ความคิดเห็นทั้งหมด : 51

บั้งไฟพญานาคมีจริงๆนะ คุณคิดว่าไง


   นศพ.บ และ อ. ได้ลองมาพิสูจน์ข้อเท็จจริงถึงถิ่น ต้องพบกับเหตุการณ์น่าประทับใจ มีลูกไฟ สีชมพูแดง พุ่งขึ้นจากแม่นำโขงอย่างไม่น่าเชื่อ ทำเอานศพ. อ อึ้งกิมกี่ไปเลย

Posted by : เด็กโพนพิสัย , Date : 2004-11-01 , Time : 15:06:59 , From IP : 203.150.217.117

ความคิดเห็นที่ : 1


   ตกลงที่มีจริงคือลูกไฟสีชมพูพุ่งขึ้นจากแม่น้ำโขงหรือว่าบั้งไฟพญานาคครับ?



Posted by : Phoenix , Date : 2004-11-01 , Time : 18:50:23 , From IP : 203.156.41.87

ความคิดเห็นที่ : 2


   เป็นไงบ้างเด็ก หนองคาย จะโทรไปถามแล้วว่าได้เห็นบั้งไฟหรือป่าว แต่ไม่มีเบอร์ ตกลงได้เห็นแล้วใช่ป่าว มันเกิดจากธรรมชาติ หรือคนลาวทำกันแน่เหรอ มีใครรู้บ้างเอ่ย
แต่เราได้เห็น Long neck Karen ของจริงที่แม่ฮ่องสอนเลย เดี่ยวจะเอารูปกลับไปฝาก
แล้วเจอกันบนวอร์ดศัลย์นะคับ


Posted by : Xylem , Date : 2004-11-01 , Time : 19:40:17 , From IP : 203.156.47.67

ความคิดเห็นที่ : 3


   อีอ้วนนนนน

Posted by : w , Date : 2004-11-01 , Time : 22:13:57 , From IP : 172.29.4.89

ความคิดเห็นที่ : 4


   นศพ. บ. ไม่ยอมไป round เอาแต่เที่ยวกับกิน ยังมีหน้ามาโม้เรื่องบั้งฟงบั้งไฟอีก เฮ้อ...เด็กสมัยนี้
(ขอให้มีความสุขกับ นศพ.อ. บนภูกระดึงน่ะ )
คำเตือน
ห้ามเที่ยวเกิน 2 วัน
โปรดระวังหลังก่อนเที่ยวกับนศพ. บ. ทุกครั้ง


Posted by : ลิงน้อยแก้มแดง , Date : 2004-11-02 , Time : 00:07:44 , From IP : 172.29.4.118

ความคิดเห็นที่ : 5


    คนสมัยก่อน คงไม่เคยคิดว่าจะมีเหล็กที่บินได้ (เครื่องบิน)
ไม่คิดว่าจะมีคนเอาธาตุมาแยกเป็นอะตอมได้ (ระเบิดปรมาณู)


คนสมัยนี้ก็คิดไม่ออกว่าทำไมดาบที่คนสมัยก่อนใช้ถึงได้ ยาว และหนักมากๆ
บางสิ่งที่ไม่มีมูลจริงๆ เมื่อเวลาผ่านไปย่อมแพ้ภัยตัวเอง

อยากแค่ตั้งข้อสงสัย
ทำไม มีศาลพระภูมิ ถ้าภูตผีไม่มีจริง
อย่างบั้ง "ไฟพญานาค" ทำไมไม่ตั้งเป็นชื่ออื่น

ชื่อมีให้ตั้ง อีกเยอะแยะ

ถ้ามีคนทำสิ่งเหล่านี้จริงซึ่งการกระทำสิ่งนี้เป็นการกระทำที่เกี่ยวกับพระพุทธศาสนาแล้วควรมีคนออกมารับผิดชอบ


สิ่งเหล่านี้ไม่จำเป็นต้องอธิบายมาก แต่เป็นพญานาคจริงๆ


อ่านในพระไตรปิฏก มีเนื้อความที่เกี่ยวข้องกับพญานาคหลายตอน
ถ้าเราไม่มีเสียม คงขุดไปหาไส้เดือนที่อยู่ในดินไม่เจอ
ถ้าเราไม่มีกล้องจุลทรรศน์ คงไม่มีทางมองเห็น ameoba , paramesium
ถ้าเราไม่มีกล้องจุลทรรศน์อิเลคตรอน ก็คงไม่มีทางมองเห็น collagen fiber
ถ้าเราไม่มีไฟ โทรทัศน์ก็เปิดไม่ได้
ไม่มีน้ำมัน รถก็สตาร์ทไม่ติด

พญานาคอยู่ที่ในน้ำ เป็นสัตว์ที่มีเมืองอยู่ในน้ำ และมีความเจริญทางจิตใจ มีความศรัทธาในพระพุทธศาสนา จึงได้กระทำการดังกล่าว ในวัน 15 ค่ำ



Posted by : Fahrenheit 9/11 , Date : 2004-11-02 , Time : 01:32:47 , From IP : 203.156.60.69

ความคิดเห็นที่ : 6


   พอจะขยายความ "ที่มา" ของความเชื่อเรื่องพญานาคให้พวกเราฟังหน่อยได้ไหมครับ?



Posted by : Phoenix , Date : 2004-11-02 , Time : 05:22:43 , From IP : 203.156.60.146

ความคิดเห็นที่ : 7


   แบงค์ อู๋ ...
คิดถึงมั่กๆ
กลับมาแล้วเอารูปมาให้ดูมั้งนะ
อยากเห็นบั้งไฟพญานาคน่ะ


Posted by : 126 , Date : 2004-11-02 , Time : 23:50:10 , From IP : 172.29.4.55

ความคิดเห็นที่ : 8


   แบงค์ อู๋ ...
คิดถึงมั่กๆ
กลับมาแล้วเอารูปมาให้ดูมั้งนะ
อยากเห็นบั้งไฟพญานาคน่ะ


Posted by : 126 , Date : 2004-11-02 , Time : 23:51:55 , From IP : 172.29.4.55

ความคิดเห็นที่ : 9


    เรื่องนี้ก็เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งนะคะ แต่พอจะจำได้ไม๊ว่าครั้งหนึ่งเคยมีทหารอเมริกาจับสัตว์ชนิดหนึ่งได้ที่แม่น้ำโขง ตัวยาวๆ แบนๆ ขนาดใหญ่มาก แล้วก็มีหงอนด้วย มีภาพถ่ายด้วยนา... บอกตรงๆว่าคล้ายพญานาคที่เค้าปั้นตามตำนานมากๆ คนแถบนั้นเค้าเรียกกันว่า "นางพยาบาภ"
แต่จู่ๆเรื่องก็เงียบไป ไม่มีการค้นคว้าอะไรกันต่อเลย บอกแต่ว่าเมื่อผ่าพิสูจน์แล้ว พบว่าอวัยวะภายในคล้ายปลา จริงๆมันก็ไม่แปลกเนอะ ตัวอะไรก็แล้วแต่ที่อยู่ในน้ำตลอดเวลาแบบนั้น...อะไรๆข้างในก็ควรจะคล้ายปลาอยู่หรอก...เฮ้อ อยากรู้เหมือนกันนะว่าความจริงมันเป็นยังไงกันแน่.


Posted by : ^_^ , E-mail : (-) ,
Date : 2004-11-03 , Time : 13:28:52 , From IP : 172.29.4.158


ความคิดเห็นที่ : 10


   I Agree with Phoenix U Should be careful on YOur WOrds


Posted by : OOZing , Date : 2004-11-03 , Time : 16:12:10 , From IP : 172.29.2.90

ความคิดเห็นที่ : 11


   I Agree with Phoenix U Should be careful on YOur WOrds


Posted by : OOZing , Date : 2004-11-03 , Time : 16:12:16 , From IP : 172.29.2.90

ความคิดเห็นที่ : 12


   บั้งไฟพญานาคมีจริงๆ ซึ่งพญานาคจะอยู่ใต้ลำน้ำโขง เป็นภพซ้อนภพ เมื่อถึง
วันเข้าพรรษาก็จะถือศีลจนถึงวันออกพรรษา และจะพ่นลูกไฟสีชมพูแดงเพื่อ
บูชาพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราจะเห็นแค่ 1 วันใน 1 ปี ถ้าต้องการรู้รายละเอียด
ให้เปิด Website www.dmc.tv. จะมีเรื่องราวเกี่ยวกับพญานาค เป็น window
media player


Posted by : เรื่องจริง , Date : 2004-11-03 , Time : 16:54:33 , From IP : 172.29.1.169

ความคิดเห็นที่ : 13


   ช่วยขยายความว่าทำไมถึงเชื่อว่าเป็นพญานาคให้พวกเราฟังได้ไหมครับ



Posted by : Phoenix , Date : 2004-11-03 , Time : 20:31:18 , From IP : 203.156.41.207

ความคิดเห็นที่ : 14


   ประเด็นนี้เราสามารถจัดที่มาของ "ความเชื่อ" ได้เป็นสองกลุ่มใหญ่ๆ หนึ่งคือเชื่อเพราะผ่านการพิสูจน์ (หรือมีคนพิสูจน์แล้ว) และสองเชื่อเพราะศรัทธา แค่นั้น

ในประการที่สอง ถ้าเราศึกษาศาสนศาสตร์ จะพบรากในศาสนาที่เป็น Theism ได้ เช่น คริสต์ มุสลิม จูดิส ฮินดู กลุ่มนี้ไม่ต้อง debate เรื่องที่มาหรือเหตุผล แต่ใช้กำลังใจความลึกซึ้งของแรงศรัทธาอันเข้มแข็งเป็นหลัก เรื่องที่เราศรัทธาไม่จำเป็นต้องเกี่ยวกับศาสนาเสมอไปก็ได้ เป็นลัทธิก็มีอยู่เยอะ เช่น Church of Scientology ที่เชื่อว่ามนุษย์มาจาก Alien มาเพาะพันธุ์ไว้หลายหมื่นปีมาแล้ว บ้านเราเมื่อประมาณยี่สิบปีที่แล้วก็เคยมีลัทธิรัฐมนตรีสวรรค์ มีผู้หลักผู้ใหญ่ คนตในภาครัฐบาล ทหาร และแม้แต่ academia เข้าร่วมลัทธิมากมาย

คนที่ศรัทธานั้นสามารถพูดออกมาได้เต็มปากเต็มคำครับว่าเขาเชื่อเพราะศรัทธา จบแค่นั้น

ทีนี้จะลำบากสำหรับกลุ่มที่เชื่อเพราะมีที่มา มีเหตุผล แต่เผอิญบางส่วนไม่ใช่แบบนั้น แต่จะบอกว่าศรัทธาก็ยังไม่ได้แก่กล้าจริงๆพอที่จะประการว่าเราพอใจที่จะเชื่อยังงี้ยังงั้นเพราะศรัทธาอย่างเดียว ผมไม่ใช่นักศาสนศาสตร์ แต่จากคำสอนหลายๆส่วนของพุทธ เราใช้ปัญญาในการอภิปรายปัญหา และตั้งสมมติฐานและแก้ไปด้วยความเข้าใจซะเยอะ ผมเคยคิดเล่นๆ ถ้าจะจัดหมวด พุทธศาสนาน่าจะเป็นกลุ่ม Agnosia นั่นคือไม่สนใจว่ามีหรือไม่มีพระเจ้า (ไม่เหมือนกับกลุ่ม Atheism นะครับ กลุ่มนั้นเชื่อว่า "ไม่มี" พระเจ้า) เพราะมันไม่ relevance กับมรรคแปด กับอริยสัจสี่ที่เป็นหัวใจของเรา มีก็ได้ไม่มีก็ได้

ผมศึกษาพุทธศาสนาเชิง academic แบบเดียวกับเพื่อนหลายๆคน มันเข้ากันดีกับสายอาชีพนักวิทยาศาสตร์ หรือนักวิชาการ บ่อยครั้งที่เราอุปมาพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสมือนปรมาจารย์หรือครูท่านหนึ่ง สิ่งที่ท่านสอน ท่านทำให้กระจ่างแต่ไม่ได้กำหนดกฏเกณฑ์ ท่านสังเกตและประกาศผลแห่งการสังเกตเหมือนที่ Michael Faraday ทำ และท่านได้ challenge สานุศิษย์หรือว่าที่ฯ ให้ลอง observe และสังเกตหาข้อสรุปเอาเองว่าจะได้เหมือนกันหรือไม่ เข้าใจว่ามีคนได้ข้อสรุปอย่างเดียวกันเยอะพอสมควร ไม่ได้ก็คงมีบ้าง แต่นั่นคือการคงอยู่มาตลอด 2500+ ปี

ดังนั้นถ้าจะ "บูชา" พุทธศาสนาจริงๆ ในความคิดคำนึงของผม ผมอาจจะเลือกการปฏิบัติตามคำสอนหรือการทุ่มเทเวลาศึกษาสิ่งที่ท่านรวบรวมไว้มากกว่าการจุดพลุปีละครั้ง ผมเคยบอกกับ supervisor ผมว่า เขาได้มีบุญคุณกับผมมากมาย สิ่งเดียวที่จะตอบแทนได้คือทำอย่างเดียวกับที่ผมรับจากเขา เอาไปถ่ายทอดให้คนอื่นต่อๆไป ดูเขาก็ชื่นชมดี ซึ้งไปเลย ไม่แน่ใจว่าถ้าผมบอกแกว่าจะจุดพลุรำลึกทุกคริสต์มาสแกจะสมหวังถูกใจแค่ไหน

ก็เลยอยากฟังข้อคิดของคนอื่นที่เชื่อเรื่องนี้แค่นั้นแหละครับ ไม่ได้จะรบกวนอะไรมาก



Posted by : Phoenix , Date : 2004-11-03 , Time : 21:34:35 , From IP : 203.156.41.207

ความคิดเห็นที่ : 15


   จากที่ทางมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ให้โอกาสพวกเราได้มาฝึกงานและศึกษาวัฒนธรรมท้องถิ่น ซึ่งจากที่พวกเราได้รับทราบจากปากของ ผู้เฒ่าผู้แก่ และคนในชุมชนโพนพิสัยแถบนี้ ทำให้ทราบข้อมูลในหลายๆ ด้าน แต่อยากให้ทุกคนพิจารณาเองนะครับว่า ข้อมูลนี้ควรเชื่อหรือไม่ แต่โดยส่วนตัวของพวกเรา เราสามารถสัมผัสได้ว่า แม่น้ำโขงเป็นแม่นำที่มีตำนาน และความยิ่งใหญ่มากครับ

Posted by : นศพ. บ แอนด์ อ. , Date : 2004-11-04 , Time : 14:21:23 , From IP : 203.150.217.112

ความคิดเห็นที่ : 16


    ตามที่ Phoenix ได้เรียกร้องอยากทราบความเชื่อเรื่องพญานาค เราจึงจัดให้

พญานาคก็เป็นสัตว์ที่มีกายทิพย์จัดอยู่ในจำพวกเดรัจฉานภูมิ เป็นราชาแห่งงูทั้งปวง ซึ่งอยู่ในระบบสังสารวัฎ คือการเวียนว่ายตามเกิดตามกรรมที่ได้ก่อไว้ ผู้ที่เกิดเป็นพญานาคได้นั้นจะต้องเป็นมนุษย์ที่ให้ความเคารพนับถือ แก่พญานาคและเป็นผู้มีบุญ ทำบุญใหญ่หลวงขณะเป็นมนุษย์ โดยอธิษฐานไว้ก่อนตายว่าอยากเกิดใหม่เป็นพญานาค ซึ่งใน ทานูปการสูตร ได้กล่าวไว้ว่าที่มีมนุษย์อธิษฐานเช่นนี้เนื่องจาก เชื่อว่า พญานาค มีวรรณะงาม มีอายุยืน มีความสุขมาก


Posted by : นศพ. บ แอนด์ อ. , Date : 2004-11-04 , Time : 14:30:47 , From IP : 203.150.217.112

ความคิดเห็นที่ : 17


    ก่อนอื่นเรามาคุยกันถึงชั้นวรรณะของพญานาคกันก่อนนะครับ

พญานาคแบ่งออกเป็น 4 ประเภทตามบุญกุศล

โดยนักศึกษาแพทย์ ตอ. ได้ให้นิยามจากหนังสืออะไรไม่ทราบง่ายๆ ดังนี้

วรรณะแรกคือ พญานาคชนชั้นปกครอง ซึ่งเป็นชนชั้นสูงที่สุด ทำหน้าที่ปกครองงูทั้งปวงอาศัยอยู่ในเมืองหลวงของพญานาค ซึ่งมีความเชื่อว่าเมืองหลวงของพญานาคอยู่ใต้ลำนำโขงของ อ. โพนพิสัยจังหวัดหนองคาย ซึ่งพญานาควรรณะนี้สามารถแสดงอิทธิฤทธ์ให้กับมนุษย์เห็นได้


Posted by : นศพ. บ แอนด์ อ. , Date : 2004-11-04 , Time : 14:41:12 , From IP : 203.150.217.112

ความคิดเห็นที่ : 18


    ก่อนอื่นเรามาคุยกันถึงชั้นวรรณะของพญานาคกันก่อนนะครับ

พญานาคแบ่งออกเป็น 4 ประเภทตามบุญกุศล

โดยนักศึกษาแพทย์ ตอ. ได้ให้นิยามจากหนังสืออะไรไม่ทราบง่ายๆ ดังนี้

วรรณะแรกคือ พญานาคชนชั้นปกครอง ซึ่งเป็นชนชั้นสูงที่สุด ทำหน้าที่ปกครองงูทั้งปวงอาศัยอยู่ในเมืองหลวงของพญานาค ซึ่งมีความเชื่อว่าเมืองหลวงของพญานาคอยู่ใต้ลำนำโขงของ อ. โพนพิสัยจังหวัดหนองคาย ซึ่งพญานาควรรณะนี้สามารถแสดงอิทธิฤทธ์ให้กับมนุษย์เห็นได้


Posted by : นศพ. บ แอนด์ อ. , Date : 2004-11-04 , Time : 14:41:29 , From IP : 203.150.217.112

ความคิดเห็นที่ : 19


    ก่อนอื่นเรามาคุยกันถึงชั้นวรรณะของพญานาคกันก่อนนะครับ

พญานาคแบ่งออกเป็น 4 ประเภทตามบุญกุศล

โดยนักศึกษาแพทย์ ตอ. ได้ให้นิยามจากหนังสืออะไรไม่ทราบง่ายๆ ดังนี้

วรรณะแรกคือ พญานาคชนชั้นปกครอง ซึ่งเป็นชนชั้นสูงที่สุด ทำหน้าที่ปกครองงูทั้งปวงอาศัยอยู่ในเมืองหลวงของพญานาค ซึ่งมีความเชื่อว่าเมืองหลวงของพญานาคอยู่ใต้ลำนำโขงของ อ. โพนพิสัยจังหวัดหนองคาย ซึ่งพญานาควรรณะนี้สามารถแสดงอิทธิฤทธ์ให้กับมนุษย์เห็นได้


Posted by : นศพ. บ แอนด์ อ. , Date : 2004-11-04 , Time : 14:43:58 , From IP : 203.150.217.112

ความคิดเห็นที่ : 20


   วรรณะ 2 เป็นวรรณะของผู้รับใช้วรรณะปกครอง เกิดจากไข่ อาศัยอยู่ในเมืองหลวงและเมืองสำคัญๆ ของพญานาค นอกจากนี้ยังทำหน้าที่ในการดูแลสถานที่สำคัญทางศาสนา เช่นโบสถ์ อุโบสถ ที่พวกเราเห็นตามวัดนะครับ น่าสนใจใช่ไหม พวกเราก็เพิ่งจะได้รับรู้เหมือนกันว่าทำไม ตามวัดจึงมีพญานาคเฝ้าอยู่

Posted by : นศพ. บ แอนด์ อ. , Date : 2004-11-04 , Time : 14:49:22 , From IP : 203.150.217.112

ความคิดเห็นที่ : 21


   วรรณะ 3 คือ พวกงูขนาดใหญ่ เกิดจากเหงื่อไคลของพวกวรรณะปกครอง ทำหน้าที่ในการเฝ้าสมบัติเก่าแก่ อย่างที่พวกเราเคยได้ยินเรื่องงูเฝ้าสมบัตินั่นแหละงูตัวนี้จะรอจนกว่าเจ้าของสมบัติ หรือผู้ที่เหมาะสมจะมารับสมบัติไป ถ้าเป็นคนอื่น งูพวกนี้จะปกป้องยิ่งชีวิต

Posted by : นศพ. บ แอนด์ อ. , Date : 2004-11-04 , Time : 15:19:02 , From IP : 203.150.217.112

ความคิดเห็นที่ : 22


   วรรณะ 3 คือ พวกงูขนาดใหญ่ เกิดจากเหงื่อไคลของพวกวรรณะปกครอง ทำหน้าที่ในการเฝ้าสมบัติเก่าแก่ อย่างที่พวกเราเคยได้ยินเรื่องงูเฝ้าสมบัตินั่นแหละงูตัวนี้จะรอจนกว่าเจ้าของสมบัติ หรือผู้ที่เหมาะสมจะมารับสมบัติไป ถ้าเป็นคนอื่น งูพวกนี้จะปกป้องยิ่งชีวิต

Posted by : นศพ. บ แอนด์ อ. , Date : 2004-11-04 , Time : 15:28:11 , From IP : 203.150.217.112

ความคิดเห็นที่ : 23


   วรรณะที่ 4 เป็นววณะที่เกิดจากตม เป็นงูธรรมดาที่พบเห็นได้ทั่วไป

Posted by : นศพ. บ แอนด์ อ. , Date : 2004-11-04 , Time : 15:32:54 , From IP : 203.150.217.112

ความคิดเห็นที่ : 24


    รูปที่มีทหารถือกันหลายๆ คน ที่เขียนว่านางพยาบาท นั่นน่ะ
มีจิงๆ น่ะผมเห็นที่เมืองจีน<ที่ sea world ไหหลำ>ดองไว้ เหมือนกันเป๊ะ
เป็นปลา ----> เสียดายไม่ได้ถ่ายรูปมา แต่มีจิงๆ น่ะ ยาว 3 เมตรได้


Posted by : ของจิง , Date : 2004-11-04 , Time : 16:28:51 , From IP : 172.29.3.134

ความคิดเห็นที่ : 25


   อย่าง นศพ.บ คงจะวรรณะ 3 ใช่มะครับ เป็นงู(อ้วน)ขนาด(โคตร)ใหญ่ สมบัติเต็มห้องเชียว สงสารเมทบ้างนะครับ จะไม่มีที่อยู่แล้ว(โว้ย) ปล.เมท ต. ฝากบอกมา

Posted by : ลิงน้อยแก้มก้น , Date : 2004-11-04 , Time : 16:29:03 , From IP : 172.29.4.89

ความคิดเห็นที่ : 26


   เข้าใจผิดนิดหน่อยครับ

ผมไม่ได้อยากทราบว่าเรื่องพญานาคมีรายละเอียดอย่างไร อาศัยอยู่ที่ไหน มีอุปนิสัยอย่างไรแบบนั้น ผมเพียงสนใจว่า "ทำไม" ถึงเชื่อเรื่องนี้ครับ



Posted by : Phoenix , Date : 2004-11-05 , Time : 23:09:04 , From IP : 203.155.172.57

ความคิดเห็นที่ : 27


   จะขอขยายความเกี่ยวกับเรื่องพญานาคเท่าที่ทราบมา
ประมาณ 5,000ปี ณ ประเทศลาวมีความเจริญอย่างมาก มีปุโรหิตท่านหนึ่งซึ่งทำหน้าที่บูชาพญานาคเพื่อให้ฝนตกต้องตามฤดูกาล ด้วยความศรัทธาต่อพญานาคเมื่อตายไป ก็ได้เกิดเป็นพญานาคอยู่ใต้ลำน้ำโขง (สามารถแปลงร่างเป็นมนุษย์ได้และได้เป็นหัวหน้าพญานาคปกครองพญานาคกล่มหนึ่ง
ป ปกครองแบบระบบยุญญาธิการคือผู้มียุญมากปกครองผู้มีบุญน้อยและมีอายุยืนยาวเป็นพุทธันดร(อยู่ในช่วงพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งถึงอีกพระองค์หนึ่ง)
พญานาคเหล่านี้จะถือศีล 5 เป็นประจำ วันหนึ่งพญานาคเล่นน้ำอยู่เห็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์( หลังจากทรงโปรดแสดงธรรมแก่พุทธมารดา) เกิดความเลื่อมใสจึงพ่นบั้งไฟพญานาคออกมาเพื่อถวายเป็นพุทธบูชา และทุกๆปีเมื่อถึงวันเข้าพรรษาก็จะจำศึลจนกระทั้งถึงวันออกพรรษาก็จะพ่นบั้งไฟพญานาคเป็นประจำทุกๆปี


Posted by : เรื่องจริง , Date : 2004-11-06 , Time : 05:08:41 , From IP : 172.29.1.169

ความคิดเห็นที่ : 28


   ขอศึกษาได้ไหมครับว่าเราแยกตำนานพื้นบ้านออกจากเรื่องจริงได้อย่างไร? ความยาวนานของเรื่องที่เล่า? (เราเชื่อว่าโลกแบนมาหลายพันปีก่อน) จากใครเล่า? (ปราชญ์สมัยก่อนก็คิดว่าโลกแบน และโลกเป็นศูนย์กลางของระบบสุริยะ) หรือว่าอย่างไร? ขยายความสักนิดได้ไหมครับ



Posted by : Phoenix , Date : 2004-11-06 , Time : 14:04:53 , From IP : 203.156.60.254

ความคิดเห็นที่ : 29


   อยากเห็นบั้งไฟพญานาคด้วยจังเลย


Posted by : เด็กศัลย์ใกล้สอบ , Date : 2004-11-07 , Time : 01:05:46 , From IP : 172.29.4.150

ความคิดเห็นที่ : 30


   ถ้านิยามของคำว่า เรื่องจริง ต้องพิสูจน์ได้


โดยเครื่องมือที่พิสูจน์ ต้องแสดงออกผ่าน รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส เท่านั้น

ก็คงจะยากที่จะพิสูจน์ อีกหลายเรื่อง




Posted by : OmniSci , Date : 2004-11-07 , Time : 16:56:08 , From IP : 172.29.3.170

ความคิดเห็นที่ : 31


   อายตนะของเราอาจจะไม่ใช่ final instrument ของการตัดสิน "ความจริง" ทุกอย่างก็ได้นะครับ

metaphysics หรือ หลายๆทฤษฎีของ theory physics นั้น exist แค่ในสมการเท่านั้น เช่นผลงานจำนวนมากของไอสไตน์ นิวตัน จนมาถึง Stephen Hawking ในความพยายามอธิบายจุดกำเนิดและขอบเขตของจักรวาล จุดตั้งต้นของทุกสิ่งทุกอย่าง ทฤษฎี black hole และข้อสรุปเบื้องต้น (หรือข้อสังเกต อาจจะเป็นคำที่รอบคอบกว่า) ในเรื่อง time & space

ยังมีอื่นๆอีกเช่น happiness ที่เราพยายามจะวัดด้วยการใช้ surrogate parameter มากมายก็ยังหาข้อสรุปไม่ได้ ของการแพทย์เองคำว่า quality of life ก็ยังเป็น theme ใหญ่ที่ยังอยู่ในระหว่างการศึกษาอยู่ว่าจะ define เช่นไร (let alone how to measure it)

นอกจากนี้ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส นั้น กล่าวได้ว่าเป็นตัวรับของเราก็จริง แต่ก็ตัวหลอกที่มีประสิทธิภาพสูงมาก มายากลที่ work อยู่ทุกวันนี้ก็ได้มาจาก tricks บนระบบสัมผัสของเราซะส่วนมาก

ย้อนกลับเรื่องเก่าของเรา ตำนานงูใหญ่นั้นมีอยู่ทั่วไปแทบทุกชาติศาสนาเลยก็ว่าได้ ความสำคัญยิ่งหย่อนต่างกันไป แต่ที่มีบรรดาศักดิ์ฐานะเห็นจะเป็นพญานาคกับเล่งอ๋องของจีน ทั้งสองมีตำนานในส่วนของตัวอสูรเองและในส่วนที่สัมพันธ์กับศาสนา ไปๆมาๆมนุษย์ก็ดูเป็น specie ที่ represent อะไรสักอย่างที่สัตว์บริสุทธิ์อื่นๆอยากจะมาเกิดเป็น ตรงนี้ออกจะ contrary กับมนุษย์จำนวนมากที่ได้เกิดมาแล้ว เสวยสุขอยู่ในขณะนี้บนความทุกข์ของทั้งคนและสัตว์จำนวนมาก

ที่น่าสนใจ (สำหรับผม) คือ ขณะที่เราฟังตำนวนชาติอื่นคิดว่าเป็นเรื่องนิยาย บ่อยครั้งที่คนในชาติเราเองจะคิดว่าตำนวนของเราเป็นเรื่องจริง คำว่า "เรื่องจริง" ตรงนี้ ผมเดาอย่างมั่นใจพอสมควรว่าไม่ได้ผ่าน methodology การพิสูจน์แบบที่ว่ามากนัก แต่ทำไมเราจึงเชื่อแบบนั้นๆ?



Posted by : Phoenix , Date : 2004-11-07 , Time : 19:49:19 , From IP : 203.156.40.150

ความคิดเห็นที่ : 32


   แหม แหม แหม


ไปไป มามา ก็เรื่องเดิมๆ สำหรับคนที่รู้ไม่ค่อยจริงอย่างผม

สุดท้าย ผมก็สรุป กลับมาที่ ศรัทธา (faith) ครับ ไม่ต้องพิสูจน์

"จริง" อยู่ในตัวมันเอง (คือ จริง ในตัวผู้ศรัทธาเอง)




เราเองเสียอีก ที่ "เสือก" (ขออนุญาตใช้คำนี้ โดยความหมาย ไม่ใช่โดยอารมณ์) ไปนิยาม หรือ ไป "พยายาม" นิยาม อ้างทฤษฎี โน้น นี้ มาทำให้มันดูยุ่งยาก แล้วบอก (ด้วย "เหตุผล?" ตามทฤษฎี นั้นๆ) ว่ามันไม่จริง เชื่อไม่ได้


ยาก แล้วดูดี ดูมีความรู้ complex is good



Posted by : OmniSci , Date : 2004-11-07 , Time : 20:24:38 , From IP : 172.29.7.210

ความคิดเห็นที่ : 33


   จริงครับ "ศรัทธา FAITH" เป็นอีกเครื่องมือหนึ่งที่คนเราใช้นำไปสู่ความเชื่ออะไรต่อมิอะไร นอกเหนือจากเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์

ที่น่าสนใจคือเท่าที่ผมมีเพื่อนนับถือศาสนาที่ใช้ faith เป็นหลักหลายคน เวลาถามให้ช่วยอธิบายที่มาของ faith (คือเราไม่ต้องอธิบาย "กลไก" ว่าศรัทธาทำงานอย่างไร แต่ศรัทธานั้นมี "ที่มา" สำหรับแต่ละปัจเจก) เขาจะยินดีมากที่จะ share experience พื้นฐานตรงนี้คล้ายๆกับเวลาที่เรามีของดีที่เราเชื่อแน่ว่าดีจริง ได้ผลกับตัวเรา เราก็อยากจะเผื่อแผ่แบ่งปันให้คนอื่นทราบ เรื่องราวมีมาหลากหลายมากเลยครับ บ้างเป็น serious crisis แต่แล้วก็ผ่านพ้นไปโดยกำลังใจจากศรัทธา บ้างก็เปนลักษณะคล้ายๆ miracle episodes เป็นต้น ที่เหมือนกันหมดคือที่มาเหล่านี้ผู้ที่มี faith ไม่ได้ละอายหรือรู้สึกแปลกๆอะไรเลยที่จะ share และสามารถถกถึงมันได้อย่างเป็นปกติ

Faith นั้น simple ก็จริงแต่จะว่าง่ายนั้นก็ไม่แน่ครับ จริงๆแล้ว faith จะถูก challenge อยู่ตลอดเวลา เช่น เรามีศรัทธาว่าทำดีแล้วได้ดี แต่ก็เห็นๆอยู่ว่าไอ้คนที่ทำ (ไม่ค่อย) ดีเท่าไหร่มันไปไหนถึงไหนแล้ว การที่เรายังตั้งมั่นทำต่อตรงนี้เป็นความยากพอสมควรทีเดียว คล้ายๆอดบุหรี่แหละครับ ต้องมีศรัทธากำลังใจพอควร บางคนก็ทำง่ายๆแต่บางคนก็เป็นเรื่องยากเย็น

ผมคิดว่ามันคงไม่ได้อยู่ที่ "ยากง่าย" หรือ "ซับซ้อน เรียบง่าย" และที่แน่ๆ good bad ยิ่งเป็นสิ่งที่ยากเย็นยิ่งขึ้นในการพยายามจะนิยาม มีอีกคำหนึ่งคือ conviction หรือ มโนสำนึกมั่นใจว่าสิ่งที่คิดที่ทำนั้นถูกแล้ว ที่จะเป็นตัวกำหนดว่าเราพร้อมที่จะประกาศงว่าเรามีศรัทาเรื่องอะไรออกมาดังๆหรือไม่อย่างไร โดยไม่สนใจว่าคนอื่นจะว่ายังไง



Posted by : Phoenix , Date : 2004-11-07 , Time : 21:54:16 , From IP : 203.155.183.239

ความคิดเห็นที่ : 34


   อย่างน้อยผมว่าคนส่วนมากก็ ศรัทธา ในความเป็นตัวของตัวเอง หละนะครับ



เอ มันจะกลายเป็นคำว่า "ดื้อ" หรือเปล่า

ก็ "กู" ว่างี้ "มึง" ก็ต้องว่างี้ (ขอโทษ อีกครั้ง ผมได้ใช้อารมณ์)

หรือเข้าข่าย "เหตุผลส่วนตัว("กู")" ว่ามั้ย

ยกตัวอย่าง
ศ. หลายๆ ท่านก็ใช้ process นี้ ก็ต้องยกให้ท่าน


Posted by : OmniSci (กูก็ดื้อ) , Date : 2004-11-08 , Time : 02:51:16 , From IP : 172.29.7.56

ความคิดเห็นที่ : 35


   ไม่ได้ใช้ อารมณ์นะจ๊ะ

Posted by : OmniSci , Date : 2004-11-08 , Time : 10:32:45 , From IP : 172.29.3.170

ความคิดเห็นที่ : 36


   FAith ต่างจากดื้อพอสมควรครับ

"ถ้า" insight ยังทำงานดีอยู่ คนใช้ faith ในความเชื่อเรื่องอะไรก็ตามจะรู้สึก happy ที่จะนำเสนอหรือพูดว่าทำไมเขาถึงมี faith อย่างที่ว่า เพราะเขาคิดว่าเป็นเรื่องที่ดี เรื่องที่ถูกต้อง คำว่า "ดื้อ" นี่ดูเหมือนจะเป็นกลุ่มต่างหาก คือไม่มีตรรกะรองรับ แต่ใช้ self protective mechanism ต่างๆมาปกป้องความคิดนั้นๆ โดยที่ตัวเองก็รู้ว่ามันไม่ได้ดี สมเหตุสมผล แต่เพื่ออะไรบางอย่างที่ตนเองอยากจะปกป้อง (ส่วนใหญ่คือ self) ก็จะดันทุรังแพ่งไปให้ได้

และเป็นคนละเรื่องกับการ force ให้คนอื่น "เชื่อตาม" ด้วยนะครับ OK บางทีเราได้ยินกลุ่ม evangelism ที่จะแสวงหาผู้ร่วมเชื่อ ร่วมศรัทธาเพิ่มเติมอย่างมาก แต่นั่นเป็นเพราะกิจกรรมนั้นๆไดเถกรวมอยู่ใน recommendation ในเนื้อหาของศรัทธานั้นๆ

ส่วน ศ.จะดื้อมากน้อยแค่ไหน ขอไม่ comment ก็แล้วกัน



Posted by : Phoenix , Date : 2004-11-08 , Time : 14:44:44 , From IP : 203.156.60.240

ความคิดเห็นที่ : 37


    อยากจะฝากถึงทั้ง 2 คนข้างบนว่าอย่าเอาเรื่องนี้มาเป็นสาระจนทำให้ มีเรื่องไม่งามบนกระดานข่าวเลยนะครับ ขอร้อง เพราะคนที่ตั้งกระทู้นี้ไม่ได้มีเจตนาอย่างนี้ เพียงต้องการบอกว่า ไอ้ลูกไฟที่ขึ้นจากกลางแม่น้ำโขงมันมีจริงเท่านันเอง แต่สาเหตุไม่รู้ว่าเกิดจากอะไรครับผม ซึ่งรอการพิสูจน์

Posted by : เด็กโพนพิสัย , Date : 2004-11-08 , Time : 14:48:31 , From IP : 203.150.217.117

ความคิดเห็นที่ : 38


   


ผมอยากจะตั้งคำถาม อะไรซักนิดนะครับ
เกิดมาเนี่ย
ผมมันเคยบอกตัวเองไหมว่า มันคือผม
เล็บ กระดูก ฟัน หนัง หรือ สิ่งต่างๆ รอบๆ ตังเราเนี่ย มันมีปากบอกพวกเราไหม
ว่าให้เรียก เค้าว่าอย่างนั้นอย่างนี้

หนังที่ห่อหุ้มร่างกายอยู่ก็ไม่รู้ว่าหุ้มอะไรอยู่
กล้ามเนื้อ 600 กว่ามัดก็ไม่เคยรู้ว่า มีหนังมาหุ้มอยู่

สรรพสิ่งในโลก มีผู้รู้เข้าไปยึดติด สัญญาว่าสิ่งนั้นเป็นอย่างนั้นสิ่งนี้เป็นอย่างนี้

สมองคนเราก็มีไว้ให้ผู้รู้เข้าไปอาศัย


Posted by : Fahrenheit 9/11 , Date : 2004-11-08 , Time : 16:52:16 , From IP : 202.28.21.5

ความคิดเห็นที่ : 39


   (ต่อนะครับ)

สรรพสัตว์ในโลกนี้ มี การเกิดอยู่หลายอย่าง
เกิดจากไข่
เกิดจากครรภ์มารดา
...

ศาสนาพุทธ( พุทธ แปลว่า ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน)
องค์พระศาสดา ของพุทธศาสนิกชนท่านเป็นผู้ที่บำเพ็ญบารมีเพื่อความรู้แจ้ง
มิใช่ให้ใครมาสรรเสริญ

พญานาค เป็นสัตว์ที่มีอยู่จริง เพราะมีเนื้อเรื่องกล่าวไว้ในพระไตรปิฏก
(เพราะพระศาสดา ทรงตรัสไว้ หากสิ้นพระศาสดาแล้ว ธรรมคำสั่งสอนจักเป็นศาสดาต่อไปจนสิ้นศาสนา)

ผมมีความเชื่อเพราะได้พิสูจน์กับตนเองแล้ว
ไม่จำเป็นต้องไปถามหาจากใคร


ถามว่าผมเคยเห็นไหม แน่นอนไม่เคยเห็น
จะเห็นได้อย่างไร ไม่มีเรือดำน้ำ ไม่มีตาทิพย์ ไปเห็น


อยากให้ตั้งข้อสังเกต
1. บั้งไฟพญานาคนั้น ไม่มีทางที่มีใครจะไปทำได้แน่นอน
ขนาด ช่างฝีมือด้านต่างๆ ของไทย ที่สามารถทำเงินได้ ยังร่อยหรอลงไปทุกวัน นับประสาอะไรกับ บั้งไฟที่มีลักษณะพิเศษ คือไม่มีควัน พุ่งตรง ไฟไม่ต่ำลง หายไปในอากาศ
ถ้าหากคนลาวทำ ก็ต้องเคยเห็นบั้งไฟประเภทนี้ในที่อื่นๆ ได้บ้าง
ก๋วยเตี๋ยว อร่อยแค่ไหน หวงสูตรแค่ไหน สูตรยังรั่วไปได้

บั้งไฟสวย อย่างนี้ถ้าหากมีคนทำจริงก็น่าจะมีให้เห็นได้ที่อื่นบ้าง

2. ทำไปต้องทำในวัน 15 ค่ำ เดือน 11 ใครจะไปโกหกเรื่องเราว

ที่องค์พระศาสดาเสด็จกลับจากชั้นดาวดึงส์ หลังจากไปโปรดพุทธมารดา

3. ศาสนาพุทธตั้งอยู่บนความจริงทุกอย่าง
กระบวนการ
หรือ วิสัยทัศน์ในการมอง
หรือ ความรู้ในการค้นหาความจริง ย่อมเป็นส่วนหนึ่งของศาสนาพุทธ

ความจริงย่อมเป็นความจริง จักรวาลจะใหญ่มาก มีสิ้นสุดหรือไม่มีที่สิ้นสุด
ก็ไม่ใช่ หลักการ

ธรรมะที่พระพุทธองค์ทรงตรัสสอน เปรียบเหมือน ใบไม้ในมือเทียบกับป่า
ต้องการให้คนที่เห็นภัยของการเกิด แก่ เจ็บ ตาย พ้นทุกข์

หากใครต้องการจะรู้เรื่องธรรมชาติต่างๆ ให้ยิ่งๆขึ้นไป บนความถูกต้องไม่เบียดเบียนใคร ก็ไม่ผิด ก็ยิ่งดีอีกหากได้ช่วยเหลือสังคม

แต่สิ่งที่สำคัญ คือไม่มีอะไรยิ่งกว่า อริยสัจ 4
เพราะท่านรู้หมดทั้งจักรวาล แต่ท่านยังมีทุกข์
ท่านจะรู้ไปทำไม

ยอดปรารถนาบนโลกคือความสุข

ความสุขที่ปราศจากความทุกข์







Posted by : Fahrenheit 9/11 , Date : 2004-11-08 , Time : 17:06:49 , From IP : 202.28.21.5

ความคิดเห็นที่ : 40


   ผมเห็นด้วย 100% ที่ว่าแก่นพุทธศาสนานั้นไม่ได้อยู่ที่กระบวนการสรรเสริญ ไม่ได้อยู่ที่ขบวนการนุ่งห่ม ไม่ได้อยู่ที่วันเวลาไหนจึงสมควรที่จะต้องมารำลึกเป็นพิเศษ

ผมคิดว่าเราเข้าใจตรงกันนะครับที่ว่าแก่นคือ "อริยสัจสี่" และถ้าจะมีข้อพึงปฏิบัติเป็นพุทธบูชาแล้วล่ะก็ การศึกษาและปฏิบัติธรรมน่าจะเป็นอันที่น่าสนใจและตรงมากที่สุดอย่างหนึ่ง

แน่นอนที่ว่าแต่ละปัจเจกจะมีหนทางไปสู่ "ข้อสรุป" ที่แตกต่างกันได้ แต่ ultimate truth นั้นมีประการเดียว หนทางอาจจะหลากหลาย แม้แต่พุทธศาสนาก็ยังมี lineage แตกแขนงไปเป็น เถรวาท มหายาน วชิรยาน กระบวนการและพิธีกรรมแตกต่างกันจริงแต่แก่นยังเป็นความเพียรและความปฏิบัติบนอริยสัจสี่อยู่เหมือนเดิม

ตรรกศาสตร์เป็นวิชาที่น่าสนใจครับ เวลาเราบอกว่ามันเป็นอย่างนี้ๆเพราะอย่างนั้น แต่ละปัจเจกมีความพึงพอใจในเหตุผลตามแต่ background ซึ่งไม่เหมือนกัน ผมคิดว่าความแตกฉานในวิชาเชิงปรัชญานี้จะมาจากการถกอภิปรายแบบเปิด อยู่บนรากฐานการแลกเปลี่ยนที่สมควร วชิรญาน (tibetan) นั้นจะเน้นการอภิปรายถกกันเป็นหลักทีเดียว ขณะที่เถรวาทจะเน้นที่ศึกษาพระไตรปิฎก มหายานจะศึกษา diamond sutra และแนวคิดเพิ่มเติมจากท่านโพธิธรรม แต่นั่นก็เป็นความแตกต่างของวิถี จุดมุ่มหวายปลายทานขอดคอดลงมาที่ประเด็นเดียวกัน มรรคแปดก็ยังเป็น common themes ที่เราจะพึงบำเพ็ญอยู่ดี

ในการสั่งสอนศาสนาหลักหลายๆศาสนา มีส่วนที่เป็นอัศจรรย์อยู่เยอะ ตรงนี้จะเป็นข้อเท็จจริงหรือเป็นอุบายอันชาญฉลาดในการดึงดูดสานุศิษยหรือแตกเป็นประเด็นให้พิจารณาก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง เช่น จำเป็นหรือไม่ที่องค์ชายสิทธัตถะจะประพาส 7 เก้าโดยมีดอกบัวรองรับตั้งแต่แรกเกิด ตรงนี้แสดงถึงปาฏิหาริย์หรือเป็นสัญญลักษณ์แห่งความเป็นหนึ่งเดียวของพระองค์ แต่จะจริงหรือไม่เราอาจจะอภิปรายตรงที่ถ้าจิรงหรือไม่จริงมันรบกวน "แก่น" ของอริยสัจสี่หรือไม่

มีคำถามบางอย่างเรียกว่า Imponderable questions ที่พุทธประวัติกล่าวถึงว่ามีผู้ถามแต่ท่าน (พระสมณโคดม) นิ่งเสีย เช่น อะไรเป็นจุดเริ่มของจักรวาล พระเจ้ามีจริงหรือไม่ อะไรคือปาฏิหาริย์ที่หลังจากสำเร็จอรหันต์บารมีแล้วจะทำได้ เช่น เหาะเหินเดินอาหาศ มองเห็นอนาคต ฯลฯ คำตอบของคำถามเหล่านี้ไม่ได้ถูกกำหนดเพราะไม่มีนัยสำคัญต่อมรรคาไปสู่การพ้นทุกข์

ประมุขหมู่บ้านกาลามถามคำถามอมตะชุดหนึ่งต่อพระพุทธเจ้าวาจะใช้วิธีใดในการตัดสินเรื่องความเชื่อจนเป็นที่มาของบทกาลามสูตร ที่สุดแล้วเป็นการใช้ปัญญาไตร่ตรองว่าสิ่งนั้น blameless และเป็นความดี ตรงนี้จะตอบต่อไปว่าอย่างไร ก็คงจะขึ้นกับการบำเพ็ญ moral excellence ตามศีล สมาธิ และปัญญา

สัจจะนั้นไม่ใช่ของชนชาวไทย พระพุทธเจ้าบังเอิญเกิดมาในเขตเอเชีย แต่สิ่งที่ท่านตรัสรู้และนำมาสอนนั้นเป็นสากล เปลี่ยนไปกี่ภาษา กี่วัฒนธรรม ก็ยังจริงอยู่ ไม่ขึ้นอยู่กับ "บริบท" หรือสถานที่ ชนชาติ ภาษา วัฒนธรรม

ข้างบนเป็นเพียงความคิดเห็นส่วนตัว บทรำพึงของผมคนเดียวแหละครับ



Posted by : Phoenix , Date : 2004-11-08 , Time : 18:32:25 , From IP : 203.156.41.116

ความคิดเห็นที่ : 41


   ขออนุญาตถกต่อจากส่วนลงท้ายนะครับ

อาจจะฟังดูจู้จี้จุกจิก แต่ผมตะขิดตะขวงใจเวลาเราเชื่อมโยงอริยสัจสี่เข้ากับ "ปราถนาความสุข" แม้ว่าจะมีสร้อยว่าโดยปราศจากความทุกข์ก็ตามที

เพราะมันอาจจะเบี่ยงเบนเป้าหมายหลักของเราได้ไหมครับ?

ถ้าโจทย์เป็น "แสวงหาความสุข" หรือ "ปราถนา" จะเป็นรากแห่งความยึดเหนี่ยวและเวทนา สัญญา หรือไม่? เมื่อไหร่ก็ตามที่เรา "มี" สิ่งนั้นโดยหลักแห่งอนิจจัง (impermanence) จะสิ่นสุดที่การไม่มี สูญเสีย และเป็นรากแห่งความทุกข์ได้ ในปฏิจจสมุปบาท (dependent origination) ร่าย "วงจร" ของการเกิดไว้เป็น 12 ห่วงโซ่สัมพันธ์ และเราจะเพียง "หยุด" เกิดได้ก็ต่อเมื่อวงจรที่สลายที่รากหรือ "อวิชชา"

อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เป็นด่านวงจรสุดท้ายที่เราจะตีให้แตกและทำความเข้าใจ (ซึ่งตัวกระผมยังห่างไกลและไม่ได้พิสูจน์อะไรตรงนี้ทั้งสิ้นแน่นอนครับ ยังมีกิเลสหนาและเวียนว่ายตายเกิดอีกหลายสิบหลายร้อยชาติแน่นอน)

ใน Mythology ของชนชาติต่างๆก็มีความพยายามอธิบายปรากฏการณ์ธรรมชาติที่ความรู้ปัจจุบันอธิบายไม่ได้อยู่เยอะ ผมก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าลูกไฟสีชมพูนี้เป็นหนึ่งใน myths ที่ว่านี้หรือไม่ แต่เรามีพญามังกรที่ดูแลมหาสมุทรทั้งสี่ของจีน เรามีโพไซดอน พี่ชายของ Zeus ดูแลเมดิเตอเรเนียน มีองค์วิษณุประทับบนพาหาบัลลังก์นาคาของอินเดีย ในส่วนของนารายณ์สิบปางยังอ้างว่าของเราเป็นปางหนึ่งของเขาเลย ผมคิดว่า "ศรัทธา" ของแต่ละคนคงจะมีความมั่นใจ และความเชื่อในความเป็นจริงไม่แพ้กัน เพียงแต่เวอร์ชันไหนที่จริงแท้แน่นอน คงไม่ใช่เรื่องที่เราจำเป็นต้องไปตัดสินตรงนี้

สาเหตุที่ผมอยากจะ "คิด" ว่าเรา "ไม่จำเป็น" ก็เพราะไม่ว่าความจริงในเรื่องที่กล่าวมาเป็นแบบไหน มันไม่เกี่ยวกับกระบวนการศึกษาปฏิบัติของ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค เรายังปฏิบัติบนมรรคาที่เราเชื่อแม้ว่า Zeus และ Hera ประทับมองอยู่บนโอลิมปัส แม้ว่าพญาเล่งอ๋องประทับใต้บาดาล และแม้แต่พญานาคายังพ่นบั้งไฟทุกๆรอบดวงจันทร์เต็มดวงเหนือฟ้าลำน้ำโขงก็ตาม (หรือแม้แต่ท่าจะหยุดพ่นบั้งไฟก็ตาม)

สิ่งที่เกิดจากการหลุดพ้นทุกข์นั้นจะเรียกสุขหรือไม่? ผมคิดว่าคำที่ใช้คือสงบสันติ นิพพาน nibbana (pali) nirvana (sansakrit) (Def: A state of existence, or non-existence, that is totally beyond explanation in any known language (Yet we continue to try and find the words or combination of words to explain the feeling that we perceive to exist in this state - inadequately perhaps - but we try). It has to do with the extinction of greed, hate, delusion, desire - all manifestations of ignorance in one"s life. It is a state of existence where one is consciously unconscious, or unconsciously conscious; a state beyond intelligence, and intellectual dualization. Nirvana is the ultimate goal of Buddhist practice. The word literally means "blown-out" and is often translated as extinction, emancipation, cessation or non-rebirth.

From a metaphysical standpoint Nirvana is deliverance from suffering. From a psychological viewpoint Nirvana is the eradication of egoism. From an ethical point of view it is the destruction of lust, hatred and ignorance. Nirvana is not a place; it is not situated in some location nor is it any sort of heaven where a transcendental ego goes to reside. Nirvana is a here and now state, an attainable Dharma within reach of all beings in this lifetime. If possible, try to imagine one"s current life conditions from a mentalistic viewpoint after they have torn out, by the roots, all hate, greed, delusion, desire, lust and ignorance and all that exists is a feeling of oneness with all living beings - that which remains can be perceived as Nirvana.

Nirvana is where there is no thought of birth, no extinction; it is seeing into the state of suchness, absolutely transcending all the categories constructed in the mind; for it is the Buddha"s inner consciousness.)

ขอเรียนศึกษาเพิ่มเติมครับ




Posted by : Phoenix , Date : 2004-11-08 , Time : 20:59:18 , From IP : 203.156.60.139

ความคิดเห็นที่ : 42


   Oooo

Out of my range.....


Posted by : OmniSci , Date : 2004-11-09 , Time : 16:41:05 , From IP : 172.29.7.107

ความคิดเห็นที่ : 43


   
ข้าพเจ้าความรู้ด้อยนัก ไม่มีความรู้เรื่องปรัชญา กระบวนการค้นหาความรู้ต่างๆ ผมเข้าใจท่าน Phoenix ว่าอยากจะถามถึงเรื่องะไร แต่ผมไม่มีปัญญาเหล่านั้นมาแก้ให้
แต่รู้เพียงว่า ในอดีตกาลนั้นมี องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ประสูติที่ลุมพินีวัน อย่างแท้จริง ดอกบัวที่มารับ ก็เป็นดอกบัวจริงๆ ท่านเดินเจ็ดก้าวจริงๆ ไม่มีสิ่งใดมาทดแทนความจริงในใจข้าพเจ้าได้

สาเหตุจากการที่ท่านได้บำเพ็ญบารมี มาครบถ้วนบริบูรณ์แล้ว

ถึงแม้ว่า ยากที่ใครจะเชื่อ เรื่องลอยได้ เหาะได้ ก็ไม่แปลก ไม่แปลกตรงที่ท่านไม่รู้ด้วยซ้ำว่า ท่านอยู่กับอะไร ท่านเป็นปลา แต่เต่ามาพูดให้ฟังว่าบนบกมีลม
ไม่มีโคลนตม
ท่านมีหน้าที่ทำให้เป็น เต่าก่อน หากท่านทำแล้วทุกๆ กระบวนท่า
ค่อยมาว่ากันใหม่....ถ้าหากเป็นเต่าไม่ได้

การที่ผมยกตัวอย่าง ผม เล็บ ฟัน หนัง มาให้ดูเพราะว่า
สิ่งเหล่านี้ไม่เคยบอกว่า อะไรเป็นอะไร ไม่มีเจ็บ ปวด หนาวร้อน
มีเพียงธาตุ 4 มาประชุมกัน

เมื่อเกิดอวิชชา (ความคิดที่ว่า ขันธ์ 5 นี้มีตัวตน เที่ยง ยั่งยืน พึ่งพาได้) จักตามมาด้วยอีกหลาย ประการ ซึ่งเป็นเหตุให้เกิด

สังขารทั้งหลาย มีอวิชชา เป็นที่อิงอาศัย
วิญญาณทั้งหลาย มีสังขารเป็นที่อิงอาศัย
นามรูปทั้งหลาย มีวิญญาณเป็นที่อิงอาศัย
สฬายตนะทั้งหลาย มี นามรูปเป็นที่อิงอาศัย
ผัสสะทั้งหลายมี สฬายตนะเป็นที่อิงอาศัย
เวทนาทั้งหลาย มีผัสสะเป็นที่อิงอาศัย
ตัณหาทั้งหลายมีเวทนาเป็นที่อิงอาศัย
อุปาทานทั้งหลาย มีตัณหาเป็นที่อิงอาศัย
ภพทั้งหลาย มี อุปาทานเป็นที่อิงอาศัย
ชาติทั้งหลาย มีภพทั้งหลายเป็นที่อิงอาศัย
อธิบาย ออกมาง่ายๆ ว่า คนเรา ความจริงไม่ได้เป็นอะไรนอกจากดินน้ำลมไฟ
หมุนเวียนเปลี่ยนไป หากเอาใจไปยึดติด ก็ย่อมมี กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา ความสุขความทุกข์
สาเหตุคือความจริงของสรรพสิ่งที่ว่า อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา

อะไรคือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
อนิจจัง คือไม่เที่ยง อะไรที่ว่าไม่เที่ยง ก็กินอยู่หยกๆ รสก็หาย เมื่อท่านอยากมีความสุข อะไรที่ท่านตามหา ความสุขในอดีตใช่หรือไม่

จึงมีความกล่าวว่ นัตถิ ตัณหา สมา นที
เพราะว่ามันหมดไป ไม่มีพอ

ทุกขัง
อะไรคือทุกขัง ทุกข้งแปลว่า ตั้งอยู่ไม่ได้ ไม่มีอะไรจะตั้งอยู่ได้
ต้องไปต่อไปอย่างเดียว เหมือนรถที่วิ่งไปบนทาง ไม่มีหันหลัง

อนัตตา
คือ ทุกสิ่งทุกอย่าง เป็นสิ่งที่ ไม่มีตัวตน คนที่มีอวิชชา คิดขึ้นมาทั้งนั้น
โรงเรียน บ้าน พระ เณร เสาไฟฟ้า นาฬิกา ภรรยา สามี ลูก
ทรัพย์ สินเงินทอง ใครเป็นคนตีราคา ก็คนทั้งนั้น คนที่เอาค่าของ กามตัณหา
ภวตัณหา วิภวตัณหา มาตีราคา ก็เพราะไม่รู้จริงทุกสิ่งทุกอย่างเป็น
อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เมื่อมี อยากก็ต้องตามมาแก้มา เป็นมา ฉลาด
มารวย มาหล่อ แต่ว่า อยู่บนโลกที่มีแต่ความไม่รู้ อะไรคือไม่รู้
ไม่รู้ว่า ทุกสิ่งทุกอย่างไม่มีความหมายในตัวมันเอง

คนเราไปตีราคาให้มันเอง ผม ก็ไม่เดือดร้อน เรียกมันว่าไอ้แดง ไอ้หงอก
ไอ้โล้น

หนังไม่เคยเดือดร้อน เรียกว่าไอ้ดำ ไอ้เหี่ยว
เล็บก็ไม่เคยเดือดร้อน
รถรา ก็ไม่เคยเดือดร้อน ใครจะขี่ ขอแค่มีไฟ มีน้ำมัน มันก็ติดของมันไปได้



คำว่านิพพาน นั้น
คือสภาพ ทึ่สมบูรณ์ ด้วยความจริง เท่านั้นแหละ คือนิพพาน

ท่านไม่อยาก เพราะรู้ว่าอะไรคือ สาเหตุ แห่งความอยาก
ท่านไม่ทุกข์เพราะ ท่านรู้ว่าอะไรคือสาเหตุแห่งความทุกข์


ท่านรู้ว่าอะไรคือหลักปฏิบัติแห่งความดับทุกข์
ท่านรู้ว่าท่านได้ดำเนินตามหลักการแห่งความดับทุกข์นั้นแล้ว







Posted by : fahrenheit 9/11 , Date : 2004-11-10 , Time : 05:35:08 , From IP : 203.156.62.68

ความคิดเห็นที่ : 44


   มีต่อครับ


ผู้ที่ฝึกตนดีแล้ว เหมือนอาชาไนย ที่วิ่งต่อไปในยามค่ำคืน ย่อมวิ่งนำหน้าผู้คนที่หลับใหล



การที่องค์พระศาสดา ไม่กล่าวถึง ต้นเหตุแห่งจักรวาล ขอบจักรวาล
หรือ อะไรอีกร้อยแปดพันเก้าที่ไม่เกี่ยวกับอริยสัจ 4
หากท่านกล่าว ย่อมมีคนเอาไปคิด
ทำให้เสียเวลา แก่การปฏิบัติ มรรค มีองค์8
ในเมื่อ ท่านถูกธนูมา
จักมัวมาถามใยเล่า ธนูนั้นทำจากอะไร ใครเป็นคนยิง
หากท่านถอนธนู และช่วยชีวิตคนได้แล้ว นั่นแหละคือ สิ่งสำคัญ

เปรียบเหมือนคนที่มีปัญญาพร้อม ย่อมไม่แนะนำคนอื่นในทางเสียหาย
และไม่ให้ตนเองถูกใครชักจูงไปในทางเสียหาย

ต่อให้ท่านคิดออกว่ามันอยู่ตรงไหน ประโยชน์อันใด ในเมื่อ แผ่นดินประเทศไทยก็ยังไปไม่หมด

จักห่วงใยเล่าว่าคนเราเกิดจากอะไร จะไปไหนต่อ

เมื่อมีเวลา ที่ดำเนินต่อไป เมื่อมีเดี๋ยวนี้ ก็ไม่น่าจะคาดเดาได้ว่าคนตายแล้วสูญ

ไม่น่าจะคาดเดาได้ว่า มนุษย์ เป็นสิ่งที่สุดยอด กว่า ก้อนหิน ดินทราย
ก็ในเมื่อตายแล้ว ก็ต้องกลับไปอยู่อย่างนั้น

ไม่น่าจะเดาได้ว่า ความสุข ความทุกข์ ทรัพย์สมบัติ พึ่งพาได้
ในเมื่อปัจจุบันท่านยังแสวงหาอยู่


Posted by : fahrenheit 9/11 , Date : 2004-11-10 , Time : 05:56:49 , From IP : 203.156.62.68

ความคิดเห็นที่ : 45


   ผมคิดว่าบทวิเคราะห์แจกแจงปฏิจจสมุปบาทที่คุณ fahrenheit9/11 แจกแจงมาสอดคล้องระหว่างเราทั้งคู่ (by the way, นามแฝงที่ใช้มันจักจี้นะครับ โดยเฉพาะเวลาเราอภิปรายเรื่องเกี่ยวกับศาสนา ชอบภาพยนต์เร่องนี้เป็นพิเศษหรือครับ?)

มีกลุ่มนักวิชาการที่ศึกษาศาสนาพุทธ "เชิงปรัชญา" คิดว่าพระพุทธเจ้าเป็นเสมือนอัจฉริยะหรือครูที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ท่านหนึ่ง คือเป็นปุถุชนธรรมดา มีความเห็นว่าการตัดส่วน "ปาฏิหาริย์" ออกไป ไม่ได้ทำให้ "รสพระธรรม" แตกต่างไปแม้แตน้อนิด และก็ยังทำความเลื่อมใสศรัทธาในคำสั่งสอนของท่านได้เหมือนเดิม

ตรงประเด็นนี้ถ้าเรามาพิจารณากันให้ละเอียด จะน่าสนใจในแง่พุทธประวัตินั้นมีส่วนที่เป็น "สัญญลักษณ์" ปนอยู่หรือไม่ เราทราบตำนานโบราณมากมายที่ผู้นำไม่ว่าทางโลกหรือทางธรรมจะมีอะไรที่แตกต่างจากปุถุชน นัยว่าเป็นผู้นำหรือมีอิทธิฤทธิ์ อาจจะเป็นเงื่อนไขเบื้องต้นที่ชักจูงให้มีคนสนใจฟังตอนเริ่มต้นหรือไม่? ถ้าเราคิดว่าเจ้าชายสิทธัตถะเป็น Homo sapien นั่นแปลว่าท่านจะยังไม่เดินจนเกือบประมาณอีกปีนึง ท่านต้องตัดสายสะดือ พระนางสิริมหามายาต้องคลอดรก ผมคิดว่าถ้าเหตุการณ์จริงเป็นยังงั้น ก็ไม่น่าจะมีอุปสรรคปัญหาอะไรในการศึกษาพุทธธรรมแม้แต่นิดเดียว แต่เมื่อเรา "เชื่อ" ว่าสิ่งนั้นเกิดขึ้นจริงเพียงเพราะมีคนจารึกไว้ ตรงนี้เริ่มมีปัญหาตามมาว่ามีคนเขียน จารึกอะไรต่อมิอะไรมากมาย เป็นไบเบิ้ล คัมภีร์อัลกุรอาน ไตรปิฎก ฯลฯ ทุกบทความ ทุกคัมภีร์ผู้เขียนก็ "เชื่อ" ว่าจริงทั้งสิ้น จากประสบการณ์ จากความคิดปัญญาของปัจเจก ปัจจเจกบุคคลพึงใช้อะไรในการพิจารณาก่อนหรือไม่ที่จะเชื่อสิ่งนั้นนี้เป็นจริง? ถ้าจะใช้ ใช้อะไร?

จำเป็นหรือไม่ที่ผู้สำเร็จมรรคผลจะต้องมีลายกงจักรบนฝ่ามือ ฝ่าเท้า มีก้นหอยครบสิบนิ้ว มี anatomy ที่แตกต่างเป็นพิเศษจากปุถุชน ถ้าเราคำนึงว่าสิ่งเหล่านี้มันถูกควบคุมโดย genetic materials นั่นคือผลจากพระเจ้าสุทโธทนะแลพระนางสิริมหามายา และไม่เกี่ยวกับว่าเราจะบำเพ็ญความดี เจริญปัญญาอย่างไร ลายนิ้วมือนิ้วเท้าเรามันไม่ควรจะค่อยๆเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ลักษณ์ที่ว่าก็อาจจะไม่ relevant หรือไม่?

เราน่าจะดำเนินมาถึง "ข้อเท็จจริง" ประการหนึ่งนั่นคือประสาทสัมผัสของเรานั้นไม่ได้เป็นสิ่งที่ reliable มากที่สุดในการตรวจสอบอะไรก็ตาม (ไม่ต้องพูดถึงสัจธรรม) ฉะนั้นปัญญาไตร่ตรองน่าจะเป็นคำตอบที่ "ใกล้เคียง albeit not guarantee" ในการที่จะตั้งหลักหรือไม่ ข้อสำคัญพระพุทธเจ้าทรงประสบความสำเร็จในการที่สอยสานุศิษย์ให้ใช้ปัญญาในความเชื่อ มิได้เชื่อเพียงเพราะท่านเป็นคนบอกกล่าว ขอให้ลองคิด ลองทำ ลองไตร่ตรอง ลองพยายาม ตามมรรควิถี ผลก็ปรากฏว่าวิธีที่ท่านใช้นั้น มันสอนได้ ถ่ายทอดได้ และมีผู้สามารถเจริญพุทธปัญญาตามท่านได้สำเร็จจำนวนไม่น้อย

ฉะนั้นชุมนุมเทวดา สวรรค์ชั้นต่างๆ อมนุษย์ทั้งทางสวรรค์และโลกบาดาลนั้น จะเป็นเพราะตำนวนเรื่องนี้เขียนมาจากท้องถิ่นตะวันออก ลุ่มแม้น้ำสินธุนี้หรือไม่ก็น่าสนใจคิดเปรียบเทียบดู เพราะเรือ่งราวของพระอินทร์ พระอิศวร พญาครุฑ พญานาค มันค่อนข้างจะ local ทางฝั่งนี้ ผู้เขียนตำนานที่เล่าขานกันมามักเป็น anonymous scholars ที่ใช้ self perception ในการจารึก มีการตีความตามภาษา ตามระบอบวัฒนธรรม ณ กาลเวลานั้นๆ เรื่องราว ผู้คน เครื่องนุ่มห่ม ความคิด การปฏิบัติ มี "กรอบ" ของขนบธรรมเนียมประเพณีท้องถิ่นแฝงอยู่เป็นจำนวนมาก แต่ที่เรากำลังศึกษานี้ กล่าวว่าเป็น ultimate truth นั่นคือจะไม่ติดอยู่กับขนบประเพณี ภาษา ฯลฯ ถ้าจับพลัดจับผลูเจ้าชายสิทธัตถะไปเกิดในภูมิภาคที่ไม่มีดอกบัว ผมว่าท่านก็คงจะมีโอกาสที่ตรัสรู้สัจจรรมทั้งหลายแหล่ มีคนบันทึกเป็นภาษษอื่นที่ไม่ใช่บาลี ถ้าอยู่ในกรีกสภาเทวดาที่มาฟังก็อาจจะมี Zeus Neptune Pluto Mercury แทนที่พระอินทร์ พระพรหม และ Olympus ก็จะเป็น venue แทนเขาไกรลาส แต่ข้อสำคัญคือ ultimate truth หรือ อริยสัจสี่นั้นก็คงจะยังไม่เปลี่ยน สมการที่ตั้งไว้ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรคร ยังสัมบูรณ์อยู่เหมือนเดิม




Posted by : Phoenix , Date : 2004-11-10 , Time : 07:47:03 , From IP : 203.156.60.73

ความคิดเห็นที่ : 46


   เพื่อต่อการอภิปรายนะครับ ไหนๆเรามีการพูดถึงปฏิจจสมุปบาทครั้งนี้น่าจะเป็นครั้งที่สี่ ที่ห้าบนกระดานแห่งนี้แล้ว ผมมีความเห็นแตกต่างไปอีกเล็กน้อยจากคุณ Fahrenheit

เมื่อเกิดอวิชชา (ความคิดที่ว่า ขันธ์ 5 นี้มีตัวตน เที่ยง ยั่งยืน พึ่งพาได้)

ผมคิดว่าอวิชชามันกินลึกกว่านั้น หรือกว้างกว่านั้น ข้อสำคัญที่สุดคือ อวิชชาคือ "ความไม่รู้ในอริยสัจจ์สี่" (ref สัมมาทิฏฐิสูตร พระไตรปิฎก)


สังขารทั้งหลาย มีอวิชชา เป็นที่อิงอาศัย
วิญญาณทั้งหลาย มีสังขารเป็นที่อิงอาศัย
นามรูปทั้งหลาย มีวิญญาณเป็นที่อิงอาศัย
สฬายตนะทั้งหลาย มี นามรูปเป็นที่อิงอาศัย
ผัสสะทั้งหลายมี สฬายตนะเป็นที่อิงอาศัย
เวทนาทั้งหลาย มีผัสสะเป็นที่อิงอาศัย
ตัณหาทั้งหลายมีเวทนาเป็นที่อิงอาศัย
อุปาทานทั้งหลาย มีตัณหาเป็นที่อิงอาศัย
ภพทั้งหลาย มี อุปาทานเป็นที่อิงอาศัย
ชาติทั้งหลาย มีภพทั้งหลายเป็นที่อิงอาศัย
อธิบาย ออกมาง่ายๆ ว่า คนเรา ความจริงไม่ได้เป็นอะไรนอกจากดินน้ำลมไฟ


ปฏิจจสมุปบาท คงไม่ใช่เรื่องของธาตุทั้งสี่ชุมนุมเป็นรูป ซึ่งไปประกอบกับนามเป็นนามรูป ตรงนี้คงเป็นแค่ห่วงเดียว ปฏิจจสมุปบาท-วิพังสูตร ปฏสันถาร ณ กรุงสาวัตถีเป็นคำอธิบานเรื่อง co-arising หรือวงจรการเกิด การมี เน้นที่ "ห่วง" หรือ "วงจร" ที่เราจำเป็นจะต้องทำความเข้าใจ เพื่อที่จะ "ตัด" โดยเริ่มจาก "ราก" คือ "อวิชชา" หรือความไม่รู้ถึงวงจรนี้ ความไม่รู้ผลของวงจรนี้ต่อการเกิด ความไม่รู้ผลของวงจรนี้ต่อการมี และสำคัญที่สุดคือความไม่รู้อริยสัจจสี่ (ref ไตรปิฎก และ Access to insight website )

Namaste




Posted by : Phoenix , Date : 2004-11-12 , Time : 20:16:32 , From IP : 203.156.60.126

ความคิดเห็นที่ : 47


   link does not work. Try this one Access to Insight website

Posted by : Phoenix , Date : 2004-11-12 , Time : 20:23:33 , From IP : 203.156.60.126

ความคิดเห็นที่ : 48


    ถ้าพญานาคมีจริง พญาครุฑก็ต้องมีด้วยใช่ไหมครับ เพราะเคยเห็นงานศิลปกรรมพญาครุฑจับพญานาคด้วยกรงเล็บ


Posted by : ร่วมด้วยช่วยกัน , Date : 2004-11-12 , Time : 21:43:59 , From IP : 172.29.7.253

ความคิดเห็นที่ : 49


   กาลามสูตร (Kalamasutra)

ตรัสแสดงแก่ชาวนิคมเกสปุตตะ แคว้นกาลามะ ผู้ทูลถามถึงสมณพราหมณ์ต่างๆที่ยกยอวาทะของตนข่มผู้อื่น แล้วถามว่าควรจะเชื่ออะไร ว่า
ตรัสสอนมิให้เชื่อ
๑) โดยฟังตามกันมา
๒) โดยนำสืบกันมา
๓) โดยตื่นข่าวลือ
๔) โดยอ้างตำรา
๕) โดยนึกเดาเอา
๖) โดยคาดคะเน
๗) โดยตรึกตามอาการ
๘) โดยพอใจว่าชอบแก่ความเห็นของตนเอง
๙) โดยเหนว่าพอเชื่อได้
๑๐) โดยเห็นว่าสมณนี้เป็นครูของเรา
แต่ให้ สอบสวนจนรู้ได้ด้วยตนเอง (ref พระไตรปิฎกฉบับประชาชน ทุติยปัณณาสก์ หมวด ๕๐ ที่ ๒)

สำหรับผู้สนใจ ลองอ่านสำนวนแปลของฐานิสโรภิกขุ ที่แปลเป็นภาษาอังกฤษจากต้นฉบับบาลีดูก็ได้นะครับ น่าสนใจดี

"So, as I said, Kalamas: "Dont go by reports, by legends, by traditions, by scripture, by logical conjecture, by inference, by analogies, by agreement through pondering views, by probability, or by the thought, "This contemplative is our teacher."

When you know for yourselves that, "These qualities are unskillful; these qualities are blameworthy; these qualities are criticized by the wise; these qualities, when adopted & carried out, lead to harm & to suffering" -- then you should abandon them."

Thus was it said. And in reference to this was it said.
Access to Insight



Posted by : Phoenix , Date : 2004-11-14 , Time : 00:24:54 , From IP : 203.156.41.89

ความคิดเห็นที่ : 50


   คิดว่าน่าจะให้ credit ให้ครบครับ เดี๋ยวน่าเกลียด

The sutta translations were made by many esteemed translators, including: Venerables Bhikkhu Bodhi, Acharya Buddharakkhita, Bhikkhu Khantipalo, Ñanamoli Thera, Ñanavara Thera, Narada Thera, Nyanaponika Thera, Soma Thera, Thanissaro Bhikkhu (Phra Ajaan Geoff), and Sister Vajira; I.B. Horner, John D. Ireland, K.R. Norman, and F.L. Woodward.

Ref Access to Insight Website



Posted by : Phoenix , Date : 2004-11-14 , Time : 00:56:16 , From IP : 203.156.41.89

ความคิดเห็นที่ : 51


   พญานาคในสมัยก่อนนะเขาบอกว่ามัอยู่จริง ซึ่งก้น่าจะเปงอย่างนั้นแหล่ะ เคยรู้มาว่าจะมีสิ่งหนึ่งที่อยู่ในฟองที่พญานาคสำรอกออกมาก้คืออะไรสักอย่างที่มีหน้าตาคล้ายคลึงกับลู้แก้ว พญานาคอันที่จริงแร้วเขาก้มีชีวิตจิตใจเหมือนเรานี่แหละ แต่บางครั้งบางทีก้เขาก้เปงสัตว์ในตำนานอะนะซึ่งนานมาแร้วมิมีใครสามารถล่วงรู้ได้ แต่มีสิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้นที่แม่น้ำโขงในตอนที่น้ำสงบนิ่งพระจันทร์ส่องลงมาที่แม่น้ำ ถ้าใครสังเกตจะเห็นได้ว่าที่พื้นน้ำจะมีเงาของอะไรสักอย่างที่มีความยาวและยาวมากอยู่ใต้แม่น้ำซึ่งอันนี้ก้ไม่สมารถรู้ได้ว่าเปงอะไรกันแน่ แต่ประสบการณ์จากที่ได้ไปสัมผัสจริงๆมันเปงอะไรที่น่าสนใจมาก คือตอนั้นอะนั่งติดกับแม่น้ำโขงเลยเพียงแค่เอื้อมมือก้ถึงน้ำ และย่าของฉันด้วยความที่ท่านเปงคนแก่อะนะแต่ก้ไม่แก่มากหรอก ท่านก้นั่งบ่นอะไรสักพักของแกคนเดียวแล้วจู้ๆๆลูกไฟที่มีสีแดงคล้ายถ่านตอนที่ถูกไหม้จนเปงสีแดงก้มาขึ้นตรงหน้าฉันซึ่งห่างออกไปประมาณสองเมตรได้มั่งและที่สังเกตกันก้คือ เงาที่มีคาดยาวทอดอยู่ข้างหน้าฉันก่อนที่ลูกไฟนั้นจะขึ้นและหายลับไปพร้อมกับลูกไฟที่พุ่งขึ้นฟ้า ซึ่งฉัก้ไม่ร้อีกนั้นแหละมันเปงความเชื่อของแต่ละคนเนอะ ต้องใช่วิจารณญาณในการอ่าน หวัดดีค่ะ
..........................จันทร์เจ้า..........................................แห่ง...............มหิธรปุระ...................


Posted by : จันทร์เจ้า , E-mail : (apui2108@hotmail.com) ,
Date : 2006-08-01 , Time : 01:39:10 , From IP : 168.120.90.210


ความเห็นจาก Social Network : Facebook


สงวนสิทธิ์การแสดงความคิดเห็นสำหรับ สมาชิกเท่านั้น
>>>>> Page loaded: 0.019 seconds. <<<<<