ความคิดเห็นทั้งหมด : 35

ระหว่างคนที่รัก กับคนที่คุณคิดว่าอยู่ด้วยอย่างมีความสุข คุณอยากแต่งงานกับใคร ถ้ามันคนละคนกัน


   ระหว่างคนที่รัก กับคนที่คุณอยู่ด้วยอย่างมีความสุข คุณอยากแต่งงานกับใคร ถ้ามันคนละคนกัน

Posted by : ไม่บอก , Date : 2004-08-19 , Time : 13:04:24 , From IP : 203.152.2.88

ความคิดเห็นที่ : 1


   สงสัยว่าทำไมอยู่กับคนรักถึงไม่มีความสุข และทำไมไม่รักคนที่เราอยู่ด้วยแล้วมีความสุข?



Posted by : Phoenix , Date : 2004-08-19 , Time : 13:37:26 , From IP : 172.29.3.104

ความคิดเห็นที่ : 2


   ตอบไม่ได้ เพราะมันขึ้นกับจิตใจแต่ละคน คนที่คุณรัก จะมั่นใจอย่างไรว่าเป็นคนดี โดยเฉพาะเสือผู้หญิง เพราะคุณจะไม่มีวันรู้ใจเขาได้ จนกว่าคุณจะสูญเสียทุกอย่างแล้วที่เขาตัองการ เขาจึงจะออกลาย เสือผู้หญิงไม่มีวันแสดงว่าเขามีแฟนสองคนพร้อมกัน เขาจะมีทีละคน แล้วหาโอกาสเลิกเมื่อเกิดความเบื่อ เพราะเขาชำนาญในการเลิกลาอยู่แล้ว คนที่อยู่ด้วยแล้วมีความสุข รู้ได้อย่างไรละ
แต่อย่างไรก็ตาม อย่าไปหลอกใคร หาตัวสำรองเก็บไว้ ถ้าคุณตัดสินใจไม่ได้ เพราะคนเรามักมีแต่ความเห็นแก่ตัวเป็นที่ตั้ง ต้องรู้จักรับผิดชอบในจิตใจของคนอึ่นเสมึอนจิตใจของตัวเองเสมอ ชีวิตจึงจะสงบและมีความสุขที่แท้จริงได้ ส่วนตัวไม่คิดว่า รูป รส กลิ่น เสียง มันจะจิรังยั้งยึน เพราะมันคึอ กิเลสของมนุษย์นั่นเอง


Posted by : คนโง่ , Date : 2004-08-19 , Time : 15:49:21 , From IP : 172.29.3.187

ความคิดเห็นที่ : 3


   เวลาอยู่กับคนที่รักมันก็ต้องมีทั้งสุขและทุกข์ปนกันไป เวลาทุกข์ก็ทุกข์ถึงที่สุดบางครั้งถึงกับคิดว่าทำไมมันต้องเป็นแบบนี้ ถ้าไม่มาเจอกันไม่มารักกันคงจะดีกว่านี้ แต่เวลาสุขมันก็สุขที่สุดเหมือนกัน บางที่ช่วงเวลาแห่งความทุกข์มันมากกว่าสุขเสียอีก แต่อย่างไรเสียก็สุขใจที่ได้อยู่ด้วยกัน เพราะถ้าต้องจากกันแล้วมันคงจะหาความสุขไม่ได้อีกเลยในชีวิตนี้ รวมๆแล้วสุขที่ได้อยู่กับคนที่เรารักมากกว่าอยู่กับคนที่รักเราแต่เราไม่รักเขาแน่นอน

Posted by : mandy , Date : 2004-08-19 , Time : 19:25:08 , From IP : ppp-210.86.223.221.r

ความคิดเห็นที่ : 4


   เลือกแต่งงานกับคนหลัง เพราะคนแรกดูเหมือนรักเพราะเกิดจากรักทางกามารมณ์เนื่องจากรักจริงแต่ดูเหมือนไม่ค่อยมีความสุข รักแบบนี้จะหวือหวาขึ้นลงเร็ว ไม่ฝ่ายใดก็ฝ่ายหนึ่งอาจจะมีปัญหาได้ในอนาคต แต่คนหลัง ไม่ยอมบอกว่ารักไหมแต่บอกว่ามีความสุขที่อยู่ด้วยกัน แสดงว่าในใจส่วนลึกน่าจะมีรักอยู่ แต่รักแบบนี้จะเกิดช้าแต่อยู่นานคงทนกว่า คิดว่ารักแบบนี้ควรจะเป็นรักแบบอบอุ่นสำหรับคนที่อยากจะมีครอบครัวที่อยู่กันยาวนานแบบมีความสุข แต่ที่พูดนี้เป็นการพูดแบบมีหลักการ แต่อาจจะผิดก็ได้ ขึ้นกับผู้ที่โพสกระทู้นี้จะตัดสินใจเอง แต่เรื่องแบบนี้ต้องรอบคอบมากเพราะถ้าผิดพลาด ก็แก้ไขไม่ได้อีกแล้ว โดยเฉพาะคนไทย ถือเป็นเรื่องเสื่อมเสียน่าอาย ถ้าเกิดปัญหาในชีวิตคู่ในอนาคต

Posted by : พหูสูตร , Date : 2004-08-19 , Time : 22:46:31 , From IP : 172.29.3.232

ความคิดเห็นที่ : 5


   แล้ว "จริงๆ" การเกิดปัญหาในชีวิตคู่ "ควร" เป็นเรื่องเสื่อมเสียน่าอายหรือไม่? น่าคิดเหมือนกันนะครับ

ผมเห็นด้วยกับที่มีคนประเมินว่าเรา "ไม่สามารถ" จะรู้ใจใครสักคนได้อย่างถ่องแท้ แม้ว่าจะใช้เวลาอยู่ด้วยกันนานแค่ไหนก็ตาม ก็ในเมื่อ "ตัวเราเอง" บางครั้งยังทำอะไรๆที่เราเองต้องมานั่งประหลาดใจเสียใจภายหลังเลย ทั้งๆที่ก็อยู่ด้วยกันมาตั้งแต่เกิด!! นับประสาอะไรกับคนอื่น

ความผิดพลาด หรือปัญหานั้นเป็นของคู่กับชีวิต อาจจะขึ้นอยู่กับเราจัดการหรืออยู่กับปัญหาแต่ละอย่าง อย่างไรมากกว่าหรือไม่? ที่จะเป็นประเด็นสำคัญ

คนไทยนั้นมีความอ่อนไหวต่อความรู้สึกของสังคมมากทีเดียวนะครับ ในบางกรณีจนบางครั้งผมรู้สึกว่าน่าจะมีการขีดกั้นเส้นแบ่งระหว่างสิทธิการดำเนินชีวิตของเราเองกับธุระของชาวบ้านให้แยกจากกันบ้าง เรือ่งบางเรื่องก็จะ "ไม่ตึง" เกินไป ไม่ต้องถึงกับไม่แคร์ ไม่สนใจสังคมเลย แต่เอาหย่อนๆ เดินสายกลางซักหน่อย

บางทีการยอมรับความจริงของปัญหาที่เกิดขึ้น และจัดการไปตามเนื้อผ้า อาจจะมีคนมีความสุขมากขึ้นซะด้วยซ้ำ ชาวบ้านไม่ได้อาศัยและต้องอยู่กับเราตลอดเวลา ฉะนั้นเรื่องภายในบ้าน ภายในครอบครัวนั้นเป็นเรื่อง "ส่วนตัว" ของเรา คู่ครอง และลูก อย่างแน่นอน การจัดการให้เกิดผลดีมากที่สุดต่อคนเหล่านี้น่าจะสำคัญกว่า "ความรู้สึก" ของชาวบ้าน (ซึ่งเราก็ไม่รู้อยู่ดีว่าจริงๆเป็นยังไง แถมยังหลากหลายมากมายเอาใจใครไม่ถูก)

รึเปล่าก็ไม่แน่ใจเหมือนกันครับ



Posted by : Phoenix , Date : 2004-08-19 , Time : 23:01:53 , From IP : 172.29.3.197

ความคิดเห็นที่ : 6


   คิดว่าสำหรับคนไทยแล้วการแต่งงานซึ่งสุดท้ายลงเอยด้วยการหย่าร้างนั้น เป็นเรื่องน่าอายมากสำหรับสังคมไทย เพราะนี่คือเมืองไทยไม่ใช่ต่างประเทศ เราไม่สามารถฝืนหรือไม่แคร์สังคมรอบข้างเราได้ การหย่าร้างนั้น ผู้ที่เสียหายที่สุดก็คือฝ่ายหญิงเท่านั้น เพราะคุณค่าจะเสียไปเลย แทบจะไม่สามารถแต่งงานได้ในครั้งที่สอง เนื่องจากผู้ชายดีๆส่วนใหญ่จะไม่สนใจผู้หญิงที่เสียตัวไปแล้ว นี่พูดในความรู้สึกของคนไทยส่วนใหญ่ซึ่งอาจจะไม่ตรงกับความคิดเห็นของคนหลายคนก็ได้ แต่อย่าลืมนะ มีคำกล่าวเสมอในวงการกีฬาว่า คุณไม่สามารถไปฝืนความรู้สึกคนดูได้ แม้ว่าจริงๆแล้วความเห็นของคุณอาจจะถูกก็ได้

Posted by : พหูสูตร , Date : 2004-08-19 , Time : 23:16:24 , From IP : 172.29.3.232

ความคิดเห็นที่ : 7


   ผมคงไม่เถียงเรื่องสังคมไทยคิดว่าอย่างไรหรอกครับ เพราะผมไม่สามารถจะคิดแทนสังคมได้ เพียงยกประเด็นที่เป็น "ทางเลือก" ขึ้นมา ผมมีทฤษฎีแปลกๆเกี่ยวกับประชาพิจารณ์หลายเรื่องอยู่เหมือนกัน

สมมติว่ามีคู่สมรสที่พบว่าไม่สามารถจะทนอยู่ด้วยกันได้ด้วยสาเหตุอะไรก็แล้วแต่ ถึงขั้น "เป็นไปไม่ได้" ที่จะทน แต่ติดที่ห่วงโซ่ความเกรงสังคมคนนินทา ที่เหลือของชีวิตครอบครัวนี้เป็นทางออกที่ "ดีที่สุด" จริงหรือไม่? คนที่มีความสุขปกติ สงสัยจะเป็นคนรอบข้างที่คอยจับตาดูเท่านั้น แต่คนข้างในนั้นทำไปเพื่อใคร? สุดท้ายคดีหย่าร้างธรรมดา อาจจะกลายเป็นคดีฆาตกรรมแทน เรื่องการแยกกันอยู่ธรรมดา ก็กลายเป็นเรื่องบ้านเล็กบ้านน้อย เรื่องการแยกกันแล้วคบเป็นเพื่อนเป็นคนรู้จักกันต่อไปได้ก็กลายเป็น "ของฝรั่ง" บ้างก็จะกลายเป็นการสาดน้ำกรด จ้างมือปืนแทนไปกี่คดีก็ยากแก่การคาดเดา

เคยมีกระทู้ไม่นานมานี้เหมือนกันครับ ณ ที่นี้ อภิปรายกันว่าคุณค่าของผู้หญิงนั้นเสียหายไปเพราะหย่าร้างจริงหรือไม่ และที่ว่า "ผู้ชายดีๆ" ไม่สนใจผู้หญิงที่เสียตัวไปแล้วนี่น่าสนใจเหมือนกัน จิรงหรือครับว่านั่นคือคุณสมบัติของผู้ชายดีๆ? ผู้ชายดีๆควรจะสนใจความ intact ของเยื่อพรหมจรรย์ผู้หญิงและใช้เรื่องนี้มาตัดสินความสนใจ ความมีคุณค่าของผู้หญิงจริงหรือ?

ปกติเราใช้คำ "คนไทยส่วนใหญ่" หรือ "สังคม" แทนความคิดเห็นค่อนข้างเยอะนะครับ ถ้าเราลองวิเคราะห์ดูว่ามีกี่เปอร์เซนต์ที่ความเหบ่าเหล่านั้น "เป็นของเราเอง" และมีกี่เปอร์เซนต์ที่เราทราบแน่นอนว่าเป็นของคนส่วนใหญ่ ก็น่าสนใจอยู่ไม่น้อย อันนี้เป็นคำถามทาง academic เฉยๆ เผอิญวันนี้นั่งในที่ประชุมวิชาการนานไปหน่อย



Posted by : Phoenix , Date : 2004-08-19 , Time : 23:29:31 , From IP : 172.29.3.197

ความคิดเห็นที่ : 8


   อ้อ ลืมไป ที่กล่าวนี่ เป็นความเห็นเท่านั้นนะ ไม่มีการตัดสินว่าถูกหรือผิด ผู้หญิงที่ผ่านการหย่าร้างนั้น จริงๆแล้วอาจเป็นคนดีๆเยอะแยะไป แต่ที่หย่าเพราะอาจเกิดจากฝ่ายชายที่แย่หรือไม่ดีก็ได้ แต่เราไม่สามารถไปห้ามความคิดของคนรอบข้างได้ว่าเขาจะมองเราอย่างไร

Posted by : พหูสูตร , Date : 2004-08-19 , Time : 23:34:20 , From IP : 172.29.3.232

ความคิดเห็นที่ : 9


   เออ ดูที่คุณphoenix เขียนตอนต้น ก็เห็นด้วยนะ ที่ว่า รักแต่ไม่มีความสุข และไม่รู้ว่ารักไหมแต่มีความสุข ดูคนที่โพสกระทู้นี้ น่าจะมีความสับสนในตัวเองมากทีเดียว ถ้าให้เดา ก็คือน่าจะตัดสินใจไม่ได้ว่าเลือกใคร และไม่รู้ตัวเองด้วยว่ารักคนที่สองหรือไม่ แบบนี้คิดว่าคุณอยู่ในสถาณการณ์ที่ลำบากในการตัดสินใจ ถ้าเป็นตัวเองจะตัดสินใจรอดูต่อไปก่อน รีบร้อนไม่ได้ คงต้องใช้เวลาและความรอบคอบในการคิดและตัดสินใจ แต่คงต้องบอกตรงๆกับคนที่เราคบทั้งสองคนว่า ขอคบเฉยๆเป็นเพื่อน ไม่ได้คิดเป็นแฟน ถ้ารอไม่ได้ก็คงไม่ต้องคบกันต่อไป เพราะแสดงว่าฝ่ายนั้นไม่ให้โอกาสเราในการคิดพิจารณาเลย คุณ phoenix คิดอย่างไรละ

Posted by : พหูสูตร , Date : 2004-08-19 , Time : 23:55:05 , From IP : 172.29.3.232

ความคิดเห็นที่ : 10


   ผมคิดว่าการแต่งงานเป็นเรื่องสำคัญ และเป็นเรื่องใหญ่ของชีวิตครับ

ผมถือการพิธีแต่งงานนั้นเป็น "สัญญลักษณ์" อะไรบางอย่าง ที่เราสามารถจะให้ความสำคัญได้แตกต่างกันออกไปแล้วแต่บุคคล สำหรับตัวผมเองการแต่งงานเป็นการแสดงเจตจำนงค์อย่างไตร่ตรองรอบคอบแล้วว่าเรากำลังมีครอบครัว และผนวกกับการสัญญากลายๆต่อชุมชนที่มาร่วมงานว่าเรากำลังเป็นหน่วยหนึ่งของสังคม ที่เรามีความรับผิดชอบ และจะทำหน้าที่นั้นให้ดีที่สุด

ฉะนั้นผมเห็นด้วยถ้ามีใครบอกว่าการแต่งงานเป็นเรื่องของ "ผู้ใหญ่" ที่ mature แล้วอย่างหนึ่ง และไม่เห็นด้วยกัยการผกผันสมการนี้คือการที่เด็กบางคนรีบแต่งงานแล้วจะบอกว่าเขาจะกลายเป็นผู้ใหญ่ชั่วข้ามคืน

ดังนั้นองค์ประกอบของการแต่งงานของผมคงจะประกอบด้วย "ทั้งคู่" สามารถใช้วิจารณญาน (บวกอารมณ์โรแมนติก บวกรัก บวก ฯลฯ) และต้องไม่ลืมว่า package ของงานนี้มักจะหมายถึงชีวิตบริสุทธิ์ที่จะกลายเป็นภาระสำคัญมากของคู่สมรสคือลูกด้วย ถ้าคู่แต่งงานคู่ไหนยังไม่สามารถคิดเลยไปถึงอนาคตเหล่านี้ได้ ผมเห็นด้วยกับระบบการ "รอก่อน" เพราะบางครั้งอารมณ์วัยรุ่นมันเหมือน puppy love ครับ คือดันโดนฮอร์โมนอย่างเดียว (หยาบๆคือเหมือนติดสัด) หรือคิดวนเวียนแต่เรื่องคนสองคน ที่ยิ่งร้ายคือของแค่คนเดียว คือ เราจะได้อะไร

แต่นั่นเป็นชีวิตของผมเองครับ คนอื่นคงจะมี version ความหมายที่แตกต่างกันออกไปอีกเยอะแยะ ก็ไม่เป็นไรครับ Principle of Autonomy



Posted by : Phoenix , Date : 2004-08-20 , Time : 00:10:18 , From IP : 172.29.3.197

ความคิดเห็นที่ : 11


   อืม เห็นด้วยนะ รักอย่างเดียวไม่ทำให้ชีวิตราบรื่นแน่นอน มันเหมือนติดสัดอย่างที่คุณ phoenix พูดจริงๆ sexไม่ได้ทำให้ชีวิตมีความสุขอย่างแน่นอน เพราะมันจะตื่นเต้นเร้าใจ รักและสนุกในระยะแรกเท่านั้น แต่ชีวิตคู่มันเหมือนลงเรือลำเดียวกัน ต้องอยู่ด้วยกันตลอดไป การจะประคองเรือให้รอดจนถึงฝั่ง มันต้องอาศัยองค์ประกอบหลายอย่างจริงๆ ความรักอย่างเดียวเหมือนโรมิโอกับจูเลียต คงเป็นแค่puppy love มากกว่า ความเข้าใจ ห่วงใย ความรักที่เขามีให้กับเราอย่างซื่อสัตย์ รวมทั้งองค์ประกอบอื่นๆอีกมากมายแม้กระทั่งการดำรงชีวิตอยู่ในสภาพเศรษฐกิจที่รุมเร้าอย่างมากในขณะนี้ ก็เป็นสิ่งที่ต้องคิดพิจารณาด้วย ถ้าลงเรือแล้วเรือเกิดล่มกลางทะเล ชีวิตคงไม่มีอะไรเหลือเป็นแก่นสาร การรีบร้อนตัดสินใจในเรื่องสำคัญที่สุดของชีวิต ก็คือการแต่งงาน มันน่าจะเป็นเรื่องที่ผิด ชีวิตโสดเรารอมาได้ตั้งนาน ทำไมถึงต้องรีบร้อนด้วย ไม่ว่าจะป็นวัยรุ่นหรือวัยดึก ก็น่าจะใช้สติให้มากๆ การตัดสินใจของเราไม่น่าจะถูกเร่งเร้าโดยคนรอบข้างหรือแม้กระทั่งคนสนิทที่เราคบด้วย เพราะเหมือนไม่ให้โอกาสแก่เรา ยกเว้นแต่เรากลัวจะไม่ได้แต่งงาน คุณphoenix ก็ดูมีแง่คิดที่ดีและเข้าใจในเรื่องเหล่านี้เหมือนกัน คิดว่าคุณน่าจะผ่านชีวิตการแต่งงานที่ประสบความสุขอย่างราบรื่นและถาวรเช่นกัน

Posted by : พหูสูตร , Date : 2004-08-20 , Time : 01:58:33 , From IP : 172.29.3.233

ความคิดเห็นที่ : 12


   ถึงเราจะคิดดี เตรียมการอย่างดีก่อนการแต่งงาน นั่นเป็นแค่ insurance เฉยๆว่าหลักฐานมั่นคง แต่ก็เหมือนการประกันทุกชนิด นั่นคือมีคนโชคร้ายที่ต้อง claim ประกันเหมือนกัน

ถ้าเราเตรียมการทุกอย่างเท่าที่ทำได้ แต่วิวาห์นาวาของเรามันเกิดประสบปัญหาถึงที่สุด ผมก็คิดว่ามันไม่ใช่เรื่องน่าละอายที่เราจะเริ่มต้นกันใหม่เพื่อประโยชน์ต่อทุกฝ่าย (ไม่รวมชาวบ้าน) ข้อสำคัญการหย่าร้างหรือแยกกันอยู่ไม่ได้จำเป็นต้องหมายถึงการทะเลาะกัน เกลียดกัน ทำดีๆก็แค่ไม่เป็นสามีภรรยากัน แต่ยังคุยกันได้ นานๆเจอกันและพูดคุยกันได้ เพียงแต่ไม่เหมาะที่จะอย่บ้านเดียวกันโดยความเห็นชอบของทั้งคู่ ผมว่ามันดูเป็นการบริหารชีวิตที่สมเหตุสมผลและเป็นตัวของตัวเองมากที่สุด

ทว่าการแต่งงานที่เกิดจากการฉาบฉวย เมื่อถึงเวลาล่ม (แล้วมันจะล่มง่ายกว่าซะด้วย) ก็เหมือนกับเรามีชนักติดหลังว่าไม่ได้เตรียมให้ดีก่อน เราก็จะ guilt คอยแวดระวังว่าชาวบ้านจะซ้ำเติม เหมือนๆกับเวลาเด็กๆแอบทำอะไรผิดๆแล้วรู้ตัวว่าผิด ถึงไม่มีคนทราบก็ยังหวาดระแวงกลัวคนนินทา ซึ่งจริงๆก็มีแน่ๆแล้วหนึ่งคนคือสติสัมปชัญญะที่บอกผิดชอบชั่วดีของตนเองที่นินทาอยู่ในหัวตลอดเวลา (ผมมีสมติฐานว่าไอ้นี่แหละคือ "สังคม" หรือ "คนส่วนใหญ่" ที่เราชอบพูดถึงบ่อยๆ คือ "superego" หรือ social norm นั่นเอง)

ผมไม่คิดหรอกนะคัรบว่าสังคมไทยจริงๆปราศจากการนินทา แต่ผมเชื่อว่าการนินทากาเลเหมือนเทน้ำ ไม่ชอกช้ำเหมือนเอามีดมากรีดหิน แม้องค์พระปฏิมาฯยังราคิน มนุษย์เดินดินฤาจะสิ้นคนนินทา ที่สุดแล้วถ้าเราเตรียมให้ดี แม้แต่การหย่าก็อาจจะกลายเป็น option ที่ดีประการหนึ่งได้ เหมือนคำนึงถึงผลกระทบต่อคนในวงจริงๆ

ก็แล้วแต่คิดกระมังครับ



Posted by : Phoenix , Date : 2004-08-20 , Time : 07:15:46 , From IP : 172.29.3.234

ความคิดเห็นที่ : 13


   

ผมเลือกคนที่รัก เพราะ รักและ sex จะไปด้วยกัน นี่คือสันดานดิบของมนุษย์ อยู่ด้วยกัน มันสนุกดี ตื่นเต้น แม้จะอยู่กันในระยะเวลาไม่นานก็ไม่เป็นไร ขอสนุกไว้ก่อน ก็ผมเป็นผู้ชายนี่ นะฮะ ไม่เห็นจะเสียหายเลย ส้งคมก็ยอมรับผมอยู่แล้ว ถ้าจะต้องเลิกกัน ไม่สึกหรอนี่ ส่วนผู้หญิงเหรอ คิดอย่างไร ผมไม่เกี่ยว ฮะ!!


Posted by : ขาดใจ , Date : 2004-08-20 , Time : 10:57:09 , From IP : 172.29.3.100

ความคิดเห็นที่ : 14


   ขอโทษด้วยที่ใช้ชื่อโพส ผิด ขอแก้ไขชื่อ จาก ขาดใจ เป็น ร่วมด้วยช่วยให้ล่ม
ร่วมด้วยช่วยให้ล่ม นะฮะ!!!!!!


Posted by : ขาดใจ , Date : 2004-08-20 , Time : 11:03:16 , From IP : 172.29.3.100

ความคิดเห็นที่ : 15


   ทำไมต้องมาเห็น การเปลี่ยนแปลงที่ไม่น่าจะสบายใจนักในปัจจุบัน เช่น รักเผื่อเลือก คั่วทีละสองคน คบแฟนทีละสองคนแล้วค่อยเฉดหัวทิ้งไปหนึ่งคนเมื่อจะแต่งงานกับอีกคน โดยที่คิดว่าตัวเองไม่ผิดด้วยเพราะมีสิทธิคบและมีสิทธิทิ้งใครก็ได้ ทำไมสังคมในปัจจุบันและคนเราจึงมีจิตใจต่ำทรามถึงเพียงนี้ สังคมยุคนี้เป็นสังคมที่สอนให้คนเห็นแก่ตัวโดยที่ยังคิดว่าตัวเองทำถูกเสมออีกด้วย เราคงต้องมาช่วยกันหาทางแก้ไข ซึ่งก็ยังไม่รู้จะเริ่มต้นตรงไหนก่อนดี คงต้องขอเวลาคิดดูก่อน

Posted by : น่าเบื่อ , Date : 2004-08-20 , Time : 13:05:21 , From IP : 172.29.3.95

ความคิดเห็นที่ : 16


   .....ต้องรีบที่จะเลือกหรือเปล่าหละครับ?

......ถ้าไม่ต้องรีบที่จะเลือกแล้วหละก็.....ถ้าเป็นผมนะ....ผมไม่เอาทั้งสองคนนั้นหละ......ผมจะไปหาคนที่มีทั้งสองอย่างอยู่ในคนๆเดียว.....

.....ผมว่าคนเรามีเวลาทั้งชีวิตที่จะค้นหาสิ่งที่เราต้องการจริงๆ....ถ้าเรายังต้องมาเลือกระหว่างสองอย่างใดแล้วหละก็.....แสดงว่ามันน่าจะมีทางออกที่ดีกว่า.....ที่เรายังหาไม่เจอมากกว่ามั้ง....:D...:D

......คงมีคำถามเดียวที่ผมจะถาม....คุณรีบและจำเป็นแค่ไหนกันที่ต้อง"เลือก"???...:D...:D



Posted by : Death , Date : 2004-08-20 , Time : 13:19:41 , From IP : 172.29.3.142

ความคิดเห็นที่ : 17


   รู้สึกว่าคนที่ตอบคำถามนี้จะเป็นผู้ชายซะส่วนใหญ่นะ อ่านๆดูก้อมีบางข้อความที่เข้าท่าน่าชมเชยในเรื่องของความคิด แต่บางข้อความก้อแสดงออกถึงการเห็นแก่ตัวแก่ได้ของผู้ชายไทย.
เอาเป็นว่าถ้าคุณรักใครคุณอยู่ด้วยแล้วคุณมีความสุข คุณก้อทำตามความต้องการของคุณซะ แต่ก่อนที่คุณจะทำอะไรลงไป ขออย่างเดียวว่าคุณต้องมีสติคิดให้รอบคอบ เพราะบางที่การตัดสินใจของคุณ อาจส่งผลให้อีกคนต้องเสียใจหรือถ้าแย่ไปกว่านั้น บางที่อาจหมายถึงชีวิตเค้าทั้งชีวิต
และที่สำคัญไม่มีความรักไม่ใช่ของเล่น.


Posted by : ไม่ใช่ของเล่น , E-mail : (22) ,
Date : 2004-08-20 , Time : 17:39:34 , From IP : 202.47.247.130


ความคิดเห็นที่ : 18


   รู้สึกว่าคนที่ตอบคำถามนี้จะเป็นผู้ชายซะส่วนใหญ่นะ อ่านๆดูก้อมีบางข้อความที่เข้าท่าน่าชมเชยในเรื่องของความคิด แต่บางข้อความก้อแสดงออกถึงการเห็นแก่ตัวแก่ได้ของผู้ชายไทย.
เอาเป็นว่าถ้าคุณรักใครคุณอยู่ด้วยแล้วคุณมีความสุข คุณก้อทำตามความต้องการของคุณซะ แต่ก่อนที่คุณจะทำอะไรลงไป ขออย่างเดียวว่าคุณต้องมีสติคิดให้รอบคอบ เพราะบางที่การตัดสินใจของคุณ อาจส่งผลให้อีกคนต้องเสียใจหรือถ้าแย่ไปกว่านั้น บางที่อาจหมายถึงชีวิตเค้าทั้งชีวิต
และที่สำคัญความรักไม่ใช่ของเล่น.


Posted by : ไม่ใช่ของเล่น , E-mail : (22) ,
Date : 2004-08-20 , Time : 17:40:20 , From IP : 202.47.247.130


ความคิดเห็นที่ : 19


   ตรงไหนที่ทำให้สรุปว่าเป็นตัวแทนของ "ผู้ชายไทย" ครับ?



Posted by : Phoenix , Date : 2004-08-20 , Time : 22:04:36 , From IP : 172.29.3.229

ความคิดเห็นที่ : 20


   อ่านเจอคอลัมน์นึงในนิตยสารเก่าๆเล่มนึง
พูดถึงข่าวเด็กชายวัย 14 ที่แต่งงานกับหญิงม่ายวัย 45 (ลุกสาว 19) ข่าวว่า เด็กชายนั้นพยายามทำงานเก็บเงินเพื่อสู่ขอหญิง ฝ่ายหญิงนั้นพิจารณาแล้วก็รับรักฝ่ายชาย โดยมีอุปสรรคคือตัวลูกสาวและกระแสสังคม (ฝ่ายพ่อของเด็กชายไม่คัดค้าน)
หญิงม่ายผู้นี้ได้กล่าวไว้ว่าก่อนหน้านี้อยู่กับสามีอายุใกล้เคียงกัน ก็ยังโดนสามีทิ้งได้ ดังนั้น เรื่องอายุจึงไม่ใช่สิ่งสำคัญ แต่เป็นเรื่องของความรักและความรับผิดชอบต่างหาก
คนเขียนคอลัมน์เขาก็แนะนำให้คู่นี้ย้ายไปอาศัยที่อื่นที่ห่างไกลจากคนรู้จัก

ป่านนี้ไม่รู้เป็นอย่างไรบ้าง




กลับมาหัวข้อกระทู้
พยายามจะทำความเข้าใจว่า ทำไมอยู่กับคนที่รักแล้วไม่มีความสุขหรือ ก็คิดได้ว่าอาจจะเป็นเพราะกลัวความทุกข์ที่อาจจะเกิดขึ้นตามมา
ทุกข์มีไว้ให้เห็น สุขมีไว้ให้เป็น (จากหนังสือธรรมะเล่มหนึ่ง เห็นผ่านตาเมื่อกี้)


Posted by : ArLim , Date : 2004-08-21 , Time : 04:40:38 , From IP : ppp-210.86.223.221.r

ความคิดเห็นที่ : 21


   เห็นด้วยกับคุณ ArLim ที่ว่าอยู่กับคนที่รักแล้วกลัวความทุกข์ที่อาจจะเกิดขึ้นตามมา อันนี้คิดว่าเป็นประเด็นสำคัญของผู้ที่โพสกระทู้นี้ เดาเอานะ ถ้าผิดอย่าถือสา คิดว่าคนที่รักนั้น ผู้ที่โพสกระทู้ยังไม่มั่นใจในตัวคนนั้น แต่อาจถูกเร่งเร้าให้แต่งงานหรือเพราะมีสถาณการณ์บางอย่างบีบบังคับ ส่วนตัวคิดว่าคนที่รักนั้นต้องมีอะไรบางอย่างที่ทำให้ไม่น่าไว้ใจ อาจเป็นเหตุการณ์ในอดีตหรือปัจจุบัน ถ้าเป็นจริง สิ่งเหล่านี้ต้องนำมาคิดประกอบให้มากๆ เพราะสิ่งที่เกิดมาแล้วจะเป็นตัวที่ฟ้องหรือเตือนใจเราว่าคนคนนั้นมีเรื่องไม่น่าไว้ใจจริงๆ คำสัญญาในปัจจุบันหรือการกระทำในปัจจุบันจะไม่ guarantee เลยว่าไม่โกหกเรา เพราะเขาจะทำแต่สิ่งที่ให้เราเชื่อถืออยู่แล้ว ถ้าเป็นตัวเอง ถือว่าเรื่องนี้สำคัญ ดังนั้นจะไม่ตัดสินใจอะไรตอนนี้ ขอเวลาคิด ใช้เวลาไตร่ตรองต่อไป ถ้าคิดผิดก็อาจคิดจนตัวตาย หรือเรารอไปหาคนใหม่ที่มีคุณสมบัติครบตามที่คุณ death แนะนำดีกว่า การรอเวลาไม่ได้ทำให้อะไรสายจนเกินไปหรอก หลายคนรอจนแก่ แต่หาคู่ไม่ได้ ก็ไม่เห็นจะแปลกอะไรเลย อยู่คนเดียวชีวืตก็มีความสุขได้ และดีกว่าคนที่แต่งงานแล้วมีความสุขในช่วงแรก คือช่วงฮันนีมูน เพราะมีการวิเคราะแล้วว่าช่วงนี้ส่วนใหญ่มีความสุขที่เกิดจาก ความรักในรูปลักษณืภายนอกหรือก็คือ sex นั่นเอง แต่ต่อมาก็ต้องหย่าร้าง อันจะนำมาซึ่งความน่าอาย ทุกข์ทรมานกว่าเป็นร้อยเป็นพันเท่าทีเดียว ดังนั้นโจทย์ข้อนี้ง่ายมากสำหรับตัวเอง ก็คือจะไปบอกแฟนทั้งสองคนตรงๆว่า ยังไม่เลือกใครเลย ขอคบเป็นเพื่อน ถ้าไม่ครบเป็นเพื่อน ก็ไม่เป็นไร ไม่ต้องคบกันก็ได้ แต่จะไม่พิจารณาเป็นแฟนด้วยทั้งสองคน เรื่องแต่งงานยังไม่คิดเลย แต่ห้ามโกหกเด็ดขาด เพราะเรื่องแบบนี้สำคัญมาก ถ้าโกหกหรือแทงกั๊กไว้ จะถือเป็นบาปอย่างมหันต์ที่ไม่ควรให้อภัยได้เลย ถ้าคุณยังเป็นคนที่มีจิตใจดีพอ เวลาที่ผ่านไปจะเป็นเครื่องตัดสินเหมือนคำพังเพยโบราณที่ว่า ช้าช้าได้พร้าสองเล่มงาม
เออแล้วคนที่อยู่ด้วยแล้วมีความสุขนั้น คุณก็คงต้องรอคบกันไปก่อนอีก เพื่อดูว่าคุณรักเขาไหม ถ้ารักเขาจริง คุณก็จะได้คนที่มีคุณสมบัติที่คุณต้องการทั้งสองข้อ
แต่ก็แปลกที่อยู่กับเขาแล้วมีความสุข แสดงว่าในใจคุณต้องมีอะไรที่คิดหรือรักเขาซ่อนอยู่ลึกๆบ้างไหม แต่ก็ไม่แน่คบกันไปนานๆ คุณก็อาจจะไม่มีความสุขได้
สรุปสำหรับตัวเองคือ รอไปก่อน ใช้เวลาเป็นเครื่องตัดสิน ดูให้แน่ใจจริงๆ เออแล้วคุณคบกับเขาจริงจังมากี่ปีละ ระยะเวลาสั้นๆเช่นปีหรือสองปีอาจจะบอกอะไรไม่ได้เลย อาจต้องใช้เวลาดูอีกหลายปีก็ได้นะ


Posted by : เห็นด้วย , Date : 2004-08-21 , Time : 08:39:45 , From IP : 172.29.3.250

ความคิดเห็นที่ : 22


   ข้อสำคัญคือ "ไม่มีอะไรที่เราจะรู้แน่นอน 100%" หรอกนะครับ

Impermanence law หรือ อนิจจัง นั้น "เที่ยงแท้" พอใช้ได้จนกระทั่งเราอาจจะกำลัง hurt ตัวเองทุกครั้งที่เราคิดว่ารู้ หรือคิดว่าสามารถรู้ ว่าอะไรเป็นของตาย เป็นของที่ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง

อย่างมากที่เราพอจะทำได้คือ minimize the risks ที่จะล้มเหลวลง ได้แค่ไหน มันก็ยังมีปัจจัยที่ไม่อาจจะควบคุมอยู่ดี เมือ่ปัจจัยที่เราคุมไม่ได้ ลดความเสี่ยงไม่ได้นี้เกิดขึ้นจะทำอย่างไร? บางคนก็เสียใจ บางคนก็แค้นใจ บางคนก็ทำใจ คำหลักเรื่องนี้คงจะอยู่ที่ "เราควบคุมไม่ได้" กระมังที่จะบอกว่าเราควรจะมีปฏิกิริยาอย่างไรกับเรื่องพวกนี้ เราคงไม่เสียใจ แค้นใจ เวลาฝนตก แดดออก ฟ้าร้อง ฟ้าผ่า ฉันใด การเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมมนุษย์ก็คงจะอยู่ใน "กลุ่มเสี่ยง" เดียวกัน



Posted by : Phoenix , Date : 2004-08-21 , Time : 09:21:24 , From IP : 172.29.3.238

ความคิดเห็นที่ : 23


   ผมคิดว่าคุณไม่ได้มีความรักให้กับคนแรกแล้ว เพราะไม่เช่นนั้นคุณจะไม่ถามหาทางเลือก หรือสิ่งที่ดีกว่า ลองคิดใหม่ว่าคุณรักใึคร และใครที่พร้อมจะรักคุณ

Posted by : yar , E-mail : (ืnum47@hotmail.com) ,
Date : 2004-08-21 , Time : 22:19:07 , From IP : 203.150.217.112


ความคิดเห็นที่ : 24


   คิดว่าผู้ตั้งกระทู้อาจจะสับสนในใจในขณะนี้ แต่เดาว่าผู้ที่ตั้งกระทู้นี้ได้ตัดสินใจเลือกไปแล้ว เพียงแต่จะฟังความเห็นคนอื่น เพื่อดูว่าจะสนับสนุนในแง่ที่ตรงกับที่ตัวเองเลือกไหม ถ้าตรงกัน ก็จะได้สบายใจ แต่ถ้าไม่ตรง ก็คงจะไม่เปลี่ยนใจ คงจะหาเหตุผลต่างๆนาๆเพื่อเข้าข้างตัวเองว่าตัวเองตัดสินใจถูกแล้ว คนอื่นไม่ได้อยู่ในสถาณการณ์นี้ จึงไม่รู้เท่าตัวเองได้ คิดว่าเหตุการณ์นี้ ถ้าเกิดจริง คงมีคนหนึ่งต้องถูกทำให้เจ็บปวดโดยคุณแน่นอน คุณน่าจะคบทั้งสองคนไปพร้อมๆกัน เพื่อจะรอเลือกเพียงหนึ่งเดียว ถ้าเดาถูก รายการนี้คุณได้ทำบาปอย่างมาก เหมือนกับฆ่าคนหนึ่งอย่างเลือดเย็นจริงๆ และถ้าเหตุการณ์ที่เดาเกิดถูกขึ้นมา ก็แทบไม่น่าเชื่อว่าจะมีคนซึ่งจิตใจอำมหิตหลงเหลืออยู่ในโลกนี้ ถือเป็นความซวยอย่างมากของคนที่มาคบกับคุณ แต่ถ้าคาดเดาผิด ก็ต้องขออภัยจริงๆ เพราะนี่ คือการวิเคราะห์เหตุผลจากหัวข้อกระทู้ที่คุณตั้งขึ้นมานั่นเอง


Posted by : คนซื่อๆโง่ๆ , Date : 2004-08-21 , Time : 22:47:55 , From IP : 172.29.3.254

ความคิดเห็นที่ : 25


   พยายามอ่านทุกบรรทัดแล้ว นั่งคิด นึก ไตร่ตรองอย่างรอบคอบ ขอเสนอความเห็นดังนี้
ถ้าเป็นตัวเองจะเลือกวิธี คือ หยุดคบทั้งสองคนในระยะเวลาหนึ่ง อาจเป็น หกเดือนหรือ หนึ่งปี สองปีก็แล้วแต่ ไม่คบทั้งเป็นแฟน และไม่คบทั้งเป็นเพื่อน โดยบอกกับเขาตรงๆ เพื่อประโยชน์สามอย่างคือ
1 จะได้ทราบว่าทั้งสองคนคิดอย่างไรกับเรา พร้อมที่จะรอเราไหม หรือคบเราเพราะหวังอะไรจากเรา เช่น รักเล่นๆ แต่งงานสักพัก แล้วค่อยหย่ากับเรา
2 เป็นการแสดงความจริงใจว่า เราไม่ได้หลอกคบทั้งสองคนพร้อมกัน เพื่อเลือก เพียงหนึ่งคน เพราะการคบทีละสองคน เป็นการแสดงทางอ้อมว่าเราเป็นคนเห็นแก่ตัว
3 อาจจะได้ทราบจริงๆ เมื่อเวลาผ่านไปว่า เรารักใครกันแน่ ใครที่จะเหมาะกับเราไปทั้งชีวิต เพราะการรีบร้อนตัดสินใจ ในขณะที่เรามีความสับสน ผลเสียจะตกอยู่กับเราคนเดียว อ้อ จะตกอยู่กับคนที่เราไปปฎิเสธรักเขาด้วย ซึ่งไม่ควรให้เกิดในตอนนี้ การเลิกคบกันสักพักหนึ่ง จะช่วยแก้ปํญหานี้ได้ เพราะถ้าเขาไม่รักเราจริง สุดท้ายเขาจะรอไม่ได้ และจะเป็นฝ่ายจากเราไปเอง โดยไม่เสียความรู้สึกด้วย
วิธีนี้ดูน่าจะดีที่สุด ในการรักษาความรู้สึก ของคนที่เราคบด้วย โดยไม่ไปทำร้ายจิตใจเขา เพราะดูเหมือนการกระทำของคุณที่ผ่านมาเป็นการจับปลาสองมือนะ คุณเอาเปรียบคนทั้งสองคนอยู่แล้ว
แต่ที่เสนอมา มีข้อแม้อย่างเดียว ว่า คุณกล้าทำอย่างที่เสนอไหม เพราะส่วนหนึ่งจะแสดงซึ่งความเสียสละในการต้องรอคอยการแต่งงาน ซึ่งจริงๆแล้ว สุดท้าย ประโยชน์ก็จะตกอยู่กับคุณนั่นเอง
คุณจะเป็นคนเสียสละ หรือจะเป็นคนเห็นแก่ตัว คุณสามารถแสดงให้เห็นได้ในตอนนี้
การพยายามหาเหตุผลต่างๆนานามาอธิบาย โดยอิงเพื่อประโยชน์ตัวเองไม่สามารถทำให้ใครเข้าใจเราหรอก การกระทำต่างหากที่จะเป็นตัวบ่งถึงเนื้อในของตัวเราเอง
ไม่ทราบว่าคุณอ่านกระทู้ที่คุณโพสมาหรือไม่ละ คุณเห็นด้วยไหมละ
หรือที่เสนอความเห็นมา อาจจะผิดหมดก็ได้นะ???


Posted by : ขอแจมด้วยคน , Date : 2004-08-22 , Time : 09:00:03 , From IP : 172.29.3.228

ความคิดเห็นที่ : 26


   สงสัยในกลไกนิดหน่อยนะครับ คุณ "ขอแจมด้วยคน"

ผมเข้าใจเอวว่าพวกเราทุกๆคนนี่คบหามีคนรู้จักอยู่เป็นต้นทุนใช่ไหมครับ เราเรียกคนรู้จักเหล่านี้ว่า "เพื่อน" และผมเข้าใจต่อไปอีกว่าโดยปกติเราไม่ได้กระโดดคบหาใครเป็น "แฟน" โดยไม่มีการผ่านขั้นตอนเพื่อนมาก่อน (หากข้อสรุปอันนี้ผิด ก็อาจจะทำให้ความเห็นถัดไปเพี้ยนนิดหน่อย แต่ไม่มาก) ทีนี้ "ความสัมพันธ์ปกติ" นั้น เราไม่ค่อยจะใช้ยุทธการ "เลิกคบ" กับเพื่อน ยกเว้นจะเลิกคบจริงๆ นั่นคือไม่มีการเลิกคบเพื่อจะลองใจ หรือเลิกคบเพื่อจะ upgrade ให้ทีหลังอะไรแบบนั้นใช่ไหมครับ

ตรงนี้ผมอาจจะตีความผิดในบทความของคุณ "ขอแจมด้วยคน" ตรงที่เราจะ switch off การคบ (คุณบอกว่าไม่คบทั้งแบบแฟน หรือเพื่อน) ได้ทันทีทันใด โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเพื่อนคนนั้นยังคิดว่าเป็นเพื่อนเราอยู่ คงจะเป็นขั้นตอนการคบที่แปลกทีเดียว

ผมเข้าใจเองอีกว่าความสัมพันธ์ "พิเศษ" นั้น สามารถงอกงามในพื้นที่เดียวกับความสัมพันธ์ธรรมดาๆได้ OK อาจจะมีการแยกตัวจากกลุ่มอยู่พักหนึ่งในช่วงแรก แต่พอ settle ก็กลับเข้ากลุ่มใหม่ ผมไม่แน่ใจว่าเดี๋ยวนี้ phase แยกตัวนี่มันแยกกันกระหน่ำขนาดไหน แต่โดยทั่วๆไปพวกเราก็ยังมีภาระหน้าที่ไม่ว่าจะจบแล้วหรือกำลังเรียนอยู่ ที่ทำให้เรายังต้อง Mingle กับคนอื่นๆนอกเหนือจากเพื่อนจากแฟนเราอยู่ดี

อ่านทบทวนดูแล้ว บางครั้งทำให้เกิดความรู้สึกว่า การคบเป็นแฟนกันเป็นยุทธศาสตร์อะไรซักอย่างหนึ่ง ไม่ใช่เป็นแค่ขั้นตอนตามธรรมชาติยังไงไม่รู้แฮะ มีกฏเกณฑ์ มีข้อห้าม มีข้อพึงปฏิบัติเป็นพิเศษ ผมมีเพื่อนหลายคนที่จบจากบางโรงเรียน ซึ่งมีการสอนความเป็นสุภาพบุรุษ (หลักสูตรพิเศษ) เขาสามารถที่จะมีทั้งแฟนและยังเป็น gentlemen ต่อ "เพื่อน" สุภาพสตรีทั่วๆไปได้คงเส้นคงวาดยไม่ต้องถูกสั่งระงับ หรือเข้า scheme monopoly และก็ดูครอบครัวเขามีความสุขดีนะครับ อย่างน้อยความดีที่แฟนเขาชอบก็เป็น "บุคลิกจริง" ได้แก่การมีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี สุภาพเอาใจคนอื่นเท่าที่มารยาทในสังคมพึงมี

ผมอาจจะเข้าใจผิดหรืออยู่ผิดยุคผิดสมัยก็ได้



Posted by : Phoenix , Date : 2004-08-22 , Time : 11:43:06 , From IP : 172.29.3.201

ความคิดเห็นที่ : 27


   คนที่อยู่ด้วยแล้วมีความสุข ...น่าจะเป็นคนคนเดียวกับที่เรารักนะ
เจ้าของกระทู้อาจยังไม่รู้ใจตัวเองก็ได้นะ...ว่าจริงๆคุณรักใคร


Posted by : เอ็ม.เจ. , Date : 2004-08-22 , Time : 12:24:32 , From IP : 172.29.3.124

ความคิดเห็นที่ : 28


   เท่าที่สังเกตุ กระทู้นี้โพสมาจากนอกคณะแพทย์ เพราะสังเกตุดูจากเลข IP แต่จะเป็นคนนอกหรือคนในนี้แต่ใช้สายinternetข้างนอกก็ได้ ที่สังเกตุไม่ได้มีสาระอะไรมากหรอก แต่สงสัยว่าผู้ที่โพสกระทู้มีจุดประสงค์อะไร อยากได้ข้อคิดเห็นเฉยๆ หรือนำไปประกอบการตัดสินใจหรือตัดสินใจไปแล้ว แต่อยากหาความเห็นสนับสนุนตามที่ตัวเองตัดสินใจ ถ้าตรงกัน ก็ดีใจ แต่ถ้าไม่ตรง ก็เฉยๆไม่สนใจ ยังคงยืนยัยตามความคิดเดิม
เท่าที่อ่านมา 27 ความเห็น แล้ว ก็มีความเห็นดีๆมากเหมือนกัน ทำให้เห็นว่าคนเราช่างคิดช่างวิเคราะห์ แม้จะมีข้อมูลจากผู้ที่โพสมาเพียงบรรทัดเดียวเท่านั้น แต่แปลกที่เจ้าของกระทู้กับเงียบเฉย ไม่มี response อะไรเลยสักนิดเดียว ขอแสดงความเห็นบ้างก๊ได้ว่า เจ้าของกระทู้เป็นคนอย่างไร นี่เป็นการเดาบนพื้นฐานข้อมูลอันน้อยนิด อาจ ผิดหรือถูกก็ได้
เจ้าของกระทู้น่าจะเป็นคนไม่ค่อยกล้าสู้ความจริง ไม่ใช่คนเปิดเผยนัก การที่คบกับดนสองคนจนเกิดความรักหรือเกิดมีความสุขที่ได้อยู่ใกล้ แสดงว่าคุณคบกันมานานพอควรโดยเล่นคบทั้งสองคนพร้อมกัน เพื่อเอาไว้เผื่อเลือก อาจจะเป็นเดือนหรือปีก็ได้ ขึ้นกับความรีบร้อนในจิตใจของแต่ละคน แต่แสดงให้เห็นว่าคุณเป็นคนเห็นแก่ตัว ไม่สนใจความรู้สึกคนอื่น ยามที่คุณจะสลัดคนคนหนึ่งทิ้งไป พื้นฐานจิตใจลึกๆของคุณน่าจะเป็นคนเลือดเย็นมาก คุณน่าจะรักทั้งสองคน แต่น่าจะรักคนแรกมากกว่า ถ้าเดาน่าจะเกิดจากความประทับใจในรูปร่างหน้าตา เพราะคุณบอกว่ารัก แต่ไม่บอกว่ามีความสุข ส่วนคนหลังก็รักแต่น่าจะน้อยกว่า แต่มีความสุขมากกว่าที่อยู่ใกล้ แสดงว่าในใจส่วนลึกของคุณยังสับสนว่า จะรักคนหลังมากกว่าคนแรกดีไหม คนหลังอาจมีคุณสมบัติอย่างอื่นมากมายที่ดีกว่าคนแรก ยกเว้นรูปร่างหน้าตา คุณจึงตัดสินใจยาก คุณอาจถูกเหตุการณ์บางอย่างบังคับให้ต้องตัดสินใจแต่งงาน คุณจึงสับสนอยู่บ้างว่าจะทำอย่างไรดี
ความเห็นนี้คุณไม่จำเป็นต้องเชื่อก็ได้ แต่ลองฟังไว้บ้าง คือ คุณควรรอเวลาสักระยะหนึ่งอาจต้องนานสักหน่อย เพื่อดูคนทั้งสองคนให้แน่ใจกว่านี้ การรีบแต่งงานเช่นเพราะกลัวตกรถไฟเที่ยวสุดท้าย จะไม่แก้ปัญหาให้แน่นอน ผลเสียระยะยาวจะตกอยู่กับคุณ เพราะคุณยังดูคนสองคนไม่ออกอย่างแท้จริง ถ้าแต่งไปแล้วต้องทุกข์ทรมานหรือต้องหย่าร้าง ผลเสียจะตกกับคุณอย่างมาก ไม่คุ้มแน่นอน โดยเฉพาะถ้าถูกเร่งเร้าโดยคนที่คุณคบอยู่ด้วย ยิ่งแสดงว่าเขาไม่มีความจริงใจกับคุณ เพราะไม่ยอมให้เวลาคุณตัดสินใจกับเรื่องที่สำคัญมากเช่นนี้
ถ้าคุณอ่านอยู่ ลองคิดพิจารณาให้ดี ใช้สติให้มากๆ ใจเย็นๆแก้ปัญหาดีกว่าใจร้อนแน่นอน


Posted by : ไม่บอกจริงหรือ , Date : 2004-08-22 , Time : 21:35:31 , From IP : 172.29.3.249

ความคิดเห็นที่ : 29


   ตอนนี้ไม่รู้ว่าเจ้าของกระทู้ ได้เหตุผลต่างๆนาๆ ไปdebate อารมณ์รัก อารมณ์สุขที่สับสนอยู่ได้บ้างหรือยัง อึม หรือว่าจะย้ายไปอ่านอีกกระทู้นึงที่เพิ่งเข้ามาสดๆร้อนๆอีกอันก็ได้นะ เพราะมันเรื่องราวใกล้เคียงกันเลย

Posted by : pisces , Date : 2004-08-22 , Time : 21:51:07 , From IP : 172.29.3.226

ความคิดเห็นที่ : 30


   ใกล้เคียงกันมากยังกะเป็นของคนๆเดียวกัน!!!



Posted by : Phoenix , Date : 2004-08-22 , Time : 22:15:46 , From IP : 172.29.3.236

ความคิดเห็นที่ : 31


   ไม่แน่ใจก็อย่าเพิ่งแต่งเลย ถ้าแต่งกับคนที่รักแต่อยู่ด้วยแล้วไม่มีความสุขเลย ก็ไม่ควรแต่งเพื่อทรมานตัวเอง แล้วแน่ใจเหรอว่าเค้าไม่ได้คิดแบบเดียวกับเรา ส่วนคนที่อยู่ด้วยแล้วมีความสุขแต่ไม่รัก ถามว่าแล้วสุขจากอะไร แสดงว่าคนนี้อาจจะเอาใจเก่ง ตามใจ เข้าใจกว่าหรือเปล่า ก็ต้องถามว่าถ้าเค้าไม่ทำแบบนี้แล้วคุณจะยังอยู่กับเค้าม๊ยหรือไปหาคนที่ทำให้คุณสุขมากกว่า เพราะคนเราเปลี่ยนใจแล้วก็เจอคนถูกใจใหม่ๆได้วันละหลายครั้งเพียงแต่ความยับยั้งชั่งใจมันต่างกัน

Posted by : pretty doc , Date : 2004-08-24 , Time : 12:37:51 , From IP : 172.29.3.158

ความคิดเห็นที่ : 32


   ขอถามคำเดียวจริงๆ ตอบหน่อยเถิด คุณที่ตั้งกระทู้นี้เป็นผู้ชายหรือหญิงกันแน่ อยากรู้แค่นี้จริงๆ

Posted by : ขอถามหน่อย , Date : 2004-08-24 , Time : 14:03:22 , From IP : 172.29.3.100

ความคิดเห็นที่ : 33


   ตอนนี้เราสามสิบแล้วมีแฟนมาแล้วเจ็ดคน รักไม่เท่ากันมากบ้างน้อยบ้าง สุขไม่เท่ากันมากบ้างน้อยบ้าง สองอย่างนี้ไม่สามารถเข้าสมการได้ เพราะมี ตัวแปรมากมายตั้งแต่อายุ เวลาที่เกิด ทำให้ สถานะแตกต่างกัน
งงปะ
สรุปง่ายๆ รักๆไปเหอะอายุน้อยอย่าคิดมากบางทีไม่มีคำตอบให้เดี๋ยวนั้นหรอก
ทำให้ดีที่สุดต่อไปเป็นไงใครจะรู้เล่าไอ้น้อง ใครรู้อนาคตก็ถูกหวยแล้วละ


Posted by : บิ้วอารมณ์กันสุดๆ , Date : 2004-08-29 , Time : 01:03:58 , From IP : p119-rasbkkSP3.C.csl

ความคิดเห็นที่ : 34


   คุณ ที่ ถาม อะ ครับ มี คนเดียว ที่ตอบ ได้


คือ คุณ เท่านั้น


Posted by : sopenee , Date : 2004-09-01 , Time : 13:05:23 , From IP : 172.29.2.102

ความคิดเห็นที่ : 35


   ผู้ชายส่วนใหญ่รักความสบาย หากมีผู้หญิงคนหนึ่งที่ตัวเองไม่ได้รักแต่ผู้หญิงคนนั้นรักคุณและสามารถทำทุกอย่างให้กับคุณได้ คุณจึงมีความสุขเพราะสิ่งที่เค้าทำให้คุณนั้น ความรักของ ผู้หญิงคนนั้นเปรียบเสมือนความรักของแม่ แต่ผู้หญิงที่คุณรัก คุณจะพร้อมให้ความสุขกับเค้าได้ซึ่งคุณจะเป็นฝ่ายให้แต่คนที่คุณอยูด้วยแล้วมีความสุข
คุณเป็นฝ่ายรับ เพราะฉะนั้นถ้าคุณจะเลือกแต่งงาน ขอให้เลือกผู้หญืงที่คุณรักเถิด
เพราะเป็นผู้ให้ จะประเสริฐกว่าเป็นผู้รับ


Posted by : คนที่เคยคิดเช่นเดียวกัน , E-mail : (...........) ,
Date : 2004-10-31 , Time : 11:39:47 , From IP : 203.145.27.231


ความเห็นจาก Social Network : Facebook


สงวนสิทธิ์การแสดงความคิดเห็นสำหรับ สมาชิกเท่านั้น
>>>>> Page loaded: 0.063 seconds. <<<<<