Posted by : Phoenix , Date : 2004-05-27 , Time : 16:44:39 , From IP : 172.29.3.128
ความคิดเห็นที่ : 5
เห็นด้วยที่ว่าในปัจจุบันนี้เราเชื่อว่าเรื่องทุกอย่างที่ผ่านเข้ามาในการรับรู้perceptionด้านต่างๆนั้น ถ้ามันpersistซ้ำๆนานๆเพียงพอ สามารถทำให้มีการเปลี่ยนแปลงทางbiologyได้ เรื่องจิตใจก็เช่นเดียวกัน ทีนี้ขึ้นกับว่าเราแหล่ะว่าจะเลือกให้เรื่องแบบไหนดีหรือร้าย ส่งผ่านperceptionของผู้ป่วย และเหมือนที่เราเข้าใจกันมานานแล้วงัยว่า ถ้าผู้ป่วยมีกำลังใจที่ดีพยายามต่อสู้ น่าจะดีกว่าหมดกำลังใจ
ปัญหาสำคัญคือ เราจะให้กำลังใจผู้ป่วยอย่างไร ในขณะที่หมอเองก็หมดหวังกับการรักษาผู้ป่วยรายนั้น คงไม่ใช่เพียงคำพูดว่า หมอกำลังให้กำลังใจคุณนะเหมือนที่เราเคยเห็นๆกัน แต่พฤติกรรมนั้นไม่สนับสนุน ดังนั้น action ที่ต้องตรงกับความคิดนั้นสำคัญ การไปดูผู้ป่วยทุกวันโดยที่ไม่ต้องมีการสั่งmanagementอะไรในใบorder อาจเหมือนไม่มีactionอะไร ยืนข้างผู้ป่วยนิ่งๆ ทุกวันสม่ำเสมอตามที่เวลาจะเอื้ออำนวยให้ หยิบยื่นอะไรเล็กน้อยๆที่ผู้ป่วยขอ เพียงเท่านี้ selfผู้ป่วยก็พองโต รู้ว่าหมอเห็นคุณค่าในตัวเขา เห็นความเป็นคนไม่ใช่มองที่โรค ถึงแม้นจะทำอะไรกับโรคไม่ได้ แล้วหมอหล่ะคิดว่ามันไร้สาระหรือไม่ Posted by : pisces , Date : 2004-05-28 , Time : 06:54:59 , From IP : 172.29.3.222
ความคิดเห็นที่ : 6
มีคนเคยบอกว่า specialist มองโรคเหมือนเป็นเกมที่จะต้องพิชิตให้ได้ เป็นความท้าทาย ที่จะนำเอาความรู้และทักษะเต็มเปี่ยมเข้าสู้ การหันมามองผู้ป่วยมากขึ้นในองค์รวม ดูๆ ไปแล้วเหมือนเป็นการแสดงนัยว่า ต้องการให้เกิดแพทย์ประจำครอบครัว (family doctor) อยากถามตรงๆ ว่า family doctor ในประเทศไทยมีโอกาสก้าวหน้ามากแค่ไหน หมายถึงที่เรียน การยอมรับ การทำงาน ฯลฯ
Posted by : . , Date : 2004-05-28 , Time : 11:24:25 , From IP : p4-nrtMT1.S.loxinfo.
ความคิดเห็นที่ : 7
ขอแสดงความเห็นในช่วงต้นแล้วกันนะครับ
Specialist นั้นไม่ได้มีข้อยกเว้นในการที่จะให้การดูแลรักษาผู้ป่วยแบบองค์รวมหรอกนะครับ และ family doctor ก็ไม่จำเป็นต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านองค์รวมเพียงฝ่ายเดียว การดแลผู้ป่วยแบบครบองค์ (กาย ใจ จิตวิญญาณ และสังคม) นั้นเป็น model พื้นฐานของ Medical professionalism ซึ่งครอบคลุมตั้งแต่ทันทีที่จบ พบ. (แพทยศาสตร์บัณฑิต) มานั่นเลยทีเดียว