จากรากหญ้าสู่รากแก้ว ของท่านนาย..ก
4 ปีกอบ 4 ปีโกย
โดย สุรวิชช์ วีรวรรณ 4 พฤศจิกายน 2547 16:58 น.
ชาวอเมริกันได้ประธานาธิบดีคนใหม่ไปแล้ว เป็นประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิ้ลยู. บุช คนเดิม คนที่ดีใจก็คงเป็นเพื่อนเก่าอย่างพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ส่วนเมืองไทยที่จะเลือกตั้งกันในต้นปีหน้าก็ไม่แตกต่างกัน เชื่อขนมกินได้ว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ต้องกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกรอบ
เพราะถึงตอนนี้พรรคคู่แข่งยังไม่ได้แสดงอะไรที่เป็นความหวังได้เลยไม่ว่าจะเป็นพรรคประชาธิปัตย์ที่ยังเกิดสนิมในพรรค พรรคมหาชนที่มีปัญหาเรื่องภาพลักษณ์ของแกนนำ พรรคชาติไทย ที่เป็นได้แค่อะไหล่ของพรรครัฐบาล
คอยดูผู้คนที่จะแห่แหนไปงานมหกรรมซื้อเสียงล่วงหน้าอย่าง เหลียวหลัง แลหน้า จากรากหญ้าสู่รากแก้ว ระหว่าง 6-10 พ.ย.นี้ ที่ศูนย์แสดงสินค้า อิมแพค เมืองทองธานี ที่รัฐบาลงัดมาตรการแจกแหลกมาดึงดูดผู้คนก็คงจะเป็นคำตอบได้อย่างดี
แผนการตลาดโปรโมชันลดแลกแจกแถมเป็นแนวทางที่รัฐบาลชุดนี้พิสูจน์แล้วว่า ใช้ได้ผลในการเมืองแบบไทย เพราะประชาชนไม่ได้ใส่ใจที่เนื้อแท้ คุณภาพ เหมือนการตัดสินใจซื้อสินค้าแต่ละชนิดก็มาจากแรงจูงใจของการโฆษณาเป็นหลัก
รัฐบาลงัดสารพัดโครงการแจกแหลกมาพร้อมกับสัญญาว่านับจากนี้รัฐบาลจะทำอะไรบ้าง ซึ่งต้องบอกว่าป่วยการที่จะพูดถึง กกต.เพราะ กกต.ก็ไม่แตกต่างจากองค์กรอิสระอื่นที่ง่อยเปลี้ยเสียแขนไปหมดแล้ว ทั้ง ศาลรัฐธรรมนูญ ป.ป.ช. ยังที่พอไปวัดไปวาได้ก็เห็นจะเป็นเพียงศาลปกครองที่ไม่รู้ว่าจะถูกแทรกแซงและอ่อนแรงลงเมื่อใด
4 ปีที่ผ่านมาสร้างฐานอันมั่นคงให้กับพ.ต.ท.ทักษิณแล้ว การเลือกตั้งครั้งใหม่ที่จะเกิดขึ้นจึงต่างกับการเลือกตั้งครั้งก่อนที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ต้องพึ่งพิงกลุ่มนายหน้าการเมืองเช่น นายเสนาะ เทียนทอง นายสมศักดิ์ เทพสุทิน ฯลฯ หรือการพึ่งบารมีของพล.ต.จำลอง ศรีเมือง ญาติธรรมสันติอโศก หรือหลวงตามหาบัว แต่ครั้งนี้ พ.ต.ท.ทักษิณสามารถใช้กลยุทธ์แบบ ขายตรงกับประชาชน
การ ขายตรงคือ การเดินเข้าหาประชาชนโดยตรง ตั้งแต่การเดินสายหว่านงบประมาณทั่วประเทศ ไปจนถึงการคิดนโยบายตอบสนองความต้องการที่เป็นปัจจัยหลักในชีวิตด้วยโครงการเอื้ออาทรต่างๆ เป็นการทำตลาด โดยนำเสนอขายต่อผู้บริโภคโดยตรง
แม้ว่า พ.ต.ท.ทักษิณ จะยังคงกวาดต้อนกลุ่มต่างๆเข้าพรรคเช่น กลุ่มชลบุรี กลุ่มบุรีรัมย์ แต่เป็นการเข้ามาในลักษณะของการสวามิภักดิ์มากกว่าการต่อรองทางการเมืองอย่างเช่นที่ผ่านมา รวมทั้งเป็นหลักประกันว่า จะสามารถครองเสียงข้างมากกระทั่งไม่สามารถอภิปรายได้แม้กระทั่งรัฐมนตรีร่วมรัฐบาล
เพราะบทพิสูจน์ที่เป็นรูปธรรมจากการปล่อยให้มีการอภิปรายรัฐมนตรีร่วมรัฐบาลก็คือ การกระทบชิ่งมายังพ.ต.ท.ทักษิณและธุรกิจในครอบครัว
ทุกวันนี้ประชาชนจะเอาอะไรรัฐบาลเนรมิตให้หมด พ.ต.ท.ทักษิณ ท่านพูดเสมอว่า เงินคือกระดาษ หรือถ้าไม่มีเงินก็ไปขอเงินเมียมาให้ กระทั่งมีคนตั้งข้อสังเกตว่า การบอกว่า ขอเงินเมีย มันแตกต่างจากขอเงิน ชินคอร์ปตรงไหน
ถ้าพูดอย่างนี้คนที่เป็นกองเชียร์ พ.ต.ท.ทักษิณ ก็อาจจะกล่าวหาว่า เอาเรื่องเล็กๆน้อยๆมากล่าวหาพ.ต.ท.ทักษิณ แต่คนที่เป็นกฎหมายบอกว่า เรื่องแบบนี้ไม่ได้เป็นเรื่องเล็กๆน้อยๆ เป็นเรื่องที่ผิดกฎหมายด้วยซ้ำ
ลองเปลี่ยนจากที่คุณทักษิณ จาก ถ้าไม่มีเงินไปขอเงินเมีย เป็น ถ้าไม่มีเงินก็ไปขอเงินคุณเจริญ(เบียร์ช้าง) หรือคุณธนินท์(ซีพี) ดูสิครับ รับรองว่า โดน กกต.เล่นงานทันที
ดังนั้นการบอกว่าไปขอเงินเมียซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ชินคอร์ปก็คงไม่แตกต่างกัน ไม่เช่นนั้นรัฐธรรมนูญคงไม่ห้ามให้นายกรัฐมนตรีถือหุ้นในบริษัทต่างๆ จนเกิดกรณี ซุกหุ้น ให้พ.ต.ท.ทักษิณ ต้องเผชิญวิบากกรรมอยู่ไม่สิ้นสุด
ไม่รู้ว่า การเป็นนายกรัฐมนตรีของพ.ต.ท.ทักษิณ เกี่ยวพันกับเครือชินคอร์ปของคุณหญิงพจมานหรือไม่ ต้องลองไปอ่านหนังสือพิมพ์ ประชาชาติธุรกิจฉบับกลางสัปดาห์ที่ผ่านมา ที่พาดหัวว่า เปิดไส้ในอาณาจักร"ชิน"ยุคขาขึ้น 3ปีฟันกำไร5.5หมื่นล้าน
สรุปก็คือว่า แม้ใครจะบอกว่า รัฐบาลทักษิณกำลังอยู่ในช่วงขาลง แต่ ชินคอร์ปไม่ได้อยู่ในช่วงขาลงไปด้วยแน่
ธุรกิจในเครือชินคอร์ปทั้ง 23 แห่ง หักลบคูณหารกันแล้วกำไรมหาศาล เป็นดัชนีขาขึ้นตลอดในช่วง 3 ปีของรัฐบาลทักษิณ
โดยธุรกิจในเครือ 23 บริษัท แบ่งเป็นสายธุรกิจสื่อสารโทรคมนาคมไร้สาย สายธุรกิจดาวเทียมและธุรกิจต่างประเทศ สายธุรกิจสื่อและโฆษณา สายธุรกิจอิเล็กทรอนิกส์ และสายธุรกิจขนส่ง ทรัพย์สินโดยรวมประมาณ 200,000 ล้านบาท โดยเฉพาะเอไอเอส ปี 2546 มีกำไรถึง 1.8 หมื่นล้าน
ซึ่งหากรวมตัวเลขกำไรสุทธิเฉพาะ 3 บริษัท คือ ชินคอร์ปอเรชั่น ชินแซทเทลไลท์ และแอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส (เอไอเอส) รอบ 3 ปีมีกำไรสุทธิทั้งสิ้น 55,689,062,587 บาท
ถ้านำตัวเลขนี้ไปหักลบกับยอดขาดทุนสุทธิในสถานีโทรทัศน์ "ไอทีวี" ในรอบ 3 ปี จำนวน 2,409,771,409 บาท ถึงกระนั้นก็ยังมีกำไรสุทธิ 53,279,291,178 บาท โดยตัวเลขดังกล่าวไม่รวมผลประกอบการธุรกิจส่วนตัวของคุณหญิงพจมานและพานทองแท้
เห็นตัวเลขแล้วแทบไม่ต้องพูดเลยว่า นับจากปีหน้าต่อไปอีก 4 ปี ซึ่งเป็นยุครัฐบาลทักษิณสมัยที่ 2 เม็ดเงินของเครือชินคอร์ปจะเติบโตขึ้นอีกเท่าไหร่
หลายคนอาจมองว่าเป็นเรื่องธรรมดาของเศรษฐกิจขาขึ้น ธุรกิจของชินคอร์ปเป็นธุรกิจที่สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน จึงไม่แปลกอะไรที่จะทำกำไรมหาศาล เพื่อพิสูจน์คำกล่าวนั้นเป็นจริงหรือไม่ น่าจะลองไปดูธุรกิจชนิดเดียวกันของกลุ่มอื่นดู แล้วจะรู้ว่าคนของชินเก่งหรือเพราะอะไรเกื้อหนุน
เพราะเท่าที่ได้ยินมาตอนนี้มีแต่เสียบ่นว่า ตอนนี้คนทำธุรกิจลำบาก แหย่ไปตรงไหนก็เจอกลุ่มชินคอร์ป ไม่เว้นที่ว่างให้คนอื่นหากินเลย ดีไม่ดีไปสะดุดขาพานทองแท้เข้าอีก ถ้าให้ดีลองเอาธุรกิจประเภทเดียวกันที่กลุ่มชินทำอยู่มาเปรียบเทียบ จะได้รู้ว่า เศรษฐกิจที่แท้จริงรุ่งหรือริ่งกันแน่ หรือว่ารุ่งแบบกระจุกตัว แต่ส่วนใหญ่ริ่งกันเป็นแถว
ช่วง 3 ปี ที่เพิ่งฟื้นจากวิกฤตยังร่ำรวยได้ขนาดนี้ ไม่ต้องบอกเลยว่า 4 ปีนับจากนี้เครือชินคอร์ปจะเติบโตขึ้นอีกแค่ไหน
ช่วยไม่ได้ที่การเมืองกับธุรกิจกลายเป็นเนื้อเดียวกัน เพราะสังคมมัวแต่เพิกเฉยและไม่ใส่ใจชะตากรรมของตัวเอง และคิดว่า ชีวิตอยู่ได้ด้วยการรอคอยความเอื้ออาทรจากรัฐบาล
Posted by : น้องโอ๊กอ๊าก , Date : 2004-11-06 , Time : 00:48:12 , From IP : 202.57.179.146.ppp-1
|