ความคิดเห็นทั้งหมด : 40

Learning Styles


   เคยสงสัยบ้างไหมครับว่าการเรียนรู้นี่มันมีซักกี่รูปแบบ กี่สไตล์กันแน่ และข้อสำคัญของเรานั้นมันเป็นแบบไหน?

ทฤษฎีการศึกษามีมากมายหลายโรงเรียน มีการตั้งสมมติฐาน ทดลองทดสอบ และติดตามผลในนักเรียนกลุ่มต่างๆมากมายเป็นเวลาหลายสิบปี วันนี้ขอนำเอาทฤษฎีหนึ่งมาเล่าสู่กันฟังก็แล้วกัน

Anthony F. Gregorc, Ph. D., เป็น phenomenological researcher, lecturer, consultant, author and President of Gregorc Associates, Inc. ได้ให้คำจำกัดความของ Phenomenology ไว้ดังนี้
Pheno = outward appearance หรือที่เราเรียกว่า style
Noumena = invisible driving forces that give rise to style หรือเป็นอะไรที่อยู่เบื้องหลังที่มาผลักดันให้เกิด styles ต่างๆ อาจจะเป็นเชิงคุณภาพ ((qualities) เช่น concreteness, abstractness, sequentialness และ randomness หรือเชิง functions เช่น ความฉลาด (intelligence), อารมณ์, ลางสังหรณ์ (อาจแปลไม่ตรง คำนี้ใช้ intuition) และ instinct
Logos = word, nature of, root of หรือ Cause of Things

ปี 1983, 1984 งานของ Gregorc ที่มีบทบาทสำคัญคือการจัดหมวดรูปแบบ (styles) การเรียนรู้ การรับทราบแปลผลข้อมูลออก โดยใช้สองพิสัยคือ ลักษณะของข้อมูล และลำดับของข้อมูล แต่ละพิสัยแบ่งเป็นสองกลุ่มคือลักษณะที่เป็น concrete หรือ abstract และลำดับที่มาเป็น linear หรือแบบ random เอามารวมเป็นสี่กลุ่มใหญ่ๆของ styles คือ Concrete/Sequential (CS), Abstract/Sequential (AS), Abstract/Random (AR), และ Concrete/Random CR) CS, AS, AR, CR ได้ถูกนำมาดัดแปลงใช้ประกอบทฤษฎีการศึกษา การช่วยเหลือนักเรียน การพัฒนาบุคลิก ภายในโรงเรียน องค์กรรัฐ ภาคอุตสาหกรรมและธุรกิจ มาถึงในวงการแพทย์และสาธารณสุข

CS ชอบอะไรที่สามารถสัมผัสได้โดยประสาทสัมผัสทั้งห้า และมาเป็นลำดับ
AS ชอบอะไรที่มาเป็นนามธรรม แต่มี structure เชื่อมต่อกันเป็นห่วงสัมพันธ์โดยตรรกะ
AR ชอบอะไรที่เป็นจำพวกความรู้สึกนึกคิด จินตนาการ และงอกงามแบบสุ่ม ไร้ทิศทาง ไร้กระบวนท่า
CR สามารถดึงเอาประเด็นซ่อนเร้นจากกองฟางที่ยุ่งเหยิง ไม่เป็นระเบียบ แต่เป็นประเด็นที่เป็นรูปธรรม

พวกเราคิดว่าความรู้เหล่านี้นำมาใช้ประโยชน์ได้อย่างไรบ้างล่ะครับ?



Posted by : Aquarius , Date : 2004-10-10 , Time : 11:08:53 , From IP : 172.29.7.47

ความคิดเห็นที่ : 1


   ความถนัดหรือ styles ที่ได้ว่าไปเปนแค่ traits เฉยๆ นั่นคือสามารถเปลี่ยนแปลง พัฒนา และควบคุมได้ระดับหนึ่ง

แต่ละ trait จะมีความ "ชอบ ไม่ชอบ" ไม่เหมือนกัน (ผมคิดว่าไม่ใช่เรื่องด้อย เรื่องเด่น เป็นแค่ preferences หรือ รสนิยม อะไรทำนองนั้น) เช่น

Concrete Sequential
ชอบอะไรที่ "นำมาปฏิบัติ" ได้ (practical) จัดเป็นระบบ (organized) ชอบเรื่องประสิทธิภาพประสิทธิผล (นับได้ บวกลบได้ ตระกูล balanced score card) ข้อสำคัญคือ "จับต้องได้" และแจ๋วมากเรื่องทำงานให้เสร็จตามเวลา แต่ที่อาจจะลำบากหรือไม่ชอบก็เช่น ทำงานเป็นกลุ่มใหญ่ หลากหลาย อภิปรายแบบไร้จุดหมาย (หรือแกมองว่าไร้จุดหมาย) ที่ทำงานไม่เป็นระเบียบ คำชี้แจงหรือ protocol ไม่ชัดเจน เพื่อนร่วมงานที่ unpredictable ทำงานบน abstract ideas หรือถูกขอให้ใช้ "จินตนาการ" หรือตอบคำถามประเภทไม่มีถูกผิด

Abstract Sequential
ชอบรวบรวมข้อมูลทั้งหมดก่อนตัดสินใจ หัวใจของการคิดคือ ตรรกะและเหตุผล วิเคราะห์ความคิด ความเห็น เป็นนักวิจัย ให้คำอธิบายเป็นลักษณะ logical flow ที่ไม่ชอบก็คือถูกบังคับให้ทำงานร่วมกับกลุ่มที่มีความเห็นแตกต่าง เวลาจำกัดเกินกว่าที่จะมีข้อมูลครบ งานซ้ำซากจำเจ งานที่เต็มไปด้วย rules ไม่ชอบความคิดประเภท sentimental หรือใช้อารมณ์เป็นฐาน จะเป็นพวกที่มีความยากลำบากในการแสดงออกของอารมณ์ (ไม่ได้แปลว่าไม่มีอารมณ์นะครับ) ฉะนั้นเล่นละครไม่เป็น ตีโพยตีพายไม่เป็น ที่ชอบมากคือ monopolize conversation คือแย่งพูดคนเดียว (และที่ยากสำหรับตะแกมากๆเหมือนกันคือการพยายามจะไม่ monopolize conversation)

Abstract Random
มีความสามารถในการ "รับฟัง" ผู้อื่น เป็นเครื่องรับคลื่นอารมณ์ความรู้สึกเดินได้ สนใจจับประเด็นความคิด อยู่ในกลุ่มค่อนข้าง happy สามารถสร้าง relationship กับทุกคนได้ดีเป็นพิเศษ สามารถรับรู้และสามารถตอบสนอง emotional needs of others ปัญหาคืออธิบายไม่ได้นะครับว่าเป็นยังงัยมายังงัย เกลียดบรรยากาศ competition (ใครแน่กว่าใคร ของเอ็ง ของข้า) ทำใจทำงานกับพวก dictatorial, authoritarian personalities ไม่ได้ ทำงานใน restrictive environment ไม่ได้ ให้ทำสมาธิกับเรื่องเรื่องเดียวเก๊าะม่ายด้ายเหมียนกัน ให้อธิบายงานหรือรายละเอียดการทำงานออกมาเป๊ะให้เข้าใจก็ฝันไปเถอะ ที่เกลียดมากคือ critcism แม้แต่ positive criticism ก็ตาม (ขี้ใจน้อยแฮะ พวกนี้)

Concrete RAndom
พวกนี้ดูแล้วจะเหมือน gifted นะครับ ไม่มีใครรู้ว่าแกเก่งได้ยังงัย มีความสามารถในการ Inspire คนอื่นให้ทำงาน จับจุดได้เร็วกว่าคนอื่น มองปร๊าดเห็น options solutions เต็มไปหมด ความเห็นแต่ละอย่างแปลกๆ (เพราะไม่มีที่มาชัดเจน แต่ฟังง่าย เข้าประเด็น จับต้องได้) เป็นพวกที่ทำให้คนอื่นสามารถ visualize future ได้ ถ้าติดตรงไหนกับวิธีเก่าๆอยากได้วิธีใหม่ๆก็ถามแกเถอะ คิดเร็วมาก และอาจจะเพราะเหตุนี้ดูเหมือนแกจะชอบ take risk (จริงๆแกอาจจะเห็นอะไรของแกคนเดียวก็ได้) ปัญหาคือเกลียดกฏเกณฑ์ หรือ limitations ต่างๆ การเขียนรายงานแบบ formal อะไรที่เป็น routines ทำซ้ำทำซาก บันทึกรายละเอียดต่างๆ (ให้สรุป chart แกจะบึ้งไปสิบวัน) หรือถูกใครขอให้อธิบายว่าแกตอบมาได้ยังไงแกก็ไม่ชอบ (เพราะแกก้ไม่รู้ที่มาเหมือนกัน) หรือใครขอ one best answer ก็ไม่ชอบ (ก็ตูเห็นความเป็นไปได้เต็มไปหมด) หรือให้ทำอะไรตาม protocol ไม่มี alternatives

เอ้า ใครคิดว่าตัวเองเป็นยังไง เข้าพวกไหนบ้างครับ?


Posted by : Aquarius , Date : 2004-10-10 , Time : 11:11:37 , From IP : 172.29.7.47

ความคิดเห็นที่ : 2


   น้องๆที่ได้ทำแบบสอบถามเกี่ยวกับlearning styleไปแล้วในsession friend 2 สามารถทบทวนเรื่องของตัวเอง ตามที่พี่aquariusได้แจกแจงเอาไว้ได้นะจ๊ะ ถ้ายังงงถามกันต่อได๋จ้า
ส่วนคนที่ยังไม่ได้ทำคิดว่าคงราวๆอาทิตย์หน้าจะให้ ประธานชั้นปี ปีสี่และปีห้าเอาไปแจกให้ทำกัน และติดตามคำเฉลยได้ในกระดานอภิปรายแห่งนี้ คิดว่าพี่aquariusคงจะบอกวิธีแปลผลให้อีกทีนึงจ้า ว่าจะคิดคะแนนกันอย่างไร เพื่อจะได้รู้ว่า ใครเป็นAR AS CR CS และพอรู้กัน แล้วจะได้เอาไว้applyให้เข้ากับวิถีการเรียนจ้า


Posted by : aries , Date : 2004-10-10 , Time : 20:10:23 , From IP : 172.29.7.63

ความคิดเห็นที่ : 3


   Key สำหรับคนที่ทำแบบสอบถามแล้วนะครับ เอาคำตอบแต่ละ column มานับจำนวน จะได้ 4 categories
แถวแรก เป็นคะแนนรวมของ Concrete Sequence
แถวสอง เป็นคะแนนรวมของ Abstract Sequence
แถวสาม เป็นคะแนนรวมของ Abstract Random
แถวสี่ เป็นคะแนนรวมของ Concrete Random
คะแนนแต่ละแถวจะไม่มีทางเกิน 15 ตามจำนวนข้อ ดังนั้นทุกคนจะต้องมีอย่างน้อยสอง traits ขึ้นไป (อาจจะมีสามหรือสี่)


Posted by : Aquarius , Date : 2004-10-26 , Time : 12:14:03 , From IP : 172.29.3.185

ความคิดเห็นที่ : 4


   รู้แล้วเอาไปใช้ประโยชน์อะไรได้บ้าง อยากให้พี่ๆแนะนำให้หน่อย คือว่าน้องได้ARคะแนนนำเด่นมากเลย
ส่วนเพื่อนเค้าได้CRเด่นมาก ไม่เหมือนกันเลย


Posted by : งงงง , Date : 2004-11-17 , Time : 20:16:29 , From IP : 172.29.7.102

ความคิดเห็นที่ : 5


   AR นั้นเป็น "เครื่องรับคลื่นอารมณ์" เคลื่อนที่ครับ

ความหมายตามตัวคือ น้อง "เลือก" ที่จะรับรู้เรื่องที่ไม่ใช่สิ่งที่สัมผัสได้โดยตรง (โดยประสาทสัมผัสทั้งห้า) แต่ต้องใช้อารมณ์ความนึกคิดแปลไปถึงเบื้องหลัง เช่น เห็นคนนิ่ง ถ้ามองเฉยๆก็เห็นเป็นคนนั่งนิ่งๆ แต่น้องอาจจะรับรู้ว่าทำไมคนนั้นเขาเหงารึเปล่านะ หรือเขาโกรธใครอยู่นะ พอบวกกับความเป็น random เข้าไป ก้เหมือนกับเราขยายคลื่นรับนั่นแหละครับ แบบเดียวกับ braodband internet รับได้พร้อมๆกันหลากหลายเรื่อง

ใช้ยังไง?

เริ่มต้นคงจาก "รู้ตนเอง" ใช่ไหมครับ จากลักษณะดังกล่าวมีทั้งจุดแข็งและจุดอ่อน จุดแข็งเราคือเราจะรับรู้อารมณ์ ความรู้สึกที่ซ่อนเร้นของคนอื่น (รวมทั้งของตัวเราเอง) ได้ จะนำมาใช้อย่างไร? อาชีพแพทย์นี่จำเป็นรึเปล่าที่เราจะต้องดูแลทั้งกาย ใจ จิตวิญญาณและสังคม ถ้าใช่ล่ะก็ อันนี้นี่แหละตัวน้องจะได้เปรียบ เราใช้ความ sensitive ตรงนี้เพื่อ detect และแสวงหาข้อมูลได้ครบถ้วนกว่าเพื่อนๆ

กับจุดอ่อนของเราก็มี เราเป็นประเภท attention deficit ครับ เรื่องราวที่รับรู้มันเยอะเหลือเกิน สมาธิอาจจะไม่ค่อยดี จะเลือกอะไรให้มันเด็ดขาดก็รักพี่เสียดายน้อง เวลาทำข้อสอบอัตนัยอาจจะเห็นได้ชัด นั่งทำจนหมดชั่วโมงก็ยังเลือกคำตอบไม่ได้ ข้อนี้ก็เข้าท่า ข้อโน้นก็อาจจะเป็นไปได้นะ ข้อนี้ก็น่ารักดี ฯลฯ ตรงนี้รู้ตัวแล้ว เราจะได้หมั่นบอกตัวเองให้ต้องตัดใจให้เด็ดขาดมากขึ้นครับ อย่ามัวยึกยัก อีกอย่างนึงคือเนื่องจากเรารับรู้เรื่องอารมณ์ ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้คือเราจะขี้ใจน้อย และอ่อนไหวต่อคำตำหนิ crticism หรือล้อเลียนจากเพื่อนๆ ถ้าเรารู้ยังงี้ (หรือเราให้เพื่อนๆรู้ว่าเราเป็นยังงี้) ก็จะได้ถ้อยทีถ้อยอาศัยกันจากทุกฝ่าย อาการวิบ อาการหลบไปแอบมุมห้อง หรือนั่งบึ้งคนเดียวจะได้ลดลงครับ

นั่นเป็นความเห็นกว้างๆ ถ้ามีปัญหาจำเพาะอะไรก็ถามต่อได้นะครับ ส่วนของเพื่อนให้เขามาถามเองดีกว่านะครับ


Posted by : Aquarius , Date : 2004-11-18 , Time : 05:52:44 , From IP : 172.29.7.83

ความคิดเห็นที่ : 6


   ผมเป็นพวกCRเด่นครับ อาจารย์ช่วยแนะนำวิธีให้ผมapplyให้เรียนบนwardได้สนุกให้หน่อยนะครับ ขอบคุณครับ

Posted by : chereaw , Date : 2004-11-18 , Time : 14:25:06 , From IP : 172.29.3.174

ความคิดเห็นที่ : 7


   เป็นพวกที่เด่นทาง AS อืม..เท่าที่อ่านความหมายก็ค่อนข้างตรงค่ะ โดยเฉพาะไม่ชอบให้ใครมาบังคับให้ทำงานในเวลาที่จำกัด อยากให้แนะนำเหมือนข้างบนบ้างค่ะ ว่าเราจะประยุกต์ใช้กับชีวิตได้อย่างไรบ้าง เพราะเท่าที่อ่านดูเหมือนจะค่อนข้างทุกข์กว่าแบบอื่นๆ

Posted by : qu , Date : 2004-11-18 , Time : 16:43:29 , From IP : 172.29.4.41

ความคิดเห็นที่ : 8


   Concrete random (CR)

จริงๆ cr น่าจะสนุกบน ward มากทีเดียว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาตามราวน์ (service round ที่ไม่ใช่ teaching round) เพราะข้อมูลจะเป็น concrete ที่ประเดประดังมาหลากหลายเรื่องพร้อมๆกัน และอย่าง dynamic ไปภายในเตียงเดียวและระหว่างเตียง เช่น พี่พาไปราวน์ post-operative Whipple Operation(pancreatico-duodenectomy) พี่จะพูดเรื่อง IV fluid, NG-tube, jejunostomy, drain, vital signs, etc, etc ใน 3 นาที คนที่จะรับได้ "มากสุด" ณ ขณะนั้นคือ CR ในขณะที่ AS จะตามไม่ใคร่ทันถ้าเร็วเกินไป CS จะไม่ชอบเพราะมันมาหลายเรื่องเกิน AR ก็จะหงุดหงิดถ้าไม่มีใครพูดถึงอารมณ์ความรู้สึกผู้ป่วยเลย

ปัญหาของ CR คือท่านไม่สามารถรวบรวมเป็นหมวดหมู่ได้ และท่านก็จะไม่สนใจที่จะทำยังงั้น (ทำเป็นหมวด) ด้วย เนื่องจากเรื่องราวต่างๆนั้นมันจะมาและอยู่อย่าง random ซึ่งดีแล้ว การจะทำให้เรียบร้อยเป็นหมวดหมู่หรือมีเหตุผลจะไม่ใคร่อยู่ใน motto of CR เท่าไหร่

ตรงนี้ก็คงจะต้องดูว่าจริงๆแล้วน้องทำยังไงในการเรียนแหละครับ ที่ผมเคยเห็น Typical CR จะ มีปึก short note เป็นใบๆ คล้ายๆโพย slip เอาไว้อ่านเร็วๆ เปลี่ยนเรื่องไปเรื่อยๆ แบบนี้ CR จะรับได้เยอะสุด และ happy สุดครับ


Posted by : Aquarius , Date : 2004-11-18 , Time : 17:22:16 , From IP : 172.29.3.206

ความคิดเห็นที่ : 9


   Abstract Sequence

เพราะเท่าที่อ่านดูเหมือนจะค่อนข้างทุกข์กว่าแบบอื่นๆ

ไหงเป็นงั้นไปได้!!

AS มี typical problem คือ non-sentimental หรือ emotionless ตรงนี้ตัวแกเองจะไม่รู้สึกหรอกนะครับ แกจะมีอาการเช่น เอ.. ทำไมชาวบ้านร้องห่มร้องไห้กันกระจองอแง กะอีแค่ดูหนังเศร้าสลดเรื่องเดียว ตูไม่เข้าใจ ช่างไร้สาระเสียนี้กระไร AS จะเป็นตัวป่วนของพวก AR (ที่พวกเธอ emotional สุดๆ) ยิ่ง AS ได้พวกปากจัดแล้วจะเชือดเฉือนคน (AR) ได้อย่างไม่ปราณี!!

จะดัดแปลงอย่างไรกับการเรียน?

AS นั้น happy กับ "ข้อมูล" ครับ มีความสุขกับการเชื่อมโยงเหตุการณืโดย "logic" แต่ไปๆมาๆ logic นี่เองที่จะเป็นตัว undoing เมื่อไหร่ก็ตามที่เจอ dilemma ที่ตรรกะไม่สามารถจะแก้ได้ เช่น การงอนใส่กัน การ over-react ที่มากเกินสาเหตุ ปัญหาที่อาจจะน่ากลัวมากขึ้นเช่น ปัญหาชีวิต หน้าที่การงานที่มี element ของการเมือง ของการเล่นพรรคเล่นพวก (ซึ่งมันไม่ใคร่ logic เท่าไหร่) พวกนี้อาจจะ "ตัน" ได้ง่ายๆ และเกิดการ depressed ไปเลยถ้าไม่มีก๊อก emotion หรือ Options ให้คิดดดยละวางเหตุผลไปได้บ้าง

AS จะเป้นคนติวเพื่อนแบบใช้ "หลักการ" ไม่ถนัดในการติวพื่อสอบ แต่แจ๋วมากในการทำให้เพื่อนเข้าใจ ยิ่งเรื่องที่ยากๆ เช่น immunology หรือ biochemistry ที่เป็นเรื่องของว abstract จับต้องไม่ได้ ข้อเสียอีกอย่างคือ logic ของแต่ละคนนั้นไม่จำเป็นต้องเหมือนกัน แต่ถ้า AS สองคนมาเจอกัน มันก็อาจจะเสียเวลาอภิปรายกันนานหน่อยจนกว่าจะเสร็จ (หรือตายกันไปข้างนึง!!)



Posted by : Aquarius , Date : 2004-11-18 , Time : 18:22:53 , From IP : 172.29.7.182

ความคิดเห็นที่ : 10


   เวลาAR ward round เขาน่าจะมีความสุขสุดๆ ถ้าอาจารย์มีการพูดถึงเรื่องemotion, psychological aspect
แต่เขาจะสงสารคนไข้ง่าย ถ้าอาจารย์ให้รุมตรวจsignอะไรบางอย่างของคนไข้แบบมะรุมมะตุ้มกัน เขาจะเป็นคนสุดท้ายที่ตรวจ หรือบางทีแอบหลบไม่ตรวจไปเลย เพราะเขาจะสงสารคนไข้ เห็นใจ เกรงใจคนไข้ง่ายกลัวการทำให้คนอื่นเจ็บ เพราะเขาจะ empathyและconcern emotion ของผป ได้ไวกว่าพวกอื่น
แต่เรื่องนี้ก็อาจเป็นweak piont ได้ อย่างเช่นเขาอาจใจอ่อนจนเกินไปจนไม่กล้าทำอะไร เพราะฉนั้นคงต้องset limit ความใจอ่อนไว้ด้วย โดยเฉพาะในบางสถานะการณ์ ง่ายๆทีเห็นชัดๆก็เช่น การทำหัตถการต่างๆ เขาคงต้องพยายามตัดใจเอาความสงสาร ความกลัวว่าจะไปทำร้ายคนไข้ หรือทำให้เขาเจ็บออกไป ใช้เหตุผลมาdebateหน่อยว่า เนี่ยเป็นการช่วยผปนะ แต่อย่างว่าเหตุผลเขาก็จะหักล้างอารมณ์สงสารไปไม่หมด มันจึงคงเหลือไว้ซึ่ง ท่าทีนุ่มนวลพองามและconcrenผป ตลอดการทำหัตถการนั้นๆทั้งnonverbal และverbal ว่าจะพยายามทำร้าย ผป ให้น้อยที่สุด และเนี่ยแหละเขาจึงชนะใจคนไข้ได้ทั้งที่ทำให้ผปเจ็บจะตาย
ถ้าจะให้ทำนายอนาคต พวกARก็จะเป็นหมอทีง่ายๆ ไม่ชอบแข่งขัน จะเป็นหมอศัลย์ที่อ่อนโยน หมอmedที่สุภาพไม่ชอบเถียงกับใคร หรือถ้าเป็นจิตแพทย์ก็จะฝึกได้ง่ายดี ว่าแต่น้องอยากเป็นหมออะไรก็ค่อยว่ากันต่อดีกว่าเนอะ


Posted by : aries , Date : 2004-11-18 , Time : 20:58:21 , From IP : 172.29.7.104

ความคิดเห็นที่ : 11


   AS จะมีปัญหาได้ง่ายเวลาที่ต้องเรียนรู้เรื่องemotionของผู้ป่วย หรือเวลาที่ ผป มีอาการด้านอารมณ์ที่ไม่สามารถอิบายด้วยlogicให้เข้าใจได้ ง่ายๆ อาจต้องลองฝึกสัมภาษณ์ผป ให้เข้าใจถึงที่มาที่ไปของอารม์ของเขา อาจทำให้เราจับต้องอารมณ์นั้นได้มากขึ้น และเข้าใจได้ว่าอารมณ์มันก็มีที่มาที่ไป ไม่ใช่คิดกันลอยๆ
แต่ ผป คนไทย expressอารมณ์เป็นverbalให้เราเข้าใจได้ยากหน่อย ง่ายสุดคงต้องให้พวกARสอนดูอารมณ์ไปก่อน แล้วเราฝึกจำๆ สัมผัสไปพลางๆจนกว่าคุ้นไปเอง แล้วก็คงพอทำได้เองบ้างในระยะยาวนะ
แต่ว่าไปAS เนี่ยเก่งพอตัวอยู่นะ เพื่อนจะซูฮกเพราะเค้าจะdiscussไฟแลบ กระจุยกระจายเชียวนา เป็นหลักการด้วย แบบว่าคนอื่นทำไม่ได้ง่ายๆ เท่หระเบิดเลยแหละ ว่าแต่มันก็น่ากลัวอยู่เหมือนกันถ้าเราเป็นASที่มีegoสูงหน่อย เกิดฟาดฟันเพื่อนไปโดยไม่รู้ตัว เพื่อนแสดงสีหน้าไม่พอใจก็ยังไม่รู้อีก เพราะมันส์ไปหน่อยและจับคลื่นอารมณ์ก็ไม่เก่ง แบบนี้ระวังจะเสียเพื่อนไปได้ง่ายๆ แล้วจะมานั่งงงว่าเราทำอะไรผิดหว่าเนี่ย เพื่อนจึงโกรธ
แต่อะไรก็ตามที่ว่ามาทั้งหมด ถ้าเรารู้ตัวเราเสียแต่เนิ่นๆแบบนี้ ง่ายหรอก ก็คอยเบรคตัวเรางัย discussแบบนุ่มนวลหน่อย พยายามฝึกจับคลื่นอารมณ์คนรอบข้างสักนิด ถ้าเพื่อนfeed backอะไรต้องรีบฟัง ลดegoลงให้พองาม เท่านี้แหล่ะ อยู่ได้สบายๆเลย เพื่อนรัก sure


Posted by : aries , Date : 2004-11-19 , Time : 11:33:40 , From IP : 172.29.3.174

ความคิดเห็นที่ : 12


   ง่า อธิบาย AS AR CR แล้ว อธิบายของ CS บ้างจิฮับ เราอยู่ AR แต่เราอยากเข้าใจผู้หญิง CS อะ
อืม ผู้หญิงเป็นสิ่งมีชีวิตที่เข้าใจยากจิงๆเนาะ


Posted by : งับงับงับ , Date : 2005-01-27 , Time : 11:04:51 , From IP : 172.29.2.195

ความคิดเห็นที่ : 13


   ผู้หญิงCS น่าสนใจ
เวลาจะทำอะไรน่าจะค่อนข้าง เป็นไปในลักษณะทำอะไรต้องทำให้ได้ ให้สำเร็จลุล่วงไปตามเวลาที่กำหนด ถ้าอะไรที่คลุมเคลือทำให้คิดไม่ตก มองเห็นได้ไม่ชัด ข้อมูลไม่พอที่จะให้คิดหรือให้มีactionต่อ เขาจะไม่สบายใจ ขัดใจทุกที เขาต้องการข้อมูลอะไรที่จะต้องเป็นแบบจับต้องได้
เขาจะไม่เข้าใจเรื่องอารมณ์ที่มีอยู่ในตัวARนะ ดูเหมือนเขาจะไร้อารมณ์ด้วยซ้ำไป ถ้าคุยกันเรื่องอารมณ์ ความอ่อนหวาน ความโรเมนติก สงสัยจะคุยกันไม่รู้เรื่อง ต้องคุยกันในเรื่องที่เป็นรูปรรม เช่นเราจะทำอะไรกัน ที่ไหน เวลาอะไร แล้วเราก้ต้องให้มันเป็นไปตามนั้นด้วยนะ อย่าถือวิสาสะทำตามใจฉัน แบบอารมณ์มันนำพาไปแล้วไปขัดตารางที่ถูกกำหนดมาไว้เด็จขาด เพราะเธอจะทนไม่ได้ และโกรธ เป็นฟืนเป็นไฟเอาได้ง่ายๆ
อีกอย่างARเปลี่ยนเรื่องคุยได้บ่อยนา ตามความคิดที่โลดแล่น CSขัดใจแหง่ๆ ทำไมเธอไม่พูดให้มันเสร็จไปเป็นเรื่องๆไป แล้วเรื่องใหม่ที่เธอพูดขึ้นมามันเกี่ยวกับเรื่องเก่าด้วยเหรอ เธออาจรู้สึกว่ามันไม่เห็นโยงเกี่ยวเนื่องกันได้เลย ทีนี้แหละเรื่องเกิดแน่ๆจากความต่างของขบวนการคิด และการส่งออกของข้อมูล เพราะต่างขั้วกันชัดเจน
ทีนี้ต้องให้อานุภาพแห่งความรักช่วยมั้ง เราจะทำให้เขาได้เรียนรู้เรื่องemotionและเราเองก็จะได้เรียนรู้เรื่องความเป็นระเบียบเรียบร้อย และมีรูปแบบของความคิดที่เป็นลำดับจากเธอ อยู่กันได้จ้า ถ้ามีself awarenessและพร้อมที่จะปรับกันคนละนิด บนความเข้าใจในความต่างอย่างที่กำลังทำอยู่นี่งัย เป็นกำลังใจให้นะ


Posted by : aries , Date : 2005-01-27 , Time : 13:49:31 , From IP : 172.29.3.220

ความคิดเห็นที่ : 14


   CS female ยังไม่ถึงขนาดไร้โรแมนติก ไร้อารมณ์หรอกนะครับ (อันนั้นของฝั่งคุณ AS โน่น)

แต่เป็นโรแมนติกแบบมีระเบียบแบบแผน !!

จะว่าไปก็เหมาะสำหรับชีวิตนักศึกษาแพทย์นะครับ เพราะ CS จะเป็นหนึ่งในด้าน efficiency โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านเวลา ฉะนั้น rush hour หรือมีเวลาแค่ไม่กี่นาทีนี่สามารถจะสื่อสิ่งที่ต้องการให้ CS รับทราบได้แล้ว เธอพอใจแค่นั้น ไม่ต้องมีชายครุยรุ่ยร่าย สบตาสองนาที อะไรอย่างนั้น โรแมนติกกับ business-like connection สามารถทำไปพร้อมๆกันยิ่งดียิ่งชอบ ฉะนั้น platform ที่ดีที่สุดคือ "การติว" นั่งอ่านหนังสือด้วยกันนี่แหละเหมาะสุดในบริบทนี้ ไอ้ประเภทนัดพิเศษวาเลนไทน์ ตรุษจีน หรือวันครบรอบสามอาทิตย์แห่งการขึ้น ward ด้วยกันจะได้นัดมาทำอะไรพิเศษอาจจะ "ฟุ่มเฟือย" เกินไปสำหรับเธอ (ขึ้นอยู่กับ severity ของ CS นะครับ เดี๋ยวจะหาว่าผมแนะให้เลิกนัด valentine กับ CS ทุกคนปีนี้ เดี๋ยวผมจะถูก bombed !!!)

ระเบียบกับ intelligence เมื่อรวมกันจะค่อนข้าง intimidate คนที่ย่างกรายเข้าไปหาเธอ ไอ้ประเภททำลิงทำค่าง ไร้สาระเพื่อเรียกร้องความสนใจ CS อาจจะได้สิ่งตรงกันข้าม (และเป็น absoluet contra-indication กับ AS ด้วย !!) AR จะเพ้อเจ้อโรแมนติกอะไร อาจจะต้องปรับหาอันที่ไม่ abstract เกินไป บทกวีเอา simple ไม่ต้องระดับ Zen หรือเนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ ดอกไม้เอากุหลาบแถมการ์ดฉันชอบเธอ ไม่ต้องเอาตะบองเพชรและหญ้าแพรกให้ต้องตีความกันวุ่นวาย ใช้ความเป็น AR ของคุณรับทราบอารมณ์ของคนที่คุณสนใจน่าจะเป็นการเล่นบนจุดแข็ง ไม่ควรใช้ความไม่สนใจเวล่ำเวลากำหนดนัดของ AR มาท้าทายกับ CS ว่าจะทนการผิดนัดผิดเวลาของคุณได้สักกี่ครั้ง

ก็โชคดีนะครับ


Posted by : Aquarius , Date : 2005-01-27 , Time : 20:25:58 , From IP : 172.29.7.83

ความคิดเห็นที่ : 15


   ฟังดูคงไม่น่ากลัวเกินไปนักหน่ะ CSก็คงเป็นแบบพวกเด็กเรียน แถงตรง อะไรทำนองนั้นหนะ อาจไม่เม่นนักนะ ลองศึกษาดูตัวตนจริงของเขาไปเองด้วยแล้วกัน เพราะแฟนเราอาจมีtraitอื่นๆปนอยู่ด้วยก็ได้จ้า

Posted by : aries , Date : 2005-01-27 , Time : 20:43:09 , From IP : 172.29.7.192

ความคิดเห็นที่ : 16


   แก้ข่าวน้าคับ ไม่ใช่แฟนค้าบ แค่ชอบเค้าข้างเดียวเฉยๆ
เดี๋ยวจาเข้าใจผิดกาน


Posted by : งับงับงับ , Date : 2005-01-31 , Time : 09:15:00 , From IP : 172.29.2.145

ความคิดเห็นที่ : 17


   ขออภัย มันเป็นslip of tongeของพี่หน่ะ คือ เผลอ พลั้งปาก หลุดพิมพ์คำว่าแฟนไป แต่มันแปลได้ว่าพี่แอบหวัง หรือ คิดว่าน้องคงเป็นแฟนกันก็เท่านั้น อย่ากังวลว่ากระต่ายจะตื่นเลยจ้า เพราะอาจตื่นตูมไปแล้ว ว่ามั้ย แย่เลยทีนี้ โชคดีนะ แล้วอย่าลืมส่งข่าวมาหล่ะ

Posted by : aries , Date : 2005-01-31 , Time : 16:27:30 , From IP : 172.29.7.74

ความคิดเห็นที่ : 18


   คือ ผมได้คะเเนนดังนี้ครับ
5,0,6,4 5,6,2,2 4,5,2,4
เรียงตามเเบบทดสอยเลยน่ะครับ งงครับว่าจะจัดเป็นเเบบไหนเเน่ ขออาจารณ์เเนะนำหน่อยครับ
ขอบคุณครับ


Posted by : มาดู , Date : 2005-02-01 , Time : 16:51:07 , From IP : 172.29.2.93

ความคิดเห็นที่ : 19


   5064.........5622.......4524.....(1455)

Primary choice first:
Concrete = 5+4=9
Abstract = 0+6 =6
Sequential = 5+0 = 5
Random = 6+4 = 10

Secondary choice
Concrete = 5+2=7
Abstract = 6+2 =8
Sequential = 5+6 = 11
Random = 2+2 = 4

ดังนั้นจาก primary preference น้องจะใช้ Concrete เป็นหลัก (difference = 9-6 = 3) และ random เป็นสิ่งที่น้อง manage ได้ดี อันนี้เป็น primary trait แต่พอมาพิจารณาถึงการ "แก้ปัญหา" หรือ second-base ผมว่าน้องใช้ artificial preference มาช่วยเยอะทีเดียว (ไม่แปลกสำหรับนักศึกษามหาวิทยาลัย) คือ sequential จะเป็นตัว rescue ของน้องยามมีปัญหา ใช้เยอะซะด้วย (11 vs 4) โดยที่ concrete ยังยันอยู่ที่ 7 และ abstract ดึงเข้ามาช่วยแก้ปัญหาจากเดิม (preference = 6) มาเป็น 8 แต่ไม่ต่างมากนักกับ primary trait (8 vs 7)

สรุปเป็นภาษาง่ายๆ น้องเป็น concrete แน่ๆ ทั้ง primary preference และตอน compensate แถมยังไม่จนหนทาง น้องยังสามารถมอง abstract ออกถ้าจำเป็น และดูได้ไม่เลวเลย (เรียกว่าคุยกับพวก AR พอไหว ไม่ทะเลาะหรือตีหัวกัน) ๘ระที่น้องอาจจะชอบ random แต่พอมาถึงการทำงานจริงๆ น้องชอบทำงานเป็นระบบมากกว่า ผมว่า primary จะออกไปทางรับ และ secondary ออกไปทางทำงานจริง

character แบบของน้องนี้พบได้ไม่บ่อยนะครับ คือ CS ที่มีใจ abstract ไม่ใช่ abstract แบบโหดด้วย แต่เป็น abstract ใจดี แต่ไม่ใครแสดงออกด้าน soft เท่าไหร่นักนะครับ (เน้นเครื่องรับอารมณ์ แต่ไม่เน้นเครื่องส่งอารมณ์ นั่นคือ random อยู่ใน primary) น้องทำงานเป็นระบบ lecture ได้ดี แต่ไม่เครียด ไม่ทื่อเกินไป ไปดูหนังหน่อมแน้มได้ แต่ไม่ถึงกับออกไปเล่นละครให้เพื่อนๆดู คะแนน confrontation รวมแล้วน้องต่ำ ฉะนั้นน้องไม่น่าจะเป็นพวกไปลุยคนอื่น เรียนของเราไปเรื่อยๆ แอบอ่านกลอนเงียบๆคนเดียวก็ยังได้

ตรงไหมครับ


Posted by : Aquarius , Date : 2005-02-01 , Time : 17:24:02 , From IP : 172.29.7.189

ความคิดเห็นที่ : 20


   ได้คำตอบแล้ว มันชัดเจน แบบวิเคาระห์ เจาะลึกในแบบของหมอดูแม่นๆไหมเนี่ย คนอื่นที่ยังคาใจแบบนี้ถามมาต่อได้นะ เพราะคำเฉลยที่เป็นทางการยังไม่เสร็จ อาจารย์เจ๊าะกำลังใช้กำลังภายในส่วนตัวอย่างมหาศาลนั่งแปลทีละคนอยู่ ถ้าเสร็จจะติดประกาศให้ทราบโดยทั่วกัน
ส่วนเพื่อนคนใดที่ยังไม่ได้ทำ ให้รีบไปติดต่อทำที่กิจการนศด่วน เพราะจะต้องนำผลนี้ไปช่วยแบบอยู่เบื้องหลังนิดๆ ในการจัดกลุ่มPBLของน้องตอนปี2หน่ะ


Posted by : aries , Date : 2005-02-01 , Time : 23:12:34 , From IP : 172.29.7.143

ความคิดเห็นที่ : 21


   อาจจะมีคนสงสัยแล้วกลุ่ม 3 ทำไปทำไม กลุ่มสามเป็นการทดสอบกลุ่มสี่ครับ (ซึ่งไม่ได้ทำ แต่คำนวณได้) ว่าเมื่อจำเป็นจริงๆจนหนทางอะไรจะเป็นสิ่งที่น้อง "ไม่เลือก" หรือ "เป็น the last resource" จริงๆ

อย่างในตัวอย่าง 4524.......1455
กลุ่มแรก (กลุ่มที่สาม)
concrete 8 (4+4) vs abstract 7 (5+2)
sequential 9 (4+5) vs random 6 (2+4)

จะเห็นชัดขึ้นว่า ยิ่งคับขัน (สองกลุ่มหลังเป็นการ "บังคับเลือก" กลายๆ ใช่ไหมครับ เพราะเป็นตัวเลือกที่งวดลง exhausted จากการเลือกไปสองอย่างแรก ตรงนี้ส่วนใหญ่จะเป็น active มากกว่า passive process) น้องจะวางศรัทธาไปที่ concrete sequence ชัดเจนยิ่งขึ้น แต่ก็ยังไม่ทิ้ง abstract อยู่ดี (แต่ randomness หายไปหมด ตอน distress) น้องมีแนวโน้มที่จะคงเหลือ domain ด้านอารมณ์อยู่นิดหน่อยเสมอ ซึ่งก็ดีนะครับ ไม่ใช่ไม่ดี ไม่เป็นคนโหดแห้งงแล้งเกินไป

อย่าลืมว่าการแปลผล test นี้มัขึ้นอยู่กับ "คนทำ" ตอนแรกหลายอย่าง เช่น ตอบสิ่งที่ตนเป็น ไม่ใช่สิ่งที่ตนอยากจะเป็น ความรู้จักตนเองมากน้อยเพียงใด และข้อสำคัญ trait พวกนี้เป็นแค่ preference นะครับ ไม่ใช่ถึงขนาดบุคลิก หรือเป็น personality test อะไรนั่น สามารถเปลี่ยนไปตามวัย ตาม ideology ของเราซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงอยู่สม่ำเสมอครับ



Posted by : Aquarius , Date : 2005-02-02 , Time : 07:32:49 , From IP : 172.29.7.246

ความคิดเห็นที่ : 22


   ขอบ๕ณอาจาร์ ที่เเนะนำครับ

Posted by : มาดู , Date : 2005-02-14 , Time : 06:59:30 , From IP : 172.29.2.189

ความคิดเห็นที่ : 23


    อาจารย์ครับ คือผมอยากจะปรึกษาเรื่องรูปแบบหรือวิธีการเรียนที่ผมใช้อยู่และหรือวิธีที่ควรใช้ อะครับ
ผมทำแบบทดสอบแล้ว ได้คะแนนดังนี้ครับ
CS = 5 AS = 9 AR = 11 CR = 5
จากการอ่านบทความข้างต้นๆ (เน้นอ่านที่ AR กับ AS) ก็มีส่วนตรงนะครับ
AR ตอนตรวจร่างกายผู้ป่วย ผมก็ขอทำหลังสุด ด้วยที่ไม่อยากจะแย่งกับใคร และก็สงสารผู้ป่วย จนมีครั้งนึง ไม่ได้ตรวจเลย แต่ก็ไม่ได้สนใจกับความรู้สึกของผู้ป่วยมากมายอย่างที่อาจารย์เขียนไว้นะครับ จะ Round แบบไม่คุยถึงความรู้สึกของผู้ป่วย ผมก็ไม่ได้หงุดหงิดอะไร จุดด้อยของ AR ก็ตรงดีนะครับ สนใจทุกเรื่องจน รู้สึกว่า มีสมาธิไม่พบ หรือไม่มีสมาธิกับเรื่องเดียวนานๆ ยกเว้นกับเรื่องที่สนใจมาก ฟังเป็นชั่วโมงก็ไม่เบื่อ ตอนทำข้อสอบก็เหมือนกัน 20 คนสุดท้าย ต้องมีผมอยู่ด้วยเสมอ อิจฉาคนที่ออกเร็วแล้วได้คะแนดีด้วย คงเก่งและแม่นมากๆ ต้องตัดสินใจให้เด็ดขาดกว่านี้ ขอบคุณสำหรับคำแนะนำนะครับ
แต่ ผมรู้สึกว่า ผมไม่รู้คำตอบมากกว่ารักพี่เสียดายน้องอะครับ อิอิ (-_-" )
AS ผมชอบอะไรที่อธิบายแบบตรรกะ ส่วนตัวแล้วชอบ คณิตศาสตร์ (ไม่รู้ว่าจะเกี่ยงกับ AS รึเปล่า)อ่านแล้วเข้าใจง่าย และก็จำง่ายดี ไม่ชอบเวลา มีใครบอกข้าดี ของข้าแน่ หรือ ใครที่ชอบวิพากษ์วิจารณ์ ผมก็ขออยู่ห่างๆ ขอสันโดดชั่วคราว คือฟังแล้วไม่ค่อยเห็นด้วย หรือบางทีก็แปลกใจว่าคิดอะไร อย่างที่พูดได้ไง จะห้ามไม่ให้ฟังก็ไม่ได้ (AR คงมีอิทธิพลมากไปนิดส์) ก็เลยอยู่ห่างๆดีก่า ขี้น้อยใจก็มีนะครับ (โอย ชีวิต ความสุขเจ้าอยู่แห่งหนใด อยู่ที่ จิต เจ้าไง ..... บ้าอะเปล่า ถามเองตอบเอง) แต่มันไม่ค่อยเหมือน ตรงที่ ไม่เคย แย่งพูดคนเดียว เคยคิดจะพูดเหมือนกัน แต่พอพูดไป ความคิดอะไรก็ไม่รู้เข้ามาตีกัน มั่วไปหมด จนพูดไม่ออกเลย (AR อีกแล้วใช่มั้ยครับ)
เข้าใจว่าอาจจะมีความเบี่ยงเบนบ้าง เพราะผมทำแบบทดสอบตัวนี้ในเวลาที่ต่างกัน กลับได้คำตอบไม่เหมือนกัน แต่คะแนนที่เอามาปรึกษาอาจารย์นี้ ผมเลือกแล้วคิดว่าตรงกับผมมากที่สุด (ตรงในแบบทดสอบนะครับ ไม่ใช่ผลลัพธ์ออกมาตรงกับผม)
ผมชอบอ่านหนังสือดึก แบบว่าสมาธิมาเพียบ อากาศก็เย็นดี ยิ่งดึกยิ่งชอบ ก็เลยมีปัญหากับการเรียนนิดหน่อย (อ่านกลางวันก็ได้นะครับ แต่กลางคืนได้เยอะกว่า)
ประมาณนี้แหละครับ ส่วนนึงของรูปแบบและวิธีการเรียนผม ก็เลยอยากถามและปรึกษาอาจารย์ (ท่านใดก็ได้นะครับ) ถึงข้อที่ควรปรับปรุง และใช้วิธีเรียนแบบไหนดี ที่เข้ากับ Learning Style ของผม
ขอบคุณมักมัก คับ
ปล. กว่าจะพิมพ์เสร็จ เหนื่อยเหมือนกันนะเนี่ย แต่ก็ดีกว่าพูดแหละครับ มีเวลาดัดแปลงข้อความ ถ้าพูดก็คงมีหวัง พูดไม่ออกแน่ๆเลย ( T_T )


Posted by : Fefnir , Date : 2005-02-16 , Time : 03:53:36 , From IP : 172.29.4.134

ความคิดเห็นที่ : 24


   ถ้าจะให้วิเคราะห์ละเอียด ไม่ทราบว่าน้องทำแบบทดสอบรุ่นใหม่ที่มีลำดับ preference ของแต่ละ choice ไหมครับ ถ้ามีผมขอคะแนนของทุก column (ควรจะมีทั้งหมด 12 column คือ 4,4,4) แบบที่เพื่อนบางคนส่งมาข้างบนนี้สองสามกระทู้น่ะครับ

แต่เท่าที่เล่ามาค่อนข้างไปทาง AR ถูกต้องแล้วครับ ออกจะ overwhelm จนไม่ใคร่เห็น AS เท่าไหร่ ทีนี้จะบอกว่าอันไหนเป็น preference อันไหนเป็น compensate ต้องได้คะแนนดิบทุก column ครับ

มีอะไรสงสัยลองถามเพิ่มหรือให้ข้อมูลเพิ่ม ส่วนคำแนะนำการเรียน รอเอาคะแนนดิบมาดูก่อนดีไหมครับ (ถ้าไม่เคยทำแบบใหม่ ขอฟอร์มได้ที่คุณมัลลิกา แล้วส่งคืนที่หน่วยกิจการหรือ อ.วรพงศ์ก็ได้ครับ)


Posted by : Aquarius , Date : 2005-02-16 , Time : 09:07:56 , From IP : 172.29.3.62

ความคิดเห็นที่ : 25


   คะแนนเป็นดังนี้ ครับผม
อันดับ 1 = 3 3 7 2
อันดับ 2 = 2 6 4 3
อันดับ 3 = 3 1 2 9


Posted by : Fefnir , Date : 2005-02-18 , Time : 07:44:21 , From IP : 172.29.4.173

ความคิดเห็นที่ : 26


   3372.....2643.....3129.....(7521)

Primary:
concrete 5
abstract 10
sequential 6
random 9

Compensatory
concrete 5
abstract 10
sequential 8
random 7

น้องจ๋า เต็มไปด้วย AR เด่นมากๆนะครับ ทั้ง preference และเวลา compensate ที่เห็น sequential นำขึ้นมาเล็กน้อยตอน compensate นี่เป็นเรื่องปกติครับ เพราะโดยระบบการเรียนของประเทศเรา ยังไงก็ต้องใช้ cs หรือ sequential มาช่วย ไม่งั้นงานไม่เสร็จตามกำหนด หรือไม่ตรงตามวัตถุประสงค์

แต่น้องเต็มไปด้วย abstract และเมื่อยิ่งมาดูวิธีที่น้องหลีกเลี่ยงมากที่สุด (column 4) concrete 8/ abstract 7/sequential 12/random 7 น้องจะหันไปพึ่ง abstract และเชื่อใน gut instinct มากกว่า sequential อยู่ดี

ตอน compensate น้องดึงเอา AS มากพอสังเกตได้ จนหย่อนด้านอารมณ์ไปนิดนึงพอมองเห็น แต่ไม่ถึงกับจะลบล้าง AR อยู่ดีนะครับดังนั้น เรื่องรักพี่เสียดายน้องซึ่งเป็น hallmark ของ AR น้องจะมีอยู่เยอะ ปรับตรงนี้อีกนิดน้องจะเริ่มทำข้อสอบทัน (แต่ต้องแลกกับโหดขึ้นเล็กๆนะเอ้อ ยอมมั้ย?) ผมคิดว่าจากคะแนน sequential ในตอน compensate (colume 2) น้องสามารถปรับการเรียนเพิ้มด้านสมาธิได้แน่ๆถ้าอยากจะทำ ขึ้นอยู่กับน้อง enjoy AR ขนาดไหนหรืออยู่ในกลุ่มประเภทอะไรกระมัง ยิ่งถ้าเกิดตอนมีความรักสงสัยจะทิ้ง compensatory sequential ไปหมดไหมเนี่ย

ตรงไหมครับ


Posted by : Aquarius , Date : 2005-02-18 , Time : 13:25:13 , From IP : ppp-203.118.113.42.r

ความคิดเห็นที่ : 27


   ถามนอกเรื่องนะครับ
อาชีพที่ AR ทำแล้ว เหมาะสม สบายใจ ไปได้ไกล หรืออะไรประมาณนี้(ไม่ได้จะเลิกเรียนหมอนะครับ) เช่นอะไรบ้างครับ
อืม ... ที่บอกว่าจุดแข็งของ AR คือเราจะรับรู้อารมณ์ ความรู้สึกที่ซ่อนเร้นของคนอื่น หรือ สนใจแบบไร้ทิศทาง ไร้กระบวนท่า (อ่านแล้วรู้สึกว่า ล่องลอย เรื่อยเปื่อยยังไงชอบกล แต่ก็ตรงดีนะครับ ล่องลอยไปวันๆ) ตรงจุดนี้ไม่ทราบว่าจะเอามาปรับใช้กับการเรียนรู้ยังไงอะครับ หรือว่ายังมีจุดแข็งของ AR อีก(รึเปล่า?)
รบกวนหน่อยนะครับ


Posted by : Fefnir , Date : 2005-02-18 , Time : 14:44:01 , From IP : 172.29.4.173

ความคิดเห็นที่ : 28


   ก่อนอื่นทำความเข้าใจให้ตรงกันก่อนว่า "ความสำเร็จ" นั้นขึ้นอยู่กับหลายปัจจัยเอามากๆ แม้แต่ IQ ที่ครั้งหนึ่งเคยเชื่อว่าจะบ่งชี้ถึงความสำเร็จได้ก็ไม่จิรงเสมอไปแล้ว

Learning style เป็น preference ครับ และสามารถเปลี่ยนไป จริงๆแล้วหลายๆคน "ไม่ได้" ใช้ learning style ที่เป็น preference ซะด้วยซ้ำ แต่เนื่องจากความฉลาดบอกตัวเองว่าในบริบทยังงี้ๆ ต้องปรับตัวไปใช้อย่างอื่นบ้าง (compensatory style กลับมาเด่นกว่า)

AR เป็นพวกที่ทำงานที่รับ "อารมณ์" เยอะๆแล้วดี จริงๆแล้วแพทย์ก็เป็นอาชีพนึงแน่ๆที่ควรจะ concern เรื่องอารมณ์ ความรับรู้ของผู้ป่วย แต่ต้องไม่ถึงขนาดเลื่อนลอย หรือ sympathy มากเกินไป AR ถ้าบวกพรสวรรค์อื่นๆก็จะทำงานพวก art ได้เยอะ เพราะศิลป์หรือสุนทรียศาสตร์เป็นเรื่องของอารมณ์ความรู้สึกโดยตรง (ถ้าใครเริ่มพูดว่าต้องลากเส้นนี้มาถึงตรงนี้แล้วหักขึ้น เลี้ยวขวาสามสิบองศาจะแปลว่าสวย แปลว่า art ก็หลงไปไกล)

AR ที่เป็นแพทย์ ทำงานได้ทุก field แหละครับ ยกเว้นก็หมอพยาธิล่ะมั้ง แต่นอกที่ทำงานก็ยังมีครอบครัว มีเพื่อนฝูงเหมือนคนทั่วๆไป ส่วนใหญ่ AR ที่คงความเป็นแพทย์หรือจบมาได้ มักจะมี strong compensate อีกด้านที่ช่วยให้ผ่านหลักสูตรที่หลักหน่วงทาง sequential assignment มาได้อยู่แล้ว ยกเว้นใครพิจารณาแล้วว่าตนเองอาจจะเลื่อนเปื้อนไร้สาระมากเกิน ไม่สามารถมีสมาธิได้ ก็เปลี่ยนอาชีพที่น่าตื่นเต้นกว่านีอาจจะดีต่อทุกฝ่าย อืม... จิตแพทย์ก็น่าจะ OK นะครับสำหรับ AR แต่ต้องมีบังหียนไว้หวดม้าหลับเวลาเรื่องโศกเศร้ามันมาดีกรีสูง ประเดี๋ยวจะพลอยเป็นลมเป็นแล้งชิงฆ่าตัวตายไปก่อนคนไข้ (ผมว่าส่วนใหญ่ AR อาจจะมีความคิดนี้ผึดบ่อยกว่าก็จริง แต่มันมักจไม่ยั่งยืนหรือมีสมาธิพอที่จะคงวามรู้สึกที่ว่านี้จนสำเร็จ เรื่องนี้ต้องบยกวห้เป็นเรื่องของ AS ครับ)



Posted by : Aquarius , Date : 2005-02-18 , Time : 22:05:37 , From IP : 172.29.7.146

ความคิดเห็นที่ : 29


   พี่เนี่ยแหละARตัวจริงเลย น้องลองอ่านดู แล้วอาจเอาวิถีของพี่ไปปรับใช้ดูนะ
เริ่มที่การใช้ชีวิตประจำวันนะ พี่มีสิ่งต่อไปนี้จ้า
1 จะเข้าใจคนอื่นได้ไว รู้ว่าตอนนี้เขากำลังแย่ กำลังดีใจ กำลังเป็นทุกข์ ทำให้เราจะให้ความช่วยเหลือ หรือsupportอารมณ์คนรอบข้างได้ดี คนอื่นชอบมาปรับทุกข์ด้วย
2 คนอื่นเข้าใจเราได้ยาก เพราะเวลาที่เราจะสื่อ หรือพูดอะไรที่เป็นความคิดของเราออกไป มันจะออกไปแบบrandom ไม่ค่อยสัมพันธ์กัน หรือบางทีคำที่ใช้มันก็อาจabstractเกินไป แบบที่ไม่น่าจะใช่ด้วย เลยทำให้ดูเหมือนว่า เรื่องที่พุดมันจะไม่ค่อยรู้เรื่องอย่างงัยก็ไม่รู้ คนอื่นก็งงๆ ว่าเรากำลังบอกอะไรหว่า เราก็จะงง ว่าทำไมคนอื่นไม่เข้าใจที่เราได้บอกออกไป ทางที่ดี พี่ก็ปรับแบบว่า นั่งฟังคนอื่นไปก่อน ค่อยแสดงความเห็น และต้องเรียบเรียงให้สั้น กระชับ ง่ายๆ ที่สำคัญเราก็จะทึ่งและอิจฉาพวกASเล็กๆว่าทำไมพูดดูมีหลักการ น่าเชื่อถือจัง แต่ไม่เป็นไรเราก็ต้องยอมรับว่านี่คือweak pointของเรา
3 ศิลปินเล็กๆ ตามใจตนเองหน่อย ไม่ค่อยมีหลักเหตุผลมากนักในการจะทำอะไร หรือในการคิดอะไร เพราะเวลาที่เราจะคิดหรือทำอะไร เราจะคิดเพียงว่าสิ่งที่เราจะทำไปนั้น คนอื่นจะโดนใจไหม แบบพวกdesignerหรือศิลปินงัย ที่ออกแบบเสื้อผ้าโดยใช้สีสองสีที่ไม่น่าจะมาอยู่ด้วยกันได้ตามหลักของเหตุและผลหรือตามเรื่องของการmatchของสี แต่ว่าผลงานที่ออกมานั้นมันก็ดูแล้วสวยงามงัย แต่เรื่องแบบนี้ก็มีข้อด้อยเหมือนกัน เพราะถ้าเราจะไปอธิบายอะไรสักอย่างแบบนี้ มันก็ต้องมีหลักเสียหน่อยก็เท่านั้น น้องก็ต้องฝึกการให้เหตุผลเสียหน่อย เพื่อให้คนอื่นเข้าใจและยอมรับเรื่องที่เราเสนออกไปได้
น้องจะเห็นว่า พยายามทำให้เป็นsequenceโดยใช้1 2 3 แต่สุดท้ายก็ไม่เห็นว่ามันจะเป็นหลักการอะไรเลย random อยู่ดี severeARไหมพี่เนี่ย
ถ้าน้องเป็นหมอต่อไป ก็จะเป็นหมอที่สามารถสัมผัสอารมณ์คนไข้ได้ หมออะไรก็ได้ดีทั้งนั้นแหละ ถ้าน้องสามารถเอาความสามารถด้านนี้ มาทายใจและให้การsupportคนไข้ เก่งแบบนี้คนไข้รักตายเลย
ที่จริงพี่จะได้ไปเรียนศิลปะอยู่แล้วเชียว แตว่าพ่อพี่นั้นเก่ง รู้ทันดักพี่ไว้ก่อน ตอนนี้เป็นหมอก็ใช้หัวใจศิลป์ในการทำงานจ้า แล้วก็มีความสุขดีจ้า
แล้วว่ากันต่อนะ


Posted by : aries , Date : 2005-02-27 , Time : 19:27:31 , From IP : 172.29.7.199

ความคิดเห็นที่ : 30


   randomไปจนลืมเรื่องเรียน เดี๋ยวถ้าว่างๆจะมาแนะนำเรื่องการเรียนของARใหม่นะ

Posted by : aries , Date : 2005-02-27 , Time : 19:29:30 , From IP : 172.29.7.199

ความคิดเห็นที่ : 31


   จารย์คับ มีวิธีที่ทำให้รู้สึกอยากจะทำรายงานบ้างมั้ยครับ คือว่า ตอนนี้ไม่มีกะจิตกะใจจะทำรายงานเลยอะ (เพื่อนๆ ทำเสร็จไปแล้ว 1 ฉบับ) รู้สึกว่า ทำรายงานทีนึง ต้องใช้สมาธิอย่างสูง แค่คิดก็เหนื่อยแล้ว แต่ก็ต้องทำ ฮือออออ (T.T )

Posted by : Fefnir , Date : 2005-05-20 , Time : 23:30:00 , From IP : 172.29.4.52

ความคิดเห็นที่ : 32


   อาจจะต้องย้อนไปที่มีอะไรบ้างที่น้อง "ไม่อยาก" ทำ? จะได้หาพยาธิกำเนิดได้

น้องอยากรับคนไข้ไหม อยากสัมภาษณ์ตรวจร่างกายคนไข้ไหม อยาก round ไหม อยากอภิปราย case กับเพื่อนๆกับอาจารย์ไหม อยากอ่านหนังสือไหม นอกเหนือจากไม่อยากเขียนรายงาน ตรงนี้น้องจะได้เข้าใจตนเองดียิ่งขึ้นว่า "อะไร" กันแน่ที่เป็นอุปสรรคในการทำงานของเรา

ถ้าทุกอย่างอยากทำหมด ยกเว้นการเขียนรายงาน น้องอาจจะมี learning style แบบ CR บวก short-span concentration ของ AR ถ้าเป็นอย่างนั้นจะแก้ง่ายหรือยากขึ้นอยู่กับปริมาณ CS (concrete sequential) ว่าน้องมี spare เหลือมากน้อยแค่ไหน อาจจะต้องดูจากประวัติเก่าในการเรียนของน้องว่า เรา struggle ในการเขียน assay มานานรึยัง ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ถึงเวลาแล้วครับที่น้องจะต้องควบคุมตนเอง get things done ให้ได้

แต่ถ้าเคยเขียนได้ การเขียน assay ไม่ได้เป็นปัญหามาก่อน ตอนนี้น้องอาจจะมี overwhelming short-focus (AR-major) มี crisis ทางอารมณ์ ก็จะเป็นชั่วครั้งคราว แต่ถ้าเรื้อรังก็คงต้องหาสาเหตุหรือความช่วยเหลือ

แต่ถ้าสอีกกรณีนึงคือ น้องไม่มีความรู้อะไรจะเขียนลงไปเลยอันนี้อาจจะหนักครับ แนะนำให้เอา case ไปปรึกษาอาจารย์ หรือพี่ หรือเพือนในสายเดียวที่ราวน์ด้วยกัน ขอ material เบื้องต้นเอามาตั้งต้นเขียน

ไม่ทราบพอจะเข้ากับปัญหาที่มีบ้างไหมครับ?


Posted by : Aquarius , Date : 2005-05-21 , Time : 02:56:52 , From IP : 172.29.7.153

ความคิดเห็นที่ : 33


   ถ้าเป็นแบบพวก ARแล้วทำให้น้องเขียนรายงานไม่เสร็จเสียที อาจเพราะว่า มันมักจะไม่พอใจในสิ่งที่ทำเสียที แนะนำว่า
ให้หาข้อมูล ทางลัด คือถามรุ่นพี่ เพื่อจะได้แกนหลักๆในการเขียนรายงานส่วนdiscussงัย
ถ้าทำแบบข้อเสนอแรกไม่ได้ ก็ให้ตัดใจบังคับจิตใจแล้วเริ่มเขียนเลย โดยเริ่มจากเขียนแกนหลักๆของการ discuss ที่น่าจะต้องมีก่อนในเศษกระดาษ แล้วพอได้แกนที่น่าพอใจแล้ว ก็เริ่มเขียนในรายงานตัวจริงได้เลย โดยให้คิดไปทีละส่วน เขียนทีละส่วน
แล้วถ้าเขียนเสร็จแล้ว อยากจะอ่านทวนก็ทำได้นะ แต่ต้องตัดใจ ถ้ามันรู้สึกว่ามันไม่ค่อยได้ดั่งใจ ไม่ดีเลย ก็ส่งไปเถอะ เพราะยังงัยก็ไม่มีอะไรดีที่สุดในสายตา ARหรอก เพราะว่าไม่มีอะไรสมบูรณ์แบบได้คงที่ในสายตาพวก AR หรอก มันเปลี่ยนไปเรื่อยจ้า


Posted by : aries , Date : 2005-05-30 , Time : 19:29:44 , From IP : 172.29.7.190

ความคิดเห็นที่ : 34


    ดีขึ้นแล้วครับ แต่บอกตามตรงว่า ถ้าไม่มีตัวอย่างรายงานจากเพื่อน (ที่ทำ case คล้ายๆกัน) ก็คงจะเขียนไม่ได้ซักที มันไม่รู้ว่าจะเริ่มประโยคอะไรก่อน เคยเอารายงานมาเปรียบเทียบกับเพื่อน ปรากฏว่า เพื่อนเขียนเป็นระบบมากกว่าเราซะอีก ทั้งๆที่เราก็คิดอะไรที่คล้ายๆกัน แต่เพื่อนใช้คำพูดและการจัดลำดับประโยคที่น่าอ่านกว่าเยอะเลย
<( -_- )>


Posted by : Fefnir , Date : 2005-06-25 , Time : 00:35:03 , From IP : 172.29.4.119

ความคิดเห็นที่ : 35


   ดีแล้วครับที่เริ่มแก้ปัญหาได้

ขอแนะนำเพิ่มอีกนิด ทางที่ดีถ้าคิดว่ามีปัญหาเรื่อง wording หรือลำดับประโยคในการเขียน ผมคิดว่าควรจะเอารายงานไหนก็ได้ที่ "ไม่เหมือน หรือคล้าย" ของเรามาเป็นต้นแบบแทน เพื่อป้องกันไม่ให้เราเผลอไปลอกเอา contents ของ case และจะได้ดูแต่การใช้คำ หรือรูปแบบเท่านั้น

เพราะถ้าลอกเอาเนื้อหามาด้วย มีโอกาสสูงมากที่จะไม่ได้เรียนอะไรจาก case นั้นๆเลย เวลาเราลอกอะไรลงมาทั้งกระบิ มันจะ bypass สมองส่วนวิเคราะห์ไปและเปิดเป็นวงจรระดับต่ำ (สายตา รับรู้ตัวหนังสือ ออกมาเป็นเขียน) โดยไม่มีกระบวนการขั้นสูงของสมองมายุ่งเกี่ยว ในระยะยาวจะมีปัญหาใหญ่กว่าเขียนรายงานไม่ออก คือทำข้อสอบไม่ได้ ไม่ทราบว่าจะรักษาคนไข้อย่างไร

แต่ถ้าที่ทำคือแก้ปัญหาได้โดยเอาตัวอย่างรูปแบบเฉยๆ ก็ดีมากครับ แสดงความยินดีด้วย


Posted by : Aquarius , Date : 2005-06-25 , Time : 01:07:01 , From IP : 172.29.7.56

ความคิดเห็นที่ : 36


   ได้ลองไล่อ่านข้อความเก่าๆ เกี่ยวกับ AR กับ AS ทำให้เข้าใจ learning style ตัวเองขึ้นเยอะ
แต่ว่า รู้สึกมันมีทุกอย่างปนกันหมดเลย ทั้ง AS AR CR จนเริ่มงง ว่าตัวเองเป็นแบบไหนกันแน่ค่ะ เริ่มดูเหมือนไร้จุดยืนเลย (ความไม่แน่ใจตัวเองนี้จะหมายถึง AR รึเปล่านะ?)

อ่านข้อความโพสของคุณ fefnir รู้สึกว่าคล้ายกับตัวเองมาก เลยกลับมาดูตัวเองมาก
ช่วงนี้ต้องเริ่มทำรายงานเหมือนกัน ตอนแรก ก็กลัวเหมือนกันว่ารายงานทำคนเดียว คงทำไม่ได้แน่ๆเลย แต่ว่าหลังๆ ได้รับคำแนะนำจากรุ่นพี่ และอาจารย์ ก็เพิ่งเริ่มเข้าใจว่าเราทำรายงานเพื่อเรียนรู้คนไข้ และฝึกคิด approach คนไข้ให้เป็นระบบ สนุกดีเหมือนกันค่ะ แต่ว่ารายงานหลังๆที่ออกมาเลยมีแต่ภาษาพูดของตัวเอง ไม่ค่อยได้ลอกหนังสือ เลยออกมาแบบบ้านๆ แต่ก็คิดว่าถึงจะ คะแนนไม่ค่อยสวยหรู แต่ว่าทำเสร็จ ก็รู้สึกว่าคิดเป็นและดูคนไข้ในโรคนั้นๆเป็นมากขึ้น อีกอย่างหนึ่ง เวลาเราทำรายงาน ไม่รู้เพราะความเป็น AR รึเปล่า ทำให้ สนุก เพราะ มีอะไรก็คุยกับคนไข้ ลุงเค้าก็มีความสุขที่จะเล่าเรื่องต่างๆให้เราฟัง บางครั้ง เล่นคุยเป็นสองชั่วโมง
แต่อย่างที่อาจารย์เคยแนะนำค่ะ ตอนนี้กำลังเริ่ม severe เวลาใกล้สอบ รู้สึกอ่านไม่ทันเลย เพื่อนๆเค้าอ่านแป้บเดียวจำ เรากลับทำอย่างนั้นไม่ได้ เพราะไม่มีเหตุผลให้จำว่าทำไมมันเป็นอย่างนี้ อย่างนั้น อ่านไปซักพักก็จำไม่ได้
ส่วนการแก้ปัญหาในการเรียน เมื่อก่อน ก็ลองอ่านกับเพื่อนค่ะ ก็จำดี สนุกดี แต่ช้า หลังๆนี้ เริ่มเรียนไม่เหมือนกัน เลยต้องมาอ่านคนเดียว เลยต้องปรับตัวใหม่หมด รู้สึกว่าเสียเวลาในการอ่านมากกว่าคนอื่น text ในหนังสือทั้งหมดที่อ่าน ต้องมานั่งเขียนเป็น diagram เป็นรูปภาพ หรือตารางแทน ทำให้อ่านทีนึงต้องทำโน้ตสั้นๆหมด เลยทำให้อ่านหนังสือช้ามาก ไม่รู้ว่าเกี่ยวกับหัวช้ารึเปล่า แล้วก็อีกอย่างหนูรู้สึกว่า เวลาเนื้อเรื่องตรงไหนที่ ไม่ค่อย link กับคนไข้ ไม่ค่อยเกี่ยวกับที่เจอตอนราวน์ก็จะจำไม่ได้เลย ไม่รู้ว่าจะแก้ปัญหาอย่างไรดีเหมือนกันค่ะ



เมื่อหลายเดือนก่อน Learning style ที่เคยทำ เป็นแบบ AR เยอะมากๆ AS รองลงมา ส่วนที่น้อยสุดคือ CS ค่ะ

ขอคำแนะนำด้วยนะคะ (ข้อความอาจสับสนบ้าง แต่มันก็สับสนเหมือนคนพิมค่ะ)



Posted by : กระป๋องน้อย , Date : 2005-06-27 , Time : 18:53:38 , From IP : 172.29.4.178

ความคิดเห็นที่ : 37


   ทุกคนจะมี "อย่างน้อย" สอง trait เสมอครับ ไม่มีใครมาประเภท pure อย่างเดียว และไม่แปลกที่จะมีสมดุลกันหมดทุกอย่าง

Learning style เป็นความถนัดผสมความชอบ และจากตรงที่มันเป็นความถนัดด้วยนี่เองที่ทำให้ สามารถฝึกได้ สำหรับแบบที่เรา "อยากจะ" เป็นแต่เริ่มแรกอาจจะไม่ใคร่ถนัด นี่คือประโยชน์ที่สำคัญอย่างหนึ่งเวลาเราจะ apply learning style นั่นคือวิเคราะห์หาจุดอ่อน จุดโบ๋ ในความชอบของเราและก็สามารถจะขวนขวายมาเสริมแต่งได้

โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องลำดับของข้อมูล (sequential versus random) ตรงนี้เสริมได้ ที่มีปัญหาในการเรียนระดับอุดมศึกษามักจะเป็นพวกที่ขาด sequential แล้วต้องทำงานให้เสร็จ แต่เนื้อหาตนเองนั้นชอบด้าน random สุดๆ เนื่องจากงานในการศึกษาระดับนี้มันมี assignment เยอะ ถ้าเราตามใจตนเองมากเกิน มันก็จะล่วงเวลา ไม่เสร็จ และในที่สุดก็เรียนไม่จบ การประเมินนั้น ยังไงๆด้าน cognitive evaluation มันก็ต้องมี time frame อยู่ดี และ assay ก็ต้องเขียนให้คนตรวจอ่านรู้เรื่อง ฉะนั้นการ "เรียบเรียง" ก็เป็นอะไรที่จำเป็นต้องฝึก

เรื่อง "ความจำ"ลองใช้กลเม็ดวิธีการอ่านหนังสือที่กลุ่มหน่วยกิจการนักศึกษาเขาจัดติวให้มาใช้ แต่ถ้าเอา learning style มาอธิบาย บางทีมันไม่ใช่เราไม่จำ แต่เป็นมันน่าเบื่อ เพราะแห้งแล้งเกินไป (ในสายตาของพวก AR) เราก็ลองหาวิธีส่วนตัวมาดัดแปลง เช่น เขียนเป็น mind mapping หรือแปลงเป็นรูปภาพประกอบ ถ้าเราสามารถทำกิจกรรมนั้นๆให้มันน่าสนใจสำหรับรสนิยมเราได้ เวลาที่ผ่านไปก้ไม่น่าทรมานนัก

อย่าลืมว่าเวลาทำงานมันจะมีสอง parts เสมอ ที่น้องทำไปแบบเขียนรายงานเล่าเรื่องที่ว่าเป็นการเรียนเพื่อรู้ แต่ยังไงๆเราก็ต้องหัดเขียนรายงานแบบมี format มีรูปแบบตามที่เขาสอนไว้ เวลาตอบมันจะได้ได้คะแนนด้วย อย่าเอาแต่พรรณนาโวหารอย่างเดียว เอาปริญญาด้วยนะจ๊ะ



Posted by : Aquarius , Date : 2005-06-27 , Time : 21:02:19 , From IP : 203.156.119.30

ความคิดเห็นที่ : 38


   น้องกระป๋องน้อยน่าจะมีความใกล้เคียงกับARมากเหมือนกันนะ
ในอดีตนะพี่ก็มีชีวิตคล้ายกับน้องมากเลย ตรงที่ การได้เรียนกับคนไข้ ได้ฝึกคิดวิเคราะห์เรื่องของคนไข้โดยการแลกเปลี่ยนกับพวกพี่ๆ externบ้าง กับพชทบ้างมันทำให้รู้สึกว่าการเรียนสนุกขึ้นจริงๆ แตว่าการทำแบบนี้ดูเหมือนว่าเราจะอ่านหนังสือได้น้อยกว่าเพื่อนๆ เพราะว่ากลับจากwardไปก็เหนื่อย ง่วง..อ่านหนังสือไปได้สักพักก็หลับ ก็ทำให้เกิดความกังวล เพราะอาจารย์มักจะแนะนำเสมอว่า ให้พวกเราอ่านtext book แต่ว่ามันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย การอ่านtext book มันจะทำให้อ่านได้ช้ามาก สรุปใจความก็ยาก ทางแก้ของพี่ก็คือ พี่ใช้วิธีว่าอ่าน scope เรื่องราวต่างๆที่จะอ่านจากหนังสือภาษาไทยกับlectureของอาจารย์ไปก่อน แบบเป็นแนวทางหน่ะ แล้วค่อยมาอ่านเพิ่มเติมในบางเรื่องสักนิดจากtext book คืออ่านเฉพาะบางส่วนเพื่อคลายกังวลหน่ะ และเราก็ไม่ต้องกลัวเพราะพอโตขึ้นหน่อยการอ่านtext bookของเราก็จะง่ายขึ้น เพราะฝึกอ่านมาทีละนิดบ้างแล้ว
แต่ทำแบบนี้ ผลที่พี่ได้ พี่บอกน้องก่อนนะ มันอาจไม่ได้ทำให้เราได้เกรดในบางรายวิชาที่มีcontent เกี่ยวกับความจำมากนัก เพราะข้อสอบไม่สามารถวัดความรู้ที่เรามีอยู่ในตัวได้หมดหรอก แต่สิ่งที่น้องจะได้ติดตัวตามมา และจะได้ถูกพิสูจน์ต่อไปในอนาคตก็คือ skill ทักษะในการคิด หรือการแก้ปัญหาเกี่ยวกับผู้ป่วยแบบองค์รวมจริงๆ ที่คงไม่มีใครเขียนในตำรามากนัก
น้องต้องอดทนให้มากๆนะ เพราะเรื่องความเก่งคิดแบบนี้จะปรากฏฉายแววอย่างชัดเจนว่าน้องคิดเป็นคิดเก่ง คุยกับคนไข้ได้อย่ามีความสุข ก็ต้องตอนเป็น externนั่นแหล่ะ ต้อง..รอ.. รอ.. รอ..
อีกอย่างพี่ว่า น้องต้องตอบตนเองให้ได้ว่า ความสุขที่แท้จริงของการเป็นแพทย์ของตนเองนั้น จุดยืนของความสุขคือะไร 1 เป็นหมอที่เรียนเก่ง หรือ 2 เป็นแบบที่มีความรู้ผ่านเกณฑ์พื้นฐาน แต่สามารถสร้างความสัมพันธ์กับคนไข้ได้อย่างดีเยี่ยมเป็นที่รักของคนไข้ หรือ 3 อยากได้ทั้งสองอย่าง น้องคงต้องมองให้ชัดนะ เพราะถ้าอยากได้ทั้งสองอย่างแบบข้อ3 แต่มันก็ยากเกินศักยภาพของเรา ต้องทนทุกข์เกินไปกับการเรียน พี่แนะนำใขอให้น้องเลือกแบบที่2 จะดีกว่า เพราะน้องจะเป็นหมอที่คนไข้ส่วนใหญ่ต้องการ
ขอเน้นเรื่องสุดท้าย เรียนไม่เก่งเกรดไม่ดี ไม่ใช่คนไม่ดีนะ ท่องไว้ได้เลยจ้า
แล้วว่ากันต่อนะ


Posted by : aries , Date : 2005-06-28 , Time : 21:01:27 , From IP : 172.29.7.206

ความคิดเห็นที่ : 39


   ขอบคุณค่ะ อาจารย์ตอนนี้ก็กำลัง ปรับๆๆ ตัวต่อไปค่ะ
คนเราเรียนรู้ได้ตลอดชีวิต แหะๆๆ สู้ตายค่ะ


Posted by : กระป๋องน้อย , Date : 2005-07-07 , Time : 02:16:36 , From IP : 172.29.4.178

ความคิดเห็นที่ : 40


   อยากได้แบบทดสอบ cs cr as ar ตัวนี้จะต้องทำยังไงบ้างคะต้องการด่วนมากค่ะ ขอบคุณค่ะ

Posted by : นิสิตป.โท , E-mail : (koong_nk@hotmail.com) ,
Date : 2005-11-02 , Time : 12:24:01 , From IP : kuwin-134-29.kuwin.k


ความเห็นจาก Social Network : Facebook


สงวนสิทธิ์การแสดงความคิดเห็นสำหรับ สมาชิกเท่านั้น
>>>>> Page loaded: 0.023 seconds. <<<<<