ความคิดเห็นทั้งหมด : 3

วิถีการเรียนรู้จึงเกิดความแปรผัน.........................


   วิถีการเรียนรู้จึงเกิดความแปรผัน คือ

แบบที่ 1 : ตั้งใจเรียนตาม process มีการ SDL เนื้อหาในส่วนที่เกี่ยวข้องกับ Lect อ่านเตรียมสอบอาศัยความเข้าใจ
ผล : ตก MEAN เนื่องจากข้อสอบออกแต่ใน lect โดยไม่ได้วัดจากความเข้าใจ แต่กลับเน้นความจำ
แบบที่ 2 : เอาเวลา SDL ไปนอน+เล่นเกมส์ เมื่อถึงเวลาใกล้สอบ ค่อยมาเคี่ยว lect จำลูกเดียว+อ่านชีทที่เพื่อนแกะ lect แล้ว +โพย (ความรู้ไม่ได้consolidation แต่อยู่ในรูป walking memory )
ผล : ผ่านสบาย ๆ

แต่เมื่อเวลาผ่านไป ความรู้ที่มาจากวิธีการแบบที่ 2 กลับมีค่าครึ่งชีวิตที่สั้นมาก คือ หลังสอบเสร็จไม่นานความรู้เกือบเป็นศูนย์ ไม่สามารถนำความรู้จากblock ก่อนมาช่วยในการทำความเข้าใจ block ถัดไป
อีกทั้งความรู้ที่มาจากวิธีการแบบที่ 2 จะทำให้รู้แต่เฉพาะสิ่งที่ได้เจอ ใน PBL /lect หาก Pt. มาด้วยโรคนอกเหนือจากนั้นจะไม่สามารถ Dx ได้ เพราะไม่เคยหาความรู้นอกเหนือ+หาความรู้นอกเหนือเหล่านั้นไม่เป็น ข้าพเจ้าเชื่อแน่ว่า เกินกว่าครึ่งหนึ่งของ นศพ. เข้าถึงความรู้ต่างๆ โดยผ่านสารสนเทศสำคัญนั่นก็คือ ชีทรุ่นพี่ หรือไม่ก็จาก สรุป comprehensive ซึ่งนอกจากจะสะดวกสบายแล้ว ยังสามารถนำเวลา SDL ไปใช้พักผ่อน +สันทนาการตามอารมณ์ ลองคิดดูซิว่า หาก นศพ.ไม่ต้องใช้เวลาในการค้นคว้าหาข้อมูลแล้ว วันหนึ่งๆ จะว่างแค่ไหน
ไม่ต้อง active อะไร นั่งๆนอนๆ รอให้ถึงวันพฤหัสก็ไป XEROX ชีทเพื่อนมาอ่านตอนกลางคืนใช้เวลาสัก 2-3 ชม. ก็เกินพอ วันรุ่งขึ้นก็ไปทำ minilecture หรือ repeated-lecture ของอาจารย์ ไม่ต้อง discuss อะไรมาก เพราะชีทที่มีก็เหมือนๆ กันทุกคน อ้างอิงไม่ต้องพูดถึง ของพี่X พี่Y Xerox ตกทอดกันมาแต่ครั้งดึกดำบรรพ์ แต่ไม่เคยรู้ว่ามาจากหนังสือเล่มไหน ความน่าเชื่อถือของแหล่งข้อมูลมีสักเท่าไร พิมพ์มากี่สิบปีแล้ว ความรู้เปลี่ยนแปลงไปแค่ไหน
อันที่จริง สาเหตุก็ไม่ได้มาจากนศพ.เพียงอย่างเดียว การที่แหล่งข้อมูลมีอยู่อย่างจำกัด แต่ความต้องการมีอยู่อย่างไม่จำกัด แล้วจะให้นศพ.ที่ PBL เสร็จช้าไปหาหนังสือที่ไหนอ่าน หลายครั้งพบว่า หนังสือบนshelf หายไปตั้งแต่ยังไม่PิBL actI ด้วยซ้ำ หลายคนอ่าน scene ของพี่ก่อนไป PBL และมายืมหนังสือล่วงหน้า แล้วยังไปฆ่าเพื่อนใน PBL อีก เพื่อนเห็นว่าเขาอ่านมาก่อนก็ไม่การแสดงความคิดเห็นขัดแย้ง อย่างนี้จะเป็นการเสีย Process หรือไม่ ข้าพเจ้าเองพบว่า Facilitator หลายท่านชอบให้นศพ.ศึกษารายละเอียดก่อนมา PBL อะไรคือมาตรฐานที่ทางแพทยศาสตร์ศึกษาต้องการกันแน่
ดังที่ได้กล่าวไว้แล้วข้างต้น แหล่งข้อมูลยังคงมีอย่างไม่เพียงพอ โดยเฉพาะภาษาไทย ข้าพเจ้าเข้าใจว่าการศึกษาจาก textbook เป็นสิ่งที่ดี แต่ textbook ที่ดี up2date และน่าอ่าน มีอยู่อย่างน้อยนิด การอ่านtextbook ยังต้องใช้เวลามาก ช่วงระยะเวลาสั้นๆ เพียง 3-4 วัน อีกทั้งยังต้องมี lect ,Ethic/เยี่ยมบ้านอีก SDL ของ Lect (ซึ่งไม่รู้จะอ่านไปทำไม ในเมื่อไม่ได้ใช้สอบ) อาจผ่านinternet ซึ่งก็ต้องใช้เวลามาก ถ้าหากเป็นคนทำกิจกรรมด้วยยิ่งไปกันใหญ่ นิสัยเอาแต่ง่ายของนศพ.จึงเกิดขึ้น รวมไปถึงการหยิบฉวย หนังสือ(ยืมจากห้องสมุด)ของเพื่อน ไปโดยไม่บอกกล่าว หลายครั้งสูญหายไปไม่กลับคืน ถ้าจะว่าไปแล้วข้อมูลทาง internet ไม่ต้องพูดถึง ไม่เคยหา+หาไม่เป็น
Notebook อาจจะไม่ใช้เครื่องมือสำคัญในการแสวงหาความรู้ของนศพ. น่าจะเอางบประมาณไปซื้อ personal photocopier น่าจะเหมาะกว่า เพราะ ได้ใช้ประโยชน์มากกว่าเยอะ ความรู้ก็คงมีอยู่เท่าๆเดิมทุกปี ไม่มีการพัฒนา
ที่กล่าวมาทั้งหมด อยากให้เห็นถึงความท้อแท้ใจของนศพ. คนหนึ่งที่พยายามทำตาม process ทุกอย่าง แต่แล้วสิ่งที่ได้ตอบแทยความอุตสาหะ ก็คือ การตก Mean และผลการเรียนที่จะตามมา
สุดท้ายนี้ ขอแสดงความขอบคุณที่ติดตามมาโดยตลอด ชีวิตน้อยๆ ที่กำลังจะดับสูญ กับประเด็นที่ว่า คุ้มแล้วหรือที่คุณจะปฏิบัติตนตามprocess

Posted by Dejavu(nigdejavu@yahoo.com) 2004-09-07 , 16:18:30 , 172.29.2.104


Posted by : มา , Date : 2004-09-23 , Time : 22:22:06 , From IP : 221.128.91.44

ความคิดเห็นที่ : 1


   เห็นด้วยๆ

Posted by : จึ๋ย , Date : 2004-09-24 , Time : 16:24:30 , From IP : 172.29.4.66

ความคิดเห็นที่ : 2


   "ข้าพเจ้าเองพบว่า Facilitator หลายท่านชอบให้นศพ.ศึกษารายละเอียดก่อนมา PBL อะไรคือมาตรฐานที่ทางแพทยศาสตร์ศึกษาต้องการกันแน่"
เห็นด้วยอย่างมากกับประโยคนี้


Posted by : F#m , Date : 2004-09-24 , Time : 20:17:00 , From IP : 172.29.4.206

ความคิดเห็นที่ : 3


   Insight เป็นเรื่องสำคัญที่สุดในการปรับปรุงไม่ว่าสำหรับฝ่ายไหนก็ตาม

การกลับมาทบทวนตนเองนั้นเป็นจุดเริ่มที่สำคัญ สำคัญสำหรับทั้งคณะฯและตัวนักศึกษาเอง การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นมักจะหมายถึงการแลกเปลี่ยนกับความไม่สะดวกสบาย หรือ "ของเดิมๆ" ที่มีความเคยชิน แต่เราอาจจะต้องมองให้ไกลกว่าการเรียนจบเทอมหนึ่ง หรือการได้ใบปริญญาบัตรในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า

ค่า mean นั้นบ่งบอกถึงคะแนน "เฉลี่ย" ที่ผู้เรียนมากับเรา ใน class เดียวกัน "ส่วนใหญ่" จะได้ประมาณนี้ เลย 1 SD ไปเราเป็น 33% minority ถ้าเลย 2SD เราก็เป็น 5% minority ตรงนี้ถ้าหยุดพิเคราะห์สักนิดเราจะเริ่มรู้จักตนเองมากขึ้น เป็นการยากที่เราจะรู้ว่า "ส่วนใหญ่" เขาเรียนกันแบบไหน ถ้านักเรียนมี 170 คน เราจะประมาณว่า 2/3 เรียนแบบโพยหรือแบบใดแบบหนึ่ง นั่นแปลว่าเรารู้จักวิธีการเรียนของเพื่อนประมาณ 110 คน ทางที่ดีเราอาจจะหาข้อมูลที่น่าจะแน่นอนกว่าคือการตรวจสอบตนเองว่าเราพลาดอะไรไปหรือเปล่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าหลุด 2sd แล้ว ไม่ต้องไปหาสาเหตุว่าทำไมคนอื่นทำได้ดี มันต้องมีอะไรบางอย่างกับข้อมูลที่เราเก็บไว้เป็นของตนเองกับ learning objectives ที่ถูกทดสอบแน่ๆ

concept ของ PBL เป็นสิ่งสำคัญและจำเป็นอย่างยิ่งยวดที่เราต้องทำความเข้าใจและปรับตัวตั้งแต่เริ่มต้น problem solving เป็น skill ที่มีความสำคัญต่อชีวิตของเราในอนาคต ไม่เพียงแต่เฉพาะเรียนเอาเกรด เอาคะแนน เพราะในชีวิตจริงที่เราจบการศึกษาออกจากรั้วมหาวิทยาลัยและเริ่มรับผิดชอบชีวิตคนจริงๆนั้น โพยมันจะหมดไป คนที่คิดว่าการเรียนใช้โพยแล้วรอดตัวไปได้วันๆ จะได้เรียนรู้ว่าการมีปัญหาในการใช้ความคิดแก้ไข unknown scenario นั้น บางครั้งบทเรียนมันราคาแพงมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเราทำงานเกี่ยวกับคุณภาพชีวิตของผู้อื่น และรวมไปถึงครอบครัวของผู้อื่นนั้นด้วย

การเรียนแบบผู้ใหญ่หมายความว่าเราเข้าใจสิ่งที่เรากำลังจำเป็นต้องใช้ในอนาคต และเราต้องตั้งเป้าหมายที่จะเรียนรู้สิ่งนั้นๆให้ได้ มีความมั่นใจใน conviction และวัตถุประสงค์แนวทางของอาชีพที่เราจะทำอย่างแท้จริง คงไม่มีคนไข้คนไหนจะเห็นใจหมอที่จะโทษว่าเป็นความผิดของคนอื่นในทันที่ที่พบว่าตนเองมีความรู้ไม่พอในสิ่งที่ควรจะมี ปัดความรับผิดชอบในทันทีที่มีผลรายงานออกมา ลองกลับไปถามญาติพี่น้องครอบครัวของเราว่าจะรู้สึกอย่างไรถ้าเจอกับแพทย์แบบนั้น



Posted by : Phoenix , Date : 2004-09-25 , Time : 14:30:36 , From IP : 203.156.40.14

ความเห็นจาก Social Network : Facebook


สงวนสิทธิ์การแสดงความคิดเห็นสำหรับ สมาชิกเท่านั้น
>>>>> Page loaded: 0.003 seconds. <<<<<