ความคิดเห็นทั้งหมด : 6

หมอสหรัฐ ฝังชิป RFID คนไข้ พร้อมประยุกต์ใช้ด้านซีเคียวริตี้


    คณะกรรมการอาหารและยาของสหรัฐฯ (The Federal Drug Administration : FDA) ปวดหัวครั้งใหญ่ หลังจากทราบรายงานว่า โรงพยาบาลแห่งหนึ่งในสหรัฐอเมริกามีการฝังชิป RFID (Radio Frequency IDentification) ไว้ใต้ผิวหนังของคนไข้ เพื่อความสะดวกในการตรวจรักษา ซึ่งทำให้เกิดข้อวิตกกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยของข้อมูลที่ฝังอยู่ในตัวคนไข้นั้น ๆ ว่าจะมีความเป็นส่วนตัวมากน้อยแค่ไหน

การใช้ชิป RFID ซึ่งมีขนาดเล็กประมาณ 11 มม. มาใช้ในการตรวจรักษาโรค และติดตามข้อมูลในการรักษาของผู้ป่วยนั้นเกิดขึ้นเมื่อ ทางโรงพยาบาลจะทำการฝังชิปลงไปใต้ผิวหนังบริเวณท่อนแขน ตรงส่วนกล้ามเนื้อไตรเซ็บ (Tricep) ซึ่งเป็นไขมัน

การฝังชิปลงใต้ผิวหนังนั้นทำได้ไม่ยุ่งยาก เพียงแค่บรรจุชิปลงในหลอดฉีดยา แล้วฉีดลงไป ซึ่งชิปจะมีสารที่ชื่อว่าไบโอบอนด์ (Biobond) ช่วยในการยึดเกาะกับเนื้อเยื่อภายในร่างกาย รวมถึงช่วยป้องกันไม่ให้ชิปเสียหายด้วย

จากนั้นเมื่ออวัยวะดังกล่าวถูกสแกนด้วยเครื่องสแกนเนอร์ ระบบจะดึงข้อมูลส่วนบุคคลที่ฝังอยู่ในชิปขนาดจิ๋วออกมาได้ ซึ่งจะทำให้แพทย์ที่ถูกเปลี่ยนให้มาดูแลคนไข้รายดังกล่าวได้รับทราบข้อมูลทางการรักษาของแพทย์คนก่อนหน้าได้อย่างถูกต้อง

“เราอาจนำมันมาใช้แทนการสแกนม่านตา หรือลายนิ้วมือก็เป็นได้” แองเจล่า ฟูลเชอร์ (Angela Fulcher) รองประธานด้านการตลาดของ VeriChip กล่าว

อย่างไรก็ดี ระบบรักษาความปลอดภัยผ่านชิปใต้ผิวหนังนี้ยังสามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้กับแอปพลิเคชันรักษาความปลอดภัยพื้นฐานได้ค่อนข้างมาก แม้จะยังมีความวิตกกังวลเกี่ยวกับข้อมูลที่ระบบจะดึงขึ้นมาใช้ว่าจะละเมิดสิทธิความเป็นส่วนตัวหรือไม่ ซึ่งทางฟูลเชอร์กล่าวว่า ระบบจะดึงข้อมูลขึ้นมามากน้อยเพียงไร ขึ้นอยู่กับผู้ดูแลระบบ (Administrator) ว่าต้องการข้อมูลอะไรบ้าง ชิปและเครื่องสแกนเนอร์ของ VeriChip ทำได้เพียงแค่อ่านข้อมูลและบ่งบอกตัวบุคคล ว่าตรงกับเงื่อนไขที่องค์กรตั้งไว้หรือไม่

ประยุกต์ใช้

เมื่ออวัยวะดังกล่าวถูกสแกนด้วยเครื่องสแกนเนอร์ ระบบจะดึงข้อมูลส่วนบุคคลที่ฝังอยู่ในชิปขนาดจิ๋ว เพื่อตรวจสอบสถานะว่าตรงกับเงื่อนไขที่ระบบตั้งเอาไว้หรือไม่ แล้วนำไปสู่การประมวลผลในขั้นถัดไป เทคโนโลยีดังกล่าวสามารถนำมาประยุกต์ใช้การทำธุรกรรมทางการเงิน หรือการรักษาความปลอดภัยในอาคาร ห้องปฏิบัติการต่าง ๆ ได้ในอนาคต

อย่างไรก็ดี เทคโนโลยีดังกล่าวนี้ได้นำไปใช้กับสัตว์มานานกว่าสิบปีแล้ว

ฟูลเชอร์กล่าวว่าเทคโนโลยีดังกล่าวมีมาแล้วนับ 15 ปี โดยในยุคนั้นทางกระทรวงพลังงานของสหรัฐอเมริกาก็ได้ติดต่อข้อซื้อเทคโนโลยีนี้รวมถึงชิปดังกล่าวประมาณ 1,000 ชิ้นจากบริษัท Digital Angel ไปใช้สำหรับมอนิเตอร์การอพยพของฝูงปลาแซลมอน รวมถึงผู้ที่รักสุนัขก็ได้นำชิปไปติดกับสุนัขของตนเองเพื่อความปลอดภัยด้วยเช่นกัน

ได้ไอเดียจาก 9/11

ฟูลเชอร์กล่าวว่า ไอเดียในการนำเอาชิป RFID มาใช้ในการระบุตัวบุคคลนั้นมาจากเหตุการณ์วินาศกรรมตึกเวิลด์เทรดเมื่อ 11 กันยายน 2001 และเพนตากอน ซึ่งทำให้อาคารเกิดเพลิงลุกไหม้และมีผู้บาดเจ็บจำนวนมาก เขาได้เห็นแขนของเจ้าหน้าที่ดับเพลิงคนหนึ่งมีรอยปากกาเขียนโค้ดนัมเบอร์เอาไว้ ซึ่งอาจใช้ในการยืนยันว่าเขาเป็นเจ้าหน้าที่คนใด หากว่าเขาไม่สามารถรอดชีวิตกลับมาได้

ประเด็นเรื่องความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวถูกหยิบยกขึ้นมาและกลายเป็นประเด็นสำคัญที่ทางบริษัทต้องตอบ

ฟูลเชอร์ย้ำถึงเรื่องดังกล่าวว่า “ชิปดังกล่าวจะไม่มีการส่งข้อมูลใด ๆ ทั้งสิ้น หากผู้ที่ถูกฝังชิปไม่เดินไปอยู่ใกล้เครื่องสแกนเนอร์ และข้อมูลที่เครื่องสแกนเนอร์ดึงออกมาใช้นั้นก็ขึ้นอยู่กับว่าผู้ดูแลระบบ (Administrator) จะดึงอะไรออกมาบ้าง และนำไปใช้กับสิ่งใดมากกว่า ไม่เกี่ยวกับระบบการทำงานของชิป RFID นอกจากนั้น ความรู้สึกว่าเครื่องสแกนเนอร์ไม่ปลอดภัยนั้นก็ไม่ใช่สิ่งที่น่าวิตกกังวล เพราะเครื่องสแกนเนอร์จะสามารถอ่านข้อมูลจากชิปที่ฝังอยู่ใต้ผิวหนังได้ก็ต่อเมื่ออวัยวะนั้น ๆ อยู่ใกล้ประมาณ 1 ฟุต

แต่สำหรับผลการทดลองเมื่อนำชิปนี้ไปใช้กับปลาแซลมอนนั้น พบว่าสามารถสแกนข้อมูลของปลาได้แม้จะอยู่ห่างไปไกลถึง 10-12 ฟุต

อย่างไรก็ดี เทคโนโลยี RFID ดังกล่าวได้พัฒนามาจนถึงจุดที่อาจส่งผลกระทบต่อมนุษยชาติแล้ว หากว่าสหรัฐอเมริกาได้หยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมาประกาศใช้ในระดับสากล โดยใช้เรื่องการก่อการร้ายเป็นข้ออ้าง หลังจากมีความพยายามจะเก็บข้อมูลชีวภาพของผู้ที่เดินทางเข้าสู่สหรัฐอเมริกา ตลอดจนข้อมูลต่าง ๆ แน่นหนามากขึ้นกว่าเดิม และเทคโนโลยีดังกล่าวอาจมีจุดเปลี่ยนที่คาดไม่ถึงรออยู่ข้างหน้าก็เป็นได้ (อ้างอิงจากซีเน็ต) `````



Posted by : Dhan , Date : 2004-07-28 , Time : 16:45:55 , From IP : 172.29.3.133

ความคิดเห็นที่ : 1


   นึกถึง GATTAGA หรือเรื่อง The Net ไหมครับ? อีกหน่อยเราเถียงคอเป็นเอ็นว่าเราเป็นใคร ถ้าไอ้เจ้า chip เจ้ากรรมนี่ไม่สนับสนุนเรา เราก็จะกลายเป็น nobody ในพริบตา



Posted by : Phoenix , Date : 2004-07-28 , Time : 20:22:32 , From IP : 172.29.3.205

ความคิดเห็นที่ : 2


   นึกถึงงานประชุมวิชาการเมื่อ 2-3 ปีก่อนที่เขาบอกว่าสวิ่งเหล่านี้มันมาถึงหน้าบ้านเราแล้ว ดูเหมือนมันจะเป็นจริงมากขึ้นทุกที เรื่องของ I Robot ที่บอกว่าจะเกิดในปี 2035 ท่าทางอาจจะมาเร็วกว่าที่เราคิดก็ได้



Posted by : Dhan , Date : 2004-07-28 , Time : 23:35:18 , From IP : 172.29.3.219

ความคิดเห็นที่ : 3


   ในปัจจุบันก็มีคนที่เป็น Nobody อยู่นะฮะ
ไม่เว้นแม้แต่เด็กหรือผู้ใหญ่

(แบบว่าเพิ่งเรียน child advocacy มาน่ะ อิอิ)


Posted by : ArLim , Date : 2004-07-29 , Time : 01:17:44 , From IP : ppp-210.86.223.221.r

ความคิดเห็นที่ : 4


   ถึงขั้น ฝัง chip กันเลยดหรอ นี่ แล้วถ้า chipหาย หล่ะ จะทำยังไง กันดี

Posted by : munich , Date : 2004-07-30 , Time : 16:11:39 , From IP : 172.29.3.133

ความคิดเห็นที่ : 5


   chipหาย ก็ ชิบhaey น่ะสิ

Posted by : ร่วมด้วยช่วยกันล่ม , Date : 2004-08-04 , Time : 00:46:11 , From IP : cache2.asianet.co.th

ความคิดเห็นที่ : 6


   Mission impossible:2 ก็ฝังกันนี่นะ นางเอกเขาฝังไว้ที่ขา คนไทยเอามั่งก็ดี จะได้รู้ว่าเมียเป็นชู้อยู่กับใคร หรือ ตามจับผิดลุกที่ไปเรียนหรือเที่ยว จะได้รู้ว่าลูกไปอยู่ไหน อยู่กับใคร สังคมจะได้ดีขึ้น เพราะเมื่อเด็กรู้ว่าไม่มีทางรอดพ้นสายตาได้ก็ไม่กล้าออกนอกลู่นอกทางอีก ผมไม่เคยแต่งงาน หรือมีลูกแต่เห็นด้วยถ้าจะใช้กับคน และถ้าจะเอา chip ออกก็ต้องเจ็บอีก หมดอารมณ์ทำสิ่งไม่ดีเลย

Posted by : รัช015146023 , E-mail : (pirchhelper@yahoo.com) ,
Date : 2004-10-17 , Time : 17:06:15 , From IP : p1-udnHS1.NE.loxinfo


ความเห็นจาก Social Network : Facebook


สงวนสิทธิ์การแสดงความคิดเห็นสำหรับ สมาชิกเท่านั้น
>>>>> Page loaded: 0.005 seconds. <<<<<