ความคิดเห็นทั้งหมด : 49

พนักงานคอมพิวเตอร์ ตึกแดงชั้น3 เคยโดน...............


    พวกเราคงเคยไปเล่นเน็ต เกมส์ และค้นคว้าหาข้อมูลที่ตึกแดงชั้น3 กันใช่ไหม เคยโดนด่าและทำน่าบอกบุญไม่รับใส่บ้างไหม แล้วเรารู้สึกกันยังไงบ้าง เพราะเค้าก้อรู้ว่าเราน่ะเป็นหมอ และเค้าก้อค่อยข้างมีการศึกษา เค้าควรจะรู้ว่าเค้าต้องทำตัวยังไง ไม่ใช่ถือดีทำตัวเป็นเจ้าของตึก มีสิทธิ์จะทำยังไงก็ได้ ขนาดพี่กิจการนักศึกษายังทำตัวน่ารัก ไม่เคยอวดดีเหมือนพวกนี้เลย พนักงานคอมพิวเตอร์ควรเอาเป็นตัวอย่างบ้างนะ ไม่ใช่อวดดีว่าเก่งคอมพิวเตอร์อยู่คนเดียวแล้วจะทำอะไรก็ได้ จะบอกให้ ...เดี๋ยวนี้เค้าดูที่การบริการนะ ถ้าเก่งเรื่องคอมพิวเตอร์แต่ไม่มีมารยาท บริการห่วยแบบนี้ ระวังจะไม่มีงานทำนะ คนที่เค้าเก่งและบริการดียิ้มแย้มแจ่มใสมีอีกเยอะ และเค้าก้อคงอยากมาทำงานที่นี่ด้วย ถ้ายังไม่ปรับปรุงตัวอีกนะ สักวันจะบอกผู้รับผิดชอบให้มาดูและจัดการรับคนใหม่มาได้แล้ว
อันที่จริงก้อไม่อยากจะเอาเรื่องอะไรมากมายหรอกนะ แต่ต้องเข้าใจพวกเราด้วย พวกเราต้องการบริการที่ดี เพราะพวกเราเรียนค่อนข้างหนัก น่าจะเห็นใจกันบ้าง อยากจะเจออะไรที่ดี พูดภาษาคนแค่นี้หวังว่าคนจะเข้าใจนะ คะ.....


Posted by : น้อยๆ , Date : 2004-07-03 , Time : 20:43:47 , From IP : 203.172.89.81

ความคิดเห็นที่ : 1


    ขอเติมคำที่เว้นไว้นะคะ
พนักงานคอมพิวเตอร์ ตึกแดงชั้น3 เคยโดน....ไล่ออก....ไหมคะ


Posted by : ชมพู่ , Date : 2004-07-03 , Time : 20:48:52 , From IP : 203.172.89.81

ความคิดเห็นที่ : 2


   แนะนำให้เขียนรายงาน ลงชื่อจริง และส่งไปที่ผู้รับผิดชอบของหน่วยโดยตรง บอกรายละเอียดของ incident ที่ว่า ได้แก่ วัน เวลา ขึ้นไปทำอะไร เริ่มเหตุการณ์อย่างไร และมีการดำเนินเหตุการณ์อย่างไร จะได้มีการสอบสวนได้อย่างถูกต้องครับ

ส่วนประเด็นที่ว่าใครเป็นหมอ เป็นนักศึกษา หรือเป็นเจ้าหน้าที่นั้น ผมไม่คิดว่าเป็นประเด็นแม้แต่นิดเดียว



Posted by : Phoenix , Date : 2004-07-03 , Time : 20:52:45 , From IP : 172.29.3.203

ความคิดเห็นที่ : 3


   เคยไปใช้บริการ บางทีเค้าก้อพูดดีนะคะ
บางทีเค้าคงอารมณ์เสียมาจากที่อื่น...พูดจาไม่ดี ทำหน้าตาไม่ดี
ตอนนั้นก็เคืองๆเหมือนกัน แต่มาคิดดู..เราเองก็เคยมีช่วงเวลาที่อารมณ์ไม่ดีแบบนี้บ้าง ... จริงๆเค้าก็คงไม่ได้ตั้งใจ ถ้าไม่บ่อยและไม่มากเกินไป
"อภัยกันได้ ก็ให้อภัยกันเถอะค่ะ"


Posted by : pass , Date : 2004-07-04 , Time : 00:34:31 , From IP : 172.29.4.70

ความคิดเห็นที่ : 4


   
ไม่ทราบว่าคนเดียวกันหรือเปล่านะคะ เคยเจอเหมือนกันค่ะเธอเป็นผู้หญิงคนหนึ่งหน้ากลมๆตัวอวบๆไม่รู้จักชื่อ คราวนั้นสั่งprint แล้วทำไม่ได้ก็ไปถามว่าทำอย่างไร กลับมานั่งทำตามที่เขายอกทำไม่ได้อีกก้ไปขอให้เธอมาช่วยดูให้หน้าตาบอกบุญไม่รับ เราบอกว่าทำไม่ได้ค่ะ ตะคอกใส่เราว่าต้องได้สิ
และในที่สุดเราก็ไม่กล้าไปขอความช่วยเหลืออะไรอีกเดินออกมาจากห้องคอมเงียบๆ ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาเราไม่เคยไปที่นั่นอีกเลย นึกในใจว่า คณะไปจ้างคนมาจากไหนนะ ทำไมกิริยามารยาทเป็นแบบนี้เข้าใจว่าเธอน่าจะเป็นเจ้าของบริษัทหรือไม่ก็ภรรยา เพราะดูหยิ่งเชิดไม่ง้อใคร โดนกิริยาแบบนี้เข้าความคิดที่ว่าเราจะใช้ของส่วนรวมให้เกิดประโยชน์สูงสุดคุ้มค่าเงินที่คณะเขา
อุตสาห์จัดไว้หายก็เป็นอันล้มเลิกไป
หันกลับมามองว่า เราก็พอมีกะตังค์อยู่บ้างเล็กน้อย ซื้อใช้เองหัดทำเอง
น่าจะดีกว่าให้ใครก็ไม่รู้มาตะคอกใส่ เราคงไม่จำเป็นต้องฝึกความอดทนต่ออะไรขนาดนั้น แถมบางครั้งเผลอนึกโกรธน้อยใจไปว่าอาจเพราะเราไม่ใช่หมอกระมัง ครั้งนั้นคิดจะเขียนบัตรร้องเรียนเหมือนกัน
แต่คิดไปคิดมาลงความเห็นว่าชั่งมันเถอะแค่เราไม่ไปใช้บริการเสียก็สิ้นเรื่อง
แม้ดูเหมือนกับว่าเราไม่ไดช่วยสะท้อนช่วยสร้างสรรค์สังคม แต่ตอนนั้นรู้สึกคั่งแค้นอยู่ก็เลยคิดว่าอภัยเสียดีกว่าอย่าไปยุ่งกับคนแบบนี้ดีกว่า เราอาจทำอะไรไม่เหมาะไม่ถุกตามหลักเกณฑ์ข้อตกลงของคณะกับเขาก็เป็นได้ ถือว่าเรื่องระหว่างเรากับเธอจบไป เราอาจเรื่องมากเกินไป วันนี้ ได้ข้อคิดไว้เตือนตัวเองเหมือนกันว่าทำดีได้ดีนั้นมีจริงๆ ทำไม่ดีความอับปราชัยก็เข้ามาหา ทำอย่างไรเสียงสะท้อนก็จะกลับสู่ตัวเราอย่างนั้นมีจริงๆ เพียงรอวันเวลาและโอกาสที่เหมาะๆเท่านั้น บอกตัวเองว่าจงทำแต่สิ่งดีๆ.

ได้ยินเสียงสะท้อนแล้วหากจะจัดอบรมเรื่องความอดทนหรือคุณลักษณะของงานบริการแก่เจ้าหน้าที่เหล่านี้บ้างก็คงไม่เสียหายอะไรนะคะ เพื่อสันติสุจในห้องคอม มีความสุขทั้งผู้ให้และผู้รับให้สมกับนั่งอยู่ในห้องแอร์เย็นๆ
ไม่อยากให้ถึงขนาดต้องไล่ออกกัน อภัยกันได้ก็อภัยกันไป แต่อยากให้ปรับปรุงเหมือนกันค่ะ


Posted by : เจอเหมือนกัน , Date : 2004-07-04 , Time : 09:05:30 , From IP : 172.29.3.209

ความคิดเห็นที่ : 5


   การ feedback ที่ผ่านระบบนั้นเป็น "วิธีเดียว" ที่จะนำไปสู่ action ได้โดยเร็วที่สุดครับ

ส่วนใหญ่เพราะ "ไม่เป็นไร" นี่แหละที่ทำให้คนอยู่เหนือระบบ มีกฏระเบียบมาตรการต่างๆควบคุมก็ไม่สนใจเพราะไม่เคยมีประวัติการร้องเรียนเป็นลายลักษณ์อักษร สาเหตุที่ต้องมีลายลักษณ์อักษรและเปิดเผยก็เพราะเป็นมาตรการป้องกันพฤติกรรม "บัตรสนเท่ห์" ที่มีคนไม่ชอบหน้าส่วนตัวจะมาใส่ร้ายใครที่ไหนเมื่อไหร่ก็ได้นั่นเอง องค์กรที่มีคนทำงานปฏิสัมพันธ์มากๆนั้นไม่มีทางเลือกครับ แต่เขาจะไม่ใช่บัตรสนเท่ห์ในการบริหารแน่นอน ถ้าเขาไม่มั่นใจว่าทุกคนในองค์กรมีจิตใจสูงขนาดไม่มีอิจฉาริษยาเหลืออยู่

และเมื่อมาคิดดูดีๆ ที่เราว่า "ไม่เป็นไร" นั้น ไม่เป็นไรจริงหรือไม่ คงจะไม่จริงเพราะเราก็ยังอยากจะระบายออกให้คนอื่นรู้ มิฉะนั้นคงไม่มาเขียนลงกระดานข่าวใช่ไหมครับ เพื่อให้ความหงุดหงิดนั้นลดลง แต่สาเหตุของความหงุดหงิดนั้นจะหายไปไหมล่ะครับ? คงจะไม่ เพราะการสอบสวนจะไม่สามารถทำได้อย่างเต็มที่ คดีหมิ่นประมาทถ้าไม่มีโจทย์ (บัตรสนเท่ห์ยากที่จะนับว่าเป็นโจทย์) ก็ไม่มีจำเลย ไม่มีเหตุการณ์ก็ไม่มี Incident ไม่มีพยานหรือบรรยายก็ไม่มีรูปคดี ศาลหรือขบวนการยุติธรรมที่ไหนๆก็ยกฟ้องตั้งแต่ในมุ้ง

ทีนี้ใช้วิธี feedback รวมๆดีหรือไม่ ระบบการฝึกอบรม service mind นั้นดีอยู่แล้วครับ ไม่ว่าจะมีคน feedback ว่ามีข้อบกพร่องหรือไม่ แต่ถ้าองค์กรมีหลายคน บางคนนั้นอบรมครั้งเดียวก็ผ่าน ไม่สมควรจะต้องมาถูกอบรมรวบแหไปด้วยเพียงเพราะเรา "ไม่อยาก" จะปรับปรุงคนๆเดียวโดยตรง (ลองคิดดูหากมีนักศึกษาขโมยของคนเดียว แล้วคณะใช้วิธีอบรมจริยธรรมทั้ง class เป็นการแก้ไขป้องกัน)



Posted by : Phoenix , Date : 2004-07-04 , Time : 10:53:10 , From IP : 172.29.3.253

ความคิดเห็นที่ : 6


   ขอขอบคุณผู้ที่ร้องเรียน และยินดีรับฟังเป็นอย่างยิ่ง
ถ้าเป็นไปได้ช่วยกรุณาส่งรายละเอียดของเรื่องที่เกิดขึ้น ให้ทางผู้รับผิดชอบ ที่ calmin_hatyai@yahoo.com ด้วยครับ ทางบริษัทจะได้ทำการสอบสวนข้อเท็จจริง เพื่อทำการปรับปรุงและแก้ไขต่อไปโดยเร็ว
พนักงานทุกคนมีสิทธิ์ถูกเลิกจ้างหากทำผิดเงื่อนไขข้อตกลงที่มีไว้กับทางบริษัทฯ หวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้รับข้อมูลเพิ่มเติมจากผู้ร้องเรียนเพื่อดำเนินการต่อไป


Posted by : calmin_hatyai , E-mail : (calmin_hatyai@yahoo.com) ,
Date : 2004-07-04 , Time : 15:01:32 , From IP : 203.156.44.127


ความคิดเห็นที่ : 7


    อยากให้พนักงานเค้าปรับปรุงตัวด้วยนะคะ มีเรื่องร้องเรียนขนาดนี้ คุณควรจะพิจารณาตัวเองด้วยนะคะ ด้วยความหวังดีนะคะ

Posted by : fony , Date : 2004-07-04 , Time : 16:30:28 , From IP : 203.172.89.23

ความคิดเห็นที่ : 8


    เรื่องที่ส่งมาให้นี้นะคะ ก้อไม่มีอะไรมากหรอกค่ะ เพียงแต่เราขอการบริการที่ดีจากคุณหน่อยเท่านั้นเอง ไม่ได้มีเจตนาจะทำให้ใครตกงานหรอกนะคะ
ด้วยคนที่คุมห้องคอมพิวเตอร์ที่ตึกแดง ชั้น 3 เนี่ย ไม่ค่อยมีมารยาทเท่าที่ควร เวลาพวกเราเข้าไปทำงานแล้วมีปัญหาอยากจะให้เค้าช่วยเหลือ เค้าก้อไม่ค่อยใส่ใจเท่าที่ควร และพูดจาไม่ค่อยดี ทำให้คนที่เข้าไปหาความสบายใจในห้องแอร์ต้องเครียดไปหลายคน จริงๆ แล้วคนที่เข้ามาทำงานที่เกี่ยวกับคณะแพทย์ก้อค่อนข้างรู้กันดีว่าต้องทำตัวอย่างไร
แค่ทำบัตรหมายเลขคอมพิวเตอร์หาย ซึ่งจริงๆ มันก้ออยู่ในห้องคอมนั่นแหละ พนักงานก้อโวยวาย ด้วยสีหน้าที่ซีเรียสมาก ก้อจะไม่ให้หายยังไงได้ ก้อให้บัตรมาแต่กลับให้หาที่นั่งเอาเอง นั่งตรงไหนก้อได้ พอเข้าไปนั่งก้อต้องเสียเวลาวุ่นวายกับเครื่องคอมที่เสีย แทนที่เสียจะเอากระดาษมาแปะไว้จะได้รู้ ไม่ต้องเสียเวลาเดาเอาเองว่าเสียหรือเปล่า เสร็จแล้วก้อต้องย้ายที่ไปนั่งที่อื่นอีก สัมภาระก้อไม่ใช่น้อยๆ กว่าจะได้เล่นสักครั้งเนี่ย เลื่อนกันเป็น 5 ที่นั่งเชียวนะคุณ ส่วนพนักงานหน่ะเหรอนั่งคุยกันอย่างสนุกสนาน พอเราเข้าไปถาม เวลามีปัญหาอ่ะนะ กลับทำหน้าไม่ดีใส่ เห็นพวกเราเป็นตัวอะไรกันนะ พวกเราหมอ นะ ควรจะให้เกียรติกันบ้าง
คุณรู้ไหมเครื่องคอมเนี่ยเสียบ่อยมาก พนักงานก้อไม่ค่อยดี คณะแพทย์เลยอยากเรียกร้องโน้ตบูก กันนักหนา เพราะไม่อยากเสียเวลา เสียอารมณ์ กับพนักงานของคุณ
ดิฉันไม่ทราบหรอกนะคะว่า พนักงานที่มาทำงานเนี่ยมีการสลับคนกันมาทำหรือเปล่า ถ้ามีเพียงแค่2 คน ก้อใช่เลยค่ะ ถ้ามีหลายคน คุณก้อจัดการกันเอาเองแล้วกัน
ขอบอกว่าจริงๆแล้วเรื่องนี้ ใครๆ ก้อรู้ดีแต่เค้าไม่อยากเอาเรื่องกันหรอกค่ะ เพราะสงสาร แต่นานๆ เข้าพนักงานของคุณเริ่มเอาใหญ่ ใคร ๆ ก้อเลยทนกันไม่ไหวหรอกค่ะ
หวังเป็นอย่างยิ่งนะคะ ว่าคุณจะสงสารเรา ชาวคณะแพทย์ บ้าง เราเพียงอยากได้พนักงานที่ใจดี ใจเย็น บริการดี ยิ้มแย้มแจ่มใส พอเราเข้าไปเล่นก้อได้รับความสบายใจกลับมา ......... ขอบคุณมากนะคะ


Posted by : ดดด , Date : 2004-07-04 , Time : 16:42:11 , From IP : 203.172.89.23

ความคิดเห็นที่ : 9


   นี่ขนาดคุณยังเป็นแต่นักศึกษาแพทย์ ยังไม่ได้เป็นแพทย์ คุณยังพูดกับคนอย่างนี้ ต่อไปคุณเป็นแพทย์คุณจะเห็นหัวใครไหมเนี่ย นึกแล้วเศร้าจริง ๆ

Posted by : เศร้า , Date : 2004-07-05 , Time : 00:12:24 , From IP : 172.29.3.241

ความคิดเห็นที่ : 10


   
ไม่เป็นไร คำว่า ไม่เป็นไรนั้นไม่เป็นไรจริงๆค่ะในตอนนี้แต่ตอนนั้น
มันไม่เป็นไรแต่อยากจะเอาเรื่อง แต่ไม่อยากให้เป็นเรื่อง
เมื่อเรามีสติได้คิดเราก็จะเห็นว่า เรื่องของอารมณ์ระหว่างกัน ทำไมเธอทำกับฉันอย่างนี้นะ มันหายไปจริงๆ มันไม่ได้ติดอยู่ค้างคาใจของเราเสมอ การออกมาพูดถึงประสบการณ์ร่วมกัน คงไม่ได้หมายถึง ความไม่เป็นไรหลอกๆ หรือจะโดนกิเลสมันหลอก ก็คงไม่เป็นไรนะดูใจตัวเองไปเรื่อยๆ
:-) แล้วกัน

ส่วนเรื่องที่ว่า ทำไมจึง ทำแบบไม่เป็นไร 1. เพราะไม่รู้จะไปบอกใคร
เวลามีอะไรก็นึกถึงว่าคงต้องส่งถึงคณะบดี(มีสมองคิดได้แค่นี้จริงๆค่ะ)
แล้วอะไรจะเกิดขึ้น เขาจะต้องถูกสอบสวน 2.ในใจก็สงสารนะเมื่อจินตนาการไปว่าเขาจะต้องถูกไล่ออก มีความรู้สึกว่าความผิดก็ไม่ได้รุนแรงมากถึงขั้นนั้น
เราไม่เคยรู้ว่ามีกรณีแบบนี้บ่อย (ถ้ารู้ว่าบ่อย อาจบ่นจนลืม ได้ระบายกับคน
ที่เคยเจอเหมือนกัน ก็ไม่เป็นไร และไม่เป็นเรื่อง ไม่ได้เรื่องไปอีกแบบหนึ่ง) อาจเป็นเพราะเราผิดเองก็เป็นได้
ไม่อยากให้ใครตกงานเพราะความโกรธของเรา เมื่ออารมณ์เราสงบลง
ความไม่เป็นไร คือไม่มีอะไรระหว่างกันแล้ว แต่มันมีเรื่องอยู่ คือเรื่อง
บริการที่ควรเป็น การเสนอให้จัดอบรมอาจดูเป็นการแก้ไขไม่ตรงจุด
จริงๆค่ะ แต่จะให้ไปช่องทางไหนดีค่ะ ที่จะเป็นสื่อกลางให้ผู้ใช้ห้องคอม
สื่อถึงผู้ให้บริการได้ ทั้งเจ้าของและพนักงาน มีป้ายทำเนียบพนักงานหน้าห้องไหม มีตู้รับฟังความคิดเห็นข้อเสนอแนะหรือไม่ ไม่อยากใช้คำว่าตู้ร้องเรียนดุเหมือนว่าเราตั้งหน้าตั้งตาจะจับผิดกันเกินไป และจริงๆแล้วเห็นว่าการไล่ออกกันไปเลยเมื่อมีเรื่องร้องเรียนเป็นเรื่องที่โหดเกินไป พนักงานทุกคนควรได้รับโอกาสพัฒนาเมื่อได้รับเสียงสะท้อน อยากให้อยู่กันฉันท์มิตรมากกว่าค่ะ

ส่วนวิธีปรับปรุงแก้ไขที่มีประสิทธิภาพก็ฝากไว้ที่ผุ้มีหน้าที่รับผิดชอบก็แล้วกันค่ะ
วิธีอาโนเนะหน้อมแน้มที่เสนอไปนั้นเก็บเข้าลิ้นชักไปก็ได้ค่ะ( แต่ที่จริงการได้มาคุยมาฟังพร้อมๆกันแม้ว่าคนอื่นจะไม่ผิดก้ไม่น่าจะเสียหายอะไรถือว่าเรามาทำความตกลงร่วมกันว่า เราบริษัทนี้จะทำอะไรอย่างไรที่นี่ร่วมกันเหมือนปฏิญาณตนพร้อมๆกัน เวลาจะทำอะไรเกินเลยจะได้รู้สึกว่าเพื่อนมองอยู่หรือกำลังทำผิดกฏนะ อีกอย่างการมาทำงานกับนักเรียนนักศึกษาการให้ความรู้แก่ผู้อื่นแม้เล็กๆน้อยๆ ก็เป็นเรื่องน่าภูมิใจออก ช่วยสร้างสรรค์สังคมเหมือนกัน )
จะว่าไปปัญหาจริงๆของผู้ร้องทุกข์ไม่ใช่ว่าจะจัดการกับขโมยอย่างไร
แต่เป็นเรื่องที่ว่าว่า เมื่อมีขโมยในชั้นเรียน เจอขโมยแล้ว เราไม่รู้ว่าจะแจ้งความกับใครดีจะแจ้งตำรวจก็สงสารเพื่อน จะแจ้งยาม จะแจ้งครูประจำชั้น จะเอายังไงดีจะร้องทุกข์กับใคร ยังไม่รู้เลยต่างหาก.




Posted by : เจอเหมือนกัน , Date : 2004-07-05 , Time : 02:01:06 , From IP : 172.29.3.211

ความคิดเห็นที่ : 11


   เห็นด้วยว่าในยุคสมัยนี้ผู้รับริการเริ่มมีการเรียกร้องสิ่งที่ตนเองคาดหรือมาตรฐานที่สูงขึ้นเรื่อยๆ และผู้ให้บริการก็คงต้องตอบสนอง ภายใต้เงื่อนไขที่ได้ตกลงสัญญาไว้ในตอนแรก

ย้อนกลับมาคิด "แพทย์" นั้นก็เป็นอาชีพที่ "ให้บริการ" โดยตรง แถมลูกค้าก็ไม่ใช่คนที่มีสุขภาพทั้งทางกายและจิตใตสมบูรณ์ตามปกติ ในยุคแห่ง demanding นี้ อาจจะไม่ใช่เรื่องแปลกอีกต่อไปที่หากแพทย์เวรจะถูกหนังสือยื่นฟ้องเพราะไม่ยิ้มแย้มแจ่มใสขณะที่ตรวจ ER หรือ OPD เป็นสิบๆราย นั่นเพราะความต้องการและมาตรฐานของคนไข้ (ซึ่งปัจจุบัน concerned เป็น customer) ขณะที่เราเรียกร้องตรงนี้ว่า "นี่หมอนะ" เราก็จะถูกเรียกร้องว่า "นี่คนไข้นะ" ในลักษณะเดียวกัน บริบทว่าใครเป็นใครควรจะได้อะไรแค่ไหนนั้นเริ่มเด่นชัดและถูกเขียนลงเป็นกฏมากกว่าแต่ก่อน คนที่เดือดร้อนในอนาคตก็คือผู้ให้บริการทุกสาขาอาชีพนี่แหละ (เราเองรึเปล่า? หรือเพื่อนร่วมอาชีพเรา?)

ข้อสำคัญใน climate ขณะนี้ เวลามีคนพูด "นี่คนไข้นะ" อยากจะได้หมอมาตรวจที่ยิ้มแย้มแจ่มใส ใจเย็น พูดจาเรียบร้อนไม่กรรโชกโฮกฮาก จะมีคนรับฟังอย่าง sympathetically มากกว่าเวลาพวกเราพูดซะด้วยซ้ำ

นั่นเป็นเพราะรูปแบบที่พวกเราทุกคนช่วยกันสร้าง ช่วยกัน push ให้เกิด norm ของสังคมนั่นเอง



Posted by : Phoenix , Date : 2004-07-05 , Time : 03:37:43 , From IP : 172.29.3.239

ความคิดเห็นที่ : 12


   เบื่อไอ้คุณ Phoenic นี่จริงๆ ชอบแสดงความคิดเห็นแบบอังกฤษคำ ไทยคำ อ่านแล้วเหมือนจะดูดีนะ แต่เวียนหัวหวะ

Posted by : dhhj , Date : 2004-07-05 , Time : 08:44:41 , From IP : 172.29.3.222

ความคิดเห็นที่ : 13


   ในเรื่องนี้อยากขอให้ระบุวันเวลาที่เจอเหตุการณ์รวมถึงบอกรายละเอียดของเจ้าหน้าที่ท่านนั้นๆด้วยคะ หรือถ้าถามชื่อมาได้ยิ่งดีใหญ่คะ ในครั้งนี้ต้องขอโทษด้วยนะคะที่การบริการบางครั้งไม่ทันใจผู้รับริการ จึงดุเหมือนเป็นการวางท่าหยิ่งยโสตามที่ท่านกล่าวมาแต่ถ้าหากบอกว่าเป็นการขู่และตะโคกหรือด่า คงไม่มีพนักงานคนไหนกล้าทำเช่นนี้แน่คะ แต่ก็ ต้องขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วยคะ ขอบคุณคะที่ร่วมแสดงความคิดเห็น จะพยายามบริการให้ทันใจและถูกใจผู้รับบริการคะ

Posted by : พี่เดี่ยว , E-mail : (kunyanaputr@yahoo.com) ,
Date : 2004-07-05 , Time : 09:13:46 , From IP : 172.29.2.122


ความคิดเห็นที่ : 14


   เจงๆด้วย เคยคิดหลายครั้งแล้ว ว่าเค้าเอาคนงานก่อสร้างมานั่งเปนเจ้าหน้าที่ที่ห้องคอมอ๊ะเป่า อาชีพแพทย์เปนอาชีพบริการ อันนี้ใครได้ขึ้นคลินิกย่อมต้องรู้ดี แต่เท่าที่เจอคนไข้มา ไม่เหนจะร้ายยย&แสบ เหมือนยัยพวกนี้เรย กินเงินเดือนค่าบำรุงการศึกษาเราแท้ๆ กลับเปนเช่นนี้ คณะรับคนยังไง ทีนักศึกษาแพทย์สัมภาษณ์ซะเครียด เด็กร้องไห้ เอ๊ะ หรือบริษัทนี้รับแต่คนมีคุณสมบัติเช่นนี้ เพราะเหนกี่ราย กี่ราย ก็เหมือนกันหมด

ไอ้เรื่องแลกบัตรน่ะ เปนนโยบายที่ไม่เอฟเฟคทีพเรย เพราะเจ้าหน้าที่อันดับหนึ่งเนี่ยแหละ ครั้งเกือบๆสุดท้ายที่แลกบัตรเข้าไป ดันให้บัตรนศ.สลับกันอีก จากเลข 6เป็น9 ออกสุดท้ายพอดี ตามหาตัวคนที่สลับกันก็ไม่ได้
แล้วเจ้าหน้าที่(ตัวแสบ)ว่าไงรู้ป่ะ น้องก็เอาบัตรคนนี้ไปแทนสิคะ แถมยังยื่นให้แกมๆยัดเยียด อ้าว เฮ้ย บัตรนักศึกษามันเปน เอทีเอมนะเฟร้ย เกิดเงินในบัญชีสูญขึ้นมา ตูมิซวยรึ บร้าป่าวเนี่ย แล้วบัตรตูจะปลอดภัยรึเป่าก็ยังไม่รุ ล่องลอยไปอยู่กะใครมะรุจัก รหัสคณะเก๊าะไม่คุ้น หน้าตาก็ดูมีอายุ (สงสัยเปนเดกคณะสาธารณสุข แร้วตูจะไปตามได้ที่หนายเนี่ย) ก่าจะได้บัตรนักศึกษาคืนก็อาทิตย์นึง ต้องเทียวไปเทียวมาห้องคอมทุกวัน วันละสองรอบ แล้วที่คุณเธอให้บัตรผิดเนี่ยะ ก็อาจเพราะเบลอๆ เหนคุยโทรศัพท์กะใครมะรุ ท่าทางหนุกหนานหวานจ๋อย ตอนหลังก็เรยไม่คิดจะแลกบัตรอีกเลย ไม่คุ้มฟร่ะ กัวบัตรหายเก๊าะส่วนนึง ไอ้ที่กัวยิ่งก่าคือ กัวคุณเธอยัดบัตรใครมาหั้ย บรื๋อ ดีนะที่ปฏิเสธไป คิดได้ไงเนี่ย ตาต่อตา ฟันต่อฟัน เค้าเอาบัตรน้อง น้องก็เอาบัตรเค้าไป ตังค์เค้าหายล่ะยุ่งเชวตู


Posted by : บรื๋อ , Date : 2004-07-05 , Time : 11:05:15 , From IP : 172.29.2.160

ความคิดเห็นที่ : 15


   ผมว่าพี่เขาก็ดีนะครับ
หมายถึงบางคนหนะ


Posted by : whimsy , Date : 2004-07-05 , Time : 12:11:22 , From IP : 172.29.2.159

ความคิดเห็นที่ : 16


   ถึงน้องที่ว่าพี่เรื่องแลกบัตรผิดน่ะค่ะพี่ยอมรับเรื่องนี้ผ่านมา5-6เดือนแล้วน่ะค่ะ ไม่ได้เป็นความผิดที่พี่หร๋อกน่ะน้องจะบอกให้เพราะว่าพี่ไปเข้าห้องนํามาก็ไม่รู้ว่าน้องคนที่หยิบบัตรในขณะพี่ไม่อยู่น่ะค่ะ อยู่น้องมาว่ากันแบบนี้พี่ก็พยายามติดต่อพี่เค้าตลอดเลยเรื่องบัตรเพียงที่ว่าช้าไป1อาทิตย์เพราะพี่เค้าไปฝึกงานต่างจังหวัดแล้วเอาบัตรน้องมาให้โดยด่วนที่สุดน่ะค่ะ
อันที่จริงคนเราไม่น่าจะเปรียบเทียบดูถูกคนเราถึงขนาดนีเลยน่ะค่ะผิดแค่นี้เปรียบเทียบอย่างกับคนไม่มีการศึกษาเลยน่ะค่ะใช่น้องว่าเอาคนก่อสร้างมาจ้างทำงานพี่ยอมรับล่ะในเมื่อน้องเป็นนักศึกษาเเพทย์อาชีพสูงใครๆก็นับถือ น่าจะพูดแบบคนมีการศึกษาหน่อยน่ะค่ะ อันที่จริงเรื่องบัตรพี่ไม่เคยที่จะหยิบให้ผิดคนเลยสักคน นอกเหนือจากพวกน้องมาหยิบกันเองช่วงพี่ไปห้องนํานั้นแหละ โห่น้องไม่ต้องหว่งหร๋อกน่ะว่าพี่จะเอาบัตรน้องไปใช้ ขนาดพวกน้องๆลืมอะไรไว้พี่ยังเก็บให้เลยแม้กระทั่งโทรศัพท์ไม่เคยคิดที่จะเอาของคนอื่นเลยเราก็มีจิตใต้สำนึกพอหร๋อกน่ะค่ะจะบอกให้น่ะค่ะ
น้องค่ะวันหลังพูดเพราะๆหน่อยน่ะค่ะไม่ควรเปรียบเทียบคนเราด้วยกันน่ะพี่รูว่าน้องเป็นนักศึกษาแพทย์น่าจะมีจรรยาบรรณบ้างล่ะไม่ควรมาว่าเค้าดูถูกเค้าว่าเอาคนก่อสร้างมาโห่น้องนี้หรือคนมีการศึกษา


Posted by : พี่เองน่ะค่ะ , E-mail : (you155@hotmail.com) ,
Date : 2004-07-05 , Time : 15:02:36 , From IP : 172.29.2.166


ความคิดเห็นที่ : 17


   นักศึกษาแพทย์ที่ไม่ดีก็มีเยอะนะคะ คนส่วนใหญ่หัวตัวเองแตกก็จะมองไม่เห็นกันหลอก

Posted by : งง , Date : 2004-07-05 , Time : 16:34:24 , From IP : 172.29.2.156

ความคิดเห็นที่ : 18


    ลองอ่านคำพูดที่พวกเราเขียนกันมาซ้ำๆกันอีกหลายๆรอบสักที แล้วช่วยตอบกันหน่อยว่าเรากำลังดูถูกคนอื่น หรือละเมิดเขาหรือไม่ เพราะสิ่งที่เรากำลังกล่าวหาเขาทั้งหมดนั้นแหล่ะมันอาจสะท้อนความคิดของตัวเราในขณะนี้ และถ้าเป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆก็เท่ากับว่า อนาคตเราอาจขาดเรื่องการconcernความรู้สึกผู้อื่น
คนทุกคนรักตนเองก็เช่นเดียวกับเรา และมักมองตนเองเป็นcenter กล่าวโทษผู้อื่นเสมอเมื่อมีเหตุการณ์เรื่องราวอะไรเกิดขึ้น เห็นชัดๆดังเช่นเหตุการณ์แม่สอนลูกที่เราพบทั่วๆไป เมื่อเด็กเล็กๆวิ่งล้ม แทนที่มารดาจะบอกว่าเพราะเด็กไม่ระวังตัวเอง ครั้งน่าควรจะระมัดระวังให้มากกว่านี้ กลับกล่าวโทษไปที่พื้น ตีพื้นให้เด็กสะใจเล่นว่าพื้นมันไม่ดีทำให้เด็กล้ม ทั้งๆที่พื้นไม่มีความผิดอะไร การprojectกล่าวโทษผู้อื่นแบบนี้ ทำให้เราก็ถูกปลูกฝังไปโดยปริยายว่าเราไม่เคยผิด ไม่ต้องยอมรับความผิดของตนเอง โทษผู้อื่นหรือมองผู้อื่นเช่นวัตถุไม่มีชีวิตจิตใจก็ได้
แต่ความจริงแล้วความคิดของเรานั้น คงเติบโตไปไกล และมีพัฒนาทางความคิด ให้เหตุผลได้มากกว่าเด็กเล็กๆที่กล่าวมาแล้วใช่ไหมคนดี


Posted by : pisces , Date : 2004-07-05 , Time : 21:25:28 , From IP : 172.29.3.217

ความคิดเห็นที่ : 19


   คุณฟีนิกส์ เค้าจะให้เกรดพวกแก..เวลาขึ้นชั้นคลินิก
เคารพครูบาอาจารย์หน่อย


Posted by : รุ่นพี่ , Date : 2004-07-05 , Time : 22:28:51 , From IP : 203.155.189.52

ความคิดเห็นที่ : 20


   รุ่นพี่ คุณน่ารักมากที่พยายามทำให้น้องๆsoftลง แต่เกรดอาจเป็นตัวล่อที่ไม่work เพราะการจำยอมรับฟังและทำตามด้วยการกลัวอำนาจความเป็น authority ของอาจารย์ คงไม่ได้แก่นแท้ และไม่ว่าจะอย่างไรก็ตามคำว่า ให้อภัยต่อความไม่รู้ของศิษย์มันคงอยู่ในหัวใจอาจารย์อยู่แล้ว
สิ่งสำคัญทำไมพวกเราไม่ให้คุณค่าของความคิดเห็นที่แตกต่าง และลด ละ เลิก การdevalueความคิดหรือตัวบุคคล รวมทั้งพยายามฟังข้อเสนอแนะของการแสดงออกของagressionในตัวเราที่จะทำต่อตัวบุคคลอื่น(ซึ่งมันอาจมีอยู่เรื่อยๆได้) โดยใช้วิธีที่สร้างสรรค์ตามข้อเสนอแนะที่ผ่านมาแบบไหนก็ได้ตามแต่จะรักชอบหล่ะ เพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และต่อเนื่องในกระทู้นี้ กำลังเพิ่มพูนประสบการณ์การfeed backต่อตัวบุคคล ที่ควรจะเป็นให้กับพวกเรา จะได้ไม่samenessอยู่คงที่แบบเดิมอีกต่อไป


Posted by : pisces , Date : 2004-07-05 , Time : 23:05:01 , From IP : 172.29.3.196

ความคิดเห็นที่ : 21


   อันที่จริงเรื่องบัตรพี่ไม่เคยที่จะหยิบให้ผิดคนเลยสักคน นอกเหนือจากพวกน้องมาหยิบกันเองช่วงพี่ไปห้องนํานั้นแหละ
"บร้าป่าว บัตรตัวเองเนี่ยะนะคัยจะหยิบผิด รูปเก๊าะมีอยู่โทนโท่ อย่างน้อยตอนหาก็ต้องดูชื่อสักหน่อย ว่าชื่อตูรึเป่า นอกจากว่าจะตาบอดกลางคืนไม่เหนภาพ รึอ่านหนังสือไม่ออก"

ไม่ได้เป็นความผิดที่พี่หร๋อกน่ะน้องจะบอกให้
"อ้าว เฮ้ย งั้นตูผิดเองก็ได้ฟระ ดันโง่ไปแลกบัตรเอง"

เปรียบเทียบอย่างกับคนไม่มีการศึกษาเลยน่ะค่ะใช่น้องว่าเอาคนก่อสร้างมาจ้างทำงาน
"บุคลิกหยั่งพี่ น่าจะไปทำงานรับจ้างอย่างอื่น รึเปนเจ้าของกิจการส่วนตัวจะรุ่งกว่า จะได้แสดงออกซึ่งอารมณ์ที่เก็บกดมาระบายกะลูกน้องอย่างเต็มที่(อย่ามาระบายกะนศพ.โทรมๆ ที่รับภาระจากการเรียนมาก็หนักพอแล้ว) และไม่ต้องมารำคาญใจกะนักศึกษาแพทย์ไร้จรรยาบรรณหยั่งงี้ "
ซึ่งในความคิดของข้าพเจ้าคิดว่า งานบริการควรจะเปนรูปแบบที่ดีก่านี้ ไม่ต้องถึงกับยิ้มหวานโชว์เหงือกชมพู รึเอาน้ำเย็นๆมาเสิร์ฟ หรือช่วยปิดบังเวลาเล่นเกมส์ แต่แค่อธิบายดีๆ ช่วยเหลือให้สามารถแก้ปัญหาไปได้ลุล่วงก็เพียงพอ

โห่น้องไม่ต้องหว่งหร๋อกน่ะว่าพี่จะเอาบัตรน้องไปใช้ ขนาดพวกน้องๆลืมอะไรไว้พี่ยังเก็บให้เลย
"อย่าไว้ใจทาง อย่าวางใจคน จะจนใจเอง อันนี้เปนสุภาษิตที่ครายเก๊าะเคยได้ยิน
ไม่ได้กัวตังกินหนมหายร๊อก แต่ค่าเทอมอ่ะดิ ถ้าหายไปจะหาไหนมาจ่าย ยิ่งเกบแพงๆ
เงิน ไม่สามารถซื้อคนได้--- อันนี้มันก็ขึ้นอยู่กับเวลา และสถานการณ์บังคับ เช่นหากเกิดไปเปนหนี้พนันบอลล์ โดนตามทวง ขู่เอาชีวิต ตอนนั้นแหละ อย่าว่าแต่ลักขโมยเร้ย มากก่านี้ก็ต้องหามา
กรณีศึกษา ขโมยเงินทางเอทีเอมมีมาเยอะ เหนกะตา ตอนมอปลายขนาดเมทกัน กิน นอนด้วยกัน ยังทำกันได้ แล้วคนที่เอาบัตรสลับกันเปนครัย"

นักศึกษาเเพทย์อาชีพสูงใครๆก็นับถือ น่าจะพูดแบบคนมีการศึกษาหน่อยน่ะค่ะ
"เท่าที่โพส ไม่เคยมีว่าอาชีพแพทย์เปนอาชีพสูง แค่บอกว่าเปนสายงานบริการเหมือนกัน ต้องรองรับอารมณ์ของคนหลากหลายประเภทเช่นกัน ควรจะต้องทำใจในเมื่อรักที่จะทำงานประเภทนี้
ในเมื่อทำงานออกมายังไง ก็ย่อมมีฟี๊ดแบคออกมาอย่างนั้น ถ้าอยากให้คนฟี๊ดแบคในแง่ดี ก็ต้องทำในสิ่งที่ดี
จริงมั้ย"


Posted by : หืม , Date : 2004-07-06 , Time : 02:45:14 , From IP : 172.29.4.233

ความคิดเห็นที่ : 22


   เบื่อไอ้คุณ Phoenic นี่จริงๆ ชอบแสดงความคิดเห็นแบบอังกฤษคำ ไทยคำ อ่านแล้วเหมือนจะดูดีนะ แต่เวียนหัวหวะ

Posted by dhhj() 2004-07-05 , 08:44:41 , 172.29.3.222

ยิ่งแรงขึ้นทุกปีนะครับ รุ่นน้อง....
รู้หรือเปล่าครับ ว่า กำลังด่าอาจารย์อยู่



Posted by : รุ่นพี่อีกคน , Date : 2004-07-06 , Time : 08:58:56 , From IP : 172.29.2.104

ความคิดเห็นที่ : 23


   เบื่อไอ้คุณ Phoenic นี่จริงๆ ชอบแสดงความคิดเห็นแบบอังกฤษคำ ไทยคำ อ่านแล้วเหมือนจะดูดีนะ แต่เวียนหัวหวะ

Posted by dhhj() 2004-07-05 , 08:44:41 , 172.29.3.222

ยิ่งแรงขึ้นทุกปีนะครับ รุ่นน้อง....
รู้หรือเปล่าครับ ว่า กำลังด่าอาจารย์อยู่



Posted by : รุ่นพี่อีกคน , Date : 2004-07-06 , Time : 08:58:59 , From IP : 172.29.2.104

ความคิดเห็นที่ : 24


   บัณฑิต คือ
๑) ผู้ที่ถึงพร้อมด้วยความรู้ความชำนาญในศาสตร์ที่ตนศึกษา
๒) ผู้ที่มีความรับผิดชอบต่อตนเอง ต่อครอบครัว และสังคม
๓) ผู้ที่มีการแสดงออกที่งามทั้งกาย วาจา และใจ


แพทย์เป็นอาชีพที่ให้บริการ โดยผลแห่งการให้บริการนั้นมีความหมายต่อชีวิต คุณภาพชีวิต หรือการกำเนิดชีวิต รวมไปถึงการอำนวยให้การสิ้นสุดของชีวิตหนึ่งเป็นไปอย่างมีศักดิ์ศรีเท่าที่มนุษย์คนหนึ่ง "มีสิทธิ์" ที่จะได้รับ ดังนั้นเราจะต้อง "เคารพต่อชีวิต" ก่อน (Principle of Autonomy)

ทุกๆปัจเจกบุคคลมีสิทธิ์ในการดำเนินชีวิตของตนอย่างที่เห็นควร "ตราบที่ไม่ได้ไปรบกวนสิทธิของผู้อื่น" สำหรับจรรยาบรรณแพทย์แล้ว เรายิ่งต้องสามารถมองเห็นคุณค่าของชีวิตของคน "ทุกคน" มีความสำคัญ และไม่แตกต่างกัน (Principle of Justice) เรา "ต้องไม่" เห็นความแตกต่างของคุณค่าความเป็นคนเพียงแค่อาชีพ วิชาที่เรียน เครื่องแต่งตัวที่สวมใส่ หรือรูปร่างหน้าตา การให้บริการการรักษาของเรานั้นเท่าเทียมกันหมด (equity) ไม่แยกแยะว่าคนนี้คนไข้พิเศษ คนนี้คนไข้สามัญ ดังนั้นจะน่าผิดหวังมากที่เรามีการคาดหวังว่าเราจะได้รับสิทธิพิเศษในการบริการเหนือกว่าผู้อื่นเพราะ "นี่หมอนะ" หรือ อาชีพอื่นๆไม่ว่าจะเป็นคนกวาดถนน คนงานก่อสร้าง หรืออะไรก็ตามแสดงถึงความ "ต่ำต้อยกว่า" เพียงเพราะเราเรียนชั้นอุดมศึกษา

สิ่งที่จะแยกคนได้จริงๆนั้นคือจริยวัตรของเราที่บูรณาการมาจากความรู้ ความสามารถ และเจตคติในความเป็นคนๆหนึ่ง เป็นมนุษย์คนหนึ่งที่อยู่ร่วมในสังคมเท่านั้น ผมหวังว่าขณะที่ทุกคนได้โอกาสมาใช้เวลาอยู่ในสถาบันระดับอุดมศึกษาแห่งนี้ จะใช้เวลาหกปีอย่างมีค่า มีความหมาย และได้มีโอกาสปลูกฝัง "จิตวิญญาณ" ความเป็นแพทย์ อย่างประสบความสำเร็จ การแสดงออกที่ผ่านมาคงเป็นสินค้าตัวอย่างที่เป็น "ความท้าทาย" ของสถาบันเราว่านี่คือ specimen ที่เรามีหน้าที่ปั้นแต่ง อย่างน้อยที่สุดที่เราหวังได้ก็คือความร่วมมือ และ insight เพื่อที่จะเกิดความอยากเรียน อยากปรับปรุง จะได้เป็นบัณฑิตแพทย์ที่สมบูรณ์แบบ

และเป็นแพทย์ในที่สุด



Posted by : Phoenix , Date : 2004-07-06 , Time : 09:23:43 , From IP : 172.29.3.106

ความคิดเห็นที่ : 25


   .....ว่าแต่คุณ"รุ่นพี่"และ"รุ่นพี่อีกคน"ทราบได้อย่างไรว่า dhhj ไม่ใช่อาจารย์เหมือนกัน????.....OK....IP address น่าจะพอบอกได้....แต่ถ้าสมมติว่าเป็น"อาจารย์"เหมือนกันหละ?.....คุณก็กำลัง"ด่า"อาจารย์อีกคนอยู่เหมือนกัน.....ถูกไหมครับ??.....

.....ผมไม่สนว่าใครจะเป็นอาจารย์หรือไม่.....เพราะถ้าอาจารย์ต้องการให้เราเกรงใจแล้วหละก็....อาจารย์คงน่าจะใช้ชื่อจริงตอบกระทู้มากกว่า....การที่เรามานั่งคิดว่าใครเป็นใคร.....อย่างนึงจะทำให้สิ่งที่เราคิด.....สิ่งที่เราเขียนเปลี่ยนแปลงไป.....ไม่แน่ที่คุณนั่งด่าๆกันอยู่อาจจะเป็นนายกรัฐมนตรีมานั่งตอบกระทู้ก็ได้....ใครจะรู้?......ลองคิดดูสิ.....ถ้าคุณทราบว่าคุณ Phoenix เป็นกรรมกรอยู่หน้าโรงพยาบาล....คุณ"รุ่นพี่"และ"รุ่นพี่อีกคน"จะใส่ใจตรงนี้หรือเปล่า?.....ช่างมัน...แค่กรรมกร....โดนด่าก็สมควรแล้ว????....อย่างงั้นเหรอ????....นี่คือความยุติธรรมทางความคิดอย่างงั้นเหรอครับ????

......ผมว่าเรามองที่ความคิดและสิ่งที่เขียนดีกว่ามั้ง.....มากกว่าจะมองว่า"อาจารย์"เขียนหรือเปล่า.....เพราะไม่จำเป็นหรอกว่าความคิดของ"อาจารย์"จะต้องเป็นสิ่งที่ถูกต้องเสมอ......ที่นี่คือกระดานข่าว...ไม่ใช่ห้องเรียนครับ....ถ้าเราต้องมานั่งเกรงใจว่าใครเป็น"อาจารย์"แล้วหละก็.....คุณทั้งหลายในที่นี้คงไม่ได้"ความเห็น"หรือ"ข้อคิด"หลายๆอย่างที่มาจากก้นบึ้งของ"จิตใจ"จริงๆก็ได้.....

.....ด่าผมมั่งสิ....เผื่อผมอาจจะเป็น"อาจารย์"ของพวกคุณบ้างก็ได้.....ใครจะรู้???....จริงไหมครับ????



Posted by : Death , Date : 2004-07-06 , Time : 11:33:29 , From IP : 172.29.3.151

ความคิดเห็นที่ : 26


   ก็เป็นอีกคนหนึ่งที่มาใช้เครื่องคอมพ์อยู่เป็นประจำ ก็เลยได้รับบริการจากพี่เจ้าหน้าที่ทั้ง 3 คน แต่ละคนก็มีบ้างล่ะ บางครั้งที่ทำให้เราไม่พอใจ หงุดหงิดบ้างเพราะบริการไม่ทันใจ โดยเฉพาะช่วง 4 ทุ่ม บางครั้งพี่เค้าก็รีบปิดคอมพ์แล้วก็บอกให้เราเลิกเล่น ตั้งแต่ 4 ทุ่ม 20 ก็เคยคิดว่าจะไม่มาใช้ห้องคอมพ์อีกแล้วเพราะไม่ชอบพี่ๆ พวกนี้เลย แต่บางครั้งพี่ๆก็พูดจาดีกับเราบ้าง ก็เลยนึกว่า ถ้าเราเป็นพี่ๆที่ต้องมานั่งเฝาห้องคอมพ์ทุกวัน อยู่คนเคียวไม่มีเพื่อน หน้าที่ก็มีแค่แลกบัตรกับ print งานเป็นส่วนใหญ่ก็คงจะเบื่อล่ะนะ กลับบ้านก็ดึก เวลาอยู่กับครอบครัวก็ไม่ค่อยจะมี วันนั้นเราก็นั่งเล่นเป็นคนสุดท้าย พอ 4 ทุ่ม 20 พี่เค้ามาบอกว่าจะปิดห้องแล้ว ตอนนั้นก็อยากจะถามพี่เค้าเหมือนกันว่าปิด 4 ทุ่มครึ่งไม่ใช่เหรอ แต่เราก็ไม่ได้พูดอะไรแล้วก็เดินออกจากตึกแดง วันนั้นหน้าตึกแดงมันทั้งเงียบและมืด ก็อดคิดไม่ได้ว่าพี่เค้าจะต้องเลิกงานกลับบ้านดึกแบบนี้ทุกวันเลยหรือนี่ เอาเถอะ วันนี้เราเล่นคอมพ์(เกม)อยู่คนเดียว ถ้าไม่เหลือบ่ากว่าแรงยอมให้เขาได้กลับบ้านเร็วสักวันก็ได้

Posted by : setsuna , Date : 2004-07-06 , Time : 11:46:08 , From IP : 172.29.2.181

ความคิดเห็นที่ : 27


   เท่าที่ทราบห้องต้องปิด 4 ทุ่มครึ่ง ฉะบั้น การจะปิด 4ทุ่มครึ่ง ได้ทันก็ต้องปิดเครื่องก่อน 4 ทุ่มครึ่ง 10นาที สำหรับการปิดเครื่อง เดินปิดเครื่อง ทั้งห้อง คิดว่าไม่ทันแน่ ถ้าจะให้ทันต้องใช้วิธี ดึงปลั๊กเท่านั้น และที่เคยเจอมา เกิน 4 ทุ่มครึ่ง ยามข้างล่างบางคนก็ ขึ้นมาไล่ ถึงขั้นเข้ามาปิดไฟในห้องเลยก็เจอกับตัวเองมาแล้ว เอาแค่ 10 เครื่องหยุดเล่น พร้อมกันตอน 22.25 น. ผมว่า พนักงานเขาก็ปิดห้องไม่ทันแล้ว เพราะบางเครื่อง ต้องใช้เวลาในการ shutdownมากเป็นพิเศษ เนื่องจากพวกเราบางคนชอบเปิด web ต่าง ๆ ค้างเอาไว้ ช่วยกันShutdown เครื่อง เวลาเลิกเล่นเป็นคนสุดท้ายบ้างซิครับ

Posted by : น่าเห็นใจ , Date : 2004-07-06 , Time : 12:10:27 , From IP : 172.29.2.100

ความคิดเห็นที่ : 28


   พี่ ๆ เพื่อน ๆ น้องๆ
มันไม่แฟร์เลย ที่เราไปโพสว่าเขาแรงๆ ด้วยอารมณ์แบบนี้
ทั้งพี่ๆเจ้าหน้าที่เขาแสดงตัวอยู่ฝ่ายเดียวนะ



แล้วพวกเราล่ะ คอมซุ่มโจมตีอย่างเดียวเลย
เห็นใจเขาบ้างนะครับ


Posted by : bf y , E-mail : (ourcommed@yahoo.com) ,
Date : 2004-07-06 , Time : 13:13:55 , From IP : 172.29.4.59


ความคิดเห็นที่ : 29


   สาเหตุที่ผมใช้นามแฝงนั้นบอกไว้นานแล้ว และประเด็นสำคัญที่สุดคือ เราไม่ควรจะเกรงใจใครเพราะเราทราบ identity ของเขาครับ ประเด็นคือเราควรจะเอาใจเขามาใส่ใจเราไม่ว่าเขาจะเป็นใคร มีคุณประโยชน์ต่อเราหรือไม่

เวลาเราวิจารณ์บนเวทีแสดงความเห็นเปิดแบบนี้ เป็นโอกาสอันดีที่เราจะฝึกหัดการมีปฏิสัมพันธ์ เวลาที่แพทย์เข้ารักษาผู้ป่วย เราไม่ต้องรู้สกุลรุนชาติของผู้ป่วยก่อนหรอกครับ เราทำตามหน้าที่เท่าเทียมกัน และมีจุดมุ่งหมายเหมือนเดิมคือช่วยเหลือเขาเท่าที่ความรู้ความสามารถเรามี

การมาเรียนแพทย์นั้น ไม่ใช่เพื่อที่เราจะได้อภิสิทธิ์ ตรงกันข้าม เป็นการประกาศตนว่าเราจะใช้เวลาส่วนหนึ่ง ถึงแม้ว่าจะเป็นเวลาส่วนตัวของเราก็ตาม "เพื่อคนอื่น" ครับ การที่เราใช้สิทธิ์ในการ "เสียสละสิทธิ์ ความสุขส่วนตัว" นี่แหละคือ virtue ของวิชาชีพนี้ คือเราเลือกที่จะพูดดี คิดดี ปฏิบัติดีกับคนอื่นแม้ว่าส่วนตัวเราจะไม่ชอบใคร เขาจะเป็นคนไม่ดีในสายตาของเรา เป็นอาชญากรระดับโลก เราจะรักษาตามหน้าที่ที่มี ไม่คิดอย่างนี้ คุณอาจจะมี conflict ทางความคิดขณะทำงานในอนาคต เพราะเป็นไปไม่ได้ที่เราจะอยู่ในสิ่วแวดล้อมเป็นมิตรหรือที่เราพึงพอใจตลอดเวลา หากเราปล่อยให้ปัจจัยความชอบไม่ชอบ หรือการเลือกทำไม่เลือกทำ มามีอิทธิพลต่อการทำงานในอาชีพนี้ ที่สุดแล้วก็คือสิ่งที่เราเริ่มพบเห็นกันมากขึ้น คือ การฟ้องร้อง คดีต่างๆที่แพทยสภารับมาซึ่งมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นทุกปีๆ



Posted by : Phoenix , Date : 2004-07-06 , Time : 15:35:50 , From IP : 172.29.3.106

ความคิดเห็นที่ : 30


    ขอบคุณครับอาจารย์ที่เตือนสติ..นศพ.

Posted by : รุ่นพี่ , Date : 2004-07-06 , Time : 16:05:16 , From IP : 203.155.189.44

ความคิดเห็นที่ : 31


   role modelนั้นสำคัญในการทำให้คนอื่นที่ศรัทธาเรา identifyตาม ซึ่งพฤติกรรมที่แสดงนั้นมันสะท้อนมาจากความคิด ไม่ว่าใครก็ตามในที่นี้แสดงความคิดเห็นอะไรออกมา ก็นั่นหมายความว่าคุณกำลังถูกจับจ้อง และอาจถูกเลือกรับเป็นแบบอย่าง คราวนี้ขึ้นอยู่กับว่าเราอยากให้คนส่วนใหญ่เป็นแบบใด แบบเราหรือที่ก้าวร้าว?

Posted by : pisces , Date : 2004-07-06 , Time : 19:09:31 , From IP : 172.29.3.238

ความคิดเห็นที่ : 32


   ....ขอบคุณนะครับ....คุณรุ่นพี่.....:D....:D

....ผมถามนิดนึงสิครับคุณ pisces.....ถ้าเช่นนั้นแล้วในโลกจริงที่เราแบกฐานะของ"อาจารย์"ไว้บนหลัง.....ไม่ว่าจะอย่างไร.....เราก็ต้องแบกเอาไว้ตลอดเวลาอย่างนั้นหรือครับ?....อย่างเช่นถ้าไม่มีใครทราบว่าผมเป็น"อาจารย์"นี่.....ผมคงสามารถเข้าไปตอบกระทู้ปัญหาหัวใจ....กระทู้ปัญหาทางเพศ....โดยไม่ต้องแบกอะไรพวกนี้ตามหลังผมไปด้วย....จะสบายใจกว่าหรือเปล่า????....โอเคจริงอยู่ที่"อาจารย์"เป็นแบบอย่างที่ดีของนักเรียน.....แต่ในความเป็นจริง.....ชีวิตจริงๆของเราทุกๆคนนี่.....ที่ไม่ใช่เรื่องเพ้อฝันเลื่อนลอยไปวันๆนี่.....เรามีคนที่เป็น"อาจารย์"ตลอดเวลาด้วยหรือ?......เราไม่มีคนดี 100% และคนชั่ว 100% หรอกครับ...ชีวิตเราไม่มีแต่"ขาว"กับ"ดำ"ตลอดเช่นกัน......ผมว่านะ[ความคิดผมมักแปลกๆ]....ถ้าเรามัวแต่มานั่งแบก Role Model ไว้บนหลังตลอด....โดยที่เราทำไม่ได้จริงอย่างนั้นตลอดเวลาแล้วหละก็.....ชีวิตคงน่าจะขาดความสมดุลย์หรือความสนุกสนานไปอีกหลายอย่างเลยครับ.....ลองดูง่ายๆ.....ในชีวิตจริงผมเป็น"อาจารย์"ที่ก้าวร้าว....แต่พออยู่ในกระดานข่าว....ผมต้องกลายเป็นคนดีหรือเปล่า....เพื่อเป็นแบบอย่างแก่นักเรียน.....ผมคงตอบว่าไม่แน่ๆ.....เพราะผมเชื่อว่าเราๆท่านๆทราบกันดีด้วยระดับสติปัญญาที่เรามีกันอยู่แล้วว่า.....อะไร"จริง"ในชีวิตเราแต่ละคนอยู่แล้ว......:D...:D

......จะว่าไปผมคิดถึงนักตอบกระทู้ท่านหนึ่งที่เมื่อก่อนชอบมีคนถามปัญหาทางเพศให้ท่านมาตอบ.....โดยที่หลายๆคนไม่ทราบด้วยซ้ำว่าท่านเป็นใคร.....นั้นคือ Role model หรือ Real model กันแน่......ผมไม่รู้....แต่ที่แน่ๆ....ผมชอบท่านที่ว่านี่หละกัน....:D...:D

....อาจจะมีคนหลายคนทราบว่าผมเป็นใคร.....แล้วยังไงหละครับ....คิดว่าชีวิตผมจริงๆกับที่ผมเขียนในนี้เป็นอย่างไร?.....ผมอาจจะถูกจับจ้องจริง....แต่ใช่ว่าจะต้องมีคนมาเอาอย่างผม....เสรีภาพทางความคิดมีประโยชน์มากมายทั้งทางด้านการสร้างสรรค์และทำลายล้าง....จะดีหรือถ้าเราต้องถูก Role Model มาบดบังหรือปิดกั้นอะไรก็ตามที่อาจจะ"สร้างสรรค์"หรือ"ทำลายล้าง"โลกใบนี้ได้?....:D...:D



Posted by : Death , Date : 2004-07-06 , Time : 20:54:44 , From IP : 172.29.3.201

ความคิดเห็นที่ : 33


   ขอเสือกก็แล้วกันนะครับ คงไม่ว่าอะไร

คนเรา "ไม่ต้อง" แบกบทบาทอะไรหรอกครับ ทำตัวเป็นตัวของตนเองนั้นดีที่สุด และไม่ต้องกลัวว่าวันนี้ทำดีมาเยอะแล้ว เดี๋ยวต้องไปเตะหมาเพื่อให้เกิดสมดุลความดีเลวของโลกนี้เช่นกัน

เช่นกันครับ กระดานสาธารณะนั้นมีที่ใช้ได้หลายอย่าง ที่แน่ๆคือมีคำ "สาธารณะ" แปะอยู่นั้น มันมีความหมายอะไรอยู่หรือไม่? คล้ายๆกับคนมีอาชีพครูจะรู้สึกความรับผิดชอบอย่างหนึ่งกับบริบท "โรงเรียน" หรือ "ห้องเรียน" คล้ายๆกับทหารมีความรู้สึกอย่างหนึ่งกับ "สนามรบ" ทีนี้คนในสังคมจะมีความรู้สึกรับผิดชอบชั่วดีอย่างไรกับบริบท "สาธารณะ" ดีล่ะครับ?

ในโลกประสบการณ์ส่วนตัว (จริงๆ) ของผมนั้น มีครูบาอาจารย์หลายท่านที่ผมว่ายังชีวิตในโรงเรียน ตอนกินข้าว ตอนไปเที่ยว หรือไปเยี่ยว โดยไม่ต้อง "ฝืน" บทบาทอะไรเลย (นึกถึงตอนไปยะลา แล้วรับคำอบรมสั่งสอนข้างช่องเยี่ยวจากอาจารย์ศัลยแพทย์อาวุโสท่านหนึ่งโดยที่เราทั้งสอง "ได้ที่" พอสมควร) จากสถานการณืผมว่าท่านไม่ได้ฝืน ไม่ได้สวมหมวกครับ แต่ท่านทำให้ผมเกิดความเชื่อมั่นว่า "จริยวัตร" หรืออะไรที่เราทำเพราะเชื่อว่าถูกว่าควรนั้น เมื่อถึงเวลามันเป็น "ของๆเรา" ไม่ใช่เพียงหัวโขนหรือหมวกที่มีสวมเข้าถอดออก

การที่คนเราจะหละหลวมไปบ้าง ไม่ได้นึกอะไรไปบ้างนั้นเรื่องธรรมดาครับ ผมว่ายังงั้น แต่ถ้าทุกครั้งที่เราแสดงความเห็นให้คนในที่สาธารณะฟัง เกิดรูปแบบอย่างใดอย่างหนึ่งนั้น มันเป็น"เจตนา" มันเป็นเพราะว่าถ้า ณ ที่นี้ ณ บริบทอย่างนี้ ฉันเห็นสมควรที่จะแสดงออกอย่างนี้ มนไม่ใช่ randomized time ชั่วเจ็ดทีดีเจ็ดหน แต่มันกลายเป็นหมวกอีกใบหน้าห้องนี้ที่จะสวมก่อนจะเข้ามานั่งไป

โลกนี้อาจจะดีขึ้น หรือแหลกสลายไปเมื่อไหร่ไม่มีใครทราาบ (ถึงแม้ผมจะคิดว่ามันจะ "สลาย" ไปแน่ๆสักวันหนึ่ง) สิ่งที่เราทำได้คือให้มโนสำนึกของเรานี่แหละครับบอกเราตอนเราอยู่คนเดียว ตอนเรา reflect สิ่งที่เราทำไปวันนี้ เมื่อวานนี้ ว่าเราได้ "ถม" หรือเราได้ "ยก" มันขึ้น สำหรับตรงนี้คงมีความหมายหรือน้ำหนักไม่เท่ากันในแต่ละคน



Posted by : Phoenix , Date : 2004-07-06 , Time : 22:37:21 , From IP : 172.29.3.221

ความคิดเห็นที่ : 34


   ...อนุญาตและยินดีให้เสือกครับ....:D..:D
......ผมยังกังวลกับคำว่า Role Model กับความหมาย"จริง"ในชีวิตแต่ละคน.....และการแสดงออกในที่เสรี.....ทีบางทีบางคนทราบว่าเราเป็นใคร.....เช่น....เคยมีอยู่ครั้งหนึ่ง...ผมแสดงความเห็นขัดแย้งกับผู้ตอบกระทู้ท่านนึงที่ใช้ชื่อประหลาดๆ....แต่มารู้ที่หลังว่าท่านเป็นระดับค่อนข้างสูงท่านนึง....ตอนหลังจากนั้นที่ท่านยินดีมายืนถกเถียงกับผมในชีวิตจริง.....ทำให้ผมมานั่งคิดว่า.....นี่ถ้าตอนนั้นผมทราบก่อนว่าไอ้ชื่อประหลาดๆนั่นเป็นใคร....ผมจะยังเขียนเหมือนเดิมหรือเปล่า?....คำตอบก็คือผมคงให้ความเกรงใจ....และลดถ้อยคำเสียดสีลงไปได้เยอะ.......แต่ก็จะนำไปสู่อีกคำถามนึงว่า....แล้วสิ่งที่ผมเขียนนั้น....มาจากความเข้าใจ...ความรู้แบบผิดๆ....หรือความอวดดีแบบงี่เง่าของผมหรือเปล่า.....ก็คงไม่เหมือนกัน.....เหมือนกับการเสแสร้ง....ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่ผมชอบเท่าไรนัก......ดังนั้นผมก็เลยเลิกที่จะสนว่าใครเป็นใคร....และคิดว่า....ถ้าต้องการให้ผมเกรงใจ....ก็ใส่ชื่อจริงมาหละกัน.....อย่าใช้ไอ้ชื่อแปลกๆมาอีก......ไม่งั้นไม่รู้ด้วย....:D....:D

........ถ้าอย่างงั้นผมก็เลยสงสัยว่า......ถ้าเราที่ยินดีมาใช้ชื่อประหลาดๆกันแล้ว.....ยังยืด Role Model ของการเป็น"อาจารย์"เดินเข้ามานั่งอ่านหรือตอบอะไรในนี้....อย่างนึงที่เป็นไปได้คือ.....คงมีคนจำนวนไม่น้อยที่เกรงใจ.....และก็อีกเช่นกับกับคนประหลาดที่เราไม่รู้ว่าเป็นใคร.....ที่เรานั่งด่ากันอยู่.....อาจจะเป็น"อาจารย์"จริงๆก็ได้แล้วเนี่ย?....อะไรคือสิ่งที่เราต้องการกันแน่....????

.....เพราะถ้าเราอยากได้ความเห็นจริงๆ.....ไม่ว่าจะมาจากจิตใต้สำนึกขั้นไหนของคนตอบ.....ถ้าบังเอิญเราทราบว่าคนถามเป็นใคร.....เราจะได้คำตอบจริงๆงั้นเหรอ?.....เหมือนกับไม่มีใครรรู้ว่าคุณเป็นใคร....เขาอาจจะมานั่งด่าคุณ.....แต่สิ่งหนึ่งที่คุณได้คือ.....คุณคงจะรู้ว่ามีคนไม่ชอบเรา....ไม่ชอบสิ่งที่เราคิด...ซึ่งไม่แปลกเพราะคนเราย่อมมีทั้งคนชอบและเกลียดอยู่แล้ว......ผมว่าบางทีการถูกคนอื่นที่ไม่รู้ว่าเราเป็นใครด่านี่.....บางทีมันทำให้เราคิดอะไรบางอย่างได้นะครับ.....

.....หรือถ้ามองว่าคนทั่วไปทราบว่าคุณเป็นกรรมกร.....จะมีใครมาสนใจไหมว่าคุณถูกด่า.....?.....นั่นคือผมสงสัยว่านี่คือว่ายุติธรรมหรือเปล่า?......เหมือนการเสแสร้งกลายๆไหม...ว่าเรารู้ว่าใครเป็นใคร.....ทำให้เราเลือกที่จะปฎิบัติแบบไม่เท่าเทียมกัน?.....ส่วนนึงผมคิดว่าถ้าคนรู้ว่าผมเป็นใครมากๆ....ผมเปลี่ยนชื่อแล้วก็มานั่งตอบใหม่ดีกว่า....เผื่อคนที่ไม่รู้จักผมจะได้ด่าผม....หรือให้แนวคิดอะไรที่ผมอาจจะคิดไม่ออกเองก็ได้?.....

...........ในแง่ของสาธารณะ.....มันก็สาธารณะจริงๆนั่นหละครับ......มันมีทั้งประโยชน์และโทษ.....แล้วแต่ว่าเราจะมองอย่างไร....และเราอยู่ในสถาณะอะไรของที่นั้นๆ.....อย่างนึงสถาณที่ๆเรียกว่ากระดานข่าว....อาจจะคล้ายๆการจำลองสังคม......แต่ไม่ใช่ทุกด้านแน่ๆ......เพราะเวลาเราเดินอยู่ในสังคม....อย่างน้อยๆคนเราก็เห็นหน้า....รู้จัก...พูดคุย....มี Relation กัน....ซึ่งอันนั้นจะนำมาซึ่งความเกรงใจ.....หรือที่ผมชอบเรียกว่าการสวมหน้ากาก......ซึ่งในสังคมเราสวมได้ทีละใบ.....เราคงไม่ใส่ได้ทีหละหลายๆใบเหมือนในกระดานข่าว.....ซึ่งในที่นี่สามารถบ่งบอกอะไร......อย่างนึงที่แน่ๆเราไม่สามารถมาเรียนการเข้าสังคมทางกระดานข่าวได้แน่ๆ.....เพราะมันโหดร้ายกว่ากันมาก......เรามีเสรีภาพที่มากเกินจนบางคนคิดว่ามันเกินไปและรับไม่ได้.......แต่นั่นอีกหละ.....เมื่อเรามองหาดีๆในข้อเสีย....เราสามารถมองให้มันเป็นประโยชน์ได้.....อย่างน้อยเสรีภาพนั้น.....ก็จะตามมาด้วยความคิดหลากหลายที่มีทั้งสร้างสรรค์และทำลายล้างแบบที่ตามสังคมปกติอาจจะหาไม่ได้ก็ได้.......ในชีวิตจริงของคุณตอนนี้อาจจะไม่มีใครกล้ามาชี้หน้าด่าคุณตรงๆ.....แต่ตอนที่คุณถูกใครสักคนด่า.....คุณจะคิดว่านี่มีความหมายอะไร.....ระหว่างนี่คือความจริงใจในความคิดของคนนๆนั้นที่บอกออกมาจริงๆ.....หรือการเสแสร้งแกล้งทำของพวกเสียสติที่ว่างมากหละครับ????......คุณอยากได้ความเห็นจริงๆ......หรือความเกรงใจใน Role Model ที่คุณเป็นอยู่หละ?......:D...:D



Posted by : Death , Date : 2004-07-06 , Time : 23:43:24 , From IP : 172.29.3.254

ความคิดเห็นที่ : 35


   "ด่า" นั้นเป็นรูปแบบของการแสดงออกอย่างหนึ่งที่เราควรสนใจมากน้อยแค่ไหนล่ะครับ?

ในการส่งกระทู้เข้ามาบนกระดานข่าวนั้น ผมได้บ่งบอกไว้ชัดเจนสม่ำเสมอไม่เปลี่ยนแปลงว่าเราส่ง "ความคิด" เข้าไปแลกเปลี่ยน ไม่ใช่ตัวเรา หรือ "คุณค่า" ของเรา ข้อสำคัญคือคำ "แลกเปลี่ยน" และ "เปลี่ยนแปลง" เพราะนั่นคือรากฐานนิยามของ "การศึกษา" การศึกษาคือการแลกเปลี่ยนและเปลี่ยนแปลง ต่อให้เราดูเหมือนเรียนรู้เรื่องเก่า เรื่องที่รู้แล้ว แต่กระบวนการซ้ำๆที่ว่านั้นได้เปลี่ยนแปลงรากฐานความมั่นใจใน concept นั้นจากเดิมแน่ๆ

การคง identity หรือสร้างนามแฝงนั้นมีข้อดีข้อเสีย และความยากง่ายของมันอยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเราแสดงความคิดที่ "เป็นเรา" จริงๆ เปลี่ยนชื่ออย่างไรก็ไม่เปลี่ยนบุคลิก คนที่ไม่ชอบความคิดเราชื่อนี้ก็จะไม่น่าจะมารักชอบความคิดเดิมเพียงเพราะเราเปลี่ยนชื่อ ผมไม่คิดหรอกนะครับว่าหลังจากที่ identity ผมมีคนรู้ไปแล้ว ถ้าผมเปลี่ยนชื่อนามแฝงแล้วคนจะไม่รู้ว่าเป็นผม เพราะว่าผมไม่ได้เสแสร้งใช้บุคลิกหรือพูดในสิ่งที่ผมไม่เชื่อหรือทำไม่ได้ ผมต้องการแลกเปลี่ยนความรู้ความคิดกับคนในที่นี้อย่างบริสุทธิ์ใจ

การที่เราใช้นามแฝงหรือที่ผมตอบใครต่อใครนั้น ผมแสดงความคิดเห็น "บนความคิด" และได้พยายามครั้งแล้วครั้งเล่าว่าขอให้ทำอย่างเดียวกัน มิฉะนั้นแล้วเมื่อไหร่ก็ตามที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเอาตัวเองไปเป็นความคิด บ่วงอันนี้จะฉุดเอาสิ่งอื่นตามมานั้นคือความโกรธ ความละอาย เข้ามาทดแทนตรรก และปัญญา กระดานข่าวแบบนี้จึงร่ำรวยความคิดได้ โดยไม่สูญเสียบุคลิก จึงไม่จอมปลอมทั้งๆที่เต็มไปด้วยนามแฝง

หากแต่ถ้าเรา "ฉวยโอกาส" ไม่รู้ identity หรือ"ทำเป็นไม่รู้"ก็ตามเพียงเพื่อส่อเสียด ประชดประชัน กักขละ หยามเหยียด สิ่งต่างๆเหล่านี้คุณคิดว่าจะเกิดโทษต่อฝ่ายไหนมากกว่ากัน หรือเกิดโทษกันฝ่ายใดฝ่านหนึ่งแม้แต่เพียงน้อยนิดหรือไม่? การเอาคำส่อเสียด เหยียดหยามมาเป็นอารมณ์นั้นก็จะบ่งชี้ถึงสมาธิ สติปัญญาของเราได้ แต่ถ้าสิ่งส่อเสียดเหยียดหยามนั้นเป็นเรื่องจริงมันก็ไม่ใช่ส่อเสียดหรือเหยียดหยามหรือไม่?

กระดานข่าวบางที่อาจจะเป็นอย่างที่คุณว่า แต่ผมเชื่อในสิ่งเดียวกับพี่ว่าวเชื่อว่าสังคมที่ดีนั้นต้องสร้าง และทำได้ สังคมที่เรางอมืองอเท้าและเชื่อว่ามันไม่ดีมันก็จะไม่ดี สังคมที่เราไม่งอมืองอเท้าถึงแม้ว่ามันไม่ดีแต่ก็ยังมี "ความหวัง" ความหวังอันนี้เป็นแรงผลักดัน แรงบันดาลใจมนุษยชาติมาแต่ปางบรรพ์แล้ว



Posted by : Phoenix , Date : 2004-07-07 , Time : 00:58:33 , From IP : 172.29.3.249

ความคิดเห็นที่ : 36


   เออ...โทษนะครับเค้ากำลังแสดงความคิดเห็นเรื่องอะไรกันครับนี่ เรื่องเจ้าหน้าที่ห้องคอม หรือว่าเรื่องใครเป็นอาจารย์หรือใครเป็นกรรมกร

Posted by : หลังเขา , Date : 2004-07-07 , Time : 02:32:25 , From IP : 172.29.3.216

ความคิดเห็นที่ : 37


   อ้าว! ไม่รู้เหรอ ว่า อยู่ในช่วงรายการโฆษณาความคิดครับ อีกพักสักครู่เดียวครับ...

Posted by : 5 5 5 , Date : 2004-07-07 , Time : 11:43:35 , From IP : 172.29.2.191

ความคิดเห็นที่ : 38


   อะไรกันเหรอ


Posted by : ' , Date : 2004-07-07 , Time : 13:54:06 , From IP : 172.29.2.156

ความคิดเห็นที่ : 39


   ของฝาก

Posted by : ลอนดอน , Date : 2004-07-07 , Time : 16:21:14 , From IP : 172.29.2.203

ความคิดเห็นที่ : 40


    ว่างๆลองนั่งคิดดูว่าเรามีนิสัย ความคิด บุคคลิกและการแสดงออกของactionที่เหมือนใคร ถ้าเป็นผู้ชายคงบอกใกล้เคียงพ่อมั้งมีแม่มาปนบ้างก็อาจเป็นแบบห้าสิบห้าสิบ หรือหกสิบสี่สิบหรือ........ก็ขึ้นอยู่กับเราidentifyพ่อหรือแม่มากกว่ากันมาเป็นidentityของเรา ซึ่งเป็นตัวอย่างชัดเจนที่สุดของการได้รับmodel ถ้าในอดีตเราถูกบังคับมาก มีกฎเกณท์ในการเลี้ยงดูมาก ไม่สามารถแสดงออกของagressionที่มีอยู่ในตัวเราให้ออกมาได้ เป็นแบบนี้มาตลอด เมื่อสบโอกาสที่สามารถattackใครที่ไม่มีauthorityหรือด้อยกว่าเราได้เมื่อไหร่ เราก็จะทำ หรือไม่ก็เราอาจแสดงพฤติกรรมเป็นแบบ antiauthority ดื้อเงียบ ถ้าเราไม่ได้รับการดูแลเรื่องsuperegoแบบเข้มข้น ไม่รับรู้เรื่องการ concernคนอื่น actionเราก็คงเป็นแบบ antisocial ไม่เคารพกฎเกณท์ ไม่สนใจความรู้สึกคนอื่นและคงเป็นเช่นนี้ไปเรื่อยๆและนั่นคือสิ่งที่น่ากลัวเพราะเราจะไม่รู้ตัวแน่นอน
ชีวิตหลังจากนี้บทบาทเราก็จะเพิ่มขึ้นอีกหลายเท่าไม่ว่าคุณจะยังคงเป็นลูก แฟน สามี ภรรยา เพื่อน พ่อ แม่ ก็มีตัวตนคุณและ agressionที่สะสมมาซ่อนอยู่ และจะแสดงออกมาเมื่อโอกาสนั้นเอื้ออำนวยให้ไม่ว่าจะอยู่ในบทบาทใด เช่นแสดงกับภรรยาเมื่อแต่งงานแล้ว แสดงกับลูกที่ไม่มีทางสู้ เราถึงเห็นเรื่องราวการทำร้ายร่างกาย ทำร้ายจิตใจกันได้อยู่บ่อยงัย และแน่นอนactionเหล่านี้ต้องถ่ายทอดต่อไปก้บคนที่ศรัทธาเรา ลูกเราแน่นอนไม่ว่าจะอยากหรือไม่ก็ตาม
คนเราทุกคนมีสี่ด้าน ด้านมืดสนิทที่ทั้งเราและคนอื่นไม่รู้ ค้านมืดที่เราไม่รู้แต่คนอื่นรู้ ด้านสว่างที่เราไม่เห็นแต่คนอื่นเห็น และสุดท้ายด้านสว่างที่ทั้งเราและคนอื่นเห็น สิ่งที่คนอื่นสะท้อนตัวเราจากความคิดและactionคือ ด้านมืดที่เราไม่รับรู้ ถ้าเราไม่รับฟังเราก็จะไม่เห็นweak pointดังกล่าว และโดยส่วนใหญ่แล้วเราย่อมไม่มีทางเห็นด้วยกับสิ่งสะท้อนนี้แน่นอน เพราะมันเป็นด้านที่มืดสนิทจริงๆในการรับรู้ของเรา และเราก็ปล่อยให้ด้านมืดของเรามีอำนาจในการกำหนดactionเราต่อไปว่างั้นเถอะ


Posted by : pisces , Date : 2004-07-07 , Time : 19:45:18 , From IP : 172.29.3.211

ความคิดเห็นที่ : 41


   ......มันก็คงไม่น่าสนใจมากนักหรอกครับ....การโดนด่าเนี่ย..อืมมมม...ผมชอบที่คุณ pisces คิดเรื่องสี่ด้านเนี่ย....มันจะดูเข้ากันได้ไหม....ถ้าเราโดนด่าทุกครั้งที่เราเขียนอะไรสักอย่าง.....อาจจะมองดูว่าไร้สาระ.....เป็นพวกบ้าไม่มีอะไรทำ...อาจจะเป็นพวกจองเวรที่ไม่น่าสนใจ.....แต่ถ้ามองอีกด้านหนึ่งที่เป็นด้านมืดที่เรามองไม่เห็น....ที่เราปฎิเสธที่จะสนใจ....เพราะมันไม่น่าฟังหละ????.....ไม่รู้เหมือนกัน....

.....ส่วนตัวผมผมคงน่าจะชอบแสดงความเห็นแบบไม่แคร์ใครเท่าไรนัก.....คงเพราะผมถือว่านี่เป็นความจริงใจแบบที่ผมเป็น[มั้ง??]....ผมคงไม่มานั่งเขียนอะไรเพื่อเอาใจใครถ้าผมรู้ว่าเขาเป็นอาจารย์ที่จะให้คะแนนผมหรือไล่ผมออกได้.....คุณ Phoenix อาจจะไม่ชอบใจเท่าไดนัก....หรือคงรู้สึกแปลกๆถ้าผมเริ่มเขียนอะไรเลียความคิดคุณ Phoenix ที่ผมมักไม่เห็นด้วยอยู่บ่อยๆ....อาจจะจริงอย่างที่คุณ Phoenix ว่าก็ได้....ถึงแม้จะเปลี่ยนชื่อ....แต่ก็คงเปลี่ยนแนวทางยาก....ผมคงไม่ไปเริ่มอะไรใหม่.....นี่คือความ"จริง"ของผม....มันอาจจะดูไม่ดีเท่าใดนัก....แต่ก็คงเป็น"ผม"เหมือนกัน....

....ส่วนเรื่อง Aggressive นั้น....ผมคงให้ความเห็นได้ว่า.....เป็นเรื่องธรรมดา....เราคงจะเห็นแบบนี้อยู่เรื่อยไป....ไม่ว่าเราจะมีความรู้การศึกษาดีแค่ไหน...หรือพ่อแม่หรือใครเลี้ยงดูเราดีอย่างไร.....สุดท้าย.....คนก็ยังเป็นคนอยู่ดีนั่นหละ....อาจจะมีบางที่คนบางคนกลายเป็นพระไป...แต่ไม่ใช่ทุกคนหรอกครับ.....เหมือนกับความจริงที่เราอาจจะไม่อยากได้....หรือเราคาดหวังอะไรที่ดีกว่านี้....แต่สุดท้าย.....สิ่งที่เราเห็นด้วยตา....และใจของเราที่รับรู้...คงน่าจะให้คำตอบกับความคาดหวังของเราได้เป็นอย่างดี.....

ความเห็นอะไรแย่ๆ....หรือการโดนด่าสักที....บางทีถ้าเรามองให้มันได้ประโยชน์แล้วหละก็.....บางทีมันก็มีความหมายเหมือนกัน.....อือออ.....จะว่าไปเปลี่ยนทีก็ดีเหมือนกัน....เพราะท่าทางนี่จะเป็นกระทู้เรื่องห้อง Com......:D..:D



Posted by : Death , Date : 2004-07-07 , Time : 21:28:17 , From IP : 172.29.3.151

ความคิดเห็นที่ : 42


   ทฤษฎีพฤติกรรมอาจจะบ่งบอกว่าบุคลิกเมื่อ formed แล้วเปลี่ยนยาก แต่ผมเป็นคนหนึ่งที่สงสัยในความ "clear-cut" ของทุกทฤษฎีที่พยายามอธิบายหรือตรากฏเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิต

คน พระ เด็ก ชี กระเทย ฯลฯ ฟังดูเป็นคำธรรมดา แต่สามารถมีความหมายแตกต่างออกไปสำหรับแต่ละคนอย่างมากมาย คำว่า "คน" นั้น ผมเปรียบก็จะเหมือนกับที่ได้ตั้งต้นไว้ คือ ถ้าใครคิดว่าคน "ต้อง" เป็นยังงั้น ผิดจากนี้ไปจะกลายเป็นพระ หรือเป็นคนที่ไม่ธรรมดา ถ้าว่างๆผมก็อยากจะให้ลอง challenge ทฤษฎีที่ว่าในใจดูว่าจริงหรือไม่จริงเพียงไร ไม่ว่างหรือยังไม่มีอารมณ์ก็ไม่เป็นไร แต่ผมเสนออีกทฤษฎีนึงว่าคนเรานั้นเปลี่ยนกี่หนกี่หนก็เป็นคน "ธรรมดา" อยู่นั่นแหละ นี่คือนิยามของ "คน" ในทัศนะส่วนตัวของผม

ความ "พิเศษ" นั้นเป็นสิ่งที่เราจินตนาการขึ้น วัยรุ่น "ทุกคน" อยากจะมี personality ของตนเองโดดเด่น เพื่อนๆยอมรับนับถือ สุดท้ายคนที่โดดเด่นจริงๆอาจจะเป็นคนที่ไม่ได้คิดว่าต้องโดดเด่น ทำตัวเป็นคนธรรมดาๆเท่านั้น มีแก๊งวัยรุ่นที่ต้องห่าม ต้องสูบบุหรี่ ต้องเมาเหล้า ต้องต่อต้านสังคมเพื่อแสวงหาความยอมรับ ความแปลก ความ unique ต่างๆ เมื่อเอาเหล่านี้มารวมกันไว้ที่เดียวกัน คนที่ unique ที่สุดอาจจะกลายเป็นเจ้าแว่นหอบหนังสือเจ้าชายน้อยสักคนที่ outstanding ออกมาก็ได้

กรอบความเชื่อของเรานั้น จะพบว่ามีฐานที่เกิดจาก assumptions มากมาย ที่บางครั้งเมื่อเรามาทดสอบ ตรวจสอบให้ดีๆจะพบว่าเราสรุปอะไรได้เปลี่ยนไปเยอะหากกรอบนั้นมีฐานที่แตกต่างออกไป ทำไมครูจึงจะให้คะแนนนักเรียนตามความชอบเกลียด ไม่ใช่ตาม merit ความสามารถของเด็ก? คนดีหน่อยจะกลายเป็นพระไปหมด? คนทำตามระบบเป็นคนไม่ธรรมดา? "คนไม่ aggressive" ก้เป็นคนธรรมดาๆที่พบกันดาดดื่น อาจจะมากกว่าคน aggressive ซะด้วยซ้ำ แต่ "ทำไม?" เราจึงเลือกความธรรมดาแบบหนึ่งแทนอีกแบบหนึ่ง?

ทฤษฎีเรื่องการเลี้ยงดู role model ที่คุณ pisces ว่ามานั้นก็น่าสนใจ อาจจะดีในเชิง prospective แต่อาจจะไม่มีผลหรือตรงกันข้ามหากเราคิดว่านี่มันก็เลยระยะที่จะทำอะไรได้มาไกลแล้ว ซึ่งอาจจะไม่ถูกซะทีเดียว หากเรามีความเชื่อใหม่ว่าไม่มีอะไรที่สายเกินเรียน แก่เกินจะเปลี่ยน

นักการศึกษาเชื่อว่ามนุษย์สามารถเรียนรู้ได้จนวันตาย ถ้าเราเชื่อว่า "การศึกษาคือการเปลี่ยนแปลง" เอาสมการมาแทนที่กัน มนุษย์เรานั้นสามารถจะเปลี่ยนได้ตราบจนวันตายเหมือนกัน

ไม่งั้นคงไม่มีใคร confess หรือพูด อรหัง ก่อนหมดลมกระมัง? อาจจะมีคนรู้ในสิ่งที่เราไม่รู้อยู่ก็เป็นได้

ใช่ไหมครับ



Posted by : Phoenix , Date : 2004-07-07 , Time : 23:00:12 , From IP : 172.29.3.217

ความคิดเห็นที่ : 43


   "มนุษย์ย่อมคิดว่าตัวเองถูกเสมอ" สัจจธรรมอมตะ ข้อหนึ่งของมนุษย์โลกที่เห็นเด่นชัดที่สุด ในยุคปัจจุบันและอนาคต

Posted by : เชื่อแล้ว... , Date : 2004-07-08 , Time : 09:12:11 , From IP : 172.29.2.191

ความคิดเห็นที่ : 44


   คุณ Phoenix กะคุณ Death ส่ง Email คุยกันเองดีมั๊ย

Posted by : เสนอ , Date : 2004-07-08 , Time : 10:14:10 , From IP : 172.29.1.209

ความคิดเห็นที่ : 45


   คุณ Phoenix กะคุณ Death ส่ง Email คุยกันเองดีมั๊ย

Posted by : เสนอ , Date : 2004-07-08 , Time : 10:14:15 , From IP : 172.29.1.209

ความคิดเห็นที่ : 46


   ที่มีการอภิปรายเท่าที่ผ่านมามีอะไรระคายโสตหรือครับ กรุณาสั่งสอนจะได้เรียนรู้ ขอบพระคุณล่วงหน้าครับ



Posted by : Phoenix , Date : 2004-07-08 , Time : 12:11:24 , From IP : 172.29.3.231

ความคิดเห็นที่ : 47


   .....อย่างที่ผมว่าแหละ...นี่มันคงเป็นกระทู้ห้อง Com....เดี๋ยวตัวเลขคนตอบมันจะขึ้นมาก....จะกลายเป็นการทำให้เรื่องนี้ดูน่าสนใจสำหรับคนที่ไม่เคยเข้ามาอ่าน.....ทั้งๆที่ไม่เกี่ยวอะไรกัน.....เป็นการโปรโมทกระทู้แบบไม่ได้ตั้งใจ...อีกอย่างนึงคือทำให้คนที่อยากจะให้กระทู้นี้บรรลุวัตถุประสงค์เสียความตั้งใจไป.....เพราะใครก็ตามที่เข้ามาอ่านก็จะงง....ว่านี่มันเรื่องอะไรหว่า???.....:D...:D

.......ผมไม่ส่ง E-mail หรือครับ.....ไม่หรอกครับ....เป็นคำแนะนำที่น่ารักดีครับ....ผมนึกถึงสมัยแรกๆที่ผมเล่นกระดานข่าวใหม่ๆ......สมัยนั้น Server ของ Webboard น่าจะไม่ดีเท่าปัจจุบัน.....ดังนั้นการใช้กระทู้เพื่อ Chat จะกลายเป็นสิ่งต้องห้ามตามมารยาท......เพราะว่าจะไปโหลดงาน Server และเพิ่มปริมาณข้อความให้ยาวยืดและมากขึ้น....การ Refresh web page แต่ละครั้งถ้าบ่อยๆคนทำกันเยอะๆพร้อมกัน....ก็จะเกิดอาการ Server ล่ม.......แต่ปัจจุบันนี้คงไม่มีแล้วหละครับ....สมัยนั้น Webmaster ที่ผมใช้บริการนี่ก็น่ารักมากครับ[น่ารักจริงๆนะไม่ได้ประชด....ผมยังประทับใจอยู่เลย]....บอกว่าไปโหลดพวก IRC มาใช้หรือโทรคุยกันเถอะครับ....จำได้ว่าผมเคยเจอกระทู้ Chat ที่ยาวสุดสมัยนั้นสัก 500 คนตอบได้...แบบว่าคุยกันเรื่องอกหัก...มีคนมาร่วม Jam และด่าหรือให้กำลังใจเพียบเลยครับ....แน่นอนครับวันนั้น Server ก็ล่มอีกตามเคย..:D...:D

.....อย่างนึงนะ....ผมไม่ได้หมายความเราจะเป็นพระกันหรอก.....ผมบอกว่า"บางคน".....คงไม่ใช่ทุกคน.....และคงไม่เยอะด้วย....เพราะความหมายของคำว่า"คนธรรมดา"ของผมมันกว้างมาก....กว่าจะเป็นพระได้นี่คงไม่ใช่ดีนิดดีหน่อยก็กลายเป็นพระหรอกครับ.....:D...:D

.....ส่วนตัวผมก็เชื่อในการเปลี่ยนแปลงครับ.....ไม่ใช่แค่บางอย่าง....ผมเชื่อว่า"ทุกอย่าง"ย่อมมีโอกาสและเวลาของการเปลี่ยนแปลง......ถ้าเพียงแค่เวลาที่ผ่านไปเพียงพอ....เราก็เปลี่ยนไปได้หลายอย่าง.....ผมลองดูตัวเองตอนสมัยอายุ 13-14 สมัยนั้นต่อยคือต่อยครับ.....ไม่เคยมีมานั่งคิดหรือวางแผนอะไรทั้งนั้น...พอโตขึ้นมาขนาดนี้...ผมไม่ค่อยเชื่อเรื่องกำลังแล้ว.....เชื่ออยู่เหมือนกันว่าเอาไว้จำเป็นจริงๆค่อยใช้....ผมคิดมากขึ้นและก็พูดมากขั้นกว่าเดิม......ถึงมันจะดูโหดๆอยู่บ้าง....แต่บอกได้ว่ามันดีกว่าเมื่อก่อนมาก.....ถึงมันจะยังดูไม่เข้าท่าพอที่จะอยู่ในสังคมแบบนี้ได้ก็เถอะครับ....:D...:D

...ไม่แน่ต่อไปถ้าเกิดโชคดีมีใครให้ผมไปบริหารงาน...ตอนผมแก่อาจจะมีไอ้พวกบ้าๆเหมือนผมตอนนี้มาตั้งคำถามกับระบบของผมก็ได้.....แล้วผมคงจะต้องมานั่งคิดว่า.....ทำไมไอ้เด็กสมัยนี้มันไม่เข้าใจชีวิตผู้ใหญ่อย่างเราเลยหว่า???....:D...:D



Posted by : Death , Date : 2004-07-09 , Time : 00:13:06 , From IP : 172.29.3.242

ความคิดเห็นที่ : 48


   เห็นด้วยกับคุณเสนอมากถึงมากที่สู้ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด

Posted by : gjk , Date : 2004-07-09 , Time : 00:50:07 , From IP : 172.29.3.236

ความคิดเห็นที่ : 49


   ก็พวกเอ็ง เข้าไปนั่งเล่นเกม นี่หว่า เจ้าหน้าที่เค้าก็โกรธน่ะซิ คอมมีไว้ใช้งานไม่ใช่เพ่การบันเทิง เที่ยวเอา เกมส์ ไปลง ไว้เต็มไปหมด ทำให้คอมช้า เจ้าหน้าที่ก็ต้องเหนื่อยมานั่งแก้ไขอีก

และอีกอย่างอย่าคิดว่าเป็นหมอ แล้วจะได้รับสิทธิพิเศษเหนือคนอื่น ๆ พูดจา ให้เกียรติกันบ้าง อาชีพหมอไม่ได้ยิ่งใหญ่มากนักหรอก อย่าถือตัวดี ไป

ฝากอีกอย่าง โน๊ตบุ๊ก ที่พวกท่าน ๆ เช่ามาใช้นั่น ควรพึงสังวรไว้ด้วยว่า เป็น เงินจากภาษีของประชาชน ควรจะใช้ ในทางที่เป็นประโยชน์เกี่ยวข้องกับการเรียน ไม่ใช่นำมาทำเพื่อการบันเทิง เพราะต่อ ไป ถ้าท่างคณะเห็นว่า ที่อุตสาห์เจียดงบหามาให้ใช้เพื่อการศึกษา แต่เด็กกลับนำมาใช้ เพื่อบันเทิง คณะอาจยกเลิกโครงการนี้ในอนาคตได้ ถือว่า สงสารรุ่นน้อง ที่จะเข้ามาใหม่ด้วย


Posted by : e , Date : 2004-07-12 , Time : 12:14:23 , From IP : 172.31.1.151

ความเห็นจาก Social Network : Facebook


สงวนสิทธิ์การแสดงความคิดเห็นสำหรับ สมาชิกเท่านั้น
>>>>> Page loaded: 0.022 seconds. <<<<<