ความคิดเห็นทั้งหมด : 84

Debate XVI: จริยธรรม


   เพื่อเป็นการไม่รบกวนและเกะกะ topic อื่นโดยบทความนอก topic ขออนุญาตเปิด platform ใหม่นะครับ

ผมชื่นชมความมั่นใจในตนเองและการแสดงออกของคุณ Immanuel มาก การ dabate ที่ดีนั้น ทั้งสองฝ่ายควรจะแสดงจุดยืนและเหตุผลประกอบเพื่อประโยชน์สูงสุด เพราะผมเชื่อว่าการรับฟังความคิดเห็นของคนอื่นนั้นคือการ "แอบลัก" ประสบการณ์ ซึ่งบางครั้งเราประหยัดเวลาของเราเองได้เยอะทีเดียว

ผมจะว่าไปเรื่อยๆโดยยกประเด็นปลีกย่อยและตัวอย่างมาเป็นสาธก และจะบอกเหตุผลนะครับว่าทำไมผมถึงคิดอย่างนั้น

คุณก็รู้ว่าภาพเปลือยนั้นไม่ใช่สิ่งที่มนุษย์ที่มีสติจะเอามาเป็นสุนทรียะเลย มนุษย์เราใจสูงพอที่จะมีเสรีภาพจากสัญชาตญาณได้ครับ จึงแสดงออกมาว่าการสืบพันธุ์นั้นไม่ใช่สิ่งน่าชื่นชมอะไรเลยกลับก่อโทษมากมาย แต่เป็นสิ่งที่ปุถุชนต้องร่วมกันปกปิด

ผมขอสรุปว่าคุณ immunuel คิดว่าภาพมนุษย์เปลือยเป็นความลามกอนาจารแค่น้นก็แล้วกันนะครับ ส่วนที่ว่าคนที่คิดว่าร่างกายมนุษย์เป็นสุนทรีย์นั้นผมว่าค่อนข้างจะ exaggerated เกินไปสักหน่อย จริงๆแล้วสมาคมอาบแดด และพวก Naturist นั้นผมเห็นว่ามีจิตใจสูงมาก เพราะอะไร? เพราะพวกนี้มองเห็นร่างกายมนุษย์เป็นเรื่องธรรมชาติ และไม่มีอะไรที่เราจะต้องอับอายในความเป็นธรรมชาติ และพวกนี้สามารถมองหรือชื่นชมร่างกายที่เปลือยเปล่า โดยไม่มีความคิดเรื่องร่วมประเวณี ตรงกันข้ามกับบางคนที่จิตใจไม่หนักแน่นหรือหมกมุ่นที่พอเห็นร่างเปลือยหรือวับแวมๆหน่อยจิตใจมันสมองก็ตรงดิ่งไปเรื่องเดียว ภาพร่างกายมนุษย์นั้นไม่ได้แตกต่างจากภาพสัตว์ ภาพทิวทัศน์แต่อย่างใดเลย ทั้งหมดมี essence ที่เหมือนกันคือความเป็นธรรมชาติ เรามีภาพแห่งความเป็นสุนทรีย์ (ที่สังคมตะวันตกยอมรับ) และเป็นภาพผู้หญิงเปลือยอกเปลือยก้นมากมายในพิพิธภัณฑ์ บางคนมองแล้วอาจจะปิดตาวิ่งหนีหรือสอนลูกว่าพวกนี้ลามก แต่บางคนก็สามารถยืนชมและชื่นชมสิ่งที่อยู่ตรงหน้าได้ ความสุนทรีย์นั้นไม่มีกฏเกณฑ์หรอกนะครับ ในความเห็นของผม แต่เป็นความรู้สึกแท้ที่ปัจเจกบุคคลรู้สึกเช่นนั้นจริงๆ โดยมิได้ปรุงแต่งโดยกฏเกณฑ์ในหนังสือเล่มไหน

จริงอยู่บ้านเราอาจจะคุ้นเคยกับบริบทว่าเปลือยกับลามกนั้นคือเรื่องเดียวกัน หรือร่างกายมนุษย์กับความหื่นกระหายนั้นเป็นของต่อเนื่องกันเสมอไป แต่เชื่อเถอะครับถ้าเราปรับจิตใจเราดีพอ เราสามารถชื่นชมเรื่องเหล่านี้ได้โดยไม่มี moral ลดลงแม้สักกระผีก ผมไม่มี evidence-base หรอกนะครับ แต่ผมขอพูดออกมาอย่างเปิดเผย (และผมพูดโดยที่มั่นใจว่า identity ของผมนั้น มีคนจำนวนมากรู้) ว่าผมไม่มีความรู้สึกว่าภาพนู้ด สมาคมอาบแดด นั้นเป็นเรื่องผิดจริยธรรมแต่อย่างใดและสามารถเป็นสุนทรยะได้ ถึงตรงนี้คุณ immanuel ก็คงจะสรุปได้ว่าผมนั้นเป็นคนไม่มีสติธรรมดาๆคนหนึ่งเท่านั้น แต่ผมก็มีความมั่นใจในตนเองพอสมควรและพอใจกับระดับความมีสติเท่าที่มีตอนนี้อยู่พอสมควร

ถึงแม้คุณจะบอกว่ามันเป็นสิทธิของคุณและเป็นศิลปะ แต่คุณไม่คิดบ้างหรือว่าคนอื่นที่เขามาเห็นน่ะเขาจะคิดเหมือนคุณหรือเปล่า

vice versa

เพราะเหตุที่เราสามารถเผด็จการได้ทุกอย่างกับจิตวิญญาณของตนเอง ที่จะเลือกแนวทางที่ดีที่สุด เหนือสิ่งอื่นใดคือกฎเกณฑ์ของการไม่เห็นแก่ตัว

ผมพอจะสรุปได้ไหมครับว่าคุณ Immmnuel ไม่เชื่อใน concept ที่ว่า "ให้ปล่อยวาง ไม่ยึดมั่นถือมั่น และการไร้ซึ่งตัวกู ของกู"? และผมยังรู้สึกความเป็น paradoxical เล็กน้อยเวลาพยายามสร้างความสัมพันธ์ระหว่างการไม่เห็นแก่ตัวกับการเผด็จการ เป็นเพราะว่าการเผด็จการนั้นบอกเป็นนับถึง Absolute Value "ของตัวตนเอง" และไม่ยอมรับ Value ของผู้อื่นใดๆเลยที่ไม่ตรงกับของตนเอง และ "ความเห็นแก่ตัว" ในความหมายของผมนั้นคือการที่เรายึด Value ของเราเหนือกว่าของผู้อื่น นี่เป็นเหตุผลที่ผมถึงรู้สึก conflict ครับ



Posted by : Phoenix , Date : 2003-04-28 , Time : 23:33:29 , From IP : 172.29.3.228

ความคิดเห็นที่ : 1


   ขอต่อนะครับคุณ Immanuel

ผมชอบมุสลิมมากที่กำหนดให้ผู้ชายใส่ขายาว ผู้หญิงคลุมศีรษะ เป็นการตัดปัญหาไปเลย

ประเด็นนี้ผมว่ามีการ mix-up ระหว่างหลักปรัชญาและรัฐประศาสนศาสตร์อยู่บ้างนะครับ ก่อนอื่นผมขออกตัวว่าไม่ได้มีเจตนาจะ offend ศาสนาใดโดยจำเพาะ ผมเข้าใจและชื่นชมศาสนามุสลิมอย่างมากที่ได้ใช้ "หลักการ" มาบูรณาการกับตัวบทกฏหมายและ code of conduct จนกระทั่งกลายเป็น Way of Life และเป็นศาสนาที่แก่นแท้นั้นเอื้ออำนวยและ promoste สันติมากที่สุดศาสนาหนึ่ง แต่ผมเชื่อว่าโค้ดดังกล่าวที่คุณ Immanuel ว่านั้นอาจจะไม่ใช่สากลและไม่น่าเป็น Absolute Value of Moral นะครับถ้าเราไม่ได้พูดถึงคนมุสลิม

"ตัดปัญหา" ไปเลยนั้นตกอยู่ใน All of None theme ที่เราได้ debate กันมาตลอด ผมมีมุมมองที่แตกต่างออกไปคือ "ปัญหา" ในที่ถูกยกให้เป็นความรับผิดชอบของหน้าผู้หญิงหรือขาผู้ชาย ในความเห็นของผมนั้นปัญหาไม่ได้อยู่ที่หน้าผู้เหญิง แต่อยู่ที่ทำไมคนถึงคิดว่าหน้าผู้หญิงเป็นปัญหามากกว่า คล้ายๆกับเรื่องภาพเปลือยข้างบนนั่นแหละครับ ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ภาพ หากแต่อยู่ที่คนมอง หากเราสามารถมองหน้าหรือร่างกายเพศตรงกันข้ามและชื่นชมโดยไม่จำเป็นต้องคิดใฝ่ต่ำได้ น่าจะเป็น moral ได้เหมือนกันกับการปิดหน้าปิดตาได้หรือไม่? ประเด็นต่อมาก็คือที่ว่า "ตัดปัญหา" นั้นตัดได้แค่ไหน หากเราจะ ban ภาพนู้ด ก็อาจจะแปลว่าเด็กเราไม่สามารถเห็นภาพเดวิดหรือวีนัสเพราะเป็นรูปเกือบเปลือย และ definitely not ภาพ"มายา" (ที่เป็นภาพคู่สาวสวย ภาพหนึ่งใส่ชุดเต็มที่ อีกภาพหนึ่งเปลือยหมดตัว) หรือเราควรปรับจิตใจให้สามารถชื่นชมภาพพวกนี้โดยสุนทรียะได้ ทั้งสองแบบจะเป็นจริยธรรมได้หรือไม่? หรือว่าเป็นได้แค่แบบเดียว? เพราะอะไร?



Posted by : Phoenix , Date : 2003-04-29 , Time : 14:09:03 , From IP : 172.29.3.160

ความคิดเห็นที่ : 2


   ผมไม่ปฏิเสธครับว่าหากพระอริยบุคคลจะอยู่ต่อหน้าภาพเปลือยโดยไม่รู้สึกอะไร

เพราะนั่นคือท่านได้หลุดพ้นจากความต้องการตามสัญชาตญาณการสืบพันธุ์ไปแล้ว กามารมณ์จึงเกิดกับท่านไม่ได้อีก คุณอาจได้ข้อสังเกตอย่างหนึ่งคือพระอริยบุคคลเหล่านั้นไม่จำเป็นต้องไปฝึกฝนตนเองโดยการเพ่งภาพเปลือยจึงจะหลุดพ้น

แต่สำหรับปุถุชนนี่คุณจะรับรองหรือเปล่าว่าคุณหมดความพึงพอใจในกามารมณ์ไปแล้ว เมื่อพูดถึงกามารมณ์นี่ก็ให้เข้าใจได้เลยว่าผมหมายถึงสิ่งที่เลวทรามที่สุดอย่างหนึ่ง และมันจะลามไปเป็นกิเลสชนิดอื่นๆได้มากมาย

คุณก็รู้ว่ากามารมณ์นั้นถูกยั่วยุได้ง่ายโดยสิ่งยั่วยุต่างๆ ผมถือว่ามนุษย์มีใจสูงพอที่จะไม่บูชากามารมณ์ได้ เราจึงพยายามหลีกห่างจากกามารมณ์ให้มากที่สุด มนุษย์ใจสูงพอที่จะไม่ถือเอากามารมณ์เป็นธรรมชาติ และธรรมชาติฝ่ายสูงของมนุษย์นั้นจะพ้นจากกามารมณ์

ผมไม่เชื่อว่าผู้ยังพอใจในกามารมณ์นั้นจะวางเฉยต่อสิ่งยั่วยุต่างๆได้ หรือไม่หากจะกล่าวให้หยาบก็คือพวกเขาเหล่านั้นได้ลดธรรมชาติของตนเองลงไปให้เหลือเท่ากับสัตว์เสียแล้ว สัตว์ไม่จำเป็นต้องปกปิดอะไร เมื่อถึงเวลาก็มาผสมพันธุ์กัน สัตว์นั้นก็วางเฉยต่อภายเปลือยได้ แต่คำว่าเลวนั้นจะเอาไปใช้กับสัตว์ไม่ได้ เพราะสัตว์ไม่มีทางเลือกอื่นสำหรับตนเอง นอกจากสัญชาตญาณกำหนด คนนี่สิที่เหมาะสมกับคำว่าเลวเพราะเขามีสิทธิเลือกในสื่งที่ดีกว่าสูงกว่าได้แต่เขาก็ไม่ทำ

"คุณจะเฉยต่อภาพเปลือยได้ก็ต่อเมื่อคุณพ้นจากกามารมณ์แล้วเท่านั้น"

แล้วการที่คุณจะพ้นจากกามารมณ์นั้น ไม่ใช่คุณจะไปเพ่งเอาสิ่งนั้น สัญชาตญาณกำหนดมาแล้วครับให้มนุษย์ก็ต้องตกอยู่ใต้กามารมณ์แต่กำเนิดเหมือนกัน สิ่งที่คุณต้องทำคืออยู่ให้ห่างจากสิ่งยั่วยุมากที่สุด และไม่ทำตนเป็นสิ่งยั่วยุเสียเอง

ถึงแม้คุณจะเป็นพระอรหันต์แล้วก็ตามก็ไม่ใช่เรื่องอะไรที่คุณต้องแพร่ภาพเปลือยให้คนอื่นๆ คนอื่นอาจยังควบคุมจิตใจตนเองไม่ได้ ที่คุณทำก็เท่ากับไปทำลายเขาโดยทางอ้อม แม้เขาจะมีสิทธิไม่คิดลามกก็จริง แต่คุณก็ไม่มีสิทธิไปเป็นสาเหตุหนึ่งให้เขาคิด แทนที่คุณจะเอาภาพเปลือยเป็ยสุนทรียะ คุณไปยึดเอาภาพวิวทิวทัศน์ไม่ดีกว่าหรือ ทั้งไม่เป็นโทษกับคุณ และไม่มีส่วนยั่วยุผู้อื่น

ขอให้คุณลองเปรียบเทียบกันระหว่างนางงามที่เดินไร้ยางอายอยู่บนเวที กับหญิงมุสลิมที่แต่งกายมิดชิด ใครจะเป็นโทษกับผู้อื่นน้อยกว่า ใครมีแนวโน้มจะถูกข่มขืนน้อยกว่า ใครมีมารยาทมากกว่า

แม้การแต่งกายแบบมุสลิมจะเป็นการยากกับการปฏิบัติก็จริง แต่ผมยอมรับว่า"มีผล"แม้เพียงน้อยนิดที่จะลดการยั่วยุกามารมณ์ระหว่างกัน



Posted by : Immanuel Kant , Date : 2003-04-29 , Time : 15:05:37 , From IP : 172.29.2.154

ความคิดเห็นที่ : 3


   
ผมขออธิบายอย่างหนึ่งก่อนว่าภาษาที่เราใช้พูดกันนี้ ยังอยู่ในระดับสมมติสัจจะ คือยังสมมติให้มีตัวตนอยู่เพื่อสะดวกในสื่อความหมาย

แต่ใจความของพระธรรมนั้นเป็นปรมัตสัจจะ คือว่าไม่ใข่ตัวตนอะไรทั้งสิ้น ทุกอย่างคือความว่าง แม้แต่นิพพาน

ความเผด็จการนั้นผมหมายถึงการที่เราสามารถควบคุมจิตใจเราเองได้ทั้งหมด ไม่ให้กระทบจากปัจจัยภายนอก เช่นเดียงกับคุณมีสิทธิไม่รู้สึกอะไรต่อภาพเปลือย เพราะคุณควบคุมตนเองให้พ้นจากกามารมณ์ได้แล้ว

ถ้าจะพูดให้เป็นปรมัตก็ได้ คือ "ควบคุมจิตใจเพื่อการควบคุมจิตใจ" ไม่ใช่ "เพื่อจิตใจของใคร" ซึ่งพูดแบบนี้อาจจะเข้าใจได้ยาก

นิพพานนั้นมีลักษณะเป็นสิ่งสัมบูรณ์ครับ คือสูงสุด โดยไม่ต้องไปสัมพัทธ์กับอะไร เราอาจทำให้นิพพานปรากฎกับตนเองได้ เหตุปัจจัยแห่งนิพพานนั้นมีแน่นอนตายตัว เราต้องปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ดังกล่าวให้ถูกต้อง นิพพานจึงจะปรากฎได้ แม้นี่จะเป็นลักษณะของการอุปนัย แต่เราก็ถือว่าใครที่ยังมีทุกข์อยู่และอยากพ้นทุกข์ก็ให้ลองศึกษา ไม้ต้องเชื่อก่อนก็ได้

กฎเกณฑ์ดังกล่าวจะแสดงเป็นภาษาสากลได้อย่างไรนั้นคงเป็นการยาก เพราะคุณไม่มีมาตรวัดอะไรที่ใช้กับใจมนุษย์ได้ คุณทำได้แต่เพียงกำหนดหลักการและชี้แจงด้วยเหตุผล ทัศนะของค้านท์จึงตัดปัญหาโดยการบอกเสียเลยว่า จริยพันธะนั้นขึ้นอยู่กับมโนธรรม ไม่สามารถแสดงออกมาเป็นคำพูดได้

และตอนนี้ผมก็สมมติตนเองให้เชื่อว่าอุปนัยเป็นจริง และสรุปว่ามุษย์ทุกคนเกิดมามีทุกข์ และภาวะพ้นทุกข์มีอยู่อย่างเดียว เป็นที่สุด เป็นความดีอันสมบูรณ์ที่สุด ถึงพร้อมด้วยความงามที่สุด เหตุปัจจัยแห่งนิพพานมีแน่นอนตายตัว

อนึ่ง ภาวะนิพพานนั้นผมเรียกรวมๆกันกับดินแดนของพระเจ้าหรือเต๋าหรือปรมาตมัน



Posted by : Immanuel Kant , Date : 2003-04-29 , Time : 15:30:58 , From IP : 172.29.2.154

ความคิดเห็นที่ : 4


   เคยมีท่านหนึ่งพูดถึงประโยชน์นิยม แถมยังเอาไปพัวพันกับเรื่องศาสนา ผมขออธิบายไว้เล็กน้อย

ถ้าคุณอยากรู้ว่าประโยชน์นิยมเป็นยังไง ให้คุณดูกฎหมายเป็นตัวอย่าง

กฎหมายถือเป็นหลักจริยธรรมที่อิงลัทธิประโยชน์นิยมอย่างที่สุด

เพราะประโยชน์นิยมนั้นยึดเอาผลความสุข(กิเลส)ที่สุดที่เกิดกับคนจำนวนมากที่สุดเป็นตัวตัดสินการกระทำ โดยไม่ดูเจตนาเลยแม้แต่น้อย

นี่ใกล้เคียงกับกฎหมายมาก เพราะเจตนาเราถือว่าวัดได้ยาก จึงใช้วิธีตัดสินเหมารวม

แม้การฆ่าคนตายโดยไม่เจตนา คุณก็อาจติดคุกได้ แม้คุณจะไม่ได้มีส่วนและมีสิทธิกำหนดชาตากรรมอะไรเลย

คุณยังต้องยอมเป็นทหาร และต้องยอมตายเพื่อคนส่วนใหญ่

แต่แน่นอนว่ากฎหทายไม่ใช่สิ่งถูกต้องที่สุด แต่เป็นหลักจริยธรรมที่ตัดสินได้ง่ายที่สุด

นี่ล่ะ ประโยชน์นิยม



Posted by : Immanuel Kant , Date : 2003-04-29 , Time : 16:26:31 , From IP : 172.29.2.154

ความคิดเห็นที่ : 5


   ผมมีความเห็นว่าการไม่รู้สึกใฝ่ต่ำต่อภาพเปลือยนั้นไม่จำเป็นต้องเป็นพระอริยเจ้าหรอกครับ มีคนจำนวนมาก (เกินกว่าที่ผมคิดว่าทั้งหมดเป็นอริยเจ้า) สามารถทำได้ ภาพนู้ดนั้นจัดเป็นศิลปนานเท่าๆกับอายุของศิลปเอง

เมื่อพูดถึงกามารมณ์นี่ก็ให้เข้าใจได้เลยว่าผมหมายถึงสิ่งที่เลวทรามที่สุดอย่างหนึ่ง และมันจะลามไปเป็นกิเลสชนิดอื่นๆได้มากมาย


ผมไม่เห็นด้วยว่ากามารมณ์เป็นของต่ำเลวทรามและไร้จริยธรรม จริงอยู่กามารมณ์เป็นสาเหตุของทุกข์ แต่นั้นเป็นคนละเรื่องกับจริยธรรม มีคนดีมีศีลธรรมจำนวนมากที่ยัง ENJOY กามารมณ์ แม้แต่ศาสนาพุทธก็ตามที ยกเว้นผู้ที่ต้องการ absolute หลุดพ้นจากทุกข์ ในศีลสำหรับผู้ครองเรือนก็ไม่ได้ห้ามเรื่องกามารมณ์ และที่ว่ากามารมณ์เป็นสาเหตุของกิเลสนั้นไม่ได้แปลว่าต้องขาดจริยธรรมครับ แต่เป็นสาเหตุของการยึดเหนี่ยว ไม่ปล่อยวางเฉยๆ นั่นคือบุคคลนั้นจะต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่ แต่มีผู้คนจำนวนมากที่เวียนว่ายตายเกิดโดยไม่จำเป็นต้องขาดจริยธรรม ผมพิจารณาแล้วหาก biological instinct เป็นสิ่งเลวทรามที่สุดนั้น ออกจะเป็น concept ที่แปลกประหลาด ผมเชื่อว่ามุสลิมที่มีภรรยาได้ถึง ๔ คนนั้นก็ไม่ได้นิยามว่ากามารมณ์เป็น absolute immoral การมีเพศสัมพันธ์และยังมีความชื่นชมกามารมณ์อยู่นั้นไม่ได้ทำให้เราเป็นคนเลวทรามแต่อย่างใด อย่างน้อยที่สุดพ่อแม่ผู้ให้กำเนิดเรามาก็ผ่านขบวนการที่คุณ Immanuel classifies ว่าเป็น absolute immoral เลวทรามที่สุดมาแล้ว รวมทั้งพี่น้องของเรา ปู่ย่าตายายครูบาอาจารย์ที่เรา contact อยู่ทุกวี่ทุกวันก็มีไม่มากหรอกนะครับที่จะพิจารณาว่ากามารมณ์เป็นสิ่งเลวทรามที่สุด

การสามารถ enjoy กามารมณ์กับคำที่คุณ immanuel ใช้คือ "บูชากามารมณ์"นั้นแตกต่างกันมากในสายตาของผม เราสามารถ enjoy ภาพยนต์เรื่องนึงโดยไม่ต้องตั้งโต๊ะหมู่บูชาหรือไม่สามารถดำรงชีวิตโดยไม่ไปดูหนังเรื่องนี้ นี่คือปัญหาของการ exaggeration ครับ

ผมไม่เชื่อว่าผู้ยังพอใจในกามารมณ์นั้นจะวางเฉยต่อสิ่งยั่วยุต่างๆได้ หรือไม่หากจะกล่าวให้หยาบก็คือพวกเขาเหล่านั้นได้ลดธรรมชาติของตนเองลงไปให้เหลือเท่ากับสัตว์เสียแล้ว

ผมไม่เห็นด้วยนะครับ อย่างน้อยที่สุดผมเชื่อว่าการที่พ่อแม่ผมมีผมและพี่น้อง ๕ คนและท่านได้เลี้ยงดูพวกเรามาเป็นอย่างดีมาตลอดหลายสิบปี และสั่งสอนศีลธรรมต่างๆจนผมเป็นผู้เป็นคนทุกวันนี้ ท่านคงจะพอใจกามารมณ์อยู่บ้าง แต่ผมไม่ได้คิดแม้แต่เพียงวินาทีเดียวว่าท่านทั้งสองลดตัวเองเป็นสัตว์เดียรัจฉาน สำหรับบุรพการีของคนส่วนใหญ่อื่นๆก็เช่นเดียวกัน แต่จะมีค่ายสำนักความคิดไหนบ้างที่ตราหน้าท่านเหล่านั้นหรือ label เป็นอะไรผมมีความรู้ไม่เพียงพอจริงๆครับ คงต้องยกประโยชน์ให้เป็นของความต่างของ school of thought

ผมเห็นด้วยประการหนึ่งก็คือ ปรัชญา เป็นเรื่องความคิด และบางครั้ง (หรือบ่อยครั้ง) ไม่สามารถบรรยายเป็นคำพูดได้ (หรือ mode of communication ใดๆ) หากแต่ school ที่เชื่อใน absolute นั้นจะพบปัญหาในการถ่ายทอดองค์ความรู้อย่างแน่นอน เพราะยังไงๆก็ต้อง communicate กับลูกศิษย์หรือสาวกด้วยวิธีใดวิธีหนึ่ง แต่ลูกศิษย์คงจะไม่เข้าใจภาษาปรมัตถกระมังครับ? อย่างน้อยที่สุดผมยังไม่สามารถ follow วิถีความคิดของ absolute moral ของคุณ Immanuel เท่าไรนะครับ สงสัยจะเป็นพวก slow learner!!





Posted by : Phoenix , Date : 2003-04-29 , Time : 18:36:18 , From IP : 172.29.3.160

ความคิดเห็นที่ : 6


   คุณอย่าเพิ่งแปลความหมายว่ามนุษย์ที่ยังไม่พ้นกามารมณ์นั้นทำตัวเท่ากับสัตว์ครับ

เพราะที่ผมต้องการจะบอกจริงๆ คือ

คนที่สามารถเห็นสิ่งยั่วยุกามารมณ์เป็นของของปกติ โดยไม่กระทบกับความรู้สึกเลยนั้น มีอยู่สองอย่าง

1.พระอรหันต์

2.สัตว์ดิรัจฉาน

ท่านพุทธทาสเคยแสดงธรรมบรรยายในเรื่องนี้ไว้ครับ

มนุษย์มีมโนสำนึกอยู๋โดยธรรมชาติแล้วว่ากามารมณ์เป็นสิ่งน่าอับอาย พึงรังเกียจ จึงต้องปกปิดไว้

ผู้ที่กล้าเปิดเผยออกมาเขาจึงมีธรรมชาติเสมอสัตว์

คุณต้องยอมรับว่ากามารมณ์เป็นสิ่งชั่วร้ายที่สุด มนุษย์ก็ได้รับสัญชาตญาณมาเสมอกับสัตว์ แต่มนุษย์สามารถรู้จักละอาย และเห็นโทษของกามารมณ์ได้ ตรงนี้เองที่มนุษย์สูงกว่าสัตว์ กามารมณ์จึงเป็นสิ่งพึงรังเกียจ แต่ด้วยความแรงของสัญชาตญาณที่มนุษย์หลีกเลี่ยงได้ยาก มนุษย์จึงได้แต่ปกปิดและจำกัดไว้ให้อยู่ในวงแคบที่สุด ให้เป็นเรื่องลับ คุณลองจินตนาการไปถึงสังคมที่คนเปลือยผ้าและผสมพันธุ์กันข้างถนน ด้วยเห็นว่าเป็นธรรมชาติ คุณสามารถไล่เหตุผลต่อไปได้ว่าจะมีเรื่องเลวทรามเรื่องใดตามมาอีกบ้าง




Posted by : Immanuel Kant , Date : 2003-04-29 , Time : 21:23:15 , From IP : 172.29.2.92

ความคิดเห็นที่ : 7


   จริยธรรม แปลตรงตัวว่า หน้าที่อันพึงปฏิบัติ

ผมเห็นว่าก็เป็นคำนิยามที่ใช้ได้ดีแล้ว เพราะหมายถึงแนวทางที่มนุษย์”ควร”จะเป็น

ไม่มีจุดหมายใดอีกที่มนุษย์ควรไป นอกจากนิพพานหรือดินแดนของพระเจ้าหรือตามแต่จะเรียก นิพพานมีเหตุปัจจัยแน่นอน

การกระทำที่ไม่เพื่อพระนิพพาน ต้องยอมรับว่ายังเป็นสิ่งเลวทรามและยังต้องเป็นทุกข์

แต่ความดีและความเลวอาจเกิดพร้อมกันได้ในการกระทำที่ไม่ถูกต้อง แล้วแต่ว่าจะดีมากหรือเลวมาก

นิพพานเท่านั้นที่จะดีที่สุด

ถึงแม้การครองเรือนเองก็เป็นสิ่งไม่สมควร เพราะไม่เป็นไปเพื่อนิพพาน

แต่ศีลธรรมที่เรามักยึดถือกันนั้น เป็นจริยธรรมในส่วนที่ป้องกันไม่ให้กระทำผลร้ายแก่ผู้อื่นนี้เป็นการกระทำที่เลวมาก ส่วนจริยธรรมในส่วนที่จะพัฒนาตนเองนั้น เรายินยอมอนุโลม ให้แล้วแต่จะไขว่คว้า เพราะถือเป็นสิทธิของแต่ละคน จะบังคับกันไม่ได้




Posted by : Immanuel Kant , Date : 2003-04-29 , Time : 21:36:56 , From IP : 172.29.2.92

ความคิดเห็นที่ : 8


   การกระทำที่ไม่เพื่อพระนิพพาน ต้องยอมรับว่ายังเป็นสิ่งเลวทรามและยังต้องเป็นทุกข์


ผมเห็นด้วยครึ่งท่อนหลังนะครับ คือการกระทำที่ไม่ได้ aim ที่นิพพานนั้นนำมาสู่ความทุกข์ แต่ไม่ใช่เลวทราม คุณ Immanuel กำลังเหยียบย่างเข้าสู่ slippery slope ตรงนี้ทีเดียวหากจะยึดตามนิยาม เพราะว่าผมว่าประมาณ 99.99% รอบๆตัวคุณ Immanuel นี้คงจะเป็นคนเลวทรามทั้งสิ้น

คุณอย่าเพิ่งแปลความหมายว่ามนุษย์ที่ยังไม่พ้นกามารมณ์นั้นทำตัวเท่ากับสัตว์ครับ เพราะที่ผมต้องการจะบอกจริงๆ คือ
คนที่สามารถเห็นสิ่งยั่วยุกามารมณ์เป็นของของปกติ โดยไม่กระทบกับความรู้สึกเลยนั้น มีอยู่สองอย่าง
1.พระอรหันต์
2.สัตว์ดิรัจฉาน

อืม..ขออภัยนะครับ ผมไม่เห็นความแตกต่างของทั้งสอง version ยกเว้นคุณ Immanuel กำลังบอกเราว่าศิลปินและคนจำนวนมากเป็นอรหันต์ ซึ่งผมเกรงว่าเท่าที่รู้จักพวกนี้ยังห่างจากจุดนั้นอีกเยอะ กามารมณ์ไม่ใช่ด่านสุดท้ายของการไปสู่พระอรหันต์นะครับ ถึงได้พอสละกามารมณืก็กลายเป็นอรหันต์ทันที ปุถุชนธรรมดาพออายุมากๆเข้าก็หมดความรู้สึกทางเพศลงเป็นจำนวนมากแต่เขาเหล่านั้นคงจะไม่ใช่อรหันต์ทุกคน (ตรงนี้ผมสนใจ reference นะครับคุณ Immanuel ว่าคุณกำลังพูดถึงพระอรหันต์ทางศาสนาพุทธอยู่หรือไม่ เอาแค่ชื่อหรือ quote ก็พอครับ ผมพอจะ search ต่อได้ไม่ยากจาก library ที่ถามเพราะคิดว่าน่าสนใจ และไม่เคยผ่านตานิยามหรือ rule อันนี้มาก่อน)

คุณต้องยอมรับว่ากามารมณ์เป็นสิ่งชั่วร้ายที่สุด

ถ้าไม่ยอมรับแล้วเป็นอย่างไรครับ? หรือคุณ Immanuel จะแนะนำให้พ่อแม่ทุกคนทุกครอบครัวหยุดกามารมณ์มิฉะนั้นจะถูกคุณตราหน้าว่าเป็นคนเลวทรามที่สุดรึเปล่า? เรามีหลายครอบครัวอยู่เหมือนกันนะครับที่พ่อแม่ยัง enjoy sex life อยู่ แต่ผมไม่มั่นใจว่าผมจะชี้หน้าเขาเหล่านั้นว่าเขาเลวทรามเยี่ยงสัตว์เดียรัจฉาน มันฝืนความรู้สึกน่ะครับ ว่าแต่คุณ Immanuel รู้สึกอย่างไรครับที่ต้องทำงานหรือพูดคุยกับสัตว์ทุกวี่ทุกวันในปัจจุบันนี้?

กามารมณ์จึงเป็นสิ่งพึงรังเกียจ

ถ้าอย่างนั้นสังคมจะมีได้หรือครับ หรือคุณ Immanuel แนะนำว่าเด็กหลอดแก้วเป็นคำตอบทางจริยธรรม? หรือมนุษย์ควรจะมี sex โดยไร้อารมณ์เพื่อคงอยู่ของเผ่าพันธุ์เฉยๆ?

ถึงแม้การครองเรือนเองก็เป็นสิ่งไม่สมควร เพราะไม่เป็นไปเพื่อนิพพาน

อะไรคือเกณฑ์ "ควร และ ไม่ควร" ครับ ใครเป็นคนกำหนด? นักปราชญ์ พระ?ท่านพุทธทาส?

แต่ศีลธรรมที่เรามักยึดถือกันนั้น เป็นจริยธรรมในส่วนที่ป้องกันไม่ให้กระทำผลร้ายแก่ผู้อื่นนี้เป็นการกระทำที่เลวมาก

ไม่เข้าใจประโยคนี้โดยสิ้นเชิงครับ ขอความกรุณาขยายความสักนิดได้ไหมครับ?

ถ้าไม่มากเกินไปคุณ Immnauel จะช่วยสักนิดได้ไหมครับว่าปรัชญาของคุณ based on หลักปรัชญาหลักชิ้นใด ผมสนใจจะค้นคว้าเพิ่มเติมครับ ขอขอบพระคุณล่วงหน้าสำหรับคำตอบของทุกๆคำถามนะครับ



Posted by : Phoenix , Date : 2003-04-30 , Time : 00:03:25 , From IP : 203.155.144.50

ความคิดเห็นที่ : 9


   ตรงนี้ขอผมร่ายต่อความเห็นเรื่องกามารมณ์นะครับ

คำถาม "ทำไมกามารมณ์จึงเป็นสิ่งเลวทรามที่มนุษย์ควรละอาย?"

ผมคิดว่ากามารมณ์นั้นเป็นความรู้สึกโดยสัณชาติญานแห่งการอยู่รอดของสิ่งมีชีวิต น่าจะอยู่ใน gene ซะด้วยซ้ำ เช่นเดียวกับ ความหิว ความกลัว นั้นทีเดียว ความหิว ความกลัว นั้นก็เป็นบ่อเกิดของทุกข์เช่นกันแต่คงจะไม่มีใครว่าเป็นเรื่องเลวทราม ผิดจริยธรรมกระมัง (?)ถ้าเราเกิดความหิว ความกลัว สาเหตุที่การแสดงออกทางกามารมณ์ถูกแนะนำหรือกำหนดโดยสังคมให้กระทำในที่ลับนั้น ผมไม่คิดว่าเป็นเพราะตัวการกระทำเองที่เลวร้าย แต่เป็นเพราะคนที่จะเห็นรอบๆนั่นต่างหากที่อาจจะเกิดหน้ามืดและใฝ่ต่ำขึ้นมา ผมเชื่อว่าในสังคมปกติทั่วโลกกามารมณ์ระหว่างคู่สมรสเป็นสิ่งจรรโลงความมั่นคงประการหนึ่งของชีวิตครอบครัว แน่ล่ะสำหรับพระอรหันต์ที่ต้องการสละหมด ย่อมไม่สามารถมีครอบครัวได้ แต่โลกเราใบนี้จะมีได้แต่พระอรหันต์และสัตว์เดียรัจฉานเท่านั้นหรอกหรือ?

แพทย์ที่รักษาคู่สมรสที่มาปรึกษาเรื่องปัญหากามารมณ์หรือการมีเพศสัมพันธ์ก็ต้องเป็นแพทย์ที่ไร้จรรยาบรรณที่สุด เพราะว่าบังอาจรักษากิจกรรมที่เลวร้ายที่สุดให้เกิดขึ้นต่อไปในคู้สมรสนั้นๆ ในสังคใของผู้ที่เชื่อเช่นนี้แทย์ดังกล่าวก็ควรจะถูกถอนใบอนุญาตประกอบโรคศิลป์ทันที บริษัทที่ผลิตยา Viagra ควรจะถูกส่งฟ้องล้มละลายและนักวิทยาศาสตร์ที่คิดค้นยาตัวนี้และผูจัดจำหน่ายจะมีความผิดในฐานะที่มีส่วนร่วมคงความชั่วร้ายเลวทรามที่สุดไว้บนโลกนี้ คนที่จ่ายยาคุมกำเนิดรวมทั้งแพทย์ที่ให้ prescription ก็จะเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดเพราะว่าเป็นตัวการทำให้เกิด Safe Sex และถือเป็นการ promote the most evil sin on earth

จริงหรือ?

จริงหรือ?

เมื่อมีชายและหญิงรักกัน เขาควรจะแต่งงานกันหรือไม่? อืม...อาจจะไม่ใช่ good idea เพราะว่าคุณจะไม่นิพพานนะจ๊ะ ถ้าแพทย์ให้คำแนะนำอย่างนี้ก็คงจะแปลกในสายตาของผม แต่ถ้าแต่งงานกันได้ควรจะมีเพศสัมพันธ์กันหรือไม่? เอ...แต่นั่นเป็นสิ่งที่ชั่วร้ายเลวทรามที่สุดนี่นา? ถ้าจะไม่ดีกระมัง? ถ้ากระนั้นศีลที่ว่าห้ามผิดลูกเมียเขานั้น จริงๆแล้วก็คือห้ามร่วมเพศกับภริยารึเปล่า? เปลี่ยนจาก "กาเมสุมิจฉา" เป็น "อพรหมจริยา" ให้เหมือนของเณรและพระไปเลย จริงหรือ? หรือจริงๆแล้ว "จงละเว้นซึ่งการประพฤติผิดในกาม" นั้นแปลผิดมาตลอด ควรจะเป็นเราควรรักษาพรหมจรรย์เป็นกฏเหล็กมิฉะนั้นเราจะมิต่างอะไรกับสัตว์เดียรัจฉาน จริงหรือ?
ขณะที่คู่สามีภรรยากำลังมีกิจกรรมเพศสัมพันธ์กันนั้น ตามหลักจริยธรรมแล้วทั้งคู่ควรจะสำนึกผิดว่าเขากำลังมีจิตใจต่ำช้าไม่ต่างอะไรกับสัตว์ จริงหรือ?

หากพระพุทธเจ้าท่านคิดว่ามีกิจกรรมอยู่ประการหนึ่งที่เป็นสิ่งที่ชั่วร้ายที่สุด เราจะคาดว่าท่านจะห้ามคนทั้งหลายทั้งปวงหรือไม่?

เป็นคำถามที่ผมว่าน่าสนใจที่จะได้คำตอบ (รึเปล่า?) ผมไม่ทราบจริงๆครับคุณ Immanuel อย่างที่ว่าแหละครับ ผมเชื่อว่าหลักปรัชญานั้นคงจะอภิปรายหักล้างกันยาก และเราคงจะไม่จำเป็นต้องลงเอยสรุปว่าใครถูกใครผิด สุดท้ายก็ต้องต่างคนต่างกลับไปดำรงชีวิตของตนเองอย่างที่ตนเองเห็นว่าดีที่สุดนั่นเอง

นามัสส



Posted by : Phoenix , Date : 2003-04-30 , Time : 01:12:27 , From IP : 203.155.144.50

ความคิดเห็นที่ : 10


   ART




Posted by : ๖๙ , Date : 2003-04-30 , Time : 01:45:02 , From IP : 203.107.210.112

ความคิดเห็นที่ : 11


   คำถาม

๑) หากเราไม่รู้สึกทางเพศเมื่อเห็นภาพข้างบน เราเป็นอรหันต์หรือไม่?

๒) หากใครเห็นภาพข้างบนแล้วรู้สึกอยากเข้าไปข่มขืนผู้หญิง เป็นเพราะภาพนี้ผิด หรือเป็นเพราะอะไร?

๓) เราสามารถ "ชื่นชม" ภาพข้างบนนี้หรือไม่ โดยไม่ได้ลดตัวเป็นสัตว์เดียรัจฉาน?

๔) ระหว่างคนที่เห็นภาพนี้แล้วบอกว่าสวยดี กับเห็นภาพนี้แล้ว scream เพราะว่านึกถึงความลามกอนาจารเท่านั้น เปรียบเทียบจริยธรรมของทั้งสองคนได้หรือไม่?



Posted by : Phoenix , Date : 2003-04-30 , Time : 17:50:39 , From IP : 172.29.3.160

ความคิดเห็นที่ : 12


   1.ไม่เพราะผมไม่เป็น
2.ความหื่น
3.ได้เพราะผมไม่ใช่สัตว์เดียรฉาน
4.ได้ผมคงจะเลวกว่า ยอมรับ


Posted by : กังฟู , Date : 2003-04-30 , Time : 18:05:15 , From IP : 203.107.194.71

ความคิดเห็นที่ : 13


   คราวนี่ท่าน Phoenix โพสแหลกเลยนะครับ

คุณ kant มีจิตใจที่เด็ดเดี่ยวน่านับถือมาก(ในเรื่องของความเด็ดเดี่ยว) แต่ผมไม่เห็นด้วยในหลายๆประโยคที่คุณ kant ว่ามา แต่มันเป็นเรื่องของความเห็น

หากผมเอาคำถามที่คุณ Phoenix ไปถามท่านพระพยอม ท่านคงตอบไม่เหมือนคุณ kant แน่ๆ

"การกระทำที่ไม่เพื่อพระนิพพาน ต้องยอมรับว่ายังเป็นสิ่งเลวทรามและยังต้องเป็นทุกข์ "
ผมไม่ชอบประโยคนี้ และไม่เห็นด้วยเป็นอย่างยิ่งครับ เพราะว่าทุกสิ่งในชีวิตของผมจะเป็นสิ่งที่เลวทรามทุกอย่าง

การฆ่าคนเพื่อนิพพาน เป็นสิ่งที่ดีหรือไม่?ถ้าไม่ใครเป็นคนกำหนดว่าเราต้องทำอะไรเพื่อนิพพาน จะบอกว่าทำตามหลักของศาสนาต่างๆหรือ?

"แต่ศีลธรรมที่เรามักยึดถือกันนั้น เป็นจริยธรรมในส่วนที่ป้องกันไม่ให้กระทำผลร้ายแก่ผู้อื่นนี้เป็นการกระทำที่เลวมาก ส่วนจริยธรรมในส่วนที่จะพัฒนาตนเองนั้น เรายินยอมอนุโลม ให้แล้วแต่จะไขว่คว้า เพราะถือเป็นสิทธิของแต่ละคน จะบังคับกันไม่ได้ "
การจับนักโทษที่ฆ่าพี่น้องของเราขังคุก เลวมากกระนั้นหรือ?


Posted by : เหอๆๆ , Date : 2003-04-30 , Time : 19:00:26 , From IP : 172.29.2.165

ความคิดเห็นที่ : 14


   ไม่มีใครที่เป็นคนดี นอกจาก พระอรหันต์ ศาสดา ของแต่ละศาสนา จบ

นี่คือความคิดของคุณ kant

ผมว่าความคิดมันไม่กว้างเท่าไรเลยนะ
แต่ผมคิดว่าคุณkant คิดอย่างนี่ใช่มั้ยครับ คือ

ถึงแม้ว่าทุกคนจะเป็นคนเลวมากบ้างน้อยบ้าง แต่ทุกคนก็คบได้ มีชีวิตอยู่ร่วมกันได้?


Posted by : เหอๆๆ , Date : 2003-04-30 , Time : 19:05:26 , From IP : 172.29.2.165

ความคิดเห็นที่ : 15


   ผมว่ากระทู้นี่คุณ kant แกไม่มาแล้วละครับ
แหม ดูรูปโป๊มันอาบัติครับ
ผิดศีลๆ
ใครก็ไม่รู้ทำบาปกับแก
อุสาห์ปลอมเป็นฆาราวาสมาเล่นแล้วเนี่ย


Posted by : ฮ่าๆๆอย่าซีเรียส , Date : 2003-04-30 , Time : 19:40:38 , From IP : 203.107.201.82

ความคิดเห็นที่ : 16


   1.ทุกคนที่อยู่นรอบตัวผมหากไม่ใช่พระอรหันต์ก็ไม่ใช่คนดีพร้อมครับ เขายังเป็นคนชั่วอยู่บ้างแต่อาจไม่ทั้งหมด การกระทำแต่ละอย่างของคนประกอบด้วยเจตนาซับซ้อนนะครับ แม้แต่มโนกรรมเองก็ตาม เจตนาบางอย่างอาจดี และบางอย่างก็อาจไม่ดี มารวมกันเป็นการกระทำหนึ่งได้ การกระทำหนึ่งจึงมีลักษณะไม่กระจ่าง แต่หากเรามองแยกส่วนแล้วเจตนาทุกอย่างนั้นมีเพียงสองสีคือไม่ผิดก็ถูกไปเลย เจตนาใดก็ตามที่ยังเพื่อตัวเองอยู่นั่นแสดงการเป็นคนชั่วครับ(เจตนาใดเพื่อตัวเองนั้นคือผิดไม่มีข้อยกเว้น เจตนาใดเพื่อหน้าที่ก็คือถูกไม่มียกเว้น) บางคนนั้นเมื่ออยู่ในภาวะปกติเขาอาจดีต่อผู้อื่นทุกอย่างไม่ทำชั่วต่อผู้อื่นเลย แต่หากเกิดสถานการณ์บีบคั้นขึ้นมาเมื่อไร เขาก็พร้อมฆ่าคนอื่นด้วยสัญชาตญาณแห่งการเอาตัวรอดได้ทันที นั่นคือคนที่ยังไม่พ้นความเห็นแก่ตัวนั้นย่อมเป็นคนชั่ว"ทุกคน" แต่จะชั่วมากชั่วน้อยก็แล้วแต่เจตนา

2.ผมมองศิลปินที่บูชาสุนทรียะต่อภาพเปลือยนั้นว่าเป็นเพียงผู้เสียสติเท่านั้น คนที่มีสติย่อมไม่เห็นความงามของภาพเปลือยแม้แต่น้อย เพราะคนสติจะมีลักษณะตั้งอยู่ในความไม่ประมาท มนุษย์ทุกคนหากไม่ใช่พระอรหันต์ก็ย่อมไม่มีทางรับประกันได้เลยว่าจะไม่หลงระเริงไปกับสิ่งยั่วยุ ที่ผมหมายถึงคือแม้ว่ามนุษย์จะยังไม่พ้นจากกามารมณ์ แต่มนุษย์ก็รู้จักละอายต่อกามารมณ์ จึงรู้จักปกปิด แต่ใครก็ตามที่ไม่ละอายต่อกามารมณ์สามารถเห็นสิ่งยั่วยุเป็นเรื่องปกติได้นั่นคือสัตว์ หรือไม่ก็พระอรหันต์ คนอายุมากนั้นผมถือว่าโดยส่วนใหญ่แล้วจะเป็นคนดีขึ้นครับ แต่ก็ไม่สรุปรวมทั้งหมด คนแก่นั้นจะมีความเห็นแก่ตัวน้อยลง ดิ้นรนเพื่อตัวเองน้อยลง แสวงหาปรัชญาชีวิตมากขึ้น นั่นคือท่านได้ผ่านโลกมามาก และได้บทเรียนชีวิตมาเยอะ และความลดกามารมณ์ไปโดยธรรมชาตินี้เองก็เป็นความดีอย่างหนึ่งนั่นเพราะลักษณะทางกายภาพเป็นตัวกำหนด แต่นี่ก็ไม่ทุกคนเหมือนกันและผมก็ไม่เชื่อว่ากามารมณ์นั้นจะลดลงจนเป็นศูนย์ได้ คนแก่บางคนอายุเจ็ดสิบแล้วยังเสวยกามารมณ์อยู่ก็มี นี่เคยเป็นข่าวมาแล้ว คนแก่บางคนปัญญาไม่ได้มากตามอายุไปด้วย ลักษณะกามารมณ์นั้นยังละเอียดลึกซึ้งลงไปกว่าเรื่องระหว่างหญิงชายนัก เพราะกามารมณ์เกิดได้กับทุกสิ่งแม้แต่สิ่งของ หรือนามธรรม เรื่องการผสมพันธุ์นั้นเป็นลักษณะกามารมณ์อย่างหยาบและเลวทรามที่สุด ด้วเหตุนี้คนแก่ทุกคนจึงไม่ได้เป็นพระอรหันต์ทุกคน

คำว่าพระอรหันต์นั้นผมไม่สนว่าศาสนาอะไร เพราะหากคนเข้าถึงความดีสูงสุดแห่งศาสนาตนคือพ้นความเห็นแก่ตัวแล้วนั้นก็เปรียบเป็นพระอรหันต์หมด ผมก็ไม้เข้าใจว่าคุณต้องการให้ผมอ้างอิงเรื่องอะไร

3.คนที่ผมหมายถึงสัตว์นั้นคือคนที่สามารถเห็นภาพเปลือยด้วยความรู้สึกปกติได้ มนุษย์ปกติคนใดที่ยังมีความละอายต่อภาพเปลือยอยู่นั่นหมายถึงเขาได้สูงกว่าสัตว์แล้วครับ และหากใครปฏิเสธกามารมณ์ได้โดยสิ้นเชิงก็ถือว่าเขาได้บรรลุความดีสูงสุดแล้ว

การสืบพันธุ์นั้นไม่ใช่หน้าที่ของมนุษย์ครับ พระพุทธเจ้าทรงสรรเสริญบุตรที่เกิดจากโอษฐ์(คำสั่งสอน)เป็นอย่างยิ่ง การสืบพันธุ์หากไม่มีกามารมณ์นั้นผมรับรองได้ว่ามนุษย์ไม่สามารถดำรงอยู่จนป่านนี้ได้ ที่คนยอมลำบากสืบพันธุ์นั้นไม่ใช่อื่นใดนอกจากกามารมณ์ หากพ่อแม่ใครเห็นภาพเปลือยด้วยความรู้สึกปกติไม่มีความละอายนั้นให้คุณสรุปได้เลยว่าไม่ใช่พระอรหันต์ก็คือสัตว์ดิรัจฉาน

คำถามง่ายๆที่คุณอาจตอบไม่ได้คือ หากมนุษย์ไม่เห็นแก่ตัวแล้ว มนุษย์ยังจำเป็นอะไรอีกที่ต้องสืบเผ่าพันธุ์

จริยธรรมนั้นเป็นอยู่โดยธรรมชาติและอยู่ในมโนธรรมครับ ธรรมชาติเป็นผู้กำหนด แต่พระพุทธเจ้าทรงเป็นผู้เผยกฎนั้นออกมา จริยธรรมนั้นผมถือเป็น intrinsic value คือมีคุณค่าอยู่ในตัวเอง ไม่จำเป็นต้องวัดจากผลที่เกิดจากการปฏิบัติจริยธรรมนั้น

ศีลธรรมนั้นกำหนดในระดับที่ให้คนในสังคมรับรู้ร่วมกันได้และไม่กระทำผลร้ายแก่กัน แต่ปรมัตธรรมนั้นเป็นเรื่องส่วนบุคคลไม่จำเป็นต้องแสดงเป็นคำพูด ที่เราโดนบังคับให้ยึดถือนั้นคือศีลธรรม ผู้ที่กระทำผลร้ายต่อผู้อื่นเพื่อเจตนาสนองตนเองนั้นเป็นการกระทำที่เลวมาก และนี่ได้แสดงออกมาเป็นศีลธรรม

หลักปรัชญาที่ผมยึดนั้นให้เข้าใจได้เลยว่าคือทัศนะของอิมมานูเอล ค้านท์ เพราะเป็นักปรัชญาคนสำคัญที่อยู่ฝ่ายเดียวกับสัมบูรณ์นิยม อนัตตนิยม อสุขนิยม เหตุผลนิยม และหลักการ intrinsic value



Posted by : Immanuel Kant , Date : 2003-04-30 , Time : 20:20:26 , From IP : 172.29.2.171

ความคิดเห็นที่ : 17


   คุณตอบได้แล้วยังครับว่าหากมนุษย์ไม่เห็นแก่ตัวแล้ว มนุษย์ยังจำเป็นอะไรที่ต้องสืบพันธุ์อีก

คุณไม่ต้องตอบว่าเพื่อธรรมชาตินะครับ

เพราะธรรมชาติของมนุษย์นั้นพ้นสัญชาตญาณได้ พ้นจากสิ่งที่กำหนดมาในยีนกามารมณ์ได้ เพราะยีนของมนุษย์ก็กำหนดมาเหมือนกันว่าให้มนุษย์สามารถพ้นจากอำนาจของยีนกามารมณ์ได้หากมนุษย์ฝึกฝนปฏิบัติ

มนุษย์ที่ไม่สืบพันธุ์นั้นก็ถือเป็นธรรมชาติ และเป็นธรรมชาติที่สูงอย่างยิ่ง

โลกเราสามารถมีแต่พระอรหันต์ได้ครับ เพราะนี่ถือเป็นอุดมคติอย่างหนึ่ง

ที่คุณพูดนั้นถูกแล้วครับ แพทย์ที่แนะนำให้กระทำกามารมณ์นั้นเป็นแพทย์ที่เลวทรามที่สุด ท่านพุทธทาสเคยบรรยายเรื่องแพทย์ทางวิญญาณไว้เหมือนกัน คุณลองไปรื้อมาฟังดูได้ที่หอสมุดคุณหญิงหลง ผมเชื่อว่าหากคุณฟังแล้วความเห็นคุณจะเปลี่ยนไปได้

ผมจะด่าไว้ตรงนี้เลยว่าเป็นความงี่เง่าของวงการสาธารณสุขที่ออกถุงยางบ่าบอคอแตกออกมาไว้แล้วสนับสนุนให้คนใช้ นั่นเป็นการสนองความต้องการของคนสำส่อน คนสำส่อนควรได้รับผลของความสำส่อนไปตามผลกรรม คุณเคยฟังเรื่องการแพทย์องค์รวม นั่นแหละจะเป็นทางออกของเรา แพทย์ที่ดีต้องสอนคนไข้ให้เห็นภัยของกามารมณืและชี้แจงให้ชัดว่ากามารมณ์ไม่ใช่เป้าหมายของชีวิต การสำส่อนเป็นสิ่งไม่ควรไม่ว่ากรณีใดๆก็ตาม

แล้วไอ้ยาอะไรนั่นอีก คุณปล่อยให้ผลิตออกมาได้อย่างไร

แพทย์ไม่มีสิทธิไปห้ามไม่ให้ใครแต่งงานครับ เช่นเดียวกับพระพุทธเจ้าทรงเพียงแต่ได้เชิญชวนให้ปฏิบัติธรรม ละโลกียสุขเสีย เขาจะตัดสินใจอย่างไรเป็นสิทธิของเขา นั่นเป็นหน้าที่ของแพทย์ทางวิญญาณ

ใครที่ไม่ประพฤติพรหมจรรย์ย่อมเป็นคนเลวอยู่ เพราะผมบอกไปแล้วว่านิพพานเท่านั้นเป็นความดีพร้อม และผมก็ไม่ได้พูดว่าคนไม่ประพฤติพรหมจรรย์เป็นคนเลวทั้งหมดทั้งเนื้อทั้งตัว

พระพุทธเจ้าทรงไม่สรรเสริญโลกียสุขใดๆก็ตาม นั่นเท่ากับพระองค์ทรงห้ามว่าเป็นสิ่งไม่ควรปฏิบัติ แต่ก็ทรงมีสิทธิเพียงเชิญชวนเท่านั้น พระองค์ไม่มีสิทธิไปสั่งใคร



Posted by : Immanuel Kant , Date : 2003-04-30 , Time : 20:44:12 , From IP : 172.29.2.171

ความคิดเห็นที่ : 18


   ตอบคำถามสี่ประการครับ
1.ถ้าคุณเห็นภาพนั่นแล้วไม่รู้สึกละอายใจ ให้คุณรู้ตัวเองไว้เลยว่าคุณไม่เป็นพระอรหันต์ก็คือสัตว์ดิรัจฉาน

2.หากใตรอยากไปข่มขืนนั้นเป็นความผิดของคนเอาภาพมาแสดงครับส่วนหนึ่ง และอีกส่วนก็เป็นความผิดของเขาเอง

- หากไม่มีภาพนี้อยู่ก่อน แม้เขาจะยังไม่เป็นพระอรหันต์ แต่เขาก็อาจไม่เกิดกามารมณ์เมื่อเขาเห็นภาพ

-หากเขาเห็นภาพนี้แล้วละอายใจหลีกหนีไป กามารมณ์ก็อาจไม่เกิดหรือเกิดลดลง

-หากเขาเห็นภาพนี้แล้วพึงพอใจ นั่นคือเขาเลว

-หากเขาไม่ได้เป็นพระอรหันต์แล้วมาเห็นภาพนี้เห็นภาพนี้แล้วไม่รู้สึกอะไร เขาก็คือสัตว์ สัตว์ไม่เคยละอายเมื่อเห็นภาพเปลือย พอเมื่อสัญชาตญาณออกฤทธิ์ มันก็ไปผสมพันธุ์กัน

มันเรื่องอะไรที่คุณต้องเอาภาพนี้ไปเป็นสาเหตุหนึ่งให้คนทำเลว ถ้าคุณไม่เจตนา ก็คือคุณประมาทอย่างยิ่ง นี่ก็ถือว่าคุณเลวเหมือนกัน เพราะคุณละลืมเจตนาที่จะปกป้องผู้อื่น หรือก็คือคุณมีเจตนาที่จะไม่ปกป้องผู้อื่น

พระพุทธเจ้าแสดงปัจฉิมโอวาทไว้ ว่าความประมาทเป็นโทษอย่างไร เป็นความเลวอย่างไร คุณไปแปลพระไตรปิฎกเอาเองก็ได้

3.เราไม่มีสิทธิอะไรไปชื่นชมภาพนี้ หากเราตั้งอยู่ในความไม่ประมาท เราไม่อาจรับประกันตัวเองได้ว่าจะไม่เกิดกามารมณ์หากเรายังพอใจในกามารมณ์อยู่ ศีลของภิกษุแม้ผมจะไม่ได้ศึกษามามาก แต่ก็ขอให้คุณไปเปิดดูได้เลยว่า พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติให้ภิกษุออกห่างจากสิ่งยั่วยุโดยสิ้นเชิง

4.คนที่ไม่ใช่พระอรหันต์แล้วเห็นว่าภาพนี้สวยดีเขาก็คือสัตว์ คนที่เห็นภาพนี้แล้วละอายไม่อยากอยู่ใกล้ นั่นคือเขามีสติควบคุมตนเองอยู่เสมอที่จะไม่ให้กามารมณ์เกิด เขาไม่ประมาท เขาพยายามฝึกฝนตนเองที่จะไม่พึงพอใจในกามารมณ์ แม้เขาไม่ใช่พระอรหันต์ แต่หากเขามุ่งมั่นปฏิบัติต่อไปเขาย่อมบรรลุพระนิพพานได้



Posted by : Immanuel Kant , Date : 2003-04-30 , Time : 21:05:06 , From IP : 172.29.2.171

ความคิดเห็นที่ : 19


   ขอแก้บรรทัดที่หก เป็น "เมื่อเขาไม่เห็นภาพ"ครับ

Posted by : Immanuel Kant , Date : 2003-04-30 , Time : 21:06:48 , From IP : 172.29.2.171

ความคิดเห็นที่ : 20


   
ตอบ คุณ เหอ ครับ

1.ผม"เชื่อ"ว่าพระพยอมจะตอบแบบเดียวกับท่านพุทธทาส เพราะท่านเป็นศิษย์เก่าสวนโมกข์มาก่อน

แล้วท่านพุทธทาสจะถูกทุกเรื่องหรือ? คำตอบคุณจะหาได้เมื่อคุณจบเปรียญธรรมสามประโยคและเก็บตัวศึกษาธรรมอยู่ในป่าช้าตัวคนเดียวโดยไม่ออกมาพบหน้าใครเป็นเวลา14ปีแล้ว โดยส่วนตัวแล้วผมท่านพุทธทาสทุกเรื่องในศาสนาพุทธ นี่อาจเป็นเหตุผลวิบัติเพราะเห็นว่าบุคคลน่าเชื่อถือ แต่ผมเชื่อว่าผมศึกษาแนวคิดจริยศาสตร์มาบ้างพอสมควรแล้ว และนิพพานเท่านั้นที่จะเป็นสิ่งเดียวที่ทนการโต้แย้งที่สุด ทนต่อการพิสูจน์ที่สุด นั่นเป็นลักษณะหนึ่งของอุดมคติที่จะสมบูรณ์แบบด้วยเหตุผล และไม่มีข้อขัดแย้งในตนเอง

2.นิพพานเท่านั้นที่จะดีพร้อม ผู้ที่ยังไม่นิพพานยังมีความเลวอยู่ทั้งสิ้น

3.ตราบใดที่กฎธรรมชาติยังมีจริงและไม่เปลี่ยนแปลง ตราบนั้นการฆ่าคนเพื่อนิพพานเป็นสิ่งผิด เรื่องแค่นี้ด้วยปัญญาของคุณไปสาวเหตุผลเอาเองก็ได้ หากเราไม่เห็นแก่ตัวแล้วยังมีเหตุอะไรให้ต้องฆ่าคน

นิพพานเป็นเพียงคำสมมติขึ้นใช้เพื่อบรรยายความไม่เห็นแก่ตัวตน นิพพานอาจเท่ากับดินแดนพระเจ้าหรือเต๋าหรือปรมาตมันอะไรก็ตามแต่จะเรียก

4.การจับนักโทษนั้นถ้าคุณจับด้วยความแค้น คุณก็เลว

คุณสามารถจับนักโทษด้วยความเมตตาได้ เพราะคุณจะเอาการขังคุกเป็นสิ่งที่อบรมสั่งสอนให้เขาได้สำนึกไตร่ตรองในความผิด



Posted by : Immanuel Kant , Date : 2003-04-30 , Time : 21:23:12 , From IP : 172.29.2.171

ความคิดเห็นที่ : 21


   ที่คุณว่าก็ถูกครับ มนุษย์อาจจะเลวบ้างชั่วบ้างแต่ก็สามารถคบกันได้โดยการปรารถนาดีต่อกันแลไม่ทำร้ายกัน

แต่คุณจำไว้อย่างหนึ่งว่า หากมีใครยังเห็นแก่ตัวอยู่ แม้เขาจะเคยทำดีมีศีลธรรมมาก่อนเพียงไร เขาก็อาจฆ่าคุณได้เมื่อสัญชาตญาณบีบคั้นให้เอาตัวรอด

เขาจึงเลวอยู่ครับ ไม่ดีพร้อมหรอก


Posted by : Immanuel Kant , Date : 2003-04-30 , Time : 21:27:08 , From IP : 172.29.2.171

ความคิดเห็นที่ : 22


   แปลกจังผมดูรูปนี้ไม่เป็นเกิดกามอารมณ์เลย แต่ก็ไม่ได้ละอาย หมายความว่าไงครับนี่ สับสนตัวเอง

Posted by : Epoo , Date : 2003-04-30 , Time : 21:27:33 , From IP : 203.157.14.247

ความคิดเห็นที่ : 23


   ชีวิตคุณถูกพันธนาการด้วยอุดมคติอยู่ตลอดเวลา ผู้ทิ้งอุดมคติเขาก็สามารถเปลียนจุดยืน หาข้ออ้างเข้าข้างตัวเองได้เรื่อยๆ แสดงความเลวไม่จบสิ้น

แม้ว่าชีวิตปุถุชนจะไม่ดีพร้อมไปทุกอย่าง

แต่นั่นก็ไม่ใช่ข้ออ้างให้คุณจะมาทำชั่ว เพราะเหตุผลว่าไหนๆก็ยังไม่ดีพร้อม ชั่วอีกนิดจะเป็นไรไป

"ชีวิตคุณยังต้องถือความดี และพยายามให้ดีพร้อมที่สุด ไม่พยายามทำชั่วเลยแม้แต่น้อย"

คุณทำชั่วได้หากคุณไม่รู้ว่ามันชั่ว แต่ถ้าคุณรู็


คุณต้องไม่ทำ








Posted by : Immanuel Kant , Date : 2003-04-30 , Time : 21:32:56 , From IP : 172.29.2.171

ความคิดเห็นที่ : 24


   คุณระวังตัวนะครับ คุณอาจลดตัวไปเท่ากับสัตว์แล้วก็ได้

ถึงอย่างไรผมคงว่าคุณไม่ได้ เพราะคำว่าเลวจะเอาไปใช้กับสัตว์ไม่ได้


Posted by : Immanuel Kant , Date : 2003-04-30 , Time : 21:35:10 , From IP : 172.29.2.171

ความคิดเห็นที่ : 25


   ยังมีอีกอย่างที่ผมแนะนำให้คุณทำ นั่นคืออยากให้ไปศึกษาธรรมบรรยายของพุทธทาสภิกขุมาเสียก่อน

ในเรื่อง "ว่างอันธพาล"

คำตอบของผมยังไม่แสดงในเรื่องนี้

มันเป็นรูโหว่ค่อนข้างใหญ่ทีเดียวที่อาจมีคนมาโต้แย้งได้

ธรรมบรรยายดังกล่าวจะปิดช่องโหว่

หลังจากวันนี้ผมอาจไม่ได้มาในเว็บบอร์ดอีกเป็นเวลานานทีเดียว




Posted by : Immanuel Kant , Date : 2003-04-30 , Time : 21:57:02 , From IP : 172.29.2.171

ความคิดเห็นที่ : 26


   สาธุ! เห็นผ้าเหลืองปลิวมาไวๆ
เผอิญเราไม่ถนัดเรื่องนี้
ไปจีบสาวดีฝ่า


Posted by : Bye Bye , Date : 2003-04-30 , Time : 22:36:19 , From IP : 203.107.200.111

ความคิดเห็นที่ : 27


   เท่าที่ผมนั้งอ่านกระทู้นี้มาตั้งแต่วันที่เริ่ม debate
ผทว่าทั้งคู่มีเจตนาดีด้วยกัน
และคิดว่าคงเป็นคนดีด้วยกันทั้งคู่
ผมไม่ทราบ identity ของทั้งคู่นะครับ

ขอออกความเห็นหน่อย
คุณ Immanuel Kant ครับผมว่าในความเห็นของคุณ ใจไม่กว้างเลยครับ และการ "ตีความ" ในพุทธศาสนาของคุณ ก็ไม่เหมือนที่ผมคิด (ซึ่งผมอาจเป็นฝ่ายไม่ถูก) ประสบการณ์การหาความรู้ด้านพุทธศาสนาของผมคงมิบังอาจ กล่าวได้ว่ายิ่งยวด แต่ก็ขอบอกว่ามากกว่าอีกหลายๆคน
ผมไม่อยากสรุปว่า คุณตีความ "บิดเบือน" จากที่สมควร และผมไม่มั่นใจว่าคุณนับถือศาสนาหรืออะไรจริงๆ แต่ผมก็มั่นใจว่าเจตนาของคุณดีครับ แต่ "จัด(extreme)" เกินไป

ส่วนคุณนกไฟ ผมว่าคุณอาจ debate ออกมาไม่ถูก (ถ้า extreme แบบคุณ Immanuel Kant ถูก) ไม่ถูกบุคคล และที่สำคัญ เพราะอย่างที่ผมพูดไว้ข้างบน ผมคิดไม่เหมือนคุณ Immanuel Kant แต่ผมคิดเหมือนคณนกไฟ


Posted by : OmniSci ขอออกความเห็นหน่อย , Date : 2003-04-30 , Time : 23:48:16 , From IP : proxy2.chula.ac.th

ความคิดเห็นที่ : 28


   Mr.kant.Do you ever masterbate?
For me I have done 2-3 time per week.
Sometime I dream about sexy model and ejaculation.
I think, I am normal man when I read medicine text book.

I never hate my pennis.It’s one of my parts.
I came from a good family and never have conflict with my dad.
I have a lovely girlfriend. I always take care of her.

I think you are not a monk.Like someone say.
I never told that you are gay.
What ‘s about you?


Posted by : Dr. john , Date : 2003-05-01 , Time : 00:37:39 , From IP : 203.107.200.109

ความคิดเห็นที่ : 29


   หากจะมีอะไรที่ผมคิดว่าพอเข้าใจเกี่ยวกับศาสนาพุทธบ้างแล้วก็เห็นจะเป็น เราไม่เป็น extremist อย่างแน่นอน ผมไม่เคยศึกษา Immanuel Kant Philosophy มามากนัก (และสงสัยเหมือนกัยว่าหลักของ Kant เรื่อง absolute moral นี่ มีใช้ในทางปฏิบัติในชุมชนประเทศไหนบ้าง)

ผมอาจจะขอเดาว่าคุณ Kant คงจะไม่ได้เป็นแพทย์นะครับ ไม่ว่าแพทย์สาขาใด (เอ้อ สงสัย ยกเว้นพยาธิ) ก็อาจจะมีสิทธิ์ถูกถามเรื่องยาคุมกำเนิด การวางแผนครอบครัว หรือ แม้แต่ต้องขอให้คนไข้เปลือยกายให้ดู คุณ Kant ก็คงจะไม่สามารถให้คำแนะนำทางการแพทย์ (ที่ทั่วโลกยอมรับ) ในด้านนี้ได้โดยไม่ต้องโกหกหรือฝืนใจตนเอง

คุณ Kant ครับ ผมเชื่อว่าคุณคงสามารถตอบต่อตนเองได้โดยไม่ bias ว่าประมาณสักกี่เปอร์เซนต์รอบๆตัวคุษ Kant ที่ยัง enjoy sex life อยู่ สิ่งที่คุณ Kant ให้นิยามว่า "เลวทรามที่สุด" นั่นแหละครับ จากที่ได้รับฟังมาทั้งหมดนี้ผมมั่นใจได้ว่าผมไม่สามารถจะ convince หรือ เบี่ยงเบนคุณKant ได้อย่างแน่นอน (และก็ไม่เคยเป็นวัตถุประสงค์ของผมด้วยเช่นกัน) ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่าการที่สำนึกอยู่เกือบตลอดเวลาว่าคนรอบๆข้างนั้นมีจิตใจแทบจะไม่ต่างจากสัตว์เลยนั้นจะไม่เป็นการรบกวนต่อชีวิตประจำวันคุณ Kant มากเกินไปนักนะครับ



Posted by : Phoenix , Date : 2003-05-01 , Time : 01:17:19 , From IP : 172.29.3.214

ความคิดเห็นที่ : 30


   

ผมคิดว่า หมอก็เป็นคนเหมือนกัน

เราจึงมี Variation ที่ไม่ต่างจาก Population

และแน่นอนที่ -2 หรือ +2 SD ก็ยังอยู่ใต้ normal curve

ถึงแม้ n จะน้อยกว่า ช่วงที่เหลือมากก็ตาม


Posted by : OmniSci , Date : 2003-05-01 , Time : 01:38:16 , From IP : proxy2.chula.ac.th

ความคิดเห็นที่ : 31


   ไม่ได้ว่าคุณ kant แกเป็นแพทย์ไม่ได้นะครับ แต่ความรู้และ clinical practice guideline จำนวนมากที่ฟังดูแล้วไปด้วยกันไม่ค่อยด้วยดีนักกับ absolute moral ผมเลยเป็นห่วงว่าจะเกิด conflict ระหว่างทำงานมากเกินไป มีหลายๆ concept ที่แพทย์เดินอยู่บน grey zone เช่น therapeutic abortion (น่าจะเป็บาปสุดๆสำหรับ absoluet moralist), White-Lie (สงสัยจะไม่มี term นี้เช่นกัน) หรือที่ประเทศ western กิน wine กันมาเป็นพันๆปีแล้ว (รวมทั้งอยู่ใน prescription ของแพทย์สมัยก่อนจำนวนมากมายนับไม่ถ้วน)



Posted by : Phoenix , Date : 2003-05-01 , Time : 01:45:26 , From IP : 172.29.3.214

ความคิดเห็นที่ : 32


   เคยมีผู้วิจารณ์ทัศนะของค้านท์ไว้ว่า"ตึง"และ"แห้งแล้ง"เกินไป จนเป็นอัตกิลมถานุโยคไป

แต่ผมไม่เห็นด้วย

ถ้าคุณเคยบวชคุณก็จะรู้ว่าศีลของภิกษุนั้นมันลำบากและฝืนใจปุถุชนยังไง

ตามความเห็นผม ปุถุชนย่อมรับไม่ได้หากมีใครมาบอกว่าสิ่งที่เขาเคยพึงพอใจเป็นสิ่งเลว

เขาจึงพยายามหาข้ออ้างเพื่อแบ่งแยกศีลธรรมของปุถุชนและปรมัตถธรรมออกจากกัน

เพื่อให้ตนเองสามารถเสวยโลกียสุขต่อไปได้ อย่างถูกต้อง

แต่คุณปฏิเสธไม่ได้ว่ามนุษย์ทุกคนมีหน้าที่ต้องกระทำให้ถึงพระนิพพาน

ผู้ไม่นิพพานย่อมมีความเลวเหลืออยู่ไม่มากก็น้อย

คุณจะว่าผมบิดเบือนศาสนาอย่างไรก็ได้

แต่ผมเชื่อว่าผมถอดแบบเจตนารมณ์ของท่านพุทธทาสภิกขุ และสามารถทนต่อการพิสูจน์ด้วเหตุผลบริสุทธิ์ได้ โดยไม่จำเป็นต้องอ้างอิงแม้พระไตรปิฎกด้วยซ้ำ

ถ้าคุณอ่านความคิดท่านพุทธทาสออก คุณก็จะรู้ว่าสิ่งที่คุณรับไม่ได้นั้นยังมีอีกมากและยิ่งกว่าที่ผมกล่าวด้วยซ้ำ



Posted by : Immanuel Kant , Date : 2003-05-01 , Time : 11:22:50 , From IP : 172.29.2.147

ความคิดเห็นที่ : 33


   "สิ่งใดที่คุณทำเพื่อตัวเอง สิ่งนั้นเป็นเรื่องเลวทรามทั้งสิ้น"



Posted by : Immanuel Kant , Date : 2003-05-01 , Time : 11:27:35 , From IP : 172.29.2.147

ความคิดเห็นที่ : 34


   คุณ Kant ครับ ปกติแล้วเราไม่ต้องยืนยันกับใครหรอกครับว่าเราเป็นผู้สืบเจตนารมณ์หรือรู้ใจใครเพราะเราทุกคนคงจะรู้ดีว่าคำ claim ดังกล่าวไม่ได้มีความหมายอะไร ท่านพุทธทาสท่านได้ไปอยู่ในที่ที่ท่านได้สมควรไปแล้วครับ

ผมปฏิเสธได้ว่ามนุษย์ทุกคนไม่ได้มีหน้าที่ที่จะต้องนิพพานครับ นั่นเป็นความเชื่อของผม คนทุกคนมีหน้าที่ต่อตนเอง ต่อครอบครัว (ซึ่งต้องมีการแต่งงาน มีลูก) ต่อสังคม แตกต่างกันออกไป แต่นั่นเป็นความเชื่อของผม

เรามามองกันอีกมุมกันดีไหมครับ
ถ้า เราทราบหลักปรัชญาอย่างหนึ่งมีประโยชน์ต่อผู้อื่น เป็นหน้าที่ของเราที่จะเผยแพร่หรือไม่?
การเผยเพร่นั้นไม่เพียงแต่พูดปาวๆให้ผู้อื่นได้ยินเท่านั้น น่าจะหมายถึงผลลัพธ์ที่มีผู้คล้อยตามด้วยรึเปล่า?
เป็นหน้าที่ของครูหรือของนักเรียนที่จะต้องถ่ายทอดความรู้ต่อผู้อื่น?
เป็นความรับผิดชอบในหน้าที่ของครูหรือไม่ที่จะจัดประสบการณ์การเรียนการสอนแก่นักศึกษาให้บรรลุเป้าหมาย?
ครูมีหน้าที่รับผิดชอบในการถ่ายทอดความรู้จริงหรือไม่?
นักศึกษามีความถนัดในการเรียนไม่เหมือนกันจริงหรือไม่?
สิ่งแวดล้อม context ของประสบการณ์การเรียนรู้มีผลต่อสิ่งที่นักศึกษาสามารถจะรับรู้หรือไม่?
หากนักศึกษาไม่สามารถรับการถ่ายทอดความรู้ตามวิธีการสอนแบบหนึ่ง เป็นหน้าที่ของครูหรือไม่ที่จะจัดหาประสบการณ์การเรียนแบบอื่นให้ ในฐานะที่เป็นผู้รู้มากกว่า มีประสบการณ์มากกว่า?
ความล้มเหลวในการเรียนรู้ของนักศึกษาเป็นความล้มเหลวของครูหรือไม่?
หากนักศึกษาไม่สามารถรับความรู้ที่ดีที่สามารถ rescue เขาจากสภาวะสัตว์ได้ เป็นความผิดที่ผู้ถ่ายทอดที่ไม่สามารถรับผิดชอบต่อหน้าที่หรือไม่?

ผมเชื่อมั่นและนับถืออาชีพครูครับ คุณ Kant ครูที่ตะเบ็งปาวๆสอนโดยไม่ได้ชำเลืองดูคนรับเลยนั้นผมว่าเป็นครูที่ขาดจริยธรรม ถ้าจะใช้ term ที่คุณ Kant คุ้นเคย ก็คือเป็นผู้ถ่ายทอดที่เลวทรามต่ำช่ามาก ไมาเหมาะที่จะเป็นคนเผยแพร่ความรู้เลย ความเลวทรามต่ำช้านี่ยิ่งมากขึ้น หากองค์ความรู้ที่ตั้งใจจะสอนนั้นมีความสำคัญต่อนักส฿กษามากเท่าไหร่ ความล้มเหลวยิ่งมี impact สูงเท่านั้น

ปกติผมจะมีการทำ self-criticism อยู่เป็นระยะๆครับคุณ Kant คิดว่าคุณ Kant คงจะเคยทำอยู่บ่อยๆเช่นเดียวกัน เพราะเป็นกิจวัตร (หรือเป็นวัตร) อย่างหนึ่งของนักการศึกษาคุณธรรมและปรัชญา เพื่อ make sure ว่า
เรามิได้ประมาทว่ารู้หมดทุกอย่าง
ไม่ได้ประมาทว่าอาจจะมีความรู้สำคัญบางอย่างที่ผู้ฉลาดกว่าเรา (ซึ่งสำหรับผมแล้ว มีคนเหล่านี้อยู่อีกเป็นอสงไขยครับ) รู้จริงกว่า รู้มากกว่า
ไม่ได้ประมาทว่าเรากำลังทำตัวเหมือนชาที่กำลังจะล้นถ้วยไม่สามารถจะเติมอะไรลงไปได้อีกเลยในชาตินี้
ไม่ได้ประมาทว่าที่เรารู้แล้วหรือคิดว่ารู้แล้วนั้นเป็น ultimate ซึ่งความรู้
ไม่ได้ประมาทว่าเราบรรลุแล้วซึ่งสัจธรรมและทุกสิ่งทุกอย่างที่ขัดแย้งกับเรานั้นเป็นอื่นไปไม่ได้นอกเสียจากอวิชชา
ไม่ได้ประมาทว่าวิธีการที่เราสั่งสอนนักศึกษานั้นเป็นวิธีที่ดีที่สุด หากแต่จะมีทางที่จะทำให้ดีขึ้นตลอดเวลา
ไม่ได้ประมาทและละเลยที่จะตรวจสอบกายวาจาใจของเราว่ามิได้ไปทำให้ผู้อื่นเป็นทุกข์
ไม่ได้ประมาทว่าการที่ใช้วิธีการที่ไม่เหมาะสมในการถ่ายทอดจะทำให้องค์ความรู้เสื่อมหายไปได้
เป็นต้น

ผมคิดว่ามีประโยชน์และเป็นหน้าที่ของครูหรือผู้ที่คิดจะถ่ายทอดจริยธรรม พึงจะตรวจสอบดังกล่าวข้างต้น และแก้ไขเปลี่ยนแปลงเมื่อค้นพบความผิดพลาด ผมมั่นใจว่าที่ว่ามาคงจะเป็นแค่สอนจรเข้ให้ว่ายน้ำ หรือสอนหนัวสือสังฒราชแค่นั้น เพราะนั่นคงเป็นกิจวัตรที่คุณ Kant คุ้นเคยดีอยู่แล้ว จึงได้มีความมั่นใจในตนเองอย่างที่แสดงออกมา



Posted by : Phoenix , Date : 2003-05-01 , Time : 11:58:21 , From IP : 172.29.3.160

ความคิดเห็นที่ : 35


   PS คุณ Kant ครับ ลืมบอกไปว่าผมอ่านความคิดท่านพุทธทาสไม่ออกครับ ไม่เคยพบท่าน เคยรับฟังหรืออ่านเรื่องที่ท่านบรรยายมามากพอประมาณ แต่ผมอ่านใจคนไม่ได้ครับไม่ว่าจะเป็นท่านพุทธทาสหรือพระพุทธเจ้า ผมดีใจด้วนที่คุณ Kant สามารถอ่านความคิดท่านพุทธทาสได้นะครับ เพราะเท่ากับว่าคุณ Kant ได้รับถ่ายทอดความรู้ทั้งหมดมาแล้วนั่นเอง น่าจะมีประโยชน์มาก หวังว่าความสามารถในการถ่ายทอดความรู้ของคุณ Kant จะมีเท่ากับหรือยิ่งมากกว่าท่านพุทธทาสนะครับ เพราะมีคนจำนวนมากสามารถรับฟังและเข้าใจและปฏิบัติตามสิ่งที่ท่านกล่าวไว้มากพอสมควร ผมยอมรับว่าคงจะเป็นเพราะผมอ่านความคิดท่านพุทธทาสไม่ได้นั่นเองจึงไม่ได้คิดว่า concept พุทธศาสนาแท้จริงแล้วเหมิอนของ Immanuel Kant (หรือกลับกัน) คงจะต้องเรียนรู้อีกเยอะครับ



Posted by : Phoenix , Date : 2003-05-01 , Time : 12:07:01 , From IP : 172.29.3.160

ความคิดเห็นที่ : 36


   มันสสส์ จริงๆๆ...debate กันบ่อยๆนะ ...รู้ไหมการถกเถียง ของคุณ 2 คนมีประโยชน์มากสำหรับคนนอก( เคยอ่านหนังสือเรื่องคนนอกที่แปลเป็นไทยแล้วชอบมาก)...แล้วจะติดตามบ่อยๆๆ( ป.ล สมัยหลวงพ่อพุทธทาส ยังอยู่ เจอบ่อยคะ..ถ้าท่านยังอยู่คงพอใจในการถกถียงครั้งนี้เป็นที่ยิ่ง..ไม่มีใครถูก ผิดหรอกคะ
คุณ Kant อย่าเพิ่งหายไปนะ ..คิดถึงตายเลย


Posted by : คนนอก , Date : 2003-05-01 , Time : 14:19:52 , From IP : 172.29.3.205

ความคิดเห็นที่ : 37


   ไม่ว่าจะเป็น school of thought ไหน คงจะเป็ที่ยอมรับว่าคนส่วนใหญ่นั้นยังเวียนว่ายอยู่ในวัฏสังสาร หรือ Samsara อยู่ ในส่วนของ absolute moralist นั้นผมสนใจว่าจะเกิด conflict ในการอยู่ในสังคมปกติหรือไม่?

ขอยก key sentence ที่จะนำมาวิเคราะห็นะครับ "สิ่งใดที่คุณทำเพื่อตัวเอง สิ่งนั้นเป็นเรื่องเลวทรามทั้งสิ้น"

assume ว่าผู้ที่ต้องการดำรงชีวิตแบบ absolute moralist จะปฏิบัติตน strictly to the letter ตาม code of conduct ข้างบน ตั้งแต่ความเป็นอยู่เลยก็แล้วกัน

Absolute moralist อาจจะต้องพิจารณาอาศัยอยู่ในที่วิเวก เช่น วัดวาอารามเป็นต้น เป็นเพราะการอาศับบ้านหลวงหรือบ้านอื่นๆดูจะเป็นการทำเพื่อตนเอง ฉะนั้นปัจจัยสี่คงจะต้องเป็น minimalism คือพออยู่เท่านั้น ซึ่งเป็น concept เดียวกันกับพระสงฆ์นั่นเอง เรื่องครอบครัวก็ตัดทิ้งไปได้เลย เพราะว่าจะต้องมีเพศสัมพันธ์กับผู้หญิงซึ่งถูก classfied เป็น ultimate sin ไปแล้ว การประกอบอาชีพที่เห็นพอจะกระทำได้น่าจะไม่ต่างจากพระเท่าไร เพราะสามารถพออยู่ได้และมีประโยชน์ต่อสัวงคม นั่นคือถ่ายทอด concept of ethics ให้แก่ผู้อื่น ทีนี้ทรัพย์สินต่างๆก็คงจะสะสมไม่ได้หรอกนะครับ เพราะจะเป็นการอำนวยความสะดวกแก่ตนเองซึ่งอยู่ในข้อห้ามเช่นกัน ทีวี วิทยุ ตู้เย็น พัดลม ฯลฯ ล้วนแล้วแต่เป็นของฟุ่มเฟือยและเพื่อตนเองทั้งสิ้น ทีนี้เครื่องคอมพิวเตอร์และโมเดมควรจะมีหรือไม่...อืม ถ้าจะว่าไปใช้วิธีปากเปล่าอภิปรายตามลานวัดก็ได้นะครับ เป็นวิทยาทานฟรีๆ ลำบากหย่อยแต่ว่าถ้าความสะดวกนั้นเพื่อตนเองซะแล้วก็คงจะไม่ได้เช่นกัน คงจะไม่จำเป็นต้องหาเงินหรือใช้เงิน เพราะพระสงฆ์และคนจำนวนมากอยู่ได้ในวัดโดยการบริจาค ฉะนั้นจะไม่มีการหา resource ที่ไม่จำเป็นมาใช้ พูดง่ายๆก็คือ absolute moralist นั้นน่าจะมี life style ไม่ต่างจากพระธุดงค์นั่นเอง






Posted by : Phoenix , Date : 2003-05-01 , Time : 18:19:09 , From IP : 172.29.3.160

ความคิดเห็นที่ : 38


   ผมเห็นประโยชน์ครับหาก หากใครจะสนใจอ่านงานของท่านพุทธทาส และอีกอย่างก็จะเป็นการสร้างความน่าเชื่อถือให้สิ่งที่ผมเขียนด้วย ไปอ่านเองบ้างก็ดีจะได้ไม่ต้องเถียงกันยาว

ในมุมมองของคุณนั้นผมขออธิบายดังนี้
-ครูย่อมเป็นผู้ถ่ายทอดความรู้ที่ถูกต้องให้ศิษย์อยู่แล้ว ไม่ว่าใครก็เป็นครูได้ และเราก็ถือทุกอย่างเป็นครูได้ด้วย
การจัดการเรียนนั้นแน่นอนว่าต้องจัดให้เหมาะกับสภาพดั้งเดิมของบุคคลนี้เป็นหน้าที่ครู

-แต่ความล้มเหลวของศิษย์นั้นจะเหมารวมว่าเป็นความผิดของครูทั้งหมดไม่ได้ เพราะครูคนเดียวไม่ได้ควบคุมปัจจัยทั้งหมดในชีวิตของศิษย์ ศิษย์ยังมีครูอื่นอีกตั้งมากมายที่สอนเขาไม่ทางตรงก็ทางอ้อม ครูไม่มีสิทธิอะไรไปกำหนดชาตากรรมศิษย์ ครูได้แต่ชี้แนะแนวทางเท่านั้น จะเชื่อไม่เชื่อหรือปฏิบัติหรือไม่เป็นเสรีภาพของศิษย์ "ผลที่เกิดกับศิษย์จึงอาจไม่ได้มีผลมาจากครูเลยก็ได้" แต่ผมก็ไม่ได้เหมารวมครับ ครูยังมีส่วนผิดอยู่หากสอนด้วยเจตนาไม่ดีหรือก็คือสอนในสิ่งผิดให้ศิษย์ นั่นก็ถือเป็นความผิดครูด้วยส่วนหนึ่ง

ถ้าพูดกันอย่างอุดมคติจริงๆ ครูไม่มีสิทธิด้วยซ้ำที่จะหวังว่าผลที่เกิดกับศิษย์จะเป็นอย่างไร ครูมีหน้าที่เพียงสอนไปตามหน้าที่ด้วยความสามารถที่มีทั้งหมด นั่นเท่ากับเป็นความดีแล้ว ไม่จำเป็นต้องวัดที่ผล เพราะความดีเป็นสิ่งเดียวที่เป็น intrinsic value

พระพุทธเจ้าเคยตรัสกับนายโกสี(ไม่แน่ใจว่าเขียนถูกหรือเปล่า)คนฝึกม้าว่า พระพุทธองค์ทรงฝึกคนเช่นเดียวกับม้า คือหากเห็นว่าศิษย์คนใดสอนได้ยากเต็มทีแล้ว ก็จะทรงฆ่า(โดยการวางเฉย)ศิษย์ผู้นั้นเสีย อาจเพราะเสียเวลาไม่คุ้มค่า

ทำหน้าที่เพื่อหน้าที่ครับ ไม่ใช่เพื่อผล



Posted by : Immanuel Kant , Date : 2003-05-01 , Time : 19:44:08 , From IP : 172.29.2.97

ความคิดเห็นที่ : 39


   ผมเองก็ยอมรับครับว่าพลั้งเผลอไป จึงพูดเกินเลยไปว่าอ่านใจได้

สิ่งที่ผมต้องการบอกจริงๆก็คือ ผมเชื่อว่า"จุดประสงค์แก่นใหญ่ใจความที่ท่านพุทธทาสสอนนั้น หากมีผู้สรุปและจับใจความได้ ก็หมายถึงเขาได้พบสัจธรรมในระดับหนึ่งแล้ว"

และจะเป็นประโยชน์กับชีวิตอย่างยิ่งทีเดียว



Posted by : Immanuel Kant , Date : 2003-05-01 , Time : 19:50:54 , From IP : 172.29.2.97

ความคิดเห็นที่ : 40


   ผมเชื่อว่าอุดมคติไม่มีทางไปขัดแย้งกับอะไรได้ เพราะอุดมคติก็คืออุดมคติ คือสมบูรณ์แบบด้วยเหตุผลที่สุด

คุณดูพระภิกษุเป็นแบบอย่างนั้นถูกต้องแล้วครับ

เพราะท่านต้องการวัตถุอย่างสมถะ คือเท่าที่จำเป็นจะนำพากายเนื้อนี้ให้รอดไปได้เท่านั้น วัตถุไม่ได้มีค่าอย่างใดอีกเลย ท่านอาศัยกายเนื้อนั้นเองที่จะยังประโยชน์ให้เพื่อนมนุษย์ได้ต่อไป

ยังมีเรื่องที่ผมแนะนำให้คุณไปหามาอ่าน ของท่านพุทธทาสนั่นแหละ ในเรื่อง"บวชทำไม" เพราะท่านได้แสดงให้เห็นว่าการบวชนั่นไม่ได้มีรูปแบบที่ผ้าเหลือง แต่ไม่ว่าผู้คนอาชีพใดก็บวชได้ในอาชีพของตนนั้น ขอเพียงก่อประโยชน์กับผู้อื่นและไม่ทำความเห็นแก่ตัว เราสามารถใช้คอมพิวเตอร์ได้หากมันเป็นประโยชน์แก่ผู้อื่นแต่นั่นก็ต้องไม่ไปให้ค่ากับวัคถุภายนอก เรายังคงใช้วัตถุเท่าที่จำเป็นที่สุดเท่านั้น

ในเรื่องบวชทำไมนี้เองที่เคยเป็นวิวาทะของท่านพุทธทาสกับหม่อมคึกฤทธิ์



Posted by : Immanuel Kant , Date : 2003-05-01 , Time : 20:01:58 , From IP : 172.29.2.97

ความคิดเห็นที่ : 41


   ตรงนี้ผมมองไม่เหมือนคุณ Kant นะครับในแง่ "ความรับผิดชอบต่อหน้าที่" ของผู้ที่เป็นครู ผมไม่คิดว่าครูรับผิดชอบแค่สอนๆไปอย่างเดียวโดยไม่รู้สักปรับปรุงวิธีการสอนให้ดีขึ้น มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ที่พระพุทธเจ้ากล่าวนั้นคำว่า "สอนได้ยากเต็มที่" น่าจะหมายถึงท่านได้ลองหลายวิธีแล้ว เพราะถ้าใช้วิธีเดียวแล้วทะลึ่งบอกว่ายากเต็มที่ ก็คงเป็นความเกียจคร้านและไร้ความรับผิดชอบมากกว่า ทัศนของ Kant เรื่องความรับผิดชอบในหน้าที่นี้สำคัญมากใช่ไหมครับ ผมสงสัยว่าแกมีวิธีการถ่ายทอดกี่วิธี และผู้ที่รับหน้าที่สืบทอดหลักปรัชญาของแกนั้นมีความพยายามจริงใจแค่ไหนที่จะสืบเจตนารมณ์ ไม่ต้องเคร่งขนาด Kant หรอกนะครับ แค่มอ.ออ.เรานี่อาจารย์ท่านใดไม่ยอมปรับปรุงตัวเพื่อสอนให้ดีขึ้นก็โดนเล่นงานแล้ว Absolute moralist อย่างท่าน Immanuel Kant คงจะเห็นว่าเป็นโทษร้ายแรงไม้ด้อยไปกว่าการเห็นแก่ตัวกระมัง? เพราะการปรับปรุงตัวเพื่อถ่ายทอดได้ดีขึ้นนั้นมีแต่ประโยชน์ ก่อนที่ใครจะแก้ตัวว่าลองหมดแล้ว ได้พยายามแล้ว ก็น่าจะมีการลองหมดแล้ว พยายามแล้วจริงๆใช่ไหมครับ?



Posted by : Phoenix , Date : 2003-05-01 , Time : 20:23:52 , From IP : 172.29.3.202

ความคิดเห็นที่ : 42


   อีกประการหนึ่งในประเด็นเรื่องการตรวจสอบตนเองนั้นคุณ Immanuel เห็นว่าอย่างไรครับ? วิชาปรัชญาและจริยธรรมนี้เป็นเรื่องที่เราคงจะยอมรับว่าสำคัญใชไหมครับ ก่อนที่เราจะสรุปว่าความรู้ที่เราจะถ่ายทอดไปนั้นถูกต้อง ไม่ต้องขนาด absolute เราก็ยังต้องทานแล้วทานอีกสำหรับวิชาชีพอื่น เพราะฉะนั้นจริยธรรมยิ่งต้องเข้นข้นกว่าหลายเท่า เนื่องจากมนุษย์นั้น bound to make mistake ที่ที่เราเข้าใจว่าดีว่าถูกนั้น มีบ่อยครั้งเหลือเกิน เมื่อเราได้ข้อมูบเพิ่มเติมจากปรัชญาเมธีท่านอื่น จากหนังสือ หรือจากที่ใดๆก็ตาม เราพบว่าเราต้องเปลี่ยนผลัดความรู้นั้นนับครั้งไม่ถ้วน ตัวกระผมเองใช้วิธีหากัลยาณมิตร หาความเห็นจากท่านผู้รู้ท่านอื่นๆ เพื่อ เคาะเอาสนิมโง่ผมออกอยู่เนืองๆครับ เรียนมาก็ไม่น้อยยังแปลกใจว่ามีเรื่องให้เรียนรู้ใหม่ๆเพิ่มเติมตลอดเวลา ถ้าคุณ Kant จะกรุณา จะช่วย share วิธีการตรวจสอบความรู้ของคุณ kant ให้พวกเราได้ทราบได้หรือไม่ครับ ผมว่าจะเป็นการขยายกัลยาณมิตร หรือกลุ่มอภิปรายจริยธรรมเพิ่มเติมได้มากยิ่งขึ้น

จะรอคำตอบนะครับ



Posted by : Phoenix , Date : 2003-05-01 , Time : 20:37:01 , From IP : 172.29.3.202

ความคิดเห็นที่ : 43


   มันเป็นปัญหาทางจริยศาสตร์โดยตรงครับที่เขาเถียงกันมายาวยืดแล้วว่าเราควรมีเกณฑ์การตัดสินที่อะไร?

หรือ

อะไรคือสิ่งที่มีค่าในตัวเอง?

สำหรับที่ผมเชื่อนั้น ผมถือเจตนาแยกส่วนครับ ผมไม่สนว่าผลที่เกิดจะเป็นอย่างไร กระทำด้วยเจตนาดีสมบูรณ์แบบก็ถือเป็นความดีแล้ว

ผลภายนอกจะเป็นอย่างไรเราไม่สน เพราะถือว่ามันกระทบจากหลายปัจจัย





Posted by : Immanuel Kant , Date : 2003-05-01 , Time : 20:37:18 , From IP : 172.29.2.97

ความคิดเห็นที่ : 44


   ในเรื่องการตรวจสอบตนเองนั้นเป็นสิ่งสำคัญครับ เพราะความรู้ที่จำเป็นสำหรับมนุษย์นั้นเกิดจากการตรวจสอบตัวเอง ปราชญ์โสเครตีสจึงกล้ากล่าวว่าคุณธรรมคือความรู้ เพราะท่านถือว่าความรู้เกิดจากการรู้จักตนเอง

แต่นั่นเราก็ไม่อาจแน่ใจว่าที่เรารู้นั้นถูกต้องแล้ว การแสวงหาจากจากบุคคลอื่นหรือธรรมชาติจึงเป็นสิ่งจำเป็น

แต่เหนือสิ่งอื่นใดนั้นเราต้องเข้าใจด้วยตนเอง และอธิบายสิ่งที่เกิดกับตนเองได้ สำหรับผมเชื่อว่าคนเราตรวจสอบตนเองได้จากเหตุผล และถือว่าเหตุผลนั้นจะเป็นมาตรวัดที่ศักดิ์สิทธิ์เที่ยงตรงที่สุด




Posted by : Immanuel Kant , Date : 2003-05-01 , Time : 20:46:50 , From IP : 172.29.2.97

ความคิดเห็นที่ : 45


   แล้วคุณ Kant คิดว่าจะเป็นการดีกว่าหรือไม่หากครูรู้จักพัฒนาตนเองดัดแปลงวิธีการสอนให้ดีขึ้น ดีกว่าการที่ดักดานใช้วิธีการที่เป็นอยู่เพียงประการเดียว? เกียจคร้านไม่ยอมโผลาหน้าไปดูโลกภายนอกว่ามีวิธีการสอนการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ใหม่อีกมากมาย? ในความเห็นของผมครูที่ขาดความรับผิดชอบดังกล่าวนั้นไม่มีคุณสมบัติในการเป็นครู และจริงๆแล้วเป็นปุถุชนที่ขาดจริยธรรมเพราะเกียจคร้าน หัวดื้อ ไม่รับผิดชอบ ไม่ยอมรับว่ามีวิธีอื่นที่ดีกว่าในการถ่ายทอด? อย่าลืมวัตถุปสงค์นะครับ ครูต้องการให้ศิษย์ดีและรู้เพิ่ม การขวนขวายเทคนิกใหม่นั้นง่ายครับ แค่ยอมรับได้ ก็มี resource ให้หาอ่านมากมายเหลือคณานับ




Posted by : Phoenix , Date : 2003-05-01 , Time : 20:48:30 , From IP : 172.29.3.202

ความคิดเห็นที่ : 46


   ตรวจสอบด้วยตนเองเพียงคนเดียวหรือครับ? ผมว่าอาจจะมี bias เกิดขึ้น เพราะบางครั้งเราต้องการมีมุมมองหลายๆด้าน บ่อยครั้งที่เรามองเสร็จคิดว่ารอบคอบ เราพบว่ามีอีกหลายมุมยังมิได้มอง พระพุทธเจ้าท่านยังลองตั้งหลายวิธีแหนะครับ ทรมาณตนเองก็แล้ว ศึกษากับ ฤาษีชีไพรก้แล้ว จนท่านได้ตรัสรู้ในที่สุด แล้วฉลาดๆอย่างท่านพระพุทธเจ้านั้นไม่ได้หาได้บ่อยๆ พระพุทธทาส พระพยอม อาจารย์ฝั้น ต่างก็เคยมีอุปัชฌาคอยช่วยเหลือแก้ไขเมื่อติดหรือไม่แน่ใจก็เพราะเหตุนี้

ตกลงคุณ kant พอจะ share กลุ่มกัลยาณมิตรหรือวิธีการตรวจสอบความถูกต้องนอกเหนือจากตนเองคนเดียวแก่พวกเราได้ไหมครับ ขอบพระคุณครับ



Posted by : Phoenix , Date : 2003-05-01 , Time : 20:53:35 , From IP : 172.29.3.202

ความคิดเห็นที่ : 47


   ผมก็เห็นว่าสมควรครับที่ครูจะพัฒนาวิธีการสอนให้ดียิ่งขึ้น และนั่นก็เป็นเพียงหน้าที่ที่จะทำให้สุดความสามารถครับ ไม่จำเป็นต้องวัดกันที่ผลของหน้าที่

ผมเชื่อว่าทุกคนมีอินทรีย์แห่งเหตุผลแฝงอยู่ในมโนธรรมแล้วครับ(เหตุผลนิยม) จึงสามารถตรวจสอบตนเองได้ทุกเรื่อง โดยการละอคติเดิมออกไปเสียก่อน แล้วดูกันที่ตัวเองเลยว่ามีสภาพเป็นอย่างไร และควรจะมีสภาพเป็นอย่างไร

อย่างที่ผมบอกคุณ หลังจากที่ท่านพุทธทาสสอบไม่ผ่านเปรียญธรรมสี่ประโยค ท่านก็ถือว่าเป็นความล้มเหลวของระบบการศึกษาและเป็นความงี่เง่าของวงการศาสนา ท่านจึงปรารถจะปฏิรูปพุทธศาสนาเสียใหม่ ท่านจึงเร้นกายไปศึกษาอยู่"คัวคนเดียว"ในป่าช้า ไม่ยอมพบหน้าใครเป็นเวลา 14 ปีเต็ม หลังจากท่านออกมาประกาศคำสอนใหม่จึงถูกไม่ยอมรับและโดนกล่าวหาสารพัด แม้แต่ข้อหาคอมมิวนิสต์




Posted by : Immanuel Kant , Date : 2003-05-01 , Time : 21:05:08 , From IP : 172.29.2.97

ความคิดเห็นที่ : 48


   เอ...ประสบการณ์ของท่านๆเดียวคงจะไม่ทำให้เราต้องยึดว่า "ข้ามาคนเดียว" คือวิธีที่ดีที่สุดกระมังครับ พุทธศาสนาใช้ระบบ ครู อุปัชฌาย์ (เถรวาท) เซนเซ หรือ โรชิ (มหายาน) และการอภิปรายธรรมระหว่างกัลยาณมิตร (วัชรยาน) ทั้งสาม major lineages หากเราจะเจริญรอยตามอัจฉริยะเพียงท่านเดียวอาจจะไม่ไหวหรือเปล่า? ตกลงผมชักไม่แน่ใจว่าคุณ kant ใช้ตัวคนเดียวทดสอบความถูกต้องขององค์ความรู้หรือวิธีไหนเลยนะครับ ช่วยแนะนำเป็นวิทยาทาน



Posted by : Phoenix , Date : 2003-05-01 , Time : 21:15:20 , From IP : 172.29.3.202

ความคิดเห็นที่ : 49


   แล้วคุณ Kant มีความคิดเห็นอย่างไรกับครูที่เกียจคร้าน ไม่ยอมตรวจสอบความรู ไม่ยอมพัฒนาวิธีการสอน ดื่อดึงอยู่แต่วิธีเก่าวิธีเดียว ครับ คนเกียจคร้านผิดจริยธรรมหรือไม่?



Posted by : Phoenix , Date : 2003-05-01 , Time : 21:17:57 , From IP : 172.29.3.202

ความคิดเห็นที่ : 50


   คุณ Kant คิดว่าวิธีของท่านพุทธทาสเปน "วิธีเก่า" หรือวิธีใหม่" ในการสอนครับ ถ้าหากเป็นวิธีใหม่ก็แสดงว่าท่านพทธทาสก็ไม่ได้ติดกับวิธีการสอนโบราณๆใช่ไหมครับ การเปลี่ยนแปลงปรับปรุงได้ของท่านนี้ดีหรือไม่ ครูรุ่นหลังควรจะเอาใจใส่ปฏิบัติตามรึเปล่า หากใครเห็นตัวอย่างแล้วยังดื้อดึงไม่ยอมพัฒนาตนเองเป็นการเกียจคร้านหรือไม่?



Posted by : Phoenix , Date : 2003-05-01 , Time : 21:21:37 , From IP : 172.29.3.202

ความคิดเห็นที่ : 51


   ตัวเราเองสามารถตรวจสอบตัวเองได้ครับหากมั่นใจว่ามีหลักการที่สมบูรณ์ด้วยเหตุผลแล้ว ความรู้อื่นใดไม่เท่าความรู้จักตัวเอง ตัวคุณเองคุณก็ต้องเข้าใจด้วยตนเองเท่านั้น คุณนึกถึงพระพุทธเจ้าก็ได้ หลังจากที่พระองค์ไขว่คว้าจากภายนอกมาพอสมควรแล้วพระองค์ก็มิได้หยุด จนในที่สุดก็ตรัสรู้ชอบด้วยพระองค์เองได้

ครูที่เกียจคร้านเป็นครูที่เลวครับ มันอยู่ที่ว่ามนุษย์มีศักยภาพที่จะพัฒนาตนเองได้สูงสุดแค่ไหน คุณก็ต้องทำให้ถึงที่สุดแค่นั้น ถ้าเขาทำเต็มศักยภาพมนุษย์แล้วคุณจะไปหาว่าเขาเลวไม่ได้

ท่านพุทธทาสท่านสอนให้เหมาะสมกับคนครับ ไม่เกี่ยวว่าเก่าหรือใหม่ ท่านสอนดีที่สุดเท่าที่สอนได้ วิธีสอนท่านอาจจะดูโบราณด้วยซ้ำ เพราะกับคนที่หลงงมงายในวัตถุ ท่านอาจต้องใช้คำเฉียบขาดรุนแรงในการสอนจึงจะรู้เรื่อง แต่นั่นท่านก็สอนได้หลายแบบตามสภาพบุคคลครับ ท่านที่เคยใกล้ชิด เคยมาเล่าให้ผมฟังครับ



Posted by : Immanuel Kant , Date : 2003-05-01 , Time : 21:41:00 , From IP : 172.29.2.97

ความคิดเห็นที่ : 52


   รอบๆตัวก็คงจะรู้สึกว่าคนอื่นเป็นสัตว์เดรัจฉานกันหมด
แต่ก็ใช้ชีวิตมนุษย์ทำงานมีเงินเดือน
ก็หาอะไรมาให้ตัวเองเหมือนๆคนอื่น
ไม่ขัดแย้งกันไปหน่อยเหรอพ่อยอดมนุษย์
เบื่อวะพวกคนที่เห็นตัวเองเหนือกว่าคนอื่น
ใครจะเชื่อคุณน้า


Posted by : ฬ , Date : 2003-05-02 , Time : 11:23:54 , From IP : 202.28.80.4

ความคิดเห็นที่ : 53


   คุณไม่มีทางรู้หรอกครับว่าใจจริงคนอื่นจะเป็นอย่างไร

ว่าแต่คุณ ทราบแล้วหรือยังครับ ว่าคุณมาจากไหน มาทำไม และจะไปที่ไหน


Posted by : Immanuel Kant , Date : 2003-05-02 , Time : 11:26:34 , From IP : 172.29.2.112

ความคิดเห็นที่ : 54


   อย่างที่ผมบอก คุณไม่มีสิทธิจะไปตัดสินครับว่าคนอื่นจะเลวจะชั่วอย่างไร

อุดมคติย่อมเป็นอุดมคติ คือสมบูรณ์ด้วยเหตุผลอยู่แล้ว

คนมีสิทธิเลือกชีวิตตนเอง

กระทำสิ่งในก็ได้รับผลจากสิ่งนั้น

คุณมีหน้าที่เพียงเผื่อแผ่ความเมตตาไปสู่ผู้อื่น เขาจะเชื่อหรือไม่ก็เป็นเรื่องของเขา

ทำหน้าที่เพื่อหน้าที่ครับ



Posted by : Immanuel Kant , Date : 2003-05-02 , Time : 11:44:08 , From IP : 172.29.2.112

ความคิดเห็นที่ : 55


   ผมเห็นด้วยที่ว่าป้ายสุดท้าย (หรือท้ายๆ) ของมรรคแปดนั้นเราเดินคนเดียวครับ แต่สังฆา หรือ สหายธรรมนั้นคงอยู่และเกื้อกูลพุทธศาสนามานับพันปี ฉะนั้นการเรียนร่วมกันคงจะมีอะไรดีอยู่บ้าง ผมไม่เคยเห็นใครเริ่มต้นและศึกษาแบบข้ามาคนเดียวบ่อยนัก สงฆ์ที่จะบวชยังต้องมีพระอุปัชฌาย์ ฆราวาสจะทำเองคนเดียวนั้นค่อนข้างเสี่ยงต่อการเดินผิดทางนะครับ การตีความ Pali Canon โดยตนเองทั้ง 84000 พระธรรมขันธ์นั้นไม่ใช่งานง่ายๆ ถึงแม้เซนและวชิรยานจะใช้เซนเซและกัลยาณมิตรช่วยก็ยังไม่ใช่เรื่องง่าย แต่สิ่งหนึ่งที่ง่ายคือเปิดใจกว้าง ยอมรับข้อเสนอแนะ และรับฟัง เพื่อปรับปรุง

ผมยังข้องใจเรื่องนิยามหน้าที่ของครู โดยปรัชญาของ Immanuel Kant อยู่นะครับ การสอนจริยธรรมนั้นผมว่าเป็นไปไม่ได้เลยที่จะไม่พิจารณาผล หลักจริยธรรมอันเป็นสาขาของปรัชญานั้นต้องเน้นปฏิบัติ มิฉะนั้นแล้วไม่มีความหมายใดๆทั้งสิ้น เริ่มตั้งแต่คนที่สอนจะต้อง observe สิ่งที่ตนเองได้เชื่อและพูดออกไปอย่างเคร่งครัด มิฉะนั้นจะเป็นการเสแสร้ง โกหกต่อตนเองและผู้อื่น หลังจากนั้นผู้สอนมีความรับผิดชอบที่จะตรวจสอบว่าที่สอนไปได้ผลอย่างไรด้วย มิใช่สักแต่ว่าสอนปาวๆ แล้วมานั่งยิ้มแป้นว่าข้าสอนแล้ว ข้าเป็นคนดี โดยไม่เคยสนใจจะทราบเลยว่ามีคนรับไปปฏิบัติสักกี่คน ยิ่งไปกว่านั้นบางท่านดันไปโทษนักเรียนว่าโง่ สติปัญญาไม่ถึงซะด้วยซ้ำโดยที่ยังไม่ได้ดูเลยว่าตนเองจะมีวิธีอื่นไหมที่จะทำได้ดีกว่านั้น ครูแบบนี้ไม่ใช่ครูหรอกครับ

การสอนจริยธรรม เราต้องแงะแกะเกาให้นักเรียนเปิดเผยตนเองออกมา แล้วแก้ไข หากเราปาวๆให้นักเรียน 100 คนฟัง แล้วนักเรียน 100 คนนั้นกลายเป็นโจรไปหมด ไม่เห็นด้วยกับหลักจริยธรรมที่เราสอนแม้เพียงคนเดียว คงจะเป็นที่การสอน มากกว่าที่นักเรียน นั่นแปลว่าผู้สอนต้องปรับปรุงตนเอง หากไม่สามารถยอมรับความจริงเพียงแค่นี้ได้ ก็เป็นหมอกกั้นสติปัญญานั่นเอง



Posted by : Phoenix , Date : 2003-05-02 , Time : 13:10:49 , From IP : 203.107.207.62

ความคิดเห็นที่ : 56


   ติดใจเรื่องการสอบเปรียญของท่านพุทธทาสครับ เคยทราบว่าเปรียญเป็นการสอบบาลี และไม่ใด้เป็น requirement อะไรนักเกี่ยวกับนิพพาน ท่านพุทธทาสคงไม่พอใจกับระบบการประเมินอะไรทำนองนี้ แต่คงไม่เกี่ยวกับ "มรรคา" กระมังครับ ท่านคงไม่ติดอยู่ที่ท่านจะได้หรือไม่ได้เปรียญเก้าประโยค หรือนักธรรมเอก หรอกนะครับ มันเป็นยศฐานะทางโลกสงฆ์ที่อุปโลกขึ้นมาแค่นั้นเอง



Posted by : Phoenix , Date : 2003-05-02 , Time : 13:15:38 , From IP : 203.107.207.62

ความคิดเห็นที่ : 57


   ผมไม่ปฏิเสธครับที่จะต้องให้ไปแสวงหาความรู้จากครูหรือสิ่งอื่นภายนอก แต่ถึงอะไรตนเองก็ต้องเข้าใจด้วยตนเองอยู่ดี เพื่อศึกษาไปเรื่อยๆปัญญาจะงอกเงยขึ้นมาเอง จนเมื่อถึงระดับหนึ่งก็สามารถจะเขาใจตนเองได้ครับ

ผมก็ไม่ได้ปฏิเสธนะครับว่าจะดูแนวทางที่ผลไม่ได้เลย การคาดเดาผลอันเป็นประโยชน์ต่อผู้อื่นที่จะเกิดขึ้นนั้นยังเป็นสิ่งจำเป็น และถ้าคุณเห็นว่ามันเป็นแนวทางที่ถูกต้องแล้ว คุณก็ปฏิบัติไปเต็มความสามารถ

แต่นั่นคุณจะต้องไม่ไปตัดสินการกระทำนั้นที่ผล

คุณคาดว่าประโยชน์ที่เกิดจะเป็นอย่างไร และความสามารถคุณมีเพียงไร เจตนาคุณถูกต้องแล้วหรือไม่ สิ่งเหล่านี้คุณพิจารณาตนเองได้ ปรับปรุงตนเองได้ คุณก็ปฏิบัติไปตามนั้น นั่นคือคุณได้ทำถูกต้องสมบูรณ์แล้ว

ส่วนผลจะเป็นอย่างไรเป็นเรื่องภายนอก คุณไม่ได้มีส่วนกำหนดคนเดียวสักหน่อย

ในการสอนคนหนึ่งร้อยคนนั้น ถึงทั้งร้อยคนจะเป็นโจรทั้งหมด นั่นก็ไม่ทำให้คุณสามารถสรุปได้หรอกครับว่าครูจะไม่ดี คนร้อยคนนั้นเขาผ่านการฝึกฝนขัดเกลามาเท่าไรก่อนถึงมือเรา เขาอยู่ในสถานการณ์บีบคั้นอย่างไรเราไม่ทราบได้ มีประวัติปูมหลังอย่างไรเราก็ไม่รู้ จิตใจแท้จริงเขาเป็นอย่างไรก็เกินกำลังที่เราจะไปรู้ บางทีแม้แต่ใจเราเองเรายังไม่รู้จักด้วยซ้ำ

เรากระทำความดีเต็มความสามารถหรือยัง ตัวเราเท่านั้นที่ทราบได้ครับ



Posted by : Immanuel Kant , Date : 2003-05-02 , Time : 13:34:54 , From IP : 172.29.2.112

ความคิดเห็นที่ : 58


   
ผม"เชื่อ"ว่าคุณเข้าใจถูกแล้วครับ

ท่านพุทธทาสไม่ได้ให้ความสำคัญอะไรเลยกับเกียรติภายนอก

ท่านทำทุกอย่างที่เห็นว่าถูกโดยไม่สนใจกับคำติติงภายนอก

คุณไปอ่านประวัติท่านพุทธทาส คุณก็รู้ว่าท่านต่อสู้กับความเห็นเช่นไรมาบ้าง

หากไม่มีท่านคงยากที่จะฉุดผู้คนขึ้นมาจากลัทธิที่ครอบงำโดยไม่รู้สึกตัวมาเป็นเวลานาน



Posted by : Immanuel Kant , Date : 2003-05-02 , Time : 13:41:54 , From IP : 172.29.2.112

ความคิดเห็นที่ : 59


   เท่าที่ผมอ่านความที่คุณ kant มาตลอด

การประเมินของคุณ kant ค่อนข้างจับต้องยากครับ เพราะว่าใช้การประเมินด้วยตนเอง ยังคงวนอยู่ที่เดิมคือ ideal ตามแบบฉบับคุณ kant ทำให้เราสามารถโต้แย้งได้ยาก เพราะยึดหลักอยู่ที่การประเมินตนเอง(คนอื่นไม่มีสิทธิ)

แต่การคิดอย่างนั้นมันเหมือนการเห็นแก่ตัวอยู่ในทีทีเดียวครับ ตามความคิดของผม เพราะไม่ว่าคนทั้งโลกจะมองว่าเราทำผิดแต่ว่าถ้าหากเราคิดว่าเราทำถูกก็ถือว่าเราไม่ผิดครับ เราสอนคน 100 คน ว่าอย่าฆ่าคนนะ แต่ 100 คนนั้นกลับไปฆ่าคน เค้าเป็นนักเรียนของเราแต่เราบอกเค้าไปแล้วว่าอย่าฆ่าคน ดังนั้นเราไม่ผิด ต่อให้เราเป็นคนที่ 101 ที่ฆ่าคนเราก็ไม่ได้ผิดต่อคำสอนของเรา เพราะว่าเราสอนถูกแล้ว


Posted by : เหอๆๆ , Date : 2003-05-02 , Time : 14:21:33 , From IP : 172.29.2.178

ความคิดเห็นที่ : 60


   คุณเข้าใจถูกต้องแล้วครับ การอ้างเหตุผลปรัชญานั้นจับต้องไม่ได้หรอกครับ มันไม่มีเครื่องมือวัดแบบฝ่ายวัตถุ ศัพท์ที่เราบัญญัติขึ้นใช้ก็ไม่อาจอธิบายลักษณะนามธรรมได้ครอบคลุมทั้งหมดหรอกครับ

คุณก็เข้าใจถูกเช่นกันที่เราไม่อาจไปตัดสินอะไรใครได้เลย เราอาจแนะนำเขาได้ แต่เรากำหนดเขาไม่ได้ เรากำหนดและตัดสินได้แต่ตนเองครับ "จงรู้จักตนเอง"

การกระทำที่ดีนั้นมีค่าอยู่ในตนเองแล้วครับ ไม่ต้องให้ใครมาตัดสินให้หรอก

ต่อให้เราปฏิบัติอย่างที่เราสอนไม่ได้ ก็ไม่ได้แปลว่าคำสอนเราผิดครับ การอ้างเหตุผลนั้น ตรรกวิทยาบ่งไว้ชัดว่าจะแย้งที่ตัวบุคคลไม่ได้

พ่อแม่สอนให้ลูกไม่ดื่มเหล้า ทั้งที่ตัวเองยังดื่มนั้น ลูกไม่มีสิทธิเอาไปเป็นข้ออ้างไม่ปฏิบัติตามครับ ที่พ่อแม่อุตส่าห์ห้ามก็หวังดีกับเรา เราฟังเหตุผลก็ปฏิบัติตาม



Posted by : Immanuel Kant , Date : 2003-05-02 , Time : 14:39:53 , From IP : 172.29.2.112

ความคิดเห็นที่ : 61


   คุณควรตรวจสอบการใช้เหตุผลให้เป็นด้วยนะตรับ ดูวกวนเหลือเกิน

คุณสอนไม่ให้ผู้อื่นไปฆ่าคน แต่คุณกลับฆ่าเสียเอง คุณยังจะอ้างว่าไม่ผิดจากที่สอนอีกหรือครับ

แต่ถึงแม้คุณจะฆ่าคนเสียเอง ก็ไม่ได้แปลว่าที่คุณสอนจะผิด การอ้างเหตุผลจะแย้งที่ตัวบุคคลไม่ได้



Posted by : Immanuel Kant , Date : 2003-05-02 , Time : 15:51:50 , From IP : 172.29.2.112

ความคิดเห็นที่ : 62


   ผมเข้าใจอย่างที่คุณ kant บอกดีครับ เพียงแต่ผมเสนอให้คนอื่นคิดตามน่ะครับ ดังนั้นผมจึงต้องการให้ดูวกวน(เหมือนกับที่คุณแสดงออกมา) บอกว่าคำสอนกับสิ่งที่ปฏิบัตินั้นไม่จำเป็นต้องสอดคล้องตามกัน ผมพยายามสร้างแบบ จำลองทำให้่มันดูประหลาดมากๆ อย่างที่ยกตัวอย่างไป ซึ่งก็ได้ผลด้วยการ ที่คุณเป็นคนแรกที่เข้ามาบอกว่ามันวกวน(แปลกประหลาด)

ดังนั้นผมเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่งที่เป็นเหตุผลที่วกวนและแปลกประหลาด


Posted by : เหอๆๆ , Date : 2003-05-02 , Time : 18:35:48 , From IP : 172.29.2.180

ความคิดเห็นที่ : 63


   ขอโทษกับความผิดพลาดครับ เพราะว่าจริงๆต้องการพิมว่า

"ต่อให้เราเป็นคนที่ 101 ที่ฆ่าคนเราก็ไม่ได้ผิดต่อนักเรียนของเรา เพราะว่าเราสอนถูกแล้ว"


แต่ยังยืนยันว่าเป็นเหตุผลที่แปลกประหลาดมากครับ ที่ไม่มีการรู้สึกผิดเลย ตามเหตุผลที่ว่าเราสอนถูกแล้ว


Posted by : เหอๆๆ , Date : 2003-05-02 , Time : 18:49:46 , From IP : 172.29.2.180

ความคิดเห็นที่ : 64


   คุณลองนับดูก็ได้ครับว่ามีกี่เรื่องในชีวิตที่เรารู้ว่าผิด แต่ยังทำ

นี่ถ้าทำแล้วไม่มีความละอายใจเลยก็ถือว่าเลวมากจริงๆ

พ่อแม่ที่ห้ามลูกดื่มเหล้า แต่ตัวเองยังดื่มนั้น ท่านก็อาจรู้สึกผิดก็ได้แต่ใจไม่แข็งพอที่จะเลิก

แต่นั่นไม่ใช่ขออ้างครับที่ลูกจะไม่ฟังเหตุผล

คุณตัดสินแต่ตัวเองดีกว่าครับ อย่าไปมัวตัดสินคนอื่นเลย ใครที่หวังดีสอนเราก็เคารพไว้ให้มากๆ ตัวเขาเป็นยังไงไม่ควรไปตั้งแง่หรอกครับ



Posted by : Immanuel Kant , Date : 2003-05-02 , Time : 19:03:24 , From IP : 172.29.2.112

ความคิดเห็นที่ : 65


   นี่ถ้าทำแล้วไม่มีความละอายใจเลยก็ถือว่าเลวมากจริงๆ

ผมอยากเรียนถามครับว่า ถ้าเป็นอย่างที่คุณ kant กล่าวไว้ว่าเรา อย่าไปมัวตัดสินคนอื่นเลย ถามว่าเราก็ไม่ควรไปตัดสินเค้าสิครับว่าเลวมากจริงๆ อย่างนั้นรึเปล่าครับ(คือว่าผมยังงงๆอยู่ครับ)

แต่ว่าถ้าหากว่าเค้าเลวมากจริงๆตามที่คนทั้งโลกตัดสิน แต่เค้ายึดหลักคุณ kant ว่าให้ตัดสินตนเองนี่ เค้าจะรู้ตัวเหรอครับ ยิ่งถ้าเค้าไม่ฟังใครเอาซะเลยด้วย ไม่ว่าใครจะว่าอย่างไร

เท่าที่ผมรู้ประวัติศาสดาที่ยิ่งใหญ่ทุกท่าน ไม่ว่าท่านใด หากมีคำสอนออกมาแล้วท่านจะสามารถปฏิบัติให้เราให้ และปฏิบัติตามครับ ผมไม่เคยมีคำถามเลยว่าทำไม่ท่านไม่ทำในสิ่งที่ท่านสอน ผมจึงคิดว่าหากเป็นคนดีจริงไม่ว่าจะใครตัดสินก็จะตัดสินว่าดีครับ ดังนั้นท่านผู้ยิ่งใหญ่ไม่เคยกลัวที่จะมีคนมาตัดสิน


Posted by : เหอ ๆๆ , Date : 2003-05-02 , Time : 21:06:54 , From IP : 172.29.2.115

ความคิดเห็นที่ : 66


   ถึงแม้ว่าผมจะตัดสินใครว่าเลว ผมก็ไม่ได้หมายความว่าผมจะรักเค้าไม่ได้ หากแม้ว่าผมตัดสินว่าพ่อแม่ผมเลว ผมก็ยังรักพ่อแม่ผมอยู่ดี

เคยได้ยินคำกล่าวนี้มั้ยครับ

จงรักคนที่เกลียดชังท่าน


Posted by : เหอๆๆ , Date : 2003-05-02 , Time : 21:08:53 , From IP : 172.29.2.115

ความคิดเห็นที่ : 67


   ผมเห็นด้วยกับคุณ kant นะครับ หากครูสอนถูกต้อง แม้ครูจะไม่ทำตามที่สอน ครูก็ไม่ผิดครับ..

แต่ก็อดคิดไม่ได้ครับ ว่าแนวคิดที่คุณ kant คิดและถ่ายทอดออกมานั้น ได้ถูกนำมาใช้ในทางปฏิบัติ เป็นหลักการคิดจริงๆ ของตัวคุณเองจริงหรือ

หากเอามาใช้จริง แสดงว่าการดำรงชีวิตปัจจุบันของผู้มีแนวคิดแบบคุณ kant คงต้องรู้สึกขัดแย้งกับการกระทำของตัวเองอยู่ตลอดเวลาสิครับ เพราะผมเชื่อว่าไม่น่าจะมีใครเอาแนวคิดสุดขั้ว เช่นนี้มาใช้ได้จริงๆนะครับ....เช่นนี้แล้วการยึดถือแนวคิดแบบนี้เป็น ideal ในการปฎิบัติตนจะมีประโยชน์อะไรล่ะครับ ในเมื่อเราเอามาใช้จริงๆไม่ได้

ในเมื่อเรายังต้องใช้เงินซื้ออาหารกินทุกวัน...ก็ต้องทำงานเพื่อหาเงิน ในเมื่อเรายังต้องดูแลสุขภาพเราเอง ก็ต้องใช้เงินรักษา...เราปฏิเสธเงินไม่ได้ แล้วเราก็ต้องยังทำเพื่อเราเองต่อไป ยังคงเห็นแก่ตัวต่อไป....(เพราะไม่สามารถทำตัวแบบพระอรหันต์ได้) แบบนี้เราๆก็ยังคงเป็นสัตว์เดียร์รัจฉานตามแนวคิดนี้ทุกคน(ผมคิดว่าสัตว์เดียร์รัจฉานในที่นี้คงมีความหมายว่าเลวจริงๆ ทั้งๆที่เป็นแบบนั้นจริงหรือเปล่าก็ไม่รู้)

สรุป คือ ผมคิดว่าแนวคิดของคุณ kant มีประโยชน์ต่อชีวิตประจำวันจริงๆ น้อยครับ เอามาใช้ไม่ได้....เพียงแต่ช่วยเตือนสติเราเท่านั้น

ส่วนในแนวคิดในเรื่องการดูภาพเปลือยนั้น ไม่ไม่เห็นด้วยสักนิดเลยครับ..

คนที่มีจริยธรรม(ตามชื่อกระทู้) คือ คนที่สามารถมองได้โดย ไม่มีความคิดอกุศลครับ คนที่มองแล้วคิดอกุศล คือ คนเลว มิใช่คนที่ดู คือ คนเลว ผมเชื่อว่าพระพุทธศาสนาก็ยึดถือเจตนา เป็นหลักคติอันนึงครับ

หากนำคิดของคุณ kant มาใช้แล้ว สูติแพทย์ที่มีเจตนาเอาทารกออกมาดูโลก ด้วยความเมตตา สงสาร .... คงจะต้องเป็นสัตว์เดียร์รัจฉาน เพียงเพราะเขายืนตรงหน้าหญิงเปลีอยสิครับ...

ท่านโฟนิก ทำให้ผมสงสัยเช่นกันว่า....คุณ Kant ใช้ตัวคนเดียวทดสอบความถูกต้องขององค์ความรู้จริงๆหรือใช้วิธีใดร่วมด้วยครับ....

อาจารย์โฟนิด ครับ ช่วยอธิบาย
id
ego
superego ให้ฟังหน่อยครับอาจารย์ ผมไม่แน่ใจว่าผมเข้าใจถูกต้องใหม.....

....ผมยังคงสงสัยกับคำกล่าวที่ว่า "ตัวเราเองสามารถตรวจสอบตัวเองได้ครับหากมั่นใจว่ามีหลักการที่สมบูรณ์ด้วยเหตุผลแล้ว"

ผมคิดว่าถ้าเราคิดเช่นนี้ เราก็ไม่อาจตรวจสอบตัวเราเองได้อย่างถูกต้องหรอกครับ

เพราะหลักการต่างๆที่เราคิดว่าสมบูรณ์พร้อมแล้วนั้น จริงๆมันถูกจริงหรือไม่.......เพราะการตัดสินถูกผิด..น่าจะตั้งบนพื้นฐานของหลักการ หลักศาสนา หลัดจริยศาสตร์ หลักความเชื่อ กฏหมาย หรือหลักอะไรก็แล้วแต่......ตาม norm ของสังคม ศาสนา ปรัชญา ...ซึ่งต้องการการแลกเปลี่ยนความคิด ข้อตกลงของคนหลายๆคน

ซึ่งมันก็เป็นคำตอบของคำถามว่า.....จริงๆแล้วคุณ kaืnt ไม่ได้ใช้ตัวเองตรวจสอบความถูกต้องเลยจริงๆ จริงมั้ยครับ


Posted by : ฺฺีิBuf , Date : 2003-05-02 , Time : 22:46:30 , From IP : 172.29.2.104

ความคิดเห็นที่ : 68


   ประการแรกที่สำคัญที่สุด Phoenix อ่านว่า "ฟีนิกซ" ครับ

หากจะมีการสอนสักอย่างหนึ่งที่ผู้ที่ "รับผิดชอบ หรือมีหน้าที่" สอนควรจะตรวจสอบ "ผล" เห็นจะเป็นการสอนจริยธรรมนี่แหละครับ อะไรจะสำคัญไปกว่าสอนคนให้เป็นคนดี ผมมองไม่เห็นจริงๆ พ่อแม่เป็นครูคนแรก (ผมพูดถึงคนที่ไม่ได้ถือการมีครอบครัวเป็นการเลวทรามเท่าสัตว์เดียรัจฉานน่ะครับ เอาคนธรรมดาๆ) และที่ว่าคนแรกนั้น ที่ท่านสอนและมีผลกระทบต่อทั้งชีวิตก็คือจริยธรรมนั่นเอง

ผมอยากจะ speculate ว่าคนเราเกิดมานั้นสามารถดัดให้ดีหรือดัดให้เลวได้ แต่เหมือนผู้ปลูกต้นไม้ทั่วไป เราจะไม่ปล่อยให้เป็นไปตามยถากรรม แต่ต้องมีการมาตัดริดกิ่ง รดน้ำพรวนดินมันถึงจะงาม ธรรมชาติโดดๆ (Id) นั้นเน้นที่ปัจเจกครับ คือ survival การเห็นแก่ตัว และหาความสุขส่วนตนจะล้ำหน้าการมองผู้อื่นง่าย ฉะนั้นหลังจากที่เราสอนเด็ก สอนลูก สอนลูกศิษย์ เราไม่ได้หมดหน้าที่เพียงแค่นั้น เราต้องดูว่าที่สอนไปเข้าหูซ้าย ทะลุหูหมาหรือไม่ อย่างที่กล่าวมาแล้ว ไม่ไช่เป็นความลึกลับอีกต่อไปที่ผู้เรียนมีความถนัดในการเรียนไม่เหมือนกัน ซึ่งวิธีการสอนที่เหมาะสมกับแต่ละคนก็ควรจะปรับปรุงไปตามกาละเทศะและบุคคล หากเห็นๆอยู่ว่าที่สอนไปนั้น ลูกศิษย์ไม่รับอยู่กับตาแล้วยังทนอยู่ใน denial state บอกว่าฉันสอนดีแล้ว ฉันมีอยู่วิธีนี้วิธีเดียวแหละ ไม่ยอมปรับ ไม่ยอมเปลี่ยน ไม่รับฟังคำ feedback หรือแนะนำจากใครทั้งสิ้น ครูคนนั้นก็ขาดจิตวิญญาณความเป็นครู ไม่รับผิดชอบต่อหน้าที่ตนเอง ตามหลักของ Kant น่าจะเป็นการกระทำที่เลวทรามที่สุด (ตามหลักพุทธนั้นจะไม่ label ใครด้วยคำแบบนี้เท่าไรนะครับ ยกเว้นการสอนแบบ shocking ซึ่งบาง schools ของเซ็น หรือ แม้แต่พระพยอม ท่านพุทธทาสก็ขอยืมมาเยอะ (ไม่น่าแปลกที่ในโรงมหรสพแห่งวิญญาณมีภาพเซ็นอยู่เป็นจำนวนมาก) แต่การเลือกลูกศิษย์ที่จะใช้วิธีใดนั้น เป็น "ศาสตร์" ที่ครูผู้รับผิดชอบในหน้าที่ทุกท่านต้องแสวงหาและนำมาพัฒนาได้

อย่างที่ได้ analyse ไว้ด้านบน absolute moralist นั้นมี choices ให้เลือกไม่มากนักในการครองตน เพราะสิ่งอำนวยความสะดวกทั้งหมดนั้นเพื่อตนเองเกือบทั้งสิ้น ในปัจจัยสี่ อาหารที่ทานพออยู่ก็สามารถทานได้เพียงหนึ่งมื้อต่อวัน ที่อยู่ก็ไม่ต้องใหญ่โตหรือมากมายอยู่ตามวัดก็ยังได้ เครื่องนุ่งห่มพอปิดบังร่างกายนั้นอย่างพระภิกษุก็แสดงให้เห็นแล้วว่าอยู่อย่างสำรวมต้องใช้แค่ใด นอกเหนือไปจากนี้ absolute moralist ได้ classify เป็นการทำเพื่อตนเองซึ่งกลายเป็นคนเลวทรามไป

จุดเด่นประการหนึ่งของพุทธ (เถรวาท) ก็คือ ไม่มีความจำเป็นใดๆที่จะต้องให้คำคุณศัพท์บรรยายคุณภาพของพฤติกรรมเลยครับ การทำไม่ดีอย่างไรนั้น ก็แค่อัตถาว่าเราจะต้องเผชิญกับ consequences แค่นั้น จบ เพราะว่าการ label ว่า ดีมาก เลวมาก อะไรนั้นเป็นคำปรุงแต่งแค่นั้นไม่ได้มีความหมายกลับมาสู่พฤติกรรม เพราะแค่เขาไม่เห็นด้วยก็จบ ตรงกับข้าม หากเรามาขยายสิ่งที่เป็นสาเหตุของทุกข์ว่าอะไรจะเกิดขึ้นมาได้นั้นจะเป็นรูปธรรมและชัดเจนกว่ากันเยอะ

Superego หรืออิทธิพลปรุงแต่งจากภายนอกนั้นขึ้นอยู่กับสังคม คนไทยเห็นกระดิกเท้าก็โกรธ แตะหัวชั้นก็จะมีเรื่อง แต่เราเตะตูดเพื่อนไปได้รอบบ้าน ลองไปแตะ (ไม่ต้องเตะ)ก้นฝรั่งดู คุณไม่กลายเป็น pervert ไปก็อาจจะได้เพื่อนนอน!!! ผลสมดุลของ Id and Superego ประสานรวมกับประสบการณ์การเรียนรู้ของ individual ก็กลายเป็น self-value (ที่ทางพุทธศาสนาย้ำแล้วย้ำอีกให้สละนั้นแหละครับ)

การตรวจสอบความรู้นั้นทำได้หลายวิธีรวมทั้งตรวจด้วยตนเองครับ สำหรับผู้ที่ใกล้จะบรรลุพระอรหันต์นั้น อาจจะต้องการธรรมสหายระดับใกล้เคียง (หรือเซ็น อาจจะใครก็ได้) มาช่วยส่วนที่เหลือ สำหรับคนส่วนใหญ่ที่ยังเวียนว่ายตายเกิดนั้น ผมเชื่อว่า ระบบครู ระบบกัลยณมิตร ระบบซื่อสัตย์ต่อตนเอง น่าจะเป็นประโยชน์มากที่สุด อย่างที่บอก ให้พวกเราทำตนอย่าให้เหมือนถ้วยชาที่เต็มเปี่ยม เพราะจะรับชาใหม่ลงไปไม่ได้เลย มองเห็นความรู้อื่นที่ไม่เหมือนที่ตนเชื่อเป็นอวิชชาไปทั้งหมดเป็นเรื่องที่อันตรายอย่างยิ่งยวด เพราะเป็นการประกาศฉันไม่ต้องการครู ฉันไม่ต้องการกัลยณมิตร อีกต่อไปที่จะมาเพิ่มความรู้ของฉัน ฉันหยุดแล้วซึ่งการเรียนรู้





Posted by : Phoenix , Date : 2003-05-02 , Time : 23:48:24 , From IP : 203.107.207.88

ความคิดเห็นที่ : 69


   ฮ่าๆ
โฟนิค
^
^
^
^
^
เสร่อวะ


Posted by : จิ๊กโก๋(โคตรชอบ) , Date : 2003-05-03 , Time : 13:26:56 , From IP : 203.107.192.71

ความคิดเห็นที่ : 70


   ผมไม่เคยไปตัดสินนะครับว่าใครจะมีคุณสมบัติยังไง

ผมเพียงพยายามบอกแต่ว่า "คนที่ทำตนอย่างไรจึงจะเรียกว่าไม่ควร หรือเรียกว่าเลว"

ใครจะเป็นยังไงผมก็ไม่ทีทางไปรู้ใจจริงเขาได้ ผมได้แต่เชิญชวนให้มาฟังความเห็นผมบ้าง เขาจะเชื่อหรือไม่ก็เรื่องของเขา

อีกเรื่องหนึ่งคืออุดมคติครับ ว่าคนเราต้องมีอุดมคติทุกคน ไม่เช่นนั้นจะกลายเป็นคนโลเลในจริยธรรม พร้อมที่จะเปลียนแนวคิดทุกอย่างเพื่อผลประโยชน์ของตนเองได้ทุกเมื่อ ถึงแม้ว่าอุดมคติจะถูกมองว่าไกลเกินเอื้อม แต่นั่นก็เป็นสิ่งเดียวที่เราพอจะยึดเป็นปลายทางได้

ในเรื่องซิกมันด์ ฟรอยด์นั้นผมเคยพูดไปครั้งหนึ่งแล้วว่า ฟรอยด์มีแนวคิดเป็นอัตตนิยมและสุขนิยม คำสอนของฟรอยด์จึงติดอยู่แค่ระดับตัวตน และจริยธรรมของฟรอยด์นั้นมีไว้แค่ปกป้องความสุขของตนเองครับ



Posted by : Immanuel Kant , Date : 2003-05-03 , Time : 14:06:46 , From IP : 203.155.144.57

ความคิดเห็นที่ : 71


   ผมพูดไปหนหนึ่งแล้วครับว่าผม"เชื่อ"คนเรามีอินทรีย์แห่งเหตุผลอยู่แล้วในมโนสำนึก

ไม่ว่าคุณจะไปฟังใครมาอย่างไร สุดท้ายคุณก็ต้องมาตรวจสอบด้วยตนเองอยู่ดี ไม่ว่าอย่างไรคุณก็ต้องมีความเห็นของตนเองอยู่ด้วย

หากไม่มีใครสามารถตรวจสอบตนเองได้อย่างที่คุณว่า

คุณก็สรุปได้เลยว่าองค์ความรู้ไม่มีวันเกิดขึ้นหรอกครับ

ความรู้ทุกอย่างต้องมีผู้ค้นพบทั้งสิ้น

โดยเฉพาะจริยธรรมนี่ใครจะมาทำให้คุณเชื่อไม่ได้หรอกครับนอกจากตัวคุณ

ถ้าคุณเห็นว่าไม่ดี คุณก็ไม่เชื่อ คุณต้องเห็นด้วยตนเองนั่นแหละครับ



Posted by : Immanuel Kant , Date : 2003-05-03 , Time : 14:19:42 , From IP : 203.155.144.57

ความคิดเห็นที่ : 72


   ขอโทษที่ผมสื่อไม่ดี ขอลองอีกที

ผมมิได้พูดถึง "หน้าที่" และกระบวนการพัฒนาจิตใจของ "คนรับ" ครับคุณ Kant ที่ผ่านมาผมพูดถึง "หน้าที่ความรับผิดชอบ" ของครู หรือ ของคนที่ถ่ายทอดจริยธรรมครับ ว่ามีความสำคัญและบทบาทอย่างไรต่อสังคม ทุกๆคนที่ยัง contact กับสังคมอยู่มีหน้าที่นี้ทั้งสิ้น เข้นข้นมากน้อยต่างกันแต่ไม่มีข้อยกเว้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง "ผู้รู้" ว่าอะไรควรมิควร และตัดสินใจแล้วว่าจะถ่ายทอดจริยธรรม ต้องมี determination, conviction, และ adaptation เพื่อหน้าที่ความเป็นครู

คุณ Kant อาจจะไม่ได้ชี้หน้าใครว่าเลวทราม แต่คุณ Kant ได้ label ไว้ชัดเจนที่สุดแล้วว่ากิจกรรมใดที่เลวทรามที่สุด เริ่มจาก กามารมณ์ ศิลปการชื่นชมภาพเปลือย และการไร้ความรับผิดชอบต่อหน้าที่ จะ label ที่พฤติกรรม หรือ ที่คนไมต่างกันนะครับสำหรับคนฟัง เพราะผลเหมือนกัน คุณ Kant เห็นคนชื่นชมหุ่นรูปปั้นเดวิด ไม่ทราบว่าเขาคิดอะไรอยู่ แต่ก็ได้ label กิจกรรมที่เขากำลังทำไปเรียบร้อยแล้ว

ผมสงสัยว่าปรัชญา Kant มีความคิดเห็นอย่างไรกับ Art หรือสุนทรียภาพบ้าง เพราะเป็นกิจกรรมเพื่อตนเองโดดๆเป็นส่วนใหญ่นะครับ ไม่ว่าเป็น ภาพวาด ภาพถ่าย รูปปั้น วรรณกรรม ฯลฯ เป็นกิจกรรมที่เลวทรามทั้งสิ้นหรือไม่เพราะเป็นการชื่นชมวิณญาณของ individual ทั้งสิ้น

บางสาขาอาชีพ เช่น ศัลยแพทย์ เขาต้องตรวจ จับ คลำ เต้านม บีบเค้นหัวนมเพื่อดูมีเลืดหรือสารคัดหลั่งผิดปกติออกมาหรือเปล่า และตรวจผู้ป่วยสตรีในสภาพเปลือยครึ่งท่อนทั้งท่านั่งท่านอน day-in day-out สูตินารีก็ตรวจอีกที่หนึ่ง หมอลำไส้ใหญ่ก็ต้องใช้นิ้วใช้กล้องดูทวารหนักผู้ป่วย หมอระบบปัสสาวะก็ตรวจดู penis ผู้ป่วยประมาณสองร้อยคนต่อวัน ผมว่าส่วนใหญ่เขาไม่มีเวลามาตื่นเต้นกับอวัยวะต่างๆเหล่านี้แล้วล่ะครับคุณ Kant มันก็เป็นแค่อวัยวะๆนึงเท่านั้น ที่เป็นโรคได้เหมือนอย่างอวัยวะอื่น สามารถถูกมองถูกตรวจ ถูกลูบคลำจับต้องได้เหมือนอวัยวะอื่นโดยไม่ได้รู้สึกอะไร (คนตรวจ) แต่ไม่ได้แปลว่าแพทย์เหล่านี้นั้นเป็นอรหันต์แต่อย่างใด

เราสามารถถ่ายรูปเด็กทารกไม่ใส่อะไรแล้วชื่นชมได้ เด้กคนนั้นโตขึ้นเรื่อยๆจนถึงจุดหนึ่งกลายเป็นสิ่งต้องห้ามหรือเลวทรามไป ไม่ได้ขึ้นกับรูปหรอกครับ ขึ้นอยู่กับความสมดุลของจิตใจคนดูรูปเท่านั้น ร่างกายมนุษย์ไม่ได้แตกต่างจากความสวยงามของทะเล ดอกไม้ หรือดวงจันทร์ เป็นผลงานธรรมชาติเหมือนกัน มนุษย์ที่เห็นสีผิวเนื้อปุ๊บก็นึกถึงแต่เมถุนต่างหากที่มีปัญหา แต่ไม่ใช่ทุกคน และคนที่ทำได้นั้นไม่จำเป็นต้องเป็นพระอริยเจ้าเท่านั้นนะครับ เด็ก 5 ขวบก็ทำได้ (ง่ายด้วย) ผู้ใหญ่ก็ทำได้ (ฝึกให้มี "ตาศิลป์" หน่อยก็พอ ไม่ต้องดูศพมา 14 ปีก้ได้



Posted by : Phoenix , Date : 2003-05-03 , Time : 17:46:37 , From IP : 203.107.207.134

ความคิดเห็นที่ : 73


   ที่แท้ทุกคนที่เข้ามาตอบกระทู้ของคุณ kant ถูก label แล้วนั่นเอง

ผมเห็นด้วยครับคุณ ฟินิกซ์


Posted by : เหอๆๆ , Date : 2003-05-03 , Time : 18:10:39 , From IP : 172.29.2.149

ความคิดเห็นที่ : 74


   แปลว่าจริงๆแล้วเค้าเองเวลาเห็นภาพโป๊ก็คิดแต่เรื่องเพศอย่างเดียว
เลยเขียนมาแบบนั้นแถมยังรุนแรงกว่าคนอื่นอีกเหรอ
น่ากลัวนะคนแบบนี้


Posted by : บอล , Date : 2003-05-03 , Time : 19:11:36 , From IP : 203.107.193.197

ความคิดเห็นที่ : 75


   แน่นอนครับว่าผมไม่เคยชี้หน้าใครและผมก็ไม่ต้องการจะไปชี้หน้าใครด้วย ผมไม่มีเจตนาอะไรจะไปทำลายเขา ที่ผมมาพูดนี่ ซี่โครงแขวนอยู่ข้างฝาด้วยซ้ำ นี่ต่างกันนะครับกับคนฟัง ถ้าเขารู้สึกว่าตนเองประพฤติเหมาะสมแล้วก็ไม่จำเป็นต้องร้อนตัวอะไร เว้นแต่เขาจะ"รับไม่ได้"ว่าสิ่งที่เขาเคยพึงพอใจมาตลอดนั้นจะเป็นสิ่งผิด

คุณไปศึกษาศีลธรรมดูก็ได้ ศีลธรรมส่วนใหญ่นั้นตีตราไว้เรียบร้อยแล้วว่าอะไรควรอะไรไม่ควร แต่ศีลธรรมนั้น"ไม่สมบูรณ์"ครับในทุกปัญหา เราต้องการปรมัตถธรรมมาแก้ปัญหาในอีกระดับหนึ่ง

ผมไม่เคยบอกนะครับว่าคนที่ดูภาพเปลือยนั้นจะเลวทุกคน เพราะผมบอกไปหลายครั้งแล้วว่าผมตัดสินจริยธรรมที่เจตนา ดังนั้นผมไม่มีทางจะไปรู้เจตนาใครได้เลย

แพทย์ที่ตรวจร่างกายผู้ป่วยนั้นเขามี"เหตุจำเป็น"ตามหน้าที่แพทย์ครับ ที่ต้องทำด้วยเจตนาบริสุทธิ์ที่สุด เขาจะต้องปฏิบัติหน้าที่นั้นด้วยความมีสติสมบูรณ์ที่สุด นั่นเพราะเหตุว่าหลีกเลียงสิ่งยั่วยุไม่พ้นแล้วจริงๆ

แต่คนปกติที่ธรรมดาไม่มีความจำเป็นจะต้องไปเข้าใกล้สิ่งยั่วยุนั่น แต่เขากลับแส่หาเรื่องไปเข้าใกล้ คุณลองคาดการดูเองก็ได้ครับว่าคนที่เข้าใกล้นั้นมีทางเกิดกามารมณ์หรือไม่ ไม่มากก็น้อยนะครับ

คนที่มีสตินั้นเขาไม่ประมาทกันหรอกครับ เขาจะพยายามหลีกห่างจากสิ่งยั่ยยุกิเลสให้มากที่สุด เพราะไม่มีทางแน่ใจได้ว่าคนเองจะเกิดกามารมณ์ขึ้นหรือไม่ คุณไปดูศีลของภิกษุก็ได้

คนประมาทนี่เป็นคนเลวนะครับ กิเลสนั้นมีข้ออ้างสารพัดครับที่จะพยายามทำกามารมณ์ต่อไป

ส่วนสิ่งใดจะจัดเป็นสิ่งยั่วยุหรือไม่คุณก็ทราบด้วยตนเองอยู่ หน้าที่คุณคือหลีกให้ห่างที่สุด

แต่บางคนกลับพึงพอใจไปหาสิ่งยั่วยุนั้นด้วยซ้ำ แต่จะบอกว่าเป็นกามารมณ์ก็ละอาย เลยอ้างว่าเป็นศิลปะไป

จงรู้จักตนเองครับ

ความคิดเห็นที่ : 76


   ผู้ที่มัวแต่ไปตัดสินแต่คนอื่นนี่ระวังตัวนะครับ

เวลามนุษย์มีไม่มากสำหรับจะพิจารณาตนเองหรอกครับ

อย่าให้ใกล้วันเข้าโลงเสียก่อนจึงค่อยรู้สึกตัว

มัวแต่หมั่นไส้คนอื่นอยู่ อย่าลองลองหมั่นไส้ตนเองเสียด้วย

ด้วยความปรารถนาดีครับ



Posted by : Immanuel Kant , Date : 2003-05-03 , Time : 22:11:19 , From IP : 203.155.144.54

ความคิดเห็นที่ : 77


   Art สุนทรียภาพ ดนตรี ศิลป ต่างๆเหล่านี้ ตาม concept ของ Kant เป็นอย่างไรครับ?



Posted by : Phoenix , Date : 2003-05-03 , Time : 22:37:21 , From IP : 203.107.206.238

ความคิดเห็นที่ : 78


   ผมไม่อ่านเจออิมมานูเอล ค้านท์ให้ความเห็นกับสุนทรียศาสตร์ว่าอย่างไร เพราะผมทราบแต่ว่าค้านมีบทบาทมากในเรื่องทฤษฎีความรู้และจริยศาสตร์

แต่ถ้าเป็นของท่านพุทธทาสครับ ถ้าคุณไปอ่านเจออาจรับไม่ได้ยิ่งกว่านี้ เพราะท่านด่าไว้แรงกว่าผมหลายเท่านัก


Posted by : Immanuel Kant , Date : 2003-05-03 , Time : 22:42:03 , From IP : 203.155.144.54

ความคิดเห็นที่ : 79


   คุณ Kant ครับ

Labelling นั้นคุณไม่จำเป็นต้องชี้หน้าหรอกครับ อาทิเช่น การประกาศมาในที่สาธารณะว่าใครก็ตามที่ยัง enjoy กามารมณ์อยู่นั้น "เลวทรามที่สุด" ก็ได้ความหมายและใจความที่ชัดเจนพอ community ของ "ปุถุชน" (จะชอบหรือไม่ชอบคำนี้ก็ตาม) มีองค์ประกอบจากครอบครัวเป็นหน่วยเล็กที่สุดของความสัมพันธ์ (ผมไม่ได้พูดถึงสังคมของพระนะครับ เอาสังคมธรรมดาๆ) โดยหลักจริยธรรมที่คุณ Kant ว่ามานั้น "ถูก labelled" ไปแล้วว่าคุณ Kant disapproves เขาเหล่านั้น

คุณ Kant disapproves ศิลปินที่มองเห็นภาพร่างกายมนุษย์เป็นความสวยงามถ้าหากเขาเหล่านั้นไม่ใช่พระอริยเจ้า เพราะมีแค่ "สองประเภท" เท่านั้นที่สามารถทำอย่างนั้นคือ พระอรหันต์ และสัตว์เดียรัจฉาน เรามีวรรณกรรม ทั้งร้อยแก้วและคีตวรรณกรรมที่ส่งเสริมความรักของครอบครัวมากมายซึ่งถ้ามีลูกมีทายาท ก็ต้องเกิดจากความสุขจากการมีเพศสัมพันธ์ ศีลที่มีก็ห้ามแต่การละเมิดประพฤติผิดในกาม ไม่ได้ครอบคลุมถึงครอบครัวปกติ ศีลนั้น "ไม่ได้ตีตรา" หรือให้ "คุณภาพ" พฤติกรรม แค่อธิบายว่าทุกเรื่องนั้นมี "ผล" และหากผลนั้นเป็นทุกข์ผู้ประกอบก็จะต้องทนรับผลนั้น การที่"ปุถุชน" มีรักและกามารมณ์กับภรรยาตนเองนั้น จะเกิดทุกข์ตามหลักอนิจจังคือเมื่อคู่ตนเองตายนั่นคือจะเกิดการพรากจาก แต่นี่ห่างไกลจากการที่ถูก labelled ว่าที่เขามีความสุขอยู่กับครอบครัว ปฏิบัติตามเบญจศีล เบญจธรรมมาตลอดชีวิต แล้วจะมีคนไปบรรยายว่าสามีภรรยาคู่นี้เหมือนสัตว์เดียรัจฉาน ผมเกรงว่าการสอนจริยธรรมที่เป็น extreme แบบนี้อาจจะไม่ค่อย work เท่าไร เป็นการ devalue ครอบครัวโดยไม่จำเป็น

ปรมัตธรรมนั้นดีแน่ แต่ต่อเมื่อพร้อม พร้อมในที่นี้เป็นการพัฒนาโดยความเข้าใจเป็นขั้นเป็นตอน ไม่มี short cut จริยธรรมที่ work นั้นสังคมต้องดำเนินต่อไปได้ ฉะนั้นหากมีหมู่บ้านหมู่บ้านหนึ่ง มีครอบครัว 50 หลังคาเรือน ทุกครอบครัวประพฤติถูกต้องตามเบญจศีลเบญจธรรม ก็ต้องว่าหมู่บ้านนี้ดีเป็นหมู่บ้านตัวอย่าง ลูกหลานที่ถูกผลิตออกมาจากหมู่บ้านนี้ก็น่าจะดี แต่ในสายตาของ absolute moralists ที่มองกามารมณ์เป็น "ความเลวทรามอย่างที่สุด" นั้นทั้งหมู่บ้านก็คงจะ disqualified ว่าดี และถูกมองไปว่าไม่ต่างอะไรไปจากสัตว์เดียรัจฉานเท่านั้น

ศีลห้านั้นเป็นแค่กระผีกเบื้องต้นของศาสนาพุทธเท่านั้น ระดับคุณ kANT คงจะมีแต่รู้มากกว่าผมโดยไม่น้อยกว่า เกินจากศีลห้าชึ้นไปยังไม่ต้องขึ้นไปถึงปรมัติธรรมหรอกครับ ธรรมแห่งการครองเรือนมีเขียนมีอธิบายไว้จำนวนมากในทั้งสาม "ตะกร้า" ฆ่าไก่ใยต้องใช้มีดฆ่าโค การศึกษาธรรมดาไปที่ละขั้นตอนนั้นถูกต้องแล้ว ชีวิตคนนั้นสั้นจริง แต่ปฏิจจสมุปบาท คงจะไม่ปลดปล่อยเราไปง่ายๆ ฉะนั้นบารมีความดีความรู้ของเราสั่งสมได้เรื่อยๆเหมือนฝาก bank ครับ ยกเว้นใครที่ทราบว่าตนเองถึงชาติสุดท้ายแล้วก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งก็ขออนุโมทนาด้วย



Posted by : Phoenix , Date : 2003-05-03 , Time : 22:59:30 , From IP : 203.107.206.238

ความคิดเห็นที่ : 80


   คุณ Kant ครับ ที่ผมว่ามาทั้งหมดนี้ไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องรับได้หรือไม่ได้เลยแม้แต่นิดเดียว ถ้าหากนี่คือที่คุณ Kant เข้าใจมาตั้งแต่ต้นผมก็ต้องขอปรับความเข้าใจใหม่ตรงนี้นะครับ

บทจริยธรรมของคุณ Kant หรือของท่านพุทธทาสจะด่าว่าพฤติกรรมที่ผมถือปฏิบัติยังไงนั้น ผมมิได้เห็นความสำคัญแม้แต่น้อยนิด ผมมีความมั่นใจในตนเองพอสมควรครับ และเข้าใจในเรื่องการ attach self-value กับการโต้เถียงอภิปรายทาวจริยธรรมนั้นเป็นเรื่องโง่เขลาที่สุดประการหนึ่ง ดังที่ผมพูดแล้วพูดอีก เรา debate ของที่อยู่บนโต๊ะข้างหน้าครับ ได้ผลอย่างไรก็ไปปรับปรุงแก้ไขเป็นความเชื่อใหม่กันเอาเอง ไม่ใช่เป็นเรื่องเสียหน้าหรือกลัวถูกด่า เพราะเป็นสิ่งที่เราควบคุมทำอะไรไม่ได้ครับ ใครมีสันดานชอบด่าก็คงด่าไปเรื่อยๆ ใครมีสันดานชอบคิดว่าตนเองถูดด่าก็คงจะถูกด่าไปตลอดชีวิต ไม่ว่าจริงๆแล้วเป็นอย่างไร

สาเหตุที่ผมถามเรื่องสุนทรียศาสตร์นั้น เพราะคนที่สร้าง (ศิลปิน) นั้นสร้างจากจินตนาการแรงบันดาลใจของตนเองครับ แลบ่อยครั้งมากกว่าก็คือเพื่อสุนทรีย์ของตนเอง (ศิลปินนั้นคงไปอ่านความคิดคนอื่นไม่ได้ ว่าเขาว่าดีหรือไม่ดี) ผมติดใจตรง DOGMA อันหนึ่งของ Kant ที่ว่า "สิ่งใดที่คุณทำเพื่อตัวเอง สิ่งนั้นเป็นเรื่องเลวทรามทั้งสิ้น" ผมเลยสงสัยว่าจะวิเคราะห์ว่าอย่างไร ถ้าใน scripture ไม่ได้เขียนไว้ ตัวคุณ Kant เองคิดว่ายังไงครับ? ผมทราบว่าศิลปินนู้ดนั้นถูก labelled และ disqualified ว่าเป็นแค่คนสติไม่ดีไปแล้วกลุ่มหนึ่ง แล้วที่เหลือล่ะครับ? คนแต่งเพลงรัก คนเล่นดนตรี คนแต่ง Opera คนวาดภาพ ถ่ายรูป ฯลฯ พวกนี้ในสายตาของคุณ Kant เขาทำเพื่อตนเอง และเป็นคนดีหรือเลวทรามอย่างไรบ้าง?



Posted by : Phoenix , Date : 2003-05-03 , Time : 23:12:21 , From IP : 203.107.206.238

ความคิดเห็นที่ : 81


   แน่นอนครับว่าใครปฏิบัติอย่างไรก็ต้องมีสภาพไปตามนั้น ผมไปตัดสินให้ไม่ได้และก็ไม่มีหน้าที่จะไปตัดสินด้วย เรามีหน้าที่รู้ตนเองครับว่าเป็นอย่างไรและควรจะเป็นอย่างไร

ศีลนั้นแปลตรงตัวว่าปกติครับ สิ่งที่ผิดศีลคือสิ่งที่ผิดปกติ นั่นคือไม่สมควรนั่นเอง

ศีลของภิกษุนั้นคุณไปเปิดดูได้ว่าบอกให้หลีกเลี่ยงสิ่งยั่วยุทั้งนั้น

ที่เห็นเข้าใจผิดกันมาตลอดนี่ผมยังไปเคยแก้ให้เลยว่า

"คนที่กระทำกามารมณ์นั้นไม่จำเป็นต้องเท่ากับสัตว์ครับ"

แต่หากเมื่อใดคุณกระทำกามารมณ์โดยขาดความละอายและรู้สึกผิดเมื่อไร

เมื่อนั้นแหละให้คุณรู้ตัวได้เลยว่า "คุณเท่ากับสัตว์"

ข้อนี้ขอให้คุณอ่านให้ละเอียด

และเข้าใจให้ถูกต้องเสียด้วย

......................................

และปุถุชนกับพระอรหันต์นั้นคุณอย่ามัวมาแบ่งอีกเลย

ปุถุชนยังมีหน้าที่ต้องกระทำให้ถึงนิพพานครับ

มันเป็นแค่ข้ออ้างที่จะทำชั่วต่อไปเท่านั้น


Posted by : Immanuel Kant , Date : 2003-05-03 , Time : 23:14:51 , From IP : 203.155.144.54

ความคิดเห็นที่ : 82


   ในเรื่อง"รับไม่ได้"นี้เป็นเรื่องสำคัญครับ ถ้าฟังท่านพุทธทาสมามากก็จะทราบว่าท่านเน้นเรื่องนี้มากเช่นกัน

ทิฏฐิคนนั้นบางครั้งจำเป็นต้องสะกิดแรงๆถึงจะรู้สึกตัว โดยเฉพาะยุควัตถุนิยมอย่างปัจจุบันนี่ คนเริ่มถอยห่างจากปัญญาไปเรื่อยๆ กับคนโง่ก็มีวิธีสอนอย่างคนโง่ครับ

ในเรื่องความเห็นแก่ตัวนั้นผมคงไม่ต้องอธิบายอีกว่าเลวทรามอย่างไร เห็นแก่ตัวเมื่อไรก็ทุกข์เสมอครับ

ในเรื่องศิลปะนั้นก็แล้วแต่ครับว่าคุณจะไปเอาอะไรมาเป็นศิลปะ ศิลปะที่เป็นโทษก็มี ที่เป็นประโยชน์ก็มี

ที่จริงนิพพานก็ทำให้เป็นศิลปะได้ด้วยซ้ำ


Posted by : Immanuel Kant , Date : 2003-05-03 , Time : 23:25:48 , From IP : 203.155.144.54

ความคิดเห็นที่ : 83


   ขออภัยครับที่คำถามไม่ได้ clear ผมไม่ได้ถามว่าศิลปคืออะไร หรืออะไรคือนิยามของศิลป ผมเรียนถามความเห็นคุณ Kant ว่าศิลปินที่แต่งเพลงรัก แต่งนิยายส่งเสริมความรักระหว่างหนุ่มสาว เล่นดนตรี ฯลฯ นั้นเป็นการเห็นแก่ตัวหรือไม่ คนที่แต่ง Romeo and Juliet นั้นเป็นอย่างไรครับ? คนเขียนเพลงปลุกใจ เพลงชาติไทย เป็นคนมีคุณธรรมหรือไม่ที่บังอาจปลุกระดมให้รักชาติ? เพราะมี quote มาจากคุณ Kant ข้างบนน่ะครับ

แต่หากเมื่อใดคุณกระทำกามารมณ์โดยขาดความละอายและรู้สึกผิดเมื่อไรเมื่อนั้นแหละให้คุณรู้ตัวได้เลยว่า "คุณเท่ากับสัตว์"


ผมเข้าใจถูกต้องแล้วครับ ผมเรียนถามคุณ kant ว่า คู่สามีภรรยาที่ถูกต้องตามกฏหมาย ร่วมเพศกันโดยไม่มีความละอายและรู้สึกผิดนั้นเท่ากับสัตว์เดียรัจฉานหรือไม่ อยูใน scenario หมู่บ้านตัวอย่างข้างบนแหละครับ คุณ Kant กำลังแนะนำว่าคู่สามีภรรยาต้องมีเพศสัมพันธ์กันโดยมีความละอายและสำนึกผิดทุกครั้งใช่หรือไม่? จึงจะไม่เท่ากับสัตว์เดียรัจฉาน?

สาเหตุที่ถามเพราะว่า ผมอนุมานจากระดับสติปัญญาอันจำกัดของผมเองว่าคู่สามีภรรยาทั่วๆไปนั้นคงไม่รู้สึกเป็นเรื่องน่าละอายหรือสำนึกผิดหรอกครับ ฉะนั้นหมู่บ้านตัวอย่างของผมที่ประพฤติตนตามเบญจศีลเบญจธรรมก็ไม่ต่างอะไรจากสัตว์เดียรัจฉานรึเปล่า?



Posted by : Phoenix , Date : 2003-05-03 , Time : 23:41:16 , From IP : 203.107.206.238

ความคิดเห็นที่ : 84


   สาเหตุที่แพทย์เห็นร่างกายมนุษย์แล้วเฉยๆ ไม่เกิดฟุ้งซ่านทางกามารมณ์มีสองประการ คือ 1 ความเคยชิน และ 2 บริบท (context) ไม่ใช่เพราะหน้าที่หรอกครับ

ความเคยชิน คนเอเชียกับคนตะวันตกนั้น "ตื่นเต้น" กับภาพเปลือยต่างกัน เพราะการอบรมประเพณี แต่มิได้หมายความว่าจริยธรรมใครจะเหนือกว่ากัน ทั้ง individual และ as a whole ไม่งั้นแล้งฝรั่งใส่ no-bra กันทั้งลอนดอนก็คงจะทำให้โกลาหลอลหม่านกันหมดไปแล้ว แต่มันกลายเป็น "เรื่องธรรมดา" พอๆกับเสื้อผ้าสวยๆ แฟชันดีๆ หรือน้ำหอมที่กลิ่นสดชื่น แต่ถ้ามาใช่ในเอเชียผมว่าคนของเรา"ยังไม่พร้อม" ครับ

คุณ Kant อาจจะไม่ทราบว่านักเรียนเพาะช่าง ศิลปากร และสถาปัตย์นั้นเคยฝึกหัดเขียนภาพร่างกายคนจากนางแบบคนจริงมาแล้วทั้งนั้น คนที่จะออกไปประกอบอาชีพยิ่งต้องผ่านการ "เห็น" มามากมาย ความเป็น "professional" ของอาชีพนี้ มิใช่เรื่องหรือหน้าที่ของคนนอกเลยที่จะไปตราหน้าว่าเขาสติไม่ดี ศักดิ์ศรีของอาชีพรวมทั้งศิลปินภาพเปลือยก็มีไม่ต่างจากแพทย์ ครู หรืออาชีพใดๆ และก้เหมือนกันคือมีคนที่ฝ่าฝืนจริยธรรมของอาชีพด้วยกันทั้งนั้น แต่เราไม่ควรจะ "label" ว่าศิลปินกลุ่มนี้มีแต่ราคะ มักมากกามคุณ หรือสติไม่ดี

บริบท หรือ context แพทย์เจอร่างเปลือยที่ OPD, ในหอผู้ป่วย คลีนิก หรือโรงเรียนกายวิภาค สิ่งแวดล้อมนั้น ไม่ได้อยู่ใน "บริบท" ที่ทำให้นึกถึงกามารมณ์ แต่เป็นสิ่งแวดล้อมของอาชีพ ลองเปลียน OPD เป็นบรรยากาศอื่นในบริบทอื่นก็สามารถชักนำได้อย่างแน่นอน ศิลปินก็เช่นเดียวกันครับ บริบทของ prefessional studio นั้นก็จะมีอีกรูปแบบหนึ่ง เช่นในโรงเรียนวาดรูปก็จะเป็นห้องรวมที่นักศึกษาทั้ง class วาดรูปนางแบบตรงกลาง เป็นต้น ความเป็น professional นี้ก็เหมือนกับ individual ethics บางคนทำไม่ได้เขาก้ไม่ประสบความสำเร็จที่จะหานางแบบดีๆ แต่ที่ประสบความสำเร็จออกมาเป็นผลงานสุนทรีย์ก็มีไม่น้อย ถามว่าสภาพจิตใจพวกนี้ประมาทหรือไม่อย่างไร ผมตอบไม่ได้ แต่ที่แน่ๆคือเขาถูก desensitize ไปเยอะมากจนสามารถมองแบบ professional ได้ นั่นคือดูสภาพแสงเงาที่ตกบนร่างกาย ลายเส้น curvature ที่สืบเนื่องกับเฟอร์นิเจอร์ มุมเงาบนใบหน้าและ expression ออกมาเป็นศิลปแกผู้ที่สามารถรับได้ คนที่รับไม่ได้ก็คงจะรับไม่ได้แหละครับ ลองมันจะนึกใฝ่ต่ำแตถ้าเดียว อยู่ห่างๆไว้หน่อยก็ดี

ที่พระพุทธทาสไปเจริญบริกรรมในป่าช้านั้นก็มีเหตุผลอยู่ คือทำความเคยชินเสีย บริบทที่เราต้องหวาดกลัวซากอศุภก็จางหายไปมองเห็นเป็นอย่างที่เป็นคือร่างกายมนุษย์อันอนิจจัง ร่างกายมนุษย์นั้นมองเป็นกามารมณ์ได้ มองเป็นไม่ใช่กามารมณ์ก้ได้ครับ และไม่ต้องเป็นอรหันต์หรอก เราชื่นชมร่างกายมนุษยืได้เหมือนกับที่เราชื่นชมรูปเด้กทารก รูปสิงโต รูปทิวทัศน์ มัวแต่หลบๆซ่อนๆก็จะ excited ง่ายครับ เพราะความเคยชินมันไม่มี



Posted by : Phoenix , Date : 2003-05-04 , Time : 00:38:37 , From IP : 203.107.206.238

ความเห็นจาก Social Network : Facebook


สงวนสิทธิ์การแสดงความคิดเห็นสำหรับ สมาชิกเท่านั้น
>>>>> Page loaded: 0.072 seconds. <<<<<