ความคิดเห็นทั้งหมด : 34

ทําอย่างไรดีเรียนไม่รู้เรื่อง


    เครียดมากเลยเวลาเรียนรู้สึกว่าเรียนไม่รู้เรื่องในห้องเรียนในทันทีเเละรู้สึกเครียดเหมือนกันเวลาที่ใกล้สอบ ทําอย่างไรดี

Posted by : คนอยากรู้ , Date : 2004-08-22 , Time : 21:20:23 , From IP : 172.29.2.208

ความคิดเห็นที่ : 1


   อันดับแรก เป็นเรื่องที่ดีมากครับที่คุณคนอยากรู้ลงกระทู้นี้มา เพราะเป็นการแสดงว่าได้มีการวิเคราะห์ตนเองในการเรียน นั่นข้อที่หนึ่ง ข้อที่สองคือเป็นคนที่ตั้งใจและตั้งเป้าหมายในการประสบความสำเร็จไว้ก่อน ไม่งั้นจะไม่สามารถสะท้อนว่าไม่รู้เรื่องอะไรบ้าง และสามเปิดเผยและตั้งใจแก้ปัญหา ไม่หลบปัญหา โดยการถามคำถาม ณ ที่นี้ ขอชมว่าเก่งมาก

มีสามเวทีใหญ่ๆที่เรื่องนี้สามารถหาที่ปรึกษาได้โดยตรง หนึ่งคือกระดานข่าวอาจารย์ที่ปรึกษา (ตั้งกระทู้ได้โดยตรง คนทั่วไปเข้าไปน้อยกว่าที่นี้) สองคือหน่วยกิจการนักศึกษา และสามคือกรรมการวิชาการชั้นปี เวทีนี้ก็ OK แต่อาจจะพลุกพล่านนิดหน่อย ไม่เป็นไรนะครับ

เรียนไม่รู้เรื่องมีได้หลายสาเหตุครับ ของแต่ละคนจะไม่เหมือนกัน เกี่ยวข้องกับสามกลุ่ม คือ ตัววิชา ตัวผู้สอน (รวมทั้งสื่อ) และตัวเราเอง เริ่มตั้งแต่เราไม่ชอบวิชานี้ (ศรศิลป์ไม่กินกัน) เป็นวิชาที่ยากจริงๆ (เช่น neurology immunology เป็นต้น) เนื้อหาต้องการอ่านทบทวนเพิ่มเติมนอกห้องเรียน (พวกที่เนื้อหาพื้นฐานเยอะ ฉะนั้นตอนในห้อง lecture จะรู้สึกอยู่ในเมืองในหมอก) พวกนี้คล้ายๆกับพวกยาก แต่เน้นที่ "เยอะ" มากกว่า เช่น กายวิภาค embryology histology เป็นต้น นั่นเกี่ยวกับตัววิชานะครับ

ผู้สอนและสื่อ สามารถเป็นสาเหตุหลักได้ อันนี้ยากเหมือนกัน บางเรื่องยากแค่ไหน อาจารย์ก็ทำให้ง่าย บางเรื่องง่าย อาจารย์ก็สามารถทำให้ยาก บางเรื่องพูดเยอะมากก็ไม่เข้าใจ พอเขียนเป็น diagram ก็โป๊ะเชะ เข้าใจทันที (อาจจะเกี่ยวกับ style การเรียนด้วย) บางเรื่องต้องไปได้ตอน apply หรือโจทย์ clinic ถึงจะอ๋อ บางเรื่องต้องมาทาง symptomatology แทนที่จะมาเป็นระบบอวัยวะ สื่อบางทีก็สำคัญ interactive media อาจจะช่วยในเรื่องที่เป็น flow of events หรือ interactive schemes ต่างๆ บางเรื่องเนื้อหาไม่เท่าไหร่ แต่ต้องมาอภิปรายกันเยอะๆ ถึงจะเข้าใจ เช่น จริยศาสตร์ (มีแค่ 4 principles แต่แตกหน่อแตกกอออกได้ไม่จำกัด)

อันดับสุดท้ายคือตัวเราเอง มีหลายสาเหตุ แต่ที่ผมอยากจะพูดถึงเบื้องต้นนี้คือ learning styles นะครับมาจากกระทู้ข้างล่าง ตามทฤษฎีของ Gregorc ว่าด้วยเรื่อง contents และ order of contents ที่แต่ละคนจะมีความชอบให้มาไม่เหมือนกัน Contents แบ่งเป็น abstract กับ concrete ส่วนลำดับของข้อมูลแบ่งเป็น sequential กับมาเป็น random คนที่ชอบข้อมูล abstract/random ก็จะเกลียด lecture หรือ อะไรที่เป็น structured base class แต่จะชอบการอภิปรายกลุ่มเล็ก ชอบการไม่มีเวลาจำกัดมากๆ คนที่ชอบข้อมูลประเภท concrete/sequential ก็จะไปได้สวยในชั่วโมงบรรยาย แต่อาจจะไม่ชอบบรรยากาศที่ข้อมูลหลั่งๆไหลมาแบบหลายทางบ เช่น เวลา brain storming ในกลุ่ม PBL ยิ่งมาเป็นนามธรรม ยิ่งรับไม่ได้ เป็นต้น

จะแก้ยังไง รักษายังไง ก็เหมือนการรักษาผู้ป่วยแหละครับ ต้องซักประวัติตรวจร่างกาย (เอ้อ... คงไม่ต้องกับตรวจร่างกาย) ให้ได้สมมติฐานของการวินิจฉัยสาเหตุซะก่อน มีข้อมูลเพิ่มให้เราไหมล่ะครับ ยินดีจะช่วยเหลือ





Posted by : Phoenix , Date : 2004-08-22 , Time : 22:12:09 , From IP : 172.29.3.236

ความคิดเห็นที่ : 2


   เคยเจอปัญหานี้เหมือนกันตอนเป็นนักศึกษา ลองเอาแนวทางเหล่านี้ไปใช้ดูนะครับ
ผมเคยใช้แล้วได้ผลดี
1.ถามเพื่อนที่เข้าใจหรือคิดว่าเข้าใจมากกว่าเรา
2.อ่านlecture ลองอ่านหลายๆรอบ ดูว่าเราเริ่มไม่เข้าใจตรงไหนแล้วไปแก้ตรงจุดนั้น พยายามหาlectureของเพื่อนมาดูด้วยเพราะอาจมีจุดที่เรามองข้ามแล้วไม่ได้จดมา
3.ถามอาจารย์ ที่เอามาไว้หลังๆเพราะไม่ค่อยกล้าถามอาจารย์ครับ
หวังว่าพอจะช่วยได้บ้างนะครับ ถ้าผ่านปัญหานี้ได้แล้วลองหาเวลาว่างมาทบทวนกระบวนการแก้ปัญหาของเราดูนะครับ มันจะได้ติดตัวเราไปตลอด



Posted by : megumi , Date : 2004-08-22 , Time : 23:40:14 , From IP : 172.29.3.224

ความคิดเห็นที่ : 3


   ถ้าวิเคราห์learning styleได้แล้วรู้ว่าเพื่อนคนไหนเหมือนเรา ลองยืมlectureเขามาอ่านสิ เพราะlearing styleที่ต่างกันก็จะจดlectureต่างกันไปด้วย ที่เคยเห็นก็เช่นพวกconcrete sequenceจะจดเป็นแบบstepเป็นข้อๆ1,2,3,4......แต่ถ้าเป็นพวกabstract random or concrete randomจะมาเป็นแบบdiagramโยงไปโยงมาดูวุ่นวายและยุ่งเหยิงในความรู้สึกของพวกที่ต้องการอะไรเป็นsequence
ถ้าเราเป็นพวกชอบdiscussน่าจะต้องหาเวทีคุยกับเพื่อนที่ชอบเหมือนเรา หรือหลายแบบก็ได้มาช่วยbalanceและเก่งหน่อยหน่อย เพราะจะทำให้รู้สึกแตกฉานมากขึ้น
อ้อแต่อย่าลืม พวกabstract เราต้องฝึกตอบอะไรที่จับต้องได้ มีข้อสรุปเอาไว้ตอบข้อสอบไม่ว่าจะเป็นchoiceหรือตอบคำถามสั้นๆไว้ด้วยนะถึงแม้นว่ายังคิดไม่สุดทางหนำใจก็ตามที


Posted by : pisces , Date : 2004-08-23 , Time : 06:16:43 , From IP : 172.29.3.217

ความคิดเห็นที่ : 4


   ลองทบทวนบ่อยๆสิ ในเรื่องที่เราไม่รู้เรื่อง หรืออาจจะให้เพื่อนๆช่วยอธิบายให้ฟังก้อได้นะ แส้วก้อไม่ต้องเครียดกับมันมาก เพราะยิ่งเครียดก้อจะยิ่งไม่เข้าใจ


Posted by : WAYNE ROONEY , Date : 2004-08-23 , Time : 12:41:53 , From IP : 172.29.4.44

ความคิดเห็นที่ : 5


   ตอนนี้ก็มีปัญหาเหมือนกัน คือ รู้สึกว่าการเรียน PBL ก็ขึ้นอยู่กับกลุ่มเพื่อนด้วย กลุ่มไหนได้เพื่อนที่ค่อนข้างเข้าใจกันก็ดีไปแต่ก็มีบางกลุ่มที่เพื่อนต่างความคิดกันสิ้นเชิง นั่งเถียงกันไม่จบสิ้น ค่อนข้างยึดความคิดตนเองเป็นหลัก แล้วรู้สึกว่าพวกเราใช้กระบวนการของPBL ยังไม่ถูกต้อง เหมือนกับว่ายังหลงทาง อยากจะให้ใช้เวลาให้น้อยที่สุดแต่ได้ความรู้มากที่สุด ก็ไม่ได้ เพราะบางครั้งออกนอกเรื่องไปจนเสียเวลา อย่างบางกลุ่มตอนแรกมีอาจารย์มาแนะแนวทางว่าเราต้องคิดการตั้งปัญหาเป็นstep ตามfactแต่ละข้อแล้วโยงไปหากัน แต่พอเอาเข้าจริงเราก็ทำอย่างนั้นไม่ได้เพราะคนนี้อยากจะตั้งอย่างนี้ คนโน้นอยากจะตั้งอย่างโน้น คำถามก็ซ้ำไปซ้ำมา บางครั้งก็ต้องตั้งคำถามที่ใช้ภาษาให้ดูดีซ฿งก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไม่ไม่ใช้คำพูดที่ง่ายๆ ก็ได้ก็เข้าใจเหมือนกัน ส่วนวันนี้ก็เพิ่งเรียน GROSS เป็นครั้งแรก เป็นปกติที่เราต้องเตรียมตัวอ่านไปก่อน แต่รู้สึว่ามันก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี และอาจารย์ประจำ labก็น้อยเสียเหลือเกิน ควรจะมีอาจารย์ให้มากกว่านี้ก็มีนะ เพรารู้สึกว่าให้เราdissecเองก็ไม่ค่อยเข้าใจ และทำไปแบบมั่วๆ อย่ากให้มีจารย์มาคอยดูด้วยเพราะบางครั้งก็ทำไม่ค่ยถูก เสียดายท่านอาจารย์ใญ๋ที่ท่านยมอุทิศร่างให้พวกเรามาศึกษาแต่รู้ศึกว่ามันไม่ค่อยคุ้มค่สักเท่าไหร่ ก็อยากฝากเรื่องนี้ด้วย

Posted by : นศพ ปี 2 , Date : 2004-08-23 , Time : 20:07:16 , From IP : 172.29.2.142

ความคิดเห็นที่ : 6


   ประเด็นส่วนแรกของน้อง นศพ. ปีสองนี่อาจจะใช้ความเข้าใจเรื่อง learning styles มาช่วยได้บ้าง LEARNING STYLES

คัดมาโดยย่อ
CS ชอบอะไรที่สามารถสัมผัสได้โดยประสาทสัมผัสทั้งห้า และมาเป็นลำดับ
AS ชอบอะไรที่มาเป็นนามธรรม แต่มี structure เชื่อมต่อกันเป็นห่วงสัมพันธ์โดยตรรกะ
AR ชอบอะไรที่เป็นจำพวกความรู้สึกนึกคิด จินตนาการ และงอกงามแบบสุ่ม ไร้ทิศทาง ไร้กระบวนท่า
CR สามารถดึงเอาประเด็นซ่อนเร้นจากกองฟางที่ยุ่งเหยิง ไม่เป็นระเบียบ แต่เป็นประเด็นที่เป็นรูปธรรม

พวกนี้เป็น style การเรียนที่ไม่เหมือนกันของแต่ละคน และเป็น "ความชอบ" ไม่มีอันใดที่จะเหนือกว่าอันใดอันหนึ่ง และไม่มีใครมี pure trait แค่แบบใดแบบหนึ่งอย่างเดียว

ยกตัวอย่าง classic ที่อาจจะพอดีเข้ากับกรณ๊ที่น้อง นศพ.ปี 2 ยกมานะครับ นั่นคือเมื่อ CS พบ AR จริงๆแล้วการมี CS อยู่ในกลุ่มเป็นเรื่องที่ดี เพราะ CS จะทำตามขั้นตอน และจะทำให้สำเร็จในเวลา ขณะที่ AR จะพูดในสิ่งที่จับต้องยากเพราะเน้น abstract แถมยังชอบใหข้อมูลแบบ random ไม่ชอบเกาะติดเรื่องใดเรื่องหนึ่งนานๆ ใจสมาธิจะปลิ้นไปเรื่องอื่นอยู่เรื่อย ดูเผินๆ AR จะเป็นตัวป่วน แต่ไม่ใช่นะครับ AR นี่แหละที่จะดันกลุ่มให้สามารถ set learning objectives ที่อยู่นอกเหนือขอบเขต "หลังจาก" ที่ LO บังคับนั้นถูก set หมดแล้วได้ เพราะ AR จะนึกถึง alternative หรือ "What if..." scenario อยู่ตลอดเวลา และมีประโยชน์มาก เวลาที่เราจะทำ brain storming หรืออภิปรายเรื่องที่ต้องใช้จินตนาการ เช่น molecular levels, social science (เช่น ethics) ดังนั้นถ้าจะให้สองคนนี้ประสานกัน น่าจะเริ่มที่ "ทั้งคู่" เข้าใจธรรมชาติของการเรียนที่ต่างกันซะก่อน แล้วก็ใช้จุดแข็งของตนเองเสริมกลุ่ม และเข้าใจจุดอ่อนของตนเองที่จะมีต่อกลุ่ม CS จะสามารถตั้งเป้า และดำเนิน group process ได้แม่นยำ ดังนั้นเราสามารถจะอำนวยเวลาบริหารจัดการให้ CS ทำ และในขณะเดียวกันถ้ากลุ่มตัน นึกอะไรไม่ออก ก็เรียก AR นี่แหละช่วยเสนอความเห็น อย่าใช้หมู่มากกด AR เพราะ AR จะขี้ใจน้อย เผลอๆพาลไม่พูดอะไรเลย และจะเซ็งไป ในทำนองกลับกันถ้า CS ควบคุมกลุ่มมากเกินก็จะเหมือน robot หรือโรงงานผลิตของ จะไม่ตื่นเต้น แห้งแล้ง และอาจจะไม่ค่อยมีทางไปถ้าเราอภิปรายไปถึงเรื่อง ethics หรือ soft science อื่นๆ เช่น feeling emotion หรือ communication skill เป็นต้น



Posted by : Phoenix , Date : 2004-08-23 , Time : 20:34:27 , From IP : 203.156.41.248

ความคิดเห็นที่ : 7


   อยากรู้เทคนิคการอ่านหนังสือของรุ่นพี่ที่เก่งๆ ที่ใช้แล้วประสบความสำเร็จครับ เพราะการเรียนของคณะเราต้องอาศัยการจำมาก และตอนสอบก็ต้องใช้ ผมจึงอยากรู้ว่าพี่ๆพอจะมีวิธีไหนเพื่อช่วยในการอ่านหนังสือบ้างครับ

Posted by : รุ่นน้อง , Date : 2004-08-24 , Time : 10:34:35 , From IP : 172.29.4.129

ความคิดเห็นที่ : 8


   อ่านหลัง ลืมหน้า ทำไงดี?

Posted by : ดนใฝ่รู้ , Date : 2004-08-24 , Time : 10:36:31 , From IP : 172.29.4.129

ความคิดเห็นที่ : 9


   เอาของรุ่นพี่ที่ไม่เก่งแทนได้ไหมครับ ผมเคยได้ F physics มาแล้วก็จริงแต่ก็รอดพ้นปากเหยี่ยวปากกามาได้

อ่านแห้งนี่จำยากมากครับ แต่ถ้าเห็น case ล่ะก็ ง่ายขึ้นเยอะ นึกถึง Harry Potter ภาคสามก็ได้ เล่มหนาตึ้ก หรือ Lord of the Rings ยิ่งเห็นชัด อ่านจบมาหลายรอบก็ยังจำไม่ได้หมด แต่ถ้าให้นึกเป็นภาพออกมาจากการดูหนัง ผมว่ามันง่ายขึ้นเยอะ ฉะนั้นวิธีนึงก็คือเอา case จริงบน ward ทั้งหมดไป match กับความรู้แห้งจาก Lectures จาก textbook ให้ได้มากที่สุด แล้วจำเป็น case แทน จำอาการ และอาการแสดง (ไอ้ที่ว่าเจ็บ colic จริงๆคนไข้นิ่วท่อไตดิ้นปั้ดๆยังไง ไอ้ที่ว่ากลิ่นอุจจาระเหมือนหัวกุ้งเน่าของโรคบิดน่ะ เจอเข้าไปก็จะแจ่มแจ้งจนวันตาย เป็นต้น) แม้แต่ scenario ก็จะไม่ work เท่าคนไข้จริงๆครับ ถ้าทำได้ทุก case เราจะลดสิ่งที่ต้องจำแห้งๆไปเยอะทีเดียว

OSCE ยิ่งไม่ต้องพูดถึง ถ้าของเคยทำมาซัก 10 ราย วัวเคยขาม้าเคยขี่ มันแทบจะเป็น reflex ไปหมดแล้ว ขั้นตอนไม่ต้องท่องมันก็ออกมาเป็นลำดับเอง จะต่างจากถ้าตอนสอบ OSCE ยังต้องทำปากขมุบขมิบท่อง steps อยู่ ความตื่นเต้นมันจะมากกว่าการที่เราเจนสนามเยอะ ฉะนั้นจริงๆแล้ว osce นี่มันควรจะเหมือนคะแนนไล่แจก เพราะเป็นการ check psychomotor ซึ่งแปลว่าเช็ค "ความชำนาญ" นะครับ ไม่ได้คาดว่าตอนสอบนี่คือครั้งแรกของการทำหัตถการนั้นๆ



Posted by : Phoenix , Date : 2004-08-24 , Time : 12:07:44 , From IP : 172.29.3.104

ความคิดเห็นที่ : 10


   คล้ายกันมั้ง จำได้ว่าตอนเรียนจิตเวชเป็นวิชาอะไรที่abstractจับต้องยากจริงๆcriteriaวินิฉัยก็ยากจำไม่หมด แต่เรียนผ่านมาได้ดีมาก ใช้วิธีนี้จ้า ไปนั่งจ้องดูและคุยกับcase mania ให้เห็นแจ่มแจ้งไปเลยจนจำภาพพฤติกรรมของคนไข้ติดตา แล้วก็ไปอ่านหนังสือ อ่านcriteriaไปทีละข้อ ก็คิดภาพคนไข้ไปทีละsign and symptomเป็นลำดับ เท่านั้นแหละมันจำจนถึงปัจจุบัน น่าจะไม่ลืมด้วย เพราะตอนนี้remindภาพกลับไปก็ยังจำได้ แต่ที่แน่ๆ พี่คงถนัดเรียนแบบมองเห็นเป็นภาพ แต่ว่าแต่ละคนอาจถนัดแตกต่างกันไป เอาไปทดแทนกันยาก ที่สำคัญคงต้องรู้ให้ได้ว่าเราถนัดแบบไหน

Posted by : pisces , Date : 2004-08-24 , Time : 12:41:38 , From IP : 172.29.3.175

ความคิดเห็นที่ : 11


   เรียนไม่รู้เรื่องก็ลาออกดีกว่าครับ ไม่รู้ต้องทนอยู่ทำไม ใช่มั้ย
ไปเรียนอย่างอื่นที่น่าเรียนกว่านี้ มีอีกเยอะแยะ


Posted by : mabus , Date : 2004-08-24 , Time : 14:31:21 , From IP : 172.29.1.157

ความคิดเห็นที่ : 12


   การยอมแพ้หรือลาออกก็เป็นอีกทางเลือกนึงครับในบรรดาหลายวิธี รู้หลายๆอย่างไว้ก้ดีนะครับ (คล้ายๆคลังอาวุธเวลาเล่น computer game)

ทว่าในช่วงชีวิตนึงนั้นเรามีเวลาที่จำกัด ฉะนั้นถ้าเรายอมแพ้ หรือ quit อะไร ง่ายๆ บ่อยๆ อย่าลืมว่าเวลาเราจะหดสั้นไปเรื่อยๆ ข้อสำคัญคือบางครั้งการเรียนไม่รู้เรื่องเป็นเพราะเราเรียนไม่ตรง style หรือไม่ถูกวิธีที่เราชอบก็ได้

เวลามีปัญหา จะมีวิธี approach ได้หลากหลาย เช่น หนีปัญหา แก้ปัญหา แสร้งเป็นไม่มีปัญหา เราใช้วิธีไหนมากๆ มันก็จะ form เป็นบุคลิกของเรา เป็นวิธีแก้ไขปัญหาของเรา เป็นวิธีแก้ไขปัญหาของลูกเรา ของ generation ถัดๆไป ดังนั้นทางเลือกนั้นมีอยู่เยอะ แต่ละอย่างก็จะมีผลลัพธ์ระยะสั้น ระยะยาว ต่างๆนานา



Posted by : Phoenix , Date : 2004-08-24 , Time : 17:14:11 , From IP : 172.29.3.228

ความคิดเห็นที่ : 13


   ขอบคุณอาจารย์และรุ่นพี่ทุกๆท่านครับที่ให้ข้อแนะนำ แต่ส่วนใหญ่เป็นข้อแนะนำในชั้นคลินิก อยากขอข้อแนะนำในชั้นพรีคลินิกบ้างครับ .....

Posted by : น้องปี2 , Date : 2004-08-24 , Time : 18:56:21 , From IP : 172.29.2.105

ความคิดเห็นที่ : 14


   ขอคำถามที่จำเพาะเจาะจงนิดนึงได้ไหมครับ คุณน้องปี 2 ขอแค่ "คำแนะนำ" มันออกจะกว้างไปนิดนึง



Posted by : Phoenix , Date : 2004-08-24 , Time : 19:36:38 , From IP : 203.156.43.205

ความคิดเห็นที่ : 15


   แล้วเราเจอกันในวันที่7กันยานี้ดีไหม จะมีsession apply learning styleที่พวกเราได้ประเมินกันไปแล้ว ก่อนหน้านี้ ไปใช้กับการเรียนแบบPBLหรือlectureที่พวกน้องๆชั้นปี2 กำลังเป็นทุกข์อยู่ ตกลงไหม

Posted by : aries , Date : 2004-08-24 , Time : 19:39:45 , From IP : 172.29.3.240

ความคิดเห็นที่ : 16


   ปัญหามาปัญญามี จำคำนี้ไว้นะไอ้น้อง ถ้าหนีปัญหาก็เท่ากับทิ้งโอกาสในการสร้างปัญญานั่นเอง



Posted by : megumi , Date : 2004-08-24 , Time : 22:10:43 , From IP : 172.29.3.226

ความคิดเห็นที่ : 17


   การเป็นคนเก่ง ไม่ใช่ความโชคดีของพันธุกรรมหรอกนะ
อยู่ที่การฝีกขัดเกลาสมองและหัวใจของคุณต่างหาก
แล้วคุณจะมีความปราดเปรื่องในแบบฉบับของคุณเป็นคนเก่ง
ที่สามารถจัดการกับชีวิตของตนเองได้อย่างลงตัว

คิดในทางบวก
มองโลกในแง่ดี และทำทุกสิ่งอย่างเต็มกำลัง ด้วยรอยยิ้มและความเบิกบาน
ทำตัวให้สดชื่น มีชีวิตชีวาและกระตือรือร้นอยู่เสมอ
พร้อมที่จะเผชิญกับทุกสถานการณ์
จะช่วยให้คุณสามารถที่จะจัดการกับทุกเรื่องที่ผ่านเข้ามาได้อย่างอยู่มือ

มีศรัทธาในตัวเอง
ถ้าแม้แต่ตัวคุณเอง ยังไม่ศรัทธาและเชื่อมั่นในตัวเอง
แล้วจะมีมนุษย์หน้าไหนล่ะ จะเชื่อในความเก่งของคุณ
อยากให้ใครๆ เขาชื่นชอบและทึ่งในตัวคุณ คุณก็ต้องมั่นใจตัวเองก่อน

ขอท้าคว้าฝัน
ไม่มีอะไรที่จะทรงพลังมากเท่ากับความตั้งใจจริง และทุ่มสุดตัวหรอกนะ
ความกระหายอันแรงกล้า ที่จะพาตัวเองไปสู่จุดหมาย นั่นแหละเป็น
แรงผลักดันที่จะทำให้คุณสานฝันสู่ความจริงได้

ค้นหาบุคคลต้นแบบ
ใครก็ได้ที่คุณชื่นชม เพื่อเป็นมาตรฐานที่ดีในการดำเนินรอยตาม
ศึกษาแนวคิด วิธีการทำงาน จุดเด่นในตัวเขา เผื่อว่าเราจะได้ไอเดียแจ๋ว ๆ
มาปรับใช้ให้ชีวิตก้าวโลดสู่ความสำเร็จกับเขามั่ง

เริ่มต้นงานใหม่ทุกวันด้วยรอยยิ้มสดใส
คนที่มีรอยยิ้ม ระบายไว้บนใบหน้า เสมือนประตูที่เปิดกว้าง
ให้ใครๆ อยากเข้ามาคบหาด้วย
การเจรจาติดต่องาน ก็มักจะลงเอยด้วยความสำเร็จ
มากกว่าคนที่หน้าตาแบกโลกนะ
นอกจากนี้รอยยิ้มและเสียงหัวเราะ ยังสร้างความเบิกบาน และคลายทุกข์
แถมยังเป็นยาอายุวัฒนะชั้นอ๋อง ที่ทำให้เราดูเป็นวัยสะรุ่นตลอดกาล
รู้อย่างนี้แล้ว..หัดติดรอยยิ้มไว้ที่มุมปากกันเป็นประจำนะ

เรียนรู้จากความผิดพลาด
ก็สี่เท้ายังรู้พลาด นักปราชญ์ยังรู้พลั้ง
จะเป็นอะไรเชียวถ้าเราจะทำอะไร แล้วจะยังไม่สำเร็จอย่างที่หวังไว้
เพียงแต่ขอให้ทำเต็มที่ และเปิดใจให้กว้าง ยอมรับความจริง
หันมาทบทวน ดูว่ามีขั้นตอนไหนที่ผิดพลาดไป...
เพื่อที่จะเริ่มต้นใหม่ให้ดีกว่าเดิม

ทะนุถนอมมิตรสัมพันธ์เก่าๆ
คงไม่มีใครที่จะอยู่อย่างมีความสุข โดยปราศจากเพื่อนหรือมิตรที่รู้ใจหรอกนะ
แม้ว่าในชีวิตแต่ละวันของคุณจะวุ่นวายแค่ไหนก็ตาม
คุณควรจะมีเวลาให้กับเพื่อนซี้ ที่รู้จักมักจี๋กันมานานซะบ้าง
แวะไปหากัน

เมื่อโอกาสอำนวย ชวนกันออกมาทานข้าวในช่วงวันหยุด ส่งการ์ดปีใหม่
หรือร่อนการ์ดวันเกิดไปให้ เผื่อในยามที่คุณเปล่าเปลี่ยวหงอยเหงา
เศร้าทุกข์ใจ ก็ยังมีเพื่อนแสนซื้ ไว้พื่งพา และให้กำลังใจกันได้นะ





Posted by : thai , Date : 2004-08-25 , Time : 17:07:37 , From IP : 203.150.22.39

ความคิดเห็นที่ : 18


   อยากฟังเสียงสะท้อนจากน้องคนที่ตั้งกระทู้สักหน่อยนะครับ ว่าที่หลายคนว่าๆกันมานี่มันเอาไปใช้บ้างได้ไหม หรือว่ายังไม่โดนใจ โดนประเด็น มีอะไรเพิ่มเติมก็ update ให้พวกพี่ๆฟังบ้างนะครับ



Posted by : Phoenix , Date : 2004-08-25 , Time : 20:06:56 , From IP : 203.156.48.45

ความคิดเห็นที่ : 19


   มันก็บอกไม่ได้หรอกว่าระหว่างภาคปฏิบัติกับภาคทฎษฎีบางครั้งมันจะไปด้วยกันได้ ที่phoenix บอกมาว่าพวก ARมักจะไปไดดีในเรื่องเกี่ยวกับethics แต่ตอนนี้เราเรียนเกี่ยวกับscience บางครั้งมันก็เลยค่อนข้างขัดใจอยู่เหมือนกัน

Posted by : นศพปี2 , Date : 2004-08-26 , Time : 09:27:13 , From IP : 172.29.4.89

ความคิดเห็นที่ : 20


   ต้องขออภัยที่สรุปรวบรัดไปแบบนั้นนะครับ ขอขยายความเพิ่มเติม

Ethics หรือจริยศาสตร์นั้น ตัววิชาเองเป็นนามธรรมจริง เพราะมันเกี่ยวกับ "คุณค่า" ของสิ่งที่จับต้องไม่ได้ เช่น ความดี เป็น "ตัวอย่างหนึ่ง" ที่ AR น่าจะทำความเข้าใจได้ แต่ไม่ได้การันตีถึงขนาด AR แปลว่าเป็นคนดีเสมอไปอะไรทำนองนั้น เพราะ "ความชั่ว" หรือ "ความเลว" AR ก็จะ get เหมือนกัน สุดท้ายมันจะอยู่ตรงที่ choices หรือทางเลือกครับว่าจะเดินทางไหน

ในขณะเดียวกัน CS ก็สามารถเข้าถึง ethics ได้ครับ แค่ดัดแปลงนิดเดียวเช่น ถ้าคุณคิดว่าคนไข้มีสิทธิ์ส่วนบุคคลเท่าๆกับคุณ แปลว่าเขามีสิทธิ์ในการเลือกทำนู่นทำนี่ได้อย่างที่คุณเองอยาก หรือหลักการแห่งความยุติธรรมนี้ก็ง่ายที่จะแปลเป็น concrete concept

Science เฉยๆนั้นกว้างครับ และเป็นได้ทั้ง abstract หรือ concrete ยกตัวอย่างเช่น gross anatomy นี่เป็น concrete เห็นๆเลยใช่ไหมครับ แต่ลง histology, embryology ยิ่งลงไปถึง immunology, signal transduction, genetics มันค่อยๆกลายเป็น abstract มากขึ้นเรื่อยๆ แต่พวกวิชาเหล่านี้เอาเขียนเป็น diagram ปุ๊บ จาก abstract สุดๆก็กลายเป็น concrete ใหม่ ให้ CS ได้เรียนได้เหมือนกัน

จากอันนี้เป็นวิธีที่เราสามารถจะปรับวิธีการเรียนที่เราถนัดให้เข้ากับเรื่องอะไรก็ได้ครับ สามารถเป็นการแก้ปัญหาการเรียนได้ ดดยเพาะอย่างยิ่งถ้าเรารู้ว่าที่เราไม่ชอบหรือเกลียดบาววิชา (ถ้าไม่ใช่เกลียดอาจารย์) อาจจะเป็นเพราะเนื้อหามันไม่ตรงกับ styles เรา ก็จะได้ปรับได้ ให้ผ่านไปได้ดีขึ้น ไม่ทรมานเหมือนตะก่อนครับ

OK ไหมครับ



Posted by : Phoenix , Date : 2004-08-26 , Time : 16:24:20 , From IP : 172.29.3.62

ความคิดเห็นที่ : 21


   คิดว่าหนักไปทางAR (ไม่รู้ว่าย่อมาจากอะไร) เวลาเรียนหมอมีปัญหามากเพราะ ตำราส่วนใหญ่จะเขียนให้ cs กับ as อ่านแล้วเข้าใจง่าย
จะทำอย่างไรดี แล้วในสังคมนศพ.เหมือนarจะโดนกดอยู่ใต้cs as และ cr อยู่ตลอด


Posted by : . , Date : 2004-08-29 , Time : 00:56:22 , From IP : p119-rasbkkSP3.C.csl

ความคิดเห็นที่ : 22


   AR = Abstract/Random ครับ

ที่ตำราส่วนใหญ่ "ดูเหมือน" จะเขียนให้ AS หรือ CS อ่านง่ายนั้นมันเป็นผลพลอยได้น่ะครับ AS, CS, AR, CR เป็น learning styles หรือเป็น "ขาเข้า" ของข้อมูล เพียงแต่ว่า "ขาออก" นั้นมันมักจะง่ายถ้าออกเหมือนๆกับเข้า ทีนี้ AR กะ CR นี่โดยความถนัด เขาไม่ค่อยชอบอะไรที่เป็น structure ดังนั้นถ้าจะเขียนตำราเป็นเล่มยาวๆให้เป็น structure ก็คงจะฝืนใจ ก้เลยดูคล้ายๆมีแต่ตำราให้ AS, CS อ่าน

แต่การอ่านตำราเผอิญก็ไม่ใช่ bread & butter ของ AR อยู่แล้ว AR ชอบข้อมูลที่มาหลากหลาย และข้อสำคัญมาจากสิ่งมีชีวิตยิ่งดี ไม่ว่าจะเป็น live discussion หรือการดู video, chat, etc เอกสาร academic สำหรับ AR อาจจะเป็นพวก journals (มีหลายเรื่องในเล่มเดียว) หรือ archieves, proceedings, Letters พวกนั้น แต่แค่นี้ก็เยอะแล้วนะครับ ถ้าจบระดับหลังปริญญาก็จะไม่ค่อยได้อ่าน textbook อยู่แล้ว ต้องหันไปอ่าน journals แทน ถึงตอนนั้นก็จะหาหนังสืออ่านง่ายขึ้น

ไม่ค่อยเข้าใจ term "สังคม นศพ." และการ "โดนกด" เท่าไหร่นะครับ สงสัยจะ abstract เกินสำหรับผม (AS) AR สามารถที่จะ "ให้" อะไรๆแก่กลุ่มอย่างมีสีสันมาก และจริงๆ AR จะเป็น trait เดียวที่เน้น emotional perception ดังนั้นเรื่องการเข้ากับเพื่อน รู้ใจเพื่อน ละเอียดอ่อนนี่ ไม่มีใครกิน AR ได้



Posted by : Phoenix , Date : 2004-08-29 , Time : 02:36:43 , From IP : 172.29.3.221

ความคิดเห็นที่ : 23


   ARเรียนhappyก็ได้น๊ะ และน่าจะไปได้ดีในรูปการของPBLเพราะARต้องการมากคือการdiscussionเพื่อต่อยอดความคิดตนเองที่คิดไม่เคยเสร็จเสียที แต่จะมีอึดอัดบ้างเพราะมีกรอบเวลามาบังคับให้คิดให้เสร็จเร็วๆให้ทันเวลา
แต่ข้อเสียที่ARที่คิดไม่เคยเสร็จก็คืออาจทำให้เป็นทุกข์กับการทำข้อสอบMCQที่เลือกchoiceไม่เคยแม่นเสียทีมัวแต่ลังเลคิดไม่ตกเช่นกัน เพราะฉนั้นถ้าจะให้แม่นเวลาใกล้สอบ ต้องพยายามท่องลูกเดียว แบบconcreteไปเลย ไม่ต้องถามว่าทำไมต้องจำเป็นข้อนี้ ต้องบังคับตนเองจ้า
ถ้าเป็นข้อสอบMEQสบายมากอันนี้เป็นของเรา แต่ก็ต้องฝึกเขียนบรรยายแบบที่มีหลักการ และsequenceสักนิดนะก็จะดี perfect
ขึ้นward ยิ่งมันส์นะไอ้การเรียนข้างเตียงเนี่ยข้อมูลจะมาแบบrandomน่าดูเลย ถูกใจเขาหล่ะ คนไข้ก็จะรักเขาเพราะเขาจับอารมณ์คนไข้ได้เก่ง ฟังแล้วคลายทุกข์ลงได้หน่อยไหมจ๊ะ


Posted by : pisces , Date : 2004-08-29 , Time : 18:17:27 , From IP : 172.29.3.242

ความคิดเห็นที่ : 24


   ทีว่าARโดนกดนั้นเพราะเพื่อนบางคนชอบพ่น
ความรู้ที่จำได้ออกมาเป็นตับ
เหมือนtextมากเท่าไรสังคมจะชื่นชมว่าพุดเยอะพูดเก่ง


Posted by : m , Date : 2004-09-06 , Time : 00:50:32 , From IP : 172.29.3.198

ความคิดเห็นที่ : 25


   สังคมนั้นเราก็อยู่ในนั้นด้วยไม่ใช่หรือครับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งใน PBL นั้น สังคมมันก็แค่ 12-13 คน ทุกๆคนน่าจะมีส่วนต่อผลรวมว่าเราอยากจะให้สังคมเป็นอย่างไรก็น่าจะแสดงออกมาตอนนั้นได้

ถ้าเราคิดว่าการพูดเหมือน text ออกมานั้นไม่ดีต่อการเรียน PBL หน้าที่ "ต่อสังคม" หรือ "ต่อกลุ่ม" ในขณะนั้นก็คือเสนอข้อตกลงหรือพยายามนำเสนอในส่วนของเราในรูปแบบที่เราคิดว่าดีและมีประโยชน์ จริงๆแล้วข้อมูลข้างต้นที่เราทำแบบสอบถามไป AR นั้นมีค่อนข้างเยอะมากจนไม่น่าจะถึงกับเป็นชุมชนส่วนน้อย แต่ว่าคนที่ชอบ manipulate กลุ่ม ขอเพียงมีแค่คนเดียวและกอปรกับกลุ่มไม่ทำอะไร ผลก็อาจจะถูกคนส่วนน้อยดึงหรือดันไปในทางที่ต้องการได้

ไม่ทราบว่าอีกทางเลือกหนึ่งก็คือการไม่คิดว่า "สังคม" เหมือนอะไรสักอย่างที่เราไม่มีบทบาท อาจจะสนุกกว่าไหมถ้าการอยู่ในสังคมโดยการมี contribution และมีส่วนร่วม มีความรับผิดชอบต่อสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่บ้าง เราอาจจะมีทางออก ทางแก้ไข ที่หลากหลายมากขึ้น



Posted by : Phoenix , Date : 2004-09-06 , Time : 01:12:11 , From IP : 203.156.42.239

ความคิดเห็นที่ : 26


   งง-ขออีกที

Posted by : m , Date : 2004-09-06 , Time : 15:11:24 , From IP : 172.29.3.227

ความคิดเห็นที่ : 27


   OK ครับ ลองอีกแบบนึง

เวลาที่เราเลือกใช้คำว่า "สังคมคิดยังงี้ คนส่วนใหญ่คิดยังงี้ ส่วนมากว่ายังงี้ ฯลฯ" นั้น บางทีเป็นการ stereotyping หรือการตีความรวบรัดไปเองได้ เพราะว่าเวลาแต่ละปัจเจกบุคคลพูดนั้น ผม "เชื่อ"ว่าเราไม่ค่อยได้มีข้อมูลเพียงพอที่จะบอกว่าความเห็นที่พึ่งว่าไป สนับสนุนโดยคนสักกี่มากน้อย แต่ที่เราเลือกใช้คำชุดที่ว่า (สังคม ส่วนใหญ่ ส่วนมาก ฯลฯ) เพราะสองเหตุผลคือ ๑) แยกตัวเองออกจากความรับผิดชอบในความเห็นนั้น และ ๒) เพิ่ม credibility ของเนื้อหาโดยใช้ "ปริมาณ" คนเชื่อเข้าว่า

กลับไปที่บทความใหม่นะครับ
ทีว่าARโดนกดนั้นเพราะเพื่อนบางคนชอบพ่น
ความรู้ที่จำได้ออกมาเป็นตับ
เหมือนtextมากเท่าไรสังคมจะชื่นชมว่าพุดเยอะพูดเก่ง


ตรงที่ว่า "สังคมจะชื่นชมว่าพูดเยอะ พูดเก่ง" นี้เป็น exaggerating point จากความเห็นส่วนตัว ซึ่งสามารถมองได้หลายด้าน เช่น
๑) เพราะ "สังคม" คิดยังนี้ ถึงแม้มันฟังดูไร้เหตุผล ก็ไม่ใช่เพราะฉันคิดผิด"
๒) เพราะ "สังคม" คิดยังงี้ เราตกอยู่ในฐานะจำยอม เพราะใครเลยจะฝ่าฝืนสังคมได้
๓) จริงๆแล้ว "ฉัน" คิดยังงี้ แต่เพื่อความหนักแน่นของ credibility คำว่า "สังคม" จะดูดีกว่าใช้คำว่า "ฉัน"
๔) จริงๆที่เขายอมรับคนที่พูดมากนั้น ไม่ใช่เป็นเพราะพูดมาก แต่เพราะ "เหตุผลเข้าท่า" แต่ถ้าเราว่ายังงั้น และเผอิญเราไม่เห็นด้วย มันก็จะเกิดการเสีย self ขึ้น ดังนั้นการบอกว่าที่เขายอมรับสิ่งที่หมอนั่นพูดเป็นเพราะ "พูดเก่ง" จะให้ความรู้สึกดีกว่าการที่บอกว่าหมอนั่น "พูดถูก มีเหตุมีผล" เพราะจะเป็นการยอมรับกลายๆว่าเราเองที่ไม่มีเหตุผล

แต่อีกมมุมที่ผมวิจารณ์ในตอนท้ายก็คือ ในสังคมกลุ่มย่อยของ "PBL system" นั้น ไม่น่าจะมีการ manipulate โดยสังคมได้ง่ายๆ เพราะสมาชิกมีแค่สิบกว่าคน ถ้ามีการปล่อยให้มีการ Manipulate group ได้ แสดงว่าสมาชิกค่อนข้างจะ passive และกลัวการ confrontation ถ้าเราเป็นหน่วยหนึ่งของสังคมนั้นๆ และเรารู้สึกว่าสังคมที่เราอยู่ ไม่ควรจะนับถือหรือเชื่ออะไร เพียงเพราะพูดเยอะพูดมาก จริงๆแล้วควรจะเป็นหน้าที่ของเราในฐานะส่วนหนึ่งของสังคมย่อยนี้ ได้ดำเนินไปในทางที่เราคิดว่าดีกว่าหรือไม่? ถ้าใช่ ควรจะทำอย่างไร?



Posted by : Phoenix , Date : 2004-09-06 , Time : 23:55:02 , From IP : 203.156.46.28

ความคิดเห็นที่ : 28


   เป็นธรรมดาที่ARจะsenseไวต่ออารมณ์ ความรู้สึก และรู้สึกว่าด้อย น้อยใจง่ายหรือเหมือนว่าจะ โดนตำหนิอยู่เรื่อยๆ เพราะเราไวต่อการจับความรู้สึกตนเองและผู้อื่น แต่ว่าเราต้องมั่นใจและภูมิใจในสิ่งที่เราเป็นและพยายามฟังเพื่อนที่พ่นออกมาเป็นตับให้มากๆ เราจะได้ความรู้ไปด้วย พยายามเปลี่ยนวิกฤติให้เป็นโอกาสงัย ส่วนคำสร้อยอื่นๆ คือคำชมที่คนอื่นให้เพื่อนเราหน่ะ สนใจได้ แต่ต้องพึงรู้ว่า ทุกคนก็มีดีในแบบฉบับของตน เราก็มีดี แต่ไม่เด่นในสถานการณ์นี้ แต่ถ้าลองเป็นเรื่องcreativityหรือการแสดง การละคร หรืออะไรที่ต้องการการแหวกแนวสร้างสรรค์ หรือdiscuss เรื่องอารมณ์ การเห็นใจผู้อื่น ความดี.....หล่ะก็ต้องเรา เวทีนั้นเป็นของเราแน่นอน แต่เพื่อนแบบCS,ASอาจไม่รับเราอีก ก็ไม่ต้องน้อยใจ เพราะเรานั้นต่อสู้ทางความคิดไม่เก่ง อธิบายไม่เป็นเหตุเป็นผลอีกต่างหาก เพราะฉนั้น อาจต้องรอจังหวะเก็บข้อมูลคนอื่นไปก่อนและเวลา ที่เพื่อนๆตัน และเหนื่อยที่จะคิดแล้ว ตอนนั้นแหละเราค่อยเสนอ

Posted by : pisces , Date : 2004-09-07 , Time : 07:13:12 , From IP : 172.29.3.208

ความคิดเห็นที่ : 29


   ขอบคุณ คุณpiscesมาก ทำให้มีกำลังใจมากขึ้น
คุณ Phoenix ทิ้งคำถามlสุดท้ายไว้ อยากให้มาเฉลยด้วย

ดีใจที่มีอาจารย์แพทย์อย่างคุณทั้งสอง


Posted by : . , Date : 2004-09-11 , Time : 17:51:37 , From IP : p62-rasbkkSP5.C.cslo

ความคิดเห็นที่ : 30


   ไม่อยากเรียกว่า "เฉลย" เอาเป็นแสดงความเห็นก็แล้วกัน

ถ้าเราเป็นหน่วยหนึ่งของสังคมนั้นๆ และเรารู้สึกว่าสังคมที่เราอยู่ ไม่ควรจะนับถือหรือเชื่ออะไร เพียงเพราะพูดเยอะพูดมาก จริงๆแล้วควรจะเป็นหน้าที่ของเราในฐานะส่วนหนึ่งของสังคมย่อยนี้ ได้ดำเนินไปในทางที่เราคิดว่าดีกว่าหรือไม่? ถ้าใช่ ควรจะทำอย่างไร?


เอาเป็นว่ามีส่วนก็แล้วกันนะครับ ไม่ทราบว่ามากน้อยแค่ไหน จะได้เลยไปตอบคำถามที่สอง

ตรงนี้มี term ที่เรียกว่า democratic dictatorship นั่นคือสังคมที่ถูก manipulated โดยเสียงส่วนใหญ่ ในทางปฏิบัติอาจจะ "ไม่ใช่" เสียงส่วนใหญ่ตามนิยามของคณิตศาสตร์ แตเป็น "เสียงดัง" แทน ในกรณีหลังนี้ เราอาจจะพบบ่อยในสังคมที่สมาชิกค่อนข้าง passive ได้แก่ หัวอ่อน ไม่อยากมีเรื่อง ไม่อยากทะเลาะ ยังไงก็ได้ ไม่แน่ใจในตนเอง ไม่เข้าใจในสิทธิของตนเอง ไม่ตระหนักถึงผลตามถ้าไม่ใช้สิทธิของตนเอง มองการณ์สั้น ไม่ทราบข้อมูลเลยไม่รู้จะพูดอะไร เป็นต้น พิจารณาถึงสิ่งที่เราเผชิญในสังคมเล็กๆของเรา ผมห็นว่าเราเผชิญกับแบบหลังนี้บ่อยกว่า เพระกว่าจะได้แบบแรกมามันยุ่งยาก ต้องทำ referendum ต้องทำประชาพิจารณ์ และคนต้องออกมาให้ความเห็นมากกว่ากึ่งหนึ่งของประชากร ยิ่งใกล้ร้อยเปอร์เซนต์ยิ่งดี

ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะสังคมตะวันออกเน้นที่การถ่อมตน คมในฝัก น้ำนิ่งไหลลึก อะไรทำนองนั้น แต่ยุคนี้เป็นยุคของการสื่อสาร ยุคของการ manipulate mind โดย information ยุคแห่งโฆษณา คนที่เสียงดัง คนที่ aggressive จะมีโอกาสดันความเห็นออกสู่ public ได้มากกว่า บวกกับการที่มีสมาชิก passiveเยอะๆ ไม่มีใครอยากมีเรื่อง ต่างถนอมตัว ตราบใดที่ไม่โดนด้วยตนเองก็ยังไม่ใคร่อยากจะยุ่ง ไม่แปลกที่ "สังคมเล็กๆ" จะถูกผลักดัน หรือ bullied ได้ทางเทคนิค ข้อมูลข่าวสารหรือค่านอยมอะไรบางอย่าง ถ้าเราปล่อยนิ่งเฉยเสีย ไปเรื่อยๆ มันกลายเป็น norm มันกลายเป็นดี และอีกหน่อยมันกลายเป็นวัฒนธรรมไป ยกตัวอย่างที่ยกมานับครั้งไม่ถ้วน คือการใส่หมวกกันน็อคที่หน้าประตูโรงพยาบาล การที่เราปล่อยให้มเรื่องนี้เป็นแค่ gesture คือใส่มาตะเบ๊ะยามเพื่อให้ได้เข้า หลังจากนั้นไม่กี่สิบเมตรลับหลังก็ถอดออก มันกลายเป็น norm จุดประสงค์แรกเริ่มก็ลืมหายไป กลายเป็นตั๋วเข้าประตู หรือมาทำความเคารพยากก่อนเข้า รพ. เท่านั้น อื่นๆที่ อาจจะกลายเป็นเรื่องปกติได้คือ การดูถูกเหยียดหยามผู้ใหญ่ ล่วงเกินบุรพการีครูบาอาจารย์ การไม่ care สังคม เพราะ virtual reality มันกลายเป็น reality สำหรับชนรุ่นใหม่ superego หรือ มารยาทสังคมไม่จำเป็นอีกต่อไป

แล้วจะทำอย่างไร?

สังคมที่ดีไม่มีซื้อหาครับ ต้อง "ช่วยกัน" สร้างอย่างเดียว คนในสังคมดันไปทางไหนก็ไปทางนั้น ถ้าเรา Passive มากๆ คนที่ดันก็คือคนที่ aggressive กว่า เสียงดังกว่า ถ้าดันโดยมี morality ethics duty อยู่เบื้องหลังก็จะดี แต่ถ้าดันโดยมี less than perfect motivation ผลก็จะออกมาตามหลักการที่ดันนั้นๆ มีคนแสดงความเห็นออกมาแล้วว่าความเห็นบนนี้ไม่เกี่ยวกับคนแสดงความเห็น เป็นแค่โลกปลอมๆ ผมไม่เห็นด้วย กลับมองเป็นว่านี่แหละคือโลกจริงๆของคนๆนั้นที่ไม่มี social manner ควบคุม ความเห็นนี้ shared โดยตำรวจสากล เพราะมีการจับ Big Ring of Internet Child Pornography มาหลายต่อหลายครั้งในรอบปีที่ผ่านมา มีทั้ง professor banker doctor คนที่มีหน้าที่การงานหน้าตาในสังคม แต่มี sick mind สะสมรูปลามกอนาจารของเด็ก ใช้ชื่อปลอม อยู่ใน internet ตำรวจไม่คิดว่าพวกนี้ปลอดภัย หรืออยู่ใน virtual world หรอกนะครับ พวกนี้พัฒนา norm ใหม่เพราะการคลุกคลีกับภา วัฒนธรรมใหม่ในโลก internet มันทำให้ shape ความคิดได้

ผมว่าคนในสังคมต้อง active ขึ้นครับ ต้องตระหนักว่ามนุษย์เป็นสัตว์สังคม และ "เรา" อยู่ในสังคมนั้นๆ ไม่ว่าจะขนาดเล็กเท่า PBL group หรือใหญ่เท่าประเทศ ถ้าเราเคยถูกอบรมว่าว่าอย่างนี้ดี อย่างนี้เป็นมงคล อย่างนี้ effective อย่างนี้ถกต้อง แล้วเราเห็นอะไรที่ตรงกันข้ามเราควรจะเปิดอกมาอภิปรายกันอย่าง civlized อย่าง mature อย่าง positive ไม่นั่งนอน passive ไปวันๆ เราจะมีความแตกต่างกันเยอะมากเพราะ Individual แต่เราต้องสามารถสื่อสารและอยู่กับความต่างดีได้โดยสังคมเราอยู่รอดได้ เราต้องตระหนักว่าเรื่องวนี้เป้นเรือ่งใหญ่ และสำคัญมาก ต่อตัวเรา ต่อคนที่เรารัก ต่อครอบครัว ดังนั้นมันไม่ใช่เรื่องที่จะนั่งชมอยู่ไกลๆ เพราะเราจะถูกกระทบแน่นอนครับ ไม่ทางตรงก็ทางอ้อม ลูกเราก็จะโตมาในสังคมอันใกล้นี้แหละครับ เราอยากจะให้เขาอยู่ในสังคมที่มีการ manipulated โดยคนเสียงดัง ไม่ใช้เหตุผล กักขละ ใช้ภาษากเฬวรากแล้วคนเชื่อ คนไม่กล้าหือ หรืออย่างไร ผมว่าทุกๆคนต้องมีส่วนรับผิดชอบตรงนี้เหมือนกันหมด

นั่นเป็นความเห็นส่วนตัวครับ ถูกหรือผิด อีกเรื่องนึง




Posted by : Phoenix , Date : 2004-09-11 , Time : 18:48:07 , From IP : 203.156.47.221

ความคิดเห็นที่ : 31


   อาจารย์คะรบกวนขอแบบทดสอบวัด Learning style ต้องการจริง ๆ ค่ะ ขอบคุณค่ะ

Posted by : นิสิตป.โท , E-mail : (koong_nk@hotmail.com) ,
Date : 2005-11-02 , Time : 13:08:47 , From IP : kuwin-134-29.kuwin.k


ความคิดเห็นที่ : 32


   แบบทดสอบของ gregorc ที่ใช้นั้น ไม่ได้ผ่านการแปลแบบ official (ซึ่งมีกระบวนการวิจัยมาเกี่ยวข้องในการ validate ว่าใช้ได้ซะก่อน) ฉะนั้นนำมาใช้เป็น reference วิทยานิพนธ์อาจจะเป็นปัญหาได้ครับ เพราะเครื่องมือนี้จะเป็น "เครื่องมือเถื่อน" แถม Gregorc learning styles ที่เป็น original book ก็ขายหมดไปจากตลาดแล้ว (ที่แน่ๆคือ search ครั้งล่าสุด Amazon ไม่มีใน stock)

มีแบบทดสบ learning styles ชนิดอื่นๆที่ publish แบบทั้งสากลและสาธารณะ และแบบ copyright ที่ต้องเสียเงินก่อนนำมาใช้ "ทุกครั้ง" เพราะมันมีค่า premium ในการคิดค้น แต่ก็อีกเช่นกัน แบบทดสอบเหล่านี้ถึงแม้จะเป็นแบบฟรี ก็ต้องบผ่านขั้นตอน validate เหมือนกัน เพราะมันมาจากการศึกษาพฤติกรรมที่ backgroumd culture ของคนแต่ละประเทศมันต่างกัน ยกตัวอย่างคำว่า spiritual ของฝรั่งและไทยก็แปลความออกมาได้ห่างไกลมาก

ผมแนะนำให้น้องปรึกษาอาจารย์ที่ปรึกษาก่อนดีไหมครับ ว่าเราจะใช้เครื่องอะไร แบบไหนดี เอาไปใช้กับ researcfh question อะไร โดยทั่วๆไปผมคิดว่า tool ที่จะนำมาใช้มันต้อง validated ก่อน มี references อะไรต่อมิอะไรพอสมควร



Posted by : Phoenix , Date : 2005-11-02 , Time : 20:40:09 , From IP : 58.147.68.148

ความคิดเห็นที่ : 33


   ขอบคุณอาจารย์มากค่ะที่ให้คำแนะนำที่ดี หนูขอตัวอย่างแบบทดสอบ Learning styles ชุดนี้ไปให้อาจารย์ดูก่อนได้ไหมคะ เผื่อว่าท่านอาจารย์ของหนูจะให้คำแนะนำเพิ่มเติมได้อีกเช่นกัน เนื่องจากว่าหนูเสนออาจารย์ไปแล้วและอาจารย์อยากเห็นค่ะ ช่วยหนูด้วยนะคะขอบคุณค่ะ

Posted by : นิสิตป.โท , Date : 2005-11-09 , Time : 16:42:20 , From IP : 203.148.138.67

ความคิดเห็นที่ : 34


   ติดต่อขอไปที่หน่วยกิจการนักศึกษา ชั้น 7 อาคารแพทยศาสตร์ ถามคุณมัลลิกาครับ ตอนนี้ที่ผมไม่มีทั้ง digital hard copy



Posted by : Phoenix , Date : 2005-11-09 , Time : 18:45:20 , From IP : 58.147.51.108

ความเห็นจาก Social Network : Facebook


สงวนสิทธิ์การแสดงความคิดเห็นสำหรับ สมาชิกเท่านั้น
>>>>> Page loaded: 0.014 seconds. <<<<<