ความคิดเห็นทั้งหมด : 19

ปัญหาใหญ่ที่เผชิญอยู่ก็คือ extern ที่ผ่านจากระบบการเรียนการสอน ไม่รู้จักการคิดเป็นระบบ


   ปัญหาใหญ่ที่เผชิญอยู่ก็คือ extern ที่ผ่านจากระบบการเรียนการสอน ไม่รู้จักการคิดเป็นระบบ แก้ปัญหาเฉพาะหน้าไม่เป็น จัดการกรณีฉุกเฉินไม่ถูก
ลองดู progress note ที่ extern เขียนก็จะพอบอกถึงกระบวนการคิดได้ระดับหนึ่ง extern หลายคนไม่เขียน progress note เมื่อถูกบังคับให้เขียน ก็จะมีประโยค " ...consult ....แล้ว บอกว่า ..." หรือ " โทรฯ รายงาน ... แล้ว บอกว่า " ไม่อย่างนั้นก็จะมี vital signs + ผล lab ลอกมาเขียนที่ progress note โดยไม่มีการแสดงออกถึงความคิดและการวิเคราะห์ใด ๆ

สิ่งเหล่านี้ยอมให้เกิดได้ หากกรณีที่เกิดขึ้น ไม่ใช่ critical case ไม่ใช่ emergency case และไม่ใช่กรณีที่ "ห้ามลืม-ห้ามพลาด" ถ้าปล่อยให้เกิดกรณีอย่างนี้หลุดออกไป จะเป็นเรื่องใหญ่แน่นอน

Posted by พี่น้องและผองเพื่อน() 2004-09-27 , 22:45:00 , 202.129.18.132



Posted by : deedee , Date : 2004-09-28 , Time : 15:19:28 , From IP : 221.128.88.115

ความคิดเห็นที่ : 1


   ระบบแบบไหนที่ทำให้ขาดการคิดและวิเคราะห์ครับ?



Posted by : Phoenix , Date : 2004-09-28 , Time : 16:14:41 , From IP : 172.29.3.75

ความคิดเห็นที่ : 2


   อาจารย์ฟีนิกส์ครับ กลับไปคุยที่กระทู้เก่าดีกว่าครับ

คุณdeedee อย่าตัดเอาเฉพาะเนื้อหาบางส่วนมา post อย่างนี้สิครับ อ่านแล้วมันห้วน ๆ กลับไปคุยที่หัวข้อเก่าดีกว่า
หรือว่าหากจะมีความคิดเห็นอะไรก็แสดงออกมา อย่าใช้ความคิดของคนอื่นสิครับ ไม่ดี


Posted by : พี่น้องและผองเพื่อน , Date : 2004-09-29 , Time : 19:16:43 , From IP : 202.129.18.132

ความคิดเห็นที่ : 3


   วันนี้ผมได้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการทำงานของ Extern ในโรงพยาบาลเรา ซึ่งโดนผลกระทบทั้งจากระบบการเรียนใหม่ และ จากการที่เรามี Intern มาหมุนเวียนอยู่ด้วย ผมอยากจะทำ Unofficial focus group ดูว่าเรา (externs) เห็นว่าเป็นอย่างไร หรือเรา (นักศึกษาแพทย์ปี ๔ ปี ๕) อยากจะให้เป็นอย่างไร ลองดูกันะครับ
.
ปล. ผมไม่มีอำนาจจะสัญญาว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงอะไรเกิดขึ้นจากการ post มาในกระทู้นี้นะครับ แค่อยากฟังความคิดของน้องๆเท่านั้นเอง


--------------------------------------------------------------------------------


--------------------------------------------------------------------------------
ความเห็น : ตั้งแต่ขึ้นชั้น clinic มา เกือยจะครบปี ผมได้ทราบอะไรหลายๆอย่าง ทราบความลำบากที่พี่ๆชั้น clinic ได้รับ ที่ตอนเรียน pre- clinic ไม่เคยได้รับรู้มาก่อน
ก่อนขึ้นมาเรียนผมได้รับทราบ concept ของการเรียนว่า เราเน้นเรียนจากคนไข้เป็นหลัก โดยในปี 4 เน้น approach ว่าอาการคนไข้มาแบบนี้ เราจะคิดถึงอะไร แล้วต้องส่ง Lab อะไรบ้าง ส่วนการรักษาให้รู้เพียงหลักการคร่าวๆ เช่น โรคนี้ต้องให้ antibiotic กลุ่มไหน ทำไม ก็พอ(ไม่รู้พอไหม)
แต่พอเอาเข้าจริง ทุกๆอย่างก็เข้ามาสุมหัว บางทีเสลา round กับอาจารย์ก็จะมีการถามถึงวิธีการรักษา dose เท่าไหร่ ให้ยังไง ผมเองโดนถามทีไรไม่เคยตอบได้เพราะยึดตาม concept (หรือว่าขี้เกียจกันแน่?) เดี๋ยวนี้การเรียนเปลี่ยนไป 1 บล๊อค มีประมาณ 3-4 ภาควิชา อย่าง pre-operative and post-operative care ก็รวมเอา วิสัญญี กับ orthopedics เข้ามาด้วย เลยเรียนมันซะทุกอย่างเลย
แต่ผมว่า ถ้าขยันก็พอเอาตัวรอดได้ครับ เพราะผมเชื่อว่า อาจารย์คงหวังดีเลยออกหลักสูตรมาให้เรียนแบบนี้ ท่านคงคิดแล้วคิดอีก ก็คงพยายามเรียนต่อไปครับ สู้ๆ
ส่วยประเด็นเรื่อง Extern ทราบว่าพี่เขางานหนักมาก ทำหน้าที่หลายๆอย่าง เห็นใจครับ คิดว่าจะพยายามช่วยเหลืองานที่ทำได้ เช่น เขียนใบสั่งยา ติด lab กรอก lab เขียน review of treatmant แต่บางทีก็กลายเป็นทำให้งานพี่เขาหนักขึ้นไปอีก(ก็ดันไปทำผิด) อยากทราบเหมือนกันครับว่า role ของนศพ.ปี 4 และปี 5 ควรต้องทำอย่างไรบ้าง คงไม่ได้มีแค่เดินตาม round ต้อยๆให้แข้งโตใช่ไหมครับ(อย่าว่ากันเลยครับ น้องยังไม่ค่อยรู้เรื่อง)?
ปล. ขอนอกเรื่องนิดนะครับ บางทีบุคคลากรที่ทำหน้าที่ติดต่อกับนศพ.ก็เป็นตัวแปลสำคัญ ในการอยู่รอดของนศพ. เหมือนกัน อย่างตอนนี้ block disease of adult and eldery กำลังถูกเลื่อนสอบ Final โดยไม่ได้กำหนดล่วงหน้ามาตั้งแต่ต้น block ทำให้แผนการณ์อ่านหนังสือของ นศพ. เกิดความโกลาหล เลื่อนมาผมไม่ว่าอะไรหรอกครับถ้าบอกตั้งแต่ต้น block ว่ากองนี้จะสอบเร็วหน่อยนะ แต่กลายเป็นว่าประกาศก่อนสอบไม่ถึงสัปดาห์ ทำเอาผมงง และ โกรธเลือดขึ้นหน้าไปหลายชั่วโมงเลยครับ T__T
โบทซึมุ 23:16:27 1/28/103 <172.29.2.120> (0)
--------------------------------------------------------------------------------
ความเห็น : ผมว่า extern ทำงานหนักเกินไป จนเวลามาดูคนไข้ discuss กัยอาจารย์ถึงแนวทางการรักษา วินิจฉัย น้อยกว่าที่ผมเคยคิด แต่มาทำงานจดๆเขียนมากเกินไป เดี๋ยวลอกโน่นเขียนนี่ คอยรับใช้ intern ตามที่เขาสั่งเกินไป...เท่าที่ประสบการณ์ผมนะครับ
ผะตี้ 12:34:28 1/29/103 <172.29.2.155> (0)
--------------------------------------------------------------------------------
ความเห็น : เอ่อ... แล้วการเรียนระบบเก่าเป็นไงอะฮับ.. externต่างจากปัจจุบันยังไงอะฮับ
กะป๋มฮับ 15:14:30 1/29/103 <172.29.2.80> (0)
--------------------------------------------------------------------------------
ความเห็น : ตอนนี้ใครๆก็คอยจับตามองรุ่นของเราที่กำลังจะไปเป็นเอ็กเทิน คนนิสัยไม่ดีหลายๆคนก็กำลังจ้องจับผิด แล้วก็มาด่าว่าเพราะพวกมันเรียนมาแบบใหม่ ระบบ pbl มันถึงทำอะไรกันไม่เป็น ก็เตรียมตัวเตรียมใจเอาไว้พอสมควรแล้วล่ะ แต่ก็จะพยายามทำให้ดีที่สุดเลยนะ
จะยอมเป็นกรวดทรายให้พวกเธอเหยียบย่ำ 15:37:17 1/29/103 <203.148.180.84> (0)
--------------------------------------------------------------------------------
ความเห็น : ผมคิดว่าพวกเรายังค่อนข้าง "เกร็ง" อยู่นะครับ หรืออาจจะเป็นเพราะผมตั้งคำถามไม่ดี ไม่รัดกุม กำกวม ยังไงก็ตามเท่าที่ผ่านมากระทู้ที่ผมตั้งถูกควบคุมไว้ค่อนข้าง OK นะครับ ไม่ได้ล่อเป้าสักเท่าไร
.
ประเด็นสำคัญคือเราคงจะไม่รู้จะ feedback อะไรถ้าเราไม่ได้ "ตั้งเป้าหมาย" หรือ "คาดหวัง" เอาไว้ก่อน อะไรผ่านมาก็จะเป็น passive รับไว้หมด แต่ถ้าเรามีการคาดหวังเอาไว้ซะก่อน เวลามันไม่เป็นไปตามที่เราคาดหวังก็จะ detect ได้โดยง่าย ที่นี้ feedback มีประโยชน์อะไร? feedback คงจะไม่มีประโยชน์ต่อผู้ที่ตอบมาหรอกนะครับ แต่ "อาจ" จะมีประโยชน์ต่อรุ่นต่อไป หากมีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น สำหรับคุณ "กรวดทราย" ครับ จริงอย่างที่คุณว่าว่ามีคนมากมายกำลังจับตาดูอยู่ แต่ไม่ใช่ทุกคนจะจับผิดหรอกนะครับ มีพี่ๆหลายคนที่เป็นห่วงน้องๆอย่างจริงใจ
Phoenix 17:54:00 1/29/103 <172.29.3.160> (0)
--------------------------------------------------------------------------------
ความเห็น : ความจริงแล้ว Resident ก็เกร็งนะ ไม่รู้จะสอนอะไรดี พวกผมความรู้ไม่มาก ที่พอจะดูให้ได้ ก็พวกหัตถการ ปัญหาคือ เวลาเราไม่ค่อยตรงกัน มีอะไรก็เลยทำไปเองเลยเร็วกว่า จริง ๆ แล้วก็ยังมองไม่ออกเหมือนกันว่า Extern แบบใหม่จะเป็นอย่างไร อย่างไรก็ตาม ยังอยากให้คนที่จะจบ มีคำนำหน้าชื่อว่า นพ. หรือ พญ. มีศักยภาพ และคุณธรรมพอ ที่จะบอกใคร ๆ เขาได้อย่างเต็มปากเต็มคำ เป็นหมอ
คุณครูสมัยมัธยมปลาย สอนผมอยู่สามอย่าง ยังจำได้ขึ้นใจ และอยากให้ สิ่งเหล่านี้มีอยู่ในคนรุ่นใหม่ ไม่รู้ว่าเชยไปหรือเปล่านะ ครูผมให้ยึดถือสามสิ่งนี้ครับ
- อ่อนน้อมถ่อมตน
- ซื่อสัตย์ สุจริต
- มีระเบียบวินัย
แต่ดูเหมือนสังคมของเรา สอนให้เราเรียนรู้ว่า "ไม่ซ่าก็ไม่ดัง" "จุดหมายสำคัญกว่าการก้าวให้ถึงจุดหมาย ( ไม่เกี่ยงวิธีการ)" หลายปีที่ผ่านมา การใช้ชีวิตอยู่แถวนี้ ทำให้ผมสงสัยว่า การยึดถือคำสอนของครู จะทำให้เรา Survive ในสังคมแห่งนี้ได้นานแค่ใหน
Dhan 23:01:16 1/29/103 <172.29.3.224> (0)
--------------------------------------------------------------------------------
ความเห็น : เท่าที่เห็นหลักสูตรของนักศึกษาแพทย์ชั้นปีที่ 6 ผมไม่คิดว่าการบทบาทของนักศึกษาจะเปลี่ยนไปจากเดิมเพราะแนวคิดของชั้นปีที่ 6 ยังเหมือนเดิมคือเรียนจากการทำงานเป็น task based learning`ซึ่งเหมือนของหลักสูตรเก่า แต่คงหวังว่านักศึกษาชั้นปีที่ 6 รุ่นนี้เป็นคนที่ใฝ่รู้ รู้จักค้นคว้าเป็น นำเสนอเป็น ทำงานได้เป็นทีม มีการบริหารจัดการที่ดี แต่ถึงอย่างไรก็ตามก็ยังคิดว่าคงต้องอาศัยรุ่นพี่และอาจารย์ช่วยชี้แนะแนวทาง และเป็นพี่เลี้ยงให้ต่อเพราะนักศึกษาก็ยังเปรียบเหมือนคนเริ่มต้นของการฝึกการใช้ชีวิตแพทย์ที่เรียกว่าค่อนข้างจะสมบูรณ์แบบจริงมากขึ้น ดังนั้นการทำงานก็คงจะต้องค่อยเป็นค่อยไป อย่างลืมว่าวัตถุประสงค์ของการศึกษาในชั้นปรีคลินิกและคลินิกยังเหมือนเดิมคือตามเกณฑ์มาตรฐานแพทยสภา แต่วิธีการเรียนรู้เท่านั้นที่เปลี่ยนไป และในชั้นคลินิกก็มีการบูรณาการเพิ่มขึ้น
อ 00:05:33 2/01/103 <203.113.76.11> (0)
--------------------------------------------------------------------------------
ความเห็น : ผมได้มีโอกาสคุยกับแพทย์รุ่นพี่หลายๆคนที่ดูแล Interns and externs ที่โรงพยาบาลรอบนอก ความเห็นคล้ายๆกันคือไม่ได้แยกความแตกต่าง อันนี้ทำให้ผมเกิดความสงสัยว่านี่เป็นสิ่งที่ถูกต้องอยู่แล้วที่ไม่แยก หรือว่าแยกแล้วจะทำให้เกิดดีขึ้น แย่ลงอย่างไร ถ้าเรา assume ว่า ๑ ปีของประสบการณ์ที่ได้ผ่านมาช่วง extern ไม่ได้ช่วย intern มากขึ้นสักเท่าไร ควรหรือไม่ที่เราน่าจะทำให้มันมี significance เพิ่มขึ้น หรือว่าดีอยู่แล้ว?
.
ที่ผมเป็นกังวลเวลารวบรวม feedback จากพวกน้องๆก็คือ spectrum of interest หรือ focus ของสิ่งที่ต้องการค่อนข้างจะเป็นเรื่องใกล้ตัวเสียส่วนมาก ผมอาจจะกำลังขอร้องมากเกินไปรึเปล่าถ้าจะให้ผู้เรียนลองพยายาม scrutinize และ feedback หลักสูตร? จริงอยู่ดังที่ได้เรียนไว้เบื้องต้นว่า platform นี้คงไม่ใช่ official ที่ทุกๆ feedback จะได้รับการเปลี่ยนแปลงโดยตรงหรือเต็มที่ แต่ผมยังคงคิดว่าถ้าเราให้ข้อมูลที่ประกอบด้วยเหตุผลและหลักการ ไม่ใช่แต่อารมณ์อย่างเดียว หรือเต็มไปด้วยการประชดประชัน จะมีโอกาสสูงที่ความเหนนั้นๆจะมีคนที่สมควรได้ยินจะได้รับฟังนะครับ
Phoenix 15:10:13 2/01/103 <172.29.3.202> (0)


Posted by Phoenix() 2003-02-04 , 18:28:52 , 172.29.3.203



Posted by : ... , Date : 2004-09-29 , Time : 20:36:19 , From IP : 172.29.4.175

ความคิดเห็นที่ : 4


   ผมยังไม่ค่อยเข้าใจ concept ของการ copy เอากระทู้เก่าๆมาตัดตอนแล้วปะใหม่เท่าไหร่นะครับ ถ้าคิดว่ากระทู้นั้มันไกลไปอยู่หลังๆ อีกวิธีหนึ่งก็คือตอบความเห็นของเราไปใหม่แล้วเรียกดูโดยใช้ menu ตามการเคลื่อนไหว กระทู้ที่ active ก็จะเลื่อนมาให้เห็นง่ายๆเอง

cut & paste กระทู้มันเตือนถึงระบบการทำงานในการเขียนประวิติตรวจร่างกายที่เคยเจอบางรายยังไงชอบกล บางคน เรียกว่าเอามาจาก file DoctorOPD ที่อาจารย์หรือพี่ใช้ทุนซักเอาไว้มาลงทั้งกระบิ อาจจะมีการเข้าใจผิดบางอย่างว่าเราต้องการ "ข้อมูล" ของคนไข้เปนหลัก จริงๆแล้วในรายงานเราต้องการ "การซักประวัติของ นศพ." เป็นหลักครับ เราจะได้ทราบว่าพวกหมอซักเป็นรึยัง และคิดอย่างไร มีลำดับการใช้เหตุผลอย่างไร

เหมือนๆกับการแสดงความคิดเห็นบนกระดานแห่งนี้แหละครับ ไหนๆก็ไม่มี ID ลงมาแล้ว ขอแค่ความเห็นของตนเองมา share ตรงนี้จะดีกว่าไหมครับ ดีกว่า copy ที่เขาอภิปรายไปแล้ว 50-60 กระทู้ แล้วตัดมาบางตอน ไม่บอกว่าเห้นด้วยไม่เห็นด้วยอย่างไร กระบวนการความคิดงอกเงยมันไม่เกิดขึ้นมา



Posted by : Phoenix , Date : 2004-09-29 , Time : 20:46:28 , From IP : 203.156.42.148

ความคิดเห็นที่ : 5


   เอาง่ายๆนะ ซักประวัติตรวจร่างเราแพ้ นศพ.จุฬาปี4 เด็ดขาด

ตอนปี4อยากได้การราวน์ที่อาจารย์มีคอยดูเราซักประวิติ ตรวจร่างกาย

ผิดพลาดตรงไหนก็ทำให้ดู สอนจนกว่าเราจะทำได้

อย่างนี้ดีกว่าจะมาสอนเรา DDx ไหม ในเมื่อหาข้อมูลเองไม่ได้

จะเอาอะไรไปคิด ให้ฝึกเองก็แปลผลถูกบ้างผิดบ้าง

เท่าที่ทราบมาอาจารย์จุฬาเค้าคอยสอนอย่างนี้จริง จับมือทำเลย

ยอมลดทิฐิหน่อยเหอะ เลียนแบบในสิ่งที่น่าจะเลียนแบบบ้าง

เพื่อพัฒนาคุณภาพของคณะเรา


Posted by : Lily , Date : 2004-10-03 , Time : 12:30:04 , From IP : 172.29.3.247

ความคิดเห็นที่ : 6


   อีกเรื่องที่คิดว่าควรจะสอนอย่างเป็นทางการคือ ECG

ที่คณะไม่มีการสอนเป็นformal lecture ปล่อยให้อ่านเองแบบสัมพเวสี

ไปสอนอะไรที่ SDL เองได้ง่ายๆเช่นการใส่ NG tube คิดเอาง่ายๆละกัน

ให้คุณ SDL ECG กับ NG โดยที่ไม่มีพื้นฐานมาก่อนเลย

คุณจะทำความเข้าใจอันไหนได้ดีกว่ากัน

อ่านไปอ่านมาก็ไม่รู้ว่าอะไรถูกอะไรผิดกันแน่ ไม่มีหลักการที่แน่นอน

จะอ้างถึงจุฬาอีกครั้งนึงแล้วกันนะ อาจารย์ที่จุฬาเค้ามีการอ่าน ECG กันทุกเช้า

ใช้ทุนอาจจะต้องอ่านเยอะหน่อย ระดับ นศพ.ก็อ่านกันคนละ 2 แผ่น

ฝึกกันเข้าไปทุกวันๆนักศึกษาเค้าก็อ่านเก่งและคล่อง มีความมั่นใจในการอ่าน

แล้วไม่ต้องมาว่าเรานะชื่นชมจุฬามากทำไมไม่ไปอยู่จุฬา

เราแค่อยากให้เราเลียนแบบสิ่งดีๆจากการเรียนการสอนของที่อื่นน่ะ

ไปถือทิฐิ แล้วนศพ.ไม่มีคุณภาพไม่รักสถาบันมันคุ้มกันไหม


Posted by : Lily , Date : 2004-10-03 , Time : 12:40:46 , From IP : 172.29.3.247

ความคิดเห็นที่ : 7


   แล้วเรื่องการสอนตรวจร่างกายตอนปี 2 ปี 3 อยากจะบอกว่าไม่work

ให้อ.ENT มาสอนตรวจ Heart อย่างนี้

put the wrong man on the wrong job ไหม

อีกอย่างการตรวจร่างกายมันไม่ใช้แค่สอนว่าทำอย่างไร

มันสำคัญที่การแปลผล ฉะนั้น เลยต้องการอาจารย์มาราวน์

ดูนักศึกษาตรวจ แล้วร่วมแปลผลไปด้วยกัน ทุกวันๆเข้า

ครบ 8 สัปดาห์ นักศึกษาก็จะมีความมั่นใจ

อาจจะลำบากอาจารย์ที่ต้องสละเวลามาสอนมากขึ้น

แต่ผลที่ได้คุ้มค่ามากๆ ตัวอย่างใกล้ๆ (ต้องขอโทษอาจารย์ที่อ้างถึง)

อย่างอาจารย์วิไลวรรณที่คอยดุว่าเวลาตรวจร่างกายทำไม่ถูก

แต่อาจารย์ก็ไม่เคยว่าเฉยๆ สอนวิธีที่ถูกต้องให้เราอีกด้วย

อีกทั้งยังยอมให้เรานัดเวลาเพื่อมาเรียนตรวจร่างกายกับอาจารย์

จนกว่าเราจะทำได้ถูกต้องอาจารย์พอใจ

แต่อาจารย์คนเดียวจะให้นักศึกษาทั้งหมดคงเป็นไปไม่ได้

จึงอยากให้บรรจุไว้เป็นส่วนหนึ่งของตารางเรียน

ขอบคุณที่รับฟัง


Posted by : Lily , Date : 2004-10-03 , Time : 13:05:20 , From IP : 172.29.3.247

ความคิดเห็นที่ : 8


   ลองเล่ารายละเอียดอีกสักนิดดีไหมครับว่า เขาทำกันอย่างไรและดีกว่าอย่างไร

หลายๆอย่างที่คุณ Lily ว่ามาเป็น psychomotor หรือความชำนาญ ซึ่งไม่ได้เกิดตอนที่เรารับทราบ (recognition) แต่จะเกิดตอนที่นำไปฝึกแล้วฝึกอีก มีสองขบวนการให้เลือกคือถูกสั่งให้ฝึกแล้วฝึกอีก กับเห็นว่าน่าจะทำเลยเอาไปฝึกเอง อย่างไหนจะสัมฤทธิผลดีกว่ากัน? อีกประการหนึ่งคือเราและเพื่อนๆจะ "อยาก" เรียนอะไรที่เหมือนกันและเวลาเดียวกันจริงหรือ? บางขณะที่เราอยากจะเรียนอ่าน EKG จะมีเพื่อนอยากจะหัดใส่ NG-tube หรือไม่? และอะไรคือ "พื้นฐาน" ที่ว่าครับ? ลองขยายความอีกสักนิด

๑) จับมือทำสอนซักประวัติตรวจร่างกายทำอย่างไรครับ

๒) อะไรที่ทำทุกวันทุกเช้าก็การันตีว่าจะเก่งแน่นอนครับ ไม่ว่าจะเป็นการทำแผล อ่าน EKG อ่าน film CXR ฯลฯ ทุกๆคนมี 24 ชั่วโมงต่อวันเท่ากัน ทีนี้ใครอยากจะทำอะไรตอนไหนนี่ มันจะเหมือนจะต่างกันแค่ไหน และการทำอะไรตามที่เราอยากทำจะมีผลกระทบต่อสัมฤทธิผลหรือไม่ แค่ไหนครับ?

๓) นศพ.กำลังฝึกอบรมเป็น GP อยู่ เราคิดว่าอาจารย์แพทย์แต่ละท่านสามารถสอนตรวจร่างกายทั่วไปได้หรือไม่ครับ? การที่เราเรียนเฉพาะทางจะทำให้การตรวจร่างกายเบื้องต้นน้อยลงจนไม่สามารถสอนน้อง นศพ.ได้จริงหรือ และจริงหรือไม่ที่การสอนตรวจร่างกายทั่วไปแต่ละระบบต้องสอนโดย specialists เท่านั้น?

๔) ไม่ทราบว่าเท่าที่ผ่านมา การราวน์เช้าเย็นนั้นมีการแปลผล clinical แปลผล lab กันบ้างไหมครับ แล้ว นศพ.สามารถจะมี interactive กับพี่ พชท.หรืออาจารย์ขณะราวน์ได้หรือไม่ แต่คงจะต้องเดินใกล้ๆหน่อยนะครับ และอาจจะขอ present case ของตนเอง ถ้าจะให้ดีก็รู้ case ของตนเองดีพอสมควร ("รู้" ในที่นี้ก็คล้ายๆกับจทย์ PBL ของตนเอง คือรู้ปัญหา มีสมมติฐานของตนว่าปัญหาเกิดจากอะไร และการรักษาที่เราให้ไปนั้นไปแก้ปัญหาที่ว่ารึเปล่า) แล้วก็ discuss ได้ ถ้าทำอย่างนี้การมีปฏิสมัพันธ์กับการคอยฟังอย่างเดียวอย่างไหนจะจำได้ดีกว่ากัน?

ส่วนใครจะรักสถาบันหรือไม่ แค่ไหน คงจะขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น บางคนสำนึกว่าเราได้อะไรบ้าง บางคนจะนึกว่าเราไม่ได้อะไรบ้าง บางคนจะนึกว่าเราได้ "ให้" อะไรบ้างและเกิดความผูกพัน โดยส่วนตัวของผมขอเพียง นศพ.ตั้งใจทำงานบนหอผู้ป่วยเป็นหลัก เรียนกับคนไข้เป็นหลัก สถาบันก็ OK แล้วครับ ไม่ว่า นศพ.ท่านนั้นจะมีความรักหรือสำนึกอะไรต่อสถาบันอย่างไร



Posted by : Phoenix , Date : 2004-10-03 , Time : 17:14:59 , From IP : 203.156.40.146

ความคิดเห็นที่ : 9


   ๔) ไม่ทราบว่าเท่าที่ผ่านมา การราวน์เช้าเย็นนั้นมีการแปลผล clinical แปลผล lab กันบ้างไหมครับ แล้ว นศพ.สามารถจะมี interactive กับพี่ พชท.หรืออาจารย์ขณะราวน์ได้หรือไม่ แต่คงจะต้องเดินใกล้ๆหน่อยนะครับ และอาจจะขอ present case ของตนเอง ถ้าจะให้ดีก็รู้ case ของตนเองดีพอสมควร ("รู้" ในที่นี้ก็คล้ายๆกับจทย์ PBL ของตนเอง คือรู้ปัญหา มีสมมติฐานของตนว่าปัญหาเกิดจากอะไร และการรักษาที่เราให้ไปนั้นไปแก้ปัญหาที่ว่ารึเปล่า) แล้วก็ discuss ได้ ถ้าทำอย่างนี้การมีปฏิสมัพันธ์กับการคอยฟังอย่างเดียวอย่างไหนจะจำได้ดีกว่ากัน?

เริ่มจากอันนี้แล้วกันค่ะ

ที่อาจารย์บอกมาทำได้อย่างนั้นดีมากอยู่แล้วค่ะ

ในปัจจุบัน นศพ.ก็ present case กันอยู่แล้ว และมีการdiscussกับพชท.อยู่แล้ว

แค่อยากให้เพิ่มเติมไปอีก 1 อย่าง คือ ให้อาจารย์ช่วยดูนักศึกษา

ตรวจร่างกายแต่ละเตียง แล้วบอกว่าถูกหรือผิด ที่ถูกควรทำอย่างไร

แล้วแปลผลการตรวจร่างกายแบบนี้ถูกต้องหรือไม่

ไม่ใช่ไปตรวจร่างกายแล้วรู้สึกว่าเป็น systolic ejection murmur.

แต่พี่พชท.เขียนว่าเป็น pansystolic murmur.

เอาล่ะสิยุ่งละ พี่ก็บอกว่าพี่ถูก ไอ้เราก็คิดว่าเราถูกใครตัดสิน?

สุดท้ายเราก็ต้องตามพี่อยู่ดี ความรู้เราประสบการณ์เราน้อยขนาดนี้

อยากให้มีคนมาช่วยตัดสินค่ะ เพราะพชท.รับ 30เตียงแค่นี้ก็งานล้นมือ

ต้องเห็นใจค่ะ ถ้าจะให้มาสอนนศพ.แล้วยังต้องเตรียมpresent อาจารย์

คงรบกวนเค้าเกินไป


Posted by : Lily , Date : 2004-10-03 , Time : 21:30:01 , From IP : 172.29.3.238

ความคิดเห็นที่ : 10


   ๓) นศพ.กำลังฝึกอบรมเป็น GP อยู่ เราคิดว่าอาจารย์แพทย์แต่ละท่านสามารถสอนตรวจร่างกายทั่วไปได้หรือไม่ครับ? การที่เราเรียนเฉพาะทางจะทำให้การตรวจร่างกายเบื้องต้นน้อยลงจนไม่สามารถสอนน้อง นศพ.ได้จริงหรือ และจริงหรือไม่ที่การสอนตรวจร่างกายทั่วไปแต่ละระบบต้องสอนโดย specialists เท่านั้น?

อันนี้ก็ลำบากใจกันทั้ง 2 ฝ่ายค่ะ

นักศึกษาบางคนสนใจอยากรู้จึงมีข้อซักถามอาจารย์มากมาย

ฝ่ายอาจารย์ก็ลำบากใจ ต้องเห็นใจอาจารย์ค่ะ การไม่ได้ตรวจอะไรบ่อยๆ

แล้วต้องมาตอบคำถามนศพ.ที่บางครั้ง อาจจะลึกไป

อาจารย์ก็ให้ความกระจ่างยังไม่ดีเท่าอาจารย์เฉพาะสาขา

บางท่านถึงกับพูดกับนศพ.ตรงๆ

"ผมเป็นหมอสูติ ไม่ได้ตรวจนิวโรนานแล้ว เรื่องนี้ผมไม่มีความรู้จริงๆ"

ทีนี้ก็เกิดการBlock กันทั้ง 2 ฝ่ายค่ะ คือเรียนได้เท่าที่ในหนังสือเล่มนั้น

สอนวิธีตรวจเสร็จก็จบ เงียบ แยกย้าย

บอกให้ทำ แทนที่จะได้แปลผลโดยรวมว่า ถ้าตรวจได้sign a+b+c

น่าจะสงสัยโรคอะไรมากที่สุด


Posted by : Lily , Date : 2004-10-03 , Time : 21:36:46 , From IP : 172.29.3.238

ความคิดเห็นที่ : 11


   ๒) อะไรที่ทำทุกวันทุกเช้าก็การันตีว่าจะเก่งแน่นอนครับ ไม่ว่าจะเป็นการทำแผล อ่าน EKG อ่าน film CXR ฯลฯ ทุกๆคนมี 24 ชั่วโมงต่อวันเท่ากัน ทีนี้ใครอยากจะทำอะไรตอนไหนนี่ มันจะเหมือนจะต่างกันแค่ไหน และการทำอะไรตามที่เราอยากทำจะมีผลกระทบต่อสัมฤทธิผลหรือไม่ แค่ไหนครับ?

อันนี้จะอยู่ในรูปแบบกิจกรรมของหน่อยค่ะ

อย่างเช่น หน่วย cardio ก็จะมีการฝึกอ่าน ECG

โดยผู้เข้าร่วมหลัก คือ พชท.ที่ไปturn หน่วย cardio

ส่วนนศพ.ที่สนใจ ก็ไปเข้าร่วมอ่าน ร่วมฟัง

เวลานี้จะเป็นเวลาSDLของนศพ. ค่ะ

ระหว่างนี้หน่วยอื่นๆก็อาจจะมีกิจกรรม เช่น อ่านฟิล์ม chest

อ่านCT Brain หรืออื่นๆตามแต่จะเลือกเข้าค่ะ

หรือถ้าใครอยากอ่านหนังสือซ้อมตรวจร่างกาย

ก็ทำได้ไม่มีใครว่าอยู่แล้ว

ได้อยากทำอะไรที่อยากทำแน่นอนค่ะ

แต่ตอนนี้นศพ.ไม่มีทางเลือกเลย มีแต่ต้องอ่านหนังสือๆๆ

ไม่มีคลาสคอยสอนอะไร ตอบคำถามอาจารย์ข้อนี้เลยแล้วกันค่ะ

"การทำอะไรตามที่เราอยากทำจะมีผลกระทบต่อสัมฤทธิผลหรือไม่ แค่ไหนครับ?"

โอกาสสำเร็จน้อยมากค่ะ


Posted by : Lily , Date : 2004-10-03 , Time : 21:44:45 , From IP : 172.29.3.238

ความคิดเห็นที่ : 12


   ๑) การตรวจร่างกาย ปัญหาคงจะเป็น ratio ระหว่าง นศพ. ต่อ อาจารย์แล้วล่ะครับ เพราะถ้าพูดถึง "ท่าถูกต้อง" นี่จัดเป็น class ได้ครับ แต่เราไม่สามารถจะ standardize ผู้ป่วยที่มี signs and symptoms แบบต่างๆครบถ้วนตาม จน. นศพ.ได้ นั่นคือพอมาถึงการตรวจ case จริงจะเป็น opportunistic จะมีซักกี่เปอร์เซนต์ที่จะได้ demonstrate pansystolic murmur? จะมีซักกี่เปอร์เซนต์ (ของนศพ.) ที่จะได้ตรวจ diastolic rumbling murmur? แต่ถ้าพูดถึงมี case มีปัญหาแล้ว จะหาอาจารย์มา confirm ตรงนี้น่าจะพอหาได้ไหมครับ? ประเด็นก็คือ general practitioner จะต้องวินิจฉัยแยกโรคที่มี pansystolic murmur, diastolic murmur รึเปล่า หรือว่านี่จะเป็น "ความสนใจพิเศษ" ของนักศึกษาเป็นรายๆไป จะเห็นได้ว่าแต่ละ field ที่ต้องเรียนต่ออีก 3-5 ปีนั้น มันมีเหตุผลของมันอยู่ และที่ต้อวเรียนเพิ่มเป็นปีๆนั้น ก็เพราะมันยังมี "ความลึก" ของรายวิชาอีกเยอะ ที่ถ้าเราจะครอบให้ นศพ. หมดทุกคน ผลที่ได้คือมันจะกว้างมาก และเจอปัญหาเดิมอีกคือ เวลาไม่พอ ทั้งคนสอนและคนเรียน

๒) ตรงนี้คงจะเลยมาถึงประเด็นต่อมาเรื่องการตรวจร่างกายทั่วไป บางระบบโดยเฉพาะอย่างยิ่ง orthopaedics, neurology, cardiovascular disease นั้น มี signs พิเศษอีกเยอะมาก ซึ่งไม่แปลกอะไรที่แต่ละ field พี่หมอเขาต้องกลับมาเรียนอีกคนละ 5 ปี และผมเห็นด้วยว่าในหนังสือคู่มือก็ยังรวม signs symptoms เฉพาะทางเหล่านี้ไว้ค่อนข้างเยอะ จะเห็นได้ว่านั่นเป็นเหตุผลส่วนหนึ่งว่าทำไม sub-board หรือ subspecialities ต้องมาเรียนกับ specialists เอาง่ายๆผมว่า general medicine หรือ general surgeons ก็ยังไม่สามารถสอนตรวจและแปลผล sings and symptoms ทั้งหมดของ neurology ได้ ดังนั้นถ้าจะถามครอบรวมว่าถ้ายังงั้นตรวจร่างกายอะไรที่ GP ต้องรู้บ้าง คำตอบที่กำกวมที่สุดที่ตอบได้ในขณะนี้คือการตรวจร่ายที่บอกว่ายัง "ปกติดีอยู่" ส่วน signs พิเศษของ cerebellum, hippocampal, RES, etc นั้น คงจะ spared ไว้ให้คุณหมอนิวโรเป็นผู้ตรวจวินิจฉัย แต่ไม่ต้องสงสัยครับว่า expert สอนจะได้ผลดีกว่าใครก็ได้สอนอย่างแน่นอน แต่เมื่อคำนึงถึง นศพ. 170 คน และจำนวน specialists ที่มีอยู่แต่ละ field (เช่นศัลย์เด็กมีสองคน นิวโรศัลย์ตอนนี้ก็เหลือแค่สามคน เปนต้น) จะต้องใช้เวลากี่อาทิตย์ กี่ชม. จึงจะให้ expert สอนได้หมด? ตรงนี้ผมว่าไม่เกี่ยวกับระบบ lecture ว่าเป็นแบบเก่าแบบใหม่ แต่ psychomotor เป็นเรื่องของ artio ระหว่างอาจารย์หรือคนคุม กับจน.นักศึกษาที่ทุกๆที่จะเจอปัญหาเดียวกัน

๓) กิจกรรมวิชาการของ specialists แผนกต่างๆนั้นจัดตามความสะดวกและสอดคล้องกับงานของแต่ละหน่วย ที่ผู้ฝึกอบรมนอกเหนือจากเรียนแลวยังทำงาน service จำนวนมากด้วย (ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการ gain skill) ซึ่งผมไน่ใจว่าเวลาจะ match ตรงกับ นศพ. SDL มากน้อยแค่ไหน แต่ประการหนึ่งคือถ้าใครจะเข้าไป attend ผมว่าไม่มีใครว่าอะไรกระมังครับ เท่าที่ผมทราบเฉพาะของศัลย์อย่างเดียวก็มี grand round neuro วันจัรทร์ journal club neuro วันพฤหัส M&M ของ uro กับ tumour clinic ของ uro วันไหนจำไม่ได้ และเข้าใจว่าศัลย์เด็ก plastic และ CVT ก็มีเหมือนกัน แผนก X-Ray เปิด sessions พิเศษเฉพาะ นศพ. ซะด้วยซ้ำไปที่จะอ่าน film ตรงนี้ผมขออนุญาตแนะนำว่าลองหาข้อมูลที่คุณ Lily สนใจอยากจะเสริมความรู้จากภาควิชาฯ หรือหน่วยที่สนใจได้นะครับว่ามีอะไรบ้าง แต่ผมว่าจะสรุปว่าไม่มีเลย ต้องอ่านเองหมดนั้น น่าจะมีการหายหกตกหล่นไปเยอะเหมือนกัน

จากประสบการณ์ (ส่วนตัว) การแสวงหาและสร้างโอกาสเรียนเพราะ "ตัวเราเอง" สนใจนั้นมันได้ประโยชน์ ยกตัวอย่างถ้าผมไม่ได้เฝ้า ER ไม่ว่าจะอยู่หรือไม่อยู่เวรก็คงไม่ได้เห็นการทำ Schrock Shunt ใน case retro-helatic vena cava tear ที่ศิริราช ไม่ได้เข้า case ตัดต่อ carotid artery เพราะถูกยิงคอทะลุ ของพันนี้มันบอกไม่ได้ครับว่าใครจะได้หรือการันตีว่าจะเห็น แต่เป็นเรื่องของการ สร้างโอกาส ให้มากขึ้น การจัด class ให้โดย fix เวลานั้นเป็นการ rule out propability ของการได้ case (ที่มาแบบ random) ไป ตรงกันข้ามกับยุคที่ผมเป็น extern ที่ถูกสั่งให้ทำ lab กระหน่ำ เช่น cbc u/a stool exam ย้อม gram ฯลฯ จนวันๆไม่มีเวลาอยู่กับคนไข้ ความรู้สึกอยากจะเรียน med หรือ เด้ก ไม่มีอยู่ในหัวแม้แต่นิดเดียว นั่นคือการทำงานแบบ assingment ที่ไม่มีความอยากเหลือเพราะตัวละครสำคัญคือ คนไข้ ไม่อยู่ในบริบทแม้แต่น้อย



Posted by : Phoenix , Date : 2004-10-03 , Time : 23:30:09 , From IP : 203.156.41.47

ความคิดเห็นที่ : 13


   คุณ Lily คงต้องหาเวลา SDL ตรวจร่างกายมากหน่อยนะครับ เพราะรู้สึกว่ายังอ่อนและยังไม่ขวนขวายเลย ตั้งใจหน่อย นะเพื่อนๆคนอื่นเขาขยันมากเลยรู้มากกว่าอะ

Posted by : น , Date : 2004-10-04 , Time : 10:22:43 , From IP : 172.29.3.161

ความคิดเห็นที่ : 14


    คุณ Lily คงต้องหาเวลา SDL ตรวจร่างกายมากหน่อยนะครับ เพราะรู้สึกว่ายังอ่อนและยังไม่ขวนขวายเลย ตั้งใจหน่อย นะเพื่อนๆคนอื่นเขาขยันมากเลยรู้มากกว่าอะ

Posted by น() 2004-10-04 , 10:22:43 , 172.29.3.161

อ่อนค่ะอ่อน สงสัยต้องขอดูตัวอย่างที่perfectจากคุณ น มั้งคะ^^

turn ward ไหนเหรอคะ จะไปสังเกตการณ์

เราพอจะเดาได้ล่ะนายเป็นใคร ว่าจะไม่พูดแล้วนะ ว่าแต่ว่านายน่ะ

เคาะปอดได้ด้วยน้ำหนักเท่ากันทั้งสองข้าง และดังพอจะแปลผลได้ยังคะ

RAPD นายอ่ะยังตรวจมี false positive นะ case นั้นที่ERน่ะรู้ตัวรึเปล่า

EOM นายอ่ะยังตรวจ 4 ทิศอยู่เลย ที่ถูกรู้ไหมต้องตรวจเป็นรูปตัว H

เนี่ยนะ คนที่ฝึกมาดี ตรวจวิธี 4 ทิศ จะเอาไปแปลผลไงคะ

ในเมื่อยังไม่ exclude การทำงานของมัดอื่น

เนี่ยนะ คนที่ฝึกมาดี ขยันกว่า รู้มากกว่า

เอาแต่ทำตามพี่ไม่รู้จักความหมาย ไม่รู้ว่าแปลผลยังไง ให้พวกมากลากไป

ไม่รู้จักไปอ่านหนังสือ ไม่รู้จักไป SDL เนี่ยนะ คนชื่นชมวิธีเรียนระบบใหม่

เรื่องอย่างนี้มันมีในหนังสือตรวจร่างกายอยู่แล้วล่ะ คิดสักนิดนะคะ

ว่าตรวจไปเพื่ออะไร แปลผลยังไง ไม่ใช่ตรวจแบบ reflex

ตรวจอย่างนี้ อย่าไปบอกใครนะคะ ว่าจบมอ.อายเค้าน่ะ

เรามันก็คนอ่อนๆน่ะ อยากเห็นคนเก่งมาตรวจให้ดูเป็นบุญตาจัง


Posted by : Lily , Date : 2004-10-04 , Time : 19:18:49 , From IP : 172.29.7.206

ความคิดเห็นที่ : 15


   ขอบคุณ อาจารย์สกลมากๆค่ะที่รับฟัง

ตอนนี้เข้าใจเหตุผลล่ะค่ะ คณะเรามีความจำกัดในเรื่องทรัพยากร

ทำให้จัดการเรียนการสอนอย่างข้างต้นได้ยาก

ที่อยากจะพูดคือกิจกรรมข้างต้นที่อาจารย์ได้บอกมา

ได้ให้ประโยชน์กับนักศึกษามากๆ

หลายๆครั้งที่ case ไม่ได้มาแบบ classic ที่หนังสือเขียนไว้

แต่พอนึกขึ้นได้ว่า เราเคยฟัง case อย่างนี้แล้วนี่นา

ตอน เข้า conference ทำให้เรา keep in mind ไว้หน่อย

ว่าอาจจะเป็นอย่างนี้ก็ได้ จะได้ไม่ทำผิดพลาด

การได้รับรู้วิธีคิดจากคนที่มีทั้งความรู้และประสบการณ์

ย่อมเป็นสิ่งดีที่หาไม่ได้จากในตำราเรียนแน่นอน

ขอบคุณอาจารย์ที่เสียเวลาอ่านและอธิบายอีกครั้งค่ะ


Posted by : Lily , Date : 2004-10-04 , Time : 19:30:01 , From IP : 172.29.7.206

ความคิดเห็นที่ : 16


   ประสบการณ์ที่ถ่ายทอดจากพี่และอาจารย์ในห้อง conference นั้นเป็นส่วนหนึ่ง เป็น cognitive แต่ตัวที่จะทำให้คุณ Lily มีความชำนาญขึ้นจริงๆคือการทำบ่อยๆและเห็นด้วยตนเอง

วิชาแพทย์เป็นหนึ่งในหลายๆวิชาที่ไม่มีทางเรียนทางไปรษณีย์หรือทาง Internet ได้ เนื่องเพราะรากมันมาจากการที่คนมีปฏิสัมพันธ์กับคน จะฟังอาจารย์กี่ครั้งก็จะไม่เท่าได้ยินจากผู้ป่วยจริง จะมีการสอนจริยธรรมกี่ชั่วโมงก็ไม่เท่ากับได้ลองฝึกพูดกับผู้ป่วยจริงๆ ได้ลองคิดบริบทต่างๆ ได้ "เห็นได้ฟัง" เวลาผู้ป่วยระยะต่างๆคิดให้ฟังว่าเขารู้สึกอย่างไรกับสิ่งที่เขากำลังเผชิญอยู่ ของเหล่านี้ไม่มีการถ่ายทอดมือสองได้

จะเป็นระบบไหนก็ตาม โดยความเห็นส่วนตัวของผม พวกเราจะได้ "เรียนแพทย์" จริงๆเมื่อเราเกิดความรู้สึกจำเป็นต้องเดินจากหอมาอยู่ใน ward เพื่อมาดูคนไข้ ฉะนั้นเจตคติกับ psychomotor นั้นไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นในห้องบรรยาย ไม่ได้เกิดขึ้นเพราะถูกบอกให้ทำ และไม่ได้เกิดขึ้นเพราะเป็นสิ่งที่เอาคะแนน เป็นอะไรบางอย่างที่มากกว่านั้นครับ

ยินดีที่ได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันครับ



Posted by : Phoenix , Date : 2004-10-04 , Time : 21:43:24 , From IP : 203.156.42.34

ความคิดเห็นที่ : 17


   อยู่ ward เด็กอยู่ครับ เรียนเชิญคุณ Lily เลยนะครับ เพราะคุณ Lily เองที่ไม่รู้จักขวนขวายตั้งใจมากกว่าดีแต่พูด และไม่เคยทำอะไรที่สร้างสรรค์เพื่อเพื่อนเลย หยุดทรนงตัวว่าเก่งได้แล้ว

Posted by : น , Date : 2004-10-04 , Time : 23:27:56 , From IP : 203.150.217.112

ความคิดเห็นที่ : 18


   ผมไม่รู้เบื้องหลังความเป็นมาของความสัมพันธ์ระหว่างคุณ Lily กับคุณ น นะครับ แต่เห็นด้วยไหมครับว่าการแสดงความเห็นของเรานั้นบางรูปแบบมันเป็นชวนทะเลาะหรือชวนสร้างสรรค์นั้นพอจะแยกออกได้ชัดเจน ถ้าพวกเราต่างคนต่างทำงานที่เราคิดว่าดีที่สุดจะดีกว่าหรือไม่ครับ?



Posted by : Phoenix , Date : 2004-10-05 , Time : 00:12:53 , From IP : 203.156.42.196

ความคิดเห็นที่ : 19


   อยู่ ward เด็กอยู่ครับ เรียนเชิญคุณ Lily เลยนะครับ เพราะคุณ Lily เองที่ไม่รู้จักขวนขวายตั้งใจมากกว่าดีแต่พูด และไม่เคยทำอะไรที่สร้างสรรค์เพื่อเพื่อนเลย หยุดทรนงตัวว่าเก่งได้แล้ว

Posted by น() 2004-10-04 , 23:27:56 , 203.150.217.112

เรางงแฮะว่าส่วนไหนที่เราบอกว่าเราเก่ง เราเห็นก็มีแต่นายน่ะแหละ

คุณ Lily คงต้องหาเวลา SDL ตรวจร่างกายมากหน่อยนะครับ เพราะรู้สึกว่ายังอ่อนและยังไม่ขวนขวายเลย ตั้งใจหน่อย นะเพื่อนๆ"คนอื่นเขาขยันมากเลยรู้มากกว่าอะ"

Posted by น() 2004-10-04 , 10:22:43 , 172.29.3.161

นั่นไง ใครพิมพ์ เอ๊ะ เราพิมพ์เหรอ?

เราไม่เคยเก่งหรอก รู้ตัวเองดี อ่านอะไรไม่เคยพอ

คิดอะไร ทำอะไร ตัดสินใจอะไร ยังมีพลาดอยู่เสมอ

ขอบคุณนะที่เตือนให้ไปSDL จะทำตามนะคะ

แต่เราคงไม่ทำแบบนายหรอกนะ

เอาแต่หาความรู้สำเร็จรูปจากพี่ ไม่ถามเหตุผลทำไมตรวจงั้น แปลผลไง

"เนี่ยนะคนที่ขวนขวายตั้งใจ เนี่ยนะคนที่ทำเพื่อเพื่อน"

ตลกน่า เอาไรมาพูด ก็เห็นๆกันอยู่ว่านายยังตรวจผิด

ที่ไม่มีใครไปเตือนก็เห็นอยู่ ว่านายเป็นคนที่รับฟังความเห็น

ขัดแย้งไม่ได้ ใครจะไปเตือน เตือนไปนายก็เถียง ก็พี่สอนงี้ !!

ก็ต้องปล่อยให้นายทำงั้นต่อไป

หนังสือตรวจร่างกายภาษาไทยก็มีออกถมไป ไม่เอามาอ่านล่ะคะ

หรือว่า มีไว้หนุนหัว พอดีบ้านรวย แม่ไม่ให้หนุนหมอนธรรมดา

มันตลกนะ มาเที่ยวว่าคนอื่นงี้ไปทั่ว

"ไม่รู้จักขวนขวายตั้งใจ ไม่รู้จักขวนขวายตั้งใจ ไม่รู้จักขวนขวายตั้งใจ"

บอกตัวเองก่อนดีกว่าไหมคะ ก่อนจะมาบอกคนอื่น

จะได้ไม่ทำอะไรลาวๆ ให้คนอื่นเห็นอีก อาจารย์ที่สอนคุณคงอายคน

เป็น extern แล้วนะ พัฒนาตัวเองให้ได้ก่อนเถอะ ก่อนจะไปพัฒนาคนอื่น

เอาเหอะค่ะ ยังไงก็ขอขอบคุณที่ออกความเห็น

แปะ แปะ แปะ ขอปรบมือให้คุณ น ค่ะ อนาคตแพทย์ชั้น 1 ของม.อ.


Posted by : Lily , Date : 2004-10-05 , Time : 11:55:57 , From IP : 172.29.7.153

ความเห็นจาก Social Network : Facebook


สงวนสิทธิ์การแสดงความคิดเห็นสำหรับ สมาชิกเท่านั้น
>>>>> Page loaded: 0.01 seconds. <<<<<