ความคิดเห็นทั้งหมด : 19

จำเป็นหรือไม่ที่เราต้องนับถือศาสนาใดศาสนาหนึ่งเพียงศาสนาเดียว


   -เพิ่งซื้อหนังสือเรื่อง The power of positive thinking แต่งโดย Norman vincent peale ผู้เขียนใช้คำสอนในศาสนาคริสต์ทำให้ผู้ที่กำลังทุกข์ใจผ่านพ้นอุปสรรคนั้นไปได้ ผมนับถือศาสนาพุทธแต่อ่านแล้วเลยลองประยุกต์ใช้ดู พบว่ามีประโยชน์ จึงเกิดคำถามขึ้นในใจว่าแท้จริงแล้วศาสนากับการใช้ชีวิตอยู่ในโลกนี้ควรเป็นอย่างไร ศาสนาจะมีส่วนช่วยให้เราผ่านพ้นอุปสรรคที่ผ่านเข้ามาได้อย่างไร จำเป็นหรือที่เราต้องทำตามคำสอนของศาสนาที่เรานับถือเท่านั้น



Posted by : megumi , Date : 2004-07-05 , Time : 23:25:30 , From IP : 172.29.3.217

ความคิดเห็นที่ : 1


   outcomeทุกศาสนาน่าจะเท่ากันแต่ เพียงแต่ toolที่ใช้นั้นแตกต่างกัน คงแล้วแต่ใครรักชอบวิธีแบบไหน แล้วถ้าเป็นคนไม่มีศาสนาหล่ะ แต่มีเพียงหลักยึดต่างๆที่ทำให้มีการดำรงชีวิตที่ดีงามจะได้ไหม

Posted by : pisces , Date : 2004-07-06 , Time : 06:53:35 , From IP : 172.29.3.225

ความคิดเห็นที่ : 2


   "ศาสนา" ไม่ใช่สิ่งสำคัญแต่เป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ สิ่งที่สำคัญที่สุดของมนุษย์ คือการทำดี ไม่เบียดเบียนใคร เพราะทุกศาสนาสอนให้คนทำดี

Posted by : JoeJo , Date : 2004-07-06 , Time : 08:21:14 , From IP : 172.29.1.97

ความคิดเห็นที่ : 3


   เรื่องนี้เป็นเรื่อง sensitive แต่น่าสนใจ

ขึ้นอยู่กับผู้อภิปรายจะมองจากมุมไหน จากมุมนักการศึกษาศาสนศาสตร์ จากมุมนักบวชของศาสนาหนึ่งๆ จากมุมคนธรรมดาๆทั่วไปที่นับถือ (บ้าง) ศาสนาต่างๆ ซึ่งบริบทจะเปิดโอกาสให้แสดงความเห็นหรือทำให้เกิดความเชื่อในเรื่องนี้แตกต่างกันไป

ศาสนามีองค์ประกอบหลายประการที่ช่วยแยกออกจาก "ปรัชญา" มีหนังสือหลายเล่ม และวิทยานิพนธ์มากมากพูดถึงเรื่องนี้ไว้แล้ว รายละเอียดหาไม่ยาก ยกตัวอย่างเช่น ศาสนาจะมีผู้ถ่ายทอดคำสั่งสอน ศาสนาจะมีพิธีการ ศาสนาจะมี scripture ฯลฯ นั่นเป็น "โครงสร้าง" ร่วม ถ้าแยกตาม Ultimate Being หรือ Entity ก็อาจจะแยกเป็น Thiest, Athiest, และ Agnostic (เชื่อในพระเจ้า, ไม่เชื่อในพระเจ้า, และพระเจ้าไม่ได้อยู่ในคำสอน ไม่ได้เจาะจงว่ามีหรือไม่มี) ศาสนาที่มี God เช่น คริสต์ อิสลาม ยิววิช ฮินดู ส่วนพวก Atheist ได้แก่ Church of Scientology, Anarchist และกลุ่ม Agnostic (ในความเห็นของผม) ได้แก่ศาสนาพุทธ ทุกศาสนาที่มีการพูดถึงสิ่งร่วมคือ Virtue หรือ คุณค่าความดีความถูกต้องของ "beings" (บางศาสนาจำเพาะมนุษย์ หรือ sentient beings หรือ ทุก "ชีวิต") ที่มีการพูดถึงอีกอย่างคือ Purpose of life และวัฏสังสาร (พูดแบบง่ายๆแต่ไม่ตรงทีเดียวคือ "ตายแล้วไปไหน")

ทีนี้นอกเหนือจากนั้นคงเป็นรายละเอียดในคัมภีร์ของแต่ละศาสนา ซึ่งไม่มีถูกผิด รายละเอียดเหล่านี้ค่อนข้าง sensitive และไม่ควรพูดในลักษณะเปรียบเทียบคุณค่า (อาจจะพูดในลักษณะเปรียบเทียบ "ความต่าง ความเหมือน" แค่นั้น) เนื่องจากส่วนหนึ่งที่เป็นส่วนสำคัญของ (แทบ) ทุกศาสนาคือ "ศรัทธา" (Faith) ตรงนี้ปิดประเด็นตรรกศาสตร์ไป แต่ส่วนนี่เองที่อาจจะตอบคำถามของผู้ตั้งกระทู้ นั่นคือถ้าหากมีการบ่งบอกว่า "ต้องไม่" นับถือศาสนาอื่น" ก็จบ ไม่ต้องอภิปรายว่าควร ไม่ควรต่อไป โดยส่วนใหญ่แล้วตรงนี้จะไม่กระทบกระเทือนถึง core value ในแง่ของการสั่งสอนพฤติกรรม ความดี ความถูกต้อง

ศาสนาที่เป็น Agnostic จะไม่มีข้อห้ามแบบนี้มากนัก พุทธศาสนาในส่วนของ "ปรัชญา" เอง ก็เปิดกว้าง และไม่เน้นท่องจำหรือการ declaration ว่าใครจะเป็นหรือไม่เป็นพุทธมามกะ สิ่งเหล่านี้ไม่ relevance ต่อทางเดินหรือมรรคา ใครจะเห็นดีเห็นชอบหรืออยากจะลองส่วนไหน เอาไปประกอบ ไปบูรณาการกับบุคลิกภาพส่วนตัวก็เป็นเรื่องของปัจเจกบุคคลนั้นๆ เนื่องจากกฏที่ใช้เป็น action-reaction หรือ chain reaction of Karma-Vipaka (กรรม-วิบาก) ดังนั้นที่สุดแล้วแต่ละคนจะเป็นนายของตนเองที่จะบงการว่าเรา "จะได้" อะไรในอนาคต อย่าลืมว่านี่คือส่วน "ปรัชญา" ของพุทธศาสนา ไม่ได้พูดถึงส่วนพิธีการ ซึ่งวชิรญาน (Tibetan Buddhism) มหายาน (Mahayana Buddhism) และเถรวาท หรือหินยาน(Theravadin or Hinayana Buddhism) ก็จะแตกต่างออกไปในรายละเอียด เช่น สีจีวร คำสวด สังฆกรรม ต่างๆ ซึ่งจะมี "กฏ" อยู่ไม่น้อย แต่มองในฐานะนักศึกษาศาสนศาสตร์ ก็จะแยกส่วนนี้ออกจากส่วนปรัชญา อภิธรรม หรืออะไรที่อยู่ใน "ตะกร้าสามใบ" (ไตรปิฏก Pali-Canon or Tipitaka) ออกต่างหาก



Posted by : Phoenix , Date : 2004-07-06 , Time : 09:53:21 , From IP : 172.29.3.106

ความคิดเห็นที่ : 4


    ผมว่าสำคัญที่สุดอยู่ที่ว่าเราจะดึงส่วนไหนของศาสนามาประยุกต์ใช้มากกว่า
โดยส่วนตัวผมนับถือศาสนาพุทธแต่ก็เคารพในคำสอนของทุกศาสนา
แต่ในการดำเนินชีวิตผมเลือกที่จะยึดถือแค่อยู่ 2 เรื่อง
1. ครอบครัว เป็นสิ่งสำคัญที่สุดที่บอกว่าผมเกิดมามีหน้าที่ที่ต้องทำ ต้องรับผิดชอบต่อคนในครอบครัวของผม ทำให้ผมมีเป้าหมายในชีวิต ทำหน้าที่ของผมให้ดีที่สุด ไม่ท้อแท้หรือยอมแพ้เวลามีปัญหาเข้ามา
2. เกียรติและศักดิศรี ในที่นี้ไม่ได้หมายความถึงความร่ำรวยหรือมีชื่อเสียงเพราะคนที่ร่ำรวยหรือมีชื่อเสียงอาจจะไม่มีเกียรติและศักดิศรีที่ผมว่านี้เลยก็ได้ แต่เป็นเกียรติและศักดิศรีของความเป็นมนุษย์ ซึ่งจะเป็นตัวควบคุมการดำเนินชีวิตของผมให้ผมทำในสิ่งที่ถูกต้อง รักษาสัญญา ละอายที่จะทำในสิ่งที่ไม่ถูก ทำให้ผมกล้าที่จะมองหน้าทุกๆคนได้ด้วยความภูมิใจ
ผมว่าศาสนาเป็นเหมือนกรอบที่ข้างในบรรจุเรื่องต่างๆไว้มากมาย ขึ้นอยู่ที่ว่าเราจะเลือกหยิบเอาส่วนไหนของศาสนามาใช้เพื่อให้เกิดความสุขในชีวิตมากกว่า เพราะแต่ละคนคงเลือกที่จะหยิบเอาคำสอนมาใช้ในชีวิตไม่เหมือนกัน


Posted by : ภูผา , Date : 2004-07-06 , Time : 11:04:47 , From IP : 172.29.3.102

ความคิดเห็นที่ : 5


   ....ถ้าถามตรงๆว่าจำเป็นหรือไม่......ที่ต้องนับถือศาสนาเดียว....ผมคิดว่าไม่จำเป็นครับ....ถามผมเองตรงๆว่าผมนับถือศาสนาแบบจริงๆจังๆบ้างหรือเปล่า.....ผมคงตอบว่าน่าจะไม่ครับ......

ผมนึกไม่ออกแล้วว่าครั้งสุดท้ายที่ผมใส่บาตรนี่คือเมื่อไหร.....ผมเข้าวัดครั้งสุดท้ายเมื่อไหรก็นึกไม่ออกเช่นกันครับ.....แต่ผมไม่ปฎิเสธหรอกครับว่าศาสนามีส่วนช่วยผมในหลายๆอย่าง.....ผมนับถือศาสนาแต่ไม่ได้ยึดติดอะไรมากนัก......

บางทีบางช่วงในชีวิตผมเคยคิดเสียด้วยครับว่า....การอ้อนวอนขอร้องให้พระเจ้าช่วย.....เป็นการกระทำที่สิ้นหวัง.....เพื่อนผมเคยบอกว่า..."เพราะนายไม่มีศรัทธาต่างหาก".....ผมก็เลยมานั่งคิดว่า.....แล้วพระเจ้าจะช่วยให้ผมเอนท์ติดเหรอถ้าผมไม่อ่านหนังสือเอาแต่สวดอ้อนวอนทั้งวัน....คงน่าจะไม่.....คำว่า"ศรัทธา"ของแต่ละคนคงไม่เหมือนกัน

สิ่งที่ผมเชื่อคือว่า...เวรกรรมคงน่าจะมีจริง.....ถ้าผมขยันเรียน....ผมคงจะเจริญ.....แต่ถ้าผมขี้เกียจ.....ชีวิตผมท่าจะแย่....ผมเชื่อในสิ่งที่เป็นเหตุเป็นผลครับ....ในแง่ของพวกปาฎิหารย์ทั้งหลาย....ผมว่าเชื่อยากครับ.....เป็นผมคงไม่มานั่งรอราชรถมาเกยแน่นอน......เพราะปาฎิหารย์คงไม่เคยช่วยเหลือคนที่ไร้ความพยายาม.....

......ผมเพิ่งอ่าน Man on Fire ของ A J Quinnell จบไปเมื่อเดือนก่อน.....คุณ Megumi ลองไปหามาอ่านดูบ้างก็ได้นะครับ.....เขียนมา 20 ปีได้แล้ว.....แต่เพิ่งเอามาสร้างเป็นหนังปีนี้....จะเข้ามาฉายบ้านเราอีกสองเดือนข้างหน้า.....ในหนังสือจมีมุมมองหลายๆอย่างของความศรัทธาและความต้องการของการที่จะมีชีวิตอยู่....เพื่ออะไร....และเพื่อใคร....โดยที่มุมมองส่วนหนึ่งของหนังสือ...คือการลงทัณฑ์ผู้กระทำผิดอย่างสาสม....โดยที่ไม่รอให้เวรกรรมมาตามทัน.....ฟังดูคล้ายๆ Plot ของการ์ตูนและหนังอย่าง The Punisher....ซึ่งบางคนต่อต้านเหลือเกินว่าขายความคิดที่ปราศจากความศรัทธาต่อเรื่องเวรกรรม......อาจจะทำให้เยาวชนเชื่อว่า.....เราควรจะทำตนเป็น"เวรกรรม"เองดีกว่ารอให้"เวรกรรม"ของจริงตามมาถึง....แต่ผมค่อนข้างเชื่อว่า.....คงมีคนจำนวนไม่น้อยที่จะทำตนเป็นแบบตัวเอกในหนังสือ Man on Fire หรือ The Punisher ถ้าต้องตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกัน.......ผมเองก็คนหนึ่งหละ...:D....:D

.....บางครั้งผมก็คิดนะว่า.....อาจจะเป็นช่วงเวลาของชีวิตก็ได้....ตามเวลาที่เปลี่ยนไป.....ถ้าผมแก่ลง...ผมอาจจะหันไปเข้าวัดมากขึ้น....หรือศรัทธาในศาสนามากขึ้นก็ได้......ไม่รู้สินะครับ....เพราะผมเห็นแต่คนแก่ๆเข้าวัดกัน.....:D...:D

.......ลองอ่านแบบไม่เครียดดูบ้างไหมครับคุณ Megumi.....ลองนี่เลยครับ.....ผมเพิ่งอ่านจบเมื่ออาทิตย์ก่อน....Can you keep a secret? ของ Sophie Kinsella....สนุกสนานแบบไม่มีสาระอะไรมาก.....อ่านจบได้ภายในหนึ่งวัน.....:D..:D



Posted by : Death , Date : 2004-07-06 , Time : 11:12:15 , From IP : 172.29.3.151

ความคิดเห็นที่ : 6


   . ตอบคำถามก่อนพี่เมกูมิ ถาม ว่าจำเป็นหรือ ไม่ ตอบว่า จำเป็นครับ.. เพราะใน ทะเบียราษฎร์ ต้องใส่ศาสนา ที่นับถือ ไว้ครับ ผมยังไม่เคย เห็นใครใส่ ศาสนา เป็น 2 หรือ 3 ศาสนา เลย .และในทางพิธีกรรม แต่ละศาสนนา ไมใหมือนกัน สำคัญคือ เรื่องความเชื่อเกี่ยวกับการตาย .. แต่ เหมื่อน พี่เดท ว่าอีก เหมือนกัน เรานับถือกันจริงจัง แค่ใหน .. แต่ ส่วนใหญ่ ถามใครๆ เขาก็ยบบอกว่านับถือศาสนานั้น ศาสนานี้ แค่ศาสนา เดียว ... แต่ อาจจะสนใจในคำสอนของศาสนา อื่น ด้วยก็ไม่เห็นแปลก -
ผมว่าศาสนาทุกศาสนา สอนไปในแนวทางเดียวกัน คือให้เป็นคนดี มีที่ยึดเหนี่วจิตใจ และ นำมาซึ่งความสันติสุข แห่งโลก ..แต่อาจจะต่างกันที่วิธีการสอน ..ซึ่ง การเลืกจะนับถือ ก็ตามจริต ของแต่ละคน .. แต่ด้วยอะไรก็แล้วแต่ เรามักจะนับถือตามบรรพบุษ ผมไม่แน่ใจว่าเป็น กุสโลบาย เรื่อง unity หรือ เปล่า ...
สรุป โดยส่วนตัว เห็นว่าควรนับถือ ศาสนาแค่ศาสนาเดียวคัรบ แต่จะสนใจคำสอนของศาสนาอื่น ด้วย ยิ่งดี


เฮ้อ พี่ เมกูมิ ตั้งหัวข้ออะไร ไม่รู้ เครียด จังเลย ... ผมว่า เรา อ่าน schwartz กันดี ว่า เป็ฯคัมภีร์ BIBLE ของลัทธิ พี่ เมกูมิ นับถือ อยู่ อิอิ


Posted by : munich , Date : 2004-07-06 , Time : 18:50:34 , From IP : 172.29.1.139

ความคิดเห็นที่ : 7


   ส่วนผมมีความเห็นว่า

การอ่านหนังสือเยอะๆเป็นเรื่องที่ดีครับ ถ้าเราแบ่งเวลาเป็น เพราะอย่าลืมว่าต้องอ่านหนังสือสอบกันด้วย ขณะนี้ Sabiston 17th edition และ Cameron 8th edition ปี 2004 ออกมาแล้วครับอุ่นๆเลย อย่าลืมหามาอ่านกันด้วย



Posted by : กะหลั่วเป็ด evolution , Date : 2004-07-06 , Time : 20:00:22 , From IP : 203.156.23.145

ความคิดเห็นที่ : 8


   ในช่วงเวลาอันสั้นที่ผมได้มีโอกาสทำงานร่วมกับทีม Palliative Care ของโรงพยาบาลเรา ทำให้ผมอดตั้งข้อสังเกตอะไรบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับกระทู้นี้ไม่ได้

จริงอยู่ที่ชีวิตประจำวันของคนเราในปัจจุบัน กอปรกับกิจกรรมหาเลี้ยงชีพ ผนวกด้วยพฤติกรรมไม่งามของเศษเสี้ยวของคนในสังฆกรรม ทำให้พวกเราห่างเหินจากสิ่งยึดเหนี่ยวทางจิตใจส่วนนี้ ทว่ากลับไม่ใช่เรื่องหายากหรือแปลกประหลาดที่ผู้ป่วย Palliative Care หลายคนที่สุดหันมาหาอะไรบางอย่างที่สัมผัสจับต้องไม่ได้ วิทยาศาสตร์ไม่ได้พิสูจน์ ตรรกศาสตร์ก็ไม่มีนี่แหละ

อาจจะเป็นเพราะสิ่งยึดเหนี่ยวที่ว่านี้ไม่ต้องหาเงินมาซื้อ อยู่กับเราตราบที่เรามีศรัทธา ไม่ได้ขึ้นอยู่กับสุขภาพ ฐานะ ระดับการศึกษา แต่ขณะเดียวกันที่สุดแล้วก็สามารถบันดาลความสงบทางใจ หรือความสุข "เล็กๆ" ถึงแม้เพียงลำพังก็ได้กระมัง

จำเป็นหรือไม่ที่กิจกรรมที่ว่า ศรัทธาที่กล่าวถึงนี้จะต้องมีชื่อเรียก มีการ nominated ว่าเป็นของศาสดาท่านไหน เป็นของขวัญจากใคร? ตรงนี้ก้คงมีคำตอบที่แตกต่างกันไปตามบริบทของแต่ละคน แต่นั่นคงไม่สำคัญเท่ากับมัน "ได้ผล"

หากจะมีคนตั้งข้อสังเกตว่าศาสนาเป็นสิ่งที่คนแก่ๆเท่านั้น หรือส่วนใหญ่ มาสนใจ รูปแบบดังกล่าวก็อาจจะตีความได้หลายแง่หลายมุม เป็นเพราะมีแต่คนหลงๆลืมๆหมดสมรรถภาพทางกายจิตใจ หรือเป็นเพราะประสบการณ์ชีวิตที่ผ่านมามากกว่าเด้กๆวัยรุ่นที่ทำให้เกิด In-Trend แบบนี้? ก็เป็นเรื่องน่าสนใจ เราคงจะหาความสัมพันธ์ร่วมได้จาก in depth interview หรืองานวิจัยเชิงคุณภาพได้



Posted by : Phoenix , Date : 2004-07-06 , Time : 20:12:09 , From IP : 172.29.3.203

ความคิดเห็นที่ : 9


   ขออนุญาตครับ
ผมไม่แน่ใจว่า Outcome ของทุกศาสนาจะเหมือนกันอย่างที่คุณ pisces ว่าหรือเปล่า คงไม่มีใครพิสูจน์ได้ วัตถุประสงค์ มองรวม ๆ แบบที่เราเรียนมาว่าต้องการให้ทุกคนเป็นคนดี ก็น่าจะใช่ แต่ก็คงมีข้อแคลงใจสำหรับบางครั้ง ผมไม่รู้รายละเอียด ที่ผมสนใจคือวิธีคิด บางครั้งบอกให้เรา "ศรัทธา" บางอย่างบอกให้เรารับใช้ บางทีบอกให้เราพิสูจน์

กระบวนการในการเกิดขึ้นของสิ่งเหล่านี้ก็น่าสนใจ บางอย่างมาพร้อมการเกิด บางอย่างมาเป็นนิมิตร บางอย่างมาจากกระบวนการคิดและพิสูจน์

ผมสงสัยว่า ถ้า Socrates Plato หรือ Aristotle ฯลฯ มีเวลาคิดที่นานกว่าที่เป็น พวกเขาจะเข้าถึงความจริงแท้ใหม

ผมสงสัยว่า การตรัสรู้ มีจริงหรือเปล่า เป็นจริงหรือเปล่าที่จะรู้เข้าใจในจักรวาล สามภพ ด้วยการตรัสรู้

ผมสงสัยว่า กระบวนการคิด พิสูจน์ ทางวิทยาศาสตร์ หากเผ่าพันธ์ของเรามีการสั่งสมวิทยาการที่ยาวนานพอ โดยไม่สูญพันธ์ไปก่อน เราจะเข้าใกล้ความจริงแท้ได้หรือไม่

สุดท้ายผมสงสัยว่า "ความจริงแท้" นี้มีจริงหรือไม่


Posted by : Dhan , Date : 2004-07-07 , Time : 21:56:29 , From IP : 172.29.3.230

ความคิดเห็นที่ : 10


   คำถามปรัชญาที่คุณ Dhan ถามมานั้นมีคนพยายามใช้วิธีการต่างๆที่กล่าวมาเพื่อค้นหาคำตอบ สงสัยจะตั้งแต่มนุษย์เริ่มคิด

Stephen Hawking เขียน The Theory of Everything อธิบายการเกิดของทุกสิ่งทุกอย่างโดยอาศัยสมการคณิตศาสตร์ พิสูจน์ได้โดย N-dimension mathematic equations และก็ยังพยายามต่อ

ศาสดาหลายต่อหลายศาสนาได้ค้นหา ประกาศ และถ่ายทอด

นักปรัชญาตีความ ถกอภิปราย

ฯลฯ.....

บางคำถามอย่างที่เราเคยพูดกัน เป็นคำถามที่ดี และสามารถตั้งเป็นคำถามวิจัย มีระเบียบวิธีวิจัยเพื่อให้ได้คำตอบ

บางคำถามเป็นคำถามที่ดี อาจจะสามารถหาคำตอบได้ แต่วิธีในทางปฏิบัติเป็นไปได้ยากมากจนถึงกับเกือบจะเป็นไปไม่ได้

บางคำถามไม่ค่อยดี และพิสูจน์ง่าย

บ้างก็ไม่น่าสนใจ เลยขี้คร้านจะไปพิสูจน์

แต่ทั้งหมดนี้เป็นเพราะหน้าที่อย่างนึงของสมองเราคือ "คิด" ส่วนหัวข้อที่เราแต่ละคนคิดนั้นเป็น free will เสรีภาพที่ว่าจะเปนได้ตั้งแต่อุบาทว์ลามกจนไปถึงอริยมรรค วิสุทธิมรรค

บางความเชื่ออธิบายว่าเนื่องมาจากบารมีที่เราเองเป็นคนสั่งสมไว้ ที่จะฉุดเราขึ้น จะดึงเราจม ถึงแม้เราจะถูกกระทบโดยสิ่งที่ผ่านไปแล้วมากน้อยสักเพียงไหน แต่ Here and Now ก็ยังเป็นอิสระเสรีที่จะมีผลกระทบต่อเราในอนาคต ต่อลูกหลานของเราในอนาคต ต่อสังคมแวดล้อมของเราในอนาคต



Posted by : Phoenix , Date : 2004-07-07 , Time : 22:37:05 , From IP : 172.29.3.217

ความคิดเห็นที่ : 11


   ....คำถามของพี่ Dhan ยากครับ.....ผมไม่เข้าใจหลายอย่างเลย.....ผมคงตอบสักอย่างได้ว่า.....ผมไม่รู้เหมือนกันครับว่า"ความจริงแท้"นี่คืออะไร....บางทีมันคงไม่มีความหมายอะไรเลลยก็ได้......ขึ้นกับคำจำกัดดความของแต่ละคนมั้งครับ......บางคนอาจจะไม่ต้องการไอ้"ความจริงแท้"อะไรนี่เลยก็ได้......แต่กลับบางคนอาจจะแสวงหามันอย่างลุ่มหลงชั่วชีวิตก็ได้.....:D...:D

......สำหรับผมนี่....ศาสนาอาจจะเป็นเรื่องที่น่าลำบากมาก......สมัยเด็กๆเคยมีคนถามผมว่า......ไปวัดแล้วได้อะไร....ผมตอบแบบไม่คิดว่า....ได้ไปนอนในศาลาริมทางบนยอดเข้าที่เงียบ...แล้วก็หลับสักครั้งวันก่อนที่ยายจะมาปลุกให้กลับบ้าน.....สรุปคือผมไม่ได้อะไรนอกจากนอนแบบสบายใจ....ไม่ได้ทำบุญ...ไม่ได้ฟังพระสวด.....ไม่ได้อะไรเลย.....แต่ผมชอบที่ได้นอนเฉยๆ....และนั่นคงเป็นประโยชน์ที่ผม"ได้"จากการเข้าวัดหละ....ที่ผมมานั่งนึกออกตอนนี้นะ...:D....:D

....ผมว่าพี่ Dhan คงไม่ต้องไปหาความจริงแท้อะไรนั่นหรอกครับ.....แค่ตอบได้ว่าชีวิตเราต้องการอะไร....และพอใจและมีความสุขกับมัน....คงน่าจะมีค่าพอกว่าความจริงแท้อะไรนั่น....ของบางอย่างไม่มีความจำเป็นที่ต้องรู้หรอกครับ.....แต่ก็อย่างว่าปละ...ว่า"ความจำเป็น"ของคนเราแต่ละคนคงไม่เท่ากัน...:D...:D.....ไม่รู้นะ...ผมคงตอบได้ข้อเดียวหละมั้ง....:D....อย่าด่าผมนะครับ...:D...:D



Posted by : Death , Date : 2004-07-09 , Time : 00:26:50 , From IP : 172.29.3.242

ความคิดเห็นที่ : 12


   ก่อนที่จะกล่าวว่า ความจริงแท้ นั้น มีอยู่ (exist, real) หรือไม่ ลองย้อนกลับถามก่อนว่า การมีอยู่ ตั้งอยู่และคงอยู่นั้น หมายถึงอะไร
.
ตั้งหรืออิงอยู่บนฐานอะไร
.
ไอน์สไตน์ ว่าไว้ว่า ไม่มีการวัดใดที่ กระบวนการจะไม่ interfere สิ่งที่ถูกวัด เชื่ออย่างนั้นผมจึงถามต่อว่า การพยายามเอากระบวนการสังเกตผ่านผัสสะ ไปตรวจไปวัดสภาวะจริงแท้นั้น เพียงพอหรือไม่ที่จะทำให้สำเหนียกรู้สภาวะนั้นโดยไม่บิดเบี้ยว
.
ท่านสิทธัตถะ หมายรู้สภาวะ นิพานัง ด้วยโสตใดกัน สภาวะที่ว่า มีอยู่หรือไม่ บาฐานใด และหากมีอยู่ จะคงอยู่หรือไม่ นานแค่ไหน การจะเข้าสัมผัสเรียนรู้สภาวะนี้ จะต้องเพียรฝึกฝนและท่องไปตามมิติของเวลาอย่างยาวนานอย่างที่พี่ดานว่าไว้จริงหรือ หรือมันเป็นเพียงมิติที่ซ้อนทับอยู่ใกล้ ๆ ตั้งอยู่บนปลายจมูกโดยที่เรามองไม่เห็น
.
ย้อนกลับมาที่เรื่องทางการแพทย์ เรากล่าวได้ไหมว่า แม้งานวิจัยที่ออกแบบดีที่สุด ก็ยังไม่อาจกำจัด bias จนเป็นศูนย์ เราเข้าถึงความจริงแท้ได้ใกล้ที่สุดก็เพียง หนึ่งฝ่ามือก่อนที่จะถึงตัวตนของมันเท่านั้น


Posted by : Shonigega , Date : 2004-07-09 , Time : 08:09:23 , From IP : pedsurg.med.osaka-u.

ความคิดเห็นที่ : 13


   คิดถึงนาย shinigega จัง
พักนี้ไม่เห็น online ทาง MSN เลย
หรือว่างานยุ่ง?



Posted by : กะหลั่วเป็ด evolution , Date : 2004-07-09 , Time : 09:31:42 , From IP : 203.147.52.18

ความคิดเห็นที่ : 14


    ขออนุญาต แสดงความคิดเห็น

ศาสนาทุกศาสนา สอนให้ทุกคนเป็นคนดี แต่ไม่มีศาสนาไหนสอนให้คนออกจาก การเกิด แก่เจ็บตายได้ ดังนั้น outcome ไม่มีทางเท่ากันได้

มีนิทานเรื่องหนึ่งจะเล่าให้ฟัง ครับผม

มีเต่ากับ ปลาคุยกัน ปลาบอกว่าว่ายน้ำในสระทุกวันน่าเบื่อจัง
เต่าบอกว่า ทำไมไม่ลองไปเดินบนบกบ้างล่ะ

ปลาก็ถามว่า บนบกเป็นอย่างไร มีโคลนมากหรือเปล่า มีตม หนาแค่ไหน
มีพืชอะไร

เต่าบอกว่า ไม่มีโคลน มีท้องฟ้า มีลมพัด

ปลาก็อยากรู้ว่า ลมเป็นอย่างไร ฟ้าเป็นอย่างไร
อธิบายอย่างไร ก็ไม่มีทางเข้าใจ ปลาก็มีแต่ความสงสัยว่า จะมีลม จริงหรือไม่ มี สัตว์ที่บินได้จริงหรือ
ในความเป็นจริง

ถามว่าปลา เกิดจาก จากปลา มีตระกูลเป็นปลา
เต่า ก็มีตระกูล เต่า นกก็มีตระกูลเป็นนก

พอเทียบกับคน เรื่องราวทุกอย่างในสังคม
ทำไมมีคนรวย คนจน คนฉลาด คนโง่ คนบ้า

คำตอบคือ กรรม กรรมที่แปลว่าการกระทำ
กรรม เป็นเครื่องแยกแยะสัตว์



ศาสนา ทุกศาสนา มีวิธีชักจูง สอนให้คนคิด และ ทำตาม มีศาสดา คำสั่งสอน
สาวก
แต่ศาสนาพุทธ สอนเรื่องกรรม



ดังนั้น บุคคลที่มีวิสุทธิสันดาน ซึ่งนำมาซึ่งการตรัสรู้ นั้นมีจริงแท้แน่นอน
(กระผมมั่นใจ) ซึ่งขึ้นกับ ทาน ศีล เขกขัมมะ ปัญญา วิริยะ อธิษฐานะ .....บารมี 10 ทัศ
เหมือน ในหลวงของปวงชนชาวไทย เป็นตัวอย่าง
ถ้าท่าน อยากรู้มากกว่านี้ ลองมาพิสูจน์ ดูเองเถิด


Posted by : fahrenheit 9/11 , Date : 2004-07-13 , Time : 15:14:48 , From IP : 202.28.21.6

ความคิดเห็นที่ : 15


   กรุณาขยายความ "outcome" และ "เท่าเทียม" และ "มั่นใจ" ได้ไหมครับ

Namaste



Posted by : Phoenix , Date : 2004-07-13 , Time : 18:54:04 , From IP : 203.155.172.11

ความคิดเห็นที่ : 16


   ก่อนอื่นขอบอกว่า เป็นความคิดเห็นส่วนตัว ผิดถูกยังไงก็รับฟัง
outcome วัตถุประสงค์สูงสุดของศาสนานี้ ไงครับ
สอนให้คนออกจากโลก คือ การเกิด แก่เจ็บ ตาย
หลัก 5 อย่างของ พุทธศานา
อย่างแรกคือ ทาน เพื่อ เสียสละ ความไม่ดี ออกจากตัวเรา
อย่างที่ สอง คือ ความประพฤติ ดีงาม คือ การไปสวรรค์ การทำให้สังคมสงบสุข
อย่างที่ 3, 4 จำไม่ได้ครับผม
แต่ท้ายทีสุดแล้ว กาม เป็นทุกข์มาก เป็นสุขน้อย
พระพุทธองค์ ท่านก็สอนเรื่องนิพพาน

ศาสนาอื่น อาจจะสอนให้อยู่เป็นสุข อาจจะมีเรื่องสวรรค์บ้าง แต่ไม่ละเอียด เท่า แต่ ไม่ได้สอนเรื่องนิพพาน



คำว่ามั่นใจ
มาจากตัวผมเอง
ถ้าเป็น คุณ phoenix ถ้ามีคนไข้มาถามถึงเรื่องเกี่ยวกับการป่วย การใช้ยา หรือการ ทำหัตถการ เกี่ยวกับคนไข้ คุณ phoenix น่าจะรู้ดี เพราะว่าได้ เรียนมา ได้ศึกษามา มาก


หรือถ้าเป็นคนที่ติดเกมส์ ragnarog ถ้าพูดเรื่อง boss หรือ item หรือ อะไรต่างๆ ก็คงจะรู้ดี เพราะ ได้คุ้นเคย ได้คิด ได้ผ่านตา ได้ยิน ได้ฟังมา


ส่วนผมก็มี สังคม มีสิ่งแวดล้อม ที่ พูดคุยเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้อยู่มาก ....

สรุป ก็คือ กรรม พาไป
ให้ผมมารู้เรื่องพวกนี้ มาก เลยพูดได้ว่ามั่นใจ ที่สิ่งเหล่านี้มีจริงครับ





Posted by : fahrenheit 9/11 , Date : 2004-07-28 , Time : 15:56:19 , From IP : 202.28.21.6

ความคิดเห็นที่ : 17


   ขอบคุณครับคุณ Fahrenheit 9/11

เห็นด้วยอย่างยิ่งว่าประสบการณ์ และการเรียนรู้จากประสบการณ์นำมาซึ่งการเปลี่ยนระดับความมั่นใจในสิ่งที่เราเชื่อ คุณค่าที่เราเทอดทูน และทฤษฎีที่ผ่านกรพิสูจน์ตอกย้ำ

ทีนี้ปัญหาอยู่ที่ถ้าเรากำลังถกกันเรื่อง ultimate truth ทฤษฎีที่จริงแท้แน่นอน เป็น univerality theory ไม่ถูก affected โดยชาติ ศาสนา ภาษา แล้ว "ประสบการณ์ของคนๆหนึ่ง" มีน้ำหนักมากน้อยแค่ไหนในการ declare ว่าสิ่งที่ได้พิสูจน์มานั้นเป็น ultimate truth และสิ่งที่คนอื่นบอกว่าถูกนั้นเป็นแค่ temporary facts?

ยกตัวอย่าง "สวรรค์" ที่คุณ Fahrenheit 9/11 พูดถึงนั้น เป็นเช่นไร? เหมือนหรือต่างจาก Olympus จาก Vahulla จากดาวดึงษ์ เป็น Realm เช่นไร? สิ่งเหล่านี้เราสามารถใช้ "ประสบการณ์" หรือ "ตรรก" มาจำแนกความ "จริงแท้" ได้หรือไม่?

"ศาสนาอื่น" นั้น เรามีความรู้ลึกซึ้งเพียงใดในการวิเคราะห์ ทำ critical analysis ก่อนสรุปว่าไม่ได้กล่าวถึงเรื่องนี้ ไม่ได้ address เรื่องนั้น ข้อสำคัญคือ ไม่ได้ declare the ultimate truth?

ผัสสะของเราคือ ดู คลำ ได้กลิ่น ได้ยิน ได้รู้รส นั้น เป็นเครื่องมือที่แม่นยำเพียงไร? และในปฏิจสมุปบาทนั้น สิ่งเหล่านี้เป็นแค่เสี้ยวหนึ่งของกงล้อของวัฏสังสารมิใช่หรือ เหตุใดเราจึงให้ความมั่นใจในการรับรู้เช่นนั้นเล่า?

ความรู้ทางการแพทย์นั้นเป็นแค่ facts เท่านั้น ไม่ใช่เป็น truth เพราะว่า Fact ใช้เหตุผลหลักการสิ่งแวดล้อมที่ดีที่สุด ณ เวลา นั้นๆ เราได้เดินทางผ่านกาลเวลามาไกลตั้งแต่การเปลี่ยนถ่านเหลือเพื่อรักษาการติดเชื้อ จนมาถึงประตูไปสู่นานเทคโนโลยี ใครจะเป็นคนบอกว่า "มั่นใจ" ในศาสตร์แห่งการแพทย์ว่าได้ถึงแล้วซึ่งความจริงที่มิอาจเปลี่ยนแปลงได้?

อยากเรียนต่ออีกครับ



Posted by : Phoenix , Date : 2004-07-29 , Time : 00:09:07 , From IP : 172.29.3.223

ความคิดเห็นที่ : 18


   ถึงคุณ phoenix


ความจริงก็คือ ความจริง แต่มันอยู่ที่ไหน
รู้มาจากใคร ศาสดาของเราสอนว่าอย่าเชื่อใคร

ในบทสวด เค้าก็บอกว่า มาพิสูจน์ดูเองเถิด
ศาสดา เป็นผู้ชี้ทาง เหมือนแผนที่ หากท่านเดินตามได้ท่านก็จะเจอเมืองที่ว่า
คุณเคยได้ยินคำว่า "สวรรค์ อยู่ในอก นรกอยู่ในใจ" หรือไม่
ความจริงแล้ว มันไม่มีจริงๆ หรอกว่ามันลอยอยู่ในอากาศชั้นไหน สูงจากพื้นโลกกี่หมื่นเมตร

คุณลองนึกถึง ความรู้สึกที่แม่มีต่อลูกหนึ่งคน ความรู้สึกนั้นมันบรรยายออกมาได้หรือไม่
ความรู้สึกโกรธ เกลียด แค้นเคืองจนต้องจบด้วยการฆ่ากัน

สิ่งเหล่านี้มันบรรยายออกมาเป็นภาพได้ยาก
เช่นกันกับสวรรค์ นรก มันเป็นสิ่งที่ไม่มีตัวตน เป็นสภาวะที่เป็นสิ่งที่มองไม่เห็น

แต่ จะทำอย่างไรให้สิ่งที่มองไม่เห็น กลายเป็นสิ่งที่คนมองเห็น
ก็ต้องสร้างภาพออกมา


ที่ผมมั่นใจ เพราะประสบการณ์ที่เจอ กับตัวเอง ไม่ใช่เป็นสิ่งที่คิดขึ้นมาจาก การสัมผัส ลิ้มรส เฝ้าฟัง

ยกตัวอย่างเล็กๆ น้อยนะท่าน

ท่านคิดว่าพระนเรศวรมหาราชมีจริง หรือไม่ ท่านไม่ต้องไปตามหาหลักฐานใดๆ อยากให้ท่านคิดเอาเองว่ามีจริงหรือไม่ ในอดีตกาลไกลโพ้น
ท่านเป็นคนกู้ชาติไทย จริงหรือไม่ หรือเป็นเพียงสิ่งที่เขาเล่าขาน แล้วก็กู่ขึ้นมาเพื่อให้คนไทยรักชาติ หรือเทอดเกียรติ คนอื่น เล่นๆ

แต่ยังมีที่ไกลกว่านั้นอีกไม่ไกล เพียง เมื่อประมาณ 2592 ปีที่แล้ว มีสิ่งที่เปลี่ยนแปลงโลก แล้วสิ่งเหล่านั้นเป็นเพียงข่าวลือหรือ

ตู้พระไตรปิฏกที่มี 84000 พระธรรมขันธ์ นั้นเกิดขึ้นมาแต่เหตุใดหรือ


เหตุนั้น มาจาก

พ่อค้าคนหนึ่ง เป็นคนที่มีวิริยะสูง ท่านมีมารดาคนหนึ่ง วันหนึ่งฝนตก ท่านคนนั้นมีอาชีพเป็นพ่อค้าฟืน ท่านก็คิดได้ว่า อาชีพเราขึ้นกับลมฟ้าอากาศเกินไป
อยากจะไปหาอาชีพที่เมืองอื่นทำ จึงได้พามารดาลงเรือ ไป ระหว่างทางเรือเกิดอับปาง ขึ้น ท่านก็อุตสาหะ นำแม่พาขึ้นบนบ่า แล้วก็ว่ายน้ำอยู่ 7 วัน 7 คืน
หลังจากนั้น ท่านก็มี คน*** มาช่วย และ คน*** ก็ได้ทำให้ท่านเห็นเหตุความทุกข์ อันเกิดแต่ กามคุณ
และท่านก็ได้อธิษฐาน เพื่อจะมาเป็นศาสดาของเราในชาตินี้

อ้างอิงจากพระไตรปิฏก (อ่านมาพิมพ์ไม่ได้ลอกมา อาจจะผิดเพี้ยนไปบ้างนะครับ)

ดังนั้น ถ้าท่านทำได้ถูกท่านจะได้พบทางเอง

ป.ล. กรรมมันพาไป ที่ผมว่ามันคือ กายกรรมของผม ผมชอบอ่านหนังสือพวกนี้ มโนกรรม ของผมคิดถึงแต่เรื่องพวกนี้
วจีกรรมของผมก็พูดเรื่องพวกนี้อยู่บ่อยๆ กับแม่ของผม แต่ว่าคนย่อมมีข้อบกพร่อง หรือความไม่รู้เหตุต่างๆ ในตัวเอง ไม่มีใครรู้มากมาแต่เกิด


ลองมาพิสูจน์ดูเองเถิด


เช่น ถ้ามีคนถูกธนูดอกนึงมียาพิษมา ท่านจะทำอย่างไรเป็นสิ่งแรก
ซักประวัติ when, where ,how , Where else Treatment , จับ pulp rate , check vital sign แล้วถามถึงว่า
ธนูที่เค้ายิงนั้น ท่ายิงเค้ายืน หรือนั่งยิง
ธนูทำมาจากไม้ชนิดอะไร
ธนูยาวหรือสั้น
ลูกศร ทำมาจากเหล็กอะไร คนตีหัวธนู เป็นผู้ชาย หรือผู้หญิง
ลูกศรตรงหรือว่า โค้งเล็กน้อย
เป็นลูกศรที่ดี หรือไม่
คนยิงธนูนั้นผอมหรืออ้วน คนยิงเป็นคนดีหรือคนไม่ดี เป็นการเข้าใจผิด หรือว่า เป็นการแก้แค้นส่วนตัว
เค้ายิงสิ่งอื่นหรือว่าเค้าตั้งใจยิง คนไข้เรา .........ฯลฯ

คนมีปัญญาคงไม่ทำกัน
เค้าก็ต้องเข้าเรื่องแล้วก็ รีบรักษาคนไข้ให้หาย
ฉันใด ธรรมะ 84000 พระธรรมขันธ์ เป็นเพียงใบไม้หยิบมือเดียวในป่า
คนที่รัก ในธรรมะของพระองค์ เป็นเหมือน เขาโค เทียบกับคนที่มองเพียงผิวเผิน ได้เพียง กระพี้ ใบ ราก เป็นเหมือน ขนโค

เพราะท่านเป็นทุกข์ ท่านไม่ได้หมดทุกข์เพราะรู้ไปหมดทุกเรื่อง

ท่านหมดทุกข์ เพราะท่านไม่มีเหตุให้เกิด ท่านไม่ได้ทำ
เรื่องรู้ไม่รู้ มันก็เป็นเรื่องของมัน ..... ...


ป.ล. ขอให้คุณ phoenix มีความสุขในการเรียน การทำงานมากๆ นะครับ
อย่างไรแล้ว ก็ขอให้ดำเนินชีวิต ด้วยสติ การมีสติ หมายถึง นึกถึงอยู่เสมอ ไม่เผลอเรอ มีความวิริยะ คือความพยายามให้ถึง ....ทุกสิ่งที่ทำให้ชีวิตสมบูรณ์ด้วยการวัฒนา ในการดำเนินชีวิต สิ่งเหล่านี้มีอยู่ในใจคนทุกคน แต่ว่าไม่ได้ตรึกให้ดี
นำมาพิจรณาให้ถ่องแท้
การเป็นแพทย์ก็เป็นสิ่งที่น่ายกย่อง ยกย่องเพราะเป็นผู้ให้ ผู้มีความสามารถจะช่วย ผู้มีความวิริยะ อุตสาหะในตน สามารถทำตนให้เป็นที่พึ่งแห่งตนได้




ผมก็เป็นแพทย์เหมือนกัน แต่ไม่ได้อยู่แถวนี้ แวะมากระดานอภิปราย ก็เลยมาตอบ สิ่งที่ผม คิดว่าน่าจะพอเป็นประโยชน์








Posted by : fahrenheit 9/11 , Date : 2004-08-10 , Time : 01:17:11 , From IP : 203.209.5.86

ความคิดเห็นที่ : 19


   ขอบคุณครับ คุณ Farenheit 9/11

จริงๆแล้วจุดเริ่มแห่งความสนใจในพุทธศาสนาโดยส่วนตัวของผมเองเกิดจาก "การขอให้ลองดู" ด้วยตนเองนี่แหละ

บทกาลามสูตร ที่หัวหน้าหมู่บ้านกาลาม ไปถามพระสมณโคดมว่าจะทราบได้อย่างไรว่าธรรมข้อใดถูกต้องแล้ว สมควรแล้ว ท่านได้วิสัชณาว่าให้ใช้ปัญญาพิจารณาว่าธรรมนั้นมีที่ตำหนิหรือไม่ เป็นที่ชื่นชมอวยพรหรือไม่ ยังประโยชน์หรือไม่ อยู่บนมรรคาแห่งการพ้นทุกข์หรือไม่ (ส่วนใหญ่เราจำสั้นๆว่าเป็นธรรมแห่งการไม่เชื่อสิบอย่าง บางคนเผอเรอเป็นเลยไม่เชื่ออะไรซักอย่าง นับว่าเนื้อหาตกหล่นไปอย่างน่าเสียดาย)

เหตุที่พระพุทธเจ้าท่านสอนโดยให้ทดลอง ทำให้คนที่สงสัยมาพิสูจน์ด้วยตนเองนั้น มีประโยชน์ และกล่าวได้ว่า (โดยผมเอง) เป็นจุดแข็ง เพราะไม่ได้ตั้งกรอบเกณฑ์ว่ "ต้อง" เชื่อไว้ก่อน แต่ในขณะเดียวกันระหว่างทางที่กำลังเดินทางนั้น สัมมาสติ ต้องดี รู้ชอบว่าเรากำลังใช้เครื่องมืออะไรวัดอะไรอยู่ ผัสสะทั้งห้า (หรือหก) นั้นอาศัยประสบการณ์เก่ามาแปลผล ประสบการณ์เหล่านี้เบี่ยงเบนไปตามปัจเจกบุคคล ฉะนั้นไม่ใช่ทุกคนสะดุดก้อนหินแล้วจะ enlighten ฉันใด การบรรยายประสบการณ์ด้านนี้ให้คนอื่นเข้าใจก็จะไม่สัมฤทธิ์ผลเสมอไปฉันนั้น

ขอพรทั้งหลายทั้งปวงที่คุณ farenheit 9/11 ได้อำนวยมาบังเกิดเป็นเมล็ดออกดอกงอกงามแก่ตัวคุณเองและครอบครัว คนแวดล้อม ด้วยเช่นกันครับ

Namaste



Posted by : Phoenix , Date : 2004-08-10 , Time : 02:32:33 , From IP : 172.29.3.246

ความเห็นจาก Social Network : Facebook


สงวนสิทธิ์การแสดงความคิดเห็นสำหรับ สมาชิกเท่านั้น
>>>>> Page loaded: 0.01 seconds. <<<<<