ความคิดเห็นทั้งหมด : 36

กรุณาอย่าพูดมากในเรื่องที่คุณไม่รู้และไม่เข้าใจครับ เจ้านกไฟ


   เห็นออกมาโพสต์ฉอดๆๆ ช่วยไปทำงานของคุณให้ดีก่อนนะครับ แล้วค่อยปากมาก

Posted by : Mr.Phoenixครับเตือนด้วยความหวั , Date : 2004-09-01 , Time : 09:36:51 , From IP : 172.28.1.49

ความคิดเห็นที่ : 1


   .....ถ้าจะโพสท์เรื่องทำนองนี้.....อย่าใช้เบอร์ IP ของโรงพยาบาลสิครับ.....แค่นี้คนเค้าก็รู้กันทั่วแล้วว่าโพสท์มาจากที่ไหน.....เฮ้ออออ.....ด่าผมบ้างสิ....ช่วงนี้ผมไม่ค่อยมีอะไรทำเลย......



Posted by : Death , Date : 2004-09-01 , Time : 10:26:54 , From IP : 172.29.3.99

ความคิดเห็นที่ : 2


   รู้สึกว่าช่วงนี้คุณMr.phoneix. จะอารมณ์ไม่ค่อยดีน่ะ ไม่ทราบว่าใครทำเหรอ

Posted by : อย่าใจร้อน. , E-mail : (v) ,
Date : 2004-09-01 , Time : 11:02:42 , From IP : 202.47.247.146


ความคิดเห็นที่ : 3


   phoenix เค้ามีเวลาว่างเยอะ ก็เลยใช้เวลาเล่น net เยอะ
บางเรื่องก็รู้ บางเรื่องไม่รู้เพราะไม่ได้ทำก็ยัง discuss ได้
จริงๆ เค้าเรียนด้าน immuno ลอง post ดูสิเรา นศพ. พชท.จะได้ความรู้เพิ่มขึ้น


Posted by : หวังดี , Date : 2004-09-01 , Time : 12:17:39 , From IP : 172.29.3.123

ความคิดเห็นที่ : 4


   อย่าทะเลาะกันเหมือนเด็กๆได้มะ ไม่อายเขาบ้างหรือไง

Posted by : -_-lll , Date : 2004-09-01 , Time : 12:49:34 , From IP : 172.29.2.135

ความคิดเห็นที่ : 5


   ห้ามคุณ phoenix ไม่ให้ discuss ได้ไง เดี๋ยวกระทู้ก็ไม่ขยับกันพอดี

Posted by : แมวดำ , Date : 2004-09-01 , Time : 13:14:16 , From IP : 172.29.1.209

ความคิดเห็นที่ : 6


   มันเริ่มต้นจากเรื่องอะไรกันเนี่ย หรือเป็นเรื่องส่วนตัว mailคุยกันเองก็ได้ เด็กๆดูพฤติกรรมอยู่นะ ทำได้ด้วยเหรอ การว่าคนอื่นแบบเปิดเผยในที่สาธารณะ ไม่ผิดethicเหรอ เดี๋ยวเด็กทำตาม แย่เลย แล้วอย่าว่าหล่ะว่าเด็กไม่ดี

Posted by : pp , Date : 2004-09-01 , Time : 14:46:02 , From IP : 172.29.2.168

ความคิดเห็นที่ : 7


   Firstly apology for typing in English. I am currently working in the place where no Thai keyboard is available.

Actually, this topic comes as a surprise because I think "currently" I have not posted anything for quite a few days so I cannot conclude which of my posters has bothered or made such a fuzz. It will be much more helpful if the original poster will expand or be more specific that which one I did put a wrong information.

I have free time just the same as anybody else. The reason I have had posted many more than others is that during my free time I spent more to share my view and a lot of them happened after midnight. I think it is fair to say that if I want to do anything during that time it is absolute nobody" business but mine. The key word is "share" because I always regard this board as a "debating platform", not an announcement. Therefore, there is no "right" or "wrong" from any particular ones including myself. I assume that we all use "logic" here and I am confident that I have never used "calling name" as a tool for debating. Should anyone feel offended, that is only he/she has put him/herself in the logical flow unintentionally and caught off-guarded. This can happen a lot when we debate about morality or ethical issues.

For academically saying, a Ph.D. doesn"t mean a particular subject. Of course you must have studied one thing or two as a target in order to prove that you understand the way and methodology to use logical and reasons to answer any particular question (which we call it a "research question"). I think it is quite obvious that when we debate we all use "logical thinking" over an issue no matter it is a politic, science, immunology or even medical education. You don"t actually need to do a Ph.D to practice using logic but if you do and do it in relation to a programme you got a degree as a bonus. And yes, you can discuss over many fields using your logic and basic knowledge. I think all the Thais can discuss over the subjects like Thai food, Thai culture, Thai traffic and so on. If we are talking about the recent issue,i.e. Medical Education, I believe all of us here are qualified and should be encouraged to participate in such a discussion.

If anyone are curious about my work, my achievement, my accomplishment, please call me from next week on. The number is 1433 and my name is Sakon Singha. We can get through the subject that what is the meaning of being a teacher in a medical university and moreover, I can learn from others what are their achievement and how they work besides making this kind of comment.




Posted by : Phoenix , Date : 2004-09-01 , Time : 15:18:46 , From IP : deakin.singnet.com.s

ความคิดเห็นที่ : 8


   I agree with you ..Phoenix

Posted by : pp , Date : 2004-09-01 , Time : 19:49:50 , From IP : 172.29.3.246

ความคิดเห็นที่ : 9


   เก่งซะอย่างใครจะทำไม บอกอะไรใครก็เชื่อ ฉลาดพูดซะอย่างจะทำไม โน้มน้าวใครก็ได้ ใครก็เชื่อ



ผมว่าเขาไม่ได้ถูกทุกเรื่อง


Posted by : ขอโทษครับอาจารย์ ...มันจำเป็น , Date : 2004-09-02 , Time : 00:56:46 , From IP : 172.29.3.99

ความคิดเห็นที่ : 10


   เข้ามาเชียร์อาจารย์ครับ..

Posted by : รุ่นพี่ , Date : 2004-09-02 , Time : 08:14:57 , From IP : 203.113.71.169

ความคิดเห็นที่ : 11


   ผมเคยอ่านเจอในหนังสือตลกเล่มหนึ่งว่า

สิ่งที่เราพึงจะตอบแทนเวลาที่เราพยายามทำหรือผลักดันสิ่งที่เราคิดเราเชื่อว่าเป็นความดี แล้วมีคนมาอิจฉาริษยา หรือจ้องทำลาย
.
ก็คือพยายามทำความดี ทำสิ่งที่เราเชื่อว่าเป็นสิ่งที่ควรนั้น ให้มากขึ้นไปอีก เข้มแข็งขึ้นไปอีก เพียรเอาชนะอุปสรรคให้มากขึ้นไปอีก
.
เมื่อถึงระยะทางหนึ่งที่เราอาจนับความสำเร็จ คนที่ริษยา ร้อนใจ ก็จะอกแตกตายไปเอง
.
แม้นความสำเร็จไม่ปรากฏในรุ่นของเรา เมื่อลูกหลานอ้างถึงการเริ่มต้นเดินทางของเรา คนที่ริษยาซึ่งตายไปแล้ว ก็อาจต้องลุกขึ้นมาอกแตกตายซ้ำ
.
แค่เรื่องตลกน่ะครับ

Keep playing your part.


Posted by : Shonigega , Date : 2004-09-02 , Time : 09:01:40 , From IP : pedsurg.med.osaka-u.

ความคิดเห็นที่ : 12


   อดทนต่อไป และให้มากๆค่ะ
ความเห็นที่แตกต่างกันไม่น่าถึงต้องว่ากันแบบนี้ ไม่เป็นผู้ใหญ๋เลย


Posted by : นศพ , Date : 2004-09-02 , Time : 12:41:17 , From IP : 172.29.3.167

ความคิดเห็นที่ : 13


   ไม่ชอบเหมือนกัน
ชอบเขียนอะไรที่มันดู complicated
แบบว่าไทยปนอังกฤษนึกว่ามันเท่นักเหรอ
นึกว่าใช้ศัพท์สูงๆ คนอื่นทั่วไปฟังไม่รู้เรื่อง
แต่ความคิดเห็นไม่ได้สร้างสรรค์เท่าไหร่หรอก
เนื้อหาสาระก็ไม่ได้มีอะไร
อวดว่าตัวเองฉลาด
ไม่ได้ให้คำปรึกษา คำแนะนำที่ดีกะใครนักหรอก
ขวางโลกอีกตะหาก
IQ สูงนะ แต่ EQ ต่ำอะ


Posted by : อะโด่ , Date : 2004-09-02 , Time : 16:10:51 , From IP : netsrv3.ams.cmu.ac.t

ความคิดเห็นที่ : 14


   ผมว่านะคนตั้งกระทู้นี้และคุณ อะโด่ IQ และ EQ ต่ำมาก ไม่น่าจะเรียนหมอได้เลย คุณรู้ไหมว่าคุณพูดอยู่กับอาจารย์ การสดงความคิดเห็นเป็นเรื่องส่วนบุคคล คุณไม่เห็นด้วย ก็ไม่เป็นแสดงความคิดออกมาในเชิงค้านได้ แต่การแสดงออกโดย ถ้อยคำที่ออกมาใน web นี้ไม่สมควรเลยที่จะมาเป็น นศพ ไม่สมควรเลยที่จะ ent ติด

Posted by : คนนอก , Date : 2004-09-02 , Time : 16:54:47 , From IP : 172.29.4.39

ความคิดเห็นที่ : 15


   คนเรามีแรงขับของagressionที่จะทำลายล้างตนเอง และผู้อื่นนั้นไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะมันเป็นสันดานดิบที่มีอยู่ในตัวทุกคน แต่การdrainเอา agressionมันออกมาเนี่ยสิที่มันจะมีความแตกต่างกัน เพราะ มันขึ้นอยู่กับsuperegoมโนธรรมที่มีอยู่ในตัวเราว่ามันจะหักล้างและทำให้agressionนั้นมันออกมาสร้างสรรค์อย่างไร เอาอย่างน้องอร หรือปวีณาสิ drain agression มันออกมาได้สร้างสรรค์และเฉียบคมนัก แถมได้เหรียญด้วย ไม่ทำร้ายใคร ดังอีกต่างหากว่ามั๊ย

Posted by : pisces , Date : 2004-09-02 , Time : 19:52:11 , From IP : 172.29.3.218

ความคิดเห็นที่ : 16


   ไม่รู้ว่าคนอื่นคิดยังไง แต่ในฐานะ นศพ.คนหนึ่ง รู้สึกดีที่Phoenixเข้ามาแสดงความคิดเห็น บางอย่างแม้จะเข้าใจยาก แต่ก็ทำให้เราได้รับรู้ว่าโลกนี้มีมุมมองอีกเยอะที่เรายังไม่รู้ จากผู้ที่มีประสบการณ์มากกว่า และก็ทำให้เรารู้ว่ายังมีอาจารย์ที่คอยดูความเป็นไป ความเปลี่ยนแปลงของโลกนักศึกษา อย่างน้อยก็เป็นการแสดงความคิดเห็นอย่างสุภาพในกระดานข่าวที่เปิดกว้างอิสระ ทุกคนสามารถเข้ามาแสดงความคิดเห็นได้ จึงคิดว่าไม่ผิดอะไรที่ phoenixจะเข้ามามีส่วนร่วม เป็นกำลังใจให้สู้เพื่อความถูกต้องต่อไปนะคะ

Posted by : นศพ. , Date : 2004-09-02 , Time : 20:51:05 , From IP : 172.29.4.248

ความคิดเห็นที่ : 17


   คิดถึงพี่ว่าว



Posted by : กะหลั่วเป็ด evolution , Date : 2004-09-02 , Time : 21:54:31 , From IP : 202.28.6.18

ความคิดเห็นที่ : 18


   คิดถึงพี่กะหลั่วด้วยครับ
ได้ข่าวว่า ใช้วิชามีดบิน จน ศิษย์สำนักอื่น กระเจิดกระเจิงเลยหรือครับ
จิงเท็จประการใด โปรดชี้แนะ


Posted by : kitty , Date : 2004-09-02 , Time : 23:42:33 , From IP : 172.29.3.152

ความคิดเห็นที่ : 19


   เหอๆๆ กำๆๆ ทะเลาะกันวันละนิด จิตแจ่มใส(น้อยลง)

Posted by : P|atino` , Date : 2004-09-03 , Time : 11:33:13 , From IP : 172.29.2.160

ความคิดเห็นที่ : 20


   ขอมีส่วนร่วมครับ เดี๋ยวขาดผมไปแล้วจะไม่ดี

Posted by : เหอๆๆ , Date : 2004-09-03 , Time : 16:36:11 , From IP : wwwtrh.moph.go.th

ความคิดเห็นที่ : 21


   ล้มบ้างก็ได้
แพ้บ้างก็ได้


Posted by : boyd , Date : 2004-09-04 , Time : 00:06:51 , From IP : p154-rasbkkSP1.C.csl

ความคิดเห็นที่ : 22


   
Socrates "Know thyself"
Aristotle "All men by Nature desire to know"
Descartes "I think: therefore I am"


ผมเข้ามาอ่านกระทู้นี้หลังจาก pre-congress workshop "How to support Breast Cancer Patient" เสร็จ ขณะนั้นอยู่ใน mood ที่ดีมาก มากจนผมตัดสินใจว่าจะไม่เข้ามาอ่านกระทู้นี้อีกจนกว่า conference จะเสร็จสิ้น สาเหตุเพราะบรรยากาศใน conference นั้นเป็นผู้ป่วยมะเร็ง ออกมาปรากฏตัวต่อหน้าสาธารณะ ยอมรับว่าเธอและคนอื่นแตกต่างกัน แต่เธอมีความเห็นของเธอ และต้องการจะช่วยผู้อื่นที่เธอไม่เคยแม้แต่จะเห็นหน้า ส่วนกระทู้นี้เป็นบุคลากรทางการแพทย์ ซ่อนตัวหลัง anonymous โจมตีบุคคลเป็นการส่วนตัวโดยไม่มีการบอกเล่าความเป็นมา หรืออะไรที่คับข้องใจ เนื้อบริบทมันต่างกันเกินไป จนผมว่าน่าจะดีให้ฟังของดีๆโดยไม่มีอะไรในใจดีกว่า

ปกติแล้วเป็นเรื่องธรรมดาครับที่เราไม่ชอบใคร หรือเกลียดใคร เป็นเรื่องธรรมดาอีกเหมือนกันที่เราจะไม่เหนด้วยกับความเห็นของใครหรือใครจะไม่เห็นด้วยกับความเห็นของเรา ลงท้ายแล้วมันอยู่ที่การแสดงออก การมีการควบคุมโดย supoerego ว่าในที่ที่คนได้รับการศึกษาอบรมเขาทำกันนั้น มันเหมือนมันต่างกันอย่างไร วัฒนธรรมบัตรสนเท่ห์นั้น เราเคยเห็นตามผนังห้องน้ำโรงเรียนมัธยม แต่กระดานข่างนี่มันอาจจะช่วยให้มีที่ที่วัฒนธรรมอย่างที่ว่าตามมาจนอายุมากขึ้นเรื่อยๆได้

ขออนุญาต response ตาม first come, first serve นะครับ

กรุณาอย่าพูดมากในเรื่องที่คุณไม่รู้และไม่เข้าใจครับ เจ้านกไฟ

เห็นออกมาโพสต์ฉอดๆๆ ช่วยไปทำงานของคุณให้ดีก่อนนะครับ แล้วค่อยปากมาก


ยังไม่มีการอธิบายนะครับว่าเป็นเรื่องอะไร แต่ขอวิจารณ์ดังนี้ การที่เรา "มีความรู้" พอที่จะบอกว่าใครรู้อะไรแค่ไหนนั้นเป็นเรื่องยากมากทีเดียว ในความเห็นของผม และเป็นได้โดยสองนัยยะ หนึ่งคือเป็น relative ต่อผู้พูด และสองคือ relative ต่อเกณฑ์เฉลี่ย เรื่องของเรื่องคือไม่ว่าเป็นแบบไหนก็ตาม การจะสรุปออกมาจะต้องรู้ก่อนงว่าคนที่คุณกำลังพูดถึงรู้เรื่องนั้นมากน้อยแค่ไหน ตรงนี้ค่อนข้างเป็นโจทย์ทีเดียว

ตัวผมเองยอมรับว่าถ้าถามทันทีทันใดว่าผมรู้เรื่องอะไร "มากน้อยแค่ไหน" ผมเองยังตอบไม่ได้เลยครับ ไม่ว่าจะเป็นเปรียบเทียบกับใครหรือกับเกณฑ์เฉลี่ย ยกตัวอย่าง Med Education การที่ได้อ่านแค่ 1 textbook โดย Harden กับ journals อีกไม่กี่สิบฉบับ ยากที่จะบอกเป็น expert หรือรู้เรื่องมากน้อยแค่ไหน ต่อให้บวก Howard Gardner หรือ Gregorc ไปก็ตาม เพราะเรื่องนี้มันมีมาเป็นสิบๆปีแล้ว แต่การที่ผมถูก PICK มาคนเดียวในบรรดาคนที่ post ทั้งหมดว่าผมไม่รู้อะไรนั้น คงจะต้องดูที่ methodology การวิเคราะห์หน่อยว่าทำไมความเห็นคนอื่นจึงเป็นการ "รู้อะไร" มาก และของผมเพียงคนเดียวที่ "ไม่รู้อะไร หรือไม่เข้าใจอะไร"

การที่เรามีความเห็นไม่ตรงกันหรือไม่เห็นด้วในเรื่องๆหนึ่งนั้น ที่ผมเรียนรู้และได้รับการอบรมมาคือการเข้ามาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันครับ และเราอภิปรายกันบน "ความเห็น" นั้นๆ ไม่มีการบาดเจ็บล้มตายเกิดขึ้น ไม่ต้องมีการทำ personal attack โดยไม่มีหัวหางแล้วหรุบหายไปตามกลีบเมฆ

ขออนุญาตยกตัวอย่างเรื่องการ share ความคิดนะครับ

อาทิตย์ที่ผ่านมา ผมมีโอกาสได้รู้จักสุภาพสตรีจากประเทศต่างๆประมาณ 300 คน มากกว่าครึ่งเป็น breast cancer survivors แต่ละคนรู้เรื่อง breast cancer ก็เพราะตนเองเป็นเอง บวกกับได้ข้อมูลเพิ่มเติม ที่เขาทำกันใน conference นะครับ คือเขามาแลกเปลี่ยนความคิด ความเห็น และวิธีในการ cope กับวิกฤตต่างๆ ไม่มีใคร รู้จริงๆ หรือคิดว่าตนเองเข้าใจจริงๆ ในโรคมะเร็งเต้านมหรอกนะครับ เพียงแต่พวกเธอคิดว่ามันดี ก้เลยนำมาเผยแพร่ เท่าที่ผมสังเกตดู ไม่มีใครออกมาเต้นชี้หน้าว่าไม่รู้อะไรแล้วอย่าพูดดีกว่า อย่างมากไม่เห็นด้วยก็บอกว่าเขาเคยทำอย่างนั้นแล้วไม่ work ของฉันทำอย่างนั้แทน ทุกคนไม่ได้ใส่หน้ากากหรืแอบลงความเหนนะครับ แค่เดินไปที่ไมโครโฟนแล้วก็พูด ผลัดกันพูดและผลัดกันฟังครับ จะเห็นว่าวิธีการอภิปรายในเรื่องที่ระหว่างบุคคลต่อบุคคลมีความเห็นไม่ตรงกันนั้น มันสากลแล้วนะครับ และไม่ใช่อยู่แตต่เฉพาะวงการการศึกษา แม้แต่คุณป้า คุณน้าเหล่านี้จากทุกๆสาขาอาชีพก็ทำเป็นเหมือนๆกัน ผลที่ได้คือ contructive criticism ครับ

ขออนุญาตแยกประเด็นถัดไปอีกกระทู้เพื่อไม่ให้ยาวเกิน






Posted by : Phoenix , Date : 2004-09-04 , Time : 22:59:00 , From IP : 203.156.44.123

ความคิดเห็นที่ : 23


   ไม่ชอบเหมือนกัน
ชอบเขียนอะไรที่มันดู complicated
แบบว่าไทยปนอังกฤษนึกว่ามันเท่นักเหรอ
นึกว่าใช้ศัพท์สูงๆ คนอื่นทั่วไปฟังไม่รู้เรื่อง
แต่ความคิดเห็นไม่ได้สร้างสรรค์เท่าไหร่หรอก
เนื้อหาสาระก็ไม่ได้มีอะไร
อวดว่าตัวเองฉลาด
ไม่ได้ให้คำปรึกษา คำแนะนำที่ดีกะใครนักหรอก
ขวางโลกอีกตะหาก
IQ สูงนะ แต่ EQ ต่ำอะ


อย่างน้อยเรามีคำที่เคยใช้ร่วมกันหนึ่งคำแน่ๆนะครับ EQ (Emotional Quotient) แต่ตามประเพณี PBL เราคงต้อง define term ก่อน ว่าพูดกันถึงคำๆเดียวกันหรือว่าแค่พ้องเสียง

ผมมีโอกาสรู้จักคนที่ใช้ภาษาหลายภาษาหลายคน พี่พยาบาลคนไทยที่ผมเจอที่งาน RRI ที่สิงค์โปร์ครั้งนี้ เธอพูดไทย อังกฤษ แมนดาริน และฝรั่งเศส ได้คล่องแคล่ว ทุกคนที่ผมรู้จักและได้มีโอกาสเสวนาด้วย ไม่ได้คิดว่าพูดภาษาเหล่านี้ได้เป็นการเท่ห์อะไรหรอกครับ ส่วนใหญ่จะใช้เป็นการสลาย Barrier ที่จะเข้าใจขนบธรรมเนียม ความคิด ความเชื่อ ความงาม ความสุนทรีย์ที่แตกต่างเท่านั้น ตอนที่ผมได้เข้า workshop กัสุภาพสตรีจากญี่ปุ่น ไต้หวัน อินเดีย อิตาลี และออสเตรเลียนั้น "ทุกคน" ใช้ทุกอย่างที่มีครับ หน้าตา ท่าทาง พูด เขียน จับมือ ลงเอยแม้กระทั่งการเต้นรำหมู่ตอนท้ายสุด เรื่องสำคัญที่สุดของการสื่อคือ การที่เราสื่อเพื่อสร้างสรรค์ เพื่ออะไรที่มันเป็นเรื่องบวก เพื่ออะไรที่มันเป็นความดีงามครับ เรื่องพรรณนี้ไม่เกี่ยวกับไวยากรณ์ หรือ Grammar หรือการใช้เพื่อความเท่ห์ไม่เท่ห์แค่ไหน ตรงกันข้าม ต่อให้คุณใช้ภาษาถูกไวยากรณ์ ตามพจนานุกรม แต่ถ้าใช้เพื่อจิกตีไล่กัดงับเลีย การสื่อสารนั้นมันก็ไม่ Positive ในความเห็นส่วนตัวของผมนี่คือ "การวิบัติของการสื่อสาร" ที่แท้จริง เป็นจุดเริ่มต้นของความขัดแย้ง ในระดับการเมืองในระดับประเทศ ต่อให้นักการฑูตมาใช้ภาษาสวยงามแค่ไหน มันก็จะลงเอยที่สงคราม นี่แหละครับคือ "ความวับัติ" ที่แท้จริง

การที่เราไม่เข้าใจเรื่องที่คนอื่นพูด มันไม่จำเป็นต้องซับซ้อน ซ่อนเงื่อนมากหรอกครับ มันอาจจะเป็นแค่เราไม่ชอบเรื่องนี้ ไม่ชอบเรื่องเดียวกับที่เขากลังพูดถึงอยู่ เช่น ใครพูดเรื่อง ethics morality ทีไรก็หลับเมื่อนั้น ถึงแม้ว่ามันจะมีหลักการอยู่แค่สี่ข้อก็ตาม Howard Gradner แบ่ง Intelligences ออกเป็น 8 หมวด ถ้าว่าตาม Franz Joseph Gall คนตั้งวิชา Phrenology ตะแกแบ่ง nominated 37 human faculties แต่นี่ยังไม่เท่าของ J.P. Guilford ที่จำแนกความฉลาดของมนุษย์ออกเป็นแขนงต่างๆถึง 120 vectors ดังนั้น IQ อย่างเดียวที่จะวัดมนุษย์ทุกคนแล้วจัด rank ไปตามนั้น ออกจะ "แคบ" ไปนิดนึง

Emotional Quotient ถ้าจะวัด ก็ดูตอนที่เรา cope กับ differences หรือ unexpected events ที่เราไม่ชอบนี่แหละครับ ดูว่าเรามีความสัมพันธ์ยั่งยืนกับ superego หรือกฏระเบียบสังคมสักกี่มากน้อย ผลสุดท้ายผมว่ามอบให้เป็นหน้าของแต่ละปัจเจกบุคคลดีไหมครับ กลับไป reflect ตนเองในกระจกของตะละคนที่บ้านว่าเราจำอะไรที่เคยถูกอบรมมาบ้าง จากพ่อแม่ครูบาอาจารย์ เราจำแนกอะไรจากความรู้ ความคิดที่ได้มาวันนี้ อันไหนที่เราพิจารณาแล้วว่าคนที่มีการศึกษา คนที่เจริญแล้วพึงประพฤติ อันไหนที่เรากลับไปบอกพ่อแม่เราเองว่าเราคิดอย่างนี้ ทำอย่างนี้แล้วท่านจะชื่นชม และอันไหนที่เราสามารถคัดมาสอนลูกเราให้ทำตามว่ายังงี้ดีแน่ลูก ลูกทำแล้วจะเจริญ ทำแล้วเป็นมงคล

ผมว่าน่าจะดีไม่น้อย

นพ.สกล สิงหะ



Posted by : Phoenix , Date : 2004-09-04 , Time : 23:51:42 , From IP : 172.29.3.254

ความคิดเห็นที่ : 24


   อย่า..............................กริ๊ด
กระทู้ข้างบนเท่ยังกะสไปเดอร์แมนเลยฮะมีเป็นเผยตัวด้วย
ผมห้ามไม่ทัน


Posted by : ๗ , Date : 2004-09-06 , Time : 00:40:28 , From IP : 172.29.3.198

ความคิดเห็นที่ : 25


   อย่าว่าอะไรเค้ามากเลยคู้น
ในเมื่อเจ้าตัวไม่ยอมรับใครจะไปทำอะไรได้
ผมว่าเค้าพยายามจะแสดงออก
บอกว่าเค้าไม่ได้เป็นอย่างนั้น
เค้าอาจจะไม่ได้เป็นอย่างนั้นจริงๆ
แม้ว่าผมจะรู้สึกว่าเค้าอวดเรื่องความดี ความเด่น ความโก้หรูนิดๆนะ
หรือไม่อาจเพราะ
คนที่มีอีโก้สูงๆ เค้ามักจะคิดว่าตัวเองถูกเสมอ
ไม่เห็นความผิด หรือความด้อยของตัวเอง
แปลกนะ ทั้งๆที่คำพูดที่ดูเป็นคนฉลาด มีการศึกษาสูง
แต่ก็แสดงออกนะว่าด่าคนอื่นเหมือนกัน
คนเรามันสำคัญที่จิตใจมากกว่าอย่างอื่นว่าคิดดีหรือคิดร้าย
จะแสดงออกแบบผู้ดีมีการศึกษา
หรือแบบตลาดๆนั้น ผลที่ออกมาคนอื่นเค้าก็มองไม่ดีเท่าไหร่หรอก
แต่ฝ่ายที่ถูกด่าย่อมได้รับความเห็นใจมากกว่า
ในสังคมเน็ตนั้น ต้องแยกให้ออกนะครับว่าเป็นโลกของเน็ต
ใครอยากจะเขียนอะไรก็ได้ทั้งนั้น
คนที่เขียนด่า เค้าอาจจะไม่ได้เจ็บแค้นอะไรเลยก็ได้
ที่ถูกด่าบ้างเพราะเหมือนดูจะแวะมา เนื่องจากหมั่นไส้มานาน
คนเราหมั่นไส้ใครไม่ค่อยมีใครกล้าแสดงออกมาให้ใครรู้หรอกครับ
เป็นผมผมไม่แคร์นะ ถ้าผมเป็นเจ้านกขมิ้นอะไรในเน็ต

เพราะมันไม่ใช่ชีวิตจริงของผม
อยากให้แยกแยะว่านี่คือเน็ตครับ
ไม่ใช่ชีวิตจริง


Posted by : เหอ เหอ , Date : 2004-09-07 , Time : 13:53:08 , From IP : 202.28.27.6

ความคิดเห็นที่ : 26


   ผมยังจำกระทู้หนึ่ง ที่เขียนทำนองว่า
อาจารย์หมอหล่อ อะไรประมาณนั้น
ผมก็ไม่ได้คิดอะไร ก็ดูตลกๆ น่ารักดี
แต่อาจารย์ท่านนั้นมีภรรยาแล้ว

ผมไม่อยากจะเชื่อเลยว่า
ผู้หญิงในคณะแพทย์บางคน จะใช้คำที่หยาบสุดๆมากกว่าคนที่เขียนด่านี่อีกนะ
แต่แปลก ไม่มีใครว่าอะไรเลย
ใครกันเหรอ ที่ไม่สมควรจะเป็นแพทย์
ไม่สมควรจะเอ็นท์ติด


Posted by : เหอ เหอ , Date : 2004-09-07 , Time : 14:21:08 , From IP : 202.28.27.6

ความคิดเห็นที่ : 27


   อ๋อ กระทู้ที่เขียนว่า อาจารย์ อ.xxxxxxxxxx มีแฟนรึยังคะ
อาจารย์หมอหน้าอ่อน หน้าตาน่ารัก แค่เนี้ยใช่ปะ
หลายวันต่อมา
เธอคนนั้นก็ถูก ผู้หญิงในคณะแพทย์หลายคน ใช้คำหยาบๆ ลามก สัตว์สี่เท้า ต่างๆนานา
เฮ้อ คนเราสูงต่ำ วัดกันที่ตรงไหนเหรอ


Posted by : อ๋อจำได้ , Date : 2004-09-07 , Time : 17:43:46 , From IP : 202.28.27.6

ความคิดเห็นที่ : 28


   นิยามของคำว่า "ด่า" คงจะมีความหลากหลายพอสมควร

อาจจะมีตั้งแต่จิกชื่อแล้วก็ร่ายยาวออกมา ตามกำลังสติปัญญาในการที่จะตีคุณค่าที่ตนเองเห็นว่าไม่ดี (ซึ่งตรงนี้จะแปรตามหลายปัจจัย เช่น background การเลี้ยงดู สิ่งแวดล้อม ขนบธรรมเนียมประเพณี วัฒนธรรม ศาสนา ภาษา สังคม ฯลฯ) เช่น สมัยหนึ่ง "หน้าตัวเมีย" มีความหมายไม่ดี นั่นเป็นยุคที่ macho เป็นใหญ่ เหยียดเพศ และผมหวังว่าเทอมนี้คงจะหมดยุคไปแล้ว เป็นต้น

ทีนี้จะต่างกับการที่แต่ละฝ่ายยกความหมายของ "ความถูกต้อง ความดี" ขึ้นมาวางบนโต๊ะ แล้วบอกว่าเราเชื่ออย่างนี้ๆ หลังจากนั้น มีคนนำไปเป็นของส่วนตัว รู้สึกเจ็บแค้น เพราะว่าอาจจะบังเอิญตรงกับตนเองแต่ suppressed อยู่ เป็น guilt ที่หลงเหลืออยู่ ที่จริงการสะท้อนหลักจริยธรรมโดยตนเองนี้เป็นเรื่องที่ส่งเสริมสุขภาพ และส่งเสริมการพัฒนาตนเอง เพียงแต่ว่าช่วงตอนได้รับบาดเจ็บจะแสดงปฏิกิริยาอย่างไร จะแสดงออกอย่างไรในที่สาธารณะนั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง โชคไม่ดีที่การแสดงออกบางอย่างอาจจะทำให้แรงบันดาลใจในการที่จะพัฒนาตนเองหดหาย เพราะเกิด denial เข้ามาในกระบวนการ และสะท้อนออกเป็น aggressiveness แทน

ถ้าอย่างหลังนี้เป็นการ "ด่า" อย่างหนึ่ง เราก็คงไม่สามารถจะอ่านตำรา ethics เพื่อจะปรับปรุงตนเองได้โดยไม่ถูกด่า เราก็คงจะไม่สามารถจะ "สอนจริยศาสตร์" ให้แก่นักศึกษาโดยที่ไม่มีบางคนโดนด่าไปเรียบร้อย และเราก็อาจจะไม่สามารถอ่านศาสนศาสตร์ได้เลยโดยไม่มีการบาดเจ็บของความเป็นตัวตน

ในความเห็นของผมอย่างแรกสุดนั้นเป็นเรื่องของ superego แต่อย่างหลังนั้นเป็น self assessment มีเส้นที่ชัดบ้าง ไม่ชัดบ้าง แบ่งระหว่างทั้งสองอย่างอยู่ ชัดหรือไม่ชัดนั้นก็เป็นอีกเรื่องนึง



Posted by : Phoenix , Date : 2004-09-07 , Time : 17:43:54 , From IP : 203.156.41.32

ความคิดเห็นที่ : 29


   ยกอีกประเด็นมาต่างหากเพราะเห็นว่าน่าสนใจ คือ "สังคมเน็ต"

หลายเดือนก่อนผมเคยตั้งกระทู้ทำนองกระดานข่าวนี่เป็นการ "ทดสอบ" วัฒนธรรมผู้ใช้ได้หรือไม่ มีคนตอบมามากพอสมควร และมีความแตกต่างของความเห็นด้านนี้กันเยอะเหมือนกัน

มีคนมีความเห็นว่า Internet นี้ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับชีวิตจริง นั่นก็คงเป็นจริงบางส่วน แต่การแสดงออกลงมาบนเวทีนี้นั้นจะปลอดจากชีวิตจริงอย่างสิ้นเชิงรึเปล่า? การที่กระดานข่าว "ที่ได้มาตรฐาน" (ตามความเห็นส่วนตัวของผมเอง) มักจะมีกฏเบื้องต้น เช่น การใช้ภาษาหยาบคาย การโจมตีบุคคลอื่นโดยตรง การเชื่อมไปยัง link บางอย่างเช่น pornography หรือพวกบรรดา adult-only links เป็นต้น ถ้ากระดานข่างเป็น virtual life ที่ไม่เกี่ยวข้องกับชีวิตจริง กฏเหล่านี้ก็คงจะไม่จำเป็น ซึ่งก็มีหลักฐานเช่นกันเพราะจะมีกระดานกระทู้ที่ไร้กฏและ everything goes บางคนที่เคยไปชม ไปอ่านก็คงจะเห็นว่าเป็นอย่างไร

ทีนี้จะเห็นอย่างไรก็คงจะไม่เป็นไรตราบใดที่ทั้งสองฝ่ายไม่ได้ชนและละเมิดความเป็น autonomy ธรรมเนียมของร้านกาแฟแต่ละที่ก็คงจะไม่เหมือนกัน ลูกค้าก็คงจะอ่านธรรมเนียมตรงนี้สักนิดก่อนที่จะสรุปว่าตูจะใช้กฏของตู ทีนี้ถ้าเราไม่รู้ หรือว่ายังไม่มีกฏนั้นเขียนออกมา เราก็สามารถลองโยนความเห็นลงมาให้ชุมชนเห็น หรือประเมินจาก majority of the audience หรือพิจารณา "กาละ และ เทศะ" ว่าเราอยู่ในกระดานข่าวภายใต้ร่มของ web อะไรก็พอจะช่วยได้

สิ่งหนึ่งที่พึงระลึกถึงก็คือ เด็กวัยรุ่น (หรือแม้แต่ผู้ใหญ่) สามารถถูก desensitized ด้วยการถูก exposed ต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่งซ้ำๆนานๆ โดยต่อมาจะเข้าใจว่าเป็นสิ่งที่ยอมรับกัน ต่อไปก็กลายเป็นสิ่งที่ถูกต้อง ต่อไปก็กลายเป็นสิ่งที่ดีงาม น่าทำกัน "แม้ว่า" มันอาจจะไม่ใช่เมื่อใช้หลักจริยศาสตร์ จริยธรรมมากรองดู ผมยังคิดว่าวัฒนธรรมกระดานข่าวนี้สามารถมีผลกระทบต่อชีวิตจริงได้ครับ และคนที่ vulnerable ที่สุดก็คือเด็กวัยรุ่นที่อยู่ในระหว่างการ form personality ที่กำลัง observe ว่า สังคมเขาทำอะไรกันที่คนไม่ว่า คนที่แยกแยะ virtual world กับ real world ได้เด็ดขาดนั้นน่าจะเป็นคนที่ personality formed เรียบร้อยแล้ว มีความสามารถในการไตร่ตรอง แต่การที่เราเองปลอดภัย ไม่ได้หมายความว่าเราควรจะปล่อยให้มีการ exposure ของสิ่งที่อาจจะนำให้เกิด negative effects ลงไปทุกๆที่บนกระดานสาธารณะ กระดานข่าวนี้ อยู่ใต้ร่มคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์เป็นสถาบันระดับอุดมศึกษาแห่งหนึ่งของประเทศไทย คนที่มาอ่าน นอกเหนือจากบุคลากรในคณะ ยังรวมไปถึง นักเรียน นักศึกษา ประชาชน ลูกหลานของบุคลากรในคณะ ผมเข้าใจว่าโดย sense of responsibility เราต้องคำนึงถึงเรื่องพวกนี้บ้างเหมือนกัน



Posted by : Phoenix , Date : 2004-09-07 , Time : 18:09:52 , From IP : 203.156.41.32

ความคิดเห็นที่ : 30


   หนูว่า คุณ Phoenix เค้าก็แสดงความคิดเห็น ดีออกนะคะ เพราะคำบางคำที่เป็นภาษาอังกฤษหนูไม่รู้ หนูก็ยังเปิด Dic. หาคำแปลอ่านเอาเลย ไม่เห็จะต้องไปว่าคุณ Phoenix เค้าเรื่องพูดไทยปนอังกฤษเลย ใครมาอ่านกระทู้ได้ความรู้เรื่องภาษาเพิ่มด้วย
ดีออก!


Posted by : เด็กๆ , Date : 2004-09-07 , Time : 19:06:04 , From IP : 203-151-212-162.inte

ความคิดเห็นที่ : 31


   ต่อตอนจบของ "self in virtual world" นะครับ

ผมคิดว่ามี Myth อยู่ประการหนึ่งในเรื่องของ "ตัวตน" ใน virtual world หรือ internet นี่ การประเมินว่าเรื่องบนนี้มันเป็นอีกโลกหนึ่ง ไม่เกี่ยวอะไรกับความเป็นตัวตนในโลกแห่งความเป็นจริงนั้นมาจากไหน?

Internet ได้ปลดปล่อยด่านขวางกั้นที่สำคัญประการหนึ่งจาก superego mechanism นั่นคือ "identification" ครับ ในโลกของการสื่อสาร ถ้าเราลองประเมินดู อะไรในสื่ออื่นๆที่เป็นตัวป้องกันไม่ให้ Id เผยอหน้าขึ้นมา คำตอบอาจจะมีหลากหลาย แต่หนึ่งในนั้น Self นี่น่าจะสำคัญ

เมื่อเรากำลังจะแสดงความเห็นอย่างหนึ่ง ทราบว่าไม่มีใครรู้ว่าเป็น "เรา" นั่นคือการปลด self ออก สิ่งที่เหลือคืออะไร? Id and Ego? การแสดงออกหลังจากปลด self นั้นจะเป็น pure fake personality หรือว่าเป็น "ตัวตนดิบ" กันแน่? ที่ไม่ได้มี social norm, social rule ควบคุม?

ที่สุดแล้วตัวตนจริงของใครต่อใครนั้น ลงเอยก็คงจะเป็นคนนั้นล่ะครับที่รู้ตนเองดีที่สุด ก็คงจะย้อนกลับไปอีกทีในข้อสรุปที่ได้เขียนไว้แล้ว เราคงจะใช้หลักที่พระพุทธเจ้าบอกกับหัวหน้าหมู่บ้านกาลาม ว่าให้เราใช้สติปัญญาพิจารณาออกมาว่าการกระทำนั้นๆมันเป็นเช่นไร จะปลอม จะไม่จริง หรือมาจากก้นบึ้งของหัวใจ และใครเป็นคนรับผิดชอบหลังจากความเห็นนั้นมันหลุดจากปากเราออกไปสู่คนรับฟังทั่วไปเรียบร้อยแล้ว? หรือเจ้าตัว fake identity ที่ไม่มีตัวตนจะเป็นคนรับผิดชอบแทนเรา เพราะเรา "ชีวิตจริง" เป็นคนละคนกับ "เรา" ที่ได้แสดงความเห็นไปเมื่อตะกี้นี้? multiple personalities?

ก็น่าคิดและน่าสนใจครับ



Posted by : Phoenix , Date : 2004-09-07 , Time : 23:56:52 , From IP : 203.156.40.64

ความคิดเห็นที่ : 32


   ไม่ต้องสงสัยเลยว่า การแสดงออกอะไรที่ก้าวร้าวในกระดานอภิปราย น่าจะเป็นตัวจริงเสียงจริงที่เป็นอยู่แน่นอน และมักทำตามIDที่มีอย่างไม่ต้องสงสัย เพราะการใช้นามแฝงในกระดานข่าว ทำให้เราสามารถแสดงสิ่งที่อยากได้ สิ่งที่อยากแสดงออกแต่ไม่เคยทำได้ในชีวิตจริง ออกมาได้เต็มที่สุดๆ โดยที่ไม่ต้องใช้superegoมาหักห้าม เพราะไม่มีใครรู้ว่าเราเป็นใคร แต่ในทางกลับกันมันก็สะท้อนภาพที่ไม่จริงของเราได้อีกเช่นกัน คือภาพในจินตนาการที่เราอยากได้อยากเป็นแต่เป็นไม่ได้แสดงไม่ได้ในชีวิตจริง
ที่นี้ขึ้นกับว่าเราจะให้ตัวแทนตัวตนของเราในกระดานอภิปรายแห่งนี้เป็นสันดานดิบID หรือเป็นimaginationมาโผล่ดี ดีสุด คงต้องให้ใกล้เคียงกับตัวตนเราในrealityชีวิตจริงมั้ง จะได้ไม่สับสนในidentity แล้วคนอื่นหล่ะใช้อะไรกัน


Posted by : pisces , Date : 2004-09-08 , Time : 11:33:49 , From IP : 172.29.3.110

ความคิดเห็นที่ : 33


   ขอเป็นกำลังใจให้อาจารย์นกไฟ
ไม่เป็นไรหรอก คนอ่านกระทู้ย่อมมีความคิด และวิจารณญาณ แยกแยะได้ว่าใครมี EQ สูงต่ำประการใด
สำหรับคนที่ชอบอาจารย์นกไฟ ก็เข้ามาอ่านความคิดเห็นที่อาจารย์แสดงออกมาในเน็ต สำหรับคนที่ไม่ชอบก็อ่านข้ามไปสิ(วะ) จะมาตะบี้ตะบันอ่านทำไมให้เสียอารมณ์เล่า


Posted by : Mars , Date : 2004-09-09 , Time : 16:43:51 , From IP : 172.29.3.186

ความคิดเห็นที่ : 34


   แตกต่างแต่ไม่แตกแยกน่าจะดีนะคะ

Posted by : แพทย์ใช้ทุน , Date : 2004-09-23 , Time : 14:30:41 , From IP : 172.29.3.176

ความคิดเห็นที่ : 35


   ชอบความคิดเห็นของอาจารย์มาก ในสังคมนี้คิดว่าภาษาไม่น่าจะเป็นอุปสรรคในการอ่านกระทู้เลย
ได้ความรู้ ได้ความคิดเห็นอีกด้าน
แม้ว่าจะเป็นโลกใน net แต่คุณเห็นไหม คน post รูปตั๊กได้รับผลอย่างไร
นี่ก็อาจารย์พยายามใช้คำพูดที่ดี ภาษาสวย น่าอ่าน
ขนาดคนที่ post มาเป็นภาษาอังกฤษล้วนๆ เรายังพยายามอ่านและแปลเลย
ก็เห็นเข้าใจและไม่คิดว่าเค้าเวอร์หรืออวดตัวเลย
เราไม่ใช่หมอหรอกนะ แต่ทำงานที่นี่เหมือนกัน


Posted by : ไม่ใช่หมอ , Date : 2004-09-28 , Time : 11:51:11 , From IP : 172.29.1.186

ความคิดเห็นที่ : 36


   คิดว่าการที่มีคนออกมาแสดงความคิดเห็นอะไรสักอย่างในกระดานข่าวเนี่ย
คนที่ตั้งกระทู้นี้ ก็น่าจะยอมรับความคิดเห็นของผู้อื่นนะ เพราะไม่งั้นจะมาตั้งกระทู้แล้วให้คนอื่นแสดงความคิดเห็นทำไมล่ะ แต่เราจะห็นด้วยกับความคิดเห็นนั้นรึป่าว
ก็เก็บไปคิดเอง เราน่าจะได้แง่คิดหลายแง่มากขึ้นขึ้นไม่ใช่เหรอ


Posted by : ขอแสดงความคิดเห็น , Date : 2004-11-27 , Time : 08:08:34 , From IP : 172.29.3.134

ความเห็นจาก Social Network : Facebook


สงวนสิทธิ์การแสดงความคิดเห็นสำหรับ สมาชิกเท่านั้น
>>>>> Page loaded: 0.014 seconds. <<<<<