ชักจะร้อนกันไปใหญ่แล้วใจเย็นๆกันหน่อยครับ
อ่ะคลายเครียดhttp://www.pantip.com/cafe/isolate/topic/M2219250/M2219250-0.gif">
ความคิดเห็นที่ : 64
ไม่ร้อนหรอกครับ กำลังดี
Debate ที่ดีนั้นจะมีประโยชน์มากครับ และตราบใดที่เป็นการ debate ของที่วางอยู่บนโต๊ะ คือหมายความว่าเราไม่ได้ยึดเป็น self-value โอกาสที่จะมี emotional ก็จะ remote ความรู้นั้นเรียนไม่มีวันหมดหรอกครับ ใครที่คิดว่ารู้ครบถ้วนถี่แล้วนั้นจัดตนเองอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่สามารถรับรู้เพิ่มเติมได้ อันตรายครับ อันตราย
อันตรายอย่างไร? การที่เราเชื่อว่ามี absolute โดยเฉพาะอย่างยิ่ง absolute moral นั้น เป็นการบังคับให้เลือกขาวและดำอย่างใดอย่างหนึ่งอย่างเดียวตลอดเวลา นั่นหมายความว่าหากมีความคิดอะไรก็ตามที่ไม่เหมือนเราในเรื่อง moral แปลว่าเราถูกและคนอื่นผิดเท่านั้น สาเหตุเพราะว่า Absolute นั้นไม่สามารถเปลี่ยนได้ครับ กฏของวันนี้ที่เราบอกว่าเป็น absolute อีกสองสามร้อยปีมันก็เป็น absolute และบังคับให้เราไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ ปรัชญาการศึกษาเคยกล่าวว่า การศึกษานั้นต้องเกิดการเปลี่ยนแปลง ถ้าเราเปลียนไม่ได้ แสดงว่าเราได้เดินทางมาถึงจุดที่ No more any education, no more any lesson worth learning (ถึงกระนั้นก็ตาม เรามี "บางกฏ" ที่ทนต่อการทดสอบมาแล้วสองพันห้าร้อยกว่าปี และกำลังรอ "antithesis" อยู่) ซึ่งจะลงเอยที่ว่า "ใครล่ะ" กล้าประกาศตนเป็นผู้รู้ absolute moral และพร้อมที่จะ declare ว่าความคิดอื่นที่ไมตรงกับตนเองนั้น Immoral แน่นอน? และอีกประเด็นที่ตามมาก็คือ "เพราะเหตุใด" ผู้นั้นจึงเชื่อว่าตนเองรอบรู้ absolute moral จนกระทั่งเป็นไปไม่ได้ที่ปรัชญาความรู้อื่นนั้นสอนผิดๆกันหมด?
ผมเห็นด้วยกับหลักการที่ว่ารุนน้องมีสิทธิ์เลือกที่จะร่วมหรือไม่ร่วมกิจกรรมใดๆ ขณะเดียวกันผมก็เชื่อด้วยว่าถ้าเราจัดรับน้องส่วนใหญ่เขาก็อยากจะร่วมอยู่แล้ว การที่น้องมี willing ที่จะร่วมงานนี้ น่าจะเป็นเงื่อนไขที่เพียงพอในการที่รุ่นพี่จะระมัดระวังไม่ทำอะไรที่รุ่นน้องจะผิดหวังเสียใจกลับไป การทำให้คนอื่นผิดหวังนั้น เปนการ break chain of trust ครับ ในระบบสถาบันแล้วเป็นบาปพอๆกับเป็น traitor เลยทีเดียว
ข้ออ้างบางประการที่ผมฟังแล้วออกจะข้างๆคูๆสักเล็กน้อย เช่น อยากจะให้น้องรู้ว่าเสียใจเป็นยังไง อับอายเป็นยังไง ถูก humiliation เป็นยังไง จะได้เผชิญโลกภายนอกได้นั้นเป็นข้ออ้างที่ค่อนข้าง "ขยะ" ครับ ไอ้ความเสียใจ อับอาย และสูญเสีย self หนึ่งวันที่ว่านั้นเป็นแค่ infinitesimal ของชีวิตคนๆหนึ่ง ไม่ได้ add strenght แก่เขาแต่อย่างใดเลย หากมีเวลาแค่ 24 ชั่วโมงแล้วเราไม่สามารถหาความรู้สึกอื่นนอกเหนือจาก อับอาย เสียใจ น่าเบื่อ ถูกดูหมิ่นถากถาง มามอบให้แก่รุ่นน้องแล้วก็คงจะยากในการอภิปรายกันต่อไป ทำไมไม่หาอะไรให้เขารู้สึกภูมิใจ ดีใจ หัวเราะ เคารพรุ่นพี่ไม่ใช่กลัว รู้ว่าภาษาสุภาพนั้นเป็นอย่างไรที่คนไข้เขาอยากได้ยิน ไม่ใช่ภาษาที่ขุดมาจากคุก น้องเขาจะได้เตรียมตัวและทราบว่าการเป็นแพทย์นั้นจะถูก High Expectation อยู่ตลอดเวลา
Posted by : Phoenix , Date : 2003-04-29 , Time : 00:32:45 , From IP : 203.155.144.35
ความคิดเห็นที่ : 65
อ้อ อีกประการหนึ่งครับ
ผมเคยชี้แจงไว้ในกระดานเก่าถึงวัตถุประสงค์อะไรบ้างในการที่เราใช้ handle หรือ alias หรือนามแฝง เพื่อปกปิด identity นั้นอันหนึ่ง แต่ไม่เชิงกลัวคนเกลียดนะครับ ผมต้องการให้ "ฐานะ" ของผมไม่ interfere ต่อการถูกประเมินในเนื้อหา และการแสดงตอบสนอง แต่ผมจะไม่เคยพูดอะไรที่ผมละอายหรือไม่กล้าพูด หากมีคนรู้ว่าผมเป็นใคร เป็นเพราะว่าผมยึดหลักการพูดที่ผมเชื่อว่าเป็นประโยชน์ และจริงใจในการแสดงออกเท่านั้น
Posted by : Phoenix , Date : 2003-04-29 , Time : 00:37:40 , From IP : 203.155.144.35
ความคิดเห็นที่ : 66
ครับ ตรงจุดที่อาจารย์ต้องการบอก ปีที่แล้วพวกผมพยายามได้ไม่ให้มันเกิดขึ้นครับ ลักษณะการเข้าไปประนาม คนหนึ่งคนใดเพียง 1 คน ให้เกิดความอับอายแบบเมื่อก่อนที่รุ่นผมเคยเจอ(แบบพอมีใครแหกคอก ว๊ากเกอร์ทั้งหลายจะเข้ามามะรุมมะตุ้ม)ได้มีการประชุมกันในหมู่ Staff ว่าเป็นข้อห้าม แต่ผมไม่สามารถพูดได้เต็มปากว่ามันไม่เกิดขึ้น เพราะสถานการณ์มันพาไป แต่ก็พยายามให้มันเกิดความรุนแรงน้อยที่สุดแล้ว คิดว่าปีนี้คงมีการคิดถึงเรื่องนี้มากขึ้น
ส่วนเรื่องที่กดดัน เช่น งานที่สั่งแล้วทำตามไม่ได้ เรื่องนี้ผมเข้าใจดี แต่...ผมว่าอาจต้องพิจารณาปรับเปลี่ยนจริงๆ เพราะ จากการ debate ครั้งนี้ ผมรู้สึกว่าบางทีอาจไม่มีเหตุผลต้องทำเช่นนั้น อาจใช้วิธีสอนแล้วให้น้องไป SDL วางเป้าหมายที่เราคาดหวัง เช่น พี่อยากให้น้องๆร้องได้คีย์เท่าๆกัน อย่าให้เพี๊ยนมาก เอาแค่อยู่ในเกณฑ์ที่พอรับได้ ซึ่งเกณฑ์รับได้ นี่ขึ้นกับผู้จัดงาน แล้วกำหนดเวลาส่งให้นานๆ เอาแบบท้ายๆ การประชุมเชียร์ก็ได้ น้องๆจะได้ไม่ถูกบังคับมาก แล้วใครอยากทราบคีย์ที่ถูกต้องก็ติดต่อพี่ๆ ไปฟัง สอน กันเอง เป็นไปได้ไหมครับคณะกรรมการโครงการ
กิจกรรมสนุกๆ พยายามจัดแล้วครับ ทั้งเชิญอาจารย์มาพูด ส่งพี่ที่พูดจาธรรมดา(ใช้ไมค์) มาสอนร้องเพลง ถ้าแบบรุ่นก่อนนี่ไม่มีเลยนะครับ ว๊ากเกอร์สอนตลอด เฮือก!! กิจกรรมทำความรู้จักกันในชั่นปีแบบนันทนาการ แล้วตอนเดินไปทัวร์มหาวิทยาลัยเนี่ยปล่อยมุขกันหัวเราะท้องแข็งเลยนะครับ แต่ไม่รู้ว่าการทำเช่นนี้จะเปลี่ยนจากไม่เกรงกลัว มาเป็นไม่เกรงใจหรือเปล่านะครับ ต้องถามน้องๆแล้วล่ะครับ แต่อาจไม่พอคณะกรรมการโครงการคิดต่อทีครับ
อย่างไรก็ตาม ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่าการ Debate ครั้งนี้คงช่วยให้ คณะกรรมการโครงการมีแนวคิดที่จะจัดกิจกรรมนี้ได้อย่างมีคุณภาพ อย่างที่ทุกๆคนต้องการนะครับ
Posted by : โบทซึมุ , Date : 2003-04-29 , Time : 02:08:03 , From IP : 172.29.2.151
ความคิดเห็นที่ : 67
ผมเชื่ออย่างยิ่งว่าการอภิปรายในครั้งนี้เป็นประโยชน์ ถ้าไม่กับรุ่นน้องหรือการจัดรับน้องในครั้งนี้ ก็กับผู้ที่ได้เข้าร่วมอภิปรายและผู้อ่าน เพราะเราได้มา share ความรู้ ความคิด ความรู้สึกกัน สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ควรจะเกิดในสถาบันการศึกษา
เราอย่าไปหวังในรุ่นน้องเกรงกลัวเราเลยครับ Fear เป็นด่านป้องกันการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพมาก ส่วนเรื่องการเกรงใจนั้นคงจะไม่เกิดจากกิจกรรมแบบนี้หรอกนะครับ ผมไม่คิดว่าเราสามารถว้ากหรืออ้อนวอนในใครเกรงใจเราได้เท่าๆกับที่เราสามารถว้ากให้น้องเกลียดและดูถูกสติปัญญาของรุ่นพี่และสูญเสีย "ความนับถือ" ไปนั่นทีเดียว
การตั้งเป้าหมายนั้นขอให้เป็น realistic คำนึงถึง เวลา ทัศนคติ และ resource เท่าที่มีอยู่ รุ่นนี้คงจะได้เรียนรู้เรื่องพฤติกรรมและการพยายามเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมมาแล้ว น่าจะทราบดีว่าจากเวลาและ perception ของรุ่นน้องในงานนี้นั้น most unlikely ที่เราสามารถเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมไปในทางใดทางหนึ่ง ผมขอแนะว่าจากเวลาเท่าที่มีนี้เราสามารถแค่สร้าง First Impression หรือเป็นการหว่านเมล็ดที่จะงอกงามออกไปเท่านั้น การจัดประสบการณ์เพื่อเปลี่ยนพฤติกรรมนั้นจะแตกต่างจากการจัดประสบการณ์เพื่อสร้างความประทับใจเบื้องต้น ทั้งในด้านวิธี และเนื้อหา คณะผู้จัดจะต้อง identify "จุดแข็ง จุดขาย" ของสถาบันและตัวรุ่นพี่แล้วจัดออกมาเป็นรูปแบบกิจกรรม ผมขอเตือนด้วยความหวังดีว่าอย่าพยายามที่จะไป manipulate รุ่นน้องให้เป็นอย่างโน้นอย่างดีเลยครับ ไม่ว่าจะมีเจตนาดีอย่างไร เพราะว่า "เราไม่มีข้อมูลรุ่นน้อง" ที่เพียงพอที่เราจะทำอะไรโดยหวังผลได้เลย แต่ผมเชื่อว่าเรามีข้อมูลสถาบันและรุ่นพี่อยู่แล้ว เราทำอะไรกับสิ่งที่เรามีข้อมูลอยู่ก่อนนั้นหวังผลได้ดีกว่ามากครับ
Posted by : Phoenix , Date : 2003-04-29 , Time : 13:13:06 , From IP : 172.29.3.160
ความคิดเห็นที่ : 68
SWOT Analysis
เป็นขั้นตอนการกำหนดกลยุทธ Strenght Weakness Opportunity and Threat
Strenght
๑) เรามีข้อมูลมากมายของสถาบัน รุ่นพี่ที่ประสบความสำเร็จทั้งที่จบไปแล้ว และกำลังเรียนอยู่
๒) ทีมเรามีเจตนาที่ดีต่อรุ่นน้อง อยากจะให้น้องประทับใจ จะได้เป็นเพื่อนร่วมอาชีพที่มีคุณภาพกับเราในอนาคต (หรือแม้แต่เพื่อนร่วมชีวิต!! แฮ่ม !)
๓) สติปัญญาของรุ่นน้องที่เข้ามาในคณะเราอยู่ในเกณฑ์ดีถึงดีมาก
Weakness
๑) เรามีข้อมูลที่จะกัดมากของตัวรุ่นน้อง
๒) เวลาไม่มาก
๓) จำนวน staff จำกัด ฉะนั้นรูปแบบต้องเป็น high ratio ของ staff:freshy
Opportunity
๑) เท่าไรนะ? ๑ วัน บวกประชุมเชียร์สามครั้ง?
Threat
๑) ผลดีและผลร้ายของรูปแบบกิจกรรมต่างๆ ดังที่ได้อภิปรายมามากมาย
หลังจากนี้แล้วก็หารือกันครับ จากข้อมูลตามหัวข้อข้างบน (หรืออาจจะมีเพิ่มเติม) เสร็จแล้วทีมผู้จัดงานคงจะต้องมีการตั้งเป้าหมาย และตัววัดด้านต่างๆ เพื่อตรวจสอบประสิทธิภาพของงานและส่งต่อให้รุ่นน้องรุ่นต่อๆไป
PS: การร้องเพลงไม่ตรงโน้ตนั้นเป็นธรรมชาติขิงคนบางคนนะครับ (technical term = tune-deaf) และถือเป็นเรื่องปกติ ความคิดที่ว่าทุกคนสามารถร้องตรงโน้ตได้นั้นผิดหลักธรรมชาติครับ รู้อย่างนี้แล้วก็ไม่ต้องไปว้ากหรือลงโทษน้องในเรื่องนี้มากเกินไป เพราะจะดูงี่เง่าน่ะครับ
Posted by : Phoenix , Date : 2003-04-29 , Time : 13:29:23 , From IP : 172.29.3.160
ความคิดเห็นที่ : 69
ขอเสนอความคิดเห็น
แบ่ง นศพ. เป็น 2 กลุ่ม( ตามความสมัครใจ)
กลุ่มแรก ให้มีการรับน้องโดยมีรูปแบบตามที่น้องต้องการ เช่น ใช้เวลา2-3 วัน โดยมีการแนะนำตัว ร้องเพลงคณะและมหาวิทยาลัย ปิดท้ายด้วยงานเลี้ยง
กลุ่มสอง ให้มีการรับน้องแบบที่รุ่นพี่คิดว่าดี สนุก ประทับใจ โดยอิงรูปแบบเก่าๆ อย่างเต็มที่ จะใช้เวลานานแค่ไหนก็ได้แล้วแต่รุ่นพี่ต้องการ
ขอย้ำว่า ให้น้องเลือกเอาเองว่าจะเอากลุ่มไหนก็ได้
คิดว่าวิธีนี้ ดี ยุติธรรม สบายใจทุกฝ่าย
ของดีจริง ก็จะมีคนเลอกเอง
รุ่นพี่ ต้องเปิดใจกว้าง เพราะโลกในปัจจุบันเปลี่ยนไปแล้ว เพราะไม่มีงานวิจัยที่จะบอกว่า แบบเก่าและแบบใหม่ อะไรดีกว่ากัน
Posted by : เปาบุ้นจิ้น , Date : 2003-04-29 , Time : 13:40:32 , From IP : 172.29.3.111
ความคิดเห็นที่ : 70
ว้าว ในแง่อื่นผมค่อนข้างเห็นด้วยครับ แต่ในแง่ Opotunity น่าจะเพิ่มเวลาซักหน่อยยครับ 3 ครั้งคิ ดว่า อาจไม่พอ ขอเสนอครับ
Opotunity
-รับน้อง 1 วันอยู่แล้ว
-ประชุมเชียร์ 3-4 สัปดาห์ สัปดาห์ละ 3 วัน วันละ 2-3 ชั่วโมง จะได้มีเวลา คิดกิจกรรมใส่เข้าไปได้เยอะหน่อยครับ อาจไม่ใช่การ ว๊ากก แต่เป็นการฟังบรรยายจากวิทยากร จากนักศึกษาแพทย์รุ่นพี่ การทำความรู้จักแบบยนันทนาการ การทำกิจกรรมบำเพ็ญประโยชน์ เป็นต้น
Posted by : โบทซึมุ , Date : 2003-04-29 , Time : 13:58:46 , From IP : 172.29.2.130
ความคิดเห็นที่ : 71
กฎเกณฑ์ศีลธรรมของผมนั้นไม่ได้ยึดที่รูปแบบหรือผลภายนอกครับ แต่ผมยึดที่เจตนา และเจตนาดังกล่าวก็ไม่ใช่เจตนาธรรมดา แต่เป็นเจตนาสมบูรณ์แบบรอบด้าน คือสมบูรณ์แบบเมื่อแยกส่วนพิจารณาแล้ว ทุกส่วนต้องถูกต้องทั้งหมด ถ้าจะสรุปกันเลยมันก็คือนิพพานนั่นเอง สิ่งใดที่ยังไม่ใช่นิพพานจะยังมีโทษเสมอและไม่ดีพร้อมเสมอ
ที่ผมพูดเรื่องขโมยของในโลตัสนั้นผมอาจพูดเกินจริงไปหน่อย แต่ผมต้องการสื่อความหมายให้ไปคิดกันเองว่า ชีวิตคุณถูกพันธนาการด้วยกฎเกณฑ์ทั้งสิ้น คุณไม่มีสิทธิเลยที่จะแหกกฎเกณฑ์เพื่อผลประโยชน์ของคุณ
-ความลามกอนาจารเป็นสิ่งชั่วร้าย
-ความไร้สาระเป็นสิ่งชั่วร้าย
-การกลั่นแกล้งผู้อื่นเป็นสิ่งชั่วร้าย
เหล่านี้คุณต้องยอมรับให้ได้ก่อน
และแม้ว่าชีวิตปุถุชนจะไม่ดีพร้อมไปทุกอย่าง
แต่นั่นก็ไม่ใช่ข้ออ้างให้คุณจะมาทำชั่ว เพราะเหตุผลว่าไหนๆก็ยังไม่ดีพร้อม ชั่วอีกนิดจะเป็นไรไป
"ชีวิตคุณยังต้องถือความดี และพยายามให้ดีพร้อมที่สุด ไม่พยายามทำชั่วเลยแม้แต่น้อย"
คุณจะไปทำลามกอนาจารย์อะไรก็ได้ถ้าคุณยังไม่รู้ว่าที่คุณทำนั้นเป็นสิ่งชั่วร้าย ถ้าคุณรู้คุณ"จะต้องไม่ทำ"
ที่คุณว่า
"ลามกอนาจาร สกปรกเลอะเทอะ ความไร้แก่นสาร เกิดขึ้นไม่ได้เลยเหรอครับ อืมม การจัดกิจกรรม ต้องมีประโยชน์เท่านั้น ต้องมีสาระเท่านั้น ต้องไม่มีข้อผิดพลาดเลยเหรอครับ ผมคงจะเบื่อแย่เลย "
นี่เห็นชัดหรือเปล่าครับว่าคุณยังโลเลต่อความชั่ว คุณยังเปิดโอกาสให้กิเลสยังพร้อมจะทำชั่วอีก คุณยังบอกว่าความลามกอนาจารนั้นควรจะมีเพื่อให้คุณไม่เบื่อ ความไร้สาระนั้นยังต้องมีเพื่อสนองความไม่เบื่อของคุณ ชีวิตคุณยังต้องการความผิดพลาดอยู่
ชัดแค่ไหนคุณก็รู้ตัวเองได้
แล้วทีกฎหมายคุณยังปฏิบัติตามอยู่เลยนี่นา คุณไม่เบื่อบ้างหรือ
ถ้าให้ผมตีความอย่างลัทธิสุขนิยมผมคงคิดว่าที่คนเราปฏิบัติตามกฎหมายนั้นคงเป็นเพราะการป้องกันตนเอง โดยยอมสละความสุขวันนี้เพื่อความสุขวันหน้า โดยยอมเบื่อสักเล็กน้อยเพื่อไม่ต้องติดคุก
Posted by : Immanuel Kant , Date : 2003-04-29 , Time : 16:02:28 , From IP : 172.29.2.154
ความคิดเห็นที่ : 72
กว่าผมจะอ่านกระทู้ตั้งแต่ต้นจนจบ เล่นเอาเหนื่อยไม่ใช่เล่น ที่อ่านดูบางที่คนตั้งกระทู้อาจจะไม่ต้องการได้วิธีการหรอกครับ อาจเพียงแค่ต้องการให้ทุกคนมา ลองตั้งประเด็นกันมากกว่านะครับ ว่าจะให้มีต่อหรือไม่ให้มีต่อ เพราะอะไร แต่ที่นี้ด้วยความที่มันเป็นเรื่องที่มีความเกี่ยวเนื่องกับกิจกรรมที่เกิดขึ้นจริง จึงมีผู้เสนอให้เกิดวิธีการมากกว่าแค่มานั้งถกกันเฉย ๆ สำหรับตรงส่วนนี้เดี๋ยวผมขอเสนอในความคิดเห็นถัดไปนะครับ
. สำหรับความคิดเห็นนี้ขอแสดง ความคิดเห็นต่อวิธีการนำเสนอของคุณ Kant และคุณ Phoenix สักหน่อยนะครับ งัยสะหวังว่าคุณทั้งคู่คงจะไม่เครียดนะครับพิจารณาดูนะครับผิดถูกอย่างไรขออภัยไว้ ณ ที่นี้ เริ่มจากคุณ Kant ก่อนอื่นผมยอมรับในความห้าวหาญที่กล้าแสดงความคิดของตัวเองออกมาอย่างชัดเจน เรียกว่ากล้าคิด กล้าทำเลยละครับ ผมไม่ค่อยจะเจอใครในกระทู้คณะแพทย์ ที่ชัดเจนในแนวความคิดของตนขนาดนี้นะครับ เรียกได้ว่าเป็นสีสันได้เป็นอย่างดีในกระดานอภิปรายเลยล่ะครับ แต่ที่นี้สำหรับเนื้อหาที่นำเสนอนั้นออกจะค่อน ข้างตึงไปหน่อยนะครับ บางที่อ่านแล้วเครียดครับ และก็เป็น Ideal ไปหน่อยในบางครั้ง ผมยังไม่เคยเจอคุณ Kant นำเสนอแบบอ่านสบาย ๆ เลยนะครับ อันนี้อาจจะเป็นบุคลิกเฉพาะตัวว่ากันไม่ได้ แต่สรุปคือ คุณมีความเป็นตัวเองดีนะครับ ส่วนคุณ Phoenix นี้ออกจะวิชาการจ๋าเลยล่ะครับ เหมืนพวกปรัชญาเมธีนะครับ แบบอ่านเยอะเลยเอาโน้นเอานี้มาผสมกันบางที่ก็ชัดเจนดี บางที่ก็ ก่ำกึง ๆ ผมไม่รู้ว่านี่เป็นลักษณะที่ว่าคุณ Phoenix เป็นอาจารย์ที่ต้องสอนหนังสือ น.ศ. ด้วยหรือป่าว วีธีการนำเสนอจึงลักษณะแนวทางนี้ ยอมรับครับว่าเป็นเหตุเป็นผลดี แต่มักจะออกไปในแนววิชาการและการหาข้อสรุปมากกว่าคุยกันสนุก ที่สำคัญผมว่าคำว่าอาจารย์มีแนวโน้มชี้นำมากพอควรเลยน่ะครับ หรือคุณคิดว่าอย่างไร
. ประเด็นหลักอาจจะอยู่ที่ วัตถุประสงค์ของแต่ละคนต่อกระดานอภิปรายนี้หรือป่าวครับ สำหรับผมกระดานนี้คือกระดานอภิปรายเพราะงั้น เราควรจะมีอิสระที่จะคิดที่จะนำเสนอ โดยวิธีการของแต่ละคน ไม่จำเป็นต้องมาขีดคั่นให้แต่ละคนต้องคิดอย่างเดียวกันหมดไปทุกอย่าง ทั้งนี้ก็อาจจะยกเว้นกรณีที่ sensitive ไว้บางแล้วแต่กรณีไป วัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ ถ้าต้องการให้ นศ. รู้จักคิดผมว่า การมีสีสรรอื่น ๆ ในกระดานแห่งนี้คงจะดีกว่ามีแค่ขาวกับดำนะครับ เพราะยิ่งหลากหลายก็ยิ่งมีทางเลือกมากขึ้น ถ้าเชื่อในความสามารถของผู้ที่เข้ามาอ่าน แน่นอนคร้บ ปัจเจกบุคคลย่อมมีทางเลือกของตนเองออยู่แล้ว เพียงแต่เราคงต้องมีกรอบกติกาไว้บ้างเพื่อไม่ให้เกินเลย.
Posted by : Mercury , Date : 2003-04-29 , Time : 18:39:25 , From IP : 172.29.1.100
ความคิดเห็นที่ : 73
ผมไม่เคยประกาศว่าผมเป็นอาจารย์เลยนะครับ เขาเรียกกันไปเอง เพียงแต่ผมไม่สนใจที่จะแก้เท่านั้นเอง ผมเรียนถามอาจารย์ท่านที่หลายๆคนเข้าใจว่าเป็นท่าน ท่านก็กรุณาบอกว่า OK นะครับ ว่าสนุกดี ผมก็ save ไป (อาจจะพิจารณาเปลี่ยน handle วันหลังหาก real identity เป็นที่รู้กันมากเกิน)
ผมคิดว่าตอนนี้สัสันของกระดานกำลังดีครับ ตอบตรงๆว่าผมมิได้รู้สึกเครียดแต่อย่างใดเลย อย่างที่ผมบอก เราอย่าอภิปรายโดย attach self value กับความเห็นของเรา ดังนั้นใครจะไม่เห็นด้วยหรือคิดว่าความเห็นผมผิดเลวทรามอย่างใดก็ OK นะครับ ผมอภิปรายด้วยความมันส์และสนุกสนานมากครับ มีหลายๆรูปแบบยิ่งดียิ่งมันครับ
ส่วน style ของผมนั้นก็ขอน้อมรับฟังครับ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะผมชอบที่จะเปิดช่องให้ผู้อ่านคิดต่อเอาเองครับ ผมเชื่อในการปลุกระดมความคิด ไม่จำเป็นต้องเหมือนของผมหรอกนะครับ เลยมักจะทิ้งอะไรครึ่งๆกลางๆไว้เยอะ ส่วนจะออกดอกงอกผลอย่างไร ผมขอเฝ้าดูด้วยความตื่นเต้นเร้าใจครับ
ขอแซวคุณ Immanuel อีกสักนิด (ผมชอบแกมากเหมือนคุณ Mercury แหละครับ ก็เลยชอบหาเรื่องแย้งกับแกเล่นๆ) ผมไม่คิดว่า "ไร้สาระ" เป็นเรื่องเลวร้ายนะครับ ขณะที่บางทีไร้สาระเป็นเรื่องไม่ดี แต่หลายๆทีเราก็ค้นพบอารมณ์ขันจากความไร้สาระได้ และผมมั่นใจมากว่าอารมณ์ขันนี้เป็น gift ของมนุษยชาติเลยทีเดียว อาจจะไม่ใช่ของพวกอริยเจ้านะครับ (และอาจจะไม่ใช่ของพวก absolute moralist ด้วย แหะๆ) ตราบใดที่เรามีอารมณ์ขันอยู่ ชิวิตยังสดชื่นมีความหวังครับ
Posted by : Phoenix , Date : 2003-04-29 , Time : 18:54:43 , From IP : 172.29.3.160
ความคิดเห็นที่ : 74
ครับ ผมยอมรับแล้วครับ ว่า ผมเป็นพวกที่ค่อนข้างชั่วร้ายพอตัว ยังต้องการโลกียสุขแบบชั่วครู่อยู่ และก็อย่างที่คุณว่าผมคงยังไม่สามารถละทิ้งกิเลส รัก โลภ โกรธ หลง ได้เลยอ่ะครับ เคยคิดอยู่เหมือนกันครับว่าถ้าได้ทุกอย่างตามที่ต้องการแล้ว จะทำอะไรต่อ ผมคิดว่า ทดแทนพระคุณพ่อแม่ ครอบครัวมีความสุขสำเร็จ ลูกๆโต มีการมีงาน ผมแก่ตัวลง คงค่อยหาสุขแบบโลกุตร
จากกระทู้ข้างบนชวนให้ผมตีความว่า คุณ Kant คงบรรลุแล้วซึ่งนิพพาน เรื่องจริยธรรม ศีลธรรม ความดี ความชั่วคงไม่ขอเถียงอีกต่อไป แหะๆ สู้ไม่ได้แล้วครับ ขอซูฮกๆ(ยอมแพ้แล้วคร้าบบบบ)
Posted by : โบทซึมุ , Date : 2003-04-29 , Time : 21:13:31 , From IP : 172.29.2.97
ความคิดเห็นที่ : 75
โอ๊ยตาลาย เมื่อยมือว่ะ (ลากเมาส์)
แต่พี่ประทับใจนะ ประชุมเชียร์เนี่ย จบมาหกปี นึกถึงทีไร จำได้แม่น+ประทับใจ(เก็บแต่เรื่องดีๆไว้สิครับ)
ตอนวันแรก ตกใจ ไม่ชอบ ฯลฯ แต่ก้ผ่านมาได้ด้วยดี ไม่มีใครตายนี่นา
เอ้า เชิญเถียงกันต่อ ยังไงพี่ก็รัก คณะแพทย์ของเรา รัก มอ.มาตลอด
Posted by : นัท , Date : 2003-04-30 , Time : 18:21:29 , From IP : 203.113.71.166
ความคิดเห็นที่ : 76
ประตูแรกของการเริ่มต้นให้ผู้อื่นฟังฟังเรา
ก็คือการรับฟังเขาก่อน.
Posted by : น้องก้อย , Date : 2003-04-30 , Time : 19:36:58 , From IP : 203.107.201.82
ความคิดเห็นที่ : 77
ใครจะฟังหรือไม่ฟังเราไม่จำเป็นต้องสนใจ
จะสนใจหรือไม่เป็นสิทธิของเขา
เราพูดอะไรออกไปเราตรวจสอบเหตุผลด้วยตนเองได้
หากสิ่งที่เราพูดดีจริง และเขาปฏิบัติตาม เขาต้องได้รับผล
พระพุทธเจ้าทรงประกาศสัจธรรมได้เพราะการตรวจสอบตนเอง
เราทำหน้าที่ เพื่อหน้าที่ ไม่ใช่เพื่อใตร
Posted by : Immanuel Kant , Date : 2003-04-30 , Time : 21:44:49 , From IP : 172.29.2.171
ความคิดเห็นที่ : 78
แล้วทำไมพวกเราต้องเชื่อคุณ
นอกจากจำขี้ปากปรัชญาเมธีมาพูดกับเอาพระพุทธเจ้ามาอ้าง
Posted by : คุณมันขี้โม้ , Date : 2003-04-30 , Time : 22:49:10 , From IP : 203.107.200.214
ความคิดเห็นที่ : 79
ผมไม่ได้บังคับให้คุณเชื่อนะครับ ผมแค่เชิญชวน
คุณจะเชื่อหรือไม่คุณก็ไปตรวจสอบเอาเองได้
ถ้าไม่สมเหตุสมผลคุณก็ได้ต้องเชื่อ
มนุษย์มีเสรีภาพในการเลือกชีวิตตัวเองครับ
Posted by : Immanuel Kant , Date : 2003-04-30 , Time : 22:54:00 , From IP : 172.29.2.90
ความคิดเห็นที่ : 80
You told dont care anyone?I have read.
That s why no body care you.
So you wrote on this webboard for what?
Everyone can read!
Posted by : Dr. john , Date : 2003-05-01 , Time : 00:44:49 , From IP : 203.107.200.109
ความคิดเห็นที่ : 81
ถ้าผมจะกราบขอร้องอะไรสักอย่างแล้วมันทำให้ work ผมขออย่าให้มี personal attack บนกระดานแห่งนี้เลยครับ พวกเราสมาชิกสภากาแฟอุตส่าห์พยายามทำจนมันหายไปหลายเดือนแล้ว ขอให้มันเป็นถาวรเถอะครับ ขอร้องล่ะ
Posted by : Phoenix , Date : 2003-05-01 , Time : 01:31:19 , From IP : 172.29.3.214
ความคิดเห็นที่ : 82
อ้าวเดี๋ยวจะไปกันใหญ่ กระจอง งอง กระจอง งอง... แม่เจ้าโว้ย คณะกรรมการประชุมเชียร์ คณะกรรมการสโมฯ มาฟังทางนี้เร้ววว ผมมี idea สนุก ๆ มาเสนออย่างเพิ่งเครียดกันไปก่อน เดียวจะแก่กันไปหมด.....
เอาล่ะไหน ๆ ก็เถียงกันมาเยอะแล้วลองอ่านวิธีการประชุมเชียร์และรับน้องหรือว่าจะชื่อใหม่อะไรก็ช่างล่ะครับ แบบใหม่ ๆ ดูมั้งนะครับ แล้วลองเอาไปดัดแปลงใช้กันดู เผื่อว่าจะมีประโยชน์นะครับ
ก่อนอื่นผมขอยกประเด็นที่เป็นปัญหาต่อการจัดกิจกรรมให้สัมฤทธิ์ผลก่อนนะครับ นั้นคือ 1. เวลาครับเรื่องนี้ นศ. บอกว่าเวลาน้อยไปจึงทำได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ แต่อาจารย์ทั้งหลายจะบอกว่า ไม่น่าจะทุ่มเวลาไปกับกิจกรรมพวกนี้เอาเวลาไปเรียนดีกว่า 2. งบประมาณ เรื่องนี้ก็เหมือนกันครับ มองคนละมุม นศ. มองว่างบประมาณที่ได้น้อยไป ไม่สามารถสร้างกิจกรรมใหม่ ๆ ได้เพราะไม่มีงบ แต่อาจารย์ก็มองประเด็นเดิมนะแหละครับ เอาไปทำอย่างอื่นที่มีประโยชน์ดีกว่ามานั่งแหกปากตะคอกใส่กัน 3. ขาดแนวคิด อันนี้ก็ต้องยอมรับนะครับแค่เวลาเรียนก็จะแย่อยู่แล้วจะมาเอาอะไรกันอีก มี idea ก็เสนอมา งัยสะก็เอาแบบเดิมนี้แหละง่ายดี (ก็ไม่ทุกคนหรอกนะครับที่คิดแบบนี้ ผมแค่ยกตัวอย่าง 555) 4. กำลังคน กิจกรรมถือเป็นไม่เบื่อไม่เมามานานกับการเรียน เพราะหลายคนมองว่าทำกิจกรรมแล้วเสียเวลาเรียน ทั้งที่ถ้ารู้จักแบ่งเวลากลับจะยิ่งเป็นการสร้างประสบการณ์และบุคลิกที่ดีต่อไปในอนาคต อาจารย์หลาย ๆ ท่านก็ไม่ได้มองในประเด็นนี้จึงไม่มีแรงเสริม 5. การประสานงานทีดี เมื่อไม่มีกำลังคนไม่มีคนเห็นด้วย หรือคนที่คิดอะไรใหม่ ๆ ก็เลย กลายเป็นอะไรที่เดิม ๆ ทศวรรษแล้วทศวรรษเล่า ยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง
ปัญหาทั้ง 5 ข้อเป็นตัวฉุดรั้งที่สำคัญทำให้วิธีการประชุมเชียร์และรับน้องที่มี ประเด็นหลักอยู่ที่การสอนน้องร้องเพลงเชียร์และสร้างความสามัคคีในหมู่คณะ รวมไปถึงการรู้จักและเคารพในความมีอวุโสอย่างมีเหตุผล ขาดการพัฒนาไปในแนวทางที่สร้างสรรค์ และ ณ ตรงนี้ผมช่วยได้เพียงข้อเดียวครับคือ ข้อ 3. แนวคิด คุณอาจจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ได้แต่เดียวผมจะ post เอาไว้ในความเห็นถัดไป..
ปัญหาอื่น ๆ เป็นเรื่องที่พวกคุณต้องจัดสรรและแก้ปัญหากันเอาเองนะครับ ผมเชื่อครับว่าไม่ยากเกินความพยายาม.... :-)
Posted by : Mercury , Date : 2003-05-01 , Time : 02:07:10 , From IP : 172.29.3.218
ความคิดเห็นที่ : 83
ผมเริ่มง่วงแล้วล่ะครับ แต่ไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้วเอาอีกสักหน่อยแล้วกันนะครับ
วิธีการที่ว่ามีดังนี้ครับ
ตามปกติเรามักจะใช้เวลาเย็น ๆ 2-3 ชม. ต่อวันหลังจากเรียนในการประชุมเชียร์และครื่งวันในวันหยุดเพื่อรับน้อง ผมขอเสนอเป็นกิจกรรมใหม่หนึ่งเดียงดังนี้นะครับ
ระยะเวลา เป็น 4-5 วันเต็มก่อนเปิดเทอม โดยส่งจดหมายแจ้งให้ นศ.ใหม่แต่ล่ะท่านทราบว่าจะมีกิจกรรมปฐมนิเทศก่อนเปิดเรียนให้มารายงานตัวก่อนเวลาประมาณ 5 วัน (ยากสักหน่อยนะครับแต่ก็จำเป็นครับ ถ้าไม่อยากให้เครียดตอนเปิดเรียนแล้ว)
สถานที่ หอพักนักศึกษา มหาวิทยาลัย โรงพยาบาล เมืองหาดใหญ่ และสงขลา
ผู้เข้าร่วมกิจกรรม รุ่นพี่ทราบว่าปีนี้ med 29 ใช่มั้ยครับ และ freshy ร่วมถึง staff จากชั้นปีอื่น ๆ ที่พร้อมจะร่วมแจม
ลักษณะกิจกรรม
แบ่งน้องออกเป็นกลุ่ม ๆ ล่ะไม่เกิน 20 คน โดยมีพี่เลี้ยงประจำกลุ่มเป็นรุ่นพี่ชั้นปีละ 1คน แต่ไม่เกิน 3 คนต่อกลุ่ม มีหน้าที่ให้คำปรึกษา คำแนะนำ ตลอดจนช่วยประสานงาน และประพฤติตนเป็นตัวอย่างทีดี (ไม่มีสิทธิ์ชี้นำ) จัดให้น้องแต่ละกลุ่มเลือกหัวหน้ากลุ่ม รองหัวหน้า เลขา ภายหลังจากกิจกรรมทำความรู้จักกันแล้วประมาณ ครึ่งวัน จุดประสงค์ของกลุ่มเพื่อสร้างการรู้จักเคารพในความคิดเห็นของผู้อื่น ภาวะผู้นำ และการรู้จักแสดงความคิดเห็น และการทำความรู้จักสามัคคี กรณีต้องการให้เกิดการทำความรู้จักกับกลุ่มอื่น ๆ จะใช้วิธีการทำกิจกรรมแบบไขว้ เช่นบางกิจกรรมจะจัดให้มี 2 กลุ่มที่ต้องทำด้วยกันเป็นประจำ โดยจะมีลักษณะกิจกรรมแบบนี้หลาย ๆ กิจกรรมเพื่อให้เกิดการ cross ข้ามกลุ่มให้รู้จักกันทั้งหมด ทั้งนี้แต่ละกลุ่มจะมีชื่อเพลงเชียร์หลัก ๆ เป็นชื่อกลุ่มและเนื้อร้องเป็นเพลงประจำกลุ่มที่ทุกคนต้องใช้แทนตัว (สร้างแรงจูงใจในการร้องเพลง) ทุกครั้งที่มีการ cross กลุ่มหน้าที่ที่ต้องทำคือการแนะนำตัวเองให้อีกฝ่ายรู้จัก และร้องเพลงกลุ่มให้อีกฝ่ายฟัง กิจกรรมเสริมที่ใช้สลายพฤติกรรม, เพิ่มความสนิทสนมและเตรียมความพร้อมคือกิจกรรมสันทนาการทุกชม. เบรค
ตัวอย่างกิจกรรมในแต่ละวัน
ตื่นเช้า ออกกำลังกาย โดยจะให้แต่ละกลุ่มรับผิดชอบในการเป็นผู้นำสลับกันไปทุก ๆ เช้า (ฝึกการกล้าแสดงออก ความสามัคคี ความสนุกสนานและความคิดสร้างสรรค์)ทำภาระกิจส่วนตัว ทานอาหารเช้า เสร็จแล้ว ฟังวิทยากรพิเศษพูดคุย (อาจเป็นอาจารย์ในคณะ) เกียวกับหัวข้อที่น่าสนใจ และมีประโยชน์ต่อการเตรียมตัวในการเรียนหรือสร้างทัศนคติที่ตีต่อการเป็นแพทย์ เช่นหัวข้อ "บทบาทของแพทย์กับชุมชน" ประมาณ 1 ชม.แล้วเบรคทำกิจกรรมสันทนาการ(สลายพฤติกรรม)และให้พักหลังจากนั้นให้เวลาสมาชิกของแต่ละกลุ่มหรืออาจมีการ cross กลุ่มเพื่ออภิปรายหาแนวคิดและข้อสรุปของกลุ่มเพื่อนำเสนอในเป็นเวลา 1 ชม. เมื่อหมดเวลาให้ส่งตัวแทนนำเสนอแนวความคิดของแต่ละกลุ่ม พักเที่ยง
ตอนบ่ายเป็นช่วงดูงานให้พี่เลี้ยงจัดน้องออกเป็นสาย ไปเยี่ยมชมงานภายในโรงพยาบาลในหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้แต่ละกลุ่มได้ดูงานสลับกันไปแบบงูกินาง อาจใช้วิธีการ croos กลุ่มอีกก็ได้เพื่อสร้างความสนิทสนมเพิ่มขึ้น ใช้เวลาประมาณ 1 ชม. หลักจากนั้นก็ให้มา เตรียมความพร้อมด้วยกิจกรรมสันทนาการ ก่อนจะ brain storm อีกครั้ง เพื่อนำเสนอว่าหน่วยงานนั้น ๆ มีความจำเป็นอย่างไร มีอะไรที่อย่างให้เป็นหรือมีอะไรที่คิดว่าขาดไป เสร็จแล้วแยกย้ายไปทำภาระกิจส่วนตัว และรับประทานอาหารเย็น
ช่วงเย็นถึงค่ำเป็นการสอนร้องเพลงเชียร์เป็นหลักตั้งแต่ 1 ทุ่มถึง 3 ทุ่ม หลังจากนั้นก็สันทนาการทิ้งทวน ก่อนนอนมีกิจกรรมที่ต้องการความร่วมมือของทุกคนอีกครั้งนั้นคือ จัดให้น้อง 2 กลุ่มได้แจมกิจกรรมเขียนข่าวรายงาน สรุป สถานการณ์ประจำวันให้จัดทำคอลัมน์พาดหัวข่าวเป็นเรื่องราวในแต่ละวันทั้งสาระ แซว จิปาถะ ฯลฯ ตามแต่ idea ที่จะคิดกันได้ ใช้เวลา ไม่เกิน 1 ชม.ครึ่ง (จุดประสงค์เพื่อผึกทักษะในการนำเสนอ ทักษะในการเขียนและเรียบเรียง) ผลงานที่เสร็จแล้วให้พี่เลี้ยงนำไปติดยังที่ผู้ร่วมกิจกรรมทุกคนเห็นชัด ว่าง ๆ จะได้มาอ่านกันสนุก ๆ
เวลาที่เหลือให้ทำธุระส่วนตัว และทุกคนต้องนอนก่อน 11.00 น. ส่วนพี่เลี้ยงให้ใช้เวลาก่อนนอนประชุมสรุปสถานการณ์ในแต่ละวันสรุปความสำเร็จกิจกรรมที่ได้ และเตรียมการกิจกรรมในวันถัดไป
กิจกรรมจะคล้ายกันไปทุกวันแต่หัวข้อและสถานที่ดูงานจะแตกต่างกันไปตามแต่โอกาสและความเหมาะสมรวมถึงอาจจะสลับให้มี Walk Rally แทนการอภิปรายก็ได้ และในวันสุดท้ายจะมี กิจกรรมพิเศษ เช่นการแสดงให้แต่ละกลุ่มได้นำเสนอกัน โดยจะขั้นด้วยความเป็นที่สุด ดึก ๆ อาจจะตบท้ายด้วยการ บายศรีสู่ขวัญน้อง ๆ เพื่อตอนรับสู่ความเป็นลูกพระบิดาอย่างเต็มตัว....
ข้อสำคัญครับงานนี้พี่ ๆ ทุกคนที่เป็นทีมงานและพี่เลี้ยงจะต้องเข้าใจวัตถุประสงค์และเข้าใจในตัวกิจกรรมทุก ๆ อันด้วยนะครับ.... ไม่งั้นจะตะกุกตะกักได้เรื่องล่ะครับ อ้อขอให้มีรุ่นน้อง med 30 มาเรียนรู้งานด้วยจะดีมากครับเผื่อปีหน้าจะได้ทำให้ดียิ่ง ๆ ขึ้น
เอาละครับผมก็มี idea ประมาณนี้ล่ะครับ สนใจก็เอาไปปรับปรุงใช้ดูนะครับ
Posted by : Mercury , Date : 2003-05-01 , Time : 03:34:34 , From IP : 172.29.3.206
ความคิดเห็นที่ : 84
ประเด็นแรกเห็นด้วยว่าหาก "สามารถ" จัดเป็นช่วงก่อนเปิดเทอมได้จะมีประโยชน์หลายอย่างและแก้ปัญหาบางประการออกไปได้พร้อมๆกัน นั่นคือ
...ไม่รบกวนเวลาเรียน
...เป็นกิจกรรมต่อเนื่อง (ไม่ sporadic กระปริบกระปรอย)
...เวลาที่นานและต่อเนื่องทำให้สามารถจัดรูปแบบกิจกรรมให้บรรลุเป้าหมายได้ง่ายกว่า (การเปลี่ยนแปลงหรือ adjustment พฤติกรรมนั้นต้องค่อยๆก่อรูปและพัฒนาครับ ไม่ใช่ install and reboot จบ)
...น้องไม่มีเรื่องอื่นที่จะ focus (เรียน) ก็จะสามารถ take อะไรๆที่พี่จะให้ได้มากกว่า
...รุ่นพี่ไม่ต้องเหนื่อยนาน (chronic exhaustion) เป็น one session service (แต่ใครจะ take care น้องคนไหนต่อเป็นพิเศษก็แล้วแต่ครับ)
ประเด็นที่สอง กิจกรรมที่คุณ Mercury เสนอมาน่าสนใจทั้งนั้นเลยนะครับ น้องแค่ไปศึกษาเพิ่มเติมอีกนิดว่า อะไรคือ "สลายพฤติกรรม"อะไรคือ "Walk Rally" และทำไปเพื่ออะไร ให้เข้าใจหลักการและเหตุผลก่อนสักหน่อยนึง อันนี้เพื่อความ flexibility นะครับ ถ้าน้องเข้าใจว่าทำไปทำไม เพื่ออะไร น้องจะสามารถดัดแปลงให้เหมาะกับสถานการณ์และทรัพยากรได้ดีขึ้นทุกๆครั้งโดยตัวน้องเอง
ประเด็นที่สาม น้องๆช่วยกัน list objective ของการจัดงานนี้ครับเป็นหางว่าว ทั้งสำหรับรุ่นน้อง รุ่นพี่ และสถาบัน เสร็จแล้วช่วยกันจัด priority ของวัตถุประสงค์ และหาวิธีการประเมินวัตถุประสงค์นั้นๆ (เน้น....ประเมิน "วัตถุประสงค์" ไม่ใช่ประเมินพฤติกรรม)
มาถึงจุดนี้ผมเชื่อว่าคณะทีมงานผู้จัดงานรับน้องน่าจะได้ข้อมูลเยอะทีเดียว พี่ๆจะดีใจมากหากน้องรับฟังและนำไปดัดแปลงแก้ไขแล้วกลับมาเล่าสู่กันฟัง หรือมีอะไรจะถามก็โยนเข้ามา จะได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นครับ ผลงานนี้จะเป็น "ครั้งหนึ่งในชีวิต" ที่เราสามารุมองย้อนกลับมาอย่างภาคภูมิใจว่าเราเคยมีส่วนในกิจกรรมที่สร้างความประทับใจให้คนกลุ่มหนึ่งมาแล้ว หลายๆครั้งที่กิจกรรมนั้นจะมีผลทางจิตใจและพฤติกรรมไปนานเท่านาน ถ้าเราทำทุกวิถีทางที่จะหลีกเลี่ยงการโกรธเกลียด ผิดหวังของรุ่นน้อง ก็ OK แล้วครับ ขอให้ทำด้วยความตั้งใจจริงๆก็แล้วกัน
Posted by : Phoenix , Date : 2003-05-01 , Time : 10:41:47 , From IP : 172.29.3.160
ความคิดเห็นที่ : 85
ผมเห็นด้วยกับที่ท่านเสนอมาทุกประการครับ หากมีอาจารย์หรือร่นพี่มารับไปก็จะเป็นความดีอย่างยิ่ง
ผมอยากนำโครงการนี้ไปเสนออาจารย์กันยิกาจังเลยครับ
Posted by : Immanuel Kant , Date : 2003-05-01 , Time : 11:37:07 , From IP : 172.29.2.147
ความคิดเห็นที่ : 86
ผมเห็นด้วยกับความเห็นของ Immanuel Kant และคุณ Phoenix ครับ ผมคิดว่ารุ่นพี่ที่อยากทำงานเชียร์น่าจะเข้ามาศึกษาดูนะครับ อาจจะทำให้ได้ความคิดใหม่ๆมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าเราจะใช้ชื่อโครงการว่าอะไร สิ่งสำคัญคือวัตถุประสงค์ของกิจกรรมครับ แม้เราจะเปลี่ยนชื่อไปกี่โครงการก็ตาม แต่ถ้าวัตถุประสงค์เหมือนเดิมหรือรูปแบบกิจกรรมยังเหมือนเดิมก็ไม่แน่ใจว่าจะเกิดประโยชน์มากขึ้นหรือเปล่าครับ ผมคิดว่าการจัดกิจกรรมก่อนเปิดเทอมคงไม่ได้ครับเนื่องจากนักศึกษาใหม่ต้องเข้าร่วมกิจกรรมปฐมนิเทศน์ของมหาวิทยาลัยครับ ผมคิดว่าคุณ Kant อาจมองโลกไม่ดีไปซักนิดครับ ผมไม่ได้คิดว่าระบบว๊ากจะดีหรือไม่หรอกครับ แต่อย่าลืมว่าสมัยหนึ่งเรานำมาใช้ในระบบทหาร อาจเป็นเพราะว่าการใช้อำนาจอาจควบคุมคนกลุ่มากได้ดีกว่ามั้งครับ แต่ปัจจุบันโลกเราได้มีการเปลี่ยนแปลงไปมากมาย อีกทั้งการใช้ระบบว๊ากมักถูกใช้ร่วมกับอารมณ์ของ staff เชียร์บางคนจึงอาจส่งผลให้ระบบนี้มีจุดด้อย ผมมีข้อเสนอว่าทุกๆคนที่อยู่ในห้องเชียร์น่าจะใช้กติกาเดียวกันนะครับ ผมมองถึงการฝึกหรือการพัฒนาสิ่งต่างๆทั้งของรุ่นน้องและรุ่นพี่ครับ ถ้าเราต้องการให้น้องทำอย่างไรเราก็ต้องทำด้วยกันครับ ผมคิดว่ามีหลายวิธีที่จะทำให้บรรลุวัตถุประสงค์เดียวกันแต่ขึ้นอยู่กับเทคนิคหรือกลยุทธที่เราจะเลือกใช้ซึ่งอาจแตกต่างกันในแต่ละสถานการณ์ครับ
Posted by : free bird , Date : 2003-05-01 , Time : 14:08:36 , From IP : 172.29.1.195
ความคิดเห็นที่ : 87
เอ...ที่คุณmercuryเสนอนี่คล้ายๆเข้าค่ายลูกเสือเลยแฮะ อืมคิดถึงตอนเด็กๆจัง
Posted by : Epoo , Date : 2003-05-01 , Time : 14:34:22 , From IP : 203.157.14.247
ความคิดเห็นที่ : 88
มีบ้างอย่างที่คล้าย แต่ก็ต่างอย่างมากในเรื่องกิจกรรมที่ใช้นะครับ ค่ายลูกเสือนี่ผมก็ชอบครับสนุกดี ได้เดินทางไกลด้วย เรียนผูกเงื่อน เข้าฐานแหมมันส์อย่าบอกใครครับ เรื่องกิจกรรมที่ผมเสนอมานั้น ถ้ามีข้อสงสัยก็ post เข้ามาถามได้เลยนะครับจะตอบให้ มีน้อยคนครับที่จะกล้าฉีกกรอบของระบบเดิม ๆ แต่ถ้ารุ่นคุณทำได้ก็คงจะต้องเก็บไว้เป็นประวัติศาสตร์ไปอีกนานครับ และผมเชื่อว่าปัญหาทุกอย่างแก้ไขได้ครับ ถ้ากล้าที่จะเผชิญ ลองดูนะครับจะเป็นกำลังใจให้.... :-)
Posted by : Mercury , Date : 2003-05-01 , Time : 15:33:51 , From IP : 172.29.1.100
ความคิดเห็นที่ : 89
ไม่จำเป็นต้องเอาน้องไปเข้าค่ายกักกันค้างคืนหลายๆคืน บางคนชอบ บางคนไม่ชอบ จัดในช่วงกลางวันก็พอแล้ว ควรเป็นความสมัครใจ ไม่ใช่บังคับ ขอเตอนว่าถ้าเกิดอุบัติเหตุหรึอ น้องเสียชีวิต ใครจะรับผิดชอบ คงถูกพ่อแม่เขาฟัองร้องติดคุกแน่นอน
Posted by : เปาบุ้นจิ้น , Date : 2003-05-01 , Time : 16:39:21 , From IP : 172.29.3.111
ความคิดเห็นที่ : 90
Work ครับ ส่วนตัวผมรู้สึกว่า ดีมากๆจริงๆ แต่...
อาจารย์จะจัดให้รึเปล่านั้น ...น่าคิด
ผู้จัดทำจะคิดยังไง ไม่ต้องมี ว๊ากเกอร์ ...น่าคิด
น้องๆที่อยู่ไกลๆ เช่น ภาคเหนือ หรือ อิสานจะทำอย่างไร จะมาไหม ...น่าคิด
สนับสนุนให้ทำเลยครับ อยากเห็นมากๆเลย ว้าววววว
ขอบคุณ คุณ Mercury ที่ช่วยหาทางออกให้กับกระทู้นี้ครับ
Posted by : โบทซึมุ , Date : 2003-05-01 , Time : 18:15:46 , From IP : 172.29.2.97
ความคิดเห็นที่ : 91
หลังจากอ่านไปตั้งมากมายก็รู้สึกว่าความคิืดตัวเองอาจเป็นเพียงมุมเล็ก ๆ ที่อาจซ้ำกับความคิดของพี่ อาจารย์หรือเพื่อนบางคนแต่ก็อยากบอกว่า กิจกรรมประชุมเชียร์ทำให้เราสนิทกันรักกันมากขึ้นในรุ่นจริง ๆ ตามทัศนะของดิฉันคิดว่า คนเราถ้าหากว่าไม่ได้รับความลำบากหรือความทุกข์ร่วมกันจะไม่ทำให้เรารู้จักคำว่าความรัก ความสามัคคี ขอบคุณที่กรุณาอ่านคะ
Posted by : มุมมองเล็ก ๆ , Date : 2003-05-01 , Time : 21:07:45 , From IP : dial-7.ras-1.nwt.s.c
ความคิดเห็นที่ : 92
เห็นด้วยกับที่ว่าเด็กภาคอื่นเดินทางมาร่วมด้วยลำบากนะครับแถมถ้าเกิดไม่บังคับอาจไม่มีเด็กจาภาคอื่นมาเลยก็ได้ครับ ต่อไปเด็กพวกนี้ก็เข้ากับเพื่อนยากอีกเนื่องจากไม่ได้ทำกิจกรรมร่วมกัน คณะเราอาจแตกเป็นพวกๆให้เห็นอย่าชัดเจนก็ได้นะครับ
ปล.อีกนิดเดียวเองเอาให้ถึงร้อยเลยนะ(นี่เป็นrep92)5555
Posted by : Epoo , Date : 2003-05-01 , Time : 21:19:32 , From IP : 202.133.176.218
ความคิดเห็นที่ : 93
ความทุกข์ร่วมกันนั้นเราต้องให้เขารู้ด้วยนะครับว่าเขาทุกข์ไปเพื่ออะไร เพื่อประโยชน์และความดีงาม หรือเพื่อความสนุกสนานของรุ่นพี่
ผมก็เห็นด้วยที่จะให้เขามีความลำบากบ้างจึงจะได้มีโอกาสเข้าใจตนเอง
แต่ต้องลำบากเพื่อประโยชน์และเต็มสำนึกในความดีงาม
Posted by : Immanuel Kant , Date : 2003-05-01 , Time : 21:47:01 , From IP : 172.29.2.97
ความคิดเห็นที่ : 94
" สิ่งที่น่าเกลียดที่สุด คือการพยายามทำตนให้ดูน่ารัก"
-พุทธทาสภิกขุ
Posted by : Immanuel Kant , Date : 2003-05-01 , Time : 22:49:32 , From IP : 172.29.2.97
ความคิดเห็นที่ : 95
กิจกรรมนี้ ผมว่าจัดตอนไหนก็ได้ครับ เพราะว่าเป็นกิจกรรมที่ดีอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องเป็นตอนที่รับน้อง หรือก่อนเปิดเรียน อย่างที่คุณ mercury เสนอครับ
ผมชอบอย่างที่คุณ Phoenix เคยกล่าวเอาไว้ว่า การรับน้อง การประชุมเชียร์ คือการแนะนำ สถานที่ รุ่นพี่ การเรียน การปฏิบัติตัวมากกว่าครับ กิจกรรที่คุณ mercury เสนอมานั้นก็ครอบคลุมได้เป็นบางส่วนครับ แต่ว่า....ไม่ทั้งหมด
บางทีกิจกรรมรับน้องนี่อาจจะมีเพียงแค่ไม่กี่ประเทศก็ได้นะครับ อันนี้ผมไม่ทราบได้(อาจจะต้องไปหาข้อมูลเพิ่ม) ผมคิดว่าที่อเมริกาคงไม่มี ดังนั้นเมื่อเรามองจริงๆ ผมคิดว่ากิจกรรมรับน้อง ไม่มีความสำคัญใดๆ เลยก็ได้ เพราะเราสามารถทำกิจกรรมอย่างอื่นทดแทนได้ทุกอย่าง
ถ้าเรายกเลิกสงกรานต์ เราสามารถหาวันไหนก็ได้ที่จะสาดน้ำ
ถ้าเรายกเลิกลอยกระทง เราสามารถหาวันไหนก็ได้ที่จะลอยกระทง
Posted by : เหอๆๆ , Date : 2003-05-02 , Time : 02:52:34 , From IP : 172.29.2.82
ความคิดเห็นที่ : 96
เรื่องที่ผมเสนอให้จัดก่อนวันเปิดเทอมนั้นผมว่า คุณ Phoenix ได้ให้เหตุผลที่ดีประกอบเอาไว้แล้วในความคิดเห็นล่าสุดของเค้านะครับ ว่าทำไมจึงต้องเลือกเวลาก่อนเปิดเทอม ร่วมถึง ทำไมต้องใช้เวลาที่ต่อเนื่องหลายวัน แต่เรื่องนี้ยอมรับถึงความยากลำบากละครับว่า ไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ ที่จะให้ทุกคนมา แต่ถ้าได้มีการออกหนังสือที่เป็นทางการบอกวัตถุประสงค์ที่เด่นชัดไปเลยว่ากิจกรรมนี้ทำไป เพื่ออะไรและดีอย่างไรนั้นแหละครับก็เป็นอีกเรื่องนึ่ง การจะได้รับความร่วมมือหรือไม่ก็ถึอเป็นสิทธิของผู้ปกครองแต่ละท่านนะครับที่จะเล่งเห็นประโยชน์ที่จะได้รับ เพราะในที่สุด นศ. ทุกคนก็ต้องมาใช้ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยโดยไม่มีผู้ปกครองมาคอย take care อยู่ตลอดเวลานี่ครับ
การได้มาทำความเข้าใจและการได้รับความรู้สึกอบอุ่นที่มีพี่ ๆ ค่อยให้คำแนะนำและคำปรึกษาตั้งแต่ต้น ผมว่ามันคงดีกว่าที่จะมาเริ่มชีวิตในมหาวิทยาลัยโดยที่ไม่รู้จักใครเลยจริงมั้ยครับ ประโยชน์เหล่านี้ก็ย่อมตกแกพวกเชาเองแหละครับ
ส่วนในเรื่องตัวกิจกรรมนั้นเท่าที่ผมเสนอไปเป็นแค่ตัวอย่างครับ จะครอบคลุมวัตถุประสงค์ทั้งหมดหรือไม่นั้นมันก็อยู่ที่พวกคุณจะสอดแทรกเพิ่มเติมเข้าไปอีก แต่แน่นอนครับระบบนี้ พี่ว้ากจะไม่ใช่ Hero อีกต่อไป แต่พี่เลี้ยงจะเข้ามามีบทบาทแทน และด้วยวิธีการที่ตรงกันข้ามคือ ใช้ความเมตตา กรุณา ความเคารพในความคิดของกันและกันและการช่วยเหลือพึ่งพาอาศัย เพื่อก่อให้เกิดความรู้สึกที่ประทับใจและรักในส่วนรวม แทนการใช้เสียงที่เกรี้ยวกราดและการลงโทษ มาบีบคั่นความรู้สึกให้เกิดความต้องการหาที่พึ่งและเกาะกลุ่มกัน แบบนี้มันจะไม่ยืนยาวนะครับ เพราะไม่ได้เป็นความรู้สึกจากการเห็นคุณค่าด้วยตัวเอง ความรู้สึกรักที่เกิดจากภาวะบีบคั่นชั่วขณะมันเป็น short term นะครับ แต่ความรักที่เกิดจากการได้ร่วมมือทำกิจกรรมอย่างจริงจังจนเกิดผลแห่งความสำเร็จนั้นมันจะเป็น long term กว่านะครับ
เรื่องความปลอดภัยนั้น ผมไม่ได้ใส่นโยบาย ให้มีกิจกรรมลงโทษ หรือกิจกรรมใด ๆ ที่จะบีบคั่นความรู้สึกและอารมณ์จนเป็นหตุให้ต้องร้องไห้ เครียดจนเป็นลมเลยนะครับ มีที่หนักสุดเห็นจะเป็นออกกำลังตอนเช้า ซึ่งผมก็ไม่ทราบว่าจะเป็นอันตรายตรงไหน ส่วนกิจกรรมกลางวันก็มีแต่ เสวนา อภิปราย brain storm, present, สันทนาการ, walk rally, talent show ซื่งล้วนแต่เป็นกิจกรรมที่ต้องการใช้สมองของทีมมาร่วมกันคิดร่วมกันทำเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ทั้งนั้น แต่ผมก็ไม่ปฏิเสธนะครับว่าการป้องกันไว้ดีกว่ามาแก้ที่หลัง นั้นก็คือเราต้องให้พี่เลี้ยง ร่วมถึง staff ส่วนอื่น ๆ ทำงานกันอย่างเต็มความสามารถ ดูแลน้องในเรื่องสวัสดิภาพและความปลอดภัยเป็นอย่างดี หรืออาจจะมีประกันอุบัติเหตุเป็นรายหัวไปเลยก็แล้วแต่จะจัดการนะครับ อ้อให้ดีมีใบอนุญาติจากผู้ปกครองด้วยก็ดีนะครับจะได้สบายใจกันถ้วนหน้า
Posted by : Mercury , Date : 2003-05-02 , Time : 11:44:14 , From IP : 172.29.1.100
ความคิดเห็นที่ : 97
ตั้งแต่มีกระดานใหม่อะไรๆมันเปลี่ยนไป
ผมไม่ชอบเลย
เวลามีคนจะcommentกันก็จะมีคนมาห้าม
มันจืดๆแห้งและไม่มีจิตวิญญาน ผมคงบ้าอยู่คนเดียว
ปากก็บอกว่าทุกคนมีอิสระไม่บังคับแต่
ที่จริงใช่หลักการจิตวิทยาชั้นสูงมาล้างสมอง
ให้คนที่ทำไม่เหมือนตัวดูเป็นคนผิด
ใครเบื่อก็ทนไม่ได้เลิกเล่นไป
คนที่อยู่ก็มองไปทางเดียวกันไม่มีความแตกต่าง
แต่เค้าก็บอกว่าที่นี่ไม่ใช่ของเค้า
ผมกลับไม่รู้สึกเช่นนั้น
ที่เขียนๆอยู่ก็หนาวสันหลังว่าเค้าจะมาตอบแก้
คอยบงการให้บอร์ดเป็นไปตามใจอยากของตนเอง
อย่างนิ่มนวล เผอิญผมไม่ใช่คนเชื่องๆทึ่ชอบนำเย็นๆก็ตายใจ
ผมชอบให้มีการว๊ากครับ
มันอินกินลึกส่าแก่ใจดีเหลือเกิน
ผมเชื่อว่าถ้าทุกคนไม่ผ่านการว๊ากมากระทุ้นี่คงไม่ทะลุหลักร้อยได้แน่
แต่หลังจากกระทู้นี่ไปอีกสักสองสามกระทู้ผมคงกลายเป็นคนไม่น่าเชื่อถือ
และเป็นคนผิดตามเกมส์ของเค้า
Posted by : ไม่ต้องจดจำหรอกครับ , Date : 2003-05-02 , Time : 11:49:51 , From IP : 202.28.80.4
ความคิดเห็นที่ : 98
ถ้าคุณจะหมายถึงอาจารย์Phoenix ผมไม่เห็นด้วยครับ
คุณเชื่อว่าเหตุผลมีจริงหรือเปล่าครับ นี่เป็นคำถามเบื้องต้นที่สุด
ถ้าคุณเชื่อ ทุกความเห็นก็อาจสัมพันธ์กันได้ด้วยเหตุผล
และแย้งกันได้ด้วยเหตุผล
ไม่มีจิตวิทยาใดจะครอบงำทุกคนได้ตลอดกาลหรอกครับ
ความจริงคือสิ่งที่ทนการพิสูจน์ด้วยเหตุผล
ผมเชื่อว่าการว๊ากมีผลทำให้คนโง่ขึ้น และสร้างสรรค์น้อยลงครับ มันเป็นความเชื่อของผม
Posted by : Immanuel Kant , Date : 2003-05-02 , Time : 12:29:57 , From IP : 172.29.2.112
ความคิดเห็นที่ : 99
ผมบงการหรือไม่อันนี้ไม่ทราบครับ เพราะผมไม่เคยบังคับหรือขู่ตะคอกใครให้เชื่ออย่างที่ผมคิด แต่ถ้าสิ่งที่ผมนำเสนอมีเหตุผล มีหลักการและแนวทางที่จะก่อให้เกิดประโยชน์ต่อการดำเนินการประชุมเชียร์และรับน้องนั้นผมก็ยินดีด้วยครับ
ผมมั่นใจว่าหลาย ๆ ท่านที่มาแสดงความคิดเห็น ไม่ได้รับประโยชน์อันใดเลย และผมก็มั่นใจว่าแต่ละคนก็มีจุดยืนของตัวเองพอที่จะเชื่อหรือไม่เชื่อ มันจึงไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะไปล้างสมองใครอย่างที่คุณบอกน่ะครับ
กิจกรรมที่ผมเสนอแม้อาจจะยังไม่ดีพร้อม แต่ก็ เป็นการกลั่นกรองนเอาเฉพาะหลักการของหลาย ๆ กิจกรรมมาร่วมกันเพื่อให้เกิดประโยชน์ตามวัตถุประสงค์น่ะครับ ผมไม่ใคร่จะชอบอะไรที่ส่าแก่ใจเพียงฝ่ายเดียวอย่างที่คุณบอกสักเท่าไหร่นะครับ เพราะกิจกรรมทั้งที่โหดและใช้สมองที่ผมเคยผ่านมานั้น พอจะช่วยให้ผมแยกแยะได้ว่าแต่ละแนวทางนั้น มันให้แนวคิด ความรู้สึกที่หลงเหลือและประโยชน์อันใดกับผมบ้าง กิจกรรมนี้จึงเป็นเพียงการนำเสนอ เพื่อให้เป็นอีกทางเลือกสำหรับน้อง ๆ นะครับ จะนำไปใช้หรืออย่างไรก็สุดแท้แต่พวกเค้าล่ะครับ
Posted by : Mercury , Date : 2003-05-02 , Time : 12:44:07 , From IP : 172.29.1.100
ความคิดเห็นที่ : 100
กิจกรรมที่ดี ไม่ต้องบังคับก็มีคนมาร่วม ไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งกับการบังคับ คุณ mercury คงเป็นนักทำกิจกรรม แต่อย่าลึมว่าคนเราชอบอะไรไม่เหมึอนกัน การอยู่ลำบากร่วมกัน ไม่ได้ทำให้คนเรารักกันเสมอไป มันมีปัจจัยอย่างอึ่นอีกมากมายที่จะทำให้คนเรารักกัน ทหารที่เรียนรุ่นเดียวกัน ออกรบมาด้วยกัน ในปัจจุบันยังโกรธและทะเลาะไม่มองหน้ากัน ก็มีตัวอย่างให้เห็นในสังคมไทยมากมาย อย่านำข้ออ้างเหล่านี้ มาใช้เพียงเพื่อให้ดูดี เหมือนอย่างสังคมในปัจจุบันนี้ และเพียงเพื่อให้ได้จัดงานตามรูปแบบที่ตัวเองชอบเท่านั้น การประกันชีวิตให้น้อง ไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาเลย ถ้าน้องบาดเจ็บหรือตาย คุณจะเอาอะไร มาทดแทนให้พ่อแม่ของเขา นอกจากเอ่ยคำว่าเสียใจ
Posted by : เปาบุ้นจิ้น , Date : 2003-05-02 , Time : 13:09:38 , From IP : 172.29.3.111
ความคิดเห็นที่ : 101
อันดับหนึ่งคือ ไม่เห็นด้วยกับการบังคับจิตใจ ครับ
ที่คุณ Epoo เกรงว่าขาดกิจกรรมนี้ไปจะทำให้เข้าพวกไม่ได้ ผมว่าเรามีเด็กขาดกิจกรรมรับน้องกันทุกปีหรือเปล่า? หลังจากนั้นเด็กพวกนี้เป็นยังไงบ้างครับ? ไม่เข้าพวก หรือดูแปลกมนุษย์ไปหรือไม่?
เด็กพวกนี้เป็น in-training บัณฑิตครับ และข้อสำคัญคือรุ่นพี่ที่จัดงานนี้ก้เป็น in-training บัณฑิตเช่นกัน ผมคาดว่าแต่ละคนคงจะมี image ของบัณฑิตแตกต่างกันบ้าง แต่ที่ common น่าจะเป็น ความรู้ การแสดงออก (กายวาจาใจ) และความรับผิดชอบต่อสังคม สามประการนี้เป็น evidence ของคนได้รับการศึกษาที่ถูกต้อง รุ่นพี่ที่รับผิดชอบงานอยากจะให้น้องเห็นว่าเรียนที่นี่มาสามสี่ปีมีพัฒนาการในสามประการนั้นอย่างไรบ้างก็แสดงออกมา อยากให้ show ว่าปรัชญาการเป็นแพทย์ในอนาคตที่ได้เรียนมาในสายตาของรุ่นพี่คืออะไรก็แนะนำน้องออกมา อยากให้มีความประทับใจในสถาบันนี้อย่างไรก็แสดงกันออกมาครับ อยากจะให้น้องสนุกสนาน เคารพนับถือรุ่นพี่ในอนาคตอย่างไร First Impression ก็งานนี้แหละครับ พวกเราหลายคนในที่นี้ไม่ได้มีสิทธิ์ VETO อะไร คณะกรรมการต่างหากที่เป็นคนตัดสิน
Posted by : Phoenix , Date : 2003-05-02 , Time : 13:34:05 , From IP : 203.107.207.62
ความคิดเห็นที่ : 102
ใช่ครับตอนนี้คณะกรรมการก็เริ่มทำงานไปบ้างแล้วครับ แต่ไม่รู้ว่าจะออกมาในรูปแบบใด เห็นว่าน่าจะคล้ายปีที่แล้วมั้ง?
Posted by : 000 , Date : 2003-05-02 , Time : 14:10:15 , From IP : 172.29.2.178
ความคิดเห็นที่ : 103
คุณนกไฟครับ
คือที่ผมโพสไปนั่นผมหมายความว่าถ้าหากมีการจักกิจกรรมช่วงปิดเทอร์มจะทำให้คนที่อยู่ทางภาคอื่นๆเดินทางลำบากครับแล้วยิ่งถ้าเปิดกว้างจะมาหรือไม่ก็ได้นั่นจะทำให้เด็กยิ่งขี้เกียดมาครับไม่ได้สนับสนุนการบังคับจิตใจแต่ประการใดแต่แจกแจงให้ดูตามสถานการครับ
และคำถามถัดมาที่ว่า มีเด็กขาดกิจกรรมรับน้องกันทุกปีหรือเปล่า? หลังจากนั้นเด็กพวกนี้เป็นยังไงบ้างครับ? ไม่เข้าพวก หรือดูแปลกมนุษย์ไปหรือไม่?
ตอบทีเดียวเลยนะครับว่า มีเด็กที่ไม่เข้าร่วมกิจกรรมในปีผมหลังจากนั้นก็ค่อนข้างเป็นคนที่มีเพื่อนน้อยครับเนื่องจากกว่าจะรู้จักกับเพื่อนได้เพื่อนๆก็มีกลุ่มกันหมดแล้วครับ ส่วนเรื่องแปลกมนุษย์นี่หมายความว่าอย่างไรครับช่วยแปลความหมายให้ด้วย(เกรงว่าจะกลายเป็นการล่อเป้าครับ)
ทีนี้ที่ผมโพสไปคือผมเกรงว่าถ้ามีคนที่ไม่ร่วมกิจกรรมหลายๆคน อาจเกิดการแบ่งออกเป็นกลุ่มๆในชั้นปีเดียวกันได้ครับโดยกลุ่มที่ทำกิจกรรมก็จะคบแต่กับคนที่เข้าร่วมกิจกรรม และกลุ่มที่ไม่ได้เข้าร่วมก็จะแยกตัวกันไปอยู่ด้วยกันครับเพราะเวลาคนเราจะคบกันนี่คงต้องอาศัยอะไรบางอย่างที่incommentซึ่งกันและกัน ซึ่งการเข้าร่วมกิจกรรมรับน้องนี่มีผลอย่างมากทีเดียวครับเนื่องจากเรื่องของช่วงเวลาที่เป็นปัจจัยสำคัญทีเดียวเพราะคนที่ร่วมกิจกรรมจะเจอกันเองแต่คนที่ร่วมกิจกรรมก่อนที่จะเจอเพื่อนใหม่ที่อยู่คณะเดียวกันแต่ไม่เคยเจอกันเลย ก็จะรู้สึกแตกต่างและหาเรื่องเข้ากันได้ยากกว่าเพื่อนที่เคยเจอกันอยู่แล้วทำให้เกิดการห่างเหินกันออกไปเรื่อยๆครับ
(นี่พูดถึงส่วนรวมนะครับไม่ใช่ทั้งหมดจากประสบการณ์อย่างเดียวไม่มีทฤษฎีอะไรผิดยังไงขออภัยด้วย)
พูดจาวกวนบ้างก็ขออภัยนะครับยังไม่ค่อยคล่องเรื่องการอธิบาย
ส่วนที่คุณไม่ต้องจดจำหรอกครับ ว่ามาผมก็เห็นด้วยในบางส่วนครับ ตรงประเด็นที่ว่ามีบางคนพยายามใช้จิตวิทยาเพื่อที่จะให้เป็นไปตามที่ตนต้องการ(ไม่ต้องดูที่ไหนไกลหรอกครับข้อความนี้เลย" สิ่งที่น่าเกลียดที่สุด คือการพยายามทำตนให้ดูน่ารัก")คือผมว่ามันเป็นการยุ่งเรื่องสิทธิส่วนบุคคลเกินไปนะครับ หรือว่าเขาต้องการให้ทุกคนใช้แต่ภาษาเคร่งเครียดกันหมดทุกคนมนุษย์นะครับไม่ใช่หุ่นยยนต์ก็ต้องมีอารมณ์กันบ้างการแสดงออกทางอารมณ์เป็นสิ่งที่ผิดหรือครับ? เดี๋ยวอาจมีบางคนมาโพสว่าเอ...ผมไม่ได้ว่าใครซักหน่อยแต่ทำไมคุณมารับ แต่ผมอยากบอกผู้โพสนะครับว่าอยากให้ถามตัวเองซักหน่อยว่าจุดประสงค์+อารมณ์ของคุณในตอนที่โพสคืออะไร มีทิฐิรึปล่าว คุณอาจจะเอาหลักธรรมมาเป็นอาวุธอีกเช่นเคย ขอบอกเลยนะครับว่าคุณโกหกคนทั้งโลกได้แต่ไม่สามารถโกหกตนเองได้ว่าความรู้สึกตอนนั้นคุณเป็นอย่างไร เพราะเท่าที่ผมติดตามผลงานของคุณผมสามารถสรุปได้ว่า คุณเป็นคนที่ไม่ยอมรับฟังความคิดเห็นของคนอื่น(นอกจากท่านพุทธทาส ภิกขุ และนักปราชญ์ในอุดมคติของคุณ) และมองอะไรต่างๆในมุมแคบ
ผมจะเอาข้อคิดของคุณไปปรับปรุงตัวและหวังเหลือเกินว่าคุณจะเอาข้อคิดของผมไปปรับปรุงตัวเช่นกัน
ขอบคุณที่อ่านและขอโทดถ้าขัดใจใคร
Posted by : Epoo , Date : 2003-05-02 , Time : 15:01:46 , From IP : 203.157.14.247
ความคิดเห็นที่ : 104
ผมก็ว่าผมพูดไปหลายครั้งแล้วนี่ครับว่า ทุกคนมีสิทธิที่จะเชื่อและเลือกแนวทางชีวิตของตนเองได้
ใครอยากใช้อารมณ์แบบไหนก็ได้ ผมไปบังคับอะไรไม่ได้
ผมก็มีจุดประสงค์ของผม และความจริงเท่านั้นที่จะทนการพิสูจน์ด้วยเหตุผล
ผมอาจโกหกคนทั้งโลกได้ แต่ผมบังคับให้ใครเชื่อไม่ได้
ธรรมะนั้นเป็นอาวุธชั้นดีทีเดียวที่จะประหารตัวตนและความเห็นแก่ตัวตนนั้น
ความเห็นคน นั้นผมอาจจะฟังมามากกว่าใครหลายคนด้วยซ้ำ
แต่ผมก็มีสิทธิที่จะมีความเห็นของผม
ความเห็นใดถูกก็แล้วแต่ปัญญาคนจะตัดสิน
ความจริงเท่านั้นที่ทนการพิสูจน์ด้วยเหตุผล จิตวิทยาครอบงำใครตลอดกาลไม่ได้หรอกครับ
Posted by : Immanuel Kant , Date : 2003-05-02 , Time : 15:23:16 , From IP : 172.29.2.112
ความคิดเห็นที่ : 105
เข้าใจตนเองให้ได้ เป็นสิ่งสำคัญที่สุดครับ
Posted by : Immanuel Kant , Date : 2003-05-02 , Time : 15:44:52 , From IP : 172.29.2.112
ความคิดเห็นที่ : 106
เรียนคุณเปาครับ :-)
ขออภัยด้วยครับถ้าผมจะไม่สามารถรรับหัวโขนนักกิจกรรมมาใส่ ขอผมเป็นอย่างที่ผมเป็นอยู่แล้วดีกว่าครับ หน้าที่ผมคือเสนอแนวความคิด หลักการและเหตุผลดังที่ได้กล่าวไปแล้ว เรื่องจะเอาไปใช้หรือไม่นั้นเป็นสิทธิ์ของน้อง ๆ เค้าครับ ผมก็ไม่ทราบว่ามีตอนไหนหรือครับที่ผมไปบังคับเค้าให้ทำ ถามอีกอย่างผมไปมีอำนาจมาจากไหนครับที่จะบังคับ แล้วถ้าทำแล้วน้องจะมาไม่มาก็เป็นสิทธิ์ของผู้ปกครองที่จะเล่งเห็นประโยชน์หรือโทษของตัวกิจกรรมว่าอย่างไร อันตรายหรือไม่เนื้อหาในตัวกิจกรรมเป็นตัวบอกได้ดีอยู่แล้ว และผู้ปกครองก็คงจะพิจารณาความเหมาะสมในการเข้าร่วมของเด็กเค้าเอง ไม่มีใครบังคับได้ครับ นี่คือสิ่งที่ต่างจากิจกรรมแบบเดิม แน่นอนครับ
ความกังวลเกี่ยวกับสวัสดิภาพของน้อง ๆ นั่นเป็นสิ่งดีครับ แต่ทำไมคุณไม่มองภาพที่น้องต้องมาอยู่ในมหาวิทยาลัยจากบ้านมาอยู่หอตัวคนเดียวแถมไม่มีใครดูแล เป็นเรื่องที่กลัวว่าน้องจะบาดเจ็บหรือตายด้วยล่ะครับ หน้าที่ของคนที่จะจัดกิจกรรมคือดูแลสวัสดีภาพให้ดีที่สุด ลดอัตราการเสี่ยงในตัวกิจกรรมให้มากที่สุด ป้องกันให้ดีที่สุดครับ และถ้าคุณมีแนวคิดดี ๆ หรือปัจจัยใด ๆ ที่จะช่วยให้บรรลุวัตถุประสงค์ที่เกี่ยวกับกิจกรรมประชุมเชียร์และรับน้อง ก็น่าจะลองเสนอมาสักหน่อยสิครับเผื่อว่าจะเป็นทางเลือกหรือข้อเสนอแนะให้น้อง ๆ เค้าได้อีกทางนึง
ส่วนเรื่องคนทะเลาะกันที่คุณหยิบยกมาก็เป็นเรื่องของคนสองคนไม่น่าจะอนุมานมาเป็นเรื่องของคนส่วนรวม ที่จะไปเหมาเอาว่าคนทั้งหมดจะต้องโกรธและทะเลาะไม่มองหน้ากันไม่รักกันนี่ครับ ที่สำคัญกิจกรรมที่ผมเสนอ ไม่ใช่ค่ายทหารหรือค่ายกักกันสักหน่อย การจัดกิจกรรมนั้นมีหลายร้อยแปดวิธีครับ กรุณาอ่านวิธีการแล้วตีวัตถุประสงค์ให้ชัดเจนด้วยครับ กิจกรรมใด ๆ ที่จัดขึ้นนั้นก็เพียงเพื่อเป็นส่วนช่วยส่งเสริมให้เกิด กระบวนการพัฒนาในขั้นต่อ ๆ ไป น้องใหม่บางคนก็ไม่ต่างอะไรกับนกหลงฝูง ไม่รู้จะบินไปไหน ถ้าหากมีผู้แนะนำให้บ้าง มันจะไม่เร็วกว่าการที่ต้องคล่ำหาเส้นทางด้วยตัวเองอย่างโดดเดี่ยวเดียวดายหรือครับ.
คำเตือน กรุณาใช้วิจารญาณในการอ่านครับ เชื่อไม่เชื่อเป็นสิทธิ์ของท่าน ไม่งั้นเดียวจะมีคนหาว่าผมใช้จิตวิทยาชั้นสูงในการล้างสมองหรือบังคับพวกคุณทางอ้อมนะครับ :-)
Posted by : Mercury , Date : 2003-05-02 , Time : 16:45:32 , From IP : 172.29.1.100
ความคิดเห็นที่ : 107
แบ่งน้องเป็นสองกลุ่ม
กลุ่มที่1ให้ผมรับเอง
กลุ่มที่2ก็ให้ คนในกระดานนี้รับกันเอาเองนะครับแบบไหนก็ได้
Posted by : 1 , Date : 2003-05-02 , Time : 18:14:22 , From IP : 202.28.80.4
ความคิดเห็นที่ : 108
คุณ Epoo ครับ ตรงนี้คงสามารถจัดเป็นทิฏฐิของกระผม (จะเป็นมิจฉา-หรือสัมมา- มิทราบได้) แต่การจะบอกว่า A ทำให้เกิด B นั้น ควรจะ observe logical flow เป็นอย่างดีซะก่อน เช่น คนที่ไม่มาร่วมตั้งแต่แรกนั้นเป็นคนที่มีบุคลิกที่จะไม่ค่อยสังคมอยู่แล้วหรือเปล่าต่อมาเขาก็เลยไม่ค่อยมีเพื่อน ก่อนที่จะสรุปว่าเป็นเพราะขาดประชุมเชียร์ทำให้น้องไม่มีเพื่อน คบกัน ๖ ปีนี่โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระบบ PBL การทำงานเป็นกลุ่มนั้นแทรกซึมตั้งแต่ปีสองเป็นต้นไป
มีการกล่าวถึงการ manipulation กระดานกระทู้ ผมคิดว่าเราไม่มีระบบเซ็นเซอร์ก่อน post นะครับ ค่ายไหนๆก็สามารถส่งกระทู้ได้ ผมว่ารุ่นพี่ที่เห็นว้ากนั้นดีมีประโยชน์ก็สามารถนำเสนอความเห็นได้เต็มที่ครับ มีการบอกกล่าวกันนับครั้งไมถ้วนว่าเราต้องการความคิดเห็นประกอบกับเหตุผล เท่าที่ผ่านมาก็เป็น proper debate และมีความเห็นทั้งสองฝ่ายถูกนำเสนอ ไม่เห็นมี good guys bad guys เกิดขึ้น (เป็น anonymous ซะส่วนใหญ่ ยกเว้นบางคนที่ alias form personality ไปเรียบร้อยแล้วไม่กี่คน จะถูกเห็นว่าเป็นคนเลวยังไงก็ไม่ได้ แต่คงจะมีแค่ความรู้สึกส่วนตัวมากกว่าครับที่เราควบคุมไม่ได้ ที่เรียกว่า conscience หรือมโนสำนึกหรือ conviction หรือการตั้งใจมั่นเพราะคิดว่าถูกต้อง
ทำไมต้องบังคับ หากการ"ชักจูง" นั้นดีกว่า? ถ้าเราเขียนโครงการดีๆ มีประโยชน์ ผมจะ post ไปให้น้องๆเป็น brochure ถึงบ้านเลย ให้พ่อแม่ผู้ปกครองเขาดูก่อนก็ยังได้ เผลอๆจะทำลายเป้าที่แล้วๆมาซะด้วยซ้ำ นึกหรือว่าผู้ปกครองเดี๋ยวนี้ไม่รู้กิตติศัพท์การรับน้องบางสถาบันที่กเลวรากเต็มทน มีคนตาย อะไรเทือกนั้น นึกหรือว่าจะมีน้องบางคนที่ไม่มาร่วมเพราะถูกผู้ปกครองห้ามเอาไว้ก่อน ผมว่าทำให้โปร่งใส เขียนโปรแกรมกิจกรรมอย่างที่คุณ mercury แนะนำว่าทำไปเพื่ออะไร น้องจะได้อะไรจาก 3-4 วันที่มาก่อน counter signed โดยอาจารย์กันยิกาก็ยังได้ หากว่าโครงการเราดีจริง มีประโยชน์ต่อน้องจริงๆ ส่งจดหมายพร้อง brochure สี ไปยังบ้านน้องเลยครับ ขออนุญาตผู้ปกครองให้เด็กมาก่อน เขาจะได้เห็นความตั้งใจและเจตนาการรับน้องของเรา ถ้าทำอย่างนี้ได้เราอาจจะเป็นที่แรกที่มั่นใจในประโยชน์จากกิจกรรมนี้จนสามารถบอกกับผู้ปกครองล่วงหน้าได้ ดูซิว่าใครจะมาตามเรารึเปล่าในปีต่อๆไป เรากล้าว้าก กล้าทำอะไรแปลกๆ กล้าบอกว่าตนเองกล้าด่าน้องโดยน้องสนุกชื่นชม ลองกล้าอีกสักแบบที่ไม่มีใครเคยทำดูซิครับ
Posted by : Phoenix , Date : 2003-05-03 , Time : 00:36:23 , From IP : 203.107.207.88
ความคิดเห็นที่ : 109
^
^
^
^
^
เริ่มต้นเสร่อวะ
แต่จบไม่เสร่อว่ะ
บ้าดี
Posted by : จิ๊กโก๋(โคตรชอบ) , Date : 2003-05-03 , Time : 13:12:20 , From IP : 203.107.193.252
ความคิดเห็นที่ : 110
educated man
Posted by : Phoenix , Date : 2003-05-03 , Time : 18:00:37 , From IP : 203.107.207.134
ความคิดเห็นที่ : 111
อยากให้น้องเล่นเกมนี้
Posted by : พยายามต่อไปนะไอ้มดแดง , Date : 2003-05-03 , Time : 19:48:55 , From IP : 203.107.193.197
ความคิดเห็นที่ : 112
ประชุมเชียร์ดีหรือไม่ เราไม่ขอยืนยันแต่ในความคิดเราเราว่ามันได้ใให้อะไรหลายๆอย่าง สอนหลายๆอย่างอยู่ที่ว่าคนที่เข้าไปแล้วได้รับมันหรือไม่ได้อะไรเลย
"จดจำแต่สิ่งดีเอามาใช้แล้วให้สิ่งร้ายเป็นบทเรียน"
Posted by : ปัวโรต์ , Date : 2003-05-04 , Time : 06:53:41 , From IP : 158.108.8.103
ความคิดเห็นที่ : 113
อ่านแล้วเหนื่อยแทน
Posted by : kkk , Date : 2003-05-09 , Time : 22:20:22 , From IP : 172.29.2.166
ความคิดเห็นที่ : 114
ทุกสิ่งทุกอย่าง ถ้าเราทำด้วยความปรารถนาดี คิดถึงผู้อื่นมากว่าผลประโยชน์ของตนเอง มันก็จะออกมาดีเอง เหมือนพระราชดำรัสของพระบิดาที่สอนให้เรานึกถึงประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าส่วนตน
การประชุมเชียร์แต่เดิมที่มีก็คงเพื่อให้น้องได้รู้จักพี่ๆ รู้จักกันเองในรุ่น แต่ที่สำคัญที่สุดคือ เพื่อให้รักกันในรุ่น
เพราะถ้าจบไป พวกเขาก็ต้องช่วยเหลือกันในสายอาชีพ ระหว่างเรียน 6 ปี ต้องผ่านอุปสรรคมากมาย ถ้าทั้งรุ่นรักกันดี บรรยากาศในรุ่นมันก็ดี ช่วยกันเรียน ไม่ใช่แข่งกันเรียน
ทีนี้ก็เป็นหน้าที่ส่วนหนึ่งของพี่ๆ ที่จะทำให้น้องตระหนักถึงความสำคัญในจุดนี้
ว่าทำไมเขาต้องรักกัน ช่วยเหลือกัน
ก็โดยผ่านกระบวนการประชุมเชียร์นี่แหละเป็นโอกาส
ทุกอย่างมันต้องมีศิลปะ มันต้องใช้ทั้งพระเดช พระคุณ แน่นอน ถ้าคุณเอะอะก็ว๊าก
โดยไ่ม่มีเหตุผลอันสมควร แรกๆมันก็กลัวกันดี ผ่านไปสามวันก็เริ่ม tolerance
อีกอย่างเด็กสมัยนี้มันรู้มาก ก่อนเข้ามาก็คงมีคนไปบอกหมดแล้วว่าเดี๋ยวจะโดนนั่นโดยนี่
มันก็ไม่กลัวหรอก เพราะเตรียมใจมาแล้ว ไอ้ที่พยายามแหกปากไปก็ไม่มีผล แต่ถ้ารุ่นพี่มีเหตุผล น้องทำดี ก็ชม ชมอย่างจริงใจ น้องทำไม่ดี ก็ด่า ด่าอย่างมีเหตุผล
ไม่ใช่ไปด่าคาดโทษล่วงหน้า หรือขู่ตะคอกจนน้องรำคาญ ( สมัยนี้ไม่ค่อยมีใครกลัวหรอก)
ถ้าพวกคุณมีเหตุผล น้องก็จะรู้สึกเชื่อถือในตัวพวกคุณ เข้าทำนองทั้งรัก ทั้งเกรง
ทำไมถึงไม่คิดจะร่วมสร้างบรรยากาศให้รู้สึกอยากมาประชุมเชียร์ เพราะสนุก ได้มาเจอพี่ ได้มารู้จักพี่ ได้มาร่วมกันตั้งใจกันทั้งรุ่นเพื่อทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดให้ผ่านพ้นอุปสรรคที่เป็นโจทย์ยากๆจากรุ่นพี่
ถ้าพวกคุณดีแต่ขู่ตะคอกให้น่ากลัว ใครจะอยากมา ( แน่นอนเขามา เพราะเขาไม่อยากโดนวิถีประชา ) แต่คุณเคยสังเกตสีหน้าระทมทุกข์ทุกวันของน้องๆมั้ย
ทำไมคุณไม่ทำให้พวกเขารู้สึกสนุก ท้าทาย อยากจะมาร่วมประชุมเชียร์แทนล่ะ
Posted by : นักศึกษาคนหนึ่ง , Date : 2003-05-09 , Time : 22:35:24 , From IP : 172.29.2.166
ความคิดเห็นที่ : 115
ทุกสิ่งทุกอย่าง ถ้าเราทำด้วยความปรารถนาดี คิดถึงผู้อื่นมากว่าผลประโยชน์ของตนเอง มันก็จะออกมาดีเอง เหมือนพระราชดำรัสของพระบิดาที่สอนให้เรานึกถึงประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าส่วนตน
การประชุมเชียร์แต่เดิมที่มีก็คงเพื่อให้น้องได้รู้จักพี่ๆ รู้จักกันเองในรุ่น แต่ที่สำคัญที่สุดคือ เพื่อให้รักกันในรุ่น
เพราะถ้าจบไป พวกเขาก็ต้องช่วยเหลือกันในสายอาชีพ ระหว่างเรียน 6 ปี ต้องผ่านอุปสรรคมากมาย ถ้าทั้งรุ่นรักกันดี บรรยากาศในรุ่นมันก็ดี ช่วยกันเรียน ไม่ใช่แข่งกันเรียน
ทีนี้ก็เป็นหน้าที่ส่วนหนึ่งของพี่ๆ ที่จะทำให้น้องตระหนักถึงความสำคัญในจุดนี้
ว่าทำไมเขาต้องรักกัน ช่วยเหลือกัน
ก็โดยผ่านกระบวนการประชุมเชียร์นี่แหละเป็นโอกาส
ทุกอย่างมันต้องมีศิลปะ มันต้องใช้ทั้งพระเดช พระคุณ แน่นอน ถ้าคุณเอะอะก็ว๊าก
โดยไ่ม่มีเหตุผลอันสมควร แรกๆมันก็กลัวกันดี ผ่านไปสามวันก็เริ่ม tolerance
อีกอย่างเด็กสมัยนี้มันรู้มาก ก่อนเข้ามาก็คงมีคนไปบอกหมดแล้วว่าเดี๋ยวจะโดนนั่นโดยนี่
มันก็ไม่กลัวหรอก เพราะเตรียมใจมาแล้ว ไอ้ที่พยายามแหกปากไปก็ไม่มีผล แต่ถ้ารุ่นพี่มีเหตุผล น้องทำดี ก็ชม ชมอย่างจริงใจ น้องทำไม่ดี ก็ด่า ด่าอย่างมีเหตุผล
ไม่ใช่ไปด่าคาดโทษล่วงหน้า หรือขู่ตะคอกจนน้องรำคาญ ( สมัยนี้ไม่ค่อยมีใครกลัวหรอก)
ถ้าพวกคุณมีเหตุผล น้องก็จะรู้สึกเชื่อถือในตัวพวกคุณ เข้าทำนองทั้งรัก ทั้งเกรง
ทำไมถึงไม่คิดจะร่วมสร้างบรรยากาศให้รู้สึกอยากมาประชุมเชียร์ เพราะสนุก ได้มาเจอพี่ ได้มารู้จักพี่ ได้มาร่วมกันตั้งใจกันทั้งรุ่นเพื่อทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดให้ผ่านพ้นอุปสรรคที่เป็นโจทย์ยากๆจากรุ่นพี่
ถ้าพวกคุณดีแต่ขู่ตะคอกให้น่ากลัว ใครจะอยากมา ( แน่นอนเขามา เพราะเขาไม่อยากโดนวิถีประชา ) แต่คุณเคยสังเกตสีหน้าระทมทุกข์ทุกวันของน้องๆมั้ย
ทำไมคุณไม่ทำให้พวกเขารู้สึกสนุก ท้าทาย อยากจะมาร่วมประชุมเชียร์แทนล่ะ
Posted by : นักศึกษาคนหนึ่ง , Date : 2003-05-09 , Time : 22:35:51 , From IP : 172.29.2.166
ความคิดเห็นที่ : 116
ผมขออนุญาติแสดงความคิดเห็นครับ ผมคิดว่าการประชุมเชียร์คงมีประโยชน์บ้างไม่มากก็น้อยครับ ไม่อย่างนั้นคงไม่มีใครอยากทำหรืออากเข้าร่วมให้เสียเวลาหรอกครับ คำถามคือได้อะไรจากการประชุมเชียร์ ผมคงต้องขอถามต่อว่าวัตถุประสงค์ของการประชุมเชียร์คืออะไร เราได้ทำตามสิ่งที่เราระบุว่าเป็นวัตถุประสงค์หรือไม่ และนักศึกษาได้ประโยชน์หรือบรรลุวัตถุประสงค์ของกิจกรรมหรือไม่ ผมคิดว่าการประชุมเชียร์คงไม่ได้หมายความเพียงแค่จับน้องหรือบังคับหรือขอร้องหรือสมัครใจมานั่งร้องเพลงให้ครบตามต้องการ สิ่งที่ต้องตอบให้ได้คือการจัดกิจกรรมที่กำลังหรือจะกระทำอยู่นั้นเราสามารถอธิบายได้หรือไม่ว่าจะให้ประโยชน์แก่รุ่นน้องเพียงใด ผมเข้าใจครับว่าการว๊ากก็เป็นวิธีการหนึ่งซึ่งจะควบคุมและทำให้คนกลุ่มใหญ่ทำตามสิ่งที่ผู้จัดกิจกรรมต้องการให้เกิด เนื่องจากง่าย และน้องๆหลายคนก็กลัวรุ่นพี่ครับ แต่อย่าลืมว่าคนเราไม่เหมือนกันอาจมีคนเข้าใจว่าว๊ากเพื่ออะไร แต่ในขณะเดียวกันก็มีคนอาจไม่ยอมรับการว๊ากเหมือนกันครับ ผมอาจต้องคิดต่อว่าจะทำอย่างไรดีนอกจากการว๊าก มีวิธีอื่นอีกหรือไม่ที่จะทำให้ได้ผลเหมือนหรือคล้ายๆกันแต่คนชอบหรือพอใจที่จะกระทำมากกว่า เหนือสิ่งอื่นใด (ไม่ใช่การโฆษณาผ้าอนามัยนะครับ) ทุกคนต้องมีสติในการกระทำดังกล่าวด้วยครับ
Posted by : free bird , Date : 2003-05-13 , Time : 16:54:56 , From IP : 172.29.1.195
ความเห็นจาก Social Network : Facebook
สงวนสิทธิ์การแสดงความคิดเห็นสำหรับ สมาชิกเท่านั้น
>>>>> Page loaded: 0.026 seconds. <<<<<