แอร์ ฟอร์ซ วัน" "หิ่งห้อย"อย่าแข่งไฟ
คอลัมน์ เดินหน้าชนโดย นงนุช สิงหเดชะ
ในที่สุดเครื่องบินประจำตำแหน่งมูลค่า 2,200 ล้านบาท ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีของไทย ก็เผยโฉมสู่สาธารณชน หลังจากตกแต่งและนักบินฝึกบินเรียบร้อยแล้ว
ว่ากันว่าเครื่องบินนี้ก็คล้ายกับเครื่องบิน "แอร์ ฟอร์ซ วัน" ซึ่งเป็นเครื่องบินประจำตำแหน่งของประธานาธิบดีสหรัฐที่รู้จักกันดีทั่วโลกนั่นเอง ซึ่งฝ่ายค้านได้เคยคัดค้านการใช้งบประมาณแผ่นดินในการจัดซื้อไปแล้ว โดยชี้ให้เห็นว่าฟุ่มเฟือยเกินความจำเป็น เกินฐานะของประเทศ
รัฐบาลพยายามหาเหตุผลมาอ้างว่า มีไว้เพื่อให้บริการและอำนวยความสะดวกแก่บุคคลสำคัญที่เป็นแขกบ้านแขกเมืองของไทย ทั้งที่ในความเป็นจริงเรามีเครื่องบินมากมายที่จะรองรับอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นเครื่องบินของการบินไทย ของกองทัพอากาศ หรือของตำรวจ ดังนั้น เหตุผลนี้จึงฟังไม่ขึ้น ยิ่งเมื่อดูการตกแต่งหรูหราในเครื่องบินขนาด 40 ที่นั่งนี้แล้ว(ปรับจาก 100 ที่นั่ง) ก็ชัดเจนว่าเอาไว้เป็นความบันเทิงสะดวกสบายของบรรดาคณะรัฐมนตรีนั่นเอง
ข่าวว่าเดิมนายกฯจะประเดิมใช้เครื่องบินลำนี้บินไปอิตาลีและสวีเดนระหว่างวันที่ 21-25 กันยายน แต่ประมาณว่าเริ่มรู้สึก " จั๊กกะเดียม" เกรงจะถูกสาธารณชนหมั่นไส้ เลยเลื่อนการใช้ออกไป
บอกตรงๆ ว่า เห็น "แอร์ ฟอร์ซ วัน" ของผู้นำไทยแล้ว "ปวดใจ" เอามากๆ เพราะเป็นการใช้งบประมาณที่ไม่เกรงใจประชาชนเอาเสียเลย หรือว่านายกฯเคลิ้มไปแล้วจริงๆ ว่าขณะนี้ประเทศไทยรวยแล้ว จะเป็นประเทศผู้ให้กู้สุทธิ(Net Lender) แล้ว อย่างที่ท่านนายกฯพูดเอาไว้ ซึ่งช่างสวนทางกับจำนวนคนจนที่เพิ่มขึ้นจาก 6 ล้านคน เป็น 8.8 ล้านคน ที่สภาพัฒน์และทีดีอาร์ไอเพิ่งประกาศเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา เป็นคนจนซึ่งมีรายได้ต่อครัวเรือนเพียงเดือนละ 1,163 บาท
นอกจากนี้ลืมไปแล้วหรือว่า ยังมีเด็กยากจนในชนบทอีกจำนวนมากที่ต้องเดินไปโรงเรียนวันละ 4 กิโลเมตร ไม่มีแม้แต่รองเท้าจะใส่
ลืมไปแล้วหรือว่าเมื่อต้นปีนี้นี่เอง ที่นายวัฒนา เมืองสุข รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เคยไปร้องห่มร้องไห้ต่อหน้านักการเมืองและภาคเอกชนสหรัฐ วิงวอนอ้อนวอนขอร้องสหรัฐอย่ากีดกันหรือเก็บภาษีสินค้าเกษตรจากไทยสูง ในวันนั้น รมว.พาณิชย์ บอกว่าเกษตรกรของประเทศไทยจนและลำบาก ขอให้เห็นใจบ้าง
แต่ต่อจากนี้เมื่อผู้นำและคณะรัฐมนตรีของไทยมีเครื่องบินส่วนตัว บินร่อนไปทั่วโลกอย่างหรูหราแล้ว ใครเขาจะสงสารเราอยากจะช่วยเหลือเรา
รัฐบาลคงคิดว่า การทำตัวรวยอาจสร้างเครดิตให้ประเทศไทยได้รับความเคารพนับถือ แต่สิ่งนี้คงจะได้ผลกับประเทศเพื่อนบ้านที่ด้อยพัฒนาที่พึ่งพาเงินช่วยเหลือจากไทยเท่านั้น เช่นลาว เขมร พม่า ที่ไทยพยายามจะทำตัวเป็นพี่เบิ้ม
แต่กับประเทศอื่นโดยเฉพาะประเทศที่เจริญแล้วและรวยจริง มีจิตวิญญาณประชาธิปไตย และเกรงใจการใช้เงินภาษีของประชาชนนั้นเขาคงไม่ได้เคารพนับถือเราเพราะเรื่องแบบนี้ ตรงกันข้ามเขากลับคิดว่า "นี่ไงล่ะ พวกผู้นำประเทศด้อยพัฒนา ก็ชอบอะไรหรูหรา ถลุงภาษีประชาชน"
ไม่มีใครที่มีมโนสำนึก จะเคารพนับถือคนทำตัวเกินฐานะหรอก ศิลปะแห่งการเป็นคนที่ดีที่สุดก็คือ การทำตนพอสมควรแก่ฐานะ
อันที่จริงลักษณะของการฟุ่มเฟือยหรูหรานั้น หากสังเกตให้ดีจะเห็นว่าส่วนใหญ่เป็นลักษณะที่เกิดกับประเทศด้อยพัฒนาทั้งนั้น เช่นมาร์คอสและภรรยาแห่งฟิลิปปินส์ และเพราะลักษณะเช่นนี้ของผู้นำประเทศด้อยพัฒนา จึงทำให้ประเทศไม่พัฒนาไปถึงไหน
เมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ตอนประชุมกลุ่มประเทศอุตสาหกรรมชั้นนำหรือ จี-8 ที่สหรัฐอเมริกาเป็นเจ้าภาพ ทางรัสเซียได้โวยวายกับสหรัฐว่าขี้ตืดขี้เหนียว เก็บแม้แต่เงินค่าใช้เพรส เซ็นเตอร์(ศูนย์สำหรับนักข่าว) ทางเจ้าหน้าที่สหรัฐตอบไปว่า ให้ใช้ฟรีไม่ได้ เพราะต้องเกรงใจชาวอเมริกันผู้เสียภาษี
เรื่องนี้หวนให้นึกถึงการตำน้ำพริกละลายแม่น้ำกว่าพันล้านบาท ของรัฐบาลไทย เมื่อปลายปี 2546 ที่เราเป็นเจ้าภาพประชุมเอเปค ตอนนั้นเราแจกคูปองกินข้าวฟรีให้กับนักข่าวจากทั่วโลก และฟรีอื่นๆ อีกทุกอย่าง ซึ่งตรงนี้ไม่ว่ากัน เพราะถือเป็นการอำนวยความสะดวกให้กับนักข่าวในการรายงานข่าว
แต่สำหรับความฟุ่มเฟือยอื่นๆ ด้านพิธีการและการต้อนรับนั้น ก็อย่างที่ได้วิพากษ์วิจารณ์กันมาแล้วว่า มันเกินจำเป็น เช่นเสื้อผ้าไหมปักดิ้นทอง ราคาตัวละ 9 หมื่นบาท ที่เราทำแจกผู้นำประเทศต่างๆ ซึ่งถูกสำนักข่าวต่างประเทศนำเสนอไปทั่วโลกด้วยความทึ่ง(เสียดสี) ว่าเป็นราคาที่สูงกว่ารายได้ต่อหัวต่อปีของคนไทยเสียอีก(รายได้ต่อหัวคนไทยราว 2000 ดอลลาร์สหรัฐต่อปี หรือประมาณ 8 หมื่นบาท) แถมเอาเข้าจริงก็ไม่ได้ผลในการโปรโมตท่องเที่ยว
แม้จะมีการกล่าวขานถึงความอลังการของการจัดงาน โดยเฉพาะพิธีในวันสุดท้ายนั้น ก็อย่าเพิ่งคิดว่าทุกประเทศจะคิดชื่นชมเราไปทั้งหมด เพราะยังมีหลายประเทศที่เขาพูดลับหลังเราไปอีกทางหนึ่ง คือเห็นว่าเป็นพิธีการที่ดูตลกดี(ยกเว้นรูปแบบการประชุมและสารัตถะ) และที่สำคัญไม่มีใครคิดเอาเยี่ยงอย่างเราเลยในแง่ความฟุ่มเฟือย แม้แต่ประเทศที่รวยกว่าเราก็เถอะ
กล่าวสำหรับเครื่องบินประจำตำแหน่งในแบบเดียวกับ "แอร์ ฟอร์ซ วัน" นั้น แม้แต่ประเทศเพื่อนบ้านที่รวยกว่าเรา 9 เท่า เช่นสิงคโปร์ (คนสิงคโปร์มีรายได้ต่อหัวต่อปี 3.8 หมื่นดอลลาร์สิงคโปร์ หรือราว 9.1 แสนบาท) เขาก็ยังไม่มีเลย และเท่าที่เห็นในขณะนี้มีเพียงประเทศซึ่งปกครองด้วยระบบประธานาธิบดีเท่านั้น เช่น สหรัฐอเมริกา และรัสเซีย ที่ผู้นำประเทศมีเครื่องบินประจำตำแหน่ง เพราะบุคคลเหล่านี้ดำรงสถานะเป็น head of state หรือประมุขสูงสุดของประเทศ
ส่วนประเทศไทยนั้น เป็นระบบพระมหากษัตริย์ ถือว่าพระมหากษัตริย์ทรงดำรงพระสถานะเป็น head of state ส่วนนายกรัฐมนตรีมีสถานะเป็น head of government หรือผู้นำฝ่ายบริหาร
"แอร์ ฟอร์ซ วัน" "หิ่งห้อย"อย่าแข่งไฟ
@@@
Posted by : ปีศาจน่าลัก , Date : 2004-09-24 , Time : 00:06:24 , From IP : 172.29.4.254
|