ความคิดเห็นทั้งหมด : 13

พรีคลินิกสอนให้เป็นหมอชนบท ขึ้นคลินิก......มันเปลี่ยนไป


   เรียนชี้นพรีคลินิก กิจกรรมเสริมทักษะต่างๆ และหลายๆบล็อค ส่งเสริมใน นศพ. ออกสู่ชนบท ทำงานในเชิงรุก.......

แต่พอขึ้นคลินิก.....norm มันเปลี่ยนไป....คนที่เก่ง คือ คนที่เรียนต่อ คนที่เรียนต่อไม่ได้ คือ คนที่ไม่ถูกเลือก คนที่เรียนไม่เก่ง

และใครจะออกชนบท.....เพราะเราไม่ชอบที่ถูกมองว่า ไม่เก่ง


Posted by : นกน้อย , Date : 2003-04-30 , Time : 20:00:15 , From IP : 172.29.2.165

ความคิดเห็นที่ : 1


   มันก็แล้วแต่ความคิดคน
มีอีกหลายคนที่อยากทำงานในชนบท

อย่างน้อยก็เราคนหนึ่งล่ะ


Posted by : สาวน้อยร้อยชั่ง , Date : 2003-04-30 , Time : 21:24:38 , From IP : 203.113.71.169

ความคิดเห็นที่ : 2


   มันก็จริง
แต่อย่าให้ความสำคัญกับมันเลย
แก้ที่ใจเราดีกว่า
"เพราะเราไม่ชอบที่ถูกมองว่า ไม่เก่ง"
ความเก่งตรงนี้มันไม่ยั่งยืนหรอก
ก็แค่ความรู้สึกตอนเรียน
เท่ห์ในช่วงเวลาหนึ่ง เหมือนd2b,f4 นะ
ที่ดังมากๆในวัยรุ่น พอพ้นวัยไปก็เฉยๆ
มีครอบครัว มีงานมีเวลาของตัวเอง
แล้วมันก็มีความสุข


Posted by : จริงๆนา , Date : 2003-04-30 , Time : 22:25:46 , From IP : 203.107.200.111

ความคิดเห็นที่ : 3


   เคยถามตนเองบ้างไหม ชีวิตคืออะไร ชีวิตคือการต้องอยู่ร่วมกับคนทั้งโลก รู้อย่างเดียว เรียนอย่างเดียว ต่อให้เก่งแทบตายถ้าไม่อาจอยู่ในสังคมได้ มันจะเรียกว่าประสบความสำเร็จในชีวิตได้อย่างไร เรียนเพราะชอบหรือชื่อเสียงหรือความสบายของตนภายภาคหน้าหรือเพื่อผู้ป่วยเพื่อความรู้ เคยถามตัวเองแล้วตอบอย่างไม่โกหกได้หรือไม่ หมอคืออะไรคือพ่อค้าหน้าเลือดเห็นแก่ตัวหวังแต่กำไรเรียนไปให้สูงความรู้ดีลูกค้าแยอะ หรือว่าหมอเป็นผู้ที่โอบอ้อมอารีเสียสละเพื่อผู้อื่น ตอบได้ไหม นี่คือความเห็นในส่วนหนึ่งของจิตใจผม แต่อีกส่วนหนึ่งอยากจะบอกความคิดที่ผมคิดในทางร้ายกับพวกหวังกำไรกับผู้ป่วยอ่านดูนะ เรียนไปให้ตายเลยยังไงก็ได้เท่านั้น ไม่มีทางไต่ไปสูงได้มากกว่าั้นอีกหรอกพวกเรียนมาน้อยและอยู่กับคนมานานต่างหากที่เขาเป็นหัวหน้าของพวกคุณอยู่เหนือพวกคุณต่อไปในอนาคตเพื่อนคุณที่ไม่เอาไหนอาจจะมาเป็นหัวหน้าคุณทั้งที่คุณเรียนจนหัวโตแต่กับสู้เขาไม่ได้เพราะคุณคือเด็กใหม่ของสังคมไม่มีวันที่จะผงาดไปเป็นผู้นำเขาได้หรอก

Posted by : คนขวางโลก , Date : 2003-05-01 , Time : 21:25:27 , From IP : 172.29.2.95

ความคิดเห็นที่ : 4


   "ยิ่งคุณอยากได้ความสุขมากเท่าไร คุณจะได้ความทุกกข์มากขึ้นเท่านั้นด้วย"

"ยิ่งคุณไม่อยากทุกข์มากเท่าไร คุณก็ต้องยอมสละความสุขมากเท่านั้นตามไป"


Posted by : Immanuel Kant , Date : 2003-05-01 , Time : 22:05:19 , From IP : 172.29.2.97

ความคิดเห็นที่ : 5


   โอม ขอให้คนดีๆที่มีอยู่ในสังคม อย่าได้โดนกระแสทุนนิยมพัดพาเลยเพี้ยงงงงงงงงงงงงงงงงงง

Posted by : สาวน้อยร้อยชั่ง , Date : 2003-05-02 , Time : 00:10:20 , From IP : 203.113.71.169

ความคิดเห็นที่ : 6


   คนที่เก่ง คือ คนที่เรียนต่อ คนที่เรียนต่อไม่ได้ คือ คนที่ไม่ถูกเลือก คนที่เรียนไม่เก่ง

จริงครึ่ง ไม่จริงครึ่งครับ

เพราะ คนที่เก่ง ไม่ใช่คนที่เรียนต่อ
คนที่เรียนต่อไม่ได้ คือ คนที่ไม่ถูกเลือก อันนี้เห็นด้วยครับ


Posted by : เหอๆๆ , Date : 2003-05-02 , Time : 02:27:17 , From IP : 172.29.2.82

ความคิดเห็นที่ : 7


   ขอยกต้วอย่างนะใช้ทุนเก่งๆนะมีจริง
แต่วิสัยทัศน์การมองโลกเค้าแคบนะเด็กๆและเรียบร้อย
ไม่เจ๋งไปหมดทุกเรื่องหรอก


Posted by : เออดิ , Date : 2003-05-02 , Time : 11:30:07 , From IP : 202.28.80.4

ความคิดเห็นที่ : 8


   ผมเอง ก็เคยคิดว่าจบแล้วเรียนต่อ มันดูดี ดูเป็นคนเก่ง แต่เมือ่ได้มาทำงานในรพ ชุมชน จริง แล้ว หมอ เก่งหมดทุกคนครับ ในสายตาของชาวบ้าน ชาวบ้านไม่สนใจหรอกครับ ว่าใคร จบด้วยเกรดเท่าใหร่ ขอแค่รักษาให้หายทั้งกายใจ ก็พอครับ ผม ว่าทำงานชุมชนได้รับประสบการอะไรหลายอย่าง ที่ รร แพทย์ไม่เคยสอนครับ

Posted by : Dr K , Date : 2003-05-05 , Time : 22:43:32 , From IP : dialup2-104.samart.c

ความคิดเห็นที่ : 9


   ...................คนที่จะเรียนต่อ คนเก่ง นศพ. หลายๆ คน
...................คิดกันว่าจะเรียนเฉพาะทางอะไร ถึงสบาย เงินดี....เช่น skin eye...
...................ตกลงเราเรียนกันเก่งๆ เพื่อทำเงินกันทั้งนั้น......อย่ามาอ้างอุดมการณ์เลยครับ ผมไม่เชื่อ


Posted by : รู้ไส้รู้พุงกันอยู่ , Date : 2003-05-06 , Time : 01:29:07 , From IP : 172.29.2.115

ความคิดเห็นที่ : 10


   อุดมการณ์เป็นของคนๆเดียว มีคนชื่นชมจริงๆก็คนเดียว คนที่สามารถจะตำหนิได้ก็คนเดียวอีกนั่นแหละ

เราไม่สามารถจะทราบเหตุผลแรงจูงใจและจุดมุ่งหมายที่แท้จริงแทนใครได้ การที่เราจะเชื่อหรือไม่เชื่ออุดมการณ์ผู้อื่นนั้น อาจจะเป็นเพียงเพื่อสนับสนุนอุดมการณ์หรือเป้าหมายของตัวเราเองเท่านั้น

มีบางครั้งที่เรารู้คุณค่าตัวเราเพราะการเปรียบเทียบกับของผู้อื่น ไม่ใช่เรื่องที่ผมแนะนำว่าควร แต่ก็มีคนทำอย่างนี้ nevertheless ผลก็คือเกิด conflict ทางคุณค่าบุคคลจากการเปรียบเทียบ จนบางครั้งเกิดความจำเป็นที่จะต้องเพิ่มคุณค่าของตนเอง หรือการลดคุณค่าของผู้อื่น แล้วแต่ประการไหนจะสะดวกกว่ากัน การ bluff กันใน conference อาจจะมองเป็นกิจกรรมอย่างที่ว่าได้หากเจตนามีการ slip ไปเพียงเล็กน้อย แต่ในสองวิธีอันที่ง่ายกว่าอาจจะเป็นการ discredit ผู้อื่น

แพทย์แต่ละท่านสามารถตั้งอุดมการณ์และ "เปลี่ยน" ไปตามเหตุการณ์ ความเหมาะสม และจังหวะของชีวิต ผมไม่คิดว่าเป็นเรื่องแปลก อาจจะแปลกกว่าด้วยซ้ำหากเรามองโลกเมื่ออายุ ๒๒ เหมือนเมื่อตอนเราอายุ ๒๖ ปี ประสบการณ์การเรียนรู้ช่วย shape วิสัยทัศน์ และทำให้เรารู้ตนเองเพิ่มมากขึ้น และควรจะเพิ่มมากขึ้นไปเรื่อยๆ



Posted by : Phoenix , Date : 2003-05-06 , Time : 01:59:01 , From IP : 172.29.3.222

ความคิดเห็นที่ : 11


   แล้วPhoe เปลี่ยนอะไรได้บ้างละที่เด็กมันพูดนะความจริงทั้งนั้น
ช่วยหน่อยดิ


Posted by : ยด , Date : 2003-05-11 , Time : 02:17:35 , From IP : 203.107.195.92

ความคิดเห็นที่ : 12


   นั่นสิครับ รึว่าตกลงอาจารย์ฟีนิกซ ก็ยอมรับ......norms อันนี้ครับ

Posted by : คนตั้งกระทู้ , Date : 2003-05-11 , Time : 15:32:04 , From IP : 172.29.2.94

ความคิดเห็นที่ : 13


   คำถามแรกคงเป็นอะไรคือ "Norm" และอีกคำถามถัดมาคงเป็นทำไมถึงคิดว่าที่ว่าเป็น "Norm" นั้นเป็น "Norm"?

ผมเชื่อว่าคนที่ตั้งอุดมคติไว้ว่าจะไปอยู่ช่วยชนบทแล้วก็ไปอยู่จริงๆนั้นก็มีครับ และอาจจะมากกว่าที่เราคิด เป็นเพราะว่าท่านหล่านั้นได้ไปอยู่ห่างไกลจากการ present face ให้เราเห็น เราเลยได้ข่าวหรือเจอะเจอแต่คลีนิกเปิดใหม่ในเมืองของผู้ที่เราเคยได้ยินว่าเขาเหล่านั้นจะไปอยู่ชนบท

เรียนชี้นพรีคลินิก กิจกรรมเสริมทักษะต่างๆ และหลายๆบล็อค ส่งเสริมในนศพ. ออกสู่ชนบท ทำงานในเชิงรุก.......
แต่พอขึ้นคลินิก.....norm มันเปลี่ยนไป....คนที่เก่ง คือ คนที่เรียนต่อ คนที่เรียนต่อไม่ได้ คือ คนที่ไม่ถูกเลือก คนที่เรียนไม่เก่ง
และใครจะออกชนบท.....เพราะเราไม่ชอบที่ถูกมองว่า ไม่เก่ง


ประโยคเงื่อนไขข้างบนนี้ไม่ประติดประต่อนะครับ ประโยคแรกฟังดูเหมือนจะเป็น Norm เดิม และต่อมาเป็น Norm ที่เปลี่ยนไป แต่เนื้อความมันไม่ได้พูดถึงเรื่องเดียวกันเลยงงๆ

เอาเป็นว่าจะอภิปรายในช่วงที่สองที่ว่าเป็น Norm ที่เปลี่ยนไปก็แล้วกันนะครับ

๑) คนที่เก่งคือคนที่เรียนต่อ คงไม่จริงหรอกครับ คิดๆดูคนที่สามารถรักษาได้ทั้งตัวกับเลือกรักษาเพียงอวัยวะเดียว พิจารณาดูแล้วอาจจะเป็นตรงกันข้าม ข้อเทจจริงก็คือหลังจากเรียนจบหกปี ส่วนใหญ่ทราบว่าจะรู้แต่ละอวัยวะแต่ละระบบให้ดีนั้นเปนไปได้มากกว่ารู้ทุกอวัยวะทุกระบบก็เลยเรียนต่อ

๒) คนที่เรียนต่อไม่ได้ คือ คนที่ไม่ถูกเลือก คนที่เรียนไม่เก่ง ผมเชื่อว่าประโยคนี้อาจจะ jump to conclusion ไปนิดหนึ่ง การเลือกหรือรับเข้า training นั้นมีหลาย factors ครับ ตั้งแต่โรงพยาบาลต้นสังกัดเราอยากจะได้ตำแหน่งผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางที่ว่ารึเปล่า ความต้องการนั้นจำเป็นมากน้อยเพียงไร (ถ้า ผอ. แนบจม.มาว่าตำแหน่งนี้ไม่มีคนเลยในรัศมี ๓๐๐ กม. ก็น่าจะมีภาษีในการถูกเลือกมากกว่าถ้าตำแหน่งของน้องเป็น Plastic surgeon คนที่ 15 ของโรงพยาบาล) สุดท้ายถ้า qualification ทุกอย่างเท่ากันยกเว้นคนหนึ่ง GPA 3.9 กะอีกคน 2.0 คนรับก็อาจจะเดาว่า train คนแรกน่าจะสัมฤทธิ์ผลมากกว่าโดยธรรมชาติ

๓) เราจำเป็นต้องไปกังวลว่าเราถูกมองว่าเก่งหรือไม่เก่งรึเปล่า? โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เขามองไม่ตรงกับที่เราคิด (และวิเคราะห์) ว่าไม่เป็นความจริง มีหลายๆคนที่ "ดูเหมือนเก่ง" โดยเพื่อนๆตั้งแต่ต้นจนจบแต่ออกไปแล้วก็ "ไม่เห็นเก่ง" เพราะไม่ได้ประสบความสำเร็จแต่อย่างใด เราไม่ได้เรียนเพื่อจะถูกมองว่าเก่งหรอกนะครับ คุณค่าของเราอยู่ที่การกระทำและเจตนาของตัวเราเองครับ We are what we have done. We are what we eat. ถ้าหากค่านิยมที่ว่า ไม่ชอบถูกมองว่าไม่เก่ง นั้นเป็น norm ผมอยากจะให้ norm นี้เปลี่ยนไปครับ

การเรียนต่อนั้นแสดงถึงการรักการเรียนได้เหมือนกัน ฉะนั้นคงจะไม่น่าแปลกใจมากถ้าคนที่ทนเรียนต่อหลัง พบ. 6 ปี ต่อ board อีก 4 ปี ต่อ specialist อีก 2 ปี จะ "เก่ง และรู้เรื่องนั้น" มากกว่าคนที่ไม่ได้เรียน (ถ้าเรียนไปเรื่อยๆและรู้น้อยกว่าคนที่ไม่ได้เรียนซิจะแปลกมาก) แต่ก็อีก เก่ง ไม่ได้แปลว่า เป็นคนดี หรือจะมีคนนับถือเราเพราะความดี คนที่เก่งมากๆอาจจะมีเมียน้อย เล่นการพนัน ติดเหล้า ติดยาเสพติด มีลูกเกเรเพราะไม่ได้ถูกอบรมดีเท่าที่ควร ฯลฯ

ไม่ทราบว่าตอบตรงคำถามหรือไม่ ถ้าไม่ตรงต้องขออภัยและขอให้ลองเรียบเรียงและถามใหม่ครับ



Posted by : Phoenix , Date : 2003-05-12 , Time : 00:05:33 , From IP : 172.29.3.208

ความเห็นจาก Social Network : Facebook


สงวนสิทธิ์การแสดงความคิดเห็นสำหรับ สมาชิกเท่านั้น
>>>>> Page loaded: 0.041 seconds. <<<<<