ความคิดเห็นทั้งหมด : 11

คิดเห็น อย่างไร กับ บทบาท ของ4 วิชาชีพ


   น้อง ๆ คิดอย่างไรกันบ้างเกี่ยว กับ บทบาท ของ แพทย์ ทันตแพทย์ เภสัชกร พยาบาล ในปัจจุบัน และ อนาคตที่น้องอยากให้เป็น
หากน้องติดตามข่าว จะเห็นได้ว่า มีปัญหากันบ่อยครั้ง อาทิเช่น พรบ.ยา ที่จะออกใหม่ พวกเราว่าที่คุณหมอคิดอย่างไรกันกับขอบเขตบทบาทของเราและ เพื่อนร่วมวิชาชีพทางสาธารณสุข
เห็นด้วยไหมครับ ว่าเรายังไม่มี TEAM WORK ที่ดี มีคนเห็นแก่ตัวเห็นแก่ได้กันมากขึ้น ระบบสาธารณสุขไทยจึงไม่สามารถพัฒนาทัดเทียมอารยประเทศได้
เป็นห่วงอนาคต และอยากทราบความเห็นน้องๆ


Posted by : พี่ศิษย์เก่า มอ. , E-mail : (***) ,
Date : 2003-04-28 , Time : 16:33:22 , From IP : netturbo5.cscoms.com


ความคิดเห็นที่ : 1


   แบบว่ายังเรียนอยู่ไม่ค่อยรู้เรื่องอะไรมากเลยครับ
พี่ลองเขียนๆๆ แต่ละข่าวแต่ละประเด็นให้ทราบ
ด้วยได้มั้ยครับ


Posted by : โจ , Date : 2003-04-28 , Time : 16:39:05 , From IP : 203.107.196.199

ความคิดเห็นที่ : 2


   ขอยกตัวอย่าง ข่าวที่เรามีปัญหากับทางเพื่อนเภสัช เกี่ยวกับ พรบ.ยานะครับ

แพทยสภา และกลุ่มแพทย์ออกโรงคัดค้านร่าง พ.ร.บ.ยา หลัง อย.เสนอแก้ห้ามหมอจ่ายยาในคลินิก ทำได้เพียงเขียนใบสั่งยา ให้คนไข้ไปซื้อเอง ชี้ชาวบ้านเตรียมรับผลกระทบค่ายาแพงขึ้น "หมอ" สั่งจ่ายแต่ยานอก หวังรักษาหายเร็วเพื่อชื่อเสียง ขณะที่ร้านยาข้ามชาติเท่านั้นที่อยู่ได้ ชี้ใครรับผิดชอบชีวิตคนไข้ หากร้านยาจ่ายยาผิด

เมื่อวันที่ 19 ม.ค. 2546 แพทยสภาและแพทยสมาคมแห่งประเทศไทยจัดสัมมนา รับฟังความคิดเห็นระหว่างองค์กรวิชาชีพแพย์ต่างๆ เกี่ยวกับร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ยา พ.ศ. …. และพ.ร.บ.สุขภาพแห่งชาติ น.พ.สมศักดิ์ โลห์เลขา นายกแพทยสภาเปิดเผยว่า แพทยสภาไม่เห็นด้วยกับร่างที่คณะกรรมการอาหารและยา (อย.) กำลังปรับปรุงแก้ไขโดยเฉพาะมาตรา 14 (3) ที่ได้เพิ่มเนื้อหาว่า "ห้ามให้แพทย์จ่ายยาได้ในคลินิก" ซึ่งกรณีนี้กลุ่มแพทย์ไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง ซึ่งเหตุผลในการขอแก้ไขนั้น เนื่องจากคลินิกนับเป็นหน่วยบริการทางการแพทย์ขนาดเล็กที่สุด และถือเป็นหน่วยปฐมภูมิที่เป็นด่านแรกสำหรับการให้บริการตรวจ-รักษา มีลักษณะเป็นการให้บริการทางการแพทย์ครบวงจรอย่างเบ็ดเสร็จหรือ (one stop service) คือมีทั้งการตรวจวินิจฉัย จ่ายยา ทำแผล ตลอดถึงการทำผ่าตัดเล็ก ซึ่งการให้บริการแบบนี้อยู่คู่กับสังคมไทยมาช้านาน และเป็นที่พึ่งของประชาชนจนไม่สามารถแยกออกจากสังคมไทย

”การที่ประชาชนเลือกมาใช้บริการที่คลินิกนั้นเป็นเพราะสะดวก รวดเร็ว ค่าบริการเหมาจ่ายเบ็ดเสร็จไม่แพง ประชาชนได้รับยาตามข้อวินิจฉัยของแพทย์โดยตรง และยังทำให้สามารถเข้าถึงแพทย์ได้ง่าย คลินิกในสังคมไทยโดยทั่วไป มิได้ประกอบกิจการไปในเชิงธุรกิจเช่นเดียวกับการค้าทั่วไป ตรงกันข้ามการประกอบกิจการของแพทย์ส่วนมากเป็นไปในเชิงช่วยเหลือผู้ป่วย ค่าบริการที่คิดจากผู้ป่วยคือค่ายา ไม่ได้มีค่าแพทย์เช่นใน รพ.เอกชน ซึ่งประชาชนไม่คุ้นเคยกับแพทย์จะคิดค่าตรวจ หรือที่เรียกว่าค่าแพทย์ ดังนั้นการที่ร่าง พ.ร.บ.ยา ฉบับนี้ พยายามผลักดันห้ามแพทย์ที่ประกอบกิจการคลินิก ขายยา แบ่งบรรจุยา ผสมยา ฯลฯ แม้เป็นเพียงกระทำเพื่อผู้ป่วยของตนนั้น จะก่อให้เกิดผลเสียต่อประชาชนที่มารับบริการอย่างแน่นอน” น.พ.สมศักดิ์ กล่าว

นายกแพทยสภา กล่าวอีกว่าการห้ามแพทย์จ่ายยาในคลินิก ตามกฎหมายนี้ยังเป็นการเพิ่มความเสี่ยงต่อการสูญเสียชีวิตของผู้ป่วย เช่น กรณีที่ผู้ป่วยฉุกเฉินเร่งด่วนมารับบริการที่คลินิก และผู้ป่วยอยู่ในอาการช็อกหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน ความดันโลหิตสูง หอบหืดรุนแรง ได้รับพิษจากแมลงและสัตว์กัดต่อย ผู้ป่วยเหล่านี้จำเป็นต้องได้รับการรักษาพยาบาลเบื้องต้นอย่างเร่งด่วน และจำเป็นจะต้องให้ยาทั้งชนิดฉีด ยาพ่น ยาอมใต้ลิ้น หรือน้ำเกลือ เพื่อช่วยชีวิตได้ทัน หากร่างกฎหมายฉบับนี้มีผลบังคับใช้ แพทย์จะไม่สามารถมียาไว้ได้ที่คลินิก จะเป็นการเพิ่มความเสี่ยงการสูญเสียของผู้ป่วยอย่างแน่นอน ซึ่งหากเกิดความสูญเสียขึ้นใครจะเป็นผู้รับผิดชอบ

น.พ.สมศักดิ์ กล่าวด้วยว่า เมื่อแพทย์เขียนใบสั่งยาแล้วให้คนไข้ไปซื้อยาตามร้านขายยานั้น จะแน่ใจได้อย่างไรว่าผู้ป่วยจะได้รับยาตรงตามที่เขียนไว้ในใบสั่งยา เพราะทุกวันนี้ ร้านขายยาทุกแห่งคงไม่มียาครบในร้านอย่างแน่นอน โดยเฉพาะร้านขายยาขนาดเล็ก และคงไม่เปิดตลอด 24 ชั่วโมงอย่างแน่นอน เช่น ยากลุ่มรักษาโรคแผลในกระเพาะอาหาร และลำไส้เล็กส่วนต้น บางกรณีอาจได้รับยาคนละความแรง หรือมีส่วนประกอบของตัวยาไม่ครบ เช่น ยารักษาโรคผิวหนังต่างๆ หรืออาจได้ยาตัวเดียวกันตามใบสั่งแพทย์แต่เป็นยาเลียนแบบที่ไม่ไช่ยาต้นแบบ ตามใบสั่งแพทย์

”หากร่างฯ ดังกล่าวออกมาจะมีปัญหา และประชาชนจะเป็นผู้ได้รับผลกระทบทั้งหมดแน่นอน โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ป่วยที่เป็นโรคเฉพาะที่ต้องได้รับยาเฉพาะทาง ไม่ว่าจะเป็นผู้ป่วยโรคหัวใจ ผู้ป่วยความดันโลหิตสูง ผู้ป่วยโรคกระดูกและข้อ ผู้ป่วยโรคทางเดินสมองและระบบประสาท ผู้ป่วยทางสูตินรีเวช หรือผู้ป่วยเด็กที่ต้องได้รับยาเฉพาะกลุ่ม"

นายกแพทยสภา ยังระบุด้วยว่า กฎหมายมาตราดังกล่าวจะส่งผลให้ร้านขายยาจากต่างชาติฉวยโอกาสเข้ามาแสวงหากำไรมากขึ้น

***** "ร้านขายยาในบ้านเราส่วนมากไม่ได้เปิดตลอด 24 ชั่วโมง แต่ที่จะเปิดตลอดจะเป็นร้านขายยาตามห้างสรรพสินค้า เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วร้านขายยาก็จะเป็นเหมือนร้านโชวห่วยที่ห้างสรรพสินค้าดังๆ เข้ามาเปิดให้บริการ 24 ชั่วโมง ทำให้ร้านขายยาจากต่างชาติเข้ามาแสวงหากำไรมากขึ้น รวมไปถึงแพทย์ที่เขียนใบสั่งยาก็จะไม่คำนึงแล้วว่าจะต้องให้ยาอย่างประหยัดก็หันไปสั่งยานำเข้าจากต่างประเทศเพื่อให้โรคหายเร็ว ซึ่งก็จะทำให้มีผู้ป่วยมาใช้บริการมากขึ้นเพราะสั่งจ่ายยาหายเร็ว ผิดกับสมัยก่อนที่จะต้องคำนึงถึงราคาไม่แพงและจ่ายยาที่มีในประเทศเพราะคำนึงถึงค่าใช้จ่ายที่ตามมา เมื่อเป็นเช่นนี้ก็เหมือนกับ รพ.เอกชนที่จะต้องสั่งจ่ายยาราคาแพงเพื่อให้ผู้ป่วยหายเร็วจะได้กลับมาใช้บริการอีก” *****

น.พ.สมศักดิ์ กล่าวว่า ความสัมพันธ์ของคนไข้กับแพทย์ก็จะหมดไป แทนที่จะมาขอรับคำปรึกษาฟรีเช่นปัจจุบัน ก็จะกลายเป็นว่าถ้าผู้ป่วยมาขอรับคำปรึกษาก็จะคิดเงินคิดทอง ความสัมพันธ์ก็หมดไปอย่างสิ้นเชิง ดังนั้นมาตราดังกล่าวไม่ควรมีใน พ.ร.บ.ยาอย่างเด็ดขาด

น.พ.สมศักดิ์ กล่าวว่าประชาชนที่ใช้สิทธิบัตรประกันสังคมจะไม่สามารถไปใช้บริการที่คลินิกได้ โดยเฉพาะคลินิกประกันสังคมที่เป็นเครือข่ายของ รพ.ต่างๆ ซึ่งรัฐเป็นผู้ให้การสนับสนุนนั้น เป็นหน่วยบริการปฐมภูมิที่ผู้ประกันตนได้รับความสะดวกในการเข้ารับบริการทางการแพทย์มาช้านาน และยังเป็นการลดปริมาณผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาที่ รพ. โดยการคัดกรองจากแพทย์ที่คลินิกอย่างเหมาะสม

”หากร่าง พ.ร.บ.นี้ออกมา เชื่อได้แน่นอนว่าจะไม่มีผู้ประกันตนคนใดเข้ารับบริการตรวจโรคที่คลินิกเพียงเพื่อรับใบสั่งยา แล้วกลับไปรับยาที่ รพ.และ รพ.ก็จะเต็มไปด้วยผู้ป่วยที่ความจริงแล้วสามารถให้บริการรักษาได้ที่คลินิกเครือข่ายก็ได้ ร่าง พ.ร.บ.ยา ฉบับนี้แทนที่จะปรับปรุงให้ดีขึ้นกับเป็นการถอยหลังมากขึ้น” น.พ.สมศักดิ์ กล่าว

น.พ.ฐานปนวงศ์ ตั้งอุไรวรรณ ประธานชมรมแพทย์เพื่อวิชาชีพแพทย์ และกรรมการแพทยสภา กล่าวว่า ไม่เห็นด้วยกับ พ.ร.บ.ยาที่กำลังแก้ไขเพราะจะทำให้ประชาชนเดือดร้อน และที่ผ่านมาได้ล่ารายชื่อคัดค้านจากแพทย์ประมาณ 3,000 รายชื่อ ส่งให้กับนางสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการสาธารณสุขตั้งแต่ช่วงปีใหม่ จนถึงขณะนี้ยังไม่ได้รับความคืบหน้า

พ.ญ.มาลินี สุขเวชกิจ รองประธานกรรมาธิการสาธารณสุข วุฒิสภา กล่าวว่า พ.ร.บ.ยาที่กำลังแก้ไขนั้นให้แพทย์เขียนใบสั่งยาแล้วไปซื้อยาในร้านขายยา ซึ่งร้านขายยาในประเทศไทยนั้นไม่ได้เปิดตลอด 24 ชั่วโมง เท่ากับจะเป็นการส่งเสริมให้ร้านขายยาที่เปิดตลอด 24 ชั่วโมง โดยเฉพาะเป็นร้านขายยาที่เป็นห้างจากต่างประเทศเท่ากับเป็นการส่งเสริมต่างประเทศมากกว่า ขณะเดียวกัน หากคนไข้ใช้ยาแล้วเกิดเป็นพิษใครจะรับผิดชอบ

"ถ้าออกกฎหมายแล้วมาบีบวิชาชีพทั้งแพทย์ ทันตแพทย์ มากขึ้นก็จะทำให้เด็กรุ่นใหม่ไม่อยากจะมาเรียน ดังนั้นการปรับปรุงกฎหมายนั้นควรดูให้ละเอียดและครบถ้วนไม่ใช่บีบบังคับเพราะสุดท้ายแล้วผลกระทบจะตกที่ประชาชน ควรไปแก้ไขร่างเดิมที่มีอยู่แล้วให้ทันสมัยกับเหตุการณ์ปัจจุบันจะดีกว่าเพราะไม่ต้องมานั่งวุ่นวายเช่นนี้” รองประธานกรรมาธิการฯ กล่าว
(คม ชัด ลึก วันจันทร์ที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2546) ท่านคิดเห็นอย่างไรบ้างครับ


Posted by : พี่ครับ , E-mail : (***) ,
Date : 2003-04-28 , Time : 17:15:12 , From IP : netturbo5.cscoms.com


ความคิดเห็นที่ : 3


    ประเทศไทยคิดแต่จะเอาตามคนอื่นเขามิได้คำนึงถึงศักยภาพของตนเองเลย
ดังเช่นการที่จะมาห้ามหมอจ่ายยานั้นเป็นการกระทำที่ไม่ดูตัวเสียเลย ลองคิดดูสิครับ
ปัจจุบันร้านยาที่มีเภสัชกรจริงๆอยู่มีสักกี่ร้าน มีแต่ชื่อขึ้นเอาไว้ไม่เคยมีใครมาเฝ้ายาที่จ่ายก็หมอตี๋เหมือนเดิม และลองคิดดูสิครับถ้าหมอจ่ายยาไม่ได้อีกหน่อยผู้ป่วยก็จะไปหาเภสัชไม่ดีกว่าหรือไม่ต้องไปรอถึงสองต่อไปที่เดียวก็ได้แล้ว อาชีพหมอก็จะหมดไปเรื่อยๆเพราะหมดไฟหมดกำลังใจต่อไปคนก็จะเปลี่ยนไปบอกว่ายาเภสัชนี่ดีนะ เภสัชนี่เก่งนะ เพราะปกติแล้วผู้ป่วยคิดอยู่เสมอว่าเค้าหายเพราะยา ซึ่งยาได้มาจากเภสัช คนไทยเค้าไม่ค่อยมีความรู้หรอกครับ คราวหลังก็ไปหาเภสัชกันหมดหมอไม่ต้องมีหรอกครับ เพราะจริงๆแล้วการที่จะกำหนดแบบนี้ได้ต้องกำหนดด้วยว่าเภสัชกรจะไม่สามารถจ่ายยาให้ใครได้ถ้าไม่มีใบสั่งจากแพทย์แต่นี่ก็จับกันได้ยากครับเพราะห้ามแพทย์ให้ซื้อยามันง่ายกว่าการห้ามเภสัชไม่จ่ายยาเพราะมียาอยู่ในมือแล้ว และต่อไปอีก20ปีแพทย์ไทยก็จะโง่ล้าสมัยเพราะไม่มีใครอยากเรียน ส่วนคนเก่งๆมที่เหลือก็จะกลายเป็นสมองไหลสู่ประเทศอื่นๆเพราะแม้เค้าจะมีกฎหมายที่เข้างวดแต่เรื่องค่าตอบแทนเขาดีกว่าไม่เหมือนประเทศไทยที่ค่าตอบแทนไม่คุ้มค่ากับกฎหมายที่จะเอาอย่างเพื่อน คุณภาพทางสาธารณสุขของไทยก็จะด้อยลง ก็คงจะโทษใครไม่ได้นอกจากพวกที่คิดแต่จะฉกฉวยโอกาสหากำไรหาชื่อเสียงจากประเทศบ้านเกิดของตนเอง สักวันเมื่อแผ่นดินไทยขาดหมอที่ดีมีคุณภาพคุณผู้มีอำนาจมีเงินมหาศาลคงไม่มีผลกระทบหรอกเพราะหมอต่างประเทศมีแยอะแยะแต่พี่น้องชาวไทยตาดำๆคุณภาพชีวิตเค้าจะเป็นอย่างไร คนสูงกว่าสัตว์ที่มันสมอง ดังนั้นโปรดใช้สมองบ้างนะครับ มิเช่นนั้นคงไม่ต่างจาก............


Posted by : คนขวางโลก , Date : 2003-04-28 , Time : 18:05:49 , From IP : 172.29.2.108

ความคิดเห็นที่ : 4


   เพื่อนเราเป็นเภสัช เค้าให้พี่สาวที่ไม่ได้เป็นเภสัชมาขายยาแทนตอนกลางวัน
ส่วนอีกร้านที่อยู่ตรงกันข้ามให้แม่มาอยู่ร้านแทน
ถามว่า พี่สาวของเภสัช กับแม่ของเภสัชสมควรจ่ายยาแทนหมอหรือไม่
ช่างน่าสมเพชคุณภาพชีวิตคนไทยเสียจริง
เวลาซื้อยามีใครถามว่าคุณเป็นเภสัชหรือเปล่าไม่งั้นผมไม่ซื้อนะ
ง่ายๆ แค่นี้
ลองไปสุ่มเล่นๆ ดูสิว่ามีเภสัชกี่คนที่ขายยาที่ร้านของตัวเอง
เพราะส่วนใหญ่ไม่ได้ลาออกไปทำงานที่ร้านแต่ทำงานที่ รพ. ตอนกลางวันแล้วให้ญาติหรือลูกจ้าง (ที่น่าสงสาร) มาเฝ้าและขายแทน
ส่วนร้านที่เค้าขายทั้งวันน่ะน้อยมาก โดยเฉพาะตามอำเภอต่างๆ
ลองเช็คดู


Posted by : เห็นด้วย , Date : 2003-04-28 , Time : 18:26:58 , From IP : 172.29.3.240

ความคิดเห็นที่ : 5


   หมอหน่อยรีบแก้ปัญหา
อย่าเอาแต่ออกงานเอาหน้า
อย่าโกหก


Posted by : ้harry , Date : 2003-04-28 , Time : 19:00:46 , From IP : 172.29.1.153

ความคิดเห็นที่ : 6


   ควรจะมีการประชุมกันแพทย์ และเภสัช หาทางออก และก็ไม่เข้าใจว่าที่ต่อว่ากันไปต่อว่ากันมานี่มันจะมีประโยชน์อะไร บางเรื่องคุณก็ต้องอาศัยวิชาชีพอื่นเหมือนกัน บางเรื่องคุณอาจไม่รู้อะไรเลยในขณะที่บางคนเขาเก่งกว่ามาก
เราต้องทำงานร่วมกันอยู่คนเดียวไม่ได้หรอกครับ ก่อนจะเขียนอะไรลงมาคิดสักนิดครับ ไม่อยากให้สองวิชาชีพนี้ทะเลาะกันเองพวกเรามาทะเลาะกันแบบนี้แต่ไอ้ตัวต้นคิ ดล่ะครับตอนนี้มันก็ไม่ได้รู้สึกอะไรหรอกก็เหมือนกับโครงการ 30 บาทนั่นแหละ ตอนนี้คงต้องยอมรับนะว่ามีประชาชนมากมายมีความเห็นที่ไม่ดีกับหมอ ทั้งๆ ที่โครงการนี้มันเป็นความผิดของ..........แล้วมีใครด่าเค้าบ้างมีประชาขนคนไ หนด่าบ้าง ตัวต้นเหตุไม่โดนแต่คนปฎิบัติงานกลับโดน เราควรจะมีความสามัคคีกันให้มากกว่านี้นะ มีอะไรไม่เข้าใจกันก็ควรจะปรับความเข้าใจ ไม่ใช่มาต่อว่าอีกฝ่ายโจมตีกันอย่างนี้ แล้วคิดเหรอครับว่าถ้ามีคนอื่นมาอ่านแล้ววิชาชีพเราจะสูงขึ้นเหรอครับ ไม่หรอก ทั้งหมอทั้งเภสัชแหละ



Posted by : หมอคนนึงเหมือนกัน , E-mail : (*********) ,
Date : 2003-04-30 , Time : 21:16:04 , From IP : netturbo2.cscoms.com


ความคิดเห็นที่ : 7


   จริงๆเภสัชส่วนใหญ่ก็สนับสนุน พรบ.ยาเกือบทุกคนแหละครับโดยหลักการพวกเราเพียงแต่คิดว่า พรบ.ยาจะช่วยเพิ่มความสำคัญของวิชาชีพพวกเราในวงการยาได้บ้าง

แต่โดยทางปฏิบัติแล้วผมเห็นด้วยกับแพทย์ ครับว่าเราควรจัดการร้านยาให้ได้มาตรฐานเสียก่อนให้ร้านขายยาขายยาโดยมีเภสั ชกรจริงๆ

ที่ผมกลัวที่สุดคือไม่อยากให้แพทย์เกลียดเภสัช อย่างที่ผมกำลังรู้สึกว่ามันกำลังจะเป็นอย่างนั้น ไม่ต้องรีบร้อนออก พรบ.ก็ได้ แต่ขอให้ใช้กฎหมายเดิมที่มีอยู่แล้วมีผลบังคับใช้จริงๆ ทุกวันนี้ที่ร้านผมไม่มีวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตประสาท ไม่มีโคเดอีน เพราะถ้าโดนขึ้นมาจะมองหน้าใครได้ แต่ร้าน ขย.2 เขากล้าทำ ตอนนี้บางร้านขุดเอาคลอแรมขึ้นมาขายด้วยซ้ำ เพราะการตรวจเข้มเริ่มซาไปแล้ว

ส่วนกรณีศึกษาที่ยกตัวอย่างความผิดพลาดของร้านยามา ก็ขอร้องเถิดครับ ทุกวงการมีทั้งดีชั่ว คลีนิคหมอจ่ายยาชุดลดความอ้วน หมอเด็กจ่ายยาผิดให้PARA drop 5 cc.แทนที่จะเป็น0.5cc. รีคอนซัลท์แพทย์แต่ละครั้งเภสัชรุ่นพี่เขาจะสอนรุ่นน้องๆกันเลยนะครับ เทคนิคการพูดยังไงไม่ให้หมอโกรธ ถ้าหมอไม่ผิดโดนด่าเปิง หมอผิด ขอบคุณสักคำก็ไม่มี แต่ส่วนน้อยครับ หมอส่วนมากนิสัยดี น่ารัก เพราะถ้าเราพูดคุยกันสนิทสนมกันเข้าใจกันเรื่องแบบนี้ก็ง่าย แต่ถ้าแตกแยกกันไม่เข้าใจกัน เรื่องนิดเดียวก็เป็นเรื่องชวนให้ทะเลาะกัน

ผมไม่ชอบให้เภสัชหรือใครที่ไหนมาว่าแพทย์แบบเหมารวมอย่างกระทู้ที่ผ่านมา และก็ไม่ชอบให้ใครมาว่าวิชาชีพของผมแบบเหมารวมเหมือนกัน ไม่ต้องแกล้งทำเป็นเห็นใจว่าเภสัชมันกำลังจะอดตายหรอกครับ เพราะคนลองเรียนมาได้ขนาดนี้แล้วถ้าไม่โลภมากผมว่าพวกเราก็พออยู่พอกินเลี้ย งตัวเองได้ ไม่ต้องห่วงครับ

ว่าจะไม่พูดแล้วเชียว เรื่องนี้มันอ่อนไหวน่ะครับ



Posted by : เภสัชกร , E-mail : (00000) ,
Date : 2003-04-30 , Time : 21:19:07 , From IP : netturbo2.cscoms.com


ความคิดเห็นที่ : 8


   เห็นด้วยร้อยเปอร์เซนต์ ขอให้บนกระดานข่าวแห่งนี้มีแต่เรื่องสร้างสรรค์แต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้นครับ



Posted by : Phoenix , Date : 2003-05-01 , Time : 01:35:03 , From IP : 172.29.3.214

ความคิดเห็นที่ : 9


   ประเทศไทยคิดแต่ทำตามต่างประเทศโดยไม่คำนึงถึงความเป็นจริงของประเทศเรา ลองคิดดูว่าจะวุ่นวายแค่ไหนในการเพิ่มขั้นตอนของการรักษา
one stop service , ความรวดเร็ว สะดวก ลืมไปแล้วหรือ
อย่าให้ความคิดถอยหลังเกิดในเมืองไทยเลย
ฝาก รมต สุดารัตน์ ให้เข้าใจพื้นฐานสังคมไทยด้วย
ไม่ใช่ นั่งกำหนดแต่นโยบายกระดาษ โดยไม่ดูความจริง


Posted by : john , Date : 2003-05-02 , Time : 14:03:40 , From IP : 172.29.3.154

ความคิดเห็นที่ : 10


   เป็นเภสัชกร พอดีน้องที่เป็นหมอ อยากให้ลองมาอ่านเว็บนี้บ้าง มาเจอกระทู้นี้เข้าพอดี

หากเราลองคิดดูว่า ผลประโยชน์ส่วนรวมเป็นที่ตั้ง อะไรดี แม้ไม่ที่สุด สำหรับประชาชน

เราเองรักวิชาชีพเภสัชศาสตร์ (อดไปสอบสถาปัตย์ มัณฑนศิลป์ เรามันเด็กบ้านนอก) ไม่เคยแขวนป้าย เป็นเภสัชกรจนๆ รับเงินเดือนเพียวๆ ไม่มีค่าวิชาชีพ กันดาร etc. แต่พอใช้ ไม่รู้ทำไง

รักหมอใจดี รักหมอฟันใจดี (แม้เราต้องร้องอูยๆ เวลาเพื่อนเรากรอฟันให้) รักพยาบาลใจดี อยากให้ใครๆ ใจดี เมื่ออยู่กับคนไข้ คนไข้ก็สบายใจ หายเร็ววัน

โลกสวยงามจะตาย เราเป็นในสิ่งที่เราเป็น ไม่เคยอยากรวย อยากให้คนมีสุขภาพดี

ไม่อยากให้เพื่อนเภสัชกรแขวนป้าย เราเองก็จนๆ ไม่มีเงินมากๆ คนแขวนป้ายเอาเปรียบคนไข้ ดูถูกวิชาชีพ และดูถูกตัวเอง

เหตุผลนึงของเพื่อนรุ่นน้องที่แขวนป้าย ...ผมกำลังช่วยทางบ้านผ่อนบ้านราคาสิบล้าน...คนใช้สี่คน ค่าใช้จ่ายเยอะ

บั้นปลายเรา คงมีเพียงบ้านหลังเล็กๆ แม่เราเองก็ทำงานบ้านเอง ทำกับข้างให้พ่อทาน ให้เราทานอร่อยตอนเราไปเยี่ยมท่าน กล้วยในสวนสุกเครืองามก็แบ่งปันเพื่อนบ้าน

เห็นไหม ความสุขของเภสัชกร จนๆ เราเองจ่ายยาด้วยหัวใจ หัวใจกับหัวใจมันสื่อกันได้ เรารู้ว่า คนไข้รักเรา เค้าไม่รู้หรอกว่าเรา จนหรือรวย แต่เค้ารู้ว่าเรารักเค้า

กฎหมายไม่เอาความผิด ต่อผู้กระทำผิด ใครแขวนป้ายก็ไม่เคยไปจับ พอจะยึดใบประกอบโรคศิลป์หน่อย ก็วิ่งเต้นถึง ก็หลุดไป ไม่ผิด

คนทำผิดจึงไม่รู้สึกตัวว่าผิด หรือเปล่า?

ช่วยกันสร้างสังคมที่ดี ในสิ่งที่ตัวทำได้ ไม่ใช่เรื่องยากเลย

ละไว้เรื่องเงินทอง สักวันหนึ่งจะรู้ว่า เป็นของนอกกายจริงๆ


Posted by : คนจนๆ , Date : 2003-05-14 , Time : 13:21:57 , From IP : 147.46.21.117

ความคิดเห็นที่ : 11


    เรียนคุณขวางโลกและเห็นด้วย กรุณาเปิดหูเปิดตาบ้างก็ดีนะครับ(ถ้ายังเปิดใจไม่ได้)กับกรณีที่คุณๆว่ามาผมว่ามันก็จริง..แต่ต้องยอมรับสิครับว่าในสังคมทุกชนชั้นหรือวิชาชีพมันก็ต้องประกอบด้วยคนดีและไม่ดี..คุณกล้าพูดหรือครับว่าแพทย์ทุกคนมีจรรยาบรรณนะ..ไอ้ที่เห็นแก่เงินก็เพียบ...ไร้คุณธรรมก็เยอะ...ที่ดีๆก็มีถมเถไป...ต่างคนต่างรู้ต่างกัน..เภสัชก็รู้เรื่องยา..ก็คงไม่ก้าวก่ายเรื่องการตรวจรักษามากนักหรอก..เพราะเราต่างเข้าใจว่าแพทย์มีความสามารถในการวินิจฉัยและรักษาอยู่แล้ว..น่าจะทำงานร่วมกันสิครับไม่ใช่ให้แตกแยก..ตามร้านยานะ...ถ้าคิดว่ารุนแรงนะก็แนะนำให้ไปพบแพทย์อยู่แล้ว...ไม่ต้องกลัวหรอกครับว่าจะแย่งงานวิชาชีพนะครับต่างกับอาชีพ...แล้วที่ให้คนอยู่แทนนะ..อันนี้ผมไม่เถียงเพราะเคยเจอมาเหมือนกัน..แต่พวกคุณเคยมองกลับมั้ยครับว่าทำไมคนเค้าไม่ค่อยไปโรงพยาบาลของรัฐหรือคลินิก..เพราะหมอเล่นรู้อยู่คนเดียวเป็นอะไรก็ไม่บอก...ดูหน้า2 ครั้ง แล้วเขียนใบสั่งยา ราคายาก็สุดยอด บวกลบคูณหารดูสิครับ..ร้านยานะชิดซ้ายไปเลย....แล้วตามรพ.รัฐนะที่ฮั้วกันจนคนจับได้..ไม่ใช่หมอๆที่แสนดีทั้งนั้นหรือครับ..(ขออภัยแพทย์ส่วนใหญ่ที่ดีมีจรรยาบรรณครับ)....อันนี้ใครว่าไม่จริง..กรุณาบอกหน่อยครับ(ไม่ได้เหมารวมทุกโรงพยาบาลนะครับ)..เพราะผมเองก็เป็นหัวหน้าฝ่ายโรงพยาบาลชุมชนแห่งหนึ่ง....สิทธิ์ในเรื่องการซื้อเวชภัณฑ์อยู่ที่แพทย์นะครับ..พูดแล้วจะยาวซะปล่าวๆ...เอาเป็นว่าอยากให้เข้าใจว่าเป็นเรื่องบุคคลนะครับอย่าเหมารวมวิชาชีพ...เพราะในชีวิตผมที่ผ่านมาก็เจอแพทย์ดีๆมามากครับไม่เคยคิดดูถูกวิชาชิพแพทย์เลย..

Posted by : ภก.คนหนึ่ง , Date : 2003-05-14 , Time : 15:56:59 , From IP : 203.113.57.101

ความเห็นจาก Social Network : Facebook


สงวนสิทธิ์การแสดงความคิดเห็นสำหรับ สมาชิกเท่านั้น
>>>>> Page loaded: 0.051 seconds. <<<<<