอบครับ


Posted by : Dr K , Date : 2004-11-07 , Time : 21:00:12 , From IP : 202.28.179.1

ความคิดเห็นที่ : 4


   สิ่งที่ได้จากโพย นอกเหนือจาก โอกาศที่จะการสอบผ่าน คือความรู้ครับ เพราะการอ่านโพย เหมือนกับก%

Posted by : Dr K , Date : 2004-11-07 , Time : 21:02:48 , From IP : 202.28.179.1

ความคิดเห็นที่ : 5


   -อ่านโพยก็ไม่แปลก ผมไม่แน่นยุทธวิธี ขอให้สำเร็จวัตถุประสงค์ก็พอ
ตอนเป็นนศพ.ขอให้สอบผ่าน แต่ก่อนจะจบเป็นแพทย์ต้องมีความรู้ความเข้าใจในโรคที่ถูกต้องและสามารถรักษาผู้ป่วยได้ถูกต้อง อย่าลืมว่าโพยไม่ใช่standard text book ดังนั้นจะนำมาอ้างอิงในศาลไม่ได้


Posted by : megumi , Date : 2004-11-07 , Time : 21:03:33 , From IP : 172.29.3.249

ความคิดเห็นที่ : 6


   แล้วโพยมีผลเสียบ้างไหมครับ?



Posted by : Phoenix , Date : 2004-11-07 , Time : 22:02:02 , From IP : 203.155.183.239

ความคิดเห็นที่ : 7


   ผมคิดว่าการมีโพยเป็นเรื่องธรรมชาติมาก ไม่รู้ว่าไอพวกที่ชอบบ่นมันจะมางี่เง่ากำเรื่องโพยทำไม ปัญญาอ่อนว่ะ ขอบอกพวกที่ชอบบ่นเรื่องโพยนะว่ามืงโง่เองที่มืงได้คะแนนน้อยแล้วมาโทดโพย คุณอย่าโทดสิ่งแวดล้อมสิ ตัวคุณควายเองอย่าโทดนู่นโทดนี่ แล้วข้อสอบเอนท์ก็ยังมีโพย ถามหน่อยเหอะคุณสอบเข้ามาเรียนแพทย์คุณทำข้อสอบเอนท์เก่าๆมั้ย? ถ้าคุณทำคุณก็หากินกับโพยเหมือนกัน เพราะฉะนั้นคุณอย่าเสือกบอกว่าไม่อยากให้มีโพย เพราะคุณก็ใช้โพยเหมือนกัน แต่ถ้าใครเรียนโดยไม่เคยทำข้อสอบเก่าๆเลยนั่นคือไม่เคยใช้โพยเลย ผมก็ขอยกย่องก็แล้วกันว่าคุณเก่งจิงๆนะคับ

Posted by : เด็กใช้โพย , Date : 2004-11-08 , Time : 01:29:23 , From IP : 203.150.217.117

ความคิดเห็นที่ : 8


   ผมคิดว่าการมีโพยเป็นเรื่องธรรมชาติมาก ไม่รู้ว่าไอพวกที่ชอบบ่นมันจะมางี่เง่ากับเรื่องโพยทำไม ปัญญาอ่อนว่ะ ขอบอกพวกที่ชอบบ่นเรื่องโพยนะว่ามืงโง่เองที่มืงได้คะแนนน้อยแล้วมาโทดโพย คุณอย่าโทดสิ่งแวดล้อมสิ ตัวคุณควายเองอย่าโทดนู่นโทดนี่ แล้วข้อสอบเอนท์ก็ยังมีโพย ถามหน่อยเหอะคุณสอบเข้ามาเรียนแพทย์คุณทำข้อสอบเอนท์เก่าๆมั้ย? ถ้าคุณทำคุณก็หากินกับโพยเหมือนกัน เพราะฉะนั้นคุณอย่าเสือกบอกว่าไม่อยากให้มีโพย เพราะคุณก็ใช้โพยเหมือนกัน แต่ถ้าใครเรียนโดยไม่เคยทำข้อสอบเก่าๆเลยนั่นคือไม่เคยใช้โพยเลย ผมก็ขอยกย่องก็แล้วกันว่าคุณเก่งจิงๆนะคับ

Posted by : เด็กใช้โพย , Date : 2004-11-08 , Time : 01:29:45 , From IP : 203.150.217.117

ความคิดเห็นที่ : 9


   ผมคิดว่าการมีโพยเป็นเรื่องธรรมชาติมาก ไม่รู้ว่าไอพวกที่ชอบบ่นมันจะมางี่เง่ากับเรื่องโพยทำไม ปัญญาอ่อนว่ะ ขอบอกพวกที่ชอบบ่นเรื่องโพยนะว่าคุณโง่เองที่คุณได้คะแนนน้อยแล้วมาโทดโพย คุณอย่าโทดสิ่งแวดล้อมสิ ตัวคุณควายเองอย่าโทดนู่นโทดนี่ แล้วข้อสอบเอนท์ก็ยังมีโพย ถามหน่อยเหอะคุณสอบเข้ามาเรียนแพทย์คุณทำข้อสอบเอนท์เก่าๆมั้ย? ถ้าคุณทำคุณก็หากินกับโพยเหมือนกัน เพราะฉะนั้นคุณอย่าเสือกบอกว่าไม่อยากให้มีโพย เพราะคุณก็ใช้โพยเหมือนกัน แต่ถ้าใครเรียนโดยไม่เคยทำข้อสอบเก่าๆเลยนั่นคือไม่เคยใช้โพยเลย ผมก็ขอยกย่องก็แล้วกันว่าคุณเก่งจิงๆนะคับ

Posted by : เด็กใช้โพย , Date : 2004-11-08 , Time : 01:30:15 , From IP : 203.150.217.117

ความคิดเห็นที่ : 10


   ไม่ทราบว่ามีวิธีแสดงออกบนกระดานสาธารณะที่สุภาพกว่านี้ไหมครับ?



Posted by : Phoenix , Date : 2004-11-08 , Time : 02:31:36 , From IP : 172.29.7.49

ความคิดเห็นที่ : 11


   ....ส่วนตัวผมไม่ใช้โพย....ไม่ใช่ไม่เคยใช้....เคยใช้ครับ....รู้สึกดีเหมือนกันเวลาไม่ได่อ่านหนังสือสักตัว...ท่องแต่โพยแล้วออกเหมือนโพยเป๊ะ....คะแนนก็จะดี....แต่พอทำไปสักพักรู้สึกทุเรศตัวเองครับ....แรกๆผมพยายามอ่านเพิ่มเติมอย่างที่คุณ Ray หรือหลายๆคนว่า....แบบนั้นได้ประโยชน์จริง....แต่พออยู่ไปๆ...ความขึ้เกียจเริ่มเข้าครอบงำจิตใจ....ทำให้อ่านแต่โพยอย่างเดียว....พอสอบครั้งนึงเจอโพยทรยศเข้า....ก็เลยตก....หลังจากนั้นเลยเริ่มรู้สึกว่าโง่ลงทุกวัน....ผมก็เลยทิ้งโพยซะ.....ไม่ทิ้งเปล่า....กลายเป็นพวกต่อต้านโพยด้วย....พยายามจะแสดงให้ใครๆเห็นว่าการที่เราจะได้ประโยชน์จากมันแล้วเป็นแค่บางคนเท่านั้น.....ยิ่งใช้ไปคนที่แย่ก็จะแย่มากขึ้น.....ผมไม่สนใจคนเก่งหรอก....พวกนั้นมักจะเก่งอยู่แล้ว....จะอ่านหรือไม่อ่านโพยก็ไม่ต่างกัน....

.....แต่ถึงตอบจบมาผมก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี....พยายามอ่านเองเท่าไร...ทำไมก็ยังสู้พวกอ่านโพยไม่ได้ซะที...เคยรู้สึกเสียใจอยู่บ้างว่าแพ้คนเก่งยังไม่เท่าไร...ทำไมต้องมาแพ้ให้ไอ้พวกขี้เกียจที่ไม่เคยอ่านหนังสือ....ดีแต่ท่องโพยงกๆ....สอบมาได้คะแนนดีๆ....เคยสงสัยว่า....เออออ....เรามันเลือกเดินทางผิดหรือเปล่า???....ผมได้แต่ปลอบใจตัวเองว่า....ถึงมันจะไม่ได้เกียรตืนิยมอะไร....แต่ก็ภูมิใจหละวะ...ในความรู้ต้อยต่ำที่มี.....พูดอย่างเต็มปากได้เลยว่า...เวลาที่ผมเรียนหมอจบมา...ผมไม่เคยใช้โพยเลยแม้แต่ครั้งเดียว.....[ก่อนหน้านี้ที่ใช้ตอนมัธยมครับ].....

.....เราควรจะภูมิใจในสิ่งที่มีและเป็นมากกว่าครับ....เพราะสุดท้ายที่เราเป็นหมอจบออกมาเพื่อมาช่วยเหลือคน....ความรู้ที่เรามีต่างหากคือสิ่งที่ช่วยคน...ส่วนอ่านแต่โพยโดยไม่อ่านอย่างอื่นเพิ่มเติม....มันทำอะไรไม่ได้หรอกครับ....เจอเข้ากับตัวเองแล้วจะรู้สึก.....สงสารแต่คนไข้ก็เท่านั้นหละครับ....

.....จะว่าไปที่ผมมาบ่นนี่....อาจจะเป็นผมเพราะว่าผมโง่เป็น"ควาย"อย่างที่คุณ"เด็กใช้โพย"ว่าเอาไว้....แต่ลองดูก็ได้นะ....ผมอยากจะรู้เหมือนกันว่ามีสักกี่คนที่อ่านโพยอย่างเดียวโดยไม่อ่านอย่างอื่นเพิ่มเลยเนี่ย....แล้วเก่ง....มันมีจริงเหรอ???....ศักดิ์ศรีเนี่ย....มันกินไม่ได้หรอก....แต่เวลาบางทีที่มีเนี่ย...มันเท่จริงๆเลยนะ....ถึงจะเป็น"ควาย"แบบเท่ๆนี่ก็เถอะ.....:D...:D...:D



Posted by : Death......[From Hell] , Date : 2004-11-08 , Time : 10:49:45 , From IP : 202.129.48.122

ความคิดเห็นที่ : 12


   .....ยังไม่ได้ตอบคำถามที่ว่า...ควรทำอย่างไรกับโพย....
....ผมว่าไม่ต้องทำอะไรครับ....มันไม่มีวันหายไปจากโลกนี้ได้.....ผมพยายามแล้ว....แต่ถ้ามองให้มันเป็นประโยชน์ก็มีประโยชน์อย่างที่คุณ Ray และ Dr.K ว่าไว้

..อีกอย่างเราคงต้องคาดหวังจากจริยธรรมของผู้เรียนเองว่า....หลังจากมีโพยแล้วต้องอ่านเพิ่มเติมด้วย....โพยเป็นแค่ Guideline เท่านั้น....ไม่ใช่ทุกสิ่งทุกอย่าง...ถ้าเราเจอพวกอ่านแต่โพยแล้วเก่ง...ก็คงแย่ครับ....เพราะกว่าจะรู้ตัวก็คงสายเสียแล้ว.....

....ส่วนข้อเสียที่ผมเจอกับตัวเองก็คือทำให้ขึ้เกียจครับ....ไม่ต้องอ่านมากหรอก....อ่านโพยหน้าเดียวก็สอบได้แล้ว....เร็วด้วย...จะมาอ่านเป็นเล่มทำไมให้เสียเวลา?...ถ้าก็คนที่ขี้เกียจหนักๆอยู่แล้ว....ถึงตายได้ครับถ้าใช้โพยแบบนี้...:D..:D



Posted by : Death......[From Hell] , Date : 2004-11-08 , Time : 10:57:32 , From IP : 202.129.48.122

ความคิดเห็นที่ : 13


   มองว่าหายากครับ สำหรับคนที่เรียนเพื่อรู้ อาจารย์สอนให้เรียนเพื่อรู้ก็จริงอยู่หรอก แต่จะฝืนใจไหวได้อย่างไรในเมื่อแทบทุกคนต่างก็แบ่งใจส่วนหนึ่งเอาไว้คิดเผื่ออนาคตของตนเองทั้งนั้น เราก็เลยพยายามซิกแซกทุกเหลี่ยมมุมเพื่อให้ได้รับผลลัพธ์ที่ดีที่สุดกับตนเอง คนที่พยายามเก็บงำโพยไว้ก็คงเข้าใจทุกอย่างดีว่าเพื่ออะไร ไม่ต้องห่วงครับ เพราะเราต่างก็พยายามจะไม่ตัดสินว่ามันถูกหรือผิดอย่างไร จะเป็นการเอาเปรียบหรือเปล่า? เพราะมองในแง่ดีโพยมันก็เป็นเอกสารความรู้อย่างหนึ่งที่มีข้อดีเพิ่มเติมคือเป็นโอกาสให้บรรลุจุดหมายได้ง่ายขึ้น เทียบกับคำสอพลอที่เราให้กับคนอื่นหรือการหลบเลี่ยงกฎหมายเล็กๆน้อยๆที่ทำบ่อยๆจนแทบลืมที่จะคิดถึงความเหมาะไม่เหมาะของมัน

ก็ในเมื่อระบบการเรียนต้องการกระตุ้นให้เกิดการแข่งขันอยู่แล้วนี่ การประเมินวิธีอิงกลุ่มก็เพื่อจุดประสงค์นี้นี่นา ถ้าใครต้องการเพียงการเรียนรู้และไม่พยายามเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่นๆหรือไม่พยายามหาช่องทางที่จะอยู่แถวหน้า ก็ควรจะยอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้นได้

สงสัยนิดเดียวว่าในการออกข้อสอบนั้นมีแนวคิดเรื่องความเที่ยง(ธรรม)ของข้อสอบอย่างไรครับ ข้อสอบที่ได้มาตรฐานควรจะสามารถคัดแยกกลุ่มคนที่ขยันเรียนรู้กับกลุ่มคนที่ขยันท่องโพย ควรแยกสองกลุ่มนี้หรือเปล่า? เพราะเท่าที่ดูความตั้งใจไม่เท่ากันแต่ก็อาจรับผลสำเร็จเท่ากัน

ยังกับระบบราชการยุคไหน ที่เลื่อนขั้นกันด้วยผลประโยชน์ตอบแทนยังงั้น


Posted by : Copys , Date : 2004-11-08 , Time : 16:55:53 , From IP : 172.29.4.183

ความคิดเห็นที่ : 14


   Taxonomy ของข้อสอบมาตรฐานก็มี recall interpretation application หรือ ต้องรู้ ควรรู้ น่ารู้ ขึ้นอยู่กับเราใช้เกณฑ์อะไรจัดกลุ่ม

ข้อสอบแต่ละชุด ถ้าเป็นการประเมินเกณฑ์ผ่าน (เช่น เลื่อนชั้น ลงกอง) ยังไงๆก็จะต้องมีสัดส่วน "ต้องรู้" มากพอประมาณ พวกนี้คือ "แก่น" ของรายวิชาหรือวัตถุประสงค์การเรียนหลักๆนั่นเอง ดังนั้น "โอกาส" ที่ข้อสอบกลุ่มนี้จะโดนคัดมาออกใหม่จะสูง เรื่องบางเรื่องเป็นที่รู้กันว่าสำคัญก็จะเป็นที่เปิดเผยว่ายังไงๆต้องออกแน่ๆ เช่น sterile techniques ในทุก OSCE station

ผมคิดว่าลงเอยคงจะอยู่ที่คนใช้โพย "มอง" โพยอย่างไร เสร็จแล้วผลสะท้อนจะออกมาในรูปของบริบทและคุณค่าของโพยสำหรับแต่ละคน

ถ้าเรามองโพยเป็น "ตัวอย่าง" แนวข้อสอบว่าเราควรจะรู้อะไรบ้างในวิชานั้นๆ เวลาที่เราอ่าน choice แต่ละข้อพยายามหาว่าเราทำข้อที่ผิดให้ถูกได้อย่างไร มีปมหลอก ปมลวงตรงไหน แต่ละข้อของข้อสอบเราจะได้เรียนรู้ถึงห้าประเด็น ก็คงเป็นการอ่านโพยที่สร้างเสริมความรู้

ถ้าเรามองโพยเป็นอุปกรณ์เดียวที่ทำให้เรา "สอบผ่าน" ได้เกรดสูงกว่าเพื่อนๆ ก็จะนำไปสู่การกั๊กโพย เพราะไม่ต้องการให้เพื่อนรู้เท่า และเกิดโพยไม่ตรงในครั้งนั้นก็จะบาดเจ็บสอบไม่ผ่าน เกิดโพยตรงขึ้นมาในครั้งนั้นตัวเราเองก็จะสงสัยว่าที่เราสอบผ่านมาได้นั้นเป็นเพราะความสามารถของเราเอง เป็นเพราะเรารู้เรื่องวิชานั้น หรือว่าเป็นเพราะเรารู้ข้อสอบล่วงหน้ากันแน่

สรุปแล้วเราต้องการอะไรในการ "สะสม" โพย ส่งผ่านโพยให้น้องๆ? เวลาที่ใช้ในการแสวงหาโพย ในการเก็บเป็นความลับ ในการ "แข่งขัน" นั้นเพื่ออะไร? เราเก่งกว่าเพื่อนจริงๆหรือที่เราได้คะแนนมากกว่าเพราะเรารู้ข้อสอบแต่เพื่อนไม่รู้? สุดท้ายเราจะต้อง denial หรือโกรธทุกครั้งที่มีคนติงเรื่องการใช้โพยแบบนี้ไปตลอดไปหรือ?



Posted by : Phoenix , Date : 2004-11-08 , Time : 21:53:45 , From IP : 172.29.7.240

ความคิดเห็นที่ : 15


   กระทู้นี้ดีหน่อยครับ พวกตอบแบบไม่ยั้งคิดมีน้อย ส่วนใหญ่แสดงออกอย่างมีวุฒิภาวะ

ส่วนตัวผมมองเป็นสองเรื่องครับ
1. เรื่องที่นักเรียนต้องรู้ โดยความหมายก็คือถ้าไม่รู้อันนี้ก็ขึ้นไปเรียนชั้นสูงต่อไปไม่ได้ หรือจบการศึกษาไม่ได้ เรื่องนี้ถึงแม้ลหายท่านจะบอกว่าความรู้ทางการแพทย์นั้นมีเพิ่มเติมใหม่ ๆ ทุกปี การออกข้อสอบก็คงต้องเปลี่ยนไป แต่ที่ผมคิดก็คือ ความรู้พื้นฐานนั้นมันยังไม่เปลี่ยนแปลง หรือถึงเปลี่ยนก็น้อยมาก ความรู้เหล่านี้หากต้องนำมาทดสอบนักเรียน ก็จะมีกลวิธีพลิกแพลงได้ไม่มาก สุดท้ายหากมีใครสักคนที่เก็บรวบรวมมันเข้าไว้ด้วยกัน ก็จะกลายเป็น "โพย" ไปในที่สุด

2. เรื่องที่ "ไม่จำเป็นต้องรู้" = เรื่องที่ควรรู้ หรือเรื่องที่ไม่จำเป็นต้องทดสอบความรู้ อันนี้เป็นส่วนที่พลิกแพลงได้มาก ออกข้อสอบได้ไม่ซ้ำรุ่น แต่ปัญหาก็คือ ถ้าไม่จำเป็นต้องรู้แล้วล่ะก็ เรื่องที่ทดสอบนั้นจำเป็นหรือไม่ อย่างที่ข้างบนบอกไว้ว่า จงบอกชนิดของยาและกลไกของยา ... ถ้าไม่รู้มาก่อนก็คงยุ่ง

มองในมุมของผม ถ้าเป็นสิ่งที่นักเรียนต้องรู้ ก็คงต้อง "ท้าทาย" นักเรียนด้วยโพย ครับ ถ้ามี ก็ต้องทำให้ดี ถ้าทำได้ไม่ได้ก็ต้องแก้ไข ครับ สถาบันผม แจกโพยให้กับนักเรียน (เฉพาะรุ่น 1) ครับ ให้เฉพาะหัวข้อเรื่องที่ต้องรู้ ส่วนเรื่องอื่นก็ออกข้อสอบเสริมทุกปี เก็บไว้ใน pool

เอาข้อดีของการมีโพยมาใช้ และต้องจำกัดไม่ให้โพยมาเป็นส่วนสำคัญในการสอบครับ



Posted by : พี่น้องและผองเพื่อน , Date : 2004-11-08 , Time : 23:39:00 , From IP : 202.129.18.132

ความคิดเห็นที่ : 16


   ทำไมใช้โพย...

1. กลัวสอบตก
2. กลัวได้คะแนนไม่ดี
3. กลัวได้คะแนนแย่กว่าเพื่อนที่อ่านโพย
4. กลัวข้อสอบออกตรงตามโพย

. . .
ถึงไม่มีโพย... ความกลัวพวกนี้ก็จะยังอยู่


ส่วนความกลัว"ไม่มีความรู้"นั่นคงจะอยู่เป็นข้อท้ายๆในใจ
. . .


Posted by : ArLim , Date : 2004-11-09 , Time : 05:49:02 , From IP : ppp-203.144.143.165.

ความคิดเห็นที่ : 17


   เหมือนกับว่า คนใช้โพย ผิด แต่น่าจะมองอีกมุมหนึ่งว่า ทำไมโพยถึงยั่งยืน คงเพราะสัญชาตญานการเอาตัวรอดไว้ก่อน อ่านแค่โพยก็เรียนผ่านชั้นไปได้ ไม่อ่านโพยอาจสอบตก ที่กล่าวมาข้างต้นคงจริงก็ต่อเมื่อใช้ข้อสอบเดิม การออกข้อสอบใหม่ น่าจะเป็นการแก้ที่ต้นเหตุที่จะสลายการติดโพย โพยอาจจะมีประโยชน์ถ้านำมาขยายความรู้ต่อไป และมักจะเป็นตัวกระตุ้นให้จดจำได้อย่างแม่นยำ(เพราะคิดว่าน่าจะเอามาออกสอบอีก) นศพ เราติดโพยก็ต้องมาดูที่ตัวอาจารย์ละครับ ว่ามีความจริงจังกับการประเมินผลมาน้อยเพียงไร? อาจารย์ที่เข้ามาอ่านลองประเมินตนเองซิครับ

Posted by : อาจารย์กลาง , Date : 2004-11-09 , Time : 12:39:02 , From IP : 172.29.3.127

ความคิดเห็นที่ : 18


   ถ้ากลไกมันคือ "ไม่อ่านโพย อาจสอบตก" จริง ตรงนี้คงต้องหาทางแก้

ผมเข้าใจว่ากระบวนการ screen ข้อสอบของแต่ละภาควิชาฯ หรือ comprehensive มีการคัดกรองข้อสอบให้ตรงกับวัตถุประสงค์การเรียนมานานพอสมควรแล้ว ถ้าชุดข้อสอบเก่าๆดีพอ (คือออกตามหลักการ) แต่ถ้าปรากฏการณ์ออกมาเป็นไม่อ่านโพยแล้วตกนี่จะมีคำอธิบายได้ดังนี้
๑) สอนไม่ตรงวัตถุประสงค์
๒) นักศึกษาไม่ทราบวัตถุประสงค์การเรียนของวิชานั้นๆ
๓) ไม่มี references ที่ดีและเพียงพอให้ค้นเวลาต้องการ
มิฉะนั้นแล้ว ถึงไม่มีโพย ถ้าการเรียนการสอนไม่ได้เป็นดังสามข้อข้างบน ใครที่อ่านเอง ศึกษาเอง เข้าฟัง lectures ดูคนไข้ ไม่ต้องอ่านโพยก็ไม่น่าจะสอบตก

สำหรับส่วนตัวผมเอง ผมเชื่อว่ากรรมของเรานั้นควรจะโทษตัวเราเอง ถ้าเราติดโพยก็คงเป็นที่ตัวเรา ถึงแม้ว่าอาจจะเกิดจากสภาพแวดล้อมบ้าง แต่ถ้าเราเริ่มคิดว่าเป็นที่ตัวเราก่อน เราสามารถจะเริ่มแก้ไขได้เลย มากกว่าการที่เรา project ไปให้เป็นความรับผิดชอบของคนอื่น ในกรณีที่ยกมากลายเป็นนักศึกษาสังเกตว่าอาจารย์เป็นอย่างไร แล้วจึงติดโพย

ดังที่ได้มีหลายๆท่านกล่าวมา โพยนั้นมีประโยชน์แน่นอน และมากด้วยถ้านำมาใช้อย่างถูกต้อง เพราะโพยที่ดีจะตรงกับ Learning objectives และกลั่นกรองมาหลายรอบกว่าจะได้ลงมาในชุดข้อสอบ ประเด็นที่หลายๆคนชี้มาน่าจะเป็นการจัด priority ของการใช้ (หรือมี) โพยมากกว่า

วิธีหนึ่งที่ได้ผลพอสมควรคือการออกข้อสอบแบบ long assay หรือ short assay ซึ่งมีข้อเสียคือจะใช้เวลานานแต่ละข้อ ฉะนั้นจะมีข้อจำกัดที่การทดสอบอาจจะไม่ครบทุก topic แต่ข้อเสียอันนี้ดูเหมือน FRCS ที่อังกฤษก็ไม่ได้แคร์อะไรมากมาย เพราะโจทย์ที่จะเขียน assay นั้นมันกว้างมาก และดัดแปลงได้ง่ายๆ เช่น จงอธิบาย pancreatic tumour ปีหน้าจะเปลี่ยนเป็น "จงอธิบาย pancreatic psudocyst" ก็ได้ง่ายๆ ผู้เข้าสอบไม่มีทางเลือกต้องอ่านให้กว้างที่สุด และลึดพอที่จะเขียน assay ได้ด้วย แต่วิธีนี้คนตรวจจะเหนื่อยกว่าเยอะเลย



Posted by : Phoenix , Date : 2004-11-09 , Time : 20:46:04 , From IP : 203.156.60.42

ความคิดเห็นที่ : 19


   ขออนุญาตอาจารย์ฟีนิกส์คิดขวางโลกสักเล็กน้อยนะครับ
ผมคิดว่าถ้าเป็นกรณี "ไม่อ่านโพย อาจสอบตก" ผมว่ายังยอมรับได้ครับ แต่ระบบการสอบต้องป้องกันไม่ให้เกิดภาวะ "อ่านโพยแล้ว สอบผ่านแน่" ให้ได้

ให้โพยเป็น minimal requriement ไปเสีย แล้วเราก็จะได้ไม่ต้องมากังวลว่าใครจะอ่านโพยหรือไม่อ่านโพยกัน ใครไม่รู้ minimal requirement ก็ "F" ตกไป ใครที่ผ่าน minima requirement ก็ "P" ผ่าน แต่จะตัดเกรดเป็น A, B, C นั้นก็ต้องหากลไกมาวัดกันต่อไป

อีกด้านหนึ่งที่ผมมองก็คือ โพยที่มีนั้นไม่ได้จำกัดเฉพาะว่าเป็นข้อสอบที่ใช้ทักษะการเขียน (หรือการกากบาท-ระบายสี) เท่านั้น ยังวัด clinical skill อีกด้วย โดยส่วนตัว ผมไม่ว่าเลยหากโพยนั้นบอกนักเรียนว่าต้องทำหัตถการใดได้บ้าง และนักเรียนไปฝึกหัดทำให้เป็น

แต่หากเป็นโพยที่ลอกข้อสอบอะไรมาสักสองสามข้อแล้วทั้งคนออกข้อสอบและคนสอบก็หลอกตัวเองว่ากำลังสอบสิ่งที่นักเรียนไม่รู้มาก่อน นักเรียนก็ทำเป็นว่าไม่รู้ข้อสอบมาก่อน อันนี้ก็คงไม่ดีแน่ครับ

วิธีแก้ปัญหานี้ก็คือปรับปรุงข้อสอบให้มีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ
วิธีแก้ที่พอจะคิดได้บ้างก็คือ

1. สอบ long case ให้นักเรียนมี activity เหมือนกับปฏิบัติงานจริง ได้ซักประวัติ ตรวจร่างกาย ได้คิด วิเคราะห์ และแก้ปัญหา ซึ่งรู้สึกว่าเดี๋ยวนี้คงมีสอบกันไม่มากนัก เท่าที่จำได้ ภาคอายุรศาสตร์ก็ไม่มีแล้ว ภาคศัลย์ไม่เคยมีมาก่อนเลย ถ้าทำได้ ผมว่าจะเป็นประโยชน์มาก

2. หัตถการต่าง ๆ ถ้านักเรียนมีการฝึกปฏิบัติอยู่เสมอ หรือมีผู้ป่วยให้ practice มาก ก็อาจให้อาจารย์ซึ่งเป็นผู้ควบคุมคอยดูและให้คะแนนเป็นระยะ ถ้าเป็นไปด้วยดี นักเรียนมีสิ่งกระตุ้นให้เรียนรู้และปฎิบัติ มีหัตถการให้ทำอย่างสม่ำเสมอ อย่างนี้ผมว่า OSCE อาจลดความจำเป็นลงไปได้ โดยเลือกสอบเฉพาะในคนที่ยังไม่มีประสบการณ์นั้น หรือสอบเฉพาะสถานการณ์ที่ไม่สามารถประเมินล่วงหน้าจาก activity ประจำวันของนักศึกษาได้

น่าจะช่วยบ้างนะครับ
คิดเห็นตรง-ไม่ตรงอย่างไรก็เชิญมาคุยกันต่อได้ครับ


Posted by : พี่น้องและผองเพื่อน , Date : 2004-11-09 , Time : 23:57:17 , From IP : 202.129.18.132

ความคิดเห็นที่ : 20


   ผมคิดว่ามันติดอยู่ตรง "นิยาม" ของโพยครับ

สมมติเรามี "ระบบ" การสร้างโพยที่ perfect เอาเป็นว่า 80% ของชุดข้อสอบก็แล้วกัน ถ้าสะสมซักปีละ 3 ชุดติดต่อกัน 3 ปี ก็จะได้ sizable pool ที่จะว่าไปก็ fair ที่จะบอกว่ารู้และเข้าใจข้อสอบ 1000 ข้อจริงก็น่าจะผ่าน ฉะนั้นจึงมีคำกล่าวที่ว่าถ้าคลังข้อสอบใหญ่จริง เช่น 10000 ข้อ ก็ให้มันเป็นโพยไปเถอะ ถ้าจำได้หมดก็สมควรผ่าน

ในระบบปัจจุบันเอง (ที่อาจารย์ถูกขอข้อสอบใหม่กันกระหน่ำ) ผมว่า ใครที่อ่าน "แค่โพย" เข้าห้องสอบจริงๆ มี "โอกาส" ที่จะวืดได้เยอะกว่าเดิม

เนื่องจากผมยังไม่อยากฟันธงว่าโพยนั้น evil 100% ฉะนั้นแนวทางการแก้ปัญหาคงจะไม่ใช่ทำให้มัน evil หรือทำเสมือนว่ามัน evil ผมยังอยากจะยึดในหลักการทฤษฎี good for good ไม่ใช่ทฤษฎี social engineering นั่นคือถ้านักศึกษาอยากจะใช้โพยก็ขอให้ใช้ให้ถูกวิธี ไม่ต้องลับๆล่อๆ ไม่ต้องโกรธหรือ Guilt ทุกครั้งที่มีพูดถึงเรื่องนี้ พูดออกมาอย่างเต็มปากเต็มคำอย่างคุณ Ray ข้างต้นว่าฉันใช้โพย และใช้แบบนี้ ฉันยังภูมิใจในวิธีการเรียนของฉันอยู่ ตรงนี้เป็นการแก้ระดับ attitude

เพราะเราอ่านความเห็นเรื่องนี้มาก็พอสมควรแล้ว ปรากฏว่าบางทีมีการมองโพยเป็นแบบขาวกับดำ หรือดีกับเลวไปเลย ซึ่งผมคิดคนละอย่าง เหมือนปืนมีทั้งประโยชน์ ทั้งโทษ E=MC square ก็มีที่ใช้ทั้งคุณอนันต์และโทษมหันต์ เราสามารถไม่เห็นด้วยกับการใช้โพยเป็นสรณะ กับการใช้โพยแล้วกั๊กเพราะหวังจะได้คะแนนมากกว่าเพื่อน โดยที่สามารถเลือกใช้โพยเองอย่างเหมาะสม ศึกษาโพยเพ่อเติมความรู้จริงๆได้ ไม่ต้องไป ban มัน ไม่กล้าแตะต้องสัมผัสมัน ผมว่าเรื่องราวส่วนใหญ่ในโลกนี้มันสีเทา เราเลือกวิธีที่ถูกต้องก็สามารถจะมองเห็น ใช้ รับฟัง ของกว้างขวางขึ้น มี taboo ลดน้อยลง



Posted by : Phoenix , Date : 2004-11-10 , Time : 01:17:36 , From IP : 172.29.7.221

ความคิดเห็นที่ : 21


   โพยพวกที่เป็น MEQ หรือ OSKE ผมว่าส่วนนี้ OK นะครับ อย่างน้อยก็ทำให้คนที่ไปอ่าน ได้อ่านหนังสือในเรื่องนั้นๆ ครบถ้วนทั้งเรื่อง
อันนี้ผมพอจะยกตัวอย่างข้อสอบ MEQ ของภาคสูติฯนะครับ(ตามแบบความเข้าใจของผมนะครับ)
ข้อสอบดูๆไปแบ่งเป็นสองส่วน
1. สูติฯ ซึ่งประกอบไปด้วย ระหว่างตั้งครรภ์ก่อนคลอด-ขณะคลอด-หลังคลอด
ในแต่ละส่วนย่อยก็ยังมีเรื่องย่อยๆลงไปอีก เช่น complicationขณะตั้งครรภ์ก็ยังมีอีกหลายเรื่อง ตรงจุดนี้นี่เองครับ ถ้าเราสามารถออกข้อสอบครอบคลุมไว้ทุกเรื่องแล้วเลือกมาออกแบบ "ไม่สามารถเรียงลำดับอนุกรมได้" ผู้สอบก็คงต้องอ่านทุกเรื่องให้ครอบคลุม โดยผู้สอบจะรู้ว่าโพยทั้งหมดมีหัวข้ออะไรบ้าง (จะทำหัวข้อโพยออกแจกยังได้เลยครับ)แต่คาดเดาได้ยากว่าจะออกเรื่องอะไร
2. นรีเวช ก็ยังมีอาการอีกมาก เช่น ตกขาว ,Ab Vg Bleed, Infection,มะเร็งทางนรีเวช,แล้วทำสุ่มคล้ายๆRCT มาออกสอบ

แบบนี้แหละครับ

มีอีกส่วนนึงครับ คือต้องบอก obj การเรียนให้ชัดเจนและไม่กว้างจนครอบจักรวาลเกินไป ถ้าสามารถบอกได้เป็นข้อๆตามจำนวนข้อสอบที่ใช้วัดแต่ละข้อเลย น่าจะดีครับ ไม่มีโพยก็ไม่น่าจะตก


Posted by : Scorpion , Date : 2004-11-11 , Time : 22:16:23 , From IP : 172.29.4.165

ความคิดเห็นที่ : 22


   :-p

Posted by : Jebun , E-mail : (-) ,
Date : 2004-11-13 , Time : 10:16:43 , From IP : 66.98.131.115


ความคิดเห็นที่ : 23


   ร้อยความรู้ หรือจะสู้ 1 โพย
จำไว้น่ะ
จะได้ไม่เจ็บใจ


Posted by : ล่อโพยจนหมดแม็ก , Date : 2004-11-19 , Time : 00:20:25 , From IP : 172.29.4.80

ความเห็นจาก Social Network : Facebook


สงวนสิทธิ์การแสดงความคิดเห็นสำหรับ สมาชิกเท่านั้น
>>>>> Page loaded: 0.011 seconds. <<<<<