ความคิดเห็นทั้งหมด : 48

อยากถามว่า "- คณะ- จะแสดงความรับผิดชอบต่อพวกเรา (นศพ.)อย่างไรบ้าง ???? "


   ตอนนี้ประเด็นเรื่องปัญหาระบบการเรียนกำลังถูกพูดถึงอย่างมาก

อาจารย์หลายๆท่านเอง ก็ยอมรับ ว่า -- ระบบมีข้อบกพร่อง --

และ

- นศพ.เอง - ซึ่งเป็นคนใช้ระบบนี้ ก็ยอมรับว่าตัวเองก็บกพร่องในเรื่องของการเรียนรู้ไปบ้าง แต่ก็เป็นไปตามธรรมชาติของคนเรียน ที่มีคนบอกว่า 80% ไม่ได้อยากเรียนแพทย์แท้จริง
แต่ก็เชื่อว่า เมื่อพวกเราทุกคน ได้เข้ามาเรียนที่นี่แล้ว เราก็มีความรับผิดชอบในระดับหนึ่ง ที่จะพยายามเรียนรู้อะไรๆให้ได้มากที่สุด ใช้เวลา 6 ปี ให้ได้รู้อะไรมากที่สุด เพื่อที่จะได้นำความรู้นี้ ไปทำงานที่สำคัญ งานที่ต้องการความถูกต้อง+แม่นยำ เพราะเราต้องทำงานกับ -ชีวิตคน-
แต่เราก็เป็นเด็กที่เคยถูกป้อนอะไรๆมาตลอด (อนุบาล-ม.6) เด็กที่ด้อยประสบการณ์ เด็กดีที่เชื่อฟังครูอาจารย์ อาจารย์บอกว่าระบบดี เราก็ว่าดี บอกให้เราเรียนแบบนี้ เราก็เรียน ด้วยความพยายามอย่างที่สุด
แล้วสุดท้าย ก็ได้ผลผลิตรุ่นแรกออกมา ซึ่งมีคุณภาพมาก จนทำให้ - รุ่นพี่(ของตัวเอง)- บอกว่าไม่ได้เรื่อง ทำอะไรก็ไม่เป็น

สรุปแล้ว
--
--
อยากถามว่า -คณะ- จะแสดงความรับผิดชอบต่อ - พวกเรา-อย่างไรบ้าง ที่ระบบของท่าน ทำให้เราเป็นแบบนี้ ???
--
--

- อย่าบอกนะ ว่าจะไม่ทำอะไรเลย กับเรา 600 กว่าชีวิต ที่ต้องใช้ความรู้ที่มีอันน้อยนิดไปทำงานที่มีผลต่อชีวิตคนไข้ อีกเป็นหมื่นเป็นพัน
- อย่าบอกว่า กำลังพยายามเปลียน(กับรุ่นน้อง ปี 1 ปีนี้) เพราะเท่านี้ไม่พอ

ท่านควรจะนึกถึง
รุ่นที่เพิ่งจบไปปีนี้
และพวกที่กำลังเรียนปี 2-6 ด้วย
ว่าพอจะทำอะไรได้บ้าง (เท่าที่ท่านพอจะทำได้)
อย่างเช่น - ลดเวลาที่ใช้เรียน commedลง
แล้วจัดให้มี -สอน(lecture)- ในเนื้อหาที่สำคัญและจำเป็นที่จะต้องใช้ในการเรียนชั้นคลีนิกจริงๆ


โปรดแสดงความเป็นรับผิดชอบอะไรสักอย่าง










Posted by : นศพ. , Date : 2004-09-02 , Time : 11:48:58 , From IP : 172.29.2.142

ความคิดเห็นที่ : 1


   อยากเล่าให้อาจารย์ฟังว่า

- lecture น้อย ให้SDLเอง = ทำให้เรารู้สึกว่า "-ถูกปล่อยให้กระโดดลงไปในมหาสมุทรของข้อมูลข่าวสาร ผมว่ามันเสียเวลาเหลือเกิน." นี่เรื่องจริง เราอ่านเอง เราไม่รู้ว่าจุดไหนสำคัญหรือไม่สำคัญ อ่านสะเปะสะปะ ต้องใช้เวลามาก สุดท้ายไม่รู้อะไรเท่าไหน อย่าบอกว่าก็อ่านตาม lerning objective ไปซิ ทำไมเราจะไม่ทำ หัวข้อนึง หนังสือ 3 เล่ม ก็พูดไม่ตรงกัน แล้วเราไม่ต้องอ่านแค่หัวข้อเดียวเราต้องรู้เป็นสิบเรื่อง (ซึ่งส่วนใหญ่ก็อ่านไม่ทัน แต่ไม่เป็นไร เพราะข้อสอบออกง่ายอยู่แล้ว ยังงัยก็พอถูไถผ่านไปได้ ) รู้สึกเหมือนจมอยู่ในทะเลข้อมูล ใครไม่มาลองเรียนเอง ไม่รู้ไม่เข้าใจ
แต่ถ้ามีอาจารย์สอน เราก็จะได้เรียนรู้อย่างครบถ้วนและแม่นยำ ได้ในเวลาที่จำกัด
- PBL = โดยตัวมันเองดี ส่งเสริมให้ได้คิด แต่ในเมื่อความรู้พื้นฐานยังไม่ดี ไม่ค่อยรู้ ไม่แตกฉาน เลยทำให้ไม่ค่อยได้ประโยชน์เท่าที่ควร เรียนแล้วก็ผ่าน จำอะไรไม่ได้ เพราะความรู้บางอย่างก็ลึกเกินความจำเป็น หลายๆเรื่องก็เป็นข้อมูลมหาศาล ไม่รู้ว่าจำเป็นต้องรู้ถึงแค่ไหน สุดท้ายไม่ได้อะไรเลย เรื่องจริงที่เค้าบอกว่า - ทำ PBL พอให้ผ่านๆไป
- แค่เตรียมว่าจะต้องพูดอะไร แล้วก็ไปอ่านๆตามโพยให้เพื่อนฟัง แต่บางทีก็ไม่ได้เข้าใจอะไรลึกซึ้งเท่าไหร่หรอก
- เสียเวลามาก กับการที่จะต้องมาเตรียมเพื่อการpresent (ซึ่งบางครั้งก็เหมือนการแสดงละคร เพื่อให้ถูกใจอาจารย์ แถมอาจารย์แต่ละท่าน ก็ชอบแนวละครต่างกัน ต้องคอยทำให้ถูกใจท่าน เพราะท่านให้คะแนน)


Posted by : อยากบอกว่า , Date : 2004-09-02 , Time : 11:49:29 , From IP : 172.29.2.142

ความคิดเห็นที่ : 2


   อยากเล่าให้อาจารย์ฟังว่า

- lecture น้อย ให้SDLเอง = ทำให้เรารู้สึกว่า "-ถูกปล่อยให้กระโดดลงไปในมหาสมุทรของข้อมูลข่าวสาร ผมว่ามันเสียเวลาเหลือเกิน." นี่เรื่องจริง เราอ่านเอง เราไม่รู้ว่าจุดไหนสำคัญหรือไม่สำคัญ อ่านสะเปะสะปะ ต้องใช้เวลามาก สุดท้ายไม่รู้อะไรเท่าไหน อย่าบอกว่าก็อ่านตาม lerning objective ไปซิ ทำไมเราจะไม่ทำ หัวข้อนึง หนังสือ 3 เล่ม ก็พูดไม่ตรงกัน แล้วเราไม่ต้องอ่านแค่หัวข้อเดียวเราต้องรู้เป็นสิบเรื่อง (ซึ่งส่วนใหญ่ก็อ่านไม่ทัน แต่ไม่เป็นไร เพราะข้อสอบออกง่ายอยู่แล้ว ยังงัยก็พอถูไถผ่านไปได้ ) รู้สึกเหมือนจมอยู่ในทะเลข้อมูล ใครไม่มาลองเรียนเอง ไม่รู้ไม่เข้าใจ
แต่ถ้ามีอาจารย์สอน เราก็จะได้เรียนรู้อย่างครบถ้วนและแม่นยำ ได้ในเวลาที่จำกัด
- PBL = โดยตัวมันเองดี ส่งเสริมให้ได้คิด แต่ในเมื่อความรู้พื้นฐานยังไม่ดี ไม่ค่อยรู้ ไม่แตกฉาน เลยทำให้ไม่ค่อยได้ประโยชน์เท่าที่ควร เรียนแล้วก็ผ่าน จำอะไรไม่ได้ เพราะความรู้บางอย่างก็ลึกเกินความจำเป็น หลายๆเรื่องก็เป็นข้อมูลมหาศาล ไม่รู้ว่าจำเป็นต้องรู้ถึงแค่ไหน สุดท้ายไม่ได้อะไรเลย เรื่องจริงที่เค้าบอกว่า - ทำ PBL พอให้ผ่านๆไป
- แค่เตรียมว่าจะต้องพูดอะไร แล้วก็ไปอ่านๆตามโพยให้เพื่อนฟัง แต่บางทีก็ไม่ได้เข้าใจอะไรลึกซึ้งเท่าไหร่หรอก
- เสียเวลามาก กับการที่จะต้องมาเตรียมเพื่อการpresent (ซึ่งบางครั้งก็เหมือนการแสดงละคร เพื่อให้ถูกใจอาจารย์ แถมอาจารย์แต่ละท่าน ก็ชอบแนวละครต่างกัน ต้องคอยทำให้ถูกใจท่าน เพราะท่านให้คะแนน)


Posted by : อยากบอกว่า , Date : 2004-09-02 , Time : 11:49:39 , From IP : 172.29.2.142

ความคิดเห็นที่ : 3


   อยากให้ลดเวลาSDLลงแล้วไปเพิ่มlecture ให้มากๆเพราะว่าเรื่องบางเรื่องที่ให้ไปSDL พวกเราไม่มีพื้นฐานมาก่อนเลย จึงไม่รู้ว่าเนื้อหาจะลึกแค่ไหน และผมดิคว่ามันเสียเวลามากตอนที่พวกเรามาคุยกันถึงเนื้อหาว่าแบบนี้แบบนั้นแต่ละคนอ่านคนละเล่มแต่ละเล่มก็บอกมะเหมือนกาน คนที่ไม่รู้ก็มานั่งเถียงกาน ถ้ามีlecture ทุกคนก็จะรู้ข้อมูลที่ถูกต้องโดยไม่ต้องเสียเวลา

Posted by : พรีคลินิก , Date : 2004-09-02 , Time : 12:28:51 , From IP : 172.29.2.99

ความคิดเห็นที่ : 4


   เนื้อหาบางเรื่อง มากมายมหาศาล แต่ก็พยายามจะ "ยัด" ลงให้ได้ภายใน 1 ชม . หรือชมครึ่ง ทำให้อาจารย์หลายๆท่าน ต้องสอนเร็ว "มาก" หรือไม่ก็ "เอาแค่นี้พอนะ เพราะเค้าให้เวลามาน้อย "

อยากถามมานานว่า "เพื่ออะไร"
ทำไปแล้วได้อะไรขึ้นมา

นอกจากได้เนื้อหากระท่อนกระแท่น นักศึกษาแพทย์ที่ความรู้น้อยลงทุกวัน แต่ความเครียดยิ่งทบทวี

ลองทบทวนอีกซักที ดีไหมคะ


Posted by : สาวน้อยร้อยชั่ง , Date : 2004-09-02 , Time : 15:47:07 , From IP : 172.29.2.81

ความคิดเห็นที่ : 5


   โชคดีจังที่รอดออกมาได้อย่างหวุดหวิด...


เอ้า ...อาจารย์ค้าบ เข้ามาชี้แจ้งแถลงไขได้เลยนะคร้าบ....



Posted by : vecchio , Date : 2004-09-02 , Time : 15:53:23 , From IP : 203.155.29.60

ความคิดเห็นที่ : 6


   อยากจะบอกอาจารย์ว่า
พวกเราส่วนใหญ่่ กว่าจะเข้ามาอยู่ที่นี่ได้ ต้องใช้ความวิริยะอุตสาหะ ความพยายาม ความอดทน ความตั้งใจเป็นอย่างมาก ถึงจะent ติดคณะที่เรียกได้ว่า เข้าได้ยากเป็นอันดับต้นๆของประเทศ

แต่นี่หรือ คือ สิ่งที่พวกเราได้รับ

อยากบอกคณะว่า
พวกเราส่วนใหญ่ มีความอยากได้ใคร่ดี อยากมีความรู้ความสามารถอย่างเต็มที่ตามที่เราสมควรจะได้รู้ก่อนขึ้นคลีนิกกันทั้งนั้น
ส่วนอาจารย์ที่สอนเรา ส่วนใหญ่ก็มีความสามารถ สอนดีๆทั้งนั้น

อาจารย์ดี
นศ.อยากรู้

แต่ทราบมั้ย ว่าเพราะอะไร ถึงเกิดปัญหา

เพราะระบบไม่เอื้ออำนวย ให้อาจารย์สอนเราได้มากเท่าที่ท่านอยากจะสอน
เพราะระบบกำหนดมาให้ว่าสอนได้เท่านี้

พวกเราก็เลยมีความรู้กันแค่นี้

ขอบอกว่า
จริงๆแล้ว พวกเราไม่ค่อยรู้เรื่องอะไรกันนักหรอก ทั้ง
phamaco
anatomy
physio
biochem
ฯลฯ
แต่ที่ส่วนใหญ่ยังไม่ค่อยคำนึงถึงว่าตัวเองรู้น้อย ก็เพราะ ยังไม่ได้เอาไปใช้จริงๆ
คงต้องรอให้ขึ้นคลีนิกเสียก่อน ถึงจะรู้ว่า ตัวเราหนอ อะไรๆก็ไม่รู้เอาเสียเลย

เวลาเรียนชั้นคลีนิก น่าจะเป็นการเอาความรู้พื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ที่ได้เรียนมาในชั้นปรีคลีนิกมาต่อยอด มาประยุกต์ใช้
แต่เท่าที่ฟังปี4-5พูดๆมา ต่างก็บอกว่า
ต้่องมาอ่านใหม่หมดเลย บางส่วนเป็นเรื่องที่ไม่เคยรู้มาก่อนด้วยซ้ำ เท่ากับต้่องมาเริ่มต้นเรียนรู้กันใหม่
ซึ่งท่านอาจจะคิดว่า เป็นเรื่องธรรมดาที่เรียนแล้วก็ลืม
แค่ขอบอกว่า ไม่ใช่ - เราเพิ่งได้มาเรียนรู้ใหม่- ไม่ใช่ -มาทบทวนสิ่งที่เคยเรียนมาแล้ว-
เพราะเราไม่เคยได้เรียนมันมาก่อนเลย

เรียนชั้นคลีนิก ได้ชื่อว่า ลำบากและเรียนหนักอยู่แล้ว
แต่ต้องมาเสียเวลา นั่งอ่าน basic sceince อีก
แล้วเวลาที่เราเรียนชัั้น ปรีคลีนิกมาตั้ง 3 ปี มีประโยชน์อะไร เป็นการเสียเวลาเปล่าใช่หรือมั้ย






Posted by : 000 , Date : 2004-09-02 , Time : 16:15:19 , From IP : 172.29.2.76

ความคิดเห็นที่ : 7


   กระทู้นี้ก็เหมือนกับ กระทู้ที่ตั้งมาเป็น 10 ๆ กระทู้ก่อนหน้านี้ น่าสนใจๆ ว่าบทสุดท้ายจะออกมารูปไหน

Posted by : ppp , Date : 2004-09-02 , Time : 16:47:36 , From IP : 172.29.4.39

ความคิดเห็นที่ : 8


   ขอฟังชัด ชัด
.
อะไรคือประจักษ์ที่ทำให้น้องรักนักศึกษารู้สึกว่าตัวเองประสบความสำเร็จในการศึกษาน้อยกว่าที่ควรจะเป็น
.
คนขับรถรับจ้างหน้าโรงพยาบาลบอกมา มีคนมาเข้าฝันว่าเป็นอย่างนั้น เกิดความรู้สึกตะหงิดตะหงิดเช่นนั้น หรืออะไร กันนะ
.
ขอฟังชัด ชัด แบบมีประจักษ์ให้สมกับที่อยู่ในยุคการแพทย์เชิงประจักษ์ได้ไหม
.
ส่วนคำถามที่ว่าคณะรับผิดชอบอย่างไร แม้นเป็นครูตัวเล็ก เล็ก ก็พอตอบได้ว่า คณะมีระบบประกันคุณภาพการศึกษาซึ่งพึงรับการประเมินอยู่เป็นระยะจากกระทรวงศึกษา เทคโนโลยี (หรือกระทรวงที่มีชื่อคล้ายคลึงกันนี้) อยู่ทั้งหมดเก้าหัวข้อ การวัดผลการศึกษาและการติดตามคุณภาพของบัณฑิต รวมอยู่ในนั้น
.
ข้อสอบส่วนหนึ่งของเราได้รับการส่งไปเทียบคุณภาพกับโรงเรียนแพทย์แห่งอื่น การติดตามคุณภาพหลังจบการศึกษากระทำโดยการออกเยี่ยมบัณฑิต และฟังเสียงครวญจากผู้ใช้ผลผลิต คือผู้บริหารโรงพยาบาล และแพทย์รุ่นพี่
.
ความพึงพอใจของนักศึกษานั้นกระผมเข้าใจว่าเป็นส่วนหนึ่งซึ่ง (อาจ) ใช้ในการปรับปรุงแนวทาง ช่องทางที่ดีคือการประเมินผ่านแบบประเมินผู้สอนและผู้อำนวยกิจกรรมการเรียน (facilitator) ซึ่งเขาแจกให้ท้ายบทเรียน กระผมเชื่อว่าแบบประเมินนั้น มีที่ว่างมากพอที่จะเขียนขอเพิ่มเวลาบรรยายในวิชาที่อาจารย์ร้องว่า "แค่นี้พอนะคะคุณนักศึกษา เวลาหมดลงแล้ว" หากกระดาษไม่พอ ขอเพิ่มได้ที่หน่วยจัดการศึกษา
.
อาจารย์ที่เผลอกล่าวว่า "เวลาหมดลงแล้วนะคะท่านผู้ชม" ท่านคงมีเรื่องอยากจะสอนมาก แต่ติดมาจากรายการโทรทัศน์ ขอให้น้องรักนักศึกษาตอบท่านในทันใดว่า "ไม่เป็นไรหรอกค่ะอาจารย์ เดี๋ยวหนูว่างในคาบเรียนรู้ด้วยตัวเองอีกสองชั่วโมง เชิญอาจารย์สอนต่อตามสบายนะคะ" หรือหากไม่ว่างวันนั้นแต่ติดใจอยากรู้ในเนื้อหาวิชามาก ก็นัดอาจารย์บรรยายในช่วงที่ว่างพร้อมกัน ดังเช่นอาจารย์สะเนบนัดน้องแฮรี่ไปสอนวิชาพิษวิทยา กระผมจำได้ว่าไม่เคยสอนตามเวลาที่เขาให้มาซะที เขาให้มาชั่วโมง สอนเกินไปเป็นสองชั่วโมงบ้าง ตำรวจก็ไม่เคยจับ หรืออยากสอนมากก็อัดวิดีทัศน์ไว้ เขียนใส่ซีไอเอไว้ นักศึกษาผู้มีความรับผิดชอบและอยากเรียนล้นปรี่ จะได้ยืมไปดูจนศีรษะขยาย
.
หรือหากคิดว่าวิชาใด คณะไม่สามารถจัดกระบวนการเรียนรู้ที่เพียงพอ แต่นักศึกษามีความสนใจจัง การจัดกลุ่มจัดชมรมเพื่อเรียนรู้ด้วยกระบวนการทำงานร่วมกัน เหมือนที่น้องแฮรี่ พอตต้า จัดกลุ่มสอนวิชาป้องกันมนต์ดำ ก็ยังกระทำได้
.
โอกาสและอิสระเปิดให้อยู่แล้ว จะฉวยมันอย่างไร ขึ้นกับคุณน้องนักศึกษาเองด้วย ในชั่วโมงการเรียนรู้แบบอิงปัญหานั้น คุณน้องจะใช้มันเล่นละครหรือใช้เพื่ออภิปรายเรียนอย่างแท้จริง ฟาอาจจะไม่รู้ ฟาที่ห่วยอาจจะให้คะแนนไม่ถูกด้วยซ้ำ แต่ความรู้และสัมฤทธิ์ผลในการฝึกปรือกระบวนการหาความรู้นั้น ต่างแน่ครับ
.
หากมีเวลา เดี๋ยวจะและมาคุยเรื่องปัญหาของระบบในความคิดของฟาคนหนึ่ง


Posted by : Shonigega , Date : 2004-09-02 , Time : 17:21:41 , From IP : pedsurg.med.osaka-u.

ความคิดเห็นที่ : 9


   ที่อาจารย์ shonigega พูดก็เห็นด้วยด้วยเถียงครับ แต่ในความเป็นจริงเหตุการณ์ไม่ได้เป็นไปอย่างง่ายอย่างที่คิด ก็อย่างที่บอกผมและใครหลายๆคนที่เข้ามาเขียนกันที่นี่คิดว่าก็คงใฝ่เรียน อยากเห็นหลายๆอย่างมันดีขึ้น แต่ผมอาจจะเป็น นศพ ส่วนน้อยหรือปล่าวไม่รู้ คนหลายๆคนก็อาจจะรู้สึกสบายที่เรียนสบายๆ นอนกลางวันกันได้ทุกวัน เล่นเกมส์ notebook ไม่คิดว่านี่เป็นปัญหา เรื่องที่จะมาให้ SDL ให้เกิดประโยชน์ หรือสนใจติวกันอย่างตัวอย่างที่ยกมันยากที่จะเกิด หลายๆครั้งที่รู้สึกแย่ๆครับ เวลามีถมเถ อย่างที่น้องสาวน้อยบอก มีคนอยากเรียน มีคนอยากสอน แต่มีอยู่สมัยนึง ต้องมีการลักลอบกันเรียน การเพิ่ม lecture เป็นสิ่งที่ไม่ควรทำ ห้ามสอนเกิน เดี๋ยวเด็กไม่ได้เรียนรู้ ไม่ใช่สิ่งเกินจริงครับ สมัยที่ผมเรียนปี 3 เนี่ย ต้องแอบมาเรียน gross anatomy กันตอนปิดเทอมครับ ปิดเป็นความลับนะ ถ้าแพทยศาสตร์รู้อาจจะโดนงด แค้นใจมากครับ ต้องแอบเรียนกันทั้งที่ gross anatomy จบจาก มอ รุ่นเนี่ย จะไม่เคยเรียน head neck upper and lower extremities ฟังแล้วหลายคนอาจจะไม่เชื่อ และคิดว่าอาจารย์หลายๆคนอาจจะไม่ทราบ ผมแน่ใจเพราะว่าอาจารย์ออร์โธท่านหนึ่งก็เพิ่งทราบเรื่อง ท่านก็เลยหายข้องใจว่าทำไม แค่ platar fasciaitis ผม Dx ไม่ได้ ก็ไม่รู้จัก plantar fascia นี่ครับ จริงๆผมก็สนับสนุนให้เรียน anatomy แบบ clinical related นะครับ แต่ไม่ใช่เรียนเป็นผีหัวขาดแบบปัจจุบันครับ orthopaedics น่าสงสารที่สุด ไม่มีพื้นฐาน anatomy เวลาเรียนก็ยังเป็นลูกเมียน้อยอีก เฮ้อ...แปลกดีครับ ทั้งที่ low back pain เป็น most common of OPD case... ปรับใหม่หวังว่าคงดีขึ้นนะครับ

Posted by : Edward , Date : 2004-09-02 , Time : 18:09:30 , From IP : 172.29.4.219

ความคิดเห็นที่ : 10


   อยากบ่นอีกนิดครับเรื่อง five star doctor ของหมอ มอ ที่ต้องมีให้ครบทั้ง 9 competency ผมเข้าใจว่าเราทุกคนก็อยากเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริง เราพยายามเปลี่ยนหลายๆ สร้าง health promotion block, commed แบบเต็มหลักสูตร กิจกรรมเสริมหลักสูตร หวังว่าเด็ก มอ เราจะมี competency มากกว่าใครเขา แต่ก็น่าตกใจถ้าสิ่งที่หลายตกวิตกเป็นเรื่องจริง ผมก็คงมีแต่ art but no science

Posted by : Edward , Date : 2004-09-02 , Time : 18:20:38 , From IP : 172.29.4.219

ความคิดเห็นที่ : 11


   ขอบคุณที่คุยด้วยครับ และสัญญาว่าจะไม่เอาความลับเรื่องการที่คุณเอ็ดเวิร์ดและเพื่อนแอบเรียนกายวิภาคกันตอนปิดภาคไปบอกใคร แต่ต้องแลกกันนะครับว่าห้ามไปบอกใครเช่นกันว่าผมนึกไม่ออกว่า plantar fascia มันอยู่ตรงไหนของร่างกาย
.
ผมไม่ค่อยอายหรอกครับที่ไม่รู้ว่ามันอยู่ตรงไหนของร่างกาย ตราบเท่าที่ผมรู้ว่ามันอยู่ตรงส่วนไหนของห้องสมุด หรือหากอยากจะรู้ต้องกดปุ่มไหนบนเครื่องคอมพิวเตอร์
.
ผมแน่ใจว่าการมองปัญหาด้วยสายตาของผู้ที่อยู่ในฝั่ง "ผู้จัดการศึกษา" อย่างกระผม กับ "ผู้รับการจัดกระบวนการดังกล่าว" อย่างคุณเอ็ด นั้นมันต่างกันในแง่ความรู้สึกหนักเบา (concern) รายละเอียดของปัญหา รวมไปถึงการมองทางออก ยิ่งมองอย่างคนที่อยู่ห่าง ยิ่งอาจถูกหาว่าไม่รู้เรื่องแล้วมายุ่งทำไม
.
บางครั้งการมองจากข้างนอกหรือมุมสูง ก็ทำให้เห็นภาพกว้างและตัดปัจจัยเรื่องอารมฌ์ ความกังวล หรือภาวะบีบคั้นออกไปได้ เวลาที่มีคนเขามาเสนอทัศนะของเขา หากไม่เสียสตางค์ ผมจึงสนับสนุนให้คุณเอ็ดเวิร์ดพึงฟัง แม้มุมมองจะต่าง
.
ปัญหาของระบบในมุมมองของผมไม่ได้อยู่ที่ นักศึกษาไปนอนในช่วงเวลาสำหรับศึกษาด้วยตัวเอง กระผมถือว่านั่นต้องวางอุเบกขา แต่เห็นว่าปัญหาอยู่ที่

ก.คุณภาพและความหลากหลายของสื่อความรู้ กระผมเชื่อว่าระบบเรียนแบบพึ่งพาการบรรยายน้อยลงนั้น สื่อการถ่ายทอดทางอื่นก็ต้องถูกพัฒนาให้มาก เพื่อเป็นทางเลือกให้กับนักศึกษา จะได้เลือกได้ว่าในชั่วโมง SDL นั้น จะไปนอนตีพุงดี หรือ นอนตีพุง + ดูวิดีทัศน์เรื่องการวินิจฉัยโรคปวดหลังไปด้วยดี กระผมเห็นด้วยที่หากมีบริการคอมพิวเตอร์ส่วนตัวแต่การเข้าถึงบทเรียนทางคอมพิวเตอร์มันช้าและมักจะล่ม นักศึกษาจะเข้าชมบทเรียนของครูแนทบ้าง
ปัญหาของสื่อการสอนในปัจจุบันอยู่ที่ "ปริมาณน้อย ไม่ครอบคลุมบทเรียน และปัญหาเรื่องภาษา" ครับ ผมมองทางออกไว้ที่การสนับสนุนให้มีการสร้างสื่อใหม่ในภาษาไทย ให้ครอบคลุม และถือว่าเป็น key performance indicator ระดับภาควิชา รวมทั้งสนับสนุนให้สื่อการสอนสร้างได้แบบเบ็ดเสร็จในระดับภาควิชา โดยสนับสนุนอุปกรณ์และบุคลากร (ซึ่งหมายถึงเงิน) ลงไป
ทุกวันนี้การผลิตวิดีทัศน์ทั้งหมดไปกองอยู่ที่หน่วยโสต การผลิตบทเรียนทางคอมพิวเตอร์ไปกองอยู่ที่หน่วยผลิตคอมพิวเตอร์ช่วยสอน (ซึ่งมีบุคลากรเพียงสองคน) โปรแกรมที่ใช้สร้างบทเรียน (Authorware) ก็ไม่ง่ายพอที่อาจารย์จะเอาไปนั่งเขียนระหว่างตบยุงที่คลินิกหรือขณะรับประทานส้มตำที่หอพัก จำได้ว่าผมเป็นคนหนึ่งที่เคยถูกหน่วยนั้นเขาปฎิเสธตอนที่ผมขอไปเรียนใช้โปรแกรม เนื่องจากเขาบอกว่ารับจำนวนจำกัดสามสิบคน (แต่จัดปีละครั้งเดียว) นอกเหนือจากการสนับสนุนทางอุปกรณ์ การจูงใจในด้านการรับรองสื่อที่สร้างว่าเป็นผลงานทางวิชาการก็เป็นเรื่องที่พึงพิจารณา
.
ข. อีกเรื่องคือ กระผมเห็นว่า "ฟา" ควรจะเป็น content expert ไม่ใช่ใครก็ได้ เพื่อที่จะได้ควบคุมกรอบความถูกต้องและความกว้างของเนื้อหาให้กับนักศึกษาได้ ตอบคำถามบางประการได้บ้าง แก้ปัญหาเฉพาะหน้าที่เกิดระหว่างกระบวนการเรียนได้ ปัญหานี้เป็นเรื่องที่ถกเถียงกันมานานและกระผมเชื่อว่าข้อจำกัดประการหนึ่งของผู้จัดการศึกษาคือเราไม่มีคณาจารย์ฝั่งคณะวิทยาศาสตร์มากพอที่จะ facilitate ใน session ของ basic sciences ทั้งหมด คณะยังจำเป็นต้องดึงอาจารย์จากภาควิชาทางคลินิก แต่ก็นั่นอีก เพราะเหตุใดจึงไม่จัดให้อาจารย์ได้อำนวยการสอนแบบประจำเนื้อหา ผู้บริหารการศึกษาในระดับคณะท่านคงมีเหตุผลของท่าน มันอาจไม่ใช่ปรัชญาของการเรียนแบบนี้ ว่าง ๆ ฝากน้องเอ็ดเวิร์ดไปถามละกัน
.
ขอบคุณอีกครั้งที่เข้ามาแลกเปลี่ยนกันครับ


Posted by : Shonigega , Date : 2004-09-02 , Time : 19:09:39 , From IP : pedsurg.med.osaka-u.

ความคิดเห็นที่ : 12


   ผมอ่านแล้วเหมือน 2 คนพูดกันคนละเรื่องผมคิดเหมือนกันว่า
1. computerไม่ได้ช่วยเรื่อง SDL ซักเท่าไรเพราะว่าความจริงแล้วเราไม่สามารถอ่านหนังสือได้เกิน 2 hr
2. ให้เราอ่านเอง อาจารย์บอกว่า 'มันไม่สำคัญหลอกเพราะเรารู้ว่าเราจะหาได้จากที่ไหน' ผมว่าไม่จริงหลอกครับเพราะการใครก็รู้ว่ามันอยู่ใน text เล่มโตๆ อ่านเข้าไปสิ แต่การใช้เวลาอ่านหนังสือเอง กับอาจารย์สอนมันต่างกันนะครับ
- content ที่ได้ไม่เท่าแน่
- เวลาที่ใช้ไม่เท่าแน่ เวลาอย่างน้อยคงมากประมาณ 3 เท่ามั้งครับ
3 ที่อาจารย์บอกว่านัดเวลาอาจารย์มาสอนเพิ่มเพราะผมอยากเรียนเรื่องนี้ผมว่าในความเป็นจริงนี้แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยนะครับ เหตุผลหนึ่งอาจารยืงานก็เยอะ เวลาว่างก็ไม่ค่อยมี และด้วยเหตุผลอื่นๆอีก แทนที่จะตัด lecture เอาเป็นว่าใส่ lecture เพิ่มไปเลยดีไหมครับผมจะได้รู้ในสิ่งที่ควรรู้


Posted by : 987 , Date : 2004-09-02 , Time : 19:43:35 , From IP : 172.29.4.39

ความคิดเห็นที่ : 13


   ผมขอเสนอแนวทางแก้ปัญหาให้น้อง ถ้าใครเห็นว่าดีก็ลองทำดู แนวทางที่ว่าคือการขอเวลานั่งคุยกับอาจารย์ครับ ที่ใหนก็ได้ ขอนั่งคุยนั่งถามสัก10-15นาที บางทีมันจะมีแนวความคิดดีขึ้นในสมอง ผมรู้สึกว่ารุ่นน้องมีความกล้ามากขึ้น กล้าแซวพี่ กล้าcommentอาจารย์ในกระดานข่าว ดังนั้นน่าจะมีความกล้าพอที่จะขอให้อาจารย์สละเวลาที่มีค่ามานั่งคุยด้วย ถ้าน้องทำแล้วอาจารย์ทุกคนที่น้องไปขอเขาปฏิเสธ ตอนนั้นผมจะยอมรับว่าสถานที่แห่งนี้ห่วยจริง ไม่เหมาะที่จะเป็นสถานที่ผลิตบัณฑิตแพทย์





Posted by : megumi , Date : 2004-09-02 , Time : 19:44:42 , From IP : 172.29.3.155

ความคิดเห็นที่ : 14


   เห็นด้วยกับคุณ ครับว่าให้อาจารย์ไปอ่านหนังสือมาเล่าให้ฟัง ให้เพื่อนไปอ่านหนังสือมาเล่าให้ฟัง กับ ไปอ่านหนังสือแล้วคิดสรุปรวมความให้ตนเองฟัง มันได้เนื้อหาไม่เท่ากัน และหากจะให้ได้เนื้อหาที่เท่ากัน ก็อาจต้องใช้เวลาต่างกัน
.
แต่สิ่งหนึ่งซึ่งซ่อนอยู่ด้วยก็คือ
.
ความสามารถในการหาข้อมูลซึ่งจำเป็น ก็จะถูกพัฒนาต่างกัน ความสามารถในการตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลก็ต่างกัน
.
และหากคิดจะเป็นแพทย์ในทศวรรษปัจจุบัน ซึ่งข้อมูลใหม่ทะลักเข้ามาทุกวัน ข้อมูลขยะถูกสร้างเพื่อผลประโยชน์ทางธุรกิจตลอดเวลา การผูกขาดความรู้ข้อมูลเพื่อผลประโยชน์เชิงการเมืองและการค้ามีอยู่ตลอดเวลา
.
แล้วไม่เรียนให้หนัก คิดให้มาก ค้นให้มาก เชื่อให้ยาก และเรียนอย่างเป็นอิสระ
.
ต่อไป แม้แต่งานในคลินิกหน้าเด้ง คุณก็อาจหาทำเลี้ยงชีพได้ยาก
.
เยาวชนไทยที่เรียนแพทย์มากกว่าเจ็ดในสิบพกโทรศัพท์มือถือในกระเป๋า (ซึ่งเป็นเทคโนโลยีของต่างชาติทั้งหมด ไม่มีระบบวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีนี้ในอาณาจักรไทย) กินอาหารแดกด่วน (ซึ่งเป็นวิธีการแดกของต่างชาติทั้งหมด) เสพสื่อที่สร้างจากประเทศที่พัฒนาแล้ว ย้อมสีผมตามอย่างเขา ขับรถ เล่นอินเตอร์เน็ต ใช้คอมพิวเตอร์
.
แต่เมื่อถามถึง ความรับผิดชอบต่อชีวิต หน้าที่ และอนาคตของตัวเอง
.
ผู้หวังดีบางท่านกลับแก้ตัวแทนเขาว่า เด็กพวกนี้เขาไม่พร้อมที่จะเรียนในวิธีอย่างนั้น หามาป้อนให้เขาเถอะ ทำให้มันง่ายเข้าเถอะ
.
เรื่องตลกหกเก้าหรือไรล่ะนี่


Posted by : Shonigega , Date : 2004-09-03 , Time : 07:03:27 , From IP : pedsurg.med.osaka-u.

ความคิดเห็นที่ : 15


   ในปัจจุบันไม่ค่อยมีคนยอมรับหมอ มอ.เท่าไรนัก ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น

Posted by : 258 , Date : 2004-09-03 , Time : 11:00:15 , From IP : 203.107.133.48

ความคิดเห็นที่ : 16


   -ผมซีเรียด ไม่ตลกด้วยครับ แนวคิดของผมคือต้องอิ่มท้องสมองจึงพร้อมจะเรียนรู้ เมื่อนศพ.กำลังอยากรู้ รวบรวมความกล้ามาถามเรา เราก็ควรอธิบาย หลังจากนั้นอยากสอนอะไรก็สอน ควรอ่านเพิ่มที่ไหนก็บอกเขา ดังนั้นหลังการคุยกันแต่ละครั้งนศพ.จะรู้มากขึ้นแน่นอน แต่วิธีของผมก็มีside effect ตามที่อาจารย์กุมารแพทย์กล่าวไว้ แต่เราก็ต้องบอกside effectนี้ให้เขาทราบครับ



Posted by : megumi , Date : 2004-09-03 , Time : 12:32:54 , From IP : 172.29.3.152

ความคิดเห็นที่ : 17


   ผมรู้ว่าในโลกยุคปัจจุบัน นศพ. ต้งช่วยตัวเองมากขึ้น แต่จากบทสรุปที่เราคุยกันมานี้ ผมว่า ประเด็นอยู่ที่ว่า
1. ถ้าเกิด นศพ. มีบางส่วน fail (มีความรู้ไม่พอ ตัวชี้วัด ex. ตอนปเป็น extern ไม่มีความรู้ทำอะไรไม่เป็น ) เราจะทำอย่างไร ปล่อยเขาไป
ผมยอมรับว่าระบบนี้ดีจริง และผมยอมรับว่าในรุ่นหนึ่งๆมีคนเรียนแล้วสำเร็จแน่นอน แต่ต้องยอมรับอีกว่ามี นศพ. อีกส่วนหนึ่งและเป็นจำนวนไม่น้อย เราจะมวิธีช่วยคนเหล่านี้ยังไง
2. ผมว่าการเรียน มันก็คงเปรียบเสมือนเครื่องมือชิ้นหนึ่งมีทั้งข้อดีข้อเสีย ข้อดีในที่นี้คือที่อาจารย์กล่าวไปแล้ว แต่ก็คงปฎิเสธไม่ได้ กับสิ่งเกิดเพราะมี นศพ. หลายคไม่มีความรู้พอ ไม่มี skill ที่ดีพอ เราจะเลือกแบบไหน ผมว่าวิธีเรียนและวิธีมันมีข้อดีข้อเสียในตัวมันเอง คงไม่อันไหนที่ perfect หมด ผมคิดว่าเราคงต้องเลือกใช้อันที่เหมาะสมที่สุดนั่นน่าจะดีกว่า ( เหมาะสมไม่ได้หมายความว่าดีที่สุด )
อาจารย์มีความเห็นว่าอย่างไรครับ


Posted by : ZaYa , Date : 2004-09-03 , Time : 12:56:42 , From IP : 172.29.4.39

ความคิดเห็นที่ : 18


   ด้วยความนับถือครับเมงูมิที่รัก กระผมเองนั้นมิได้ต่อต้านการบอกการสอนเมื่อมีน้องรักนักศึกษามาถาม หรือมาทำหน้างงงวยใกล้ ๆ เลย
.
การบอกนั้นเป็นวิธีการถ่ายทอดแบบหนึ่ง
.
เช่นเดียวกับที่การบรรยาย เป็นการถ่ายทอดแบบหนึ่ง
.
เราก้าวมาถึงยุคที่เกมส์ควรจะเปลี่ยนไปจากการเดินหัวกลวงเข้าไปในห้องบรรยาย แข่งกันจด แข่งกันถ่ายสำเนา แข่งกัน เอ๊ะใครจะจำได้มากกว่า แล้วไปกาคำตอบ แล้วถ้าสอบผ่านก็รู้สึก secure ว่า เอาละที่ครูเขาว่ามา พอละ จะเอาไปใช้ส่วนไหนของชีวิต เดี๋ยวโตแล้วค่อยว่ากัน เขาสอนถูกหรือเปล่า เป็นความรู้ที่จำเป็นไหม who care?
.
มาเป็นการเรียนที่เริ่มจากคำถาม และเป็นการเรียนที่ผู้เรียนมีอิสระพอที่จะเลือกรับข้อมูลได้จากหลายสื่อ ไม่ว่าจะไปกดคอมพิวเตอร์สำหรับคนชอบกด ใครชอบบรรยายไปเอาวิดีทรรศน์การบรรยายมาดู ใครเป็นลูกแม่ช่างอ่านก็เดินเข้าตู้ ใครปากมากก็ไปคุยกับผู้รู้
.
ผมเห็นว่านี่เป็นคำตอบที่ดีสำหรับนักเรียนแพทย์ที่ learning style ไม่ถูกโฉลกกับการฟังบรรยาย ผมเคยจดเวลาเพื่อหาค่าเฉลี่ยช่วงตื่นในห้องบรรยายของตัวเอง แล้วพบว่าจะตื่นในช่วงยี่สิบนาทีแรกและ ห้านาทีสดท้ายเท่านั้น เด็กเลวไม่ฟังครูของผม จะไม่มีสิทธิ์รับข้อมูลความรู้จากสื่ออื่น และเรียนจบเป็นแพทย์ที่ดีเหมือนกับแม่สุวรรณีลายมือสวยและจองที่ได้แถวหน้าประจำหรอกหรือ
.
คุณเมงูมิน่าจะเคยผ่านไปปฏิบัติงานในโรงพยาบาลอื่น และได้สัมผัสกับผลิตผลของคุณ ของโรงเรียนเรา เราด้อยกว่าใครหรือ ผมไม่คิดอย่างนั้น !


Posted by : Shonigega , Date : 2004-09-03 , Time : 13:04:36 , From IP : pedsurg.med.osaka-u.

ความคิดเห็นที่ : 19


   ถ้าเกิดมี Lecture ทั้งวันคิดว่าดีเหรอครับถึงพูดกัน ผมรู้สึกว่าระบบนี้ต้องการให้เด็กไขว่คว้าด้วยตนเองมากกว่า เพราะการที่อาจารย์จะมาสอน Lecture เขาก็ต้องค้นมาเหมือนกัน

Posted by : คนค้นคน , Date : 2004-09-03 , Time : 13:38:27 , From IP : tproxy5.anet.net.th

ความคิดเห็นที่ : 20


   ผมว่าถ้าคุณอยากฟังอาจารย์มากๆก็ควรเรียนนิตินะไม่ต้องคิดไม่ต้องใช้การcreateเรียนแบบเถือกๆท้องตะบัน สนุกหรอครับคุณก็ดูเองดิทำไมเค้าต้องเปลี่ยน..... เพราะเค้าไม่ต้องการเด็กที่ดีแต่ท่องlactureไปสอบแล้วget a คุณรู้มั๊ย มีหลาย

Posted by : i must go patatya , Date : 2004-09-03 , Time : 14:12:54 , From IP : 172.29.2.87

ความคิดเห็นที่ : 21


   ผู้คิดระบบและจัดการทุกอย่างขณะนี้ก็ไม่ได้อยู่ในตำแหน่งรองคณบดีฝ่ายแพทยศาสตรศึกษาน่าจะได้อ่าน และแสดงความรับผิดชอบ ลืมไปท่านยังคงได้ตำแหน่งที่ปรึกษาฝ่ายแพทยศาสตรศึกษา ไม่รู้ว่ายังจะให้ตำแหน่งนี้ปลอบใจอะไรหรือทั้งที่ก่อนหน้านี้ไม่เคยมีตำแหน่งนี้

Posted by : .... , Date : 2004-09-03 , Time : 14:15:57 , From IP : 172.29.4.129

ความคิดเห็นที่ : 22


   ผู้คิดระบบและจัดการทุกอย่างขณะนี้ก็ไม่ได้อยู่ในตำแหน่งรองคณบดีฝ่ายแพทยศาสตรศึกษาน่าจะได้อ่าน และแสดงความรับผิดชอบ ลืมไปท่านยังคงได้ตำแหน่งที่ปรึกษาฝ่ายแพทยศาสตรศึกษา ไม่รู้ว่ายังจะให้ตำแหน่งนี้ปลอบใจอะไรหรือทั้งที่ก่อนหน้านี้ไม่เคยมีตำแหน่งนี้

Posted by : .... , Date : 2004-09-03 , Time : 14:16:02 , From IP : 172.29.4.129

ความคิดเห็นที่ : 23


   ในที่สุดก็เฉลยออกมาว่านี่เป็นกระทู้การเมือง ผมไปดีกว่า

Posted by : Shonigega , Date : 2004-09-03 , Time : 14:30:42 , From IP : pedsurg.med.osaka-u.

ความคิดเห็นที่ : 24


   เดี๋ยวรุ่นพวกเราก็จะต้องสอบnational testเป็นรุ่นแรก คงอาจจะเป็นผลการประเมิณการเรียนระบบPBL ให้มหาลัยอื่นได้ทราบว่ามันดีหรือไม่ดีก็ได้นะ
อีกไม่นานก็คงจะได้รู้กันแหละนะ ถ้ามีนต่ำที่สุดในบรรดา 13 มหาลัยก็คงจะบอกได้ว่าการเรียนระบบนี้มันดีอย่างไร



Posted by : น้องปี 2 , Date : 2004-09-03 , Time : 15:01:00 , From IP : 172.29.2.135

ความคิดเห็นที่ : 25


   บอกชูวิทย์สิ

Posted by : ที่3 , Date : 2004-09-03 , Time : 15:11:32 , From IP : 203.156.74.121

ความคิดเห็นที่ : 26


    ในปัจจุบันไม่ค่อยมีคนยอมรับหมอ มอ.เท่าไรนัก ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น

Posted by 258() 2004-09-03 , 11:00:15 , 203.107.133.48


อันนี้เอามาจากไหนครับ


Posted by : เหอๆๆ , Date : 2004-09-03 , Time : 16:59:38 , From IP : wwwtrh.moph.go.th

ความคิดเห็นที่ : 27


   เอ....
อาจารย์คะ

นี่น้องๆเค้ายังไม่ทราบกันเหรอคะว่ามอ.เราสอบคะแนนคอมพรีรวมได้อันดับที่ดีดี(อย่างน้อยก็ดีกว่าที่น้องๆเค้าคิดกัน)

อ.ปล่อยให้น้องๆโจมตีอยู่ได้ยังไงคะเนี่ย

^_^


Posted by : ... , Date : 2004-09-03 , Time : 17:55:44 , From IP : 202.129.48.122

ความคิดเห็นที่ : 28


    คณะแพทย์ มอ ควรยอมรับตัวเองซะเถอะว่า ตัวเองไม่มีศักยภาพเพียงพอที่จะอาจหาญจัดการเรียนการสอนแบบ PBL ได้หรอก เลิกเล่นละคร เลิกหลอกตัวเอง ไม่มีใครปฏิเสธว่าระบบนี้ไม่ดี แต่คณะไม่มีความสามารถที่แท้จริงที่จะทำให้มันเป็นแบบ ideal ได้ .... ที่บอกว่าคะแนนสอบเราดี ไว้ปีหน้าคอบดูข้อสอบกลางของแพทยสภาดู อยากรู้นักว่าพวกที่บอกว่าได้คะแนนอันดับต้น ๆ อยากจะให้มาลองสอบใหม่ จะได้ "ประเมิน" ตนเองได้ด้วย ว่า ไร้คุณภาพแต่ไหน คะแนนอาจจะห่วยหว่าหมอ รังสิตก็ได้ ใครจะรู้
ทำไปเถอะ ทำเข้าไป อยากบอกว่าเสียใจทีสุดในชีวิตที่เลือกมาเรียนแพทย์ที่นี่


Posted by : กบในกะลา(ครอบ) , Date : 2004-09-03 , Time : 18:53:03 , From IP : 172.29.2.127

ความคิดเห็นที่ : 29


   scenareo เดิมๆ ไม่เพิ่มมันสมองอยากรู้แค่ลองเปิดอ่านหาโพย โพยดีพี่เด่น ไม่เห็นหา(เอง)เลย ปัญญาไม่งอกเงย ก็เลยมาโพสลง
ไม่ขยันหานอก
จะออก ได้ไง
กะลา__โพย__
ตั้งใบใหญ่พวกจังไรชอบอยู่กัน
บ้างอ้าง เพื่อนแนวทาง
บ้างก็อ้าง ทางของฉัน
ถ้าโง่อย่าว่ากัน
เพราะคุณนั้นทำตัวเอง


Posted by : it must b love , Date : 2004-09-03 , Time : 20:13:18 , From IP : 172.29.2.187

ความคิดเห็นที่ : 30


   ผมได้ให้ความเห็นบางส่วนไว้ในอีกกะทู้หนึ่งแล้ว แต่ตอนนี้อยากจะเข้ามาคุยกับคุณ "กบในกะลา" สักหน่อย ผมรู้สึกว่าคุณน่าสงสารและยังเป็นเด็กเจ้าอารมณ์มาก คุณเคยถามตังเองมั้ยว่าที่คุณ "เสียใจที่สุดในชีวิต" เป็นเพราะคุณไม่ประสบความสำเร็จในการเรียน ได้คะแนนไม่ดีแล้วโทษระบบการเรียนการสอนหรือเปล่า เท่าที่ผมเห็นนะคนที่ไม่รักคณะนั้นส่วนใหญ่เป็นพวกไม่ประสบความสำเร็จในการเรียนสักเท่าไร และเผอิญคณะเราก็ไม่ได้เป็นคณะเก่าแก่เหมือนใน กท ที่มีเกียรติประวัติยาวนานจนไม่มีอะไรมาลบความน่าภาคภูมิใจไปได้ ง่ายต่อการถูกปรามาส

คุณรู้มั้ยว่าการหาความรู้ได้ด้วยตัวเองนั้นสำคัญอย่างไร คุณเคยถามคนรุ่นพี่หรืออาจารย์ของคุณหรือยังว่าเขาต้องใช้ความพยายามเท่าไหนในการเรียน ใช้เวลาวันละกี่ชั่วโมงอ่านหนังสือ คุณรู้มั้ยว่าอาจารย์แพทย์ที่สอนพวกคุณนั้นหลายคนยังใช้เวลาหลายชั่วโมงต่อวันอ่านหนังสือ

ถ้าคะแนนไม่ดีก็จงจำไว้ว่า คุณต่างหากที่ไม่มีศักยภาพในการเรียน แปลกดีนะในรุ่นของพวกผมกลับไม่ชอบให้มีการสอนกันสักเท่าไร


Posted by : NN , Date : 2004-09-03 , Time : 20:14:30 , From IP : WNPP-p-203-54-22-67.

ความคิดเห็นที่ : 31


   รำไม่ดีโทษปี่โทษกลองหรือป่าวเนี่ย คุณกบในกะลา...

Posted by : Euphoria , Date : 2004-09-03 , Time : 20:23:06 , From IP : 172.29.2.101

ความคิดเห็นที่ : 32


   -ผมก็เพิ่งเฉลียวใจว่าเป็นกระทู้การเมือง ขอลาตามอาจารย์กุมารแพทย์ไปด้วยค
-หวังว่าเมื่ออาจารย์กลับมาคงได้คุยกันอย่างโปร่งใสครับ




Posted by : megumi , Date : 2004-09-03 , Time : 21:04:09 , From IP : 172.29.3.152

ความคิดเห็นที่ : 33


   -ผมก็เพิ่งเฉลียวใจว่าเป็นกระทู้การเมือง ขอลาตามอาจารย์กุมารแพทย์ไปด้วยค
-หวังว่าเมื่ออาจารย์กลับมาคงได้คุยกันอย่างโปร่งใสครับ




Posted by : megumi , Date : 2004-09-03 , Time : 21:04:27 , From IP : 172.29.3.152

ความคิดเห็นที่ : 34


   คณะแพทย์ทุกแห่งมีปรัชญา มีทิศทาง และมีแนวทางในการจัดการเรียนการสอนที่อาจไม่เหมือนกัน แต่เป้าหมายอยู่บนพื้นฐานของเกณฑ์มาตรฐานอันเดียวกัน ทุกคณะแพทย์จะมีทั้งเด็กที่เรียนเก่ง ตั้งใจทำงาน ขยัน รับผิดชอบ ชอบอ่านเอง ศึกษาด้วยตนเอง หรือชอบให้คนสอน ป้อน มีทุกรูปแบบ ดังนั้นไม่แปลกใจที่คณะของเราก็มีเช่นกัน เป็นสัจธรรม มีคนรักก็ต้องมีคนชัง มีขาวก็ต้องมีดำ คนชอบ PBL ก็มี คนเกลียดก็ไม่น้อย คนเรียนเก่งและมีความรู้จากระบบใหม่ก็มาก แต่คนเรียนด้อยไม่รู้เรื่องก็มาก ไม่ว่าจัดการเรียนระบบไหนก็เหมือนกัน แต่สิ่งที่เรามองเห็นในปัจจุบันก็คือ maturity ของนักศึกษาปัจจุบัน ลดลงอย่างมาก หากจะคิดไปแล้ว นักศึกษาแพทย์ปี 4 คือคนที่ใกล้จะจบมหาวิทยาลัย(สำหรับคณะอื่น) แต่นักศึกษาแพทย์ของเรายังทำตัวเด็ก เรียนไม่เป็น เพราะอะไร เป็นหน้าที่ของอาจารย์คณะแพทย์ที่ไม่ควรจะมัวนั่งทำแต่วิจัย และบริการอย่างเดียว คงต้องคิดว่าหน้าที่ของอาจารย์คือการเรียนการสอน เราได้อุทิศเวลาของเราให้กับการเรียนการสอนมากน้อยเพียงใด ทิศทางของคณะเกี่ยวกับเรื่องนี้เป็นเช่นไร

Posted by : อาจารย์ , Date : 2004-09-03 , Time : 23:39:33 , From IP : 203.113.76.71

ความคิดเห็นที่ : 35


   
เอ....
อาจารย์คะ

นี่น้องๆเค้ายังไม่ทราบกันเหรอคะว่ามอ.เราสอบคะแนนคอมพรีรวมได้อันดับที่ดีดี(อย่างน้อยก็ดีกว่าที่น้องๆเค้าคิดกัน)

อ.ปล่อยให้น้องๆโจมตีอยู่ได้ยังไงคะเนี่ย


เรียนอาจารย์ผู้น่ารักที่เคารพรัก
ครับไอ้เพื่อนรุ่นผมนี่ล่ะที่ทำคะแนนสูงสุดและทำคะแนนเฉลี่ยสูงที่สุดในบรรดา ภูมิภาค

แต่อาจารย์ครับ คือมันมีที่มาครับ (น้องอย่าเพิ่งเศร้าเด้อ)
- คะแนนสูงสุดเนี่ยเพราะเรามีมือเซียนที่ตอนนี้เตรียมเรียน พชท.เมดไปเรียบร้อย สามเหลี่ยมเขยื้อนภูเขาเลยครับ 2 คนที่สอบเทียบมา 1 ในนั้นคือคนที่มีคะแนนเอนท์ตรงสูงสุด ส่วนอีกคนเป็นอัจฉริยะ มาดผู้ดี สอบได้ที่1 ตั้งแต่ปีแรก ส่วนอีกคนขอโทษครับ มือหนึ่งในการแกะโพยเลย

- คะแนนรวมเฉลี่ยสูงสุด
เนื่องด้วยเรามีความสามารถหาแหล่งความรู้นอกตำราได้มากจริงๆ เป็นที่ ที่ทุกคนมีโพยกันหนามากกว่า harrison เสียอีก


เชียงใหม่ก็เชียงใหม่เถอะครับ ขอนแก่น ก็ขอนแก่นเถอะ เจอโพยล่ะมรึง...เสร็จ


ขอโทษครับอาจารยืที่แสนดี...อาจารย์ยังภูมิใจอยู่ไหมครับ ผมเสียใจเล็กที่ทำให้อาจารยืผิดหวัง แต่ผมว่าความจริงเป็นสิ่งไม่ตาย ด้วยความเคารพอย่างสูง


Posted by : late maturity , Date : 2004-09-04 , Time : 11:05:50 , From IP : 172.29.3.176

ความคิดเห็นที่ : 36


   อ้อ....แก้ไขครับ 1 ในนั้นคือคนที่มีคะแนนเอนท์รวมสูงสุด

ความเห้นเด็กตัวน้อย(หนูที่ถูกทดลอง) บอกได้เลยว่า SDL คือเวลาพัก

Lecture คือเวลาตักตวง และเนื่องจากระบบปลายเปิดนี้ ใน ideal คือ คนที่เก่งที่สุดสามารถเก่งได้มากกว่าอาจารย์ เก่งได้เรื่อยๆ ไม่มีลิมิต ส่วนพื้นฐานความรู้ basic science นั้น ไม่สามารถคาดหวังได้จากระบบนี้

ในที่สุดแล้วคนที่เก่งที่สุดจะปรับตัวเข้ากับสิ่งแวดล้อมส่วนใหญ่ ที่ผมเห็นคือตอน มันอยู่MED มีอ่านบ้างหนังสือบ้าง เล่นเกมบ้าง แล้วใกล้สอบก็อ่านโพยเหมือนคนอื่นๆ เพราะข้อสอบบอกได้คำเดียว....ตรงโพย


คือแทนที่คุณจะทำให้มันขยันเหมือนเดิม ระบบเฮงซวยของชั้นคลินิกคือ ข้อสอบที่โคตรตรงโพย คุณกำลังสอนอัจฉริยะให้กลายเป็นคนธรรมดา

สอนไปสอนมา ก็โดนด่าแล้วยังไม่รู้สึกตัว.....

เด็กข้างใน comment ตั้งหลายครั้งไม่เคยฟัง เอาแต่ลดแรงต้านด้วยการปล่อยเกรดในปี 2-3 ตอนนี้ความจริงปรากฏ Extern โดนอาจารย์ข้างนอกด่ากลับมา คุณถึงเริ่มตระหนัก แต่ก็ยังปากแข็ง นักเรียนปี 2-5 เริ่มรู้ความจริง เริ่มตีรวนแต่คุณก็บอกว่าไม่มีอะไร ไม่ทำอะไร ไม่ต้องกังวลน้องๆ ทำไมน้องไม่แก้ไขตัวเองบ้าง ทำไมเอาแต่โวยวาย น้องรู้ไหมตอนนี้ เราเก่งแค่ไหนแล้ว


ช่วยกรุณาอยู่ในโลกแห่งความจริงหน่อยได้ไหม

ถามจริงๆ คำสอนพระราชบิดา..ยังจำได้อยู่ไหม ยังปฏิบัติอยู่ไหม




หรือคิดแต่ว่า พวกข้า ทำถูกเสมอ

ผมเสนอทางออกคือ คุณต้องดันมาตราฐานความรู้ขั้นต่ำให้สูงขึ้น ด้วยการเพิ่ม lecture ส่วน PBL ควรมีให้น้อยลงบ้าง ไม่ใช่ มานั่งแสดงละคร หรือ เอาความรู้ผิดๆ มาสอนกัน น่าเกลียดมาก กลายเป็นว่า facilitator ที่ดีในสายตาผมคือ อาจารย์กันยิกา ซึ่งปล่อยให้เรา discuss กันเต็ม ตั้งแต่ บ่ายโมงถึง 5 โมงเย็น แล้ว มาสรุปความรู้ (ของจริง) ในตอนสุดท้าย อีก 2ชั่วโมง วันนั้น เลิก 1 ทุ่ม ขอโทษนะครับ แทบ รากเลือด แต่คุณเข้าใจไหมว่าเราได้อะไรกลับไป เราได้ความเข้าใจจริง คุณเชื่อไหม ขณะที่ผม present อยู่ ถึงเรื่อง ข้อ จำได้เลย วันนั้น คุยกันเรื่อง
gouty arthritis ผมรับหน้าที่ พล่ามเรื่อง anatomy ผมก็หาpaper มาพล่ามอย่างดี ทั้งที่ ตัวเอง ก็ไม่ค่อยรู้เรื่อง เพราะไม่เคยเห็น พล่ามไปพล่ามมา ถึงก็tendon อาจารย์เห็นว่าคงไม่รู้เรื่องจริง เพราะทั้งกลุ่มไม่มีใครเข้าใจเรย อาจารย์ก็ถามว่า เอ็นเนี่ยมันคืออะไร ผมก็ตาเหลือก คว้าpaper มาพล่ามต่อบอกว่ามันคือ connective tissue อาจารย์ถามว่า connective tissue คืออะไร เชื่อไหมผมตอบไม่ได้ basic sci กระจอกขนาดไหน สรุปพูดมาตั้งนานเนี่ย พูดแบบนกแก้วนกขุนทอง

อาจารย์ขึ้นกระดานเลย แยกย่อย ชนิด ของ tissue
endocardial
nerve
parenchymal
....

สรุปง่ายๆ สั้น ก็คือ ในขณะที่ร่างกาย มีเซลล์ที่รวมกันทำหน้าที่เพื่อจะเป็นอวัยวะต่างๆ connective tissue ก็คือ เซลล์อันอื่นที่ไม่ได้มีหน้าที่อื่นนอกจาก เป็นเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน ที่มัน ยึดร่างกายเราไว้ด้วยกัน


เนี่ยผมต้องการแค่เนี่ย...concept สั้นๆ ในทุกเรื่องที่จะยืนยันได้ว่าเราไม่ได้มั่ว เนี่ยแค่ เนี่ย สรุป หลัง PBL สั้นๆ ไม่ต้องยืดยาวเท่าอาจารย์ กันย์ หรอก

แค่เนี่ย ขอได้ไหม ปรกติผมก็ไม่กล้าพล่ามขนาดนี้หรอก ไม่อยากหาเรื่องเหมือนกัน


Posted by : I want to say , Date : 2004-09-04 , Time : 12:16:19 , From IP : 172.29.2.176

ความคิดเห็นที่ : 37


   กักขังฉันเถิดกักขังไป ขังตัวอย่าขัง หัว เราดีกว่า อย่าขังปัญญาให้ทรมาน ให้ฉันเศร้าโสกา หรือว่าฉันเป็นเช่นดังจำเเลยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย

ทำไมคณะเราไม่เอาอาจารย์ที่จบ md แล้วไปต่อ medical science จริงๆ มาสอนครับ(ถึงจะหาตัวยากก็เถอะ)ผมรำคาญมากที่มีอาจารย์คณะวิทย์บางท่านจำกัดความรู้ผมโดยการแนะนำหนังสือตัวเองให้เด็กอ่าน (ไม่ทางตรงก็ทางอ้อม อย่าบอกนะว่าไม่รู้) แล้วที่แปลมาก็ใช้ภาษาทะแม่งๆ อาทิ หลอกคอ(trachea) หลอดลม(bronchus) จุดสิ้นสูญทางการหายใจ หรืออะไรประมาณเนี๊ยะ(dead space) อีกอย่างbasic science ที่เอามาก็ไม่เห็นแนวทางapply (เน้นการสร้างทฤษฎีมากกว่าอีก)ถามจริงๆเถอะครับ ปีนี้ ข้อสอบจะตรงโพยอีกมะ จะได้ท่องโพยเลย โดยไม่ต้องอ่านหนังสือนอก พวก lacture note ของต่างประเทศคงสู้อาจารย์ของเราที่ ไม่ยอมใช้ trachea แต่ใช้หลอดคอไม่ได้หรอก ข้อสอบน่ะ ไม่ต้องเปลี่ยนหรอกครับ ปัญญาเด็กจะได้ดีขึ้น สมองเด็กพัฒนาด้วยโพย และหลอดคอ ฮ่ะๆๆๆๆ


Posted by : ขังตัวอย่าขังสมองดีกว่า , Date : 2004-09-04 , Time : 12:48:24 , From IP : 172.29.2.176

ความคิดเห็นที่ : 38


   อ้อ...เห็นด้วยกับความคิดที่ว่า PBL ทำให้คนกล้า discuss ผิดอย่างมั่นใจ

ผมเองก็จำผิดเหมือนกัน เพราะผ่านมานานแล้ว ควรจะมีสิ่งที่ถูกต้องติดไว้ดังนี้ครับ
http://healthsciences.columbia.edu/dept/ps/2007/histology/histo_exam2_tissue.pdf
อันนี้ผมได้มาจากการสอนวิธีหาข้อมูล ไม่ใช่ได้มาจากSDL
สรุปสั้นๆ ดังนี้ครับ
1. epithelial
2. nerve
3. connective tissue : http://www.kumc.edu/instruction/medicine/anatomy/histoweb/ct/ct.htm
4. muscle


อ่าน...ถ้าไม่อ่านคุณจะไม่มีทางรู้เลยว่า ผมพูดผิด


Posted by : I want to edit , Date : 2004-09-04 , Time : 18:32:11 , From IP : 172.29.3.171

ความคิดเห็นที่ : 39


   ...
อาจารย์คะ

นี่น้องๆเค้ายังไม่ทราบกันเหรอคะว่ามอ.เราสอบคะแนนคอมพรีรวมได้อันดับที่ดีดี(อย่างน้อยก็ดีกว่าที่น้องๆเค้าคิดกัน)

อ.ปล่อยให้น้องๆโจมตีอยู่ได้ยังไงคะเนี่ย


เรียนอาจารย์ผู้น่ารักที่เคารพรัก
ครับไอ้เพื่อนรุ่นผมนี่ล่ะที่ทำคะแนนสูงสุดและทำคะแนนเฉลี่ยสูงที่สุดในบรรดา ภูมิภาค

แต่อาจารย์ครับ คือมันมีที่มาครับ (น้องอย่าเพิ่งเศร้าเด้อ)
- คะแนนสูงสุดเนี่ยเพราะเรามีมือเซียนที่ตอนนี้เตรียมเรียน พชท.เมดไปเรียบร้อย สามเหลี่ยมเขยื้อนภูเขาเลยครับ 2 คนที่สอบเทียบมา 1 ในนั้นคือคนที่มีคะแนนเอนท์ตรงสูงสุด ส่วนอีกคนเป็นอัจฉริยะ มาดผู้ดี สอบได้ที่1 ตั้งแต่ปีแรก ส่วนอีกคนขอโทษครับ มือหนึ่งในการแกะโพยเลย

- คะแนนรวมเฉลี่ยสูงสุด
เนื่องด้วยเรามีความสามารถหาแหล่งความรู้นอกตำราได้มากจริงๆ เป็นที่ ที่ทุกคนมีโพยกันหนามากกว่า harrison เสียอีก


เชียงใหม่ก็เชียงใหม่เถอะครับ ขอนแก่น ก็ขอนแก่นเถอะ เจอโพยล่ะมรึง...เสร็จ


น้องๆคะพี่ขอบอกเรื่องผลการสอบ ร่วมแพทยศาสตร์ส่วนภูมิภาค 4 สถาบันว่าคณะแพทยศาสตร์ของเราได้ลำดับที่ 1 และผลใน 50 คนแรกก็เป็นพวกเราประมาณ ร้อยละ 70 นะคะ รวมทั้งค่าเฉลี่ยของคะแนนสอบก็สูงกว่าที่อื่น อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติค่ะ
และขอเรียนให้น้องๆทราบด้วยนะคะว่าข้อสอบปีดังกล่าวไม่มีโพยเลยค่ะถามพวกพี่ๆได้ทุกคนเรื่องนี้ เพราะปีที่ผ่านมาเรียกว่าโพยกระจุยหมด วันแรกทีสอบ ออกจากห้องพวกเรายังงงอยู่เลยว่ารอดมาได้อย่างไร เพราะตรงโพยไม่ถึง 10 ข้อ และที่เราทำกันได้เพราะเราอาศัยความรู้ที่สะสมมาค่ะไม่ใช่จากโพย เรื่องนี้คงถามจากอาจารย์ที่ทำข้อสอบนี้ได้ว่าปีดังกล่าวออกข้อสอบใหม่เป็นส่วนใหญ่ และแว่วว่าปีนี้โพยจะกระจุยอีกครั้งเพราะข้อสอบจะเป็นข้อสอบใหม่เช่นกันค่ะ ก็ขอให้โชคดีนะคะ และเตรียมตัวให้ดีด้วยค่ะ


Posted by : พี่ปี 6 , Date : 2004-09-04 , Time : 23:49:06 , From IP : 203.150.217.118

ความคิดเห็นที่ : 40


   รู้มั้ยว่า ความสวยงามที่ฉันสัมผัสได้จาก PBL คืออะไร
"ความแตกต่างที่สามารถอยู่รวมกันได้อย่างพอเหมาะและลงตัวไง "

ฉันรู้สึกสนุกดี เวลานั่งดู คนเก่งแบบฉันเก่งเธอเก่งมาเถียงกันอย่างเอาเป็นตายว่าข้อมูลที่ต่างคนต่างไปอ่านมานั่นใครถูกใครผิด – สิ่งที่ไม่มีวันจะเกิดขึ้นในการ lecture เพราะสิ่งที่อาจารย์พูดจะเป็นสิ่งที่ถูกเสมอ ดังนั้น การขุดเอาทุกขุมความรู้ในสมองมา discuss ไม่มีได้เกิด เพราะมันจบไปแล้วด้วยการตัดสินของคนๆหนึ่งที่เธอเชื่อเหลือเกินว่าเขารู้ดีกว่าเธอ

เธอเคยพิจารณากันไหมว่าเมื่อสิ้นสุดแต่ละ PBL นอกจากวิชาความรู้ที่เธอคาดว่าจะได้รับแล้ว เธอจะได้อะไรอีกสิ่งที่ฉันเห็นคือ เราจะยอมรับกันและกันในแบบที่เพื่อนเรา เป็น อย่างน้อยถ้าความเห็นเราไม่ตรงกัน มันก็แค่ยอมรับว่า เราแสวงมาด้วยหนทางต่างกัน มีคนบางคนคิดเห็นต่างไปจากเรา นั่นไม่ใช่สิ่งที่ดีในการเริ่มต้นเรียนรู้ที่จะเผชิญโลกแห่งความเป็นจริงหรอกหรือ

แน่ล่ะ ถ้าเธอมัวแต่เสียเวลาแสดงละครเอาใจ Facilitator ของเธอ เธอจะไม่ได้เรียนรู้สิ่งเหล่านี้หรอก

ถามตัวเองเถอะว่า ถ้าวันหนึ่ง คนที่จะบอกให้เธอยอมรับสิ่งเขาคิดว่าเขารู้ ไม่ใช่อาจารย์ของเธอ แต่เป็นเพื่อนร่วมงานของเธอ เป็นแพทย์ที่จบมาจากสถาบันอื่น ที่เรียนมาด้วยระบบที่ต่างไปจากเรา เธอจะเชื่อเขาไหม เธอจะยอมรับโดยไม่โต้แย้งไหม หรือเธอจะไม่สู้เขาด้วยเหตุผลที่ว่าความรู้พื้นฐานเธอไม่มากพอที่จะใช้เหตุใช้ผลพูดคุยกัน เธอจะเชื่อมั่นในตัวเองไหมว่าเธอได้รับการฝึกมาอย่างหนัก ให้มีความสามารถที่จะแสวงหาความรู้ด้วยตัวเอง ใช้สติตรองด้วยตัวเองได้อย่างมีเหตุผลในการเลือกที่จะเชื่อหรือยอมรับข้อมูลความรู้ข่าวสารใดที่เธอได้รับมา เธอสามารถแลกเปลี่ยนและอยู่ร่วมกับมนุษย์คนอื่นได้อย่างมั่นคงในแบบที่เธอเป็น ที่สำคัญคือ ไม่จำเป็นต้องก่อความขัดแย้ง ด้วยว่า เราคิดไม่เหมือนกันด้วย

เธอเคยเห็นประโยชน์เหล่านี้จากการทำ PBL บ้างไหม

เราเอาแต่โทษคนนั้นคนนี้ อะไรก็ไม่ดีอย่างใจสักอย่าง ถ้าเราลองเปิดใจให้กว้าง ยอมรับว่าในที่สุดระบบนี้มันเป็นสิ่งที่ถูกกำหนดขึ้นมาแล้วและเราต้องอยู่ร่วมกับระบบ ระบบซึ่งพวกเราเลือกเอง(อย่าแก้ตัวว่าไม่ได้เลือก เพราะตอนจะสอบเข้ามานั่น เธอควรจะรู้แล้วว่าเขาอยู่กันอย่างไร) จะดีกว่าไหมถ้า เราจะลอง พยายามมองหาข้อดีของมันบ้าง เลือกรับเอาสิ่งที่ดี จากมันบ้าง แทนที่ จะเอาแต่หาข้อเสียแล้วโทษกันไปโทษกันมาอย่างหาข้อยุติไม่ได้เสียที
ฉันเองไม่ได้ดีไปกว่าพวกเธอสักเท่าไร คะแนนไม่เลิศหรู ความประพฤติจะถูกหูผิดตาใครบ้างก็ไม่รู้ แต่อย่างน้อยเมื่อเวลาผ่านไปฉันก็รู้ตัวเองว่าฉันได้เรียนรู้อะไรบ้าง ถึงแม้จะไม่ได้เรียนรู้ในสิ่งที่ถูก แต่การที่รู้ว่า มันผิด อย่างไร ก็เป็นประสบการณ์ที่มีค่าเหลือเกิน ฉันจะจำไปแสนนานว่า ฉันเคยผิดอย่างไร ฉันจะจำให้นานกว่า ว่าฉันจะไม่ให้มันผิดซ้ำซากได้อย่างไร และถ้าเลี่ยงที่จะผิดไม่ได้ ฉันก็เคยได้เรียนรู้แล้วว่าฉันจะแก้ไขมันอย่างไร
สิ่งเหล่านี้ “มีคุณค่าอไะรบ้างไหม” ในน้ำใจและสติปัญญาของเธอ


Posted by : อัจราวดี พันธุ์มณี 4525132 me , E-mail : (ajarawadee@hotmail.com) ,
Date : 2004-09-05 , Time : 10:51:12 , From IP : 172.29.2.193


ความคิดเห็นที่ : 41


   Posted by พี่ปี 6() 2004-09-04 , 23:49:06 , 203.150.217.118

ยินดีด้วยครับ กิ๊ก


Posted by : คุณไม่มีทางรู้ว่าเป็นใคร , Date : 2004-09-05 , Time : 11:38:20 , From IP : 172.29.2.167

ความคิดเห็นที่ : 42


   positive thinkingดีมากเลยจ้า อัจราวดี เหมือนเราต้องมองให้ได้ว่าสิ่งใดเกิดสิ่งนั้นย่อมมีดีเสมอ ว่างั้นเถอะ เห็นด้วยนะกับการพยายามมองแบบนี้ อนาคตคงไม่อับจนแน่ๆ

Posted by : pisces , Date : 2004-09-05 , Time : 19:02:08 , From IP : 172.29.3.227

ความคิดเห็นที่ : 43


   น้องๆคะพี่ขอบอกเรื่องผลการสอบ ร่วมแพทยศาสตร์ส่วนภูมิภาค 4 สถาบันว่าคณะแพทยศาสตร์ของเราได้ลำดับที่ 1 และผลใน 50 คนแรกก็เป็นพวกเราประมาณ ร้อยละ 70 นะคะ รวมทั้งค่าเฉลี่ยของคะแนนสอบก็สูงกว่าที่อื่น อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติค่ะ
และขอเรียนให้น้องๆทราบด้วยนะคะว่าข้อสอบปีดังกล่าวไม่มีโพยเลยค่ะถามพวกพี่ๆได้ทุกคนเรื่องนี้ เพราะปีที่ผ่านมาเรียกว่าโพยกระจุยหมด วันแรกทีสอบ ออกจากห้องพวกเรายังงงอยู่เลยว่ารอดมาได้อย่างไร เพราะตรงโพยไม่ถึง 10 ข้อ และที่เราทำกันได้เพราะเราอาศัยความรู้ที่สะสมมาค่ะไม่ใช่จากโพย เรื่องนี้คงถามจากอาจารย์ที่ทำข้อสอบนี้ได้ว่าปีดังกล่าวออกข้อสอบใหม่เป็นส่วนใหญ่ และแว่วว่าปีนี้โพยจะกระจุยอีกครั้งเพราะข้อสอบจะเป็นข้อสอบใหม่เช่นกันค่ะ ก็ขอให้โชคดีนะคะ และเตรียมตัวให้ดีด้วยค่ะ


Posted by : พี่ปี 6 , Date : 2004-09-05 , Time : 21:32:44 , From IP : 203.113.76.9

ความคิดเห็นที่ : 44


   -พี่เป็นเด็กคนหนึ่งของ PBL รุ่นแรกค่ะ แล้วก็เป็นปีแรกของการทำงานซึ่งพี่ไม่ได้รู้สึกว่าตนเองจะต่ำต้อยกว่าเด็กที่จบจากที่อื่นตรงไหน(อาจจะดีกว่าในบางด้านด้วย) พี่กลับรู้สึกว่าระบบนี้สอนให้พี่เป็นคนเรียนด้วยตัวเองได้ พี่ไม่ต้องมานั่งถามคนอื่นว่าจะค้น journal ทำยังไงซึ่งมีคนมาถามพี่และเป็นแพทย์ที่จบจากสถาบันในกรุงเทพ
-ระบบเป็นส่วนหนึ่งของการเรียนเป็นกรอบสอนให้เรารู้จักที่จะเรียนให้เป็น ตัวเราเองเป็นจุดศูนย์กลางเป็นจุดหลักซึ่งควรจะปรับตัวและเรียนรู้ที่จะเรียนให้เป็น (น้องอาจจะชินกับการให้อาจารย์คอยชี้ว่าต้องรู้ตรงเนี๊ยะ!!จะออกข้อสอบนะ+อ่านตามเอกสารนี้นะ) แต่พี่คิดว่าการได้อ่านเองเลือกที่จะรู้เอง(โดยไม่ลืมใจความสำคัญที่ต้องรู้เพราะว่าเราจะเป็นหมอ)เป็นสิ่งที่พี่ชอบนะ พี่ไม่ชอบ lecture ที่นั่งสอนกันไปเลยสองสามชั่วโมงพี่ว่ามันได้เท่ากับการเรียนเพียง 1 ชั่วโมง(เพราะคนเราอย่างเก่งตั้งสมาธิ ~ 30-45 min) แล้วก็คนเรานะถ้าไม่หัดภูมิใจในสถาบันตนเอง ดีแต่ไปเชิดชูสถาบันอื่นทั้งที่ตนเองก็ได้ความรู้จากที่นี่ แล้วจะให้พี่เรียกน้องว่าอะไรดี


Posted by : malee , Date : 2004-09-06 , Time : 17:34:17 , From IP : 203.150.217.112

ความคิดเห็นที่ : 45


   ทำไมต้องรับผิดชอบ ก็ออกมาดีและเก่งกันเป็นส่วนใหญ่ เพราะนักศึกษาเขาเก่งเองดีเอง ครูเป็นเพียงชี้แนะแนวทางครับและสนับสนุนให้ก้าวหน้าครับ

Posted by : ออ , Date : 2004-09-08 , Time : 11:02:11 , From IP : 172.29.3.107

ความคิดเห็นที่ : 46


   อย่าคิดไรมากเลยน้อง เรียนๆไปเถอะ โชคดีแล้วที่มีโพย
--> ลองไม่ตรงโพย แล้วถูกจับตกจะซึ้ง ไปเรียกร้องทำม้าย -> จบไป เขาก็ไม่ให้ทำไรมากหรอก เวลาเรียนภาคต่างๆนะ อาจารย์บอกทุกภาคเลย ไอ้นี่ หมอ ไม่ต้องรู้หรอก ไอ้นั่น หมอไม่ต้องทำ
-> refer refer refer อาโย่ -> เขาคาดหวังให้เราแค่ detact ที่ severe แล้วส่งต่อมา รพ. จังหวัด ทั่วไป ศูนย์ได้ก็พอแล้ว เดี๋ยวนี้การส่งต่อมันดี refer ง่าย... ที่เหลือน้องก็เอาความรู้ commed famed ไง กับ med ที่เป็น OPD case ง่ายๆ
เช่น เบาหวาน ความดัน เด็กเป็นหวัด หอบหืด skin กระจอกๆ UTI ง่ายๆ ท้องเสีย โหลด IV เวลา BP drop ใส่ tube ปรับ bird ทำแผล ทำหมัน (ไส้ติ่งเขาก็ไม่ให้ทำแล้ว) ทำคลอดง่ายๆ อย่าติดอะไรแล้วกัน refer ไม่ทันด้อก ใส่ห่วง ใส่ slab จ่าย NSAIDs
--------------แค่นี้ก็พอแล้วครับ (เดี๋ยวคงมีคนมาโพสตามอีกว่า แค่นั้นก็ยากแล้วนะ ไม่ใช่คิดง่ายๆ จ่ายยาง่ายๆ)

น้องๆอ่าน super doctor K มากไปรึเปล่าครับ นี่คือความจริงที่ไม่ได้เขียนในหลักสูตรให้คุณเห็น -> 6 ปีแค่นี้ก็มากแล้ว ในยุคที่รัฐบาลต้องการเน้นการเพิ่มปริมาณแพทย์ทั่วประเทศ มากกว่าการคิดพัฒนาพยาบาลหรือเจ้าหน้าที่สาธารณะสุขที่ส่วนใหญ่เป็นคนท้องถิ่นและรักบ้านเกิดมากกว่าพวกที่เรียนหมอ (ซึ่งส่วนใหญ่บ้านอยู่ในเมือง ที่มี รร ดัง ที่เรียนพิเศษมากๆ)

อ่านแล้วคิดใช่มั้ยว่าให้ตู ตูจ่ายเงินแล้วอ่านเองทำไมตั้งหลายปีฟ่ะ ทั้งๆที่ความรู้จะใช้ทำงานจริงๆ มันมากจากความเคยชิน ลักจำจากที่รุ่นพี่-อาจารย์สั่ง หลายอย่างเป็น routine จากที่เห็นทำๆกันมา

---> หรือว่าไม่จริง 80% เป็นแบบนี้แหละ
--> อยากให้อาจารย์ทุกคนเป็นแบบอาจารย์ประเสริฐหรืออาจารย์เอก... ไม่ได้ให้แต่ความรู้ แต่ได้แรงบันดาลใจ และความภูมิใจในการเป็นหมอ (ที่ไม่ได้จากการ discuss ใน PBL หรือในกระดานอภิปราย) -> กรุณาอย่าถามให้ช่วยอธิบายว่าเป็นแบบไหน เหอะๆ


Posted by : พิมพ์มาตามที่คิด ถูกผิดไม่รู้เ , Date : 2004-09-09 , Time : 23:38:55 , From IP : 172.29.4.155

ความคิดเห็นที่ : 47


   คุณพิมพ์มา... คิดว่า อาจารย์ประเสริฐหรืออาจารย์เอก จะมีความคิดเห็นอย่างไรกับเรื่องที่คุณสรุปว่าหมอจบมาไว้เพื่อ refer ในย่อหน้าแรกนั่นล่ะครับ?



Posted by : Phoenix , Date : 2004-09-10 , Time : 19:55:15 , From IP : 203.156.40.27

ความคิดเห็นที่ : 48


   แต่มันก็มีส่วนนะ

Posted by : ป , Date : 2004-09-12 , Time : 23:42:09 , From IP : p206-rasbkkSP4.C.csl

ความเห็นจาก Social Network : Facebook


สงวนสิทธิ์การแสดงความคิดเห็นสำหรับ สมาชิกเท่านั้น
>>>>> Page loaded: 0.018 seconds. <<<<<