ความคิดเห็นทั้งหมด : 13

Debate XIV: ผี !!!


   ตำนานมีหลายประเภท จริงบ้าง ไม่จริงบ้าง บางครั้งก็แยกยากว่าอะไรเป็นตำนานอะไรเป็นประวัติศาสตร์ บันทึกจากอดีตบางทีก็เต็มไปด้วยสัญญลักษณ์ที่ต้องตีความ หรือความพยายามในการอธิบายปรากฏการณ์ "เหนือธรรมชาติ" ณ กาลเวลานั้นๆ ฉะนั้นหลีกเลี่ยงไม่พ้นที่จะมีการอธิบายโดย spiritual หรือ supernatural ไปต่างๆนานาโดยความเชื่อของท้องที่นั้น บางคนเชื่อว่า god ผีสาง เทพารักษ์ สัตว์ในนิยายเช่นเงือก เกิดมาโดยกระบวนการนี้

ที่น่าประหลาดใจอยู่คือบางตำนานมีการเล่าขานกันทั่วทุกมุมโลก ความเป็น international ของตำนาน reinforce ความเป็นจริงจังของเรื่องพิศดารเหล่านี้ เช่นตำนานน้ำท่วมโลก ที่หลายๆประเทศดูจะมีบันทึก เรื่องเล่าอย่างที่ว่า กับอีกอย่างหนึ่งคือ ผี

ผีมีจริงหรือไม่? ชีวิตหลังความตายเป็นอย่างไร? ทำไมเรากลัวผี?

เชิญขอรับทุกท่าน



Posted by : Phoenix , Date : 2003-04-19 , Time : 23:25:53 , From IP : 172.29.3.228

ความคิดเห็นที่ : 1


   what opinion ghost is not science

Posted by : 99 , Date : 2003-04-20 , Time : 03:41:09 , From IP : 172.29.3.210

ความคิดเห็นที่ : 2


   What is science? what is opinion?



Posted by : Phoenix , Date : 2003-04-20 , Time : 06:07:18 , From IP : 172.29.3.228

ความคิดเห็นที่ : 3


   ธรรมชาติของมนุษย์ สิ่งที่น่ากลัวคือ ความสิ้นสุด...ความตาย เป็นเครื่องสิ้นสุดแห่งสังขาร....หากจินตนาการของมนุษย์สามารถทำให้ชีวิตหลังความตาย เป็นปริศนาอยู่จนถึงปัจจุบัน...เสมือนหนึ่งมีชีวิตหลังความตาย อย่างไรก็ตาม อาจมีมูลเหตุหลายอย่างที่อาจไม่ได้พิสูจน์เป็นหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ว่า วิญญาณ หรือสิ่งเร้นลับทั้งปวงมีตัวตนอยู่จริงหรือไม่..แต่นอกเหนือจากจินตนาการของมนุษย์ อาจมีเหตุชักนำให้แนวคิดด้านผี หรือวิญญาณ เป็นไปในแนวคล้ายๆกัน ซึ่งบอกไม่ได้ว่าเป็นเพราะเหตุอันใด..หรือสิ่งเร้นลับเหล่านี้อาจมิใช่เพียงจินตนาการ แต่อาจมีมูลความจริงบางอย่าง บางปรากฏการณ์ ทำให้มนุษย์นำมาปรุงแต่งจินตนาการต่อก็อาจเป็นไปได้....
อันที่จริง ความน่าสะพรึงกลัวของการตาย ก็คือ ความไม่รู้ นั่นเอง...ถ้าคุณสามารถชี้ชัดลงไปได้ว่า ตายแล้ว จะไปไหน ทำอะไร..ความตายก็คงไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัวอีกต่อไป...ความตายจึงเป็นสิ่งที่ยังก่อความหวาดหวั่นให้สิ่งมีชีวิตอยู่ร่ำไป...จินตนาการแห่ง ผีสาง ก็วนเวียนอยู่ เพราะมนุษย์ไม่ยอมรับถึงจุดสิ้นสุดแห่งชีวิต....ซึ่งท้ายที่สุดทั้งปวง คือ อนัตตา


Posted by : ตะนอยน้อย , E-mail : (-) ,
Date : 2003-04-20 , Time : 11:22:57 , From IP : proxy-mu2.mahidol.ac


ความคิดเห็นที่ : 4


   ทฤษฎีของคุณตะนอยน้อยน่าสนใจครับ แต่จากตำนานผีทั่วโลกนี่ คนส่วนใหญ่เขาก็คิดว่าตายแล้วไม่จำเป็นต้องเป็นผีนะครับ คือผีนั้นเป็น exceptional case ของชีวิตหลังความตาย (ซึ่งมีหลากหลาย based on ศาสนา ลัทธิ ความเชื่อ) เป็นการ "แหกวงจร" ปกติ

ผมจะ rule out ผีบางประเภท ที่น่าจะจัดเป็น monster ซะมากกว่าออกไปนะครับ เช่น ผีกระสือ ผีกระหัง ตัวกัปปะ (ผีญี่ปุ่นที่ต้องเลี้ยงแอ่งน้ำเล็กๆไว้บนหัว) Frankenstein monster ทำนองนั้นออกไป แต่ทุกชาติทุกภาษามีความเชื่อท้องถิ่นเหมือนกัยว่าถ้ามีการตายที่ดู "ไม่สมเหตุผล" อาจจะทำให้เกิดการ "ลัดวงจร" ของทางปกติที่เวลาเราตายแล้วต้องไปตามทางนั้น ทำไม? และ เป็นไปได้หรือไม่?



Posted by : Phoenix , Date : 2003-04-20 , Time : 15:08:11 , From IP : 172.29.3.215

ความคิดเห็นที่ : 5


    ผมขออนุญาติแสดงความคิดเห็นครับ ผมคิดว่าผมเองพอมีประสบการณืเกี่ยวกับเรื่องที่ไม่สามารถอธิบายได้ในทางปฏิบัติ เช่น เห็นคนที่ออกไปทำกิจกรรมบางอย่างแน่ๆ แต่เรากลับเห็นเขายังอยู่อีกที่ครับ หรือในกรณีที่เราได้ยินเสียงหรือได้กลิ่นแปลกๆ ผมคิดว่าสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่เราไม่สามารถอธิบายได้เราก็อาจคิดว่าเป็นผี ผมไม่ได้ต้องการลบหลู่หรือไม่เชื่อว่าจะมีหรือไม่ แต่ในบางครั้งเราก็คิดและกลัวในสิ่งที่เราคิดเองนั่นแหละครับ ถามว่าผมเคยเห็นผีมั้ย ผมก็คงตอบว่าเคยครับ ในทางพุทธศาสนาเท่าที่ผมทราบมันเหมือนเป็นสิ่งที่บ่งบอกว่าเรา (หมายถึงผู้ที่พบเห็น)อาจมีความสามารถที่จะช่วยสิ่งที่เราเห็นให้ได้บางสิ่งบางอย่างที่เราเรียกว่าบุญไงครับ ถ้าถามว่าผมเชื่อหรือไม่ว่าผีมีจริง ผมก็ขอตอบว่าไม่รู้ครับแต่อย่างไรก็ตามผมไม่ลบหลู่เรื่องนี้หรอกครับ

Posted by : free bird , Date : 2003-04-20 , Time : 15:21:16 , From IP : 203.148.180.61

ความคิดเห็นที่ : 6


   ผีอาจจะมีจริงก็ได้ แต่คนที่ไม่เคยเจอก็จะไม่รู้เหมือนบางวิชาถ้าเราไม่เคยศึกษาก็ไม่รู้ว่ามันเป็นอย่างไร
ทำไมถึงกลัวผี คิดว่าเกิดจากการปลูกฝังให้กลัวตั้งแต่เด็กเหมือนเวลาพูดถึงดอกไม้เรามักจะคิดถึงสิ่งที่สวยงามมากกว่าน่าเกลียด


Posted by : perf. , Date : 2003-04-20 , Time : 16:37:42 , From IP : 172.29.3.123

ความคิดเห็นที่ : 7


   อย่าว่าแต่ผีเลย คุณจะรู้ได้อย่างไรว่าทุกสิ่งที่คุณเห็น ทุกสิ่งที่ได้ยิน ทุกสิ่งที่สัมผัสได้ น่ะ มันมีอยู่จริง

ในทางทฤษฎีความรู้นั้นอธิบายว่า มนุษย์ไม่อาจรู้ได้เลยว่าสิ่งใดจะมีอยู่จริงหรือไม่ "ภายนอกประสาทสัมผัส"
คุณจะรู้ยังไงว่าสิ่งที่คุณสัมผัสได้นั้นมันไม่ใช่สิ่งที่จิตใจคุณสร้างขึ้นมาเอง คนรอบข้าง สถานที่คุ้นเคย สิ่งของใกล้ชิด ทั้งหมดอาจเป็นเพียงสิ่งที่ปรุงแต่งขึ้นในจิตวิญญาณ

คุณอาจเคยดูเรื่อง a beautiful mind ที่พระเอกสามารถสร้าง"คน"ขึ้นมาได้ถึง 3 คนภายในสมองตนเอง
แล้วคุณจะแน่ใจยังไงว่าคุณไม่ได้เป็นเช่นนั้นบ้าง ที่สร้างทุกสิ่งขึ้นมาเอง โดยที่มันไม่มีอยู่จริง

เมื่อเข้าใจถึงขั้นนี้แล้ว เรื่องผีก็จัดเป็นเรื่องเล็กน้อย ที่จะ"สร้าง"ขึ้นมาเมื่อใดก็ได้

ทำไมต้องกลัวผี? คำถามเช่นนี้ก็มีคำตอบเดียวกับถามว่า ทำไมเราต้องกลัว? นั่นแหละ
ความกลัวเป็นสิ่งที่มีรากฐานอยู่ที่ความเห็นแก่ตัว กลัวภัยอันตรายจะเกิดกับตนเอง
คุณสังเกตดูว่าความกลัวอาจเกิดได้กับทุกอย่าง ทั้งๆที่บางทีก็ดูไม่มีเหตุผล


Posted by : Immanuel Kant , Date : 2003-04-20 , Time : 20:57:00 , From IP : 172.29.2.154

ความคิดเห็นที่ : 8


   ยังมีอีกอย่างที่ผมอยากจะกล่าว

คุณอย่าคิดนะครับว่าจะมีความรู้อะไรที่แน่นอนเสมอ ความรู้ทุกอย่างตั้งอยู่บนความมืดมนทั้งสิ้น

คนที่เชื่อวิทยาศาสตร์ ก็พอๆกับ คนที่เชื่อผีสางเทพเจ้านั่นแหละ

วิทยาศาสตร์ไม่ใช่ความแท้จริง

กฎเกณฑ์ธรรมชาติอาจไม่มีอยู่จริง

เหตุและผลอาจไม่มีอยู่จริง

ทุกสิ่งที่คุณรู้อาจไม่มีจริง หรือถ้ามีจริงก็อาจไม่ใช่ลักษณะเดียวกับที่คุณสัมผัส


Posted by : Immanuel Kant , Date : 2003-04-20 , Time : 21:09:53 , From IP : 172.29.2.154

ความคิดเห็นที่ : 9


   เห็นสาวๆเรียกผมว่า"ผีทะเล"
สงสัยผีจะมีจริงอ่ะครับ




Posted by : กะหลั่วเป็ด , Date : 2003-04-22 , Time : 15:18:07 , From IP : 172.29.3.227

ความคิดเห็นที่ : 10


   ลองพยายาม focus on the topic "ผี" ไว้ก่อนก็แล้วกันนะครับ ประเดี๋ยวจะเป็นการอภิปรายเชิงปรัชญาไปหมด

ประเด็นก็คือ "The non-existence of prove does not a prove of non-existence" ซึ่งเป็น arguement เดียวกันกับ prove or disprove of God. การตอบแบบคุณ Freebird จะคล้ายๆกับการตอบของ Theravadin ว่า God มีจริงหรือไม่ คือเราไม่สนใจ (agnosia) เนื่องจากมันไม่เกี่ยวกับวิถีการพ้นทุกข์ และท่าน (พระพุทธเจ้า) ก็ (allegedly) นิ่งเสีย ไม่ได้ตอบว่ามีหรือ "ไม่มี"

มีความรู้อีกมากมายที่ยังไม่ได้มีการ clarified ในขณะเดียวกันมี Myth มากมายที่ถูกอธิบายเช่น พระอาทิตย์ ดวงจันทร์ สุริยุ-หรือจันทรุปราคา ดังนั้นพวก god of sun, moon, หรือ monster ที่จะมากินดวงอาทิตย์ดวงจันทร์ก็สลายไป ที่น่าประหลาดคือเรื่องผี ซึ่งมีคนพยายามศึกาค้นคว้ามามากมายเป็นเวลานานพอๆกับประวัติศาสตร์ที่เรามีอยู่กลับไม่ได้ถูก "Disprove" หรือมี Anti-thesis ว่าไม่เป็นจริงอย่างชัดเจน



Posted by : Phoenix , Date : 2003-04-22 , Time : 18:58:33 , From IP : 172.29.3.201

ความคิดเห็นที่ : 11


   ไม่ค่อยมีความรู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องแบบนี้มากหรอกค่ะ แต่อ่านเจอเลยเอามาฝากกันน่ะค่ะ
---
-----
--
-

--
เรื่องจริงแห่งวิญญาณ
จากอดีตจวบจนทุกวันนี้ ไม่ว่าจะที่ไหนของมุมโลก เรื่องเกี่ยวกับภูต ผี ก็ยังมีให้เห็น อีกทั้งมีวิธีต่างๆมากมาย ที่สามารถติดต่อกับวิญญาณได้ จะจริงหรือไม่ อย่างไรนั้นก็ไม่อาจรู้ได้ เพราะน้อยคนนักที่จะกล้าลอง

ผมเป็นคนหนึ่งที่ได้พยายามค้นคว้า ค้นหา เกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ด้วยเชื่อว่า
1 วิญญาณมีจริง และ
2 วิธีต่างๆที่บอกเล่ากันนั้น จริงเท็จแค่ไหน 2 ปีที่ทำการพิสูจน์และก็จะยังทำต่อไปนั้น ทำให้ผมได้รู้อะไรบางอย่าง คนคงได้ยินกับวิธีปอกแอปเปิ้ล หน้ากระจกตอนเที่ยงคืน แล้วจะพบหน้าเนื้อคู่ของตัวเอง ซึ่งเป็นวิธีของฝรั่งหลายคน คงได้ทดลองแล้ว

และผมเองก็เช่นกัน จากที่ผมเห็นนั้นก็คือ ระยะแรกผมไม่เห็นหัวตัวเองยอมรับว่าตื่นเต้น จากนั้นหน้าของผม ก็เริ่มเปลี่ยนไป หน้านั้นมันเริ่มน่ากลัวขึ้น น่ากลัวขึ้น จากสีเนื้อ ก็กลายเป็นสีเขียวคล้ำ ผมที่ตรงก็หยิก หน้าเริ่มแก่ขึ้น และคล้ายซากศพเข้าไปทุกขณะ

ช่วงนี้ ผมนิ่งมาก เหมือนถูกอะไรสักอย่างสะกดสะกด ให้มองภาพนั้นทั้งๆที่อยากเลิกเต็มที จนเพื่อนมาสะกิด นั่นแหละ ผมถึงได้ออกจากภวังค์ ผมตกใจกับภาพที่เห็น และถามตัวเองว่าเกิดอะไรขึ้น มันเป็นไปได้อย่างไรจากเหตุการณ์นั้น ผมกลายเป็นคนกลัวกระจกเป็นเวลา 3 เดือนไม่กล้าส่องกระจกอีกเลย

นั่นคือก้าวแรกที่ผมหันเหชีวิตเป็นนักพิสูจน์เรื่องวิญญาณ และนั่นก็ยิ่งทำให้ผมอยากรู้มากขึ้น หลายคนคงเคยทำมาแล้ว และเชื่อไปแล้ว หบายคนก็ว่า เป็นเพราะตาของเราพร่า แต่ทำไมถึงได้พร่าถึงชนิดที่ว่า เห็นซากศพไปได้ วันนี้ หากผมจะบอกความจริงที่อยู่หลังเหตการณ์นี้คุณจะเชื่อมั๊ย ว่า สิ่งที่คุณทำอยู่นั้น หาใช่วิธีติดต่อทางวิญญาณไม่

แต่มันเป็นการทำสมาธิวิธีหนึ่งแห่งองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า

การนั่งมองตัวเองในกระจกก็คือ การนั่งสมาธิแล้วเพ่งพิจารณาตัวเอง เพื่อให้เข้าถึงกฎของไตรลักษณ์ว่า ร่างกายมนุษย์นั้นสุดท้ายก็คือ ซากศพที่ไม่น่าพิศมัย และก็จะเน่าสลายกลายเป็นอนัตตาไปในที่สุด บางคนก็บอกว่า ถ้ามองไปเรื่อยๆ หน้าที่เน่าเละก็จะกลายเป็นหน้าของเนื้อคู่เรา ซึ่งผมพิสูจน์แล้วว่า นั่งเพ่งมองเท่าไหร่ ก็จะยังคงภาพนั้น และไม่มีทางเปลี่ยนเป็นเนื้อคู่ได้หรอก

อย่าลืมนะครับว่าทุกวันนี้เรื่องของพลังจิต ที่ฝรั่งกำลังแตกตื่นอยู่นั้น หากเทียบกับพุทธศาสนาแล้ว ก็แค่สมาธิขั้นพื้นฐานเท่านั้น วันนี้คงพอแค่นี้ก่อนแล้ววันหน้า ผมจะมาไขความจริงกับอีกหลายวิธีที่เล่ากันมา

-----
-----------?????????


Posted by : สาวน้อยร้อยชั่ง , Date : 2003-04-25 , Time : 13:53:07 , From IP : 203.113.71.169

ความคิดเห็นที่ : 12


   น่าสงสัยอย่างแรงว่าเป็นการการทำสมาธิแบบ"พระพุทธเจ้า"? คนทุกคนไม่ได้แก่ตาย บางคนก็จมน้ำ บางคนก็burn รับรองยิ่งคุณเรียนแพทย์คุณจะมี variation of deads จนเลือกนิมิตไม่ถูกเลยทีเดียว เรื่องนี้อาจจะต้องระมัดระวังให้ดีว่า "ใจเรา" นั่นเองที่เล่นตลกกับสมองรึเปล่า?
-------------------

เรื่องผีนี้ หากเราขยายเป็นคำ "จิตวิญญาณ" ความไร้สาระก็อาจจะเปลี่ยนแปลงไปเฉียบพลันทันที นิยามของ rebirth ทางพุทธศาสนา (หินยาน และมหายาน) หรือ reincarnation (วชิรยาน) ที่อาจจะพ้องกับชีวิตหลังความตายในอีกหลายๆอารยธรรมโบราณ (เช่น อียิปต์ หรือ เมโสโปเตมีย และสินธุ) ใจผมค่อนๆไปทางคิดว่าเป็นเรื่อง barrier ทาง "ภาษา" ที่พอเราเอามาแปลตรงๆตัวเลยเกิดความเพี้ยนและ lost the original wisdom ไป



Posted by : Phoenix , Date : 2003-04-25 , Time : 22:06:29 , From IP : 172.29.3.214

ความคิดเห็นที่ : 13


   ผมคิดว่าผมเป็นคนที่งมงายคนหนึ่งในเรื่องของผี เพราะผมเชื่อว่ามีจริง อาจจะเป็นเพราะผมเป็นผู้ที่นับถือศาสนาพุทธ(โดยไม่ได้นับถือเพียงในทะเบียนเท่านั้น) และพุทธศาสนาเชื่อในเรื่องของการกลับชาติมาเกิด(rebirth) การเชื่อในเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่เหลวไหล เพราะได้มีศาสตราจารย์ท่านหนึ่งได้เคยใช้การรักษาคนไข้ด้วยการสะกดจิต ซึ่งการรักษานี้ ถ้าจะว่าโดยใช้พุทธศาสตร์ในการอธิบายก็จัดได้ว่าเป็นการเจริญสมาธิด้านหนึ่ง คือการฝึกให้นึกถึงอดีตที่เคยผ่านมา ผลปรากฏว่า คนไข้นอกจากสามารถนึกในชาตินี้ได้แล้ว ยังสามารถนึกได้ถึงชาติที่ผ่านมาว่าเคยเกิดที่โน้น มีชื่อ มีญาติชื่อนั้น ๆ ซึ่งศาสตราจารย์ท่านนี้ก็ได้พิสูจน์แล้วว่า ที่คนไข้ของตนได้กล่าวมานั้นมีมูลความจริง ทั้งที่คนไข้ไม่เคยไปแผ้วพาลในบริเวณนั้น ๆ มาก่อน ทีนี้ไม่ต้องกล่าวถึงศาสตราจารย์คนใด เอาเป็นว่าข้างบ้านผม ผมมีญาติคนหนึ่งอายุ ๕ ขวบ ตอนที่เขาพอพูดรู้เรื่องเขาได้เล่าให้ญาติ ๆ ฟังว่า เขาเคยเกิดที่หมู่บ้านหนึ่งไม่ห่างจากที่อยู่ปัจจุบัน เขาตายด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์ หลาย ๆ คนคิดว่าเขาเพ้อเจ้อตามประสาเด็ก แต่เมื่อได้ไปตรวจสอบแล้วกลับพบว่า เป็นความจริงอย่างที่เขาว่า จริง ๆ ในหมู่บ้านที่เขาอ้างได้มีคนชื่ออย่างที่เขาบอกและได้ตายด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์ตามที่เขากล่าวไว้อย่างถูกต้อง และไม่ใช่มีเพียง case เดียวที่ผมเจออย่างน้อยที่สุดที่ผมพบเห็นเองก็มีอยู่อย่างน้อย ๒ ครั้ง ถ้าจะพูดว่ามันเป็นเหตุบังเอิญ ผมก็รู้สึกว่ามันบังเอิญเกินไป สิ่งเหล่านี้คนที่คลุกอยู่กับตำรา คงจะพบเจอได้ยากและคงจะเชื่อได้ยาก
แต่สิ่งที่ทำให้ผมกระจ่างแจ้งที่สุด ก็เมื่อได้มาศึกษาพระพุทธศาสนาอย่างจริงจัง ยิ่งศึกษาทำให้ผมได้รู้ว่าความรู้ในพระพุทธศาสนาเป็นความรู้ที่ทันสมัยที่สุดแล้ว ยกตัวอย่างเช่น วิทยาศาสตร์พึ่งจะรู้กระบวนการในการเกิดของเด็กทารกว่ามีรูปร่างอย่างไร เมื่อไม่กี่ร้อยปีที่แล้ว แต่พระพุทธเจ้าได้ทรงแสดงเรื่องนี้ผ่านมาเมื่อ ๒ พันกว่าปีมาแล้ว เรื่องของการผ่าตัดเองก็พึ่งมีได้ไม่กี่ร้อยปี แต่ในสมัยพุทธกาลได้มีการผ่าตัดเกิดขึ้นแล้วแต่จุดที่ผ่าตัดก็คือศีรษะ และผู้ที่ได้รับการผ่าตัดก็สามารถมีชีวิตรอด โดยหายจากโรคที่เป็นอยู่ด้วย
แม้แต่เรื่องจิตวิญญาณ หรือที่เราเรียกกันว่า ผี นั้นท่านก็ได้อธิบายไว้อย่างชัดเจน ทั้งยังมีวิธีไปพิสูจน์ด้วยตนเองโดยไม่ต้องเชื่อใคร เสียอยู่อย่างเดียวคือ ไม่ใช่ทุกคนที่ทดสอบทดลองดูแล้วจะได้ผลทุกคน
ไม่ต้องเชื่อใครอยากรู้อ่านพระไตรปิฏก


Posted by : ผ่านมาและจะผ่านไป , E-mail : (suchitchin@yahoo.com) ,
Date : 2006-04-18 , Time : 18:06:27 , From IP : 203.170.221.64


ความเห็นจาก Social Network : Facebook


สงวนสิทธิ์การแสดงความคิดเห็นสำหรับ สมาชิกเท่านั้น
>>>>> Page loaded: 0.007 seconds. <<<<<