เห็นด้วยครับว่า contents ทางการแพทย์นั้นมากมายมหาศาล มากจนผมคิดว่าใครคิดจะเรียน "ให้หมด" อาจจะเครียดมากเพราะมันจะเป็นไปได้ยาก (ถ้าไม่เป็นไปไม่ได้)
เมื่อคำนึงถึงบาง rotation (ผมก็เรียนสมัยโบราณเหมือนกัน) ward minor ผ่านแค่ 2-3 อาทิตย์ มานึกย้อนหลังนั่นเป็นแค่ "ชิมลาง" ของสายอาชีพจำเพาะนั้นๆ ที่ศิริราชผ่าน Med ตอนปีสี่หกเดือน (ถ้าจำไม่ผิด อาจจะมีอะไรเล็กๆปน) และศัลย์อีกหกเดือน (สงสัยน่าจะเป็นอย่างละห้าเดือน และมีอะไรแทรก เช่น OPD หรือ ER) นั่นก็ไม่ได้ทำให้เรา "เข้าถึง" เนื้อหาเท่าที่มี สรุปแล้วการแพทยืนั้นเป็นวิชากว้างใหญ่ หกปีที่มีไม่มีพอ และเราต้องเรียนต่อเนื่องไปเรื่อยๆแน่นอนแม้แต่จบแล้วก็ตาม
พอคิดอย่างนี้ มองอีกมุมหนึ่ง การทุ่มเททั้งชีวิตมาให้เนื้อหา medical contents อย่างเดียวก็ดูกระไรอยู่ จริงๆมี extra-medical subjects อีกพอสมควรที่เดียวที่จะเสริมให้เราเป็นบัณฑิตที่กว้าง ไม่เป็นแค่หมอที่รู้แต่เรื่องการแพทย์อย่างเดียว เราควรจะรู้เรื่อง politics เราควรจะรู้เรื่อง ethics, philosophy, religions เราควรจะรู้เรื่องสังคมศาสตร์ พฤติกรรมศาสตร์ เราควรจะรู้เรื่อง communciation skill เราควรจะได้ใช้ชีวิต adolescence ที่มีความหมายเหมือนๆมนุษย์สาขาอื่น เพื่อที่เราจะได้ "เข้าใจ" ในสิ่งที่เขาผ่านมา ในประสบการณ์ที่คนธรรมดามี
เห็นด้วยเหมือนกันว่าหนังสือพิมพ์ส่วนใหญ่ไม่ค่อยบรรจุเนื้อหาอะไรที่น่าสนใจ หรือเป็น contents มากมายนัก แต่ในขณะเดียวกันผมไม่คิดว่า non-medical จะเป็น taboo ในขณะเรียนแพทย์ ไปเรียน social science เช่น philosophy religion อาจจะยิ่งดีซะด้วยซ้ำ
เดี๋ยวนี้เราโชคดีมากยิ่งขึ้น เพราะอาจารย์แพทย์ก็ยังอยู่ที่เดิม เราจบหกปีแล้วก็ใช่ว่าจะหมดสิทธิ์ถาม หมดสิทธิ์เรียนจากท่าน ผมคิดว่าเท่าที่ผ่านมาอาจารย์เก่าดูจะไม่มีปฏิกิริยาแตกต่างอะไรไป ตอนที่ศิษย์เก่ากลับมาเรียนถามอะไรท่าน จากสมัยตอนที่ศิษย์เหล่านี้ยังใส่กาวน์ (ที่ไม่เคยซักเป็นปีๆ) เดินหา ward ไม่เจอเมื่อยี่สิบปีที่แล้ว
ก็อีกมุมมองนึงครับ
Posted by : Phoenix , Date : 2004-08-24 , Time : 17:02:45 , From IP : 172.29.3.228
|